Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระกิตติคุณยอห์น บทเรียนที่ 5

พระเยซูกับหญิงสะมาเรีย

พระธรรม        ยอห์น 4:1-54

อ้างอิง            ยน.1:41;3:22,26;5:25-28;6:34-35;7:26-31,37-38;8:24;9:35-37;16:2, 32;19:30

บทนำ            ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร จะมีค่ามากน้อยเพียงใดในสายตาของผู้อื่น แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้า คุณคือผู้ที่พระองค์ทรงรักอยู่เสมอมาและเสมอไป!

บทเรียน

4:1 “เมื่อ​พระ‍เยซู​ทรง​ทราบ​ว่า​พวก​ฟาริสี​ได้‍ยิน​ข่าว​ว่า “อา‌จารย์​เยซู​มี​สาวก​และ​ให้​บัพ‌ติศ‌มา​มาก‍กว่า​ยอห์น” 

(Now when Jesus learned that the Pharisees had heard that Jesus was making and baptizing more disciples than John) 

4:2 “(ความ​จริง​พระ‍เยซู​ไม่‍ได้​ทรง​ให้​บัพ‌ติศ‌มา​เอง แต่​สาวก​ของ​พระ‍องค์​เป็น​ผู้​ให้)” 

(although Jesus himself did not baptize, but only his disciples), 

4:3 “พระองค์จึงเสด็จออกจากแคว้นยูเดียกลับไปที่แคว้นกาลิลีอีก” 

 (he left Judea and departed again for Galilee.)

4:4 “พระองค์จำเป็นต้องเสด็จผ่านแคว้นสะมาเรีย” 

 (And he had to pass through Samaria.)

4:5 “จึงเสด็จผ่านเมืองหนึ่งชื่อสิคาร์ในแคว้นสะมาเรีย ซึ่งอยู่ใกล้ที่ดินที่ยาโคบให้กับโยเซฟบุตรของตน” 

 (So he came to a town of Samaria called Sychar, near the field that Jacob had given to his son Joseph.)

4:6 “บ่อน้ำของยาโคบก็อยู่ที่นั่น พระเยซูทรงเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย จึงประทับลงที่ข้างบ่อนั้น เวลานั้นประมาณเที่ยง”

 (Jacob’s well was there; so Jesus, wearied as he was from his journey, was sitting beside the well. It was about the sixth hour.)

4:7 “มีหญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำ พระเยซูตรัสกับนางว่า “ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง” 

 (A woman from Samaria came to draw water. Jesus said to her, “Give me a drink.)

4:8 “ขณะนั้นสาวกของพระองค์เข้าไปซื้ออาหารในเมือง” 

 (For his disciples had gone away into the city to buy food.) 

4.9 “หญิงชาวสะมาเรียทูลพระองค์ว่า “ทำไมท่านซึ่งเป็นคนยิวจึงมาขอน้ำดื่มจากดิฉันซึ่งเป็นหญิงชาวสะมาเรีย?”(เพราะพวก​ยิวไม่คบหาพวกสะมาเรียเลย)”

(The Samaritan woman said to him, “How is it that you, a Jew, ask for a drink from me, a woman of Samaria?” (For Jews have no dealings with Samaritans.) )

4:10 “พระเยซูตรัสตอบนางว่า “ถ้าเธอรู้จักของที่พระเจ้าประทาน และรู้จักผู้ที่พูดกับเธอว่า ‘ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง’ ก็คงจะขอ​จากท่านผู้นั้น และผู้นั้นก็คงจะให้น้ำดำรงชีวิตแก่เธอ

(Jesus answered her, “If you knew the gift of God, and who it is that is saying to you, ‘Give me a drink,’  you would have asked him, and he would have given you living water.”) 

4:11 “นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ท่านไม่มีถังตัก และบ่อนี้ก็ลึก ท่านจะเอาน้ำดำรงชีวิตนั้นมาจากไหน?”

(The woman said to him, “Sir, you have nothing to draw water with, and the well is deep. Where do you get that living water? )

4:12 “ท่านใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเราผู้ให้บ่อน้ำนี้แก่เราหรือ? ยาโคบเองก็ดื่มจากบ่อนี้รวมทั้งบุตรทั้งหลายและสัตว์เลี้ยงของท่านด้วย

(Are you greater than our father Jacob? He gave us the well and drank from it himself, as did his sons  and his livestock.)

4:13 “พระเยซูตรัสตอบว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก” 

(Jesus said to her, “Everyone who drinks of this water will be thirsty again,)

4:14 “แต่คนที่ดื่มน้ำที่เราจะให้กับเขานั้น จะไม่มีวันกระหายอีกเลย น้ำที่เราจะให้เขานั้นจะกลายเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่ง​ขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์” 

(but whoever drinks of the water that I will give him will never be thirsty again. The water that I will give him will become in him a spring of water welling up to eternal life.)

4:15 “นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ขอน้ำนั้นให้ดิฉันเถิด เพื่อดิฉันจะได้ไม่กระหายอีก และจะได้ไม่ต้องมาตักที่นี่

  (The woman said to him, “Sir, give me this water, so that I will not be thirsty or have to come here to draw water.)

4:16 “พระเยซูตรัสกับนางว่า “ไปเรียกสามีของเธอมาที่นี่” 

(Jesus said to her, “Go, call your husband, and come here.)

4:17 “นางทูลพระองค์ว่า “ดิฉันไม่มีสามีค่ะ” พระเยซูตรัสกับนางว่า “เธอพูดถูกที่ว่าไม่มีสามี” 

(The woman answered him, “I have no husband.” Jesus said to her, “You are right in saying, ‘I have no husband’

4:18 “เพราะเธอมีสามีถึงห้าคนแล้ว และคนที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่สามีของเธอ เรื่องนี้เธอพูดจริง” 

(for you have had five husbands, and the one you now have is not your husband. What you have said is true. )

4:19 “นางทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าคะ ดิฉันเห็นจริงๆ แล้วว่าท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ”

 (The woman said to him, “Sir, I perceive that you are a prophet.)

4:20 “บรรพบุรุษของเรานมัสการที่ภูเขานี้ แต่พวกท่านบอกว่าสถานที่นมัสการนั้นต้องอยู่ที่เยรูซาเล็ม

(Our fathers worshiped on this mountain, but you say that in Jerusalem is the place where people ought to worship.)

4:21 “พระเยซูตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด คงมีสักวันหนึ่งที่พวกเธอจะไม่ได้นมัสการพระบิดาทั้งที่ภูเขานี้หรือที่เยรูซาเล็ม”

(Jesus said to her,”Woman, believe me, the hour is coming when neither on this mountain nor in Jerusalem will you worship the Father.)

4:22 “สิ่งที่พวกเธอนมัสการนั้นเธอไม่รู้จัก สิ่งที่พวกเรานมัสการนั้นพวกเรารู้จัก เพราะความรอดมาจากพวกยิว” 

(You worship what you do not know; we worship what we know, for salvation is from the Jews.)

4:23 “แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อคนที่นมัสการอย่างแท้จริงจะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณ​ และความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นมานมัสการพระองค์” 

 (But the hour is coming, and is now here, when the true worshipers will worship the Father in spirit and truth, for the Father is seeking such people to worship him.)

4.24 “พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ และคนที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” 

(God is spirit, and those who worship him must worship in spirit and truth.)

4:25 “นางทูลพระองค์ว่า “ดิฉันทราบว่าพระเมสสิยาห์ (ที่เรียกว่าพระคริสต์) จะเสด็จมา เมื่อพระองค์เสด็จมาพระองค์จะทรงชี้‍แจงทุกสิ่งแก่เรา” 

(The woman said to him, “I know that Messiah is coming (he who is called Christ). When he comes, he will tell us all things.)

4:26 “พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราผู้ที่พูดกับเธอเป็นผู้นั้น

 (Jesus said to her, “I who speak to you am he.)

4:27 “เมื่อพวกสาวกของพระองค์กลับมา พวกเขาก็ประหลาดใจที่พระองค์ทรงสนทนากับผู้หญิง แต่ไม่มีใครถามว่า “พระองค์ทรงต้องการอะไร?” หรือ “ทำไมพระองค์ถึงสนทนากับนาง?” 

(Just then his disciples came back. They marveled that he was talking with a woman, but no one said, “What do you seek?” or, “Why are you talking with her?”)

4:28 “ส่วนหญิงคนนั้นก็ทิ้งหม้อน้ำไว้และเข้าไปในเมืองบอกพวกชาวบ้านว่า” 

(So the woman left her water jar and went away into town and said to the people,)

4:29  “มานี่ มาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัดที่ฉันเคยทำ ท่านผู้นี้จะเป็นพระคริสต์ได้ไหม?” 

(“Come, see a man who told me all that I ever did. Can this be the Christ?”)

4:30 “คนทั้งหลายจึงพากันออกจากเมืองไปหาพระองค์”

(They went out of the town and were coming to him.)

4:31 “ในระหว่างนั้นพวกสาวกทูลเชิญพระองค์ว่า “พระอาจารย์ เชิญรับประทานเถิด

(Meanwhile the disciples were urging him, saying, “Rabbi, eat.”) 

4:32 “แต่พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เรามีอาหารรับประทานที่พวกท่านไม่รู้” 

(But he said to them, “I have food to eat that you do not know about.)

4:33 “พวกสาวกจึงถามกันว่า “มีใครเอาอาหารมาให้พระองค์แล้วหรือ?” 

(So the disciples said to one another, “Has anyone brought him something to eat?)

4:34 “พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “อาหารของเราคือการทำตามพระประสงค์ของผู้ที่ทรงใช้เรามาและทำให้งานของพระองค์​สำเร็จ” 

(Jesus said to them, “My food is to do the will of him who sent me and to accomplish his work.)

4:35 “พวกท่านบอกว่าอีกสี่เดือนจะถึงฤดูเกี่ยวข้าวแล้วไม่ใช่หรือ? ส่วนเราบอกพวกท่านว่า เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ทุ่งนาเหลืองอร่ามและถึงเวลาเกี่ยวแล้ว” 

(Do you not say, ‘There are yet four months, then comes the harvest’? Look, I tell you, lift up your eyes, and see that the fields are white for harvest.)

4:36 “คนเกี่ยวกำลังได้รับค่าจ้างและกำลังรวบรวมพืชผลไว้สำหรับชีวิตนิรันดร์ เพื่อทั้งคนหว่านและคนเกี่ยวจะได้ ชื่นชมยินดีด้วยกัน” 

(Already the one who reaps is receiving wages and gathering fruit for eternal life, so that sower and reaper may rejoice together.)

4:37 “คำที่เขาพูดกันก็เป็นความจริงในเรื่องนี้ คือ ‘คนหนึ่งหว่านและอีกคนหนึ่งเกี่ยว’” 

(For here the saying holds true, ‘One sows and another reaps.’)

4:38 “เราใช้พวกท่านไปเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้ตรากตรำ แต่คนอื่นตรากตรำและพวกท่านเข้าร่วมในการตรากตรำของเขา

(I sent you to reap that for which you did not labor. Others have labored, and you have entered into their labor.)

4:39 “ชาวสะมาเรียจำนวนมากที่มาจากเมืองนั้นก็วางใจในพระองค์ เพราะคำพยานของหญิงคนนั้นที่ว่า “ท่านเล่าถึงสิ่ง​สารพัดที่ฉันเคยทำ

(Many Samaritans from that town believed in him because of the woman’s testimony, “He told me all that I ever did.)

4:40 “ดังนั้นเมื่อชาวสะมาเรียมาถึง พวกเขาจึงทูลเชิญพระองค์ให้ประทับกับเขา และพระองค์ก็ประทับอยู่ที่นั่นสองวัน” 

(So when the Samaritans came to him, they asked him to stay with them, and he stayed there two days.)

4:41 “และจำนวนคนที่วางใจในพระองค์ก็เพิ่มขึ้นเพราะพระดำรัสของพระองค์”

(And many more believed because of his word.)

4:42 “พวกเขาพูดกับหญิงคนนั้นว่า “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ที่เราเชื่อนั้นไม่ใช่เพราะคำพูดของเจ้า แต่เพราะเราได้ยินเองและเรา​รู้ว่าท่านผู้นี้เป็นพระผู้ช่วยโลกให้รอดที่แท้จริง

(They said to the woman, “It is no longer because of what you said that we believe, for we have heard for ourselves, and we know that this is indeed the Savior of the world.)

4:43 “เมื่อผ่านไปสองวัน พระเยซูก็เสด็จออกจากที่นั่นไปที่แคว้นกาลิลี” 

(After the two days he departed for Galilee.)

4:44 “(พระองค์ทรงเป็นพยานว่า ผู้เผยพระวจนะจะไม่ได้รับเกียรติในบ้านเกิดของตน)” 

(For Jesus himself had testified that a prophet has no honor in his own hometown.) 

4:45 “ดังนั้นเมื่อพระองค์เสด็จไปถึงแคว้นกาลิลี ชาวกาลิลีก็ต้อนรับพระองค์ เพราะพวกเขาเห็นทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำใน​เทศกาลที่กรุงเยรูซาเล็ม เพราะพวกเขาก็ไปในเทศกาลนั้นด้วย”

(So when he came to Galilee, the Galileans welcomed him, having seen all that he had done in Jerusalem  at the feast. For they too had gone to the feast.)

4:46 “ดังนั้นพระองค์จึงเสด็จไปที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลีอีก ซึ่งเป็นที่ที่พระองค์ทรงทำให้น้ำกลายเป็นเหล้าองุ่น และที่​เมืองคาเปอรนาอุมมีข้าราชการคนหนึ่งที่มีบุตรป่วยหนัก” 

(So he came again to Cana in Galilee, where he had made the water wine. And at Capernaum there  was an official whose son was ill.)

4:47 “เมื่อท่านทราบข่าวว่าพระเยซูเสด็จออกจากแคว้นยูเดียไปแคว้นกาลิลีแล้ว ท่านจึงไปอ้อนวอนพระองค์ขอให้เสด็จไป​รักษาบุตรของตนเพราะว่าเขาใกล้จะตายแล้ว”

   (When this man heard that Jesus had come from Judea to Galilee, he went to him and asked him to come down and heal his son, for he was at the point of death.)

4:48 “พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ถ้าพวกท่านไม่เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ท่านก็จะไม่เชื่อ” 

(So Jesus said to him, “Unless you see signs and wonders you will not believe.)

4:49 “ข้าราชการคนนั้นทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอเสด็จไปก่อนที่ลูกน้อยของข้าพเจ้าจะตาย” 

(The official said to him, “Sir, come down before my child dies.)

4:50 “พระเยซูตรัสกับเขาว่า “กลับไปเถิด ลูกของท่านจะไม่ตาย” ชายคนนั้นเชื่อพระดำรัสที่พระเยซูตรัสกับเขาจึงกลับไป”

(Jesus said to him, “Go; your son will live.” The man believed the word that Jesus spoke to him and went on his way.)

4:51 “ขณะที่กลับไปนั้น พวกทาสของเขามาพบและเรียนว่า “ลูกของท่านหายแล้ว” 

(As he was going down, his servants met him and told him that his son was recovering.)

4:52 “เขาจึงถามถึงเวลาที่บุตรมีอาการดีขึ้นนั้น และพวกทาสก็เรียนว่า “ไข้หายเมื่อวานนี้เวลาบ่ายโมง” 

(So he asked them the hour when he began to get better, and they said to him, “Yesterday at the seventh hour the fever left him.)

4:53 “บิดาจึงรู้ว่าเป็นเวลาที่พระเยซูตรัสกับตนว่า “ลูกของท่านจะไม่ตาย” เขาเองก็เชื่อพร้อมทั้งครอบครัวด้วย”

(The father knew that was the hour when Jesus had said to him, “Your son will live.” And he himself believed, and all his household.)

4:54 “นี่เป็นหมายสำคัญครั้งที่สองที่พระเยซูทรงทำเมื่อพระองค์เสด็จออกจากแคว้นยูเดียไปแคว้นกาลิลี”

(This was now the second sign that Jesus did when he had come from Judea to Galilee.)

บทเรียน

4:1       “ให้บัพติศมามากกว่ายอห์น” (baptizing more disciples than John) –ยน.3:22,26

4:2       “พระเยซูไม่ได้ทรงให้บัพติศมาเอง” (Jesus himself did not baptize) –แต่ทรงให้ความเห็นชอบ – 3:22

4:3       “เสด็จออกจากแคว้นยูเดียกลับไปที่แคว้นกาลิลีอีก”(he left Judea and departed again for Galilee)  = พระเยซูประสบความสำเร็จในยูเดีย เร้าให้เกิดการต่อต้าน  (7:1-8:59) ; ยน.3:22

4:4       “จำเป็นต้องเสด็จผ่านแคว้นสะมาเรีย” (he had to pass through Samaria) –ปกติชาวยิวเลี่ยงแคว้นสะมาเรีย โดยข้ามแม่น้ำจอร์แดน แล้วเดินทางอ้อมไปตามฝั่งตะวันออก (มธ.10:5;ลก.9:52)

4:5      “สิคาร์” (Sychar            ) = หมู่บ้านเล็ก ๆ ใกล้เมืองเชเคม ยาโคบซื้อที่ดินไว้ในเขตเมืองเชเคม (ปฐก.33:18-19; ยชว.24:32) และได้มอบที่ดินผืนนี้ให้โยเซฟ (ปฐก.48:21-22)

4:6       “เวลานั้นประมาณเที่ยง” (It was about the sixth hour) –ในภาษากรีก แปลว่า “ประมาณชั่วโมงที่ 6”

4:7       “มาตักน้ำ” (came to draw water)  -ปกติคนมาตักน้ำตอนเย็นมากกว่าตอนเที่ยง เนื่องจากความร้อน (ปฐก.24:11) แต่หญิงสาวที่โมเสสช่วยเหลือก็มาตักน้ำในตอนเที่ยงวัน (อพย.2:15-17)

“ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง” (Give me a drink)  -ปฐก.24:17;1พกษ.17:10

4:8      “ซื้ออาหารในเมือง” (the city to buy food) –ยน.4:5,39

4:9       “ดิฉันเป็นหญิงชาวสะมาเรีย” (The Samaritan woman said to him) –มธ.10:5

“พวกยิวไม่คบหาพวกสะมาเรีย” (Jews have no dealings with Samaritans) –คนยิวจะเป็นมลทินตามระเบียบประเพณี ถ้าใช้ภาชนะใส่น้ำดื่มที่ชาวสะมาเรียถือ เพราะคนยิวถือว่า ชาวสะมาเรียทุกคนเป็นมลทิน

4:10     “ของที่พระเจ้าประทาน”(the gift of God)= พระคุณของพระเจ้าที่ผ่านทางพระเยซูคริสต์ คือประทานชีวิต(นิรันดร์)ให้

“น้ำดำรงชีวิต” (living water) = น้ำซึ่งให้ชีวิต เป็นสายน้ำสดใหม่ ดุจน้ำพุและน้ำลำธารในหุบเขาที่ให้ความสดชื่น และฟื้นฟูชีวิต ในตอนนี้ หมายถึง ชีวิตนิรันดร์ (ข.14)  แต่ในพระธรรมยอห์น 7:38-39 คำ ๆ นี้ หมายความถึง พระวิญญาณบริสุทธิ์

