“จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น” (สุภาษิต 3:5-6)
หลังจากคำพยานครั้งที่แล้ว หลายคนมาถามผมว่า ผมเป็นโรคซึมเศร้าได้อย่างไร ผมขอรวมมาเล่าให้ทุกคนฟังเพื่อเป็นประโยชน์นะครับ
ก่อนอื่นคงต้องย้อนกลับไปตอนสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย ผมสอบไม่ติด พ่อจึงตัดสินใจส่งผมไปเรียนต่างประเทศ ทำให้ผมต้องตั้งใจเรียนมากเพราะไม่อยากทำให้ตัวเองและครอบครัวผิดหวังอีก ตอนนั้นผมคิดว่าผมเป็นลูกชายคนเดียวของบ้านซึ่งเป็นครอบครัวคนจีน ดังนั้นผมต้องเก่ง ต้องมีอำนาจ มีเงินทอง และมีการศึกษาที่ดีเพื่อจะสานต่อและนำพาธุรกิจของครอบครัวให้ประสบความสำเร็จให้ได้
เหตุนี้เองทำให้ผมต้องทุ่มเทกับการเรียนจนเครียด กดดันจนความคิดเริ่มหลุด ได้ยินเสียงในหัวถามอยู่ตลอดเวลาว่า “ทำไมวิกรมต้องทำแบบนี้? ทำไปทำไม? … ทำไม??…” ซ้ำไปซ้ำมาในหัวสมอง ตอนนั้นจิตฟุ้งซ่านมาก คิดอยากจะฆ่าตัวตาย อยากหนีจากความกดดัน ไม่อยากอยู่ในโลกนี้แล้ว เพราะความคาดหวังในตัวเราด้านการเรียน ความรับผิดชอบ และจุดมุ่งหมายในชีวิตที่คนอื่นมอบให้มันสูงมาก มากจนผมไม่มีทางทำได้
อยู่ดีๆตอนนั้นมีคนเอาพระคัมภีร์มาให้ ผมก็อ่านไปเรื่อยๆจนเจอข้อความในบทหนึ่งที่เขียนว่า “Trust in the Lord with all your heart, and lean not on your own understanding” (จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง – สุภาษิต 3:5) ทำให้ผมอธิษฐานกับพระองค์ ขอพระองค์ช่วยผมให้หลุดจากปัญหานี้ด้วย และตัดสินใจรับเชื่อในที่สุด
ช่วงแรกผมคิดง่ายๆว่าพระเจ้าจะให้หมดตามที่ขอ และด้วยความที่เป็นผู้เชื่อใหม่ ทำให้ผมคิดเอาเองว่าตอนนี้ผมไม่ต้องกังวลกับเรื่องเรียน เรื่องลาภยศ สรรเสริญ หรือเงินทองอีกแล้ว เพราะพระเยชูจะจัดหามาให้ทุกอย่าง ผมจึงมุ่งอยู่แต่ความคิดนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่เป็นตามนั้น ผมกลับเครียดหนักขึ้นไปอีก กลายเป็นว่าหลังจากนั้นผมต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลบ้า ทำให้เกิดคำถามในใจว่าทำไมตัดสินใจเชื่อพระเจ้าแล้ว ยังเป็นแบบนี้อยู่ หลังจากออกจาก ร.พ. ครั้งแรก ไม่นานจากนั้นก็ต้องเข้ารักษาตัวอีกเป็นครั้งที่สอง ตอนนั้นคิดไปเองว่าตัวเองกำลังแบกไม้กางเขนตามพระคริสต์อยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป อาการยังไม่ดีขึ้นจึงตัดสินใจทิ้งพระเจ้าดีกว่า เพราะไม่เห็นพระองค์ตอบคำอธิษฐานอย่างที่ผมอยากได้เลย ทำให้หลังจากนั้นผมต้องเข้าๆออกๆโรงพยาบาลอยู่หลายต่อหลายครั้ง
ช่วงหนึ่งผมตัดสินใจบวชเผื่อจะทำให้โรคจิตดีขึ้น เพราะไม่มีเรื่องทุกข์ให้คิด แต่พอสึกออกมาก็ยังเป็นโรคซึมเศร้าเหมือนเดิม เพราะต้องมาเจอกับความกังวลในชีวิต จะบวชตลอดชีวิตก็ไม่ได้ เพราะต้องสืบทอดธุรกิจต่อจากพ่อหลังจากท่านเสียไป ทำให้ผมคิดถึงทางพระเยซูอีกครั้ง จนวันที่พระองค์ทรงเรียกผมกลับมา ตอนนั้นมีการแจกหนังสือพลังแห่งชีวิต ทำให้ผมอยากรู้จักคริสเตียนอย่างพี่ปุ๊ ได้เจอพี่ปุ๊และต่อมาเจอพี่ติ๊ก พี่ติ๊กเป็นพยานว่าพระเจ้าช่วยรักษาโรคท่านให้หายได้ ทำให้ผมคิดว่าพระเยชูน่าจะช่วยผมได้ ผมเห็นพี่ติ๊กเดินผ่านหน้าบ้านทุกวันหน้าตาดูมีความสุขมากจนทำให้ผมอยากกลับมาที่โบสถ์อีก
กลับมาครั้งนี้ผมไม่ได้มาหาพระเจ้าเพราะอยากได้นิมิต อภินิหาร หรือการอัศจรรย์ใดๆที่ทำให้ผมหาย ผมเพียงอยากเดินตามน้ำพระทัยพระองค์ แรกๆอาการผมยังไม่นิ่ง ผมมักทำอะไรประหลาดๆในการนมัสการเสมอ แต่พระเยชูค่อยๆชำระผมผ่านการเรียนพระคัมภีร์ อาการโรคซึมเศร้าก็ค่อยๆดีขึ้น เปลี่ยนจากอยากได้นิมิต อยากเป็นเหมือนคนอื่นๆ เป็นเชื่อและวางใจพระเจ้าอย่างสุดใจ วันนี้ผมไม่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งอีกต่อไป แต่เอาพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง ทำให้ผมไม่กลัวอะไรแล้ว เพราะพระองค์เป็นผู้เขียนตอนจบของชีวิตผม และผมจะได้ไปอยู่กับพระองค์ที่เมืองบรมสุขเกษม
โลกนี้ และโรคนี้เป็นเพียงชั่วคราวครับ – สรรเสริญพระเจ้า
(CJ วิกรม สมบูรณ์)
ข่าวประชาสัมพันธ์
- พวกเรารู้ว่าวิกรมต้องต่อสู้ดิ้นรนกับอาการของเขา ต้องกินยาตลอด ทำให้เราเห็นว่าวิกรมพึ่งพิงพระเจ้ามากทุกวัน ขอบคุณสำหรับครอบครัววิกรมด้วยที่ดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี
- อธิษฐานเผื่อการรักษา และเผื่อครอบครัวของวิกรมด้วยที่วันหนึ่งจะมารู้จักพระเจ้า
- เผื่ออีกหลายๆคนที่เรารู้จัก และเป็นโรคซึมเศร้าเหมือนกัน โดยเฉพาะสภาพความเครียดที่เกิดขึ้นรอบๆตัว ทำให้หลายคนตกเป็นเหยื่อของโรคร้ายนี้ – ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