4:11     “บ่อนี้ก็ลึก” (the well is deep) –ในศตวรรษที่ 4 มีการอ้างถึงบ่อน้ำแห่งหนึ่งในบริเวณนี้ ที่ลึกประมาณ 30 เมตร  แต่เมื่อขุดลอกในปี ค.ศ. 1935 พบว่า ลึกถึง 42 เมตร

4:12     “ยาโคบบรรพบุรุษของเรา” (our father Jacob) = ผู้มอบบ่อนี้ให้พวกบรรพบุรุษของเธอ –ยน .4:6

4:14     “จะไม่มีวันกระหายอีกเลย” ( will never be thirsty again) –ยน.6:35

            “กลายเป็นบ่อน้ำพุในตัว” (will become in him a spring of water) –อสย.12:3;58:11;ยน.7:38

            = เป็นสำนวนที่หมายถึง “กระโดดขึ้นมา”   = พระเยซูกำลังกล่าวถึงชีวิตที่มีพลัง และครบบริบูรณ์ (10:10)

            “พลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์” (welling up to eternal life) –มธ.25:46

4:15     “จะได้ไม่กระหายอีก” (I will not be thirsty  ) –ยน.6:34

4:18     “เธอมีสามีถึง 5 คนแล้ว” (you have had five husbands ) = คนยิวถือว่า ผู้หญิงอาจหย่าได้ 2 ครั้ง หรือมากที่สุดก็ 3 ครั้ง หญิงคนนี้นับว่า ผิดศีลธรรมมาก และเธอก็ไม่ได้แต่งงานกับผู้ชายที่อยู่ด้วยกันในปัจจุบัน

4:19     “ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ”(you are a prophet)–มธ.21:11 = มีวิจารณญาณอันเลิศล้ำของพระเยซูคริสต์

4:20     “ที่ภูเขานี้” ( this mountain) –เรื่องสถานที่นมัสการที่เหมาะสมเป็นประเด็นที่ชาวยิว และชาวสะมาเรียถกเถียงกันมานาน ชาวสะมาเรียถือว่า ภูเขา (เกริซิม) นี้ บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นพิเศษ เพราะอับราฮัม และยาโคบสร้างแท่นบูชาไว้ในบริเวณนี้ (ปฐก.12:6-7;33:18-20)  และประชาชนได้รับการอวยพรจากภูเขานี้ (ฉธบ.11:29;27:12)   และในพระคัมภีร์ของชาวสะมาเรีย ภูเขาเกริซิม(มากกว่าภูเขาเอบาล) เป็นภูเขาที่โมเสสได้รับบัญชาให้สร้างแท่นบูชา (ฉธบ 27:4-6)

-ชาวสะมาเรียสร้างวิหารขึ้นบนภูเขาเกริซิมประมาณ 400 ก.ค.ศ. และชาวยิวทำลายลงประมาณปี 128 ก.ค.ศ. ทั้ง 2 เรื่องนี้ทำให้ยิวกับสะมาเรียเป็นปฏิปักษ์กันมากขึ้น

4:21     “คงมีสักวันหนึ่ง” (the hour is coming) –บางฉบับแปลว่า “ใกล้ถึงเวลาแล้ว”  – ยน.5:28;16:2

4:22     “สิ่งที่พวกเธอนมัสการนั้นเธอไม่รู้จัก” (You worship what you do not know)  -พระคัมภีร์ของชาวสะมาเรียมีแต่พระธรรม 5 เล่ม ของโมเสส จึงรู้จักพระเจ้าเพียงน้อยนิด – 2พกษ.17:28-41

“เพราะความรอดมาจากพวกยิว” (for salvation is from the Jews) = พระเมสสิยาห์มาจากชนชาติของพระเจ้า

– รม.1:16;3:1-2;9:4-5;11:18;15:8-9

4:23     “บัดนี้ก็ถึงแล้ว” (But the hour is coming) –ยน.5:25;16:32  ;     “จิตวิญญาณ” ( in spirit ) –ฟป.3:3

4:24     “พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ …ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” (God is spirit, … must worship in  spirit and truth) = สถานที่ไม่สำคัญเท่ากับพระลักษณะของพระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระวิญญาณ และในพระกิตติคุณยอห์น ความจริงสัมพันธ์กับองค์พระเยซูคริสต์ (1:14;14:6)   นี่เป็นความจริงที่สำคัญมากต่อการเข้าใจเรื่องการนมัสการที่ถูกต้องของคริสเตียน

4:25     “พระเมสสิยาห์…จะทรงชี้แจงทุกสิ่งแก่เรา” ( Messiah is coming …will tell us all things.) = ความพยายามครั้งสุดท้ายที่หญิงสะมาเรียจะเบี่ยงเบนประเด็นว่า เราจะเข้าใจต้องรอพระเมสสิยาห์มา (1:25) พวกชาวสะมาเรีย รอคอยพระเมสสิยาห์ แต่พวกเขา ปฏิเสธพระคัมภีร์หลังหมวดเบญจบรรณทั้งหมด ทำให้พวกเขารู้เรื่องพระเจ้าน้อย

4:26     “เราผู้ที่พูดกับเธอเป็นผู้นั้น” (I who speak to you am he.) –นี่เป็นโอกาสที่พระเยซูคริสต์ตรัสอย่าง เจาะจงว่า พระองค์เป็นพระเมสสิยาห์ ก่อนที่จะถูกไต่สวน

4:27     “พวกสาวกของพระองค์กลับมา” ( his disciples came back) –ยน.4:8

            “ประหลาดใจ” (marveled) –เพราะปกติครูสอนศาสนายิวไม่สุงสิงพูดคุยกับผู้หญิงในที่สาธารณะ

4:29     “สิ่งสารพัดที่ฉันเคยทำ” (all that I ever did) = เป็นการเปรียบเกินจริง แต่แสดงความประทับใจที่หญิงสะมาเรียนมีต่อองค์พระเยซู

“ท่านผู้นี้จะเป็นพระคริสต์ได้ไหม?” (Can this be the Christ?) = คำถามของเธอที่ปรารถนาคำตอบว่า “ใช่”  

–ยน.4:1-18;7:26,31;มธ.12:23

4:31     “พระอาจารย์” (Rabbi) = “รับบี”   -มธ.23:7

4:32     “เรามีอาหารรับประทานที่พวกท่านไม่รู้” (I have food to eat that you do not know about.)

 –โยบ 23:12;มธ.4:4;ยน.6:27

4:34     “อาหารของเราคือ การทำตามพระประสงค์ของผู้ที่ทรงใช้เรามา” (My food is to do the will of him who sent  me ) –ผู้เขียนมักกล่าวว่า พระเยซูทรงพึ่งพระบิดา และทรงทำกิจตามที่พระเจ้าพระบิดาทรงใช้ให้พระองค์มาทำ (5:30;6:38;8:26;9:4,10:37-38;12:50;14:31;15:10:17:4)

4:35     “อีกสี่เดือนจะถึงฤดูเกี่ยวข้าว” ( There are yet four months, then comes the harvest) = สำนวนที่มีความหมายว่า “อย่าเร่งรีบเก็บเกี่ยว” เพราะเหตุผลว่า พืชผลต้องการเวลาที่จะสุกงอม แต่ทุ่งนาที่พระเยซูให้เก็บเกี่ยวนั้นสุกแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับ -มธ.9:36-38

4:36     “รับค่าจ้าง” (receiving wages) = อย่างน้อยมีงานส่วนหนึ่งที่ทำเสร็จแล้ว และคนอื่น ๆ ต่างก็กำลังทำงานหนัก สาวกของพระองค์ต้องไม่สรุปว่า ยังไม่ถึงเวลาเก็บเกี่ยว พระเยซูไม่ได้ตรัสเกี่ยวกับข้าว แต่หมายถึง พืชผลสำหรับชีวิตนิรันดร์ ที่ไม่อาจรอคอยผู้ใดได้จึงนับเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบทำ

“จะได้ชื่นชมยินดีด้วยกัน” (may rejoice together ) = คนงานของพระเจ้าต้องไม่มีการแก่งแย่งแข่งขันกัน แต่เป็นผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อของพระเจ้า ทำให้ผู้หว่านและผู้เกี่ยวจะร่วมยินดีในพืชผลด้วยกัน

4:37     “คนหนึ่งหว่าน และอีกคนหนึ่งเกี่ยว”( One sows and another reaps)-1คร.3:6-9;โยบ 31:8;มคา.6:15

4:38     “คนอื่น” (Others) = อาจหมายถึง ยอห์นผู้ให้บัพติศมาและผู้ที่สนับสนุนเขา หรืออาจหมายถึงงานที่อัครทูตจะสร้างขึ้น หรือพระเยซูอาจกำลังมองย้อนไปไกลถึงบรรดาผู้เผยพระวจนะ และคนของพระเจ้าในสมัยก่อน แต่ไม่ว่า จะเป็นอย่างไรพระเยซูก็คาดหวังให้อัครทูตเป็นทั้งผู้หว่านและผู้เกี่ยวด้วย

4:39     “เมืองนั้น” ( that town)  = สิคาร์ (ข.5)

4:42     “พวกผู้ช่วยโลกให้รอด” (the Savior of the world.) = สำนวนนี้ปรากฏในพันธสัญญาใหม่ เฉพาะที่นี่ และใน 1ยน.4:14 เท่านั้น ซึ่งเล็งถึงความจริงว่า

  1. พระเยซูไม่เพียงแค่สอนแค่ช่วยให้รอด แต่
  2. ความรอดของพระเยซูยังแผ่ครอบคลุมไปทั่วโลกด้วย (3:16)

4:43     “เมื่อผ่านไปสองวัน” (After the two days) –ยน.4:40
4:44     “ผู้เผยพระวจนะจะไม่ได้รับเกียรติในบ้านเกิดของตน” ( a prophet has no honor in his own hometown)

 –มธ.13:57;ลก.4:24;ปท.1:29

-แต่อย่างไรพระเยซูก็เสด็จไปกาลิลีเพื่อประกาศเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า

4:45     “ชาวกาลิลีก็ต้อนรับพระองค์” (the Galileans welcomed him) –การต้อนรับของชาวกาลิลีแท้จริงเป็นการปฏิเสธตัวพระองค์ในฐานะพระเมสสิยาห์ แต่พวกเขาสนใจเพียงอัศจรรย์ที่พระองค์กระทำเท่านั้น

“เห็นทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ” (seen all that he had done) –20:30

4:46     “ข้าราชการ” (an official) = ข้าราชการของเฮโรด

4:47     “ออกจากแคว้นยูเดีย ไปแคว้นกาลีลีแล้ว” (come from Judea to Galilee) –ยน.4:3,54

4:48     “ถ้าพวกท่านไม่เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ท่านก็จะไม่เชื่อ” (Unless you see signs and wonders you will not believe)  = ท่าทีทั่วไปของชาวกาลิลี ไม่ใช่ของข้าราชการผู้นี้ – ดนล.4:2-3;ยน.2:11;กจ.2:43;14:3;รม.15:19; 2คร.12:12;ฮบ.2:4

4:50     “ลูกของท่านจะไม่ตาย” (your son will live.) = ถ้อยคำแห่งสิทธิอำนาจของพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงรักษาเขาให้หายและรอดตาย ไม่ใช่แค่คำทำนาย (51,53)

4:52     “เวลาบ่ายโมง” (the seventh hour ) –ในภาษากรีก ใช้คำว่า “ชั่วโมงที่เจ็ด”

4:53     “เขาเองก็เชื่อพร้อมครอบครัว” (he himself believed and all his household) = สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของพระกิตติคุณเล่มนี้ (20:31)  –กจ.11:14

4:54     “นี่คือหมายสำคัญครั้งที่สอง”(This was now the second sign) = หมายสำคัญครั้งที่สองที่บันทึกรายละเอียดไว้ ที่พระเยซูทรงกระทำหลังจากที่ทรงเสด็จกลับจากยูเดีย มายังกาลิลี (2:11;4:48)

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยได้รับการทรงนำของพระเจ้าให้ “ต้องกระทำ” บางสิ่งบางอย่าง ซึ่งดูเหมือนจะขัดกับความเคยชินหรือความเชื่อของคุณหรือคนส่วนใหญ่บ้างหรือไม่? แล้วคุณตอบสนองอย่างไร? ผลเป็นอย่างไร?
  2. คุณเคยเป็นพยานส่วนตัวกับ “ผู้ใด” และนำเขาให้ตัดสินใจรับเชื่อพระคริสต์บ้างหรือไม่? อย่างไร? (แบ่งปัน)
  3. คุณเคยมีประสบการณ์เป็นส่วนตัวกับพระเยซูคริสต์ชนิดที่พลิกชีวิตของคุณบ้างหรือไม่? อย่างไร?
  4. คุณเคยจริงจังในการนมัสการ แต่ “นมัสการแบบผิดที่ผิดทาง” บ้างหรือไม่? อย่างไร? แล้วคุณรู้ตัวเมื่อไร? อย่างไร?
  5. คุณเข้าใจเรื่อง “การนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง” อย่างไร? และคุณกำลังนมัสการ พระเจ้าแบบนั้นอยู่หรือไม่?
  6. คุณเริ่มเชื่อพระเจ้าเพราะมีผู้ใดมาบอกให้คุณรู้จักเรื่องพระองค์บ้างหรือไม่? (แบ่งปัน)
  7. คุณเชื่อหรือไม่ว่า ทุ่งนา(ฝ่ายวิญญาณ) เหลืองอร่ามแล้ว? แล้วคุณทุ่มเทในการหว่านและเก็บเกี่ยวหรือไม่? อย่างไร?
  8. คุณเคยเป็นเหมือนชาวเมืองสะมาเรียหรือไม่ที่เคยเชื่อพระเยซูคริสต์เพราะบางคนเป็นพยานให้ฟัง แต่ต่อมาเชื่อพระองค์เพราะได้ยินมีประสบการณ์กับพระคริสต์ด้วยตัวเอง?
  9. คุณเคยมีประสบการณ์กับการอัศจรรย์ที่พระเจ้ากระทำต่อตัวของคุณหรือผู้อื่นแบบต่อหน้าต่อตาบ้างไหม? อย่างไร?

 

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระกิตติคุณยอห์น บทเรียนที่ 4

พระเยซูกับนิโคเดมัส

พระธรรม        ยอห์น 3:1-36

อ้างอิง          ยน.1:13;2:11;6:38;52;10:36-38;11:42;14:10-11;17:8,21;7:50;19:39;20:21

บทนำ         คนบางคนอยากเชื่อพระเยซู แต่ไม่กล้า คนบางคนประกาศว่า เชื่อพระเยซูแต่กลับทำตัวให้พระเยซูเสื่อมเกียรติ คุณเป็นคนที่กล้าประกาศตัวว่า เชื่อศรัทธาในพระเยซูและประพฤติตัวให้พระองค์ทรงได้รับเกียรติหรือไม่?

บทเรียน

3:1 “มีชายคนหนึ่งในพวกฟาริสีชื่อนิโคเดมัส เป็นขุนนางของพวกยิว”

   (Now there was a man of the Pharisees named Nicodemus, a ruler of the Jews.)

3:2 “คนนี้มาหาพระเยซูตอนกลางคืนทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ เราทราบว่าท่านเป็นครูที่มาจากพระเจ้า เพราะ​ไม่มีใครทำหมายสำคัญที่ท่านทำนั้นได้ นอกจากพระเจ้าสถิตกับเขา” 

   (This man came to Jesus by night and said to him, “Rabbi, we know that you are a teacher come from God, for no one can do these signs that you do unless God is with him.)

3:3 “พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าคนใดไม่ได้เกิดใหม่ คนนั้นไม่สามารถเห็นแผ่นดินของพระเจ้า

  (Jesus answered him,”Truly, truly,I say to you,unless one is born again he cannot see the kingdom of God.)

3:4 “นิโคเดมัสทูลพระองค์ว่า “คนชราจะเกิดใหม่ได้อย่างไร? จะเข้าไปในท้องของแม่ครั้งที่สองแล้วเกิดใหม่ได้หรือ?”

   (Nicodemus said to him, “How can a man be born when he is old? Can he enter a second time into his mother’s womb and be born?)

3:5 “พระเยซูตรัสว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าใครไม่ได้เกิดจากน้ำและพระวิญญาณ คนนั้นจะเข้าในแผ่นดินของ​พระเจ้าไม่ได้”

    (Jesus answered, “Truly, truly, I say to you, unless one is born of water and the Spirit, he cannot enter the  kingdom of God.)

3:6 “ที่เกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง และที่เกิดจากพระวิญญาณก็เป็นวิญญาณ”

   (That which is born of the flesh is flesh, and that which is born of the Spirit is spirit.)

3:7 “อย่าประหลาดใจที่เราบอกท่านว่าพวกท่านต้องเกิดใหม่”

  (Do not marvel that I said to you, ‘You must be born again.)

3:8 “ลมจะพัดไปที่ไหนก็พัดไปที่นั่น และท่านได้ยินเสียงลมนั้นแต่ไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน คนที่เกิดจาก​พระวิญญาณ ก็เป็นอย่างนั้นทุกคน

   (The wind blows where it wishes, and you hear its sound, but you do not know where it comes from or where it goes. So it is with everyone who is born of the Spirit.”)

3:9 “นิโคเดมัสทูลพระองค์ว่า “เหตุการณ์อย่างนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?” 

       (Nicodemus said to him, “How can these things be?)

3:10 “พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ท่านเป็นถึงอาจารย์ของคนอิสราเอล ท่านไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้เลยหรือ?”

  (Jesus answered him, “Are you the teacher of Israel and yet you do not understand these things?)

3:11 “เราบอกความจริงกับท่านว่า เราพูดสิ่งที่เรารู้ และเป็นพยานถึงสิ่งที่เราเห็น แต่พวกท่านไม่ยอมรับคำพยานของเรา”

   (Truly, truly, I say to you, we speak of what we know, and bear witness to what we have seen, but you do not receive our testimony.)

3:12 “ถ้าเราบอกพวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ทางฝ่ายโลกและพวกท่านไม่เชื่อ แล้วท่านจะเชื่อได้อย่างไรถ้าเราบอกท่านถึงสิ่งต่างๆทางฝ่ายสวรรค์”

   (If I have told you earthly things and you do not believe, how can you believe if I tell you heavenly things?)

3:13 “ไม่มีใครเคยขึ้นไปสวรรค์นอกจากผู้ที่ลงมาจากสวรรค์ คือบุตรมนุษย์”

    (No one has ascended into heaven except he who descended from heaven, the Son of Man.)

3:14 “โมเสสยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารอย่างไร บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้oอย่างนั้น” 

    (And as Moses lifted up the serpent in the wilderness, so must the Son of Man be lifted up,)

3:15 “เพื่อทุกคนที่วางใจพระองค์จะได้ชีวิตนิรันดร์

     (that whoever believes in him may have eternal life.)

3:16 “พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์”

   (“For God so loved the world, that he gave his only Son, that whoever believes in him should not perish but  have eternal life.)

3:17 “เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น”

   (For God did not send his Son into the world to condemn the world, but in order that the world might be  saved through him.)

3:18 “คนที่วางใจในพระบุตรจะไม่ถูกพิพากษา ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจในพระนาม​พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

   (Whoever believes in him is not condemned, but whoever does not believe is condemned already,  because he has not believed in the name of the only Son of God.)

3:19 “หลักการพิพากษามีอย่างนี้ คือความสว่างเข้ามาในโลกแล้ว แต่มนุษย์รักความมืดมากกว่าความสว่าง เพราะกิจการของพวกเขาเลวทราม”

   (And this is the judgment: the light has come into the world, and people loved the darkness rather than  the light because their works were evil.)

3:20 “เพราะทุกคนที่ประพฤติชั่วก็เกลียดความสว่าง และไม่มาหาความสว่าง เนื่องจากกลัวว่าการกระทำของตนจะปรากฎ”

   (For everyone who does wicked things hates the light and does not come to the light, lest his works  should be exposed.)

3:21 “แต่คนที่ประพฤติตามความจริงก็มาถึงความสว่าง เพื่อให้เห็นว่าการกระทำของเขานั้นทำโดยพึ่งพระเจ้า”

   (But whoever does what is true comes to the light, so that it may be clearly seen that his works have been carried out in God.)

3:22 “หลังจากนั้น พระเยซูเสด็จเข้าไปในแคว้นยูเดียกับพวกสาวกของพระองค์ และประทับที่นั่นกับพวกเขา และทรงให้บัพติศมา”

   (After this Jesus and his disciples went into the Judean countryside, and he remained there with them and was baptizing.)

3:23 “ยอห์นก็ให้บัพติศมาอยู่ที่อายโนนใกล้หมู่บ้านสาลิม เพราะที่นั่นมีน้ำมาก และคนทั้งหลายก็พากันมารับบัพติศมา”

   (John also was baptizing at Aenon near Salim, because water was plentiful there, and people were  coming and being baptized)

3:24 “เพราะยอห์นยังไม่ถูกขังในคุก”

   (for John had not yet been put in prison).

3:25 “แต่เกิดการโต้เถียงกันขึ้นระหว่างพวกศิษย์ของยอห์นและคนหนึ่งในพวกยิวเรื่องการชำระมลทิน”

    (Now a discussion arose between some of John’s disciples and a Jew over purification.)

3:26 “พวกเขาจึงไปหายอห์นบอกว่า “อาจารย์ คนที่อยู่กับอาจารย์ที่ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น คนที่อาจารย์เป็นพยานถึงนั้น นี่แน่ะ คนนี้กำลังให้บัพติศมาและทุกคนก็พากันไปหาเขา

   (And they came to John and said to him, “Rabbi, he who was with you across the Jordan, to whom you bore witness—look, he is baptizing, and all are going to him.) 

3:27 “ยอห์นตอบว่า “ไม่มีใครสามารถรับสิ่งใด นอกจากสิ่งที่พระเจ้าประทานจากสวรรค์ให้เขา”

   (John answered, “A person cannot receive even one thing unless it is given him from heaven.)

3:28 “พวกท่านเองก็เป็นพยานว่าข้าพเจ้าพูดว่าข้าพเจ้าไม่ได้เป็นพระคริสต์ แต่ข้าพเจ้าได้รับพระบัญชาให้นำเสด็จพระองค์” 

    (You yourselves bear me witness, that I said, ‘I am not the Christ, but I have been sent before him.’)

3:29 “ท่านที่มีเจ้าสาวนั่นแหละคือเจ้าบ่าว เพื่อนเจ้าบ่าวที่ยืนฟังเจ้าบ่าวก็ชื่นชมยินดีอย่างยิ่งเมื่อได้ยินเสียงของเจ้าบ่าว เพราะฉะนั้นความปีติยินดีของข้าพเจ้าจึงเต็มเปี่ยม”

  (The one who has the bride is the bridegroom. The friend of the bridegroom, who stands and hears him, rejoices greatly at the bridegroom’s voice. Therefore this joy of mine is now complete.)

3:30 “พระองค์ต้องยิ่งใหญ่ขึ้น แต่ข้าพเจ้าต้องด้อยลง

    (He must increase, but I must decrease.)

3:31 “พระองค์ผู้เสด็จมาจากเบื้องบนทรงเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง ผู้ที่มาจากโลกก็อยู่ฝ่ายโลกและพูดตามอย่างโลก พระองค์ผู้เสด็จมาจากสวรรค์ทรงเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง” 

   (He who comes from above is above all. He who is of the earth belongs to the earth and speaks in an earthly way. He who comes from heaven is above all.)

3:32 “พระองค์ทรงเป็นพยานถึงสิ่งที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นและทรงได้ยิน แต่ไม่มีใครรับคำพยานของพระองค์”

   (He bears witness to what he has seen and heard, yet no one receives his testimony.)

3:33 “คนที่รับคำพยานของพระองค์ก็รับรองว่าพระเจ้าทรงสัตย์จริง” 

   (Whoever receives his testimony sets his seal to this, that God is true.)

3:34 “เพราะพระองค์ผู้ที่พระเจ้าทรงใช้มานั้นทรงกล่าวพระดำรัสของพระเจ้า เพราะพระเจ้าไม่ได้ประทานพระวิญญาณอย่างจำกัด”

   (For he whom God has sent utters the words of God, for he gives the Spirit without measure.)

3:35 “พระบิดาทรงรักพระบุตรและทรงมอบทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์”

    (The Father loves the Son and has given all things into his hand.)

3:36 “คนที่วางใจในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์ คนที่ไม่เชื่อฟังพระบุตรก็จะไม่ได้เห็นชีวิต แต่พระพิโรธของพระเจ้าตกอยู่กับเขา”

   (Whoever believes in the Son has eternal life; whoever does not obey the Son shall not see life, but the wrath of God remains on him.)

บทเรียน

3:1       “ฟาริสี” (Pharisees)  -มธ.3:7;มก.2:16;ลก.5:17 ;  “นิโคเดมัส” (Nicodemus) –ยน.7:50;19:39

               “ขุนนางของพวกยิว” (a ruler of the Jews) = สมาชิกสภาการปกครองของยิว –ลก.23:13

 3:2       “มาหาพระเยซูตอนกลางคืน” (came to Jesus by night  ) -อาจไม่กล้ามาหาตอนกลางวัน หรืออาจต้องการสนทนากันนาน ๆ ที่ทำได้ยากในตอนกลางวัน เพราะมีฝูงชนมารายล้อมพระองค์อยู่ตลอดเวลา

             “รับบี” (            Rabbi) – มธ.23:7 ;  “เราทราบว่า” (we know) –ยน.3:11

            “นอกจากพระเจ้าสถิตกับเขา” ( unless God is with him.) –ยน.10:38;14:10,11;กจ.2:22

3:3       “เกิดใหม่” (is born again)  = บังเกิดใหม่

              คำกรีกมีความหมายว่า  บังเกิดจากเบื้องบน  -ยน.1:13;3:7;มธ.3:1

3:5       “เกิดจากน้ำและพระวิญญาณ” (is born of water and the Spirit  ) –มีความหมายได้หลายอย่าง

  1. มีความหมายเดียวกับ บังเกิดจากพระวิญญาณ –ข.8;ทต.3:5
  2. น้ำ หมายถึง การชำระ
  3. น้ำ หมายถึง บัพติศมาของยอห์น (1:31) หรือของพระเยซูกับสาวก (ข.22;4:2)
  4. น้ำ หมายถึง การเกิดฝ่ายกาย (ข.6)

3:6   “ที่เกิดจากพระวิญญาณก็เป็นวิญญาณ” (is born of the Spirit is spirit.    ) = บางฉบับแปลว่า “พระวิญญาณให้กำเนิดวิญญาณ”

 3:8       “ลมจะพัดไปทางไหนก็ไปทางนั้น” (The wind blows where it wishes) = พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกระทำกิจในชีวิตของมนุษย์เราตามชอบพระทัยของพระองค์

“คนที่เกิดจากพระวิญญาณก็เป็นเช่นนั้น” (So it is with everyone who is born of the Spirit.)

–1คร.2:14-16

3:9       “เหตุการณ์อย่างนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?” (How can these things be)  -ยน.6:52,60

3:10     “ท่านเป็นถึงอาจารย์” (  Are you the teacher ) –ลก.2:46

3:11     “เราพูดสิ่งที่เรารู้” (I say to you, we speak of what we know)  -ยน.1:18;7:13-17

               “คำพยานของเรา” (our testimony) –ยน.3:32

3:13     “ขึ้นไปสวรรค์” (into heaven) –สภษ.30:4;กจ.2:34;อฟ.4:8-10

               “ลงมาจากสวรรค์” (from heaven)  -ยน.3:31;6:38

               “บุตรมนุษย์” (the Son of Man) =ชื่อที่พระเยซูชอบใช้เรียกตัวเอง (ลก.19:16;มก.8:31)

3:14     “โมเสสยกงูขึ้น” ( Moses lifted up the serpent) –กดว.21:8-9;2พกษ.18:4

               “ในถิ่นทุรกันดาร” (in the wilderness) –กดว.21:8-9

                “บุตรมนุษย์ถูกยกขึ้น”  (the Son of Man be lifted up) –8:28;12:32

3:15     “ทุกคนที่วางใจ” (that whoever believes ) = ทุกคนที่เชื่อ

– ปฐก.15:6;กดว.14:11;มธ.27:42;มก.1:15;

ยน.1:7,12;2:23;3:16,36;5:24;7:28;20:29;กจ.13:39;16:31;รม.3:22;10:9-10;1ยน.5:1,5,10

“ได้ชีวิตนิรันดร์” (may have eternal life.)  -มธ.25:46;ยน.3:16,36;20:31

3:16     “พระเจ้าทรงรักโลก” (God so loved the world) = ความจริงยิ่งใหญ่ที่ก่อเกิดแผนการแห่งความรอดของพระเจ้า  (ปท.1ยน.4:9-10)

“โลก” (the world) หมายถึง     1. มนุษย์ทุกคนในโลก      2. ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงสร้าง (1:9)

“คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์” (that he gave his only Son)  -ปท. อสย.9:6

=พระเมสิยาห์(เชื้อสายดาวิด)ผู้เป็นบุตรของพระเจ้าด้วย(2ซมอ.7:14;ยน.1:14,18;ปท ปฐก.22:2,16;รม.8:32)

3:17     “เข้ามาในโลก” (into the world) –ยน.6:29.57;10:36;11:42;17:8,21;20:21

             “โดยพระบุตรนั้น” (his Son) –อสย.53:11;มธ.1:21;ลก.2:11;19:10;ยน.1:29;12:47;รม.11:14:1ทธ.1:15; 2:5-6;1ยน.2:2;3:5

3:18     “คนที่วางใจ” (Whoever believes) =ไม่ใช่เรื่องแบบชั่ววูบ แต่เป็นการวางใจแบบต่อเนื่อง มั่นคง –ยน 5:24
               “ไม่ถูกพิพากษา” (not condemned)

                “พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า” (the only Son of God) –ยน.1:18;1ยน.4:9

3:19     “ความสว่าง” (the light) –ยน.1:4

             “กิจการของพวกเขาเลวทราม” (their works were evil) = การกระทำของพวกเขาชั่วร้าย –สดด.52:3;ยน.7:7

3:20     “กลัวว่า การกระทำของตนจะปรากฏ” (lest his works should be exposed) = กลัวว่าการกระทำของตนจะถูกเปิดโปง  –อฟ.5:11-13

3:22     “ทรงให้บัพติศมา” (was baptizing ) –ตาม 4:2 บอกว่า พวกสาวกเท่านั้นที่ให้บัพติศมา –ยน.4:2

3:23     “อายโนน” (Aenon) -น่าจะห่างจากเมืองสิโธโปลิส (เบธซาน) ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดนไปทางใต้ราว 13 กิโลเมตร

3:24     “ยอห์นยังไม่ถูกขังในคุก” (John had not yet been put in prison) –ลก.3:20;มธ.4:12;14:3

3:25     “เกิดการโต้เถียงขึ้น” (discussion arose) = เรื่องการชำระตามพิธีว่า วิธีการใดจึงจะถูกต้องตามระเบียบพิธี -ยน.2:6

3:26    “เป็นพยานถึงนั้น” (to whom you bore witness) –1:7 , พวกสาวกของยอห์น รู้ว่า ยอห์นกำลังเป็นพยานถึงพระเยซู แต่พวกเขาศรัทธาในอาจารย์ของตัวเองและอิจฉาที่พระเยซูประสบความสำเร็จ

3:27     “ไม่มีใครสามารถรับสิ่งใด นอกจากสิ่งที่พระเจ้าประทานจากสวรรค์ให้เขา” (A person cannot receive even one thing unless it is given him from heaven) = มนุษย์ได้รับก็แต่เพียงสิ่งที่พระเจ้าประทานจากสวรรค์ให้แก่เขา   เพราะฉะนั้น จึงไม่มีพื้นที่สำหรับความอิจฉาริษยากัน

คำว่า “ประทานให้” = คำภาษากรีกที่ใช้กันหมด 76 ครั้ง ในพระคัมภีร์ยอห์น โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พระเจ้าประทานแก่พระบุตร

3:28     “ได้รับพระบัญชาให้นำเสด็จพระองค์” (I have been sent before him) –ยน.1:20-23

3:29     “เจ้าบ่าว” (the bridegroom) = คนที่สำคัญที่สุดของงานแต่งงาน  ในที่นี้หมายถึงองค์พระเยซูคริสต์

“เพื่อนเจ้าบ่าว” (The friend of the bridegroom ) = อยู่เพื่อช่วยเหลือเท่านั้น หมายถึง บทบาทของยอห์นผู้ให้บัพติศมา

“ชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง” (rejoices greatly) = เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี เพราะเจ้าบ่าวคือพระเยซูคริสต์อยู่กับท่านที่นั่น  และท่านได้ยินเรื่องความสำเร็จของพระคริสต์

3:30     “พระองค์ต้องยิ่งใหญ่ขึ้น แต่ข้าพเจ้าต้องด้อยลง” (He must increase, but I must decrease.)

= ยอห์น ผู้ให้บัพติศมา ยืนยันอีกครั้งว่า พระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่าท่าน

3:31     “ผู้เสด็จมาจากเบื้องบน” (He who comes from above    ) = พระเยซูมาจากสวรรค์ (ข.13;1คร.15:47) จึงสำคัญยิ่งกว่ายอห์น และทุกคนที่มาจากโลก

              “พูดตามอย่างโลก” (speaks in an earthly ) ยก.8:23;1ยน.4:5

3:32     “ทอดพระเนตรเห็นและทรงได้ยิน” (he has seen and heard )= พระเยซูสอนจากสิ่งที่พระองค์มีประสบการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า –ยน.8:26;15:15

“แต่ไม่มีใครรับ” (no one receives) = ไม่ได้หมายความตามตัวอักษรว่า ไม่มีใครสักคนเดียวยอมรับสิ่งที่เขาพูด (ข.33) แต่หมายความว่า คนทั่วไปปฏิเสธคำสอนของเขา

3:33     “รับรอง” ( receives) = ผู้ใดยอมรับคำพยานของพระเยซู ก็เท่ากับว่า เขายอมรับว่า พระองค์มาจากสวรรค์และกำลังทรงกระทำพันธกิจเพื่อช่วยมนุษย์โลกให้รอด พวกเขาจึงรับรองว่า พระเยซูทรงสัตย์จริง

3:34     “ผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา” (whom God has sent) = พระเยซู – ยน.3:17

            “พระวิญญาณ” ( the Spirit) –อสย.42:1;มธ.12:18;ลก.4:18;กจ.10:38

             “ไม่ได้ประทาน…อย่างจำกัด” (without measure) = มีการตีความหมาย ดังนี้

  1. พระเจ้าประทานพระวิญญาณอย่างไม่จำกัดให้กับพระเยซูเท่านั้น
  2. พระเยซูประทานพระวิญญาณอย่างไม่จำกัดแก่ผู้เชื่อ

3:35     “ในพระหัตถ์ของพระบุตร” (his hand) –มธ.28:18

3:36     “คนที่วางใจในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์” (Whoever believes in the Son has eternal life ) 

= ผู้เชื่อวางใจในพระเยซู ไม่ต้องรอรับชีวิตนิรันดร์ในอนาคต แต่ได้รับทันทีเลย  – ยน.3:15;5:24;6:47

“พระพิโรธ”(the wrath)– รม.1:18

“ตกอยู่กับเขา” (remains on him) = บางฉบับแปลว่า “ยังอยู่กับเขา”

= คนที่ยืนกรานปฏิเสธพระเยซูว่าไม่ใช่พระบุตรของพระเจ้าที่มาช่วยไถ่เขาให้รอด ก็อย่าหวังว่าพระโรธอันแน่นอนที่มาจากพระเจ้าเพราะบาปของเขาเองจะจางหายไป

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยทำตัวเหมือนนิโคเดมัสที่อยากจะเชื่อพระเยซู แต่ไม่กล้ายอมรับอย่างเปิดเผยหรือไม่? แล้วคุณทำอย่างไรต่อไปจนรับเชื่อ?
  2. คุณเข้าใจว่า การเกิดใหม่หมายความว่าอะไร? คุณเชื่อหรือไม่ว่าคุณบังเกิดใหม่แล้วเวลานี้? และทำไมคุณจึงเชื่อเช่นนั้น?
  3. คุณมั่นใจหรือไม่ว่า คุณมีชีวิตนิรันดร์แล้ว? ทำไม?
  4. คุณมีอะไรที่กังวลหรือกลัวที่ต้องเผชิญในวันพิพากษามนุษย์ทุกคนในโลกนี้? ทำไม?
  5. มีอะไรที่คุณมั่นใจว่า คุณได้รับมาจากพระเจ้าแห่งสวรรค์ และคุณอยากจะขอบคุณพระองค์ในเรื่องนั้น? (แบ่งปัน)
  6. คุณมีความยินดีอะไรบ้างในฐานะที่เป็นผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ (แบ่งปัน)
  7. คุณเป็นพยานอะไรได้บ้างจากประสบการณ์ชีวิตของคุณเพื่อยืนยัน/รับรองว่า พระเจ้าทรงสัตย์จริง? (แบ่งปัน)
  8. ในเมื่อคุณทราบว่า พระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณให้แก่เรา โดยไม่จำกัด และพระองค์ประทานทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระเยซู และพระเยซูสัญญาว่าจะอยู่กับเราตลอดไป คุณตั้งใจทำอะไรบ้าง 3 สิ่ง นับจากวันนี้เป็นต้นไป

1)…………………………………      2)…………………………………  3)………………………………..

 

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระกิตติคุณยอห์น บทเรียนที่ 3

การอัศจรรย์ครั้งแรก!

พระธรรม        ยอห์น 2:1-24

อ้างอิง     ยน.3:15,25;4:46-48;6:2,14,26-30;11:55;12:37;19:26;20:30;21:2

บทนำ

เมื่อถึงเวลาที่การอัศจรรย์จะเกิดขึ้น พระเจ้าก็จะทรงให้เกิดขึ้นอย่างมีความหมาย และมีจุดประสงค์ แต่พระเจ้าทรงมีเวลาสำหรับทุกสิ่ง และทุกโอกาส ขอให้เราพร้อมสำหรับโอกาสต่าง ๆ ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้สำหรับชีวิตของเรา

บทเรียน

2:1 “วันที่สามมีงานสมรสที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี มารดาของพระเยซูก็อยู่ที่นั่น”

  (On the third day there was a wedding at Cana in Galilee, and the mother of Jesus was there.)

2:2 “พระเยซูและสาวกของพระองค์ได้รับเชิญไปในงานนั้น” 

  (Jesus also was invited to the wedding with his disciples.) 

2:3 “เมื่อเหล้าองุ่นหมดแล้ว มารดาของพระเยซูพูดกับพระองค์ว่า “เขาไม่มีเหล้าองุ่น” 

  (When the wine ran out, the mother of Jesus said to him, “They have no wine.” )

2:4 “พระเยซูตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย ไม่ใช่ธุระของท่าน เวลาของเรายังมาไม่ถึง” 

   (And Jesus said to her, “Woman, what does this have to do with me? My hour has not yet come.”) 

2:5 “มารดาของพระองค์จึงบอกพวกคนใช้ว่า “จงทำตามที่ท่านสั่งเจ้าเถิด” 

   (His mother said to the servants, “Do whatever he tells you.”)

2:6 “มีโอ่งหินตั้งอยู่ที่นั่นหกใบ เพื่อชำระตามธรรมเนียมของพวกยิว จุน้ำโอ่งละประมาณหนึ่งร้อยลิตร”

   (Now there were six stone water jars there for the Jewish rites of purification, each holding twenty or thirty gallons.)

2:7 “พระเยซูตรัสสั่งพวกคนใช้ว่า “จงตักน้ำใส่โอ่งให้เต็มเถิด” แล้วพวกเขาก็ตักน้ำเต็มโอ่งเสมอปาก”

   (Jesus said to the servants, “Fill the jars with water.”And they filled them up to the brim.)

2:8 “แล้วพระองค์ตรัสสั่งพวกเขาว่า “จงตักเอาไปให้เจ้าภาพเถิด” เขาก็เอาไปให้” 

   (And he said to them, “Now draw some out and take it to the master of the feast.” So they took it.)

2:9 “เมื่อเจ้าภาพชิมน้ำที่กลายเป็นเหล้าองุ่นแล้ว และไม่รู้ว่ามาจากไหน(แต่คนใช้ที่ตักน้ำนั้นรู้)เจ้าภาพจึงเรียกเจ้าบ่าวมา” 

   (When the master of the feast tasted the water now become wine, and did not know where it came from (though the servants who had drawn the water knew), the master of the feast called the bridegroom)

2:10 “และพูดกับเขาว่า “ใครๆ เขาก็เอาเหล้าองุ่นอย่างดีมาให้ก่อน เมื่อดื่มกันมากแล้วจึงเอาที่ไม่ค่อยดีมา แต่ท่าน​เก็บเหล้าองุ่นอย่างดีไว้จนถึงเดี๋ยวนี้” 

   (and said to him, “Everyone serves the good wine first, and when people have drunk freely, then the poor wine. But you have kept the good wine until now.”)

2:11 “หมายสำคัญครั้งแรกนี้พระเยซูทรงทำที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี และทรงแสดงพระสิริของพระองค์ พวกสาวกของ​พระองค์ก็วางใจพระองค์”

    (This, the first of his signs, Jesus did at Cana in Galilee, and manifested his glory. And his  disciples believed in him.)

2:12 “ภายหลังเหตุการณ์นี้ พระองค์เสด็จต่อไปยังเมืองคาเปอรนาอุม พร้อมกับมารดาและบรรดาน้องชายและพวกสาวก​ของพระองค์ และพักอยู่ที่นั่นเพียงไม่กี่วัน”

    (After this he went down to Capernaum, with his mother and his brothers and his disciples, and they stayed there for a few days.)

2:13 “เทศกาลปัสกาของพวกยิวใกล้เข้ามาแล้ว พระเยซูเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม”

    (The Passover of the Jews was at hand, and Jesus went up to Jerusalem.)

2:14 “พระองค์ทอดพระเนตรเห็นคนขายวัว ขายแกะ ขายนกพิราบ และคนรับแลกเงินนั่งอยู่ตามบริเวณพระวิหาร” 

   (In the temple he found those who were selling oxen and sheep and pigeons, and the money- changers sitting there.)

2:15 “พระองค์ทรงเอาเชือกทำเป็นแส้ไล่คนเหล่านั้นพร้อมกับแกะและวัวออกไปจากบริเวณพระวิหาร และพระองค์ทรงเท​เงินและทรงคว่ำโต๊ะของบรรดาคนรับแลกเงิน” 

   (And making a whip of cords, he drove them all out of the temple, with the sheep and oxen. And he poured out the coins of the money-changers and overturned their tables.)

2:16 “และพระองค์ตรัสกับพวกคนขายนกพิราบว่า “เอาของพวกนี้ออกไป อย่าทำให้พระนิเวศของพระบิดาเรากลายเป็น​ตลาด

   (And he told those who sold the pigeons,”Take these things away; do not make my Father’s house a house of trade.” )

2:17 “พวกสาวกของพระองค์ก็ระลึกขึ้นได้ถึงคำที่เขียนไว้ว่า “ความร้อนใจในเรื่องพระนิเวศของพระองค์จะท่วมท้นข้า‍พระองค์” 

   (His disciples remembered that it was written, “Zeal for your house will consume me.”)

2:18 “พวกยิวจึงทูลพระองค์ว่า “ท่านจะแสดงหมายสำคัญอะไรให้เราเห็นว่า ท่านมีสิทธิ์ทำการเช่นนี้ได้?”

   (So the Jews said to him, “What sign do you show us for doing these things?”)

2:19 “พระเยซูจึงตรัสตอบพวกเขาว่า “ถ้าทำลายวิหารนี้ เราจะสร้างขึ้นภายในสามวัน” 

    (Jesus answered them, “Destroy this temple, and in three days I will raise it up.)

2:20 “พวกยิวจึงทูลว่า “วิหารนี้เขาได้ใช้เวลาก่อสร้างถึงสี่สิบหกปีแล้ว และท่านจะสร้างขึ้นใหม่ภายในสามวันหรือ” 

   (The Jews then said, “It has taken forty-six years to build this temple, and will you raise it up in three days?” )

2:21 “แต่วิหารที่พระองค์ตรัสถึงนั้นคือพระกายของพระองค์”

   (But he was speaking about the temple of his body.)

2:22 “เพราะฉะนั้นเมื่อพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นมาแล้ว พวกสาวกของพระองค์ก็ระลึกได้ว่าพระองค์ตรัสอย่างนี้ และพวกเขาก็เชื่อพระคัมภีร์และพระดำรัสที่พระเยซูตรัสนั้น”

   (When therefore he was raised from the dead, his disciples remembered that he had said this, and they believed the Scripture and the word that Jesus had spoken.)

2:23 “ขณะพระองค์ประทับที่กรุงเยรูซาเล็มในเทศกาลปัสกานั้น มีคนจำนวนมากวางใจในพระนามของพระองค์ เพราะพวกเขาเห็นหมายสำคัญที่พระองค์ทรงทำ ” 

   (Now when he was in Jerusalem at the Passover Feast, many believed in his name when they saw the signs that he was doing.)

2:24 “แต่ส่วนพระเยซูเองไม่ได้วางพระทัยคนเหล่านั้น”

    (But Jesus on his part did not entrust himself to them, because he knew all people )

2:25 “เพราะพระองค์ทรงรู้จักมนุษย์ทุกคน และพระองค์ไม่จำเป็นที่จะต้องมีใครมาเป็นพยานเรื่องมนุษย์ เพราะพระองค์เองทรงทราบว่าอะไรอยู่ในตัวมนุษย์”

   (and needed no one to bear witness about man, for he himself knew what was in man.)

ข้อมูลมีประโยชน์
           

2:1       “วันที่สาม” (On the third day) –ปฐก.22:4

“งานสมรส” (a wedding)  = สำคัญมาก และจัดงานต่อเนื่องไปหนึ่งสัปดาห์ ถ้าเจ้าภาพบกพร่องในการรับรองแขกจะถือว่าเป็นความผิดพลาดอย่างมาก

“หมู่บ้านคานา” (at Cana) –2:11;4:46;21:1    = ตั้งอยู่ทางตะวันตกของทะเลสาบกาลิลี

2:3       “เมื่อเหล้าองุ่นหมดแล้ว” (When the wine ran out) = เรื่องใหญ่ เพราะครอบครัวมีหน้าที่จัดเตรียมงานเลี้ยงตามมาตรฐานสังคม

2:4       “หญิงเอ๋ย” (Woman) –ยน.19:26

            “เวลาของเรายังมาไม่ถึง” (My hour has not yet  come) = ยังไม่ถึงเวลาของเรา (7:6,8;30:8:20) 

                        = พระเยซูแสดงความแน่วแน่ที่จะทำตามแผนการที่พระองค์เสด็จมา – มธ.26:18

                        (เวลาสุดท้ายตามกำหนดของพระองค์คือ การถูกตรึงสิ้นพระชนม์และเป็นขึ้นมาจากความตาย

– 12:23,27;13:1;16:32;17:1

2:6       “เพื่อชำระตามธรรมเนียมของพวกยิว” (for the Jewish rites of purification) = พิธีชำระตามระเบียบพิธีของพวกยิว ในวิถีชีวิตประจำวัน คนยิวมักทำผิดแบบแผนจึงเป็นมลทิน การชำระมลทินทำได้โดยการเทน้ำเพื่อล้างมือในงานเลี้ยงที่มีหลายวัน และมีแขกมากยิ่งจำเป็นต้องมีน้ำปริมาณมากเพื่อการนี้

“จุน้ำโอ่งประมาณหนึ่งร้อยลิตร” (each holding twenty or thirty gallons.) = ปริมาณหรือปริมาตรที่โอ่งจุดได้ (แต่อาจไม่ใช่ปริมาณของน้ำที่มีอยู่จริง)

2:8-9    “เจ้าภาพ” (the master) = หนึ่งในแขกที่ได้รับมองหมายให้รับใช้ในฐานะเจ้าภาพในพิธี

2:10     “เมื่อดื่มกันมากแล้ว ….เก็บเหล้าองุ่นอย่างดีไว้จนถึงเดี๋ยวนี้” (when people have drunk freely, …. kept the good wine until now) –โดยทั่วไปจะนำเหล้าองุ่นราคาถูกจะถูกนำมาในภายหลัง  เนื่องจากปุ่มรับรสบนลิ้นของแขกไม่รับรู้รสชาติแล้ว

2:11     “หมายสำคัญครั้งแรกนี้” (the first of his signs) = ผู้เขียนมักกล่าวถึงการอัศจรรย์ที่พระเยซูกระทำ นับเป็น “หมายสำคัญ” ที่มีความสำคัญ (ไม่ใช่แค่เน้นความน่าอัศจรรย์) ที่ชี้ไปที่ความเป็นพระเจ้าและความรอดสมบูรณ์ที่พระเยซูนำมา

          ตัวอย่าง ใน 4:54;6:14;9:16;11:47

         หมายสำคัญครั้งแรกในการจัดเตรียมเหล้าองุ่นอย่างดีมากมาย  เพื่อบ่าวสาวเฉลิมฉลองงานแต่งงานได้อย่างเต็มที่ จึงเป็นพยานถึงพันธกิจแห่งการช่วยให้รอดของพระเยซูหลุดพ้นจากความทุกข์ยากลำบากดุจที่เหล้าองุ่นแห่งความชื่นชมยินดีไหลล้นออกมา (อสย.35:1-2;ยอล.3:18;อมส.9:13;ปฐก.49:11)

2:12     “เสด็จต่อไปยัง” (went down to) = เสด็จลงไปยัง

            “เมืองคาเปอรนาอูม” (Capernaum) = ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเล อยู่ต่ำกว่าหมู่บ้านคานา – มธ.4:13;ลก.10:15

2:13    “เทศกาลปัสกา” (The Passover ) –อพย.12:11-23;มธ.26:17,18-30;มก.14:1,12;ลก.22:1

            -ปัสกาเป็นหนึ่งในเทศกาลประจำปีที่ผู้ชายชาวยิวทุกคนต้องร่วมฉลองที่กรุงเยรูซาเล็ม -5:1;ฉธบ.16:16

2:14-17    -เรื่องการชำระพระวิหาร ในพระธรรมมัทธิว มาระโก และลูกา นำไปบันทึกไว้ในตอนท้ายก่อนสิ้นสุดพระราชกิจของพระเยซู (มธ.21:12-17)

2:14     “คนขายวัว ขายแกะ ขายนกพิราบ…ตามบริเวณพระวิหาร” (selling oxen and sheep and pigeons) = ในวิหารจะใช้ วัว แกะ และนกพิราบเป็นเครื่องบูชา พวกยิวที่เดินทางมาไกลสามารถมาซื้อสัตว์ใช้เป็นเครื่องบูชาได้ในบริเวณใกล้ ๆ พระวิหารได้

-แต่ในตอนนี้ บอกว่า พวกพ่อค้ากำลังขายสัตว์เหล่านั้นในลานชั้นนอกของพระวิหาร ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับให้คนต่างชาติเข้ามาอธิษฐาน

“คนรับแลกเงิน” (the money- changers            ) = ผู้ที่เดินทางมาพระวิหาร ต้องนำเงินสกุลต่าง ๆ มาแลกเงินสกุลที่เจ้าหน้าที่วิหารกำหนด จึงต้องมีคนรับแลกเงิน (มก.11:15) แต่ไม่ควรทำในบริเวณพระวิหาร

2:16     “พระนิเวศของพระบิดาของเรา” (my Father’s house) –ลก.2:49

2:17     “พวกสาวกของพระองค์ก็ระลึกขึ้นได้” (His disciples remembered) = ระลึกถึงพระธรรม

สดุดี 69 ที่พระเยซูคริสต์จะต้องทนทุกข์เพราะน้ำมือของคนที่ทำให้พระองค์ร้อนใจในเรื่องพระนิเวศ

2:18     “พวกยิว” (the Jews) –ยน.1:19;2:20

“ท่านจะแสดงหมายสำคัญอะไรให้เห็นว่า ท่านมีสิทธิ์ทำการเช่นนี้ได้” (What sign do you show us for doing these things?”) –ยน.2:11;มธ.12:38

2:19     “ถ้าทำลายวิหารนี้ เราจะสร้างขึ้นภายในสามวัน” (Destroy this temple, and in three days I will raise it up) = พวกยิว คิดว่า พระเยซูหมายถึงพระวิหารตามตัวอักษร แต่ผู้เขียนบอกว่า ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น (ข.21) อย่าไรก็ตาม พวกยิวล้วนกล่าวหาพระเยซูว่า จะทำลายวิหาร(จริงๆ ) แล้วสร้างขึ้นใหม่ (มธ.16:21;26:61;27:40;มก.14:58;15:29;กจ.6:14)

-และคนที่เยาะเย้ยพระองค์ ก็เอาเรื่องนี้มากล่าวหาพระองค์อีก ในตอนที่พระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขน (มธ.27:40;มก.15:29)

-ความเข้าใจผิดที่อาจอยู่เบื้องหลังข้อกล่าวหาที่มีต่อสเทเฟนด้วย –กจ.6:13

2:20     “สี่สิบหกปี” (forty-six years) = ในขณะที่พูดอยู่นี้ พระวิหารยังสร้างไม่เสร็จจนถึงปี ค.ศ.64 แต่ความหมายในตอนนี้ก็คือ วิหารสร้างมาแล้วถึง 46 ปี (เพราะเริ่มสร้างใหม่ในปี 19 หรือ 20 ก.ค.ศ.)

-เหตุการณ์ในข้อนี้จึงเกิดขึ้นในช่วง ค.ศ. 27

2:21     “คือพระกายของพระองค์” (the temple of his body) = วิหารที่พระเยซูกล่าวถึงคือ พระกายของพระองค์ –1คร.6:19

2:22     “ระลึกได้ว่า พระองค์ตรัสอย่างนี้” (remembered that he had said this)  = ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสไว้ –ลก.24:5-8;ยน.12:16;14:26

“และพวกเขาก็เชื่อพระคัมภีร์” (they believed the Scripture) –ยน.20:9

-ไม่ได้บอกชัดเจนว่า หมายถึงพระคัมภีร์ข้อใดข้อหนึ่งจากพระคัมภีร์เดิม (สดด.16:10;7:5)  หรือหมายถึงพระคัมภีร์เดิมทั้งหมด (1คร.15:4)

2:23    “เทศกาลปัสกา” (the Passover) –ยน.2:13

“พระนามของพระองค์” (in his name) –สดด.5:11;อสค.20:9

              “เห็นหมายสำคัญ” (the signs) –ยน.2:11

2:25     “มาเป็นพยานเรื่องมนุษย์” (bear witness about man) –อสย.11:3

              “ทรงทราบว่าอะไรอยู่ในตัวมนุษย์” (for he himself knew what was in man) –ฉธบ.31:21; 1พกษ.8:39;มธ.9:4;ยน.6:61;64;13:11

 คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยมีประสบการณ์กับ “การอัศจรรย์” หรือ “หมายสำคัญ” อะไรจากพระเจ้าบ้างหรือไม่? (แบ่งปัน)
  2. คุณเคยมีความรู้สึกอึดอัดกับการทำอะไรไม่ได้ เพราะว่า ยังไม่ถึงเวลา(กำหนด) บ้างหรือไม่? ทำไม ? แล้วผลสุดท้ายเป็นอย่างไร?
  3. คุณเคยถูกสั่งให้ทำอะไรที่คุณไม่เข้าใจ แต่ก็กระทำตามแล้วผลออกมาดีกว่าที่คุณคาดคิดบ้างไหม? (แบ่งปัน)
  4. คุณเคยประทับใจกับการได้รับการบริการที่เป็นเสิศเกินกว่าที่คุณคาดหวังบ้างหรือไม่? ที่ไหน? อย่างไร? (แบ่งปัน)
  5. เหตุการณ์หรือประสบการณ์อะไรเกิดขึ้นที่ทำให้คุณวางใจพระเจ้าจริง ๆ เป็นครั้งแรก? (แบ่งปัน)
  6. คุณเคยรู้สึกโกรธมาก ๆ กับการกระทำที่ไม่เหมาะสม (ไม่ใช่เพราะหรือเพื่อตัวเอง) บ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? ทำไม? แล้วคุณทำอะไรบ้าง? ผลเป็นอย่างไร?
  7. คุณเคยถูกความร้อนใจในเรื่องคริสตจักรของพระเจ้าท่วมท้นในชีวิตของคุณ จนต้องลงมือ (ลงไม้) ทำอะไรแบบคาดไม่ถึงบ้างหรือไม่? อย่างไร?
  8. คุณเคยถูกเข้าใจผิด และถูกเล่นงาน เพราะคำพูดของคุณบ้างหรือไม่? แล้วคุณจัดการรับมืออย่างไร?
  9. มีใครบางคนมาเชื่อและวางใจในพระเจ้าเพราะคำพยานหรือชีวิตของคุณบ้างไหม? มีใครบ้าง? อย่างไร?
  10. หากพระเยซูคริสต์ทรงรู้จักทุกคนอย่างทะลุปรุโปร่ง และเวลานี้ พระองค์มาปรากฏข้างหน้าคุณ คุณจะรู้สึกละอายหรือเสียใจในเรื่องใดมากที่สุด? ทำไม?

 

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระกิตติคุณยอห์น บทเรียนที่ 2

พระเยซูกับสาวกรุ่นแรก

พระธรรม        ยอห์น 1:19-51

อ้างอิง       มธ.3:1-12;มก.1:2-8;ฉธบ.18:15-18;ลก.3:15-17;มลค.4:5;อสย.40:3

บทนำ

พระเยซูคริสต์มาทีหลังยอห์น ผู้ให้บัพติศมา แต่ยอห์น ก็ยินดียอมรับบทบาทเป็นผู้นำทางให้กับพระองค์ พระเยซูคริสต์ทรงเรียกสาวกรุ่นแรกหลายคน อาทิ  อันดรูว์,  ยอห์น , ซีโมนเปโตร , ฟิลิป , นาธานาเอล

วันนี้ คุณเป็นหนึ่งในท่ามกลางสาวกของพระองค์แล้วหรือยัง? หากเป็นแล้ว คุณได้นำผู้ใดมาเป็นสาวกของพระองค์แล้วบ้าง?

บทเรียน

1:19 “นี่เป็นคำพยานของยอห์น คือเมื่อพวกยิวส่งพวกปุโรหิตและพวกเลวีจากกรุงเยรูซาเล็มไปถามท่านว่า “ท่านคือใคร?” 

   (And this is the testimony of John, when the Jews sent priests and Levites from Jerusalem to ask him, “Who are you?”)

1:20 “ท่านก็ยอมรับและไม่ได้ปฏิเสธ คือยอมรับว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่พระคริสต์” 

  (He confessed, and did not deny, but confessed, “I am not the Christ.”) 

1:21 “พวกเขาจึงถามว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านเป็นใคร? ท่านเป็นเอลียาห์หรือ?” ยอห์นตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่เอลียาห์”  “ท่านเป็นผู้‍เผยพระวจนะคนนั้นหรือ?” และยอห์นตอบว่า “ไม่ใช่” 

   (And they asked him, “What then? Are you Elijah?” He said, “I am not.” “Are you the Prophet?” And he answered, “No.” )

1:22 “พวกเขาจึงถามว่า “แล้วท่านเป็นใคร? ขอให้ตอบมา จะได้ไปบอกคนที่ใช้เรามา ท่านจะตอบเรื่องตัวท่านว่าอย่างไร?” 

    (So they said to him, “Who are you? We need to give an answer to those who sent us. What do you say  about yourself?”) 

1:23 “ท่านตอบว่า“เราเป็นเสียงของคนที่ร้องประกาศในถิ่นทุรกันดารว่า‘จงทำมรรคา  ขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ตรงไปตามที่อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้

    (He said, “I am the voice of one crying out in the wilderness, ‘Make straight the way of the Lord,’ as the prophet Isaiah said.”)

1:24 “พวกฟาริสีเป็นคนส่งพวกเขาไปหายอห์น” 

   (Now they had been sent from the Pharisees.) 

1:25 “พวกเขาจึงถามยอห์นว่า “ถ้าท่านไม่ใช่พระคริสต์หรือเอลียาห์หรือผู้เผยพระวจนะคนนั้นแล้ว ทำไมท่านถึงให้บัพติศมา?” 

   (They asked him, “Then why are you baptizing, if you are neither the Christ, nor Elijah, nor the Prophet?”)

1:26 “ยอห์นตอบเขาว่า “ข้าพเจ้าให้บัพติศมาด้วยน้ำ แต่มีคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางพวกท่านที่ท่านไม่รู้จัก”

    (John answered them, “I baptize with water, but among you stands one you do not know,)

1:27 “ท่านผู้นั้นมาภายหลังข้าพเจ้า แม้แต่สายรัดรองเท้าของท่าน ข้าพเจ้าก็ไม่สมควรที่จะแก้

   (even he who comes after me, the strap of whose sandal I am not worthy to untie.)

1:28 “เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่หมู่บ้านเบธานีฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นที่ซึ่งยอห์นกำลังให้บัพติศมา”

   (These things took place in Bethany across the Jordan, where John was baptizing.)

1:29 “วันรุ่งขึ้นยอห์นเห็นพระเยซูกำลังเสด็จมาหาท่านท่านจึงกล่าวว่า“จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับบาปของโลกไป” 

   (The next day he saw Jesus coming toward him, and said, “Behold, the Lamb of God, who takes away the  sin of the world! )

1:30 “พระองค์นี้แหละที่ข้าพเจ้ากล่าวว่า ‘ภายหลังข้าพเจ้าจะมีผู้หนึ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าข้าพเจ้าเสด็จมา เพราะว่า พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า’” 

   (This is he of whom I said, ‘After me comes a man who ranks before me, because he was before me.’ )

1:31 “ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักพระองค์ แต่เพื่อให้พระองค์เป็นที่ประจักษ์แก่อิสราเอล ข้าพเจ้าจึงให้บัพติศมาด้วยน้ำ

   (I myself did not know him, but for this purpose I came baptizing with water, that he might be revealed to Israel.” )

1:32 “และยอห์นกล่าวเป็นพยานว่า “ข้าพเจ้าเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาจากสวรรค์เหมือนดังนกพิราบและสถิตกับพระองค์” 

    (And John bore witness: “I saw the Spirit descend from heaven like a dove, and it remained on him.)

1:33 “ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักพระองค์ แต่พระองค์ผู้ทรงใช้ข้าพเจ้ามาให้บัพติศมาด้วยน้ำ ได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เมื่อเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาสถิตอยู่กับคนใด คนนั้นแหละจะเป็นคนให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ 

   (I myself did not know him, but he who sent me to baptize with water said to me, ‘He on whom you see the Spirit descend and remain, this is he who baptizes with the Holy Spirit.’ )

1:34 “และข้าพเจ้าก็เห็นแล้วและเป็นพยานว่าพระองค์นี้แหละเป็นพระบุตรของพระเจ้า

   (And I have seen and have borne witness that this is the Son of God.”)

 1:35 “รุ่งขึ้น ยอห์นยืนอยู่ที่นั่นอีกกับศิษย์ของท่านสองคน” 

    (The next day again John was standing with two of his disciples, )

 1:36 “และท่านมองดูพระเยซูขณะที่พระองค์เสด็จผ่านไป และท่านกล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า” 

   (and he looked at Jesus as he walked by and said, “Behold, the Lamb of God!” )

1:37 “ศิษย์สองคนนั้นได้ยินท่านพูดอย่างนี้ก็ติดตามพระเยซูไป” 

   (The two disciples heard him say this, and they followed Jesus. )

1:38 “พระเยซูทรงเหลียวกลับและทอดพระเนตรเห็นเขาทั้งสองตามพระองค์มา จึงตรัสถามเขาว่า “ท่านหาอะไร?” เขาทั้งสองทูลพระองค์ว่า “รับบี (ซึ่งแปลว่าท่านอาจารย์) ท่านพักอยู่ที่ไหน?” 

   (Jesus turned and saw them following and said to them, “What are you seeking?” And they said to him,  “Rabbi” (which means Teacher), “where are you staying?” )

1:39 “พระองค์ตรัสตอบพวกเขาว่า “มาดูเถิด” เขาก็ไปและเห็นที่ซึ่งพระองค์ประทับ และวันนั้นก็พักอยู่กับพระองค์ เพราะขณะนั้นประมาณสี่โมงเย็นแล้ว”

  (He said to them, “Come and you will see.” So they came and saw where he was staying, and they stayed with him that day, for it was about the tenth hour. )

1:40 “คนหนึ่งในสองคนนั้นที่ได้ยินยอห์นพูดและติดตามพระองค์ไป คืออันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตร” 

(One of the two who heard John speak and followed Jesus was Andrew, Simon Peter’s brother.) 

1:41 “แล้วอันดรูว์ก็ไปหาซีโมนพี่ชายของตนก่อน และบอกเขาว่า “เราพบพระเมสสิยาห์แล้ว”(ซึ่งแปลว่าพระคริสต์) 

   (He first found his own brother Simon and said to him,”We have found the Messiah” (which means Christ). 

1:42 “อันดรูว์จึงพาซีโมนไปเฝ้าพระเยซู เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเขาแล้วก็ตรัสว่า “ท่านคือซีโมนบุตรยอห์น คนจะเรียกท่าน​ว่าเคฟาส” (ซึ่งแปลว่าศิลา)”

   (He brought him to Jesus. Jesus looked at him and said, “You are Simon the son of John. You shall be called Cephas” (which means Peter).)

1:43 “รุ่งขึ้นพระเยซูตั้งพระทัยจะเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี พระองค์ทรงพบฟีลิปจึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามา” 

   (The next day Jesus decided to go to Galilee. He found Philip and said to him,”Follow me.”) 

1:44 “ฟีลิปมาจากเบธไซดาเมืองของอันดรูว์และเปโตร” 

   (Now Philip was from Bethsaida, the city of Andrew and Peter.) 

1:45 “ฟีลิปไปหานาธานาเอลและบอกเขาว่า “เราพบคนที่โมเสสกล่าวถึงในหนังสือธรรมบัญญัติ และคนที่พวกผู้เผย‍พระวจนะกล่าวถึง คือ เยซูชาวนาซาเร็ธบุตรโยเซฟ” 

(Philip found Nathanael and said to him, “We have found him of whom Moses in the Law and also the prophets wrote, Jesus of Nazareth, the son of Joseph.”) 

1:46 “นาธานาเอลถามเขาว่า “สิ่งดีๆ จะมาจากนาซาเร็ธได้หรือ?” ฟีลิปตอบว่า “มาดูเถอะ” 

   (Nathanael said to him, “Can anything good come out of Nazareth?” Philip said to him, “Come and see.”)

1:47 “พระเยซูทอดพระเนตรเห็นนาธานาเอลมาหา พระองค์จึงตรัสเกี่ยวกับตัวเขาว่า “นี่แหละ ชาวอิสราเอลแท้ ในตัวเขาไม่มีอุบาย” 

  (Jesus saw Nathanael coming toward him and said of him, “Behold, an Israelite indeed, in whom there is no deceit!” )

1:48 “นาธานาเอลทูลพระองค์ว่า “ท่านรู้จักข้าพเจ้าได้อย่างไร?” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อก่อนที่ฟีลิปจะเรียกท่าน” 

    (Nathanael said to him, “How do you know me?” Jesus answered him, “Before Philip called you, when you were under the fig tree, I saw you.” )

1:49 “นาธานาเอลทูลตอบพระองค์ว่า “รับบี พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล

(Nathanael answered him, “Rabbi, you are the Son of God! You are the King of Israel!”) 

1:50 “พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เพราะเราบอกท่านว่าเราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อท่านจึงเชื่อหรือ? ท่านจะเห็นเหตุการณ์ใหญ่กว่านั้นอีก” 

   (Jesus answered him, “Because I said to you, ‘I saw you under the fig tree,’ do you believe? You will see greater things than these.” )

1:51 “แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ท่านจะเห็นท้องฟ้าแหวกออกและพวกทูตสวรรค์ของ​พระเจ้าขึ้นลงอยู่เหนือบุตรมนุษย์

   (And he said to him, “Truly, truly, I say to you, you will see heaven opened, and the angels of God  ascending and descending on the Son of Man.”)

ข้อมูลมีประโยชน์

1:19      “พวกยิว” (Jews)  = หรือ “ชาวยิว” ปรากฏ 70 ครั้งในพระธรรมยอห์น มีความหมายกลาง ๆ ใน 2:6 และ 4:22 แต่ส่วนใหญ่ ใช้หมายถึง ผู้นำยิวที่เป็นศัตรูกับพระเยซูในที่นี้ (1:19) หมายถึง ตัวแทนที่สภาแซนเฮดริน ส่งไปเพื่อสืบกิจกรรมต่าง ๆ ของผู้สอนที่ไม่ได้รับการรับรองหรือแต่งตั้งอย่างยอห์นผู้ให้บัพติศมา

            “พวกเลวี” (Levites)  = เชื้อสายของเผ่าเลวี ซึ่งมีหน้าที่ โดยเฉพาะเกี่ยวกับ พลับพลา (กดว .3:17-37) และพระวิหาร (นหม.8:7-9)

1:20      “ข้าพเจ้า” (  I  ) = เน้นความแตกต่างอย่างชัดแจ้งระหว่างยอห์น ผู้ให้บัพติศมากับอีกผู้หนึ่ง

1:21      “ท่านเป็นเอลียาห์หรือ?” (Are you Elijah?) = ชาวยิวคิดเสมอว่า เอลียาห์ไม่ได้สิ้นชีวิต (2พกษ.2:11) และเชื่อว่า จะกลับมาอีกเพื่อประกาศยุคสุดท้าย

            “ข้าพเจ้าไม่ใช่เอลียาห์” (I am not)  = ยอห์นก็ปฏิเสธว่า ท่านไม่ใช่เอลียาห์ ซึ่งต่อมาพระเยซูประกาศว่า ยอห์นคือ

เอลียาห์ (มธ.11:14;17:10) ในแง่ที่ทำให้คำพยากรณ์ใน มลค.4:5  สำเร็จ

            “ผู้เผยพระวจนะ” (Are you the Prophet) = ผู้เผยพระวจนะตาม ฉธบ.18:15 ที่ชาวยิวเชื่อ

            แต่ยอห์น รวบรัดปฏิเสธว่า ท่านไม่ใช่ผู้เผยพระวจนะเช่นนั้น ท่านมาเป็นพยานยืนยันเรื่องพระเยซู

1:23      “เราเป็นเสียงของคนที่ร้องประกาศในถิ่นทุรกันดาร”( I am the voice of one crying out in the wilderness)

= ยอห์น ประยุกต์คำพยากรณ์ จากอิสยาห์ 40:3 ให้เข้ากับพันธกิจในการเรียกคนให้กลับใจใหม่ เพื่อเตรียมทางสำหรับการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์

1:24      “พวกฟาริสี” (Pharisees)  = พวกอนุรักษ์นิยมทางศาสนา สอบสวนยอห์น (ผู้ให้บัพติศมา) ในประเด็นที่ลึกกว่าตัวแทนคนอื่น (ข.9) –มธ.3:7;มก.2:16;ลก.5:17

1:25      “พระคริสต์” ( the Christ) แปลว่า  “ผู้ที่ทรงเจิมตั้งไว้”

            -ในสมัยพระคัมภีร์เดิม การเจิมตั้งเป็นสัญลักษณ์ของการแยกออกมาเพื่อรับใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในฐานะเป็นกษัตริย์ (1ซมอ.16:1;13) ;ปุโรหิต (อพย.28:41;29:7;30:30;40:13-15)

            แต่ผู้ที่ประชาชนกำลังเฝ้ารอคอยมองหา ไม่ใช่เพียงใครคนหนึ่งที่รับการเจิม แต่เป็นพระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าเจิมตั้ง

1:27      “แม้แต่สายรัดรองเท้าของท่าน ข้าพเจ้าก็ไม่สมควรที่จะแก้” (the strap of whose sandal I am not worthy to untie    ) = งานแก้สายรัดรองเท้า เป็นงานต่ำต้อยเหมาะกับพวกทาส พวกสาวกจะรับใช้อาจารย์ /รับบีของตนทุกรูปแบบ ยกเว้นการแก้สายรัดรองเท้า

1:28      “หมู่บ้านเบธานี” (Bethany)= ในที่นี้อยู่ทางฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน แต่เบธานีในที่อื่น(ในพระกิตติคุณ) อยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็มเพียง 3 กม.

1:29      “พระเมษโปดกของพระเจ้า” (the Lamb of God) –คำนี้ปรากฏในข้อนี้ และในข้อ 36 เท่านั้น

            ยอห์น อาจอ้างถึงพันธกิจของพระเยซูคริสต์ในลักษณะของลูกแกะที่นำมาถวายในเทศกาลปัสกา หรือลูกแกะใน อสย.53:7;ยรม.11:29;ปฐก.22:8;วว.5:6    เพื่อชี้ให้เห็นว่า พระเยซูเป็นเครื่องบูชา และชนะอำนาจบาปชั่วทั้งปวง พระองค์ทำสองประการนี้ได้โดยการ

 “รับบาปของโลก” ไป –1ยน.2:2

1:31      “ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักพระองค์” (I myself did not know him) = ยอห์นผู้ให้บัพติศมา ผู้อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารจนกระทั่งออกมาประกาศเตรียมทางให้พระเมสสิยาห์ต่อสาธารณชน (ลก.1:80) และดูเหมือนว่า ท่านไม่รู้จักพระเยซูคริสต์เลย หรือรู้จักพระเยซูคริสต์  แต่ไม่รู้ว่าเป็นพระเมสสิยาห์ จนกระทั่งได้เห็นหมายสำคัญในข้อ 32-33

            -แต่ใน มธ.3:14-17 ยอห์น พูดในทำนองว่า พระเยซูไม่ควรมาขอให้ยอห์นให้บัพติศมา แต่ท่านต่างหากที่ควรขอรับบัพติศมาจากพระองค์

1:32      “เราเห็นพระวิญญาณเสด็จมา” ( saw the Spirit descend …)  -เหตุการณ์ตอนช่วงที่พระเยซูคริสต์รับบัพติศมา ดู ใน มธ.3:15

1:33      “ให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” (baptizes with the Holy Spirit.    )  = ยอห์น ให้บัพติศมาด้วยน้ำ แต่พระเยซูคริสต์ ให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธ์ เพื่อให้ผู้เชื่อมีส่วนร่วมในฤทธิ์อำนาจและพระคุณแห่งชีวิตใหม่ ที่พระองค์ประทานให้ –ยน.20:22;กจ.1:5;2:4;11:15-16;19:4-6;1คร.12-14;กท.3:5,14;4:6;5:16-25;อฟ.1:13;3:16; 6:18;ฟป.3:3;1ธส.4:8

คำว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์” เน้น ความบริสุทธิ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์มากกว่า เรื่องสิทธิอำนาจหรือความยิ่งใหญ่ (14:26;20:20)

1:34     “พระบุตรของพระเจ้า” (the Son of God) –ข.14,18;3:16;20:31

1:35      “ศิษย์” (disciples) –ที่อื่นแปลว่า “สาวก” ในที่นี่หมายถึง พวกคนที่ได้รับบัพติศมาจากยอห์น ถือว่า ยอห์นเป็นอาจารย์ทางศาสนาของพวกเขา  ; “สองคน” (two)  –หนึ่งในนั้นคือ อันดรูว์ (ข.40) และอีกคนไม่ได้ระบุชื่อ  แต่ตั้งแต่ยุคแรก เชื่อกันว่า คือยอห์น ผู้เขียน พระธรรมยอห์นนั่นเอง

1:39     “สี่โมงเย็น” (the tenth hour) = แปลตามตัวได้ว่า เป็น “ชั่วโมงที่สิบ”

1:40     “อันดรูว์” (Andrew)  = น้องชายของซีโมนเปโตร  เป็นหนึ่งในสาวก 12 คน (มธ.10:2) มาจากเบธไซดา (ข.44) แต่ภายหลังเขามาอยู่กับเปโตร ในคาเปอรนาอุม (มก.1:29) ซึ่งเป็นสถานที่ที่พวกเขาหาปลาเลี้ยงชีพ (มธ.4:18)

1:42      “ซีโมนบุตรยอห์น” (Simon the son of John)  -มธ.16:17

“เคฟาส” (Cephas)  = แปลว่า ศิลา แท้จริงแล้ว เปโตรหรือเคฟาส เป็นคนหุนหัน ไม่มั่นคง แต่ต่อมาเขากลับกลายมาเป็นศิลาหรือเสาหลักของคริสตจักรยุคแรกได้ พระเยซูคริสต์ไม่ได้ตั้งชื่อพวกเขา ตามสิ่งที่เขาเป็น แต่ตามสิ่งที่เขากำลังจะเป็นโดยพึ่งพระคุณของพระเจ้า

1:44     “เบธไซดา” (Bethsaida)  -มธ.11:21   อยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลสาบกาลิลี  ต่อมาฟิลิปผู้ปกครองแคว้นสร้างเมืองนี้ขึ้นใหม่ และเรียกชื่อว่า “จูเลียส”  ตามชื่อจูเลีย ธิดาของซีซาร์ออกัสตัส

1:45      “บุตรโยเซฟ” ( the son of Joseph) = บิดาทางนิติสัย(ในโลกนี้) ของพระเยซู แต่ไม่ได้ปฏิเสธว่า พระคริสต์ประสูติจากหญิงพรหมจารี –มธ.1:18,20,23,25;ลก.1:26-35

1:46      “นาซาเร็ธ” (Nazareth)  -7:52;มธ.2:23

1:47      “ชาวอิสราเอลแท้” (an Israelite indeed)   -2:24-25

1:48      “ต้นมะเดื่อ” (the fig tree) =  ต้นไม้ให้ร่มเงา เหมาะกับการศึกษาพระธรรม และการอธิษฐานในยามที่อากาศร้อน

1:49      “รับบี” (Rabbi)  = คำภาษาฮีบรู ที่ใช้กับ “อาจารย์”

            “พระบุตรของพระเจ้า” (the Son of God)  – ข.14,18,34;3:16;20:31

            -ตั้งแต่พระเยซูเริ่มพระราชกิจ นาธานาเอลได้รู้จักกับพระเยซูในฐานะอาจารย์ตามความหมายนี้ แต่ภายหลังคำนี้ใช้ในการเยาะเย้ย (มธ.27:40;ปท .ยน.19:7)

-อันดรูว์ บอกว่าพระเยซูเป็น “พวกเมสสิยาห์” (ข.41)

            แต่นาธานาเอล บอกว่า พระองค์เป็น “พระบุตรของพระเจ้า”รวมเป็นคำกล่าวของเปโตรว่า “พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” (มธ.16:16) “กษัตริย์ของอิสราเอล” (the King of Israel) -12:13;มก.15:32

คำว่า “พระคริสต์” และ “กษัตริย์ของอิสราเอล” มีความหมายเดียวกัน

1:51   “เราบอกความจริงกับพวกท่าน” (“Truly, truly, I say to you,) –มก.3:28 เป็นวลีที่ใช้ในพระธรรมยอห์น มากกว่าในเล่มอื่น ๆ

   “ท้องฟ้าแหวกออก” (heaven opened) = พวกสาวกจะเห็นพยานจากพระเจ้า สวรรค์ในการรับรองพระเยซูคริสต์อย่างชัดเจน

“พวกทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นลง” (the angels of God ascending and descending) = เหมือนกับความฝันของยาโคบ –ปฐก.28:12 

-เป็นเครื่องหมายว่า พระเยซูคริสต์ได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้าเพื่อไถ่บาปมนุษย์โลก  และบ่งบอกว่าพระเยซูคือ “อิสราเอลแท้” (ข.47)

“บุตรมนุษย์” (the Son of Man  ) = คำที่พระเยซูใช้เรียกพระองค์เองบ่อย ๆ –มก.8:31

คำถามนำอภิปราย

  1. ถ้าคุณเป็นคนดังอย่างยอห์น ผู้ให้บัพติศมา คุณคิดว่า คุณจะถ่อมตัวถ่อมใจ ทำได้อย่างที่ยอห์นทำได้หรือไม่? ทำไมคุณคิดเช่นนั้น?
  2. คุณรู้ว่า พระเจ้ากำหนดบทบาทให้คุณทำอะไรอย่างชัดเจนอย่างเช่นที่ยอห์น รู้หรือไม่? หากคุณรู้แล้วว่าบทบาทนั้น คืออะไร คุณได้ทำตามบทบาทหน้าที่นั้นหรือไม่? อย่างไร? หากคุณไม่รู้ คุณจะมีวิธีรู้ได้อย่างไร?
  3. ยอห์นรู้จักพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมษโปดกของพระเจ้า ได้อย่างไร? แล้วตัวของคุณมารู้จักพระเยซูคริสต์ในฐานะผู้รับแบกบาปของคุณได้อย่างไร? (แบ่งปัน)
  4. คุณรู้สึกอย่างไร หากว่าคนที่มาทีหลังคุณเป็นที่ยอมรับมากกว่าคุณ หรือดังมากกว่าคุณ? คุณเคยประสบกับเหตุการณ์เช่นนั้นหรือไม่? แล้วคุณรับมืออย่างไร?
  5. คุณเป็นพยานช่วยนำคนรู้จักกับพระเยซูคริสต์แล้วกี่คน? ใครบ้าง? อย่างไร? และผลที่ตามมาคืออะไร
  6. คุณมีประสบการณ์ ในการพบกับพระเยซูคริสต์เป็นส่วนตัวหรือไม่? อย่างไร? ที่ไหน? เมื่อไร?
  7. การที่คุณทราบว่า พระเยซูคริสต์ทรงรู้จักคุณ ทุกด้าน และในทุกอย่าง สิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและเป้าหมายชีวิตของคุณอย่างไรบ้าง? (แบ่งปัน)

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนพระกิตติคุณยอห์น บทเรียนที่ 1

ปฐมบทของยอห์น

พระธรรม        ยอห์น 1:1-18

อ้างอิง             ยน.17:5,24;8:58;1:7,19,32;7,14-15;3:6,15,19;5:26;6:57;7:19;11:25;14:6;1ยน.1:1-2,10

บทนำ              พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าก่อนทรงรับสภาพมนุษย์  พระเจ้าทรงสถิตท่ามกลางมนุษย์  พระเจ้าทรงสำแดงพระสิริของพระองค์ ผ่านทาง “พระคริสต์” ผู้ทรงเป็น “พระวาทะ”

 

บทเรียน

1:1 “ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า” 

      (In the beginning was the Word, and the Word was with God, and the Word was God.)

1:2 “ในปฐมกาลพระองค์ทรงอยู่กับพระเจ้า” 

     (He was in the beginning with God.)

1:3 “พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาโดยพระวาทะ ในบรรดาสิ่งที่เป็นอยู่นั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่เป็นอยู่นอกเหนือ​พระวาทะ”

     (All things were made through him, and without him was not anything made that was made.)

1:4 “พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์”

     (In him was life, and the life was the light of men.)

1:5 “ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด และความมืดไม่อาจเอาชนะความสว่างได้”

      (The light shines in the darkness, and the darkness has not overcome it.)

1:6 “มีชายคนหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้มาชื่อยอห์น”

      (There was a man sent from God, whose name was John.)

1:7 “ท่านมาในฐานะสักขีพยานเพื่อเป็นพยานให้แก่ความสว่างนั้น เพื่อว่าทุกคนจะได้เชื่อเพราะท่าน” 

      (He came as a witness, to bear witness about the light, that all might believe through him.)

1:8 “ท่านไม่ใช่ความสว่างนั้น แต่ท่านมาเพื่อเป็นพยานให้แก่ความสว่างนั้น”

      (He was not the light, but came to bear witness about the light.)

1:9 “ความสว่างแท้ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเห็นความจริงได้นั้นกำลังเข้ามาในโลก”

     (The true light, which gives light to everyone, was coming into the world.)

1:10 “พระองค์ทรงอยู่ในโลกที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาทางพระองค์ แต่โลกไม่รู้จักพระองค์”

      (He was in the world, and the world was made through him, yet the world did not know him.)

1:11 “พระองค์เสด็จมายังบ้านเมืองของพระองค์ แต่ชาวบ้านชาวเมืองของพระองค์ไม่ต้อนรับพระองค์”

      (He came to his own, and his own people did not receive him.)

1:12 “แต่ทุกคนที่ยอมรับพระองค์ คือคนที่เชื่อในพระนามของพระองค์นั้น พระองค์ก็จะประทานสิทธิให้เป็นลูกของ​พระเจ้า”

       (But to all who did receive him, who believed in his name, he gave the right to become children of God,)

1:13 “ซึ่งในฐานะนั้นพวกเขาไม่ได้เกิดจากเลือดเนื้อหรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า”

       (who were born, not of blood nor of the will of the flesh nor of the will of man, but of God.)

1:14 “พระวาทะทรงเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา เราเห็นพระสิริของพระองค์ คือ พระสิริที่สมกับพระ‍บุตรองค์เดียวของพระบิดา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง” 

       (And the Word became flesh and dwelt among us, and we have seen his glory, glory as of the  only Son from the Father, full of grace and truth. )

1:15 “ยอห์นเป็นพยานให้กับพระองค์ และร้องประกาศว่า “นี่แหละ คือพระองค์ผู้ที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงว่า พระองค์ผู้​เสด็จมาภายหลังข้าพเจ้าทรงเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า” 

     (John bore witness about him, and cried out, “This was he of whom I said, ‘He who comes after me ranks before me, because he was before me.'”) 

1:16 “เพราะเราได้รับพระคุณซ้อนพระคุณจากความบริบูรณ์ของพระองค์” 

       (For from his fullness we have all received, grace upon grace. )

1:17 “คือว่าเราได้ธรรมบัญญัตินั้นมาทางโมเสส ส่วนพระคุณและความจริงมาทางพระเยซูคริสต์”

        (For the law was given through Moses; grace and truth came through Jesus Christ.)

1:18 “ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย แต่พระบุตรองค์เดียวผู้สถิตในพระทรวงของพระบิดา ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว”

        (No one has ever seen God; the only God, who is at the Father’s side, he has made him  known.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

1:1       “ในปฐมกาล” (In the beginning) –ปฐก.1:1, เชื่อมพระราชกิจของพระเจ้าที่มีต่อโลกผ่านทางพระเยซูคริสต์ (ปท. ยน.3:16) กับพระราชกิจของพระเจ้ากับการเริ่มต้นสร้างโลกของพระองค์

            “พระวาทะ” (the Word) = ‘Logos’ (คำกรีก) เป็นคนที่ไม่ได้หมายถึงแค่คำพูด แต่รวมทั้งคำที่ไม่ได้พูดออกมาด้วย คือ คำที่ยังอยู่ในความคิดหรือเหตุผล

            -เมื่อชาวกรีกใช้คำนี้กับ “จักรวาล” –หมายถึงหลักการอันมีเหตุผลที่ปกครองทุกสิ่ง

            -แต่ชาวยิว ใช้คำนี้หมายถึง พระวาทะที่พระเจ้าทรงใช้สร้างและปกครองโลกนี้ – สดด.33:6; 119:89;147:15,18

–และใช้กล่าวถึงพระบัญญัติพระเจ้าทรงประทานให้เป็นชีวิตจิตใจแก่อิสราเอล (ฉธบ.32:47;30:20)

-ชาวยิวอ้างบทบัญญัติว่า พระวาทะ “เกิดขึ้นก่อนโลก” เพราะอยู่ในพระทัยของพระเจ้า ในขณะที่พระองค์ทรงประทับบนบัลลังก์แห่งพระเกียรติสิริ

-ชาวยิวยังเชื่อว่าพระวาทะเป็นพระเจ้า พระวาทะเป็นผลแรกของพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เป็นความสว่างและเป็นชีวิตแก่โลกนี้ และเป็นความจริง

-ชาวยิวใช้คำว่า “พระวาทะ” หมายถึงสิ่งที่มาจากพระเจ้า เพื่อทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ

–อสย.55:11;วว.19:13

“ทรงอยู่กับพระเจ้า” (was with God) = พระวาทะเป็นอีกบุคคลหนึ่งนอกเหนือจากพระบิดา หมายความว่า พระเยซูคริสต์ = พระเจ้า (รม.9:5) –ยน.17:5;1ยน.1:2

“ทรงเป็นพระเจ้า” (was God) –ฟป.2:6

1:2       “ในปฐมกาล” (  in the beginning) –ปฐก.1;1;ยน.8:58;17:5,24;1ยน.1:1;วว.1:8

1:3       “ไม่มีสิ่งเดียวที่เป็นอยู่นอกเหนือจากพระวาทะ” (not anything made that was made) = ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยทางพระองค์ –ยน.1:10;1คร.8:6;คส.1:16;ฮบ.1:2

1:4       “แหล่งชีวิต” (was life) = ชีวิตเป็นหนึ่งในแนวคิดสำคัญของพระธรรมยอห์นปรากฏในพระธรรมยอห์น 36 ครั้ง และใช้ในพระคัมภีร์ใหม่เล่มอื่น ๆ อีกไม่เกิน 17 ครั้ง

-ในพระคัมภีร์ใหม่ กล่าวถึงพระเยซูว่าทรงเป็นชีวิต (14:6)  และทรงเป็นของขวัญที่มาจากพระองค์ (10:28)

“ความสว่าง” (the light) = พระคริสต์ผู้ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งความกระจ่างฝ่ายจิตวิญญาณ

-พระเยซูคริสต์ยังเป็นความสว่างของโลก ผู้ประทานความหวังให้แก่มวลมนุษยชาติ (ปท. 8:12) และสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง (3:16)  ปท. สดด.36:9

 1:5       “ความมืด” (the darkness) –ในพระธรรมยอห์น มีภาพเปรียบชัดกันโดดเด่น ในเรื่องความสว่างและความมืด  – ตย. ใน 12:35

1:6       “ยอห์น” (John)  – ชื่อว่า ยอห์น ในพระธรรมเล่มนี้มักหมายถึงยอห์นผู้ให้บัพติศมา ไม่ใช่ยอห์นผู้เขียน

1:7       “ในฐานะสักขีพยาน” (a witness) = พันธกิจหลักของยอห์นผู้ให้บัพติศมา คือ เป็นพยานยืนยันให้พระเยซูคริสต์ (10:41)

“พยาน” เป็นประเด็นโดดเด่น ในพระธรรมยอห์นคำนามของคำที่หมายความว่า “พยาน” หรือ “คำพยาน” มีทั้งหมด 14 ครั้ง ในพระธรรมยอห์น แต่ไม่มีปรากฏเลยในพระธรรมมัทธิว , 3 ครั้งในมาระโก , และ1 ครั้งในลูกา

-ส่วนคำกริยา (ยืนยัน) ปรากฏ 33 ครั้ง (ปรากฏเพียง 1 ครั้งในมัทธิวและลูกา แต่ไม่ปรากฏในมาระโก)

-ผู้เขียนพระธรรมยอห์นต้องการยืนยันเน้นข้อเท็จจริงว่า เรื่องราวของพระเยซูคริสต์ มีพยานรับรองมากมายเพื่อคนทั้งปวงจะได้เชื่อในพระคริสต์ (20:31)

-ผู้เขียนพระธรรมยอห์น ใช้คำกริยาภาษากรีกที่หมายความว่า “เชื่อ” ถึง 98 ครั้ง

1:8       “ท่านไม่ใช่ความสว่างนั้น” (He was not the light) = ความโดดเด่นของยอห์น ผู้ให้บัพติศมาทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่า ท่านอาจคือพระคริสต์ แต่ท่านปฏิเสธ

-พระเยซูยกย่องยอห์นผู้ให้บัพติศมา (มธ.11:11)     แต่ก็กล่าวถึงความจำกัดของเขาไว้ว่า เขาเป็นเพียง “ตะเกียง” (5:35) ไม่ใช่ “แสงสว่าง”

 1:9       “ความสว่างแท้…กำลังเข้ามาในโลก” (The true light, … was coming into the world) = การเสด็จมาบังเกิดของพระเยซูคริสต์ในโลก

“โลก” (the world) –ผู้เขียนใช้คำกรีกที่แปลว่า “โลก” ทั้งหมด 78 ครั้ง ในพระธรรมยอห์น และ 24 ครั้ง ในจดหมายฝากของท่าน (ในขณะที่ผลงานเขียนของ อ.เปาโลเอ่ยถึง 47 ครั้ง)

-คำว่า “โลก” นี้สามารถหมายถึงจักรวาล โลก คนในโลก คนส่วนใหญ่ คนที่ต่อต้านพระเจ้า หรือระบบของมนุษย์ ที่ต่อต้านพระประสงค์ของพระจ้า

-ผู้เขียนเปลี่ยนความหมายของคำนี้ จากความหมายหนึ่งไปยังอีกความหมายหนึ่ง โดยไม่ได้อธิบาย (ตัวอย่าง ยอห์น 17:5,14-15)

1:12     “พระองค์ก็จะประทานสิทธิให้” (he gave the right to)= การเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้าเป็นเรื่องของการประทานให้เป็นพระคุณโดยพระเจ้าเท่านั้น (อฟ.2:8-9) ไม่ได้มาจากด้วยความสามารถหรือความพยายามใด ๆ ของมนุษย์ แต่กระนั้นก็ขึ้นกับการยอมรับหรือเชื่อของผู้รับด้วย

1:13     “เกิดจากพระเจ้า” (of God) –ฐานะลูกของพระเจ้าใน 1:12 –เป็นความสัมพันธ์ที่พระเจ้าประทานให้ไม่ได้มาจากธรรมชาติ (3:3,5;2คร.5:17;กท.6:15;ทต.3:5)

1:14     “มนุษย์” (flesh) = แปลตรงตัวได้ว่า “เลือดเนื้อ” เป็นคำหนักแน่นที่เน้นว่า พระคริสต์ทรงมีสภาพของมนุษย์อย่างแท้จริง

            “ทรงอยู่ท่ามกลางเรา เราเห็นพระสิริของพระองค์” (dwelt among us, and we have seen his glory)

            “ทรงอยู่ท่ามกลางเรา” = “ประทับอยู่”  ที่แปลได้ว่า “เต็นท์” หรือ “พลับพลา”

            = เตือนให้ผู้อ่าน(ที่เป็นยิว)  ระลึกถึง “เต็นท์นัดพบ”  ซึ่งมีพระสิริของพระเจ้าปกคลุมอยู่ (อพย.40:34-35)

            พระเยซูคริสต์ทรงประทับอยู่ท่ามกลางพวกสาวกและสำแดงพระเกียรติสิริผ่านการอัศจรรย์ที่ทรงกระทำ (2:11) การสิ้นพระชนม์และเป็นขึ้นจากตาย

            “พระคุณและความจริง” (grace and truth) –สดด.26:3;สภษ.16:6

            “พระคุณ” เป็นหัวข้อสำคัญในความเชื่อของคริสเตียน (ยนา.4:2;กท.1:3;อฟ.1:2) (แต่ผู้เขียนยอห์น ไม่เคยใช้คำนี้หลังจากบทที่ 1:18 เลย)

            “ความจริง” –ผู้เขียนใช้คำภาษากรีกที่แปลว่า “ความจริง” 25 ครั้ง เกี่ยวข้องกับพระเยซูคริสต์ผู้เป็นความจริง (14:6)

1:15     “พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า” (he was before me) = ในสมัยโบราณ สังคมเคารพนับถือผู้อาวุโสหรือผู้ที่สูงกว่า จึงเป็นเรื่องปกติที่คนจะให้เกียรตินับถือยอห์นมากว่าพระเยซู เพราะท่านอาวุโสกว่า (6 เดือน) แต่ยอห์นอธิบายว่า แท้จริงแล้วพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระวาทะที่ดำรงอยู่ตั้งแต่ก่อนเสด็จเข้ามาในโลกนี้

1:16     “พระคุณซ้อนพระคุณ” (fullness) = บางฉบับแปลว่า “พระพรครั้งแล้วครั้งเล่า”

            = พระพรที่ได้รับผ่านทางโมเสส ได้รับการเพิ่มเติมให้เป็น “พระพร” ที่พิเศษยิ่งใหญ่ผ่านทางพระเยซูคริสต์ (ข.17;ฮบ.1:1-4)

            “พระบุตรองค์เดียวผู้สถิตในพระทรวงของพระบิดา” -บางฉบับแปลว่า “แต่พระเจ้าคือพระบุตรองค์เดียว”

            = ประกาศถึงความเป็นพระเจ้าขององค์พระเยซูคริสต์อย่างชัดเจน (ข.1,14;3:16;รม.9:5)

1:18     “ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว” (he has made him  known.) = ทรงทำให้พระองค์เป็นที่ประจักษ์

            -บางคนในพระคัมภีร์เดิมอ้างว่าตนเองได้เห็นพระเจ้า  (ตย.อพย.24:10) แต่ในพระคัมภีร์บอกว่า ไม่มีผู้ใดเห็นพระเจ้าแล้วจะมีชีวิตอยู่ได้ (อพย.33:20)

            = ไม่มีมนุษย์คนใดจะเห็นพระเจ้าอย่างที่พระองค์ทรงเป็นได้ คนที่พระเจ้าให้เห็นพระองค์จะเห็นได้ในรูปแบบที่พระองค์ทรงกำหนดให้ชั่วคราวสำหรับโอกาสนั้น ๆ เท่านั้น

            -แต่ในเวลานี้ พระคริสต์สำแดงพระองค์ให้เป็นที่ประจักษ์แล้ว –2คร.4:4;คส.1:15,19;2:9

คำถามนำอภิปราย

  1. พระวาทะคืออะไร หรือ คือใคร? มีความสำคัญเช่นไรต่อโลกนี้?
  2. พระเจ้าทรงเป็นแหล่งชีวิตของคุณในเรื่องใดบ้าง? (แบ่งปัน)
  3. คุณเคยเห็นความมืดชนะความสว่างบ้างไหม? หรือกลับกับ คุณเคยเห็นความสว่างชนะความมืดบ้างหรือไม่? อย่างไร?
  4. คุณเคยเป็นพยานให้แก่ “ความสว่าง” (พระเจ้า) บ้างหรือไม่? อย่างไร?
  5. คุณเคยปฏิเสธหรือไม่ยอมต้อนรับพระคริสต์บ้างหรือไม่? ทำไม? แล้วคุณเชื่อพระคริสต์ได้เพราะใคร? หรืออะไร? (แบ่งปัน)
  6. คุณเคยได้รับพระคุณซ้อนพระคุณจากพระเจ้าบ้างหรือไม? ในเรื่องอะไร? อย่างไร? และผลเป็นอย่างไร?
  7. พระเยซูคริสต์สำแดงพระลักษณะอะไรของพระเจ้าให้คุณเห็นบ้าง? และพระลักษณะเหล่านั้นสอนอะไรคุณบ้าง?

 

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนพระธรรมทิตัส บทที่ 4

กำชับให้ทำดีต่อไป

พระธรรม        ทิตัส 3:1-15

อ้างอิง            รม.11:14;13:1;16:17;1ปต.2:13-14;1ปต.1:3;2ทธ.2:16,21,4:9;ทต.2:14;อฟ.4:31;2:2,7:9;ลก.1:47; ทต.2:11;รม.5:5;3:24;1ทธ.1:15;กจ.18:24;คส.4:18

บทนำ            คริสเตียนถูกเรียกมาให้ทำดี และให้ทำดีมาก ๆ เพราะการทำดีเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า และเป็นพรแก่คนอื่น ๆ  ขอให้เราเป็นคนดีที่รักสงบ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น และถ่อมสุภาพต่อคนทั้งหลาย เพื่อให้เขาได้เห็นพระเยซูคริสต์ในตัวของเรา!

บทเรียน

3:1 “จงเตือนพวกเขาให้อยู่ใต้สิทธิอำนาจของบรรดาผู้ปกครองบ้านเมืองและพวกที่มีอำนาจ ให้เชื่อฟังและพร้อมจะทำการดีทุกอย่าง” 

    (Remind them to be submissive to rulers and authorities, to be obedient, to be ready for every good work)

3:2 “อย่าว่าร้ายใคร อย่าทะเลาะวิวาท แต่ให้ผ่อนหนักผ่อนเบาและแสดงความสุภาพอ่อนโยนอย่างยิ่งต่อทุกคน” 

    (to speak evil of no one, to avoid quarreling, to be gentle, and to show perfect courtesy toward all  people.)

3:3 “เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นเราเองก็โง่เขลา ไม่เชื่อฟัง หลงผิด เป็นทาสของกิเลสตัณหาและความสำราญต่างๆ ใช้ชีวิตอย่างชั่วร้ายและอิจฉาริษยา ถูกชิงชังและเกลียดกัน”

    (For we ourselves were once foolish, disobedient, led astray, slaves to various passions and pleasures, passing our days in malice and envy, hated by others and hating one another.)

3:4 “แต่เมื่อความดีเลิศและความรักของพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของเรามาปรากฎ” 

     (But when the goodness and loving kindness of God our Savior appeared, )

3:5 “พระองค์ก็ทรงช่วยเราให้รอด ไม่ใช่เพราะความชอบธรรมที่เราทำเอง แต่ด้วยพระเมตตาของพระองค์โดยผ่านการชำระให้บังเกิดใหม่และสร้างใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์”

     (he saved us, not because of works done by us in righteousness, but according to his own mercy, by the washing of regeneration and renewal of the Holy Spirit,)

3:6 “พระวิญญาณองค์นี้แหละที่พระเจ้าประทานให้แก่เราอย่างบริบูรณ์ผ่านทางพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา”

      (whom he poured out on us richly through Jesus Christ our Savior, )

3:7 “เพื่อว่าเมื่อเราถูกชำระให้ชอบธรรมโดยพระคุณของพระองค์แล้ว ก็จะได้เป็นผู้รับมรดกตามที่หวังไว้คือชีวิต​นิรันดร์” 

    (so that being justified by his grace we might become heirs according to the hope of eternal life. )

3:8 “คำกล่าวนี้สัตย์จริงข้าพเจ้าปรารถนาให้ท่านเน้นเรื่องเหล่านี้ เพื่อพวกที่เชื่อในพระเจ้าแล้วจะได้มุ่งทำการดี การกระทำเหล่านี้ดีและเป็นประโยชน์กับทุกคน” 

    (The saying is trustworthy, and I want you to insist on these things, so that those who have believed in God may be careful to devote themselves to good works. These things are excellent and profitable for people.)

3:9 “แต่จงหลีกเลี่ยงจากการทุ่มเถียงที่โง่เขลา การลำดับวงศ์ตระกูล การวิวาทและการทะเลาะกันเรื่องธรรมบัญญัติ เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นไร้ประโยชน์และไร้คุณค่า”

    (But avoid foolish controversies, genealogies, dissensions, and quarrels about the law, for they are              unprofitable and worthless.)

3:10 “ส่วนคนที่สร้างความแตกแยกนั้น จงเตือนแค่หนึ่งหรือสองครั้ง แล้วอย่าเกี่ยวข้องกับเขาอีก”

    (As for a person who stirs up division, after warning him once and then twice, have nothing more to do with him)

3:11 “เพราะรู้แล้วว่าคนอย่างนั้นเป็นคนนอกลู่นอกทางและเป็นคนทำบาป เขาลงโทษตัวเขาเอง”

    (knowing that such a person is warped and sinful; he is self-condemned.)

3:12 “เมื่อข้าพเจ้าส่งอารเทมาสหรือทีคิกัสไปหาท่านแล้ว ให้ท่านรีบมาหาข้าพเจ้าที่เมืองนิโคบุรี เพราะข้าพเจ้าตั้ง‍ใแล้วว่าจะค้างอยู่ที่นั่นจนสิ้นฤดูหนาว”

     (When I send Artemas or Tychicus to you, do your best to come to me at Nicopolis, for I have decided to spend the winter there.)

3:13 “ท่านจงช่วยเศนาสผู้เป็นนักกฎหมายกับปอลโลเรื่องการเดินทาง อย่าให้พวกเขาขาดสิ่งใด”
     (Do your best to speed Zenas the lawyer and Apollos on their way; see that they lack nothing.)

3:14 “และให้คนของเราเรียนรู้ที่จะทำการดีด้วย เพื่อช่วยจัดหาสิ่งที่จำเป็นจริงๆ เพื่อว่าพวกเขาจะได้ไม่เป็นคนที่​ไร้ผล”

     (And let our people learn to devote themselves to good works, so as to help cases of urgent need, and not be unfruitful.)

3:15 “ทุกคนที่อยู่กับข้าพเจ้าฝากคำทักทายมายังท่าน ข้าพเจ้าขอฝากคำทักทายมายังทุกคนที่รักเราเพราะความเชื่อเดียวกันขอพระคุณดำรงอยู่กับพวกท่านทุกคนเถิด”

      (All who are with me send greetings to you. Greet those who love us in the faith. Grace be with  you all.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

3:1       “ให้อยู่ใต้สิทธิอำนาจของบรรดาผู้ปกครองบ้านเมืองและพวกที่มีอำนาจ” (to be submissive to rulers) = แม้คริสเตียนจะ เป็นพลเมืองสวรรค์ (ฟป.3:20) แต่ยังต้องฟัง อยู่ใต้อำนาจปกครองฝ่ายโลก

(รม.13:1-7;1เปโตร2:13-17) ในทุกระดับชั้น (อฟ.3:10;6:12)

“พร้อมจะทำการดีทุกอย่าง” (to be ready for every good work) = นอกจากให้เชื่อฟังผู้ปกครองหรือรัฐบาลแล้ว ยังให้ผู้เชื่อได้ช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชนให้ดีขึ้น ทั้งโดยสมัครใจและตามที่รัฐบาลขอ

– 2ทธ.2:21;ทต.2:14

3:2       “อย่าว่าร้ายใคร” (to speak evil of no one) = อย่าใส่ร้ายป้ายสีผู้ใด –อฟ.4:31

3:3       “เมื่อก่อนนั้น” ( For) –บางฉบับแปลว่า “ครั้งหนึ่ง”   -ปท. อฟ.2:1-3

3:4      “ความดีเลิศ” (the goodness) –ในฉบับอื่นแปลว่า “พระกรุณา” –อฟ.2:7

            “และความรักของพระเจ้า” (loving kindness of God) –ทั้งความดีเลศ(พระกรุณา) และความรักของพระเจ้า พระองค์จึงได้ช่วยคนบาปอย่างพวกเราให้รอด (โดยไม่ปล่อยให้เราพินาศ เพราะโทษบาปที่เราก่อเอง)

3:5       “พระองค์ก็ทรงช่วยเราให้รอด” (he saved us)–ความรอดไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถหาได้มาด้วยความสามารถหรือความดีของเราเอง แต่ได้มาทาง “พระเมตตา” และพระกรุณาของพระเจ้าเท่านั้น (อฟ.2:8-9)

            “ผ่านการชำระให้บังเกิดใหม่”(by the washing of regeneration)–ซึ่งเป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ยน.3:5) ไม่ใช่เกิดจากพิธีกรรมหรือการกระทำใด ๆ ของมนุษย์เรา นอกจากรับเอาด้วยความเชื่อศรัทธาอย่างแท้จริง

3:6       “พระวิญญาณองค์นี้แหละที่พระเจ้าประทานให้แก่เราอย่างบริบูรณ์” (whom he poured out on us richly) = อย่างล้นเหลือ –ปท.รม.5:5่

3:7       “เราถูกชำระให้ชอบธรรมโดยพระคุณของพระองค์แล้ว” (that being justified by his grace)

= บางฉบับแปลว่า “เราถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมโดยพระคุณของพระองค์แล้ว”  -รม.3:24

            “เป็นผู้รับมรดก” (we might become heirs)  = เป็นทายาท –รม.8:17

            “ตามที่หวังไว้” (according to the hope ) –รม.5:5;8:24;คส.1:5

            “ชีวิตนิรันดร์” (of eternal life) –มธ.25:46;ทต.1:2

3:8       “คำกล่าวนี้สัตย์จริง” (of eternal life)

          = “ที่กล่าวมานี้ ควรแก่การเชื่อถือ” 1ทธ.1:15

            “มุ่งทำการดี” (to devote themselves to good works) = อุทิศตนในการทำสิ่งที่ดี – ทต.2:14

3:9       “แต่จงหลีกเลี่ยง” (But avoid)

           = “แต่จงหลีกห่าง”  –2ทธ.2:16

          “การทะเลาะกัน” (quarrels) –2ทธ.2:14

            “เรื่องธรรมบัญญัติ” (about the law) = เรื่องเกี่ยวกับบทบัญญัติ –ทต.1:10-16

            = ปัญหาคล้าย ๆ กับในเอเฟซัส (1ทธ.1:3-7)

          “ไร้ประโยชน์และไร้คุณค่า”  (unprofitable and worthless)  -2ทธ.2:14

3:10     “อย่าเกี่ยวข้องกับเขาอีก” (nothing more to do with him)  -รม.16:17

3:12     “ทีคิกัส” (Tychicus) –กจ.20:4;อฟ.6:21-22;คส.4:7-8;2ทธ.4:12

            = ผู้ร่วมงาน ที่ อ.เปาโลไว้ใจ ร่วมเดินทางไปทำพันธกิจด้วยกันหลายครั้ง (กจ.20:4;อฟ.6:21)

          “นิโคบุรี” (Nicopolis)  -บางฉบับแปลว่า “นิโครโปลิส” แปลว่า “เมืองแห่งชัยชนะ” แม้จะมีหลายเมืองที่มีชื่อเหมือนกัน แต่ที่นี่น่าจะเป็นเมืองในเขตเอไพรัส บนชายฝั่งตะวันตกของประเทศกรีซ

“ตั้งใจแล้วว่า จะค้างอยู่ที่นั่นจนสิ้นฤดูหนาว” (I have decided to spend the winter there.)

= แสดงว่า อ.เปาโลยังไม่ได้ไปถึงที่นั่นในขณะที่เขียนจดหมายฉบับนี้ และยังมีอิสระที่จะเดินทางไปไหนมาไหนได้  และยังไม่ได้ถูกจำคุกที่กรุงโรมเป็นครั้งที่ 2

3:13     “เศนาสผู้เป็นนักกฎหมาย” (Zenas the lawyer) = น่าจะเป็นชาวต่างชาติที่มาเชื่อพระเยซูคริสต์ และเป็นนักกฎหมายของโรมัน (นอกจากว่า เขาเป็นชาวยิวที่กลับใจใหม่  ถ้าเช่นนั้นเขาก็จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในบทบัญญัติของชาวยิว (โมเสส) )

          “อปอลโล” (Apollos) = ชาวเมืองอเล็กซานเดรีย เป็นอีกคนหนึ่งที่เป็นผู้ช่วยของ อ.เปาโล ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี –กจ.18:24-28;19:1;1คร.1:12;3:4-6,22;16:12

            -ทั้ง 2 คนนี้น่าจะเป็นผู้ถือจดหมายของ อ.เปาโลมาส่งให้ทิตัส

3:14     “ทำการดี” (good works            ) –ทต.2:14

            “จัดหาสิ่งที่จำเป็นจริง ๆ “ (as to help cases of urgent need) = สิ่งจำเป็นจริง ๆ ในชีวิตประจำวัน

–1ทธ.5:81;ปท. 2ธส.3:10-12

3:15     “พระคุณ” (Grace ) –รม.1:7

            “ดำรงอยู่กับพวกท่านทุกคนเถิด” (be with you all) –2คร.13:14

คำถามนำอภิปราย

  1. ถ้าคริสเตียนเราต้องเชื่อฟังอยู่ใต้บังคับของรัฐบาล ผู้ปกครองหรือผู้มีอำนาจตามลำดับขั้นแล้ว เราจะมีความคิดเห็นทางการเมือง เป็นส่วนตัวได้แค่ไหน?
  2. คุณเคยทำดี หรือได้รับการขอความร่วมมือจากรัฐหรือเจ้าหน้าที่ปกครองในท้องถิ่นในการทำดีในเรื่องอะไรบ้างที่ผ่านมา?  คุณทำหรือไม่? ทำไม? และอย่างไร?
  3. คุณมีจุดอ่อนในหัวข้อใดต่อไปนี้มากที่สุด?

……….1) ชอบว่าร้ายคนอื่น

……….2) มีทะเลาะวิวาทกับผู้อื่น (ไม่รักสงบ)

……….3) ไม่ผ่อนหนักผ่อนเบา (ไม่เห็นใจผู้อื่น)

……….4) ไม่แสดงความอ่อนสุภาพ

แล้วคุณแก้ไขหรือไม่?  อย่างไร?

  1. เมื่อก่อน(อดีต) คุณเคยเป็นคนแบบใดต่อไปนี้บ้าง?

……….1) โง่เขลา

……….2) ไม่เชื่อฟัง

……….3) หลงผิด

……….4) เป็นทาสของกิเลสตัณหา

……….5) เป็นทาส ความสำราญต่าง ๆ

……….6) ใช้ชีวิตอย่างชั่วร้าย

……….7)อิจฉาริษยา

……….8) ถูกชิงชัง

……….9) เกลียดกัน

แล้วเวลานี้คุณเปลี่ยนแปลงอะไรแล้วบ้าง? อย่างไร?

  1. คุณมีประสบการณ์อะไรกับความดีเลศ (พระกรุณา)และความรักของพระเจ้าบ้าง? อย่างไร? มีผลต่อชีวิตของคุณอย่างไรบ้าง?
  2. ในชีวิตของคุณเวลานี้ มีความหวังอะไรที่สำคัญอย่างยิ่งยวดต่อคุณ? ทำไม?
  3. ทำไม อ.เปาโล จึงย้ำเรื่องให้เราใส่ใจอุทิศตัวในการทำสิ่งดีที่เป็นประโยชน์ต่อทุกคนอยู่เสมอ? หากเราคริสเตียนกระทำตามนั้นต่อเพื่อนบ้านหรือชุมชนของเราจริง ๆ อย่างมีคุณภาพ และต่อเนื่อง จะเกิดอะไรขึ้น?
  4. คุณเคยเจอคนที่ก่อให้เกิดความแตกแยกในกลุ่มหรือในคริสตจักรบ้างไหม? แล้วคุณจัดการหรือวางตัวอย่างไร? มีผลอะไรเกิดขึ้นตามมาบ้าง? อย่างไร
  5. คุณเคยถูกผู้ใดตักเตือนบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? คุณรับได้หรือไม่? แล้วผลเป็นอย่างไร? คุณเคยถูกตักเตือนเรื่องใดเป็นครั้งที่ 2 บ้างไหม? เรื่องอะไร? จากใคร? แล้วคุณทำใจได้ไหม?
  6. คุณเคยช่วยเหลือผู้รับใช้พระเจ้าหรือทีมในการเดินทางรับใช้ของพวกเขาบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? แล้วผลที่ตามมาคืออะไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนพระธรรมทิตัส บทที่ 2

ผู้ปกครอง VS ผู้สอนผิด

พระธรรม       ทิตัส 1:1-16

อ้างอิง           รม.1:1ยก.1:1:1คร.1:1ทธ.1:11,19;2:2-6;ฮบ.6:18;5:20;6:15;2ทธ.1:1,9-13;3:3-14;ทต.3:7;กดว.23:19; กจ.27:7;10:45;11:30;1ธส.3:13;10:45;1คร.16:13;ยรม.5:2;12:2

บทนำ

เราต้องมีความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าและมีความรู้ความเข้าใจในความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริง เราจึงจะเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ และช่วยผู้อื่นให้อยู่ในทางที่ถูกต้องของพระองค์

บทเรียน

1:1 “จาก เปาโล ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าและอัครทูตของพระเยซูคริสต์ เพื่อความเชื่อของคนที่พระเจ้าทรงเลือก และความรู้ในความจริงตามทางพระเจ้า”

   (Paul, a servant of God and an apostle of Jesus Christ, for the sake of the faith of God’s elect and their knowledge of the truth, which accords with godliness,)

1:2 “ซึ่งอยู่บนความหวังของชีวิตนิรันดร์ ที่พระเจ้าผู้ไม่ตรัสมุสาทรงสัญญาไว้ตั้งแต่ก่อนเริ่มต้นของกาลเวลา”

   (in hope of eternal life, which God, who never lies, promised before the ages began)

1:3 “และในเวลาที่ทรงกำหนด ก็ทรงสำแดงพระวจนะของพระองค์ด้วยการประกาศที่ข้าพเจ้ารับมอบไว้ ตามพระ‍บัญชาของพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา”

   (and at the proper time manifested in his word through the preaching with which I have been entrusted by the command of God our Savior;)

1:4 “ถึง ทิตัสผู้เป็นบุตรที่แท้จริงของข้าพเจ้าในความเชื่อเดียวกัน ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดา และจากพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเราดำรงอยู่กับท่านเถิด”

   (To Titus, my true child in a common faith: Grace and peace from God the Father and Christ Jesus our Savior.)

1:5 “เหตุที่ข้าพเจ้าละท่านไว้ที่เกาะครีตนั้นก็เพื่อให้ท่านแก้ไขสิ่งที่ยังบกพร่องให้เรียบร้อย และแต่งตั้งบรรดาผู้ปก‍ครองไว้ทุกเมืองตามที่ข้าพเจ้ากำชับท่าน”

   (This is why I left you in Crete, so that you might put what remained into order, and appoint elders in every town as I directed you)

1:6 “คือคนที่ไม่มีข้อตำหนิ เป็นสามีของหญิงคนเดียวมีลูกๆ ที่เชื่อและไม่ถูกกล่าวหาว่าเป็นนักเลงหรือเป็นคนดื้อด้าน”

   (if anyone is above reproach, the husband of one wife, and his children are believers and not Open to the charge of debauchery or insubordination.)

1:7 “เพราะว่าผู้ปกครองดูแล ซึ่งเป็นผู้รับมอบฉันทะของพระเจ้า ต้องไม่มีข้อตำหนิ ไม่เย่อหยิ่ง ไม่อารมณ์ร้อน ไม่ดื่มสุรามึนเมา ไม่ชอบความรุนแรง และไม่เป็นคนโลภมักได้” 

   (For an overseer, as God’s steward, must be above reproach. He must not be arrogant or quick-tempered or a drunkard or violent or greedy for gain) 

1:8 “แต่มีอัธยาศัยต้อนรับแขก รักความดี มีสติสัมปชัญญะ ชอบธรรม บริสุทธิ์ รู้จักบังคับใจตนเอง”

   (but hospitable, a lover of good, self-controlled, upright, holy, and disciplined. )

1:9 “และยึดมั่นในพระวจนะอันสัตย์จริงตามคำสอน เพื่อจะสามารถหนุนใจด้วยคำสอนที่ถูกต้องและชี้แจงต่อพวกคนที่คัดค้าน” 

   (He must hold firm to the trustworthy word as taught, so that he may be able to give instruction in sound doctrine and also to rebuke those who contradict it.)

1:10 “เพราะว่ามีคนจำนวนมากที่ดื้อด้าน พูดแต่เรื่องไม่มีประโยชน์และหลอกลวง โดยเฉพาะพวกที่เข้าสุหนัต”

    (For there are many who are insubordinate, empty talkers and deceivers, especially those of the circumcision party.) 

1:11 “จำเป็นต้องให้เขาสงบปากสงบคำ เนื่องจากพวกเขาคว่ำทั้งครัวเรือน โดยสอนสิ่งที่ไม่ควรจะสอนเพราะโลภมักได้”

    (They must be silenced, since they are upsetting whole families by teaching for shameful gain  what they ought not to teach.)

1:12 “ผู้ทำนายคนหนึ่งจากพวกเขาเองเคยกล่าวว่า “ชาวครีตชอบพูดปด โหดร้ายเหมือนสัตว์ เกียจคร้านและตะกละ” 

    (One of the Cretans, a prophet of their own, said, “Cretans are always liars, evil beasts, lazy gluttons.)

1:13 “คำพยานของเขาเป็นความจริง เพราะฉะนั้นท่านจงว่ากล่าวเขาให้แรงๆ เพื่อให้พวกเขามีความเชื่อที่ถูกต้อง” 

    (This testimony is true. Therefore rebuke them sharply, that they may be sound in the faith, )

1:14 “ไม่สนใจนิยายของพวกยิวหรือกฎบัญญัติของคนทั้งหลายที่ไม่รับสัจจะ”

   (not devoting themselves to Jewish myths and the commands of people who turn away from the truth.)

1:15 “สำหรับบรรดาคนที่บริสุทธิ์นั้นทุกสิ่งก็บริสุทธิ์ แต่สำหรับคนที่ชั่วช้าและไม่มีความเชื่อนั้นก็ไม่มีสิ่งใดบริสุทธิ์เลย แต่จิตใจและมโนธรรมของพวกเขาเสื่อมทราม”

    (To the pure, all things are pure, but to the defiled and unbelieving, nothing is pure; but both their minds and their consciences are defiled.)

1:16 “เขาพูดว่ารู้จักพระเจ้า แต่ในการกระทำนั้นปฏิเสธพระองค์ พวกเขาน่าเกลียดน่าชัง ไม่เชื่อฟัง และไม่เหมาะกับการดีใดๆ เลย”

     (They profess to know God, but they deny him by their works. They are detestable, disobedient,  unfit for any good work.)

ข้อมูลมีประโยชน์

1:1       “เปาโลซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า” (Paul, a servant of God) –เฉพาะตอนนี้ ที่ อ.เปาโลเรียกตัวเองว่า “ผู้รับใช้ของพระเจ้า”   ตอนอื่น ๆ ท่านเรียกตัวเองว่า “ผู้รับใช้ของพระคริสต์” (ยรม.1:1;กท.1:1; ฟป.1:1)  แต่ยากอบใช้ทั้ง  2 คำกับตัวท่านเอง –ยก.1:1

“อัครทูตของพระเยซูคริสต์” (and an apostle of Jesus Christ) –1คร.1:1

“เพื่อความเชื่อ….และความรู้ในความจริง” (for the sake of the faith …and their knowledge of the truth) = นี่คือภารกิจและพันธกิจของ อ.เปาโล ในฐานะเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า และอัครฑูตของพระคริสต์    (กจ.9:15;22:15;26:16-18) –1ทธ.2:4)

“ทางพระเจ้า” ( with godliness) –1ทธ.2:2

1:2       “ความหวัง” (hope) – คส.1:5;    “ชีวิตนิรันดร์” ( eternal life) –ยน.3:15;2ทธ.1:1;ทต.3:7

“ไม่ตรัสมุสา” (never lies) = ไม่เหมือนชาวครีต (ข.12) และมาร (ยน.8:44) –ปท. กดว.23:19;ฮบ.6:18

                   “ก่อนเริ่มต้นของกาลเวลา” ( before the ages began) 2ทธ.1:9

1:3       “ในเวลาที่ทรงกำหนด” (at the proper time manifested )

“ถึงวาระที่ทรงกำหนด”  =เหตุการณ์สำคัญในแผนการของพระเจ้าจะเกิดขึ้นในเวลาที่พระเจ้ากำหนดไว้ (ในประวัติศาสตร์) –1ทธ.2:6;6:15

“พระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา” (God our Savior) –เปาโลใช้คำ “องค์พระผู้ช่วยให้รอด” 12 ครั้งในจดหมายของท่าน และครึ่งหนึ่งอยู่ในจดหมายทิตัส ในที่อื่น ๆ ท่านเรียกพระเยซูว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า”

1:4       “ทิตัส” (            Titus) –2คร.2:13

“ผู้เป็นบุตรที่แท้จริงของข้าพเจ้า” (my true child ) = ทิตัสเป็นลูกฝ่ายวิญญาณของ อ.เปาโล (เหมือนทิโมธี) –1ทธ.1:2 ;   เขากลับใจเป็นคริสเตียนผ่านการประกาศของ อ.เปาโล  –ปท.ฟม.10;1ทธ.1:2

“พระคุณและสันติสุข”  (Grace and peace) –รม.1:7

1:5       “ละท่านไว้ที่เกาะครีต” (I left you in Crete) = แสดงว่า อ.เปาโลกับทิตัสไปทำพันธกิจที่เกาะครีตด้วยกัน

-ในตอนเดินทางไปกรุงโรม (ในฐานะนักโทษ) (กจ.27:7-8)

อ.เปาโลมาแวะที่เกาะครีตเป็นเวลาสั้น ๆ  แต่เวลานี้ท่านได้รับการปล่อยตัวจากการจำคุกครั้งแรกที่โรม  จึงสามารถเดินทางตามต้องการ (3:12)

“แต่งตั้งบรรดาผู้ปกครอง” (appoint elders) = สิ่งที่ท่านเปาโลปฏิบัติเสมอเวลาประกาศและจัดระเบียบคริสตจักร (กจ.14:23)

1:6-9 ใน 1ทธ.3:1-7 –ก็ได้แจกแจงคุณสมบัติของผู้ปกครองไว้ในทำนองเดียวกัน แต่ต่างกันในสถานการณ์ที่ทิโมธีกับทิตัสไปรับใช้

1:6       “เป็นสามีของหญิงคนเดียว” (the husband of one wife) –เพราะผู้ปกครองในเวลานั้น ถูกเลือกมาจากผู้ชายสูงอายุในคริสตจักร จึงเข้าใจว่า แต่งงานกันและมีลูกแล้ว จึงต้องมีชีวิตสมรสแบบสามีเดียวภรรยาเดียว และซื่อสัตย์ต่อกันจนกว่าจะตายจากกัน (1ทธ.3:2; ปท.รม.7:2-3;1คร.7:39)

1:7       “ผู้ปกครองดูแล” (overseer)

คำว่า  “ผู้ปกครอง” ในข้อ 5 และคำว่า “ผู้ปกครองดูแล” ในข้อ 7 เป็นคำที่ใช้สลับกันหรือแทนกันได้ (ปท. กจ.20:17,28;1ปต.5:1-2)

“ผู้ปกครอง” (ผู้อาวุโส) แสดงถึงคุณสมบัติของการเป็นผู้ใหญ่ และมีประสบการณ์

“ผู้ปกครองดูแล” ( บิชอบ) แสดงถึงความรับผิดชอบในการดูแลฝูงแกะของพระเจ้า

1:8       “รู้จักบังคับใจตนเอง” (disciplined) = คุณธรรมที่จำเป็นอย่างมากในเกาะครีต (ข.10-14)

อ.เปาโลเอ่ยถึง 5 ครั้งใน 2 บท (1:8;2:2,5-6,12)

= เขาต้องเป็นคนมีวินัย มีความเข็มแข็งในการควบคุมความปรารถนา และการกระทำของตน

1:9       “คำสอนที่ถูกต้อง” (so that he may be able to give instruction in sound doctrine) = คำสอนอันมีหลัก ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่อัครฑูตสอน (1ทธ.1:10;6:3;2ทธ.1:13;4:3)

= เป็นคำสอนที่มีหลักอันถูกต้อง เพราะเป็นคำสอนที่เสริมสร้างความเชื่อศรัทธาและปกป้องไม่ให้อิทธิพลอันเสื่อมทรามของผู้สอนเทียมเท็จเข้ามาแทรกแซง

-ในจดหมายถึงศิษยาภิบาลทั้ง 3 เล่ม (1-2ทิโมธี, ทิตัส) อ.เปาโลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ผู้นำต้องมีคำสอน  ความเชื่อ และการพูดจา ที่มีหลัก

1:10     “ดื้อด้าน” (insubordinate)  -บางฉบับแปลว่า “ขัดขืนไม่เชื่อฟัง” = ต่อต้าน อ.เปาโล และพระวจนะของพระเจ้า รวมทั้งทิตัส  พวกต่อต้านดื้อด้านเหล่านี้ สร้างปัญหาเหล่านี้ มีลักษณะเฉพาะ 3 ประการ

  1. เป็นคนที่อยู่ใน “กลุ่มเข้าสุหนัต” (เช่นเดียวกับใน กท.2:12)คือพวกที่เชื่อว่า ทุกคนจำเป็นต้องเข้าสุหนัต และปฏิบัติตามบทบัญญัติและพิธีกรรมของชาวยิว แม้ว่าจะได้รับความรอดหรือการชำระให้บริสุทธิ์แล้วก็ตาม
  2. เป็นคนที่ยึดมั่นในนิยายปรัมปราของยิว (ข.14) รวมทั้งลำดับพงศ์พันธ์นอกพระคัมภีร์ (3:9;1ทธ.1:4)
  3. เป็นคนที่บำเพ็ญพรต (ข.14-15) และมีปัญหาในเรื่องหยุม ๆ หยิม ๆ กับสิ่งที่พระเจ้าประกาศยอมรับแล้วว่าดี

“พูดแต่เรื่องไม่มีประโยชน์” (empty talkers) = ดีแต่พูด –1ทธ.1:6

1:11     “ครอบครัว” (families) = ครัวเรือน –1ทธ.5:13

1:12     “ผู้ทำนายคนหนึ่งจากพวกเขาเอง” (One of the Cretans, a prophet of their own) = กวีที่ชื่อเอปิเมนิเดส  (ศตวรรษที่ 6 ก.ค.ศ. เป็นชาวเกาะครีต) ซึ่งชาวครีตให้ความนับถืออย่างมาก ในเรื่องการทำนาย

-อ.เปาโลยังมักอ้างภาษิตอื่น ๆ ที่คนต่างชาติรู้จักทันที อาทิ  กจ.17:28;1คร.15:33

ในวรรณกรรมกรีก วลีว่า “ทำอย่างชาวครีต” หมายความว่า “โกหก”

1:13     “ความเชื่อ” (the faith) –1ทธ.3:9;ทต.2:2

1:14     “นิยายของพวกยิว” (Jewish myths) –ข.10 ;1ทธ.1:4

1:15     “สำหรับบรรดาคนที่บริสุทธิ์นั้นทุกสิ่งก็บริสุทธิ์”  (To the pure, all things are pure) = คริสเตียนได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ เพื่อไถ่บาปแล้ว  -ปท.1ทธ.4:4

“สำหรับคนที่ชั่วช้าและไม่มีความเชื่อก็ไม่มีสิ่งได้บริสุทธิ์เลย” (but to the defiled and unbelieving, nothing is pure     ) = ผู้ไม่เชื่อโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ที่เคร่งครัดข้อหยุมหยิมที่นอกเหนือพระคัมภีร์ ในเรื่องอาหาร การแต่งงาน และอื่น ๆ  (ปท. คส.2:21;1ทธ.4:3)

= พวกที่ไม่ชื่นชมกับเสรีภาพที่คริสเตียนแท้ ซึ่งรับทุกสิ่งที่พระเจ้าสร้างด้วยใจขอบพระคุณ

พวกที่กำหนดข้อห้ามขึ้นตามใจ หากไม่ชอบหรือถือว่าไม่บริสุทธิ์ตามความคิดของพวกเขา –มธ.15:10-11;16-20;กจ.10:9-16;รม.14:20

1:16     “แต่ในการกระทำนั้นปฏิเสธพระองค์”  (but they deny him by their works) = ปฏิเสธพระองค์ด้วยการกระทำพวกสอนผิด จะถูกตัดสินโทษ โดยการประพฤติส่วนตัวของเขา

 

คำถามนำอภิปราย:

  1. ในสัปดาห์ที่ผ่านมา คุณได้ช่วยให้ผู้ใด มีความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าเพิ่มขึ้นบ้าง? อย่างไร?
  2. คุณเพิ่มเติมความรู้ในความจริงของพระวจนะของพระเจ้า อย่างไร? และคุณช่วยผู้ใดให้รู้และเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าอย่างถูกต้องบ้าง? อย่างไร? และที่ไหน?
  3. มีอะไรหรือใครในคริสตจักรของคุณที่ยังต้องการการแก้ไขปรับปรุงบ้าง? แล้วคุณมีส่วนช่วยอย่างไรบ้าง? และช่วยให้ดีขึ้นหรือไม่ อย่างไร และทำไม?
  4. ผู้นำหรือผู้ปกครองดูแลในคริสตจักรของคุณ เป็นคนที่เหมาะสมหรือไม่? ทำไม? หากไม่เหมาะสม จะช่วยพวกเขาได้อย่างไร?
  5. ในคริสตจักรของคุณ มีคนประเภท “ดื้อด้าน พูดแต่เรื่องไม่มีประโยชน์” อยู่หรือไม่? แล้วคริสตจักรจัดการกับพวกเขาอย่างไร?(คุณเป็นหนึ่งในพวกไหน?)
  6. คุณเคยตักเตือนว่ากล่าวบางคนแรง ๆ หรือกลับกันคุณเคยถูกผู้อื่นว่ากล่าวแรง ๆ ให้สำนึกหรือกลับใจบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร ?และผลเป็นอย่างไร?
  7. คุณเคยสับสนหรือสงสัยในความเชื่อของคุณบ้างหรือไม่? สาเหตุมาจากอะไร?

…………….. 1. ความไม่รู้/ไม่เข้าใจ

………………2. ความเข้าใจผิด

………………3. ความสับสนจากคำสอนของผู้อื่น

………………4. คำสอนผิดจากพวกสอนเทียมเท็จ

……………….5. สะดุดในชีวิตและคำสอนของผู้นำ

……………….6. อื่น ๆ ……………………………..

แล้วคุณฝ่าฟันมาได้อย่างไร?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer