Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระกิตติคุณยอห์น บทเรียนที่ 12

สาวกที่ไว้ใจไม่ได้ ผู้นำศาสนาที่น่ากลัว และสตรีผู้เปี่ยมศรัทธา 

พระธรรม        ยอห์น 12:1-50

อ้างอิง             ยน.1:49;2:22;3:14;11:42-45,55;12:11-18,34,46;13:29-32;14:3,9,30;16:15,17:1,24;19:40

บทนำ             ผู้ที่รู้จักพระเยซูคริสต์ และซาบซึ้งในพระคุณของพระองค์จริง ๆ จะพร้อมยอมสละทุกสิ่ง(ที่มีค่า) รวมทั้งชีวิต เพื่อปรนนิบัติรับใช้พระองค์  คุณเป็นคนหนึ่งในท่ามกลางคนเหล่านี้หรือไม่?

บทเรียน

12:1 “ก่อนปัสกาหกวัน พระเยซูเสด็จมาถึงหมู่บ้านเบธานีซึ่งเป็นที่อยู่ของลาซารัสผู้ที่พระองค์ทรงให้เป็นขึ้นจากตาย” 

  (Six days before the Passover, Jesus therefore came to Bethany, where Lazarus was, whom Jesus had raised from the dead.) 

12:2 “พวกเขาจัดงานเลี้ยงพระองค์ มารธาก็ปรนนิบัติอยู่ และลาซารัสก็เป็นคนหนึ่งที่ร่วมรับประทานอาหารกับพระองค์” 

   (So they gave a dinner for him there. Martha served, and Lazarus was one of those reclining with him at table.)

12:3 “มารีย์เอาน้ำมันหอมนารดาบริสุทธิ์หนักประมาณครึ่งกิโลกรัม ซึ่งมีราคาแพงมากมาชโลมพระบาทพระเยซูและเอาผมเช็ดพระบาทของพระองค์เรือนก็หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำมันนั้น” 

   (Mary therefore took a pound of expensive ointment made from pure nard, and anointed the feet of Jesus and wiped his feet with her hair. The house was filled with the fragrance of the perfume. )

12:4 “แต่สาวกคนหนึ่งของพระองค์ชื่อยูดาสอิสคาริโอท (คนที่จะทรยศพระองค์) พูดว่า” 

   (But Judas Iscariot, one of his disciples (he who was about to betray him), said,)

12:5 “ทำไมไม่เอาน้ำมันนั้นไปขายได้เงินซักสามร้อยเดนาริอัน แล้วแจกให้กับคนจน?” 

   (“Why was this ointment not sold for three hundred denarii and given to the poor?”)

12:6 “เขาพูดอย่างนั้นไม่ใช่เพราะเขาเอาใจใส่คนจน แต่เพราะเขาเป็นหัวขโมย เขาถือกระเป๋าเก็บเงินและยักยอกเงินที่ใส่ไว้ใน​นั้นไป” 

   (He said this, not because he cared about the poor, but because he was a thief, and having charge of the moneybag he used to help himself to what was put into it.)

12:7 “พระเยซูตรัสว่า “อย่าห้ามนางเลย ให้นางเก็บน้ำมันนี้ไว้จนถึงวันฝังศพของเรา” 

    (Jesus said, “Leave her alone, so that she may keep it for the day of my burial.)

12:8 “เพราะว่ามีคนจนอยู่กับพวกท่านเสมอ แต่เราจะไม่อยู่กับท่านเสมอ

    (For the poor you always have with you, but you do not always have me.)

12:9 “พวกยิวจำนวนมากรู้ว่าพระองค์ประทับที่นั่นจึงมาเฝ้าพระองค์ ไม่ใช่มาเพราะพระเยซูเท่านั้น แต่เพื่อจะเห็นลาซารัสคนที่​พระองค์ทรงให้เป็นขึ้นมาจากตายด้วย” 

   (When the large crowd of the Jews learned that Jesus was there, they came, not only on account of him but also to see Lazarus, whom he had raised from the dead.)

12:10 “ดังนั้นพวกหัวหน้าปุโรหิตจึงคิดจะฆ่าลาซารัสด้วย” 

    (So the chief priests made plans to put Lazarus to death as well, )

12:11 “เพราะลาซารัสเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกยิวหลายคนแยกตัวไปและวางใจในพระเยซู”

   (because on account of him many of the Jews were going away and believing in Jesus.)

12:12 “วันรุ่งขึ้น เมื่อมหาชนที่มาร่วมงานเทศกาลนั้นได้ยินว่าพระเยซูเสด็จมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม”

    (The next day the large crowd that had come to the feast heard that Jesus was coming to Jerusalem.) 

12:13 “พวกเขาก็ถือทางอินทผลัมพากันออกไปต้อนรับพระองค์ร้องว่า“โฮซันนา ขอให้พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์‍พระผู้เป็นเจ้า คือพระมหากษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงพระเจริญ

    (So they took branches of palm trees and went out to meet him, crying out, “Hosanna! Blessed is he who comes in the name of the Lord, even the King of Israel!”)

12:14 “และพระเยซูทรงพบลูกลาตัวหนึ่ง จึงทรงลานั้นดังคำที่เขียนไว้ว่า”

     (And Jesus found a young donkey and sat on it, just as it is written,)  

12:15 “ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย อย่ากลัวเลยจงดู กษัตริย์ของเธอเสด็จมาประทับบนลูกลา 

     (“Fear not, daughter of Zion; behold, your king is coming, sitting on a donkey’s colt!”)

12:16 “ทีแรกพวกสาวกของพระองค์ไม่เข้าใจเหตุการณ์นั้น แต่หลังจากพระเยซูทรงรับพระเกียรติแล้ว เขาจึงระลึกได้ว่ามีคำเช่น​นั้นเขียนไว้กล่าวถึงพระองค์ และพวกเขาเองเคยทำอย่างนั้นถวายพระองค์” 

    (His disciples did not understand these things at first, but when Jesus was glorified, then they  remembered that these things had been written about him and had been done to him)

12:17 “ฝูงชนที่อยู่กับพระองค์เมื่อครั้งพระองค์ทรงเรียกลาซารัสออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ และให้เป็นขึ้นมาจากตายนั้น ก็เป็น​พยานในสิ่งที่เขาทั้งหลายได้ยินและได้เห็น”

   (The crowd that had been with him when he called Lazarus out of the tomb and raised him from the dead  continued to bear witness.) 

12:18 “เหตุที่ฝูงชนพากันไปหาพระองค์ ก็เพราะเขาได้ยินว่าพระองค์ทรงทำหมายสำคัญนั้น” 

  (The reason why the crowd went to meet him was that they heard he had done this sign.)

12:19 “พวก​ฟาริสี​จึง​พูด​กัน​ว่า “เห็น​ไหม? เรา​ทำ​อะไร​ไม่‍ได้​เลย ดู‍ซิ โลก​ตาม​เขา​ไป​หมด​แล้ว”

    (So the Pharisees said to one another, “You see that you are gaining nothing. Look, the world has gone after him.”)

12:20 “ในบรรดาคนที่ขึ้นไปนมัสการที่งานเทศกาลนั้นมีพวกกรีกอยู่ด้วย”

    (Now among those who went up to worship at the feast were some Greeks.)

12:21 “พวกเขาไปหาฟีลิปซึ่งมาจากหมู่บ้านเบธไซดาในแคว้นกาลิลี แล้วพูดกับเขาว่า “ท่านเจ้าข้า เราอยากจะเห็นพระเยซู

     (So these came to Philip, who was from Bethsaida in Galilee, and asked him, “Sir, we wish to see Jesus.”) 

12:22 “ฟี‌ลิป​จึง​ไป​บอก​อัน‌ดรูว์ แล้ว​อัน‌ดรูว์​กับ​ฟี‌ลิป​ไป​ทูล​พระ‍เยซู” 

     (Philip went and told Andrew; Andrew and Philip went and told Jesus.)

12:23 “และ​พระ‍เยซู​ตรัส​ตอบ​พวก‍เขา​ว่า “ถึง​เวลา​แล้ว​ที่​บุตร‍มนุษย์​จะ​ได้​รับ‍พระ‍เกียรติ” 

      (And Jesus answered them, “The hour has come for the Son of Man to be glorified.)

12:24 “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงดินและตายไป ก็จะคงอยู่เมล็ดเดียว แต่ถ้าตายไปแล้วก็จะงอก‍ขึ้นเกิดผลมาก” 

     (Truly, truly, I say to you, unless a grain of wheat falls into the earth and dies, it remains alone; but if it dies, it bears much fruit.)

12:25 “คนที่รักชีวิตตัวเองต้องเสียชีวิต และคนที่เกลียดชังชีวิตตัวเองในโลกนี้จะรักษาชีวิตนั้นไว้นิรันดร์”

      (Whoever loves his life loses it, and whoever hates his life in this world will keep it for eternal life. )

12:26 “ถ้าใครจะปรนนิบัติเรา คนนั้นต้องตามเรามา และเราอยู่ที่ไหน ผู้ปรนนิบัติของเราจะอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าใครปรนนิบัติเรา พระบิดาจะประทานเกียรติแก่ผู้นั้น”

      (If anyone serves me, he must follow me; and where I am, there will my servant be also. If anyone serves  me, the Father will honor him.)

12:27 “เดี๋ยวนี้ใจของเราเป็นทุกข์ จะให้เราพูดอย่างไร? ‘ข้าแต่พระบิดา ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากช่วงเวลานี้’ อย่างนั้น​หรือ? แต่เพื่อจุดประสงค์นี้เอง เราจึงมาถึงช่วงเวลานี้” 

      (“Now is my soul troubled. And what shall I say? ‘Father, save me from this hour’? But for this purpose I have come to this hour)

12:28 “ข้าแต่พระบิดา ขอพระองค์ทรงให้พระนามของพระองค์รับพระเกียรติ” แล้วก็มีพระสุรเสียงดังมาจากฟ้าว่า “เราให้รับ​เกียรติแล้ว และเราจะให้รับเกียรติอีก

      (Father, glorify your name.” Then a voice came from heaven: “I have glorified it, and I will glorify it again.)

12:29 “ฝูง‍ชน​ที่​ยืน​อยู่​ที่​นั่น​ได้‍ยิน​เสียง​นั้น​ก็​พูด​กัน​ว่า​ฟ้า‍ร้อง คน​อื่นๆ ว่า “ทูต‍สวรรค์​องค์​หนึ่ง​กล่าว​กับ​พระ‍องค์” 

     (The crowd that stood there and heard it said that it had thundered. Others said, “An angel has spoken to him.” )

12:30 “พระเยซูตรัสตอบว่า “เสียงนี้เกิดขึ้นเพื่อพวกท่าน ไม่ใช่เพื่อเรา” 

      (Jesus answered,”This voice has come for your sake, not mine)

12:31 “เดี๋ยวนี้การพิพากษามาถึงโลกนี้แล้ว เดี๋ยวนี้ผู้ครองโลกนี้จะถูกกำจัดออกไป” 

       (Now is the judgment of this world; now will the ruler of this world be cast out. )

12:32 “เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราจะชักนำทุกคนให้มาหาเรา

       (And I, when I am lifted up from the earth, will draw all people to myself.”)

12:33 “พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อแสดงว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร” 

        (He said this to show by what kind of death he was going to die)

12:34 “ฝูงชนจึงทูลพระองค์ว่า “เราทราบจากธรรมบัญญัติว่า พระคริสต์จะอยู่เป็นนิตย์ ท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘บุตรมนุษย์จะ​ต้องถูกยกขึ้น?’ บุตรมนุษย์นั้นคือใคร?” 

        (So the crowd answered him, “We have heard from the Law that the Christ remains forever. How can you say that the Son of Man must be lifted up? Who is this Son of Man?” )

12:35 “พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ความสว่างจะอยู่ท่ามกลางพวกท่านอีกหน่อยหนึ่ง เมื่อยังมีความสว่างอยู่ก็จงเดินไปเถิดเพื่อที่ว่าความมืดจะได้ตามท่านไม่ทัน คนที่เดินอยู่ในความมืดย่อมไม่รู้ว่าตนไปทางไหน” 

       (So Jesus said to them, “The light is among you for a little while longer. Walk while you have the light, lest darkness overtake you. The one who walks in the darkness does not know where he is going.)

12:36 “ขณะ‍ที่​พวก‍ท่าน​มี​ความ​สว่าง จง​วาง‍ใจ​ใน​ความ​สว่าง​นั้น เพื่อ​จะ​ได้​เป็น​ลูก​ของ​ความ​สว่าง” เมื่อ​พระ‍เยซู​ตรัส​อย่าง​นั้น​แล้ว​ก็ทรงจากไป และทรงซ่อนพระองค์ให้พ้นจากพวกเขา” 

    (While you have the light, believe in the light, that you may become sons of light.” When Jesus had said these things, he departed and hid himself from them)

12:37 “ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงทำหมายสำคัญมากมายหลายอย่างให้เขาเห็น พวกเขาก็ยังไม่วางใจในพระองค์”

      (Though he had done so many signs before them, they still did not believe in him,)

12:38 “ทั้งนี้เพื่อจะสำเร็จตามคำของอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะที่ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า  ใครจะเชื่อสิ่งที่เราประกาศ? และพระกร​ของพระเจ้าทรงสำแดงแก่ใคร?” 

       (so that the word spoken by the prophet Isaiah might be fulfilled: “Lord, who has believed what he heard from us, and to whom has the arm of the Lord been revealed?”)

12:39 “เพราะ​เหตุ‍นี้ พวก‍เขา​จึง​เชื่อ​วาง‍ใจ​ไม่‍ได้ เพราะ​อิส‌ยาห์​กล่าว​ไว้​อีก​ว่า”

       (Therefore they could not believe. For again Isaiah said,)

12:40 “พระองค์ทรงปิดตาของพวกเขาและทำใจของเขาให้แข็งกระด้างไปเกรงว่าพวกเขาจะเห็นด้วยตา และเข้าใจด้วยจิตใจ และหันกลับมาให้เรารักษาเขาให้หาย 

       ( “He has blinded their eyes and hardened their heart, lest they see with their eyes, and understand with their heart, and turn, and I would heal them.”)

12:41 “อิสยาห์กล่าวอย่างนี้ เพราะว่าท่านเห็นพระสิริของพระองค์และกล่าวถึงพระองค์” 

       (Isaiah said these things because he saw his glory and spoke of him. )

12:42 “อย่างไรก็ดี แม้แต่ในพวกเจ้าหน้าที่เองก็มีหลายคนวางใจในพระองค์ แต่พวกเขาไม่ยอมรับพระองค์อย่างเปิดเผยเพราะ​กลัวพวกฟาริสี เขากลัวว่าจะถูกขับออกจากธรรมศาลา”

      (Nevertheless, many even of the authorities believed in him, but for fear of the Pharisees they did not confess it, so that they would not be put out of the synagogue)

12:43 “เพราะว่าพวกเขารักการชมของมนุษย์ มากกว่าการชมของพระเจ้า”

       (for they loved the glory that comes from man more than the glory that comes from God.)

12:44 “และพระเยซูทรงประกาศว่า “คนที่วางใจเรานั้นไม่ได้วางใจในเราเอง แต่วางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา”

       (And Jesus cried out and said, “Whoever believes in me, believes not in me but in him who sent me.)

12:45 “และคนที่เห็นเราก็เห็นผู้ทรงใช้เรามา” 

        (And whoever sees me sees him who sent me. )

12:46 “เราเข้ามาในโลกเป็นความสว่าง เพื่อทุกคนที่วางใจในเราจะไม่อยู่ในความมืด” 

   (I have come into the world as light, so that whoever believes in me may not remain in darkness.)

12:47 “เราไม่พิพากษาคนที่ได้ยินถ้อยคำของเราและไม่ทำตาม เพราะว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลก​ให้รอด” 

     (If anyone hears my words and does not keep them, I do not judge him; for I did not come to judge the world but to save the world)

12:48 “ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย”

     (The one who rejects me and does not receive my words has a judge; the word that I have spoken will judge him on the last day.)

12:49 “เพราะเราไม่ได้กล่าวตามใจเราเอง แต่พระบิดาผู้ทรงใช้เรามาเป็นผู้บัญชาเราว่าจะกล่าวอะไรหรือพูดอะไร” 

       (For I have not spoken on my own authority, but the Father who sent me has himself given me a  commandment—what to say and what to speak.)

12:50 “เรา​รู้​ว่า​พระ‍บัญญัติ​ของ​พระ‍องค์​นั้น​เป็น​ชีวิต​นิ‌รันดร์ เพราะ‍ฉะนั้น​สิ่ง​ที่​เรา​พูด​นั้น เรา​ก็​พูด​ตาม​ที่​พระ‍บิดา​ทรง​บอกเรา

      (And I know that his commandment is eternal life. What I say, therefore, I say as the Father has told me.”)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

12:1-11 –บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับมารีย์ นำน้ำมันหอมนารดาบริสุทธิ์มาชโลมพระบาทของพระเยซูคริสต์  ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเหตุการณ์เดียวกับใน มธ.26:6-13;มก.14:3-9 แต่เป็นคนละเหตุการณ์กับใน ลก.7:36-50

12:1     “หมู่บ้านเบธานี” (Bethany) –มธ.21:17

12:3     “น้ำมันหอมนารดาบริสุทธิ์”( a pound of expensive ointment made from pure nard) = น้ำมันหอมราคาแพงมากแสดงถึงการทุ่มเทสิ่งที่มีค่าทั้งหมดแต่องค์พระคริสต์

“ชโลมพระบาท …พระเยซู” (anointed the feet of Jesus) = เป็นเรื่องไม่ปกติ เพราะปกติต้องชโลมบนศีรษะ

“เอาผมเช็ดพระบาทของพระองค์”(wiped his feet with her hair) = ปกติผู้หญิงที่อยู่ในขนมประเพณีจะไม่แก้ผมออกในที่สาธารณะ และเป็นการแสดงถึงความถ่อมใจของเธอ ลงมือทำหน้าที่ของผู้รับใช้ เช็ดเท้าของพระเยซูแทนที่จะใช้ผ้า (6:71;17:12)

12:4     “ยูดาส อิสคาริโอท” (Judas Iscariot) = คนที่จะทรยศพระเยซู – 6:71;17:12

12:5     “ทำไม่ไม่เอาน้ำมันนั้นไปขาย….แล้วแจกให้กับคนจน” (“Why was this ointment not sold for three hundred denarii and given to the poor?” ) –มก.14:5

12:6     “เขาเป็นหัวขโมย” (he was a thief) = เป็นตอนหนึ่งที่เปิดเผยให้รู้ว่า ยูดาสเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ (แม้ว่าเคยเป็นคนที่ดูไว้วางใจได้คนหนึ่ง เพราะเป็นคนที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเก็บรักษาเงินของกลุ่ม)

12:7     “เก็บ” ( keep it  ) = อาจหมายความว่า “เก็บไว้เพื่อวัตถุประสงค์”

            โดยปกติน้ำหอมจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการเฉลิมฉลอง แต่ก็ใช้ในการฝังศพด้วย (19:39-40) พระเยซูจึงโยงว่าการกระทำของมารีย์ เป็นการเล็งถึงการฝังพระศพของพระองค์

12:10   “คิดจะฆ่าลาซารัสด้วย” ( to put Lazarus to death) –ก่อนหน้าที่พวกผู้ใหญ่ ผู้นำศาสนาของยิว ได้ตกลงกันว่าจะให้พระเยซูตาย 1 คน เพื่อให้ประเทศรอดภัยจากโรม (ยน.11:50)  แต่เวลานี้ พวกเขากำลังกระทำบาปมากยิ่งขึ้น โดยการวางแผนฆ่าคนเพิ่มอีกคน (ปท. ยก.1:15)

12:12   “มหาชน” (the large crowd)  = “ผู้คนจำนวนมากมาย” หมายถึงผู้แสวงหาธรรม(แสวงบุญ) ที่เดินทางมาจากที่ต่าง ๆ เพื่อร่วมเทศกาลปัสกา บางคนเคยพบพระเยซูและได้ฟังคำสอนของพระองค์มาแล้ว พวกเขาจึงฉวยโอกาสนี้ประกาศว่า พระเยซูเป็นองค์พระเมสสิยาห์

12:13   “ถือทางอินทผลัม” (branches of palm trees) –มก.11:8  -ใช้ในการฉลองชัยชนะ และเป็นภาพในสวรรค์ที่ยอห์นเห็นในนิมิตด้วย (วว.7:9)

            “โฮซันนา” (Hosanna) = ข้อความที่แสดงถึงการสรรเสริญ –สดด.118:25-26;มธ.21:9

            “พระมหากษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงพระเจริญ” (the name of the Lord, even the King of Israel!)

= สรรเสริญองค์กษัตริย์แห่งอิสราเอล,  เนื้อความตอนนี้ถูกเพิ่มโดยประชาชนต่อจากเนื้อความในพระธรรมสดุดี 118:25-26 (ซึ่งมีแต่ยอห์นเท่านั้นที่บันทึกไว้)

              -แสดงว่า ยอห์นสนใจในความเป็นกษัตริย์ของพระเยซูคริสต์เป็นพิเศษ

12:14   “ลูกลา” (young donkey ) –ศคย.9:9;มธ.21:2,7;มก.11:2;ลก.19:30

12:15   “ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย” (daughter of Zion) = การเรียกเยรูซาเล็มในลักษณะที่เป็นบุคคล (2พกษ.19:21)

12:16   “ทรงรับพระเกียรติ” (was glorified) = ได้รับพระเกียรติสิริ – 12:41;11:4;13:31

            เหล่าสาวกซาบซึ้งในความหมายของคำพยากรณ์ที่เป็นจริง หลังจากการที่พระเยซูถูกตรึงบนกางเขนและพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาแล้ว

12:19   “ดูซิ โลกตามเขาไปหมดแล้ว” ( Look, the world has gone after him) = ตัวอย่างของการพูดเกินความจริงในพระคัมภีร์ โดยพวกฟาริสี –ยน.11:47-48

12:20   “พวกกรีก” (Greeks) –อาจหมายถึง “ผู้ที่ยำเกรงพระเจ้า”  หรือ คนที่สนใจในศาสนายิว ในส่วนที่เกี่ยวกับนับถือพระเจ้าองค์เดียว และเรื่องศีลธรรม แต่ไม่รับเรื่องชาตินิยม และกฎข้อบังคับต่าง ๆ เช่น      การเข้าสุหนัต แม้พวกเขาจะนมัสการในธรรมศาลา แต่ก็ไม่ได้เข้ารีต –ยน.7:35;กจ.11:20

12:21   “ฟิลิป” (Philip) = เป็นชื่อภาษากรีก จึงอาจเป็นเหตุผลว่า ทำไมชาวกรีกจึงมาหาเขา

            “เราอยากจะเห็นพระเยซู” (we wish to see Jesus) = อยากสนทนาด้วยกับพระเยซู

12:22   “อันดรูว์” (Andrew) –1:40

12:23   “ถึงเวลาแล้ว” (The hour has come) –มธ.26:18 –เวลาที่พระเยซูจะถูกตรึงบนไม้กางเขน สิ้นพระชนม์ และเป็นขึ้นจากตาย

            “จะได้รับพระเกียรติ” (to be glorified) = ได้รับการเทิดทูน (41;11:4;13:31) – ยน.13:31;17:1

12:24   “ถ้าตายไปแล้วก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก” (if it dies, it bears much fruit) = การตายเพื่อเกิด  เมล็ดต้องตายเพื่อจะมีต้นเจริญขึ้นมา

12:25   “คนที่รักชีวิตตัวเองต้องเสียชีวิต” ( Whoever loves his life loses it) = คนที่สนใจแต่ความสำเร็จของตัวเองจะทำให้สูญเสียสิ่งสำคัญ(ในชีวิต) ไป –ปท.มก.8:34-35;ลก.9:23-24

“คนที่เกลียดชังชีวิต….จะรักษาชีวิตนั้นไว้นิรันดร์” ( whoever hates his life in this world will keep it for eternal life)

= เมื่อเปรียบความรักที่มีต่อพระเจ้าแล้ว ความรักอื่นใดทั้งหมดก็จะกลายเป็นเพียงดุจ “ความชัง”

12:27   “เป็นทุกข์” (troubled)  -มธ.26:38-39;มก.14:34-36;ลก.22:42

“ช่วงเวลานี้” (this hour) = การที่พระเยซูเผชิญกับสภาพของการกลายเป็นเหมือนคนบาปหรือเครื่องบูชาไถ่บาป เพื่อคนบาป(2คร.5:21)  ซึ่งเป็นเหตุผลที่พระองค์เสด็จมาเพื่อสิ้นพระชนม์

12:28   “ขอพระองค์ทรงให้พระนามของพระองค์รับพระเกียรติ” ( Father, glorify thy name) = พระเยซูไม่ได้อธิษฐานขอการช่วยกู้ แต่ทูลขอให้พระบิดาได้รับพระเกียรติสิริ (ปท.มธ.6:9)

12:31   “การพิพากษามาถึงโลกนี้แล้ว” (Now is the judgment of this world)  -ไม้กางเขนคือการพิพากษาของพระเจ้าที่มีต่อโลกที่ปฏิเสธการช่วยเหลือของพระองค์

            “ผู้ครองโลกนี้” (the ruler of this world   ) = ซาตาน (16:11) คิดว่า ไม้กางเขนเป็นเครื่องหมายแห่งการประกาศชัยชนะของมัน แต่ในความเป็นจริง กลับกลายเป็นเครื่องพิสูจน์ความพ่ายแพ้ของมัน

12:32   “ถูกยกขึ้น” (lifted up) = การถูกตรึงของพระเยซูบนไม้กางเขน (ข.33) การเป็นขึ้นและเสด็จสู่สวรรค์ ประทับที่เบื้องขวาของพระหัตถ์ของพระเจ้า (ข.41;3:14;8:28;กจ.2:33;5:31)

            “นำทุกคน” (draw all people) = พระเยซูจะนำคนมาหาพระองค์ โดยไม่จำกัดที่เชื้อชาติ สัณชาติ หรือสถานภาพ

12:34   “ธรรมบัญญัติ” (the Law) = พันธสัญญาเดิมโดยทั่วไป (10:34), อาจอ้างถึง ข้อพระคัมภีร์ เช่น สดด.89:30-37;110:4;อสย.9:7

            “บุตรมนุษย์” (the Son of Man) –ในที่นี้เป็นที่เดียวในพระกิตติคุณทั้งหมด ซึ่งคนอื่นพูดถึงพระเยซูในฐานะบุตรมนุษย์  (ไม่ใช่พระเยซูเป็นผู้พูด)  -มก.8:31;มธ.8:20

12:35   “ความสว่าง” (The light) = หมายถึง องค์พระเยซู และเรียกให้เชื่อในความสว่าง (1:4;8:12)

12:37   “พวกเขาก็ยังไม่วางใจในพระองค์” (they still did not believe in him) = ยังไม่ยอมเชื่อในพระองค์ ทั้ง ๆ ที่เห็นหมายสำคัญที่พระเยซูกระทำ (ยน.2:11)

12:39   “พวกเขาจึงวางใจไม่ได้” (they could not believe) = พวกเขาจึงไม่อาจเชื่อ เพราะพวกเขาตั้งใจปฏิเสธพระเจ้า และเลือกทางชั่วร้าย

            -พระเจ้าจึงตอบกลับโดยการให้ตาของพวกเขามืดบอดและหัวใจของพวกเขาแข็งกระด้าง

            -แต่ก็มีบางคนในพวกเขาที่เชื่อพระองค์ แม้ไม่กล้าแสดงตัว (12:42)

12:40   -ทั้งพระเยซู (มธ.13:13-14;มก.4:12;ลก.8:10)  และเปาโล (กจ.28:26-27) อ้างพระธรรมตอนนี้ จากอิสยาห์ 6:10 ( ปท.มก.4:12;ลก.8:10)

12:41   “เห็นพระสิริของพระองค์” (saw his glory) –อิสยาห์กล่าวถึงพระเกียรติสิริของพระเจ้า (อสย.6:3) ยอห์นกล่าวถึงพระเกียรติสิริของพระเยซูคริสต์ และยืนยันว่า พระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า (ฮบ.1:6,10)

-อิสยาห์เห็นล่วงหน้าว่า พระเยซูจะถูกปฏิเสธ (อสย.53:1;6:10) แต่กางเขนกลับกลายเป็นพระเกียรติสิริ เพราะก่อเกิดความตาย และการเป็นขึ้นจากตายและการได้รับการเทิดทูน เป็นภาพของการทนทุกข์เพื่อไถ่รักษา การถูกปฏิเสธ การมีชัยชนะ การถูกเหยียดหยามและพระเกียรติสิริ

12:42   “ในพวกเจ้าหน้าที่เองก็มีหลายคนวางใจในพระองค์”(many even of the authorities believed in him)  –แม้จะถูกต่อต้าน แต่ก็มีผู้นำยิวหลายคนมาเชื่อ (1:7) แม้จะเชื่ออย่างลับ ๆ เพราะกลัวถูกอเปหิ (9:22) ตัวอย่าง นิโคเดมัส และโยเซฟ ชาวอาริมาเธีย (3:1-2;19:38-39)

12:44   “ประกาศ” (cried ) = ทรงร้อง(เสียงดัง)

“คนที่วางใจในเรา” ( He that believeth on me) = ยอห์นปิดท้ายเรื่องราวพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ด้วยการเชิญชวนให้คนมาเชื่อศรัทธาในพระองค์ (1:7;20:31)

12:46   “เราเข้ามาในโลก” ( I have come into the world) = เปิดเผยว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนมาบังเกิดในโลกและกระทำพันธกิจของพระองค์ (ข.35-36)

12:47   “เพื่อพิพากษา” ( to judge) = พระองค์ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายในการเสด็จมาเพื่อพิพากษา แต่ผลที่ตามมาก็คือการพิพากษาผู้ที่ปฏิเสธไม่รับความรอด

12:49   “พระบิดาผู้ทรงใช้เรามาเป็นผู้บัญชาเราว่าจะกล่าวอะไร หรือพูดอะไร” (the Father who sent me has himself given me a commandment—what to say and what to speak.) = เมื่อคำตรัสของพระเยซูเป็นสิ่งที่พระเจ้าบัญชาให้พระเยซูตรัส ผู้ที่ฟังต้องรับผิดชอบทั้งหมดต่อสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เพราะการปฏิเสธถ้อยคำของพระเยซูก็เท่ากับการปฏิเสธพระเจ้า

12:50   “ชีวิตนิรันดร์” ( eternal life) -3:15

            “เพราะฉะนั้น” ( therefore) = พระเยซูตรัสว่า สิ่งที่พระองค์กระทำก็เพื่อทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จ (ข.44)

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยซาบซึ้งและแสดงความขอบคุณพระเจ้า โดยจ่ายราคาแพงมากหรือไม่? เรื่องอะไร? และอย่างไร?
  2. คุณเคยพบคนที่พูดจาดี แต่ทำตรงกันข้าม (เข้าทำนอง “ปากปราศรัยใจเชือดคอ”) บ้างไหม? อย่างไร?
  3. คุณเคยถูกปองร้าย เพราะเหตุที่อยู่ฝ่ายพระเยซูบ้างหรือไม่? อย่างไร? แล้วคุณรอดพ้นมาได้อย่างไร?
  4. คุณเคยเป็นพยานและนำผู้ใดมาหาพระเยซูคริสต์บ้างไหม? แล้วผลเป็นอย่างไร?
  5. คุณพร้อมที่จะยอมสละชีวิตเพื่อรับใช้และถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าหรือไม่? ทำไม?
  6. คุณเคยเผชิญกับสภาวะที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตและได้ทูลขอพระเจ้าให้ช่วยเหลือ แต่พระเจ้ากลับไม่ได้ช่วยเราให้รอดพ้นบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? แล้วคุณมีปฏิกิริยาอย่างไร?
  7. คุณเคยเห็นคนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ แต่ไม่กล้าเปิดเผยบ้างหรือไม่? เพราะอะไร? แล้วภายหลังมีผู้ใดกล้าประกาศตนรับเชื่อหรือไม่? ทำไม?
  8. คุณเป็นคนที่รักการชมของมนุษย์มากกว่าการชมของพระเจ้าหรือไม่? จะเป็นเช่นนั้นตลอดไปหรือไม่? ทำไม?

 

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระกิตติคุณยอห์น บทเรียนที่ 11

ถ้าเธอเชื่อ ก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

พระธรรม        ยอห์น 11:1-57

อ้างอิง             มธ.9:24;10:3;21:17;มก.14:3;ลก.7:38;10:38-42;19:41;24:2;ยน.3:15;8:59;10:40;19:40;20:7;กจ.1:13;โยบ 2:11;ดนล.12:2

บทนำ               เวลาของพระเจ้าอาจจะไม่เหมือนเวลาของเรา

                          คำร้องทูลขอของเราอาจไม่ได้รับคำตอบในทันที

                          แต่หากเราไว้วางใจพระองค์ พระองค์จะทำให้เกิดผลดีในเวลาของพระองค์!

บทเรียน

11:1 “มีชายคนหนึ่งชื่อลาซารัสกำลังป่วยอยู่ที่เบธานี ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มารีย์และมารธาพี่สาวของนางอยู่นั้น”

     (Now a man named Lazarus was sick. He was from Bethany, the village of Mary and her sister Martha.)

11:2 “มารีย์คนนี้คือหญิงที่เอาน้ำมันหอมชโลมพระองค์ และเอาผมเช็ดพระบาทของพระองค์ ลาซารัสน้องชายของนางกำลังป่วยอยู่” 

    (This Mary, whose brother Lazarus now lay sick, was the same one who poured perfume on the Lord and wiped his feet with her hair.) 

11:3 “ดังนั้นพี่สาวทั้งสองจึงส่งข่าวไปทูลพระเยซูว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า คนที่พระองค์ทรงรักนั้นกำลังป่วยอยู่” 

       (So the sisters sent word to Jesus, “Lord, the one you love is sick.)

11:4 “แต่เมื่อพระเยซูทรงได้ยิน พระองค์ตรัสว่า “โรคนี้จะไม่ถึงตาย แต่เกิดขึ้นเพื่อเชิดชูพระเกียรติของพระเจ้า เพื่อให้พระบุตรของพระองค์​ได้รับเกียรติเพราะโรคนี้

    (When he heard this, Jesus said, “This sickness will not end in death. No, it is for God’s glory so that God’s Son may be glorified through it.)

11:5 “พระเยซูทรงรักมารธาและน้องสาวของนางและลาซารัส” 

       (Now Jesus loved Martha and her sister and Lazarus.)

11:6 “เมื่อพระองค์ทรงได้ยินว่าลาซารัสป่วย พระองค์กลับทรงพักอยู่ต่ออีกสองวันในที่ที่พระองค์ประทับอยู่นั้น” 

      (So when he heard that Lazarus was sick, he stayed where he was two more days,)

11:7 “หลังจากนั้นพระองค์ตรัสกับพวกสาวกว่า “ให้เรากลับเข้าไปในแคว้นยูเดียกันอีก” 

       (and then he said to his disciples, “Let us go back to Judea.)

11:8 “พวกสาวกทูลพระองค์ว่า“พระอาจารย์เมื่อเร็วๆ นี้พวกยิวหาโอกาสเอาหินขว้างพระองค์ให้ตายแล้วพระองค์ยังจะเสด็จไปที่นั่นอีก​หรือ?”

     (“But Rabbi,” they said, “a short while ago the Jews there tried to stone you, and yet you are going back?”)

11:9 “พระเยซูตรัสตอบว่า“กลางวันมีสิบสองชั่วโมงไม่ใช่หรือ? ถ้าใครเดินตอนกลางวันเขาจะไม่สะดุด เพราะเขาเห็นความสว่างของโลกนี้” 

    (Jesus answered, “Are there not twelve hours of daylight? Anyone who walks in the daytime will not stumble, for they see by this world’s light.)

11:10 “แต่ถ้าใครเดินตอนกลางคืนเขาจะสะดุด เพราะไม่มีความสว่างในตัวเขา” 

     (It is when a person walks at night that they stumble, for they have no light.”)

11:11 “พระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้วจึงตรัสกับพวกเขาว่า “ลาซารัสสหายของพวกเราหลับไปแล้ว แต่เรากำลังจะไปปลุกให้เขาตื่น” 

     (After he had said this, he went on to tell them, “Our friend Lazarus has fallen asleep; but I am going there to wake him up.”)

11:12 “พวกสาวกทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าเขาหลับอยู่ เขาก็จะมีอาการดีขึ้น” 

     (His disciples replied, “Lord, if he sleeps, he will get better.”)

11:13 “พระเยซูตรัสถึงการตายของลาซารัส แต่พวกสาวกคิดว่าพระองค์ตรัสถึงการนอนหลับพักผ่อน” 

     (Jesus had been speaking of his death, but his disciples thought he meant natural sleep.)

11:14 “ดังนั้นพระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาตรงๆ ว่า “ลาซารัสตายแล้ว” 

      (So then he told them plainly, “Lazarus is dead,)

11:15 “และเพราะเห็นแก่พวกท่านเราจึงยินดีที่เราไม่ได้อยู่ที่นั่นเพื่อท่านจะได้เชื่อ อย่างไรก็ดี ให้พวกเราไปหาเขากันเถิด” 

      (and for your sake I am glad I was not there, so that you may believe. But let us go to him.)

11:16 “โธมัสที่เรียกว่า “ดิดุโมส” จึงพูดกับเพื่อนสาวกว่า “ให้เราไปด้วยกันกับพระองค์เพื่อจะได้ตายกับพระองค์

       (Then Thomas (also known as Didymus) said to the rest of the disciples, “Let us also go, that we may die with him.)

11:17 “เมื่อพระเยซูเสด็จมาถึงก็พบว่าเขาเอาลาซารัสไปไว้ในอุโมงค์ฝังศพสี่วันแล้ว” 

        (On his arrival, Jesus found that Lazarus had already been in the tomb for four days.)

11:18 “หมู่บ้านเบธานีอยู่ใกล้กรุงเยรูซาเล็ม คือห่างกันประมาณสามกิโลเมตร” 

        (Now Bethany was less than two miles from Jerusalem,)

11:19 “พวกยิวหลายคนมาหามารธาและมารีย์เพื่อปลอบโยนเรื่องน้องชาย”

      (and many Jews had come to Martha and Mary to comfort them in the loss of their brother. )

11:20 “เมื่อมารธารู้ข่าวว่าพระเยซูกำลังเสด็จมา นางก็ออกไปต้อนรับพระองค์ แต่มารีย์นั่งอยู่ในบ้าน”

      (When Martha heard that Jesus was coming, she went out to meet him, but Mary stayed at home.)

11:21 “มารธาทูลพระเยซูว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพระองค์อยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย”

         (“Lord,” Martha said to Jesus, “if you had been here, my brother would not have died.)

11:22 “แต่ข้าพระองค์ก็ทราบว่าไม่ว่าสิ่งใดที่พระองค์ทูลขอจากพระเจ้าในเวลานี้ พระเจ้าก็จะประทานแก่พระองค์” 

          (But I know that even now God will give you whatever you ask.”)

11:23 “พระเยซูตรัสกับนางว่า “ลาซารัสจะเป็นขึ้นมาอีก” 

       (Jesus said to her, “Your brother will rise again.”)

11:24 “มารธาทูลพระองค์ว่า “ข้าพระองค์ทราบว่าเขาจะเป็นขึ้นในวันสุดท้ายเมื่อคนทั้งปวงจะเป็นขึ้นมา” 

     (Martha answered, “I know he will rise again in the resurrection at the last day.”)

11:25 “พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราเป็นชีวิตและการเป็นขึ้นจากตาย คนที่วางใจในเราจะมีชีวิตอีกแม้ว่าเขาจะตายไป” 

    (Jesus said to her, “I am the resurrection and the life. The one who believes in me will live, even though they die;)

11:26 “และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเลย เธอเชื่ออย่างนี้ไหม?” 

     (and whoever lives by believing in me will never die. Do you believe this?”)

11:27 “มารธาทูลพระองค์ว่า “เชื่อ องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์เชื่อว่าพระองค์เป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าที่เสด็จมาในโลก

    (“Yes, Lord,” she replied, “I believe that you are the Messiah, the Son of God, who is to come into the world.”)

11:28 “เมื่อทูลอย่างนี้แล้ว มารธาก็กลับไปเรียกมารีย์น้องสาว กระซิบว่า “อาจารย์เสด็จมาแล้วและทรงเรียกเธอ

    (After she had said this, she went back and called her sister Mary aside. “The Teacher is here,” she said, “and is   asking for you.”

11:29 “เมื่อมารีย์ได้ยิน ก็รีบลุกขึ้นไปเฝ้าพระองค์” 

     (When Mary heard this, she got up quickly and went to him. )

11:30 “ขณะนั้นพระเยซูยังไม่ได้เสด็จเข้าไปในหมู่บ้าน แต่ยังอยู่ที่ที่มารธาพบพระองค์นั้น”

     (Now Jesus had not yet entered the village, but was still at the place where Martha had met him.)

11:31 “เมื่อพวกยิวกำลังปลอบโยนมารีย์อยู่ที่บ้าน พวกเขาเห็นมารีย์รีบลุกขึ้นเดินออกไป พวกเขาจึงตามไป นึกว่านางจะไปร้องไห้ที่อุโมงค์​ฝังศพ”

    (When the Jews who had been with Mary in the house, comforting her, noticed how quickly she got up and went   out, they followed her, supposing she was going to the tomb to mourn there.)

11:32 “เมื่อมารีย์มาถึงที่ที่พระเยซูประทับอยู่และเห็นพระองค์แล้ว จึงกราบลงที่พระบาทของพระองค์ทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าถ้าพระองค์อยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย” 

   (When Mary reached the place where Jesus was and saw him, she fell at his feet and said, “Lord, if you had been here, my brother would not have died.”)

 11:33 “เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นมารีย์ร้องไห้ และพวกยิวที่ตามมาก็ร้องไห้ด้วย พระองค์สะเทือนพระทัยและทรงเป็นทุกข์”

    (When Jesus saw her weeping, and the Jews who had come along with her also weeping, he was deeply moved in spirit and troubled.)

11:34 “พระองค์ตรัสว่า “พวกท่านเอาศพของเขาไปไว้ที่ไหน?” พวกเขาทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าข้า เชิญมาดูเถิด” 

         (“Where have you laid him?”he asked.“Come and see, Lord,” they replied.)

11:35 “พระเยซูทรงกันแสง”

          (Jesus wept.)

11:36 “พวกยิวจึงกล่าวว่า “ดูสิว่าท่านรักเขาเพียงไร” 

          (Then the Jews said, “See how he loved him!”)

11:37 “แต่บางคนก็พูดว่า “ท่านผู้นี้ทำให้คนตาบอดมองเห็น จะทำให้คนนี้ไม่ตายไม่ได้หรือ?”

         (But some of them said, “Could not he who opened the eyes of the blind man have kept this man from dying?”)

11:38 “พระเยซูสะเทือนพระทัยอีก จึงเสด็จมาถึงอุโมงค์ฝังศพ อุโมงค์นั้นเป็นถ้ำ มีหินก้อนหนึ่งวางปิดปากอุโมงค์ไว้”

(Jesus, once more deeply moved, came to the tomb. It was a cave with a stone laid across the entrance.) 

11:39 “พระเยซูตรัสว่า “จงเอาหินออกเสีย” มารธาพี่สาวของคนตายจึงทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ศพคงจะมีกลิ่นเหม็นแล้ว เพราะ‍ว่าน้องตายมาสี่วันแล้ว” 

    (“Jesus said, “Take away the stone.” Martha, the sister of the dead man, said to him, “Lord, by this time there will be an odor, for he has been dead four days.”)

11:40 “พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือว่า ถ้าเธอเชื่อ ก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า?”

     (Then Jesus said, “Did I not tell you that if you believe, you will see the glory of God?”)

11:41 “พวกเขาจึงเอาหินออก พระเยซูแหงนพระพักตร์ขึ้นตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ที่พระองค์โปรดฟังข้า‍พระองค์” 

      (So they took away the stone. Then Jesus looked up and said, “Father, I thank you that you have heard me.)

11:42 “ข้าพระองค์ทราบว่าพระองค์ทรงฟังข้าพระองค์อยู่เสมอ แต่ที่ข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้ก็เพราะเห็นแก่ฝูงชนที่ยืนอยู่ที่นี่เพื่อพวกเขาจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา” 

     (I knew that you always hear me, but I said this for the benefit of the people standing here, that they may believe that you sent me.”)

11:43 “เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงร้องเสียงดังว่า “ลาซารัส ออกมาเถิด” 

     (When he had said this, Jesus called in a loud voice, “Lazarus, come out!”)

11:44 “คนตายนั้นก็ออกมา มีผ้าพันมือและเท้าและที่หน้าก็มีผ้าพันอยู่ด้วยพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า“จงแกะผ้าที่พันออกแล้วปล่อยเขาเถิด

    (The dead man came out, his hands and feet wrapped with strips of linen, and a cloth around his face. Jesus said to them, “Take off the grave clothes and let him go.”)

11:45 “ดังนั้นเมื่อพวกยิวหลายคนที่มาหามารีย์เห็นการกระทำของพระเยซูก็วางใจในพระองค์”

    (Therefore many of the Jews who had come to visit Mary, and had seen what Jesus did, believed in him.)

11:46 “แต่บางคนไปหาพวกฟาริสีเล่าเหตุการณ์ที่พระเยซูทรงทำให้เขาฟัง” 

    (But some of them went to the Pharisees and told them what Jesus had done. )

11:47 “ฉะนั้นพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีก็เรียกประชุมสมาชิกสภาแล้วพูดกันว่า “เราจะทำอย่างไรกันดี เพราะว่าชายคนนี้ทำหมาย‍สำคัญมากมาย?” 

   (Then the chief priests and the Pharisees called a meeting of the Sanhedrin.“What are we accomplishing?” they  asked. “Here is this man performing many signs.)

11:48 “ถ้าเราปล่อยให้เขาทำอย่างนี้ต่อไป ทุกคนก็จะเชื่อถือเขา แล้วพวกโรมันก็จะมาทำลายทั้งพระวิหารและชาติของเรา” 

   (If we let him go on like this, everyone will believe in him, and then the Romans will come and take away  both our temple and our nation.”)

11:49 “แต่คนหนึ่งในพวกเขาที่ชื่อคายาฟาสซึ่งเป็นมหาปุโรหิตในปีนั้น กล่าวกับพวกเขาว่า “พวกท่านช่างไม่เข้าใจอะไรเลย” 

   (Then one of them, named Caiaphas, who was high priest that year, spoke up, “You know nothing at all! )

11:50 “ไม่รู้หรือว่าเป็นการดีสำหรับพวกท่านที่จะมีคนหนึ่งตายเพื่อประชาชน แทนที่จะให้คนทั้งชาติต้องพินาศ” 

   (You do not realize that it is better for you that one man die for the people than that the whole nation perish.”)

11:51 “เขาไม่ได้กล่าวอย่างนั้นตามความคิดของเขาเอง แต่เพราะเหตุที่เขาเป็นมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น เขาจึงกล่าวเป็นคำพยากรณ์​ว่าพระเยซูจะสิ้นพระชนม์แทนชนชาตินั้น” 

   (He did not say this on his own, but as high priest that year he prophesied that Jesus would die for the Jewish        nation,)

11:52 “และไม่ใช่แทนชาติยิวเท่านั้น แต่เพื่อรวบรวมลูกพระเจ้าที่กระจัดกระจายให้รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียว”

   (and not only for that nation but also for the scattered children of God, to bring them together and make them one.)

11:53 “นับตั้งแต่วันนั้นพวกเขาจึงวางแผนที่จะฆ่าพระองค์”

         (So from that day on they plotted to take his life.)   

11:54 “เพราะฉะนั้นพระเยซูจึงไม่เสด็จไปมาท่ามกลางพวกยิวอย่างเปิดเผยอีก แต่เสด็จออกจากที่นั่นไปยังถิ่นที่อยู่ใกล้ถิ่น‍         ทุรกันดาร ถึงเมืองหนึ่งชื่อเอฟราอิม และประทับอยู่ที่นั่นกับพวกสาวก”

     (Therefore Jesus no longer moved about publicly among the people of Judea. Instead he withdrew to a region near the wilderness, to a village called Ephraim, where he stayed with his disciples.)

11:55 “ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลปัสกาของพวกยิวแล้ว มีชาวชนบทจำนวนมากขึ้นไปที่กรุงเยรูซาเล็มก่อนเทศกาลปัสกาเพื่อ ชำระตัว” 

     (When it was almost time for the Jewish Passover, many went up from the country to Jerusalem for their ceremonial cleansing before the Passover.) 

11:56 “เมื่อพวกเขาชุมนุมกันอยู่ในบริเวณพระวิหาร พวกเขาก็มองหาพระเยซูพูดกันว่า “คิดอย่างไร พระองค์จะไม่เสด็จมาในงานเทศกาล​นี้หรือ?”

    (They kept looking for Jesus, and as they stood in the temple courts they asked one another, “What do you think?  Isn’t he coming to the festival at all?” )

11:57 “พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีก็ออกคำสั่งว่า หากใครรู้ว่าพระองค์อยู่ที่ไหน ให้มาบอกพวกเขาเพื่อจะได้ไปจับพระองค์”

    (But the chief priests and the Pharisees had given orders that anyone who found out where Jesus was should report  it so that they might arrest him.)

บทเรียน

11:1   “ลาซารัส” (Lazarus) –ลาซารัสใน ยอห์น 11-12  เป็นคนละคนกับลาซารัสใน ลก.16:19-31; แต่พี่สาว 2 คนของเขาถูกกล่าวถึงใน ลก.10:28-42o

11:2   “เอาน้ำมันหอมชโลมพระองค์” (anointed the Lord with ointment) -12:3

         “เอาผมเช็ดพระบาทของพระองค์” (wiped his feet with her hair) –มก.14:3;ลก.7:38;ยน.12:3

11:3   “คนที่พระองค์ทรงรัก” (he whom you love)  = คนที่สนิทสนมกันเป็นพิเศษ –ยน.11:5,36

11:4   “โรคนี้จะไม่ถึงตาย” (This illness does not lead to death) –เปรียบกับ ยน.9:2-3

         “แต่เกิดขึ้นเพื่อเชิดดูพระเกียรติของพระเจ้า” (It is for the glory of God, so that the Son of God may be glorified   through it.) –ยน.11:40;7:39;12:41;13:31

11:6   “พระองค์กลับทรงพักอยู่ต่ออีกสองวัน” (he stayed two days) = พระเยซูทำตามที่พระเจ้า พระบิดาทรงนำไม่ใช่ตามความปรารถนา ตามใจของมนุษย์ (มารีย์ และมารธา)

-พระองค์ทรงประทับอยู่ต่อที่เพอเรีย ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำจอห์นแดน (10:40)

11:8   “พวกยิว” (Jews) –1:19

         “หาโอกาสเอาหินขว้างพระองค์ให้ตาย” (were just now seeking to stone you) –10:31; มีอันตรายที่รอพระเยซูอยู่ หากพระองค์ไปยูเดีย

11:9   “กลางวันมีสิบสองชั่วโมงไม่ใช่หรือ” (Are there not twelve hours in the day? ) = มีเวลามากพอที่จะทำอะไร ๆ ให้   สำเร็จ แต่ต้องไม่เสียเวลาไปกับการกระทำสิ่งใด ๆ  ที่เปล่าประโยชน์

11:11 “หลับไปแล้ว” (has fallen asleep) = คำสุภาพหมายความว่า “ตายแล้ว”  -มธ.9:24

11:15 “จะได้เชื่อ” (may believe) –1:7;20:31

11:16 “ดิดุโมส” (Didymus) = อีกชื่อหนึ่งในภาษากรีกของโธมัส (ภาษาฮีบรู) ทั้ง 2 คำล้วนแปลว่า = ฝาแฝด

-บางฉบับก็แปลชื่อเป็น “ดิไดมัส”

11:17 “เอาลาซารัสไปไว้ในอุโมงค์ฝังศพสี่วันแล้ว” (Lazarus had already been in the tomb four days.)  –

          จากคำอธิบายในข้อ 4 คนยิวหลายคนเชื่อว่า วิญญาณจะอยู่ใกล้ร่างเป็นเวลา 3 วันหลังจากที่ตาย เพราะหวังว่าจะได้กลับเข้าร่างอีก   ดังนั้น การที่ลาซารัสตายไป 4 วันแล้วจึงเป็นการดับความหวังของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง

11:18 “หมู่บ้านเบธานี” (Bethany) –มธ.21:17  อยู่ห่างจากกรุงเยรูซาเล็ม 3 กิโลเมตร

11:19 “เพื่อปลอบโยนเรื่องน้องชาย” (console them concerning their brother) = ธรรมเนียนชาวยิว จะมีการไว้ทุกข์ เพราะ  ความโศกเศร้ามาก ๆ อยู่ราว 3 วัน จากนั้นจะไว้ทุกข์เพราะความเศร้าต่ออีก 4 วัน ตามด้วยไว้ทุกข์ตามปกติอีก 21 วัน

11:20 “นางก็ออกไปต้อนรับพระองค์”(she went out to meet Him)–มารธาออกไปต้อนรับพระเยซูคริสต์ในฐานะเจ้าของบ้าน  และเป็นพี่สาวคนโต

11:21 “ถ้าพระองค์อยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย” (Lord, if you had been here, my brother would not have  died) = มารีย์ก็พูดประโยคนี้ ใน 11:32 ;    พี่น้อง 2 คนนี้คงคิดเช่นนี้ และพูดเช่นนี้หลายครั้งในขณะที่เฝ้ารอพระเยซูมา

11:22 “สิ่งใดที่พระองค์ทูลขอจากพระเจ้าในเวลานี้ พระเจ้าก็จะประทานแก่พระองค์” (that whatever you ask from    

           God, God will give you) = มารธาคาดหวังว่า ลาซารัสจะฟื้นคืนชีพหลังจากศพเริ่มเน่าแล้ว เพราะเชื่อว่า พระเจ้ากระทำได้ –ปฐก.18:14;ยรม.32:17,27

11:24 “เขาจะเป็นขึ้นในวันสุดท้าย เมื่อคนทั้งปวงจะเป็นขึ้นมา” (he will rise again in the resurrection on the last day)

          –ดนล.12:2;ยน.5:28-29;กจ.24:15;ยน.6:39-40

11:25 “เราเป็นชีวิตและการเป็นขึ้นจากตาย” (I am the resurrection and the life.) –6:35;1:14 –พระเยซูตรัสว่า ความตายไม่มีอำนาจเหนือพระองค์ –14:6;กจ.3:15;ฮบ.7:16

“คนที่วางใจในเราจะมีชีวิตอีก” (Whoever believes in me, though he die, yet shall he live) -1:7; พระเยซูไม่เพียงเป็น “ชีวิต” แต่พระองค์จะนำชีวิตมาสู่ผู้ที่เชื่อในพระองค์  เพื่อความตายจะไม่มีชัยชนะเหนือเขา  – 1คร.15:57

11:26 “จะไม่ตายเลย” ( shall never die)  = ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์อาจตายฝ่ายกาย แต่นั่นไม่ใช่จุดจบ เพราะเขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์ (11:25;มธ.25:46)

11:27 “เชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์เชื่อ” (  Yes, Lord; I believe) –มารธามีความเชื่อ แม้ว่าเธออาจจะเหวี่ยงวีนในบางครั้ง(ลก.10:40-41)

11:28 “อาจารย์” (The Teacher   ) =  หมายถึง อาจารย์ชาวยิว (รับบี) ซึ่งปกติจะไม่สอนพวกผู้หญิง แต่พระเยซูคริสต์กลับสอน พวกผู้หญิงบ่อย ๆ  (ลก.10:38-42)

11:31 “ร้องไห้ที่อุโมงค์ฝังศพ” (going to the tomb to weep there.  ) = เป็นเรื่องปกติในสมัยนั้น

11:33 “ร้องไห้ ….ร้องไห้ด้วย” ( weeping, … also weeping )= ทั้ง 2 ครั้งบ่งบอกถึงการแสดงความเศร้าโศกด้วยเสียงอันดังด้วยการคร่ำครวญสะเทือนใจ (12:27;13:21)

11:35 “พระเยซูทรงกันแสง” (Jesus wept) = พระเยซูร้องไห้ แต่คำว่า ร้องไห้ในตอนนี้ แตกต่างจากคำว่า ร้องให้ในข้ออื่นๆ ในภาษากรีก ในข้ออื่นการร้องไห้ เป็นแบบร้องคร่ำครวญเสียงดัง ในข้อ 33    แต่ในข้อนี้ หมายความถึง การร้องไห้อย่างเงียบ ๆ (เช่นน้ำตาไหล) –ลก.19:41

11:37 “ทำให้คนตาบอดมองเห็น  จะทำให้คนนี้ไม่ตายไม่ได้หรือ?”  (“Could not he who opened the eyes of the blind man also have kept this man from dying?) = พวกเขาคิดเหมือนมารธา ในข้อ 21 และมารีย์ ในข้อ 32  โดยโยงไปกับเรื่องที่พระเยซูรักษาคนตาบอดให้มองเห็นได้ในบทที่ 9

11:38 “อุโมงค์ฝังศพ อุโมงค์นั้นเป็นถ้ำ” (came to the tomb, It was a cave)  = เป็นหลุมฝังศพแบบปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่รวย เป็นถ้ำที่มีหินก้อนหนึ่งปิดทางเข้า (20:1;มก.15:46;ลก.24:2)

11:39 “น้องตายมาสี่วันแล้ว” (he has been dead four day)  -ข.4,17

11:40 “ถ้าเธอเชื่อ”  ( if you believed) –ยน.11:23-25

“ก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า” (you would see the glory of God) = บางฉบับแปลว่า “จะเห็นพระเกียรติสิริของพระเจ้า” –ยน.11:4

11:41 “แหงนพระพักตร์ขึ้น” (lifted up his eyes) –ยน.17:1;  “ข้าแต่พระบิดา” (Father) –มธ.11:25

11:42 “เพราะเห็นแก่ฝูงชนที่ยืนอยู่ที่นี่” (for the benefit of the people standing around)  -บางฉบับแปลว่า “เพื่อประโยชน์ ของผู้คนที่ยืนอยู่ที่นี่” –ยน.12:30

         “เพื่อพวกเขาจะได้เชื่อว่า พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา” (that they may believe that you sent me.) –ยน.3:17

11:43 “ลาซารัสออกมาเถิด” (Lazarus, come out) –ลก.7:14

11:44 “มีผ้าพันมือและเท้า” (his hands and feet bound) -ยน.19:40 เป็นแถบผ้าลินินแถบเล็ก ๆ เหมือนผ้าพันแผล – ใช้ห่อศพ -19:40

“ที่หน้าก็มีผ้าพันอยู่ด้วย” (his face wrapped with a cloth) = คนละชิ้นกับผ้าพันศพ –ยน.20:7

11:45    “พวกยิวหลายคน …. ก็วางใจในพระองค์” (the Jews therefore…believed in him) –บางคนอาจเคยต่อต้านพระเยซู แต่เวลานี้หันมาเชื่อพระองค์ (1:7,19;20:31) ปท. ยน.2:23;7:31;อพย.14:31

11:47    “พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสี” (the chief priests and the Pharisees ) = พวกที่เป็นตัวการในการต่อต้านพระเยซูมาตลอด เขาไม่มีอำนาจทางการเมือง (มธ.2:4) แม้พวกมหาปุโรหิตเป็นแกนนำ ที่นำพระเยซูไปสู่การถูกตรึงที่กางเขน

-คนทั้ง 2 กลุ่มนี้ มีส่วนในการประชุมสภาแซนฮีดริน (มก.14:55)

-พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธว่า พระเยซูทรงกระทำการอัศจรรย์ได้ (2:11) แต่พวกเขาไม่เข้าใจความหมายของหมายสำคัญเหล่านั้น เพราะพวกเขาไม่เชื่อ –ยน.11:57;มธ.26:3;5:22

11:48 “พระวิหาร” ( our place) –กจ.6:13;21:28

11:49 “คายาฟาส”(Caiaphas) = มหาปุโรหิตในช่วง ค.ศ. 18-36   เป็นลูกเขยของอันนาส (18:13) ซึ่งเคยถูกโรมันปลดจากตำแหน่งมหาปุโรหิต ใน ค.ศ. 15

“มหาปุโรหิตในปีนั้น” ( who was high priest that year) = มหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น (ในเวลานั้น)

–มธ.26:3;ยน.11:5,1;18:13-14

“พวกท่านช่างไม่เข้าใจอะไรเลย” (You know nothing at all) = เป็นรูปแบบการตอบโต้ที่หยาบคายของพวกสะดูสี

(คายาฟาส เป็นสะดูสี)  ,  โจซีฟัสนักประวัติศาสตร์ยิว บันทึกว่า สะดูสีจะพูดแบบหยาบคาย กับพรรคพวกเหมือนกับพูดกับคนต่างด้าว (มธ.3:7)

11:50 “เป็นการดีที่จะมีคนหนึ่งตาย แทนที่จะให้คนทั้งชาติต้องพินาศ” (it is better for you that one man should die for the people, not that the whole nation should perish.) –ในบางฉบับแปลว่า “ดียิ่งกว่า”

-คายาฟาสเป็นห่วงเรื่องผลประโยชน์ทางการเมือง โดยไม่คำนึงถึงความถูกผิด หรือความบริสุทธิ์

-เขาเชื่อว่า คนหนึ่งสมควรตาย เพื่อไม่ให้ชาติตกอยู่ในอันตราย ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะผิดหรือไม่ก็ตาม

แต่กระนั้น ประเทศอิสราเอลก็ล่มจมลงในปี ค.ศ.70   -ยน.18:14

11:51 “เขาเป็นมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น” (but being high priest that year) = คายาฟาส ไม่ใช่เป็นพลเมืองธรรมดา แต่ในเวลานั้นเขาเป็นมหาปุโรหิตของพระเจ้า –11:49

“เขาจึงกล่าวเป็นคำพยากรณ์” ( he prophesied)  -คำพูดของคายาฟาสได้กลายเป็นคำพยากรณ์ที่เป็นจริงอย่างที่เขาคาดคิดไม่ถึง

11:52 “ไม่ใช่แทนชาติยิวเท่านั้น แต่เพื่อรวบรวมลูกพระเจ้าที่กระจัดกระจายให้รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน”

 (not for the nation only, but also to gather into one the children of God who are scattered abroad)

         -การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูจะส่งผลไปไกลกว่าประเทศชาติอิสราเอล (1:29;3:16;4:42;10:16)-อสย.49:6;ยน.10:16

11:53 “เขาจึงวางแผนที่จะฆ่าพระองค์” (they made plans to put him to death.) –มธ.12:14

11:54 “ไม่เสด็จไปมาท่ามกลางพวกยิวอย่างเปิดเผยอีก” (no longer walked openly among  the Jews ) –ยน.7:1

“แต่เสด็จออกจากที่นั่น” (but went from there) = ปลีกตัวออกไป เพราะพระองค์จะไม่สิ้นพระชนม์ก่อนถึง “เวลา” ของพระองค์ (2:4)

  • พระองค์จะไม่ทำอะไรโดยมุทะลุหรือประมาท
  • พระองค์รู้แผนการ/ท่าทีของผู้ที่ต่อต้านพระองค์
  • พระองค์จะสิ้นพระชนม์ตามเวลาของพระองค์

11:55 “เทศกาลปัสกา” (the Passover) –ยน.2:13;13:1;5:1;อพย.12:13,23,27;มธ.26:1-2;มก.14:1

“เพื่อชำระตัว” (purify themselves.) = ชำระตนตามระเบียบพิธี ซึ่งนับเป็นสิ่งสำคัญมากของพวกยิว ในเทศกาลอย่างปัสกา และถ้าไม่ทำก็ไม่สามารถเข้าร่วมเทศกาลได้ (2:6;18:28) –2พศด.30:17-18

11:56 “มองหาพระเยซู” (looking for Jesus) –ยน.7:11

         “จะไม่เสด็จมาในงานเทศกาลนี้หรือ?” (will not come to the feast at all?) = คำถามที่อยากให้ตอบว่า “ไม่”

 

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณจะรู้สึกอย่างไร หากว่าคุณรักและทุ่มเทเพื่อพระเจ้า แต่ยามที่คุณมีปัญหาที่ทำให้ทุกข์ใจ คุณร้องทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า แต่พระองค์กลับชักช้าไม่ช่วยเหลือคุณอย่างที่คุณต้องการ? และสิ่งนั้นส่งผลกระทบอะไรต่อความเชื่อศรัทธาหรือความภักดีของคุณบ้าง? อย่างไร?
  2. คุณเคยได้รับคำบัญชาจากรพระเจ้าให้ทำอะไรที่เสี่ยงอันตรายหรือล่อแหลมต่อสวัสดิภาพบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? แล้วผลเป็นอย่างไร?
  3. คุณเคยเห็นสภาพหรือสภาวะที่ดูสิ้นหวัง และพี่น้องของคุณโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมากหรือไม่? เรื่องอะไร?
  4. คุณเคยเห็นพระเจ้ากระทำการอัศจรรย์อะไรที่เกินความคาดคิดของคุณบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? อย่างไร? และสอนอะไรคุณบ้าง?
  5. คุณเคยน้อยใจหรือเห็นพี่น้องคนอื่นน้อยใจที่พระเจ้าไม่อยู่กับคุณ(หรือเขา)ในยามที่คุณ(หรือเขา)ต้องการบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? แบ่งปัน
  6. คุณเคยปลอบโยนผู้ใดที่กำลังโศกเศร้าเสียใจ(เพราะสูญเสียคนที่รักไป) บ้างหรือไม่? คุณปลอบเขาอย่างไร? ได้ผลหรือไม่?
  7. คุณเคยร้องไห้เพราะความสะเทือนใจในเรื่องใดบ้างหรือไม่? ทำไม (แบ่งปัน)
  8. คุณเคยมีประสบการณ์กับคำตรัสของพระเยซูที่ว่า “ถ้าเธอเชื่อ ก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า” บ้างหรือไม่?
  9. เคยมีคนปองร้ายคอยเล่นงานคุณหรือไม่? พวกเขาคือใคร? และเขาทำเช่นนั้นทำไม?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระกิตติคุณยอห์น บทเรียนที่ 10

ผู้เลี้ยงที่ดี

พระธรรม        ยอห์น 10:1-42

อ้างอิง            มก.6:34;9:32;ยน.16:25;6:35;5:40;3:15;1:4;ยรม.23:1;อสค.34:2;สดด.23:1;อสย.56:8;1ปต.2:25;5:4; ฮบ.13:20

บทนำ

            พระเยซูคริสต์เป็นผู้เลี้ยงที่ดี ที่รัก และปกป้องฝูงแกะในการดูแลของพระองค์

            เราทั้งหลายควรจะเลียนแบบอย่างของพระองค์ในการดูแลมวลหมู่สมาชิกในการดูแลของเราเช่นกัน

            และหากว่าเราเป็นแกะในการดูแลของพระคริสต์ และศิษยาภิบาลของคริสตจักร เราก็ควรที่จะตามการนำของพระองค์ และศิษยาภิบาลของคริสตจักรด้วยเช่นกัน

บทเรียน

10:1 “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า คนที่ไม่ได้เข้าไปในคอกแกะทางประตู แต่ปีนเข้าไปทางอื่นนั้นเป็นขโมยและโจร

    (Very truly I tell you Pharisees, anyone who does not enter the sheep pen by the gate, but climbs in by some other way, is a thief and a robber.)

10:2 “แต่คนที่เข้าทางประตูก็เป็นผู้เลี้ยงแกะ” 

    (The one who enters by the gate is the shepherd of the sheep.)

10:3 “คนเฝ้าประตูจึงเปิดประตูให้คนนั้น แกะย่อมฟังเสียงของท่าน ท่านเรียกชื่อแกะของท่าน และนำออกไป”

    (The gatekeeper opens the gate for him, and the sheep listen to his voice. He calls his own sheep by name and leads them out.)

10:4 “เมื่อท่านต้อนแกะของท่านออกไปหมดแล้วก็เดินนำหน้า และแกะก็ตามไปเพราะรู้จักเสียงของท่าน” 

    (When he has brought out all his own, he goes on ahead of them, and his sheep follow him because they know his voice.)

10:5 “ส่วนคนอื่นแกะจะไม่ตามเลย แต่จะหนีจากเขา เพราะไม่รู้จักเสียงของคนอื่น” 

    (But they will never follow a stranger; in fact, they will run away from him because they do not recognize a  stranger’s voice.)

10:6 “เรื่องเปรียบนี้พระเยซูตรัสกับพวกเขา แต่เขาเหล่านั้นไม่เข้าใจความหมายของพระดำรัสที่พระองค์ตรัสกับเขาเลย”

     (Jesus used this figure of speech, but the Pharisees did not understand what he was telling them.)

10:7 “พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาอีกว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า เราเป็นประตูของแกะทั้งหลาย”

    (Therefore Jesus said again, “Very truly I tell you, I am the gate for the sheep.

10:8 “ทุกคนที่มาก่อนเรานั้นเป็นขโมยและโจร แต่ฝูงแกะไม่ได้ฟังพวกเขา” 

     (All who have come before me are thieves and robbers, but the sheep have not listened to them.)

10:9 “เราเป็นประตู ถ้าใครเข้าไปทางเรา คนนั้นจะรอด เขาจะเข้าออกแล้วก็จะพบอาหาร” 

    (I am the gate; whoever enters through me will be saved. They will come in and go out, and find pasture.)

10:10 “ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลัก ฆ่า และทำลาย เรามาเพื่อพวกเขาจะได้ชีวิตและจะได้อย่างครบบริบูรณ์” 

    (The thief comes only to steal and kill and destroy; I have come that they may have life, and have it to the full.)

10:11 “เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ผู้เลี้ยงที่ดีย่อมสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ”

     (“I am the good shepherd. The good shepherd lays down his life for the sheep.)

10:12 “คนที่รับจ้างไม่ได้เป็นผู้เลี้ยงแกะ ฝูงแกะไม่ได้เป็นของเขา เมื่อเห็นสุนัขป่ามาเขาจึงละทิ้งฝูงแกะหนีไป สุนัขป่าก็ไล่กัดกิน​พวกแกะจนกระจัดกระจาย” 

     (The hired hand is not the shepherd and does not own the sheep. So when he sees the wolf coming, he abandons the sheep and runs away. Then the wolf attacks the flock and scatters it.)

10:13 “เขาหนีเพราะเขาเป็นเพียงลูกจ้างและไม่ได้เป็นห่วงแกะเลย” 

    (The man runs away because he is a hired hand and cares nothing for the sheep.)

10:14 “เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี เรารู้จักแกะของเราและแกะของเราก็รู้จักเรา” 

     (“I am the good shepherd; I know my sheep and my sheep know me—)

10:15 “เหมือนอย่างที่พระบิดาทรงรู้จักเราและเรารู้จักพระบิดา และเราสละชีวิตเพื่อฝูงแกะ” 

     (just as the Father knows me and I know the Father—and I lay down my life for the sheep.)

10:16 “แกะอื่นที่ไม่ได้เป็นของคอกนี้เราก็มีอยู่ แกะพวกนั้นเราก็ต้องพามาด้วย และแกะพวกนั้นจะฟังเสียงของเราแล้วจะรวม​เป็นฝูงเดียวและมีผู้เลี้ยงเพียงผู้เดียว”

     (I have other sheep that are not of this sheep pen. I must bring them also. They too will listen to my voice, and there shall be one flock and one shepherd.)

10:17 “เพราะเหตุนี้พระบิดาจึงทรงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเราเพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก”

     (The reason my Father loves me is that I lay down my life—only to take it up again.)

10:18 “ไม่มีใครชิงชีวิตไปจากเราได้ แต่เราสละชีวิตตามที่เราตั้งใจเอง เรามีสิทธิอำนาจที่จะสละชีวิตนั้นและมีสิทธิอำนาจที่จะ​รับคืนมาอีก คำกำชับนี้เราได้รับมาจากพระบิดาของเรา

      (No one takes it from me, but I lay it down of my own accord. I have authority to lay it down and authority to take it up again. This command I received from my Father.”)

10:19 “คำสอนเหล่านี้ทำให้พวกยิวแตกคอกันอีก” 

     (The Jews who heard these words were again divided. )

10:20 “พวกเขาหลายคนพูดว่า “เขามีผีสิงและเป็นบ้า ไปฟังเขาทำไม?” 

     (Many of them said, “He is demon-possessed and raving mad. Why listen to him?”)

10:21 “คนอื่นๆ ก็พูดว่า “คำสอนแบบนี้ไม่ได้เป็นของคนที่มีผีสิง ผีจะทำให้คนตาบอดมองเห็นได้หรือ?”

     (But others said, “These are not the sayings of a man possessed by a demon. Can a demon open the eyes of the blind?”)

10:22 “ขณะนั้นเป็นเทศกาลฉลองพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม และเป็นฤดูหนาว”

    (Then came the Festival of Dedication at Jerusalem. It was winter)

10:23 “พระเยซูทรงดำเนินอยู่ในบริเวณพระวิหารที่เฉลียงของซาโลมอน” 

    (and Jesus was in the temple courts walking in Solomon’s Colonnade. )

10:24 “พวกยิวก็พากันมาห้อมล้อมพระองค์และทูลว่า “ท่านจะให้เราสงสัยไปอีกนานแค่ไหน? ถ้าท่านเป็นพระคริสต์ก็จงบอก​ให้ชัดเจนเถิด

     (The Jews who were there gathered around him, saying, “How long will you keep us in suspense? If you are the Messiah, tell us plainly.”)

10:25 “พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกพวกท่านแล้วแต่ท่านไม่เชื่อ สิ่งที่เราทำในพระนามพระบิดาของเราก็​เป็นพยานให้กับเรา”

     (Jesus answered, “I did tell you, but you do not believe. The works I do in my Father’s name testify about me,)

10:26 “แต่พวกท่านไม่เชื่อเพราะท่านไม่ได้เป็นแกะของเรา”

     (but you do not believe because you are not my sheep.)

10:27 “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา” 

     (My sheep listen to my voice; I know them, and they follow me.)

10:28 “เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะทั้งหลาย แกะเหล่านั้นจะไม่มีวันพินาศและจะไม่มีใครแย่งชิงแกะนั้นไปจากมือของเราได้” 

     (I give them eternal life, and they shall never perish; no one will snatch them out of my hand.)

10:29 “พระบิดาของเราผู้ประทานแกะนั้นให้แก่เราทรงเป็นใหญ่กว่าทุกสิ่งและไม่มีใครสามารถชิงไปจากพระหัตถ์ของพระบิดาได้” 

     (My Father, who has given them to me, is greater than all; no one can snatch them out of my Father’s hand.)

10:30 “เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

     (I and the Father are one.)

10:31 “พวกยิวจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาอีกจะขว้างพระองค์ให้ตาย” 

    (Again his Jewish opponents picked up stones to stone him)

10:32 “พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “เราแสดงให้ท่านเห็นการดีหลายอย่างของพระบิดา พวกท่านหยิบก้อนหินจะขว้างเราให้​ตายเพราะการดีข้อไหน?”

     (but Jesus said to them, “I have shown you many good works from the Father. For which of these do you stone me?)

10:33 “พวกยิวทูลตอบพระองค์ว่า “เราจะขว้างท่านไม่ใช่เพราะการดีใดๆ แต่เพราะการพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าเพราะท่านเป็น​เพียงมนุษย์แต่ตั้งตัวเป็นพระเจ้า

     (“We are not stoning you for any good work,” they replied, “but for blasphemy, because you, a mere man, claim to be God.)

10:34 “พระเยซูตรัสว่า “ในพระคัมภีร์ของท่านมีคำเขียนไว้ไม่ใช่หรือว่า ‘เรากล่าวว่าพวกท่านเป็นพระ?’ 

     (Jesus answered them, “Is it not written in your Law, ‘I have said you are “gods”’?)

10:35 “ถ้าคนที่รับพระวจนะของพระเจ้าได้ชื่อว่าเป็นพระ (และจะฝ่าฝืนพระคัมภีร์ไม่ได้)”

     (If he called them ‘gods,’ to whom the word of God came—and Scripture cannot be set aside)

10:36 “พวกท่านจะกล่าวหาผู้ที่พระบิดาทรงตั้งไว้เป็นพิเศษและทรงใช้เข้ามาในโลกว่า ‘ท่านกล่าวคำหมิ่นประมาทพระเจ้า’ เพราะเรากล่าวว่า ‘เราเป็นบุตรของพระเจ้า’ อย่างนั้นหรือ?” 

     (what about the one whom the Father set apart as his very own and sent into the world? Why then do you      accuse me of blasphemy because I said, ‘I am God’s Son’?)

10:37 “ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติพระราชกิจของพระบิดาของเราก็อย่าวางใจเราเลย” 

     (Do not believe me unless I do the works of my Father.)

10:38 “แต่ถ้าเราปฏิบัติพระราชกิจนั้น แม้ว่าท่านไม่วางใจในเรา ก็จงวางใจในพระราชกิจเหล่านั้นเถิด เพื่อท่านจะได้รู้และเข้า‍ใจว่าพระบิดาทรงอยู่ในเราและเราอยู่ในพระบิดา” 

     (But if I do them, even though you do not believe me, believe the works, that you may know and understand that the Father is in me, and I in the Father.”)

10:39 “พวกเขาพยายามจะจับพระองค์อีกครั้งหนึ่ง แต่พระองค์ทรงรอดพ้นจากมือของเขา”

      (Again they tried to seize him, but he escaped their grasp.)

10:40 “พระองค์เสด็จข้ามแม่น้ำจอร์แดนอีก และไปถึงตำบลที่ยอห์นเคยให้บัพติศมา แล้วพระองค์ทรงพักอยู่ที่นั่น”

     (Then Jesus went back across the Jordan to the place where John had been baptizing in the early days.  There he stayed, )

10:41 “คนจำนวนมากพากันมาหาพระองค์กล่าวว่า “ถึงยอห์นไม่ได้ทำหมายสำคัญอะไรเลย แต่ทุกสิ่งที่ยอห์นกล่าวถึงท่านผู้นี้​เป็นความจริง” 

    (and many people came to him. They said, “Though John never performed a sign, all that John said about this man was true.)

10:42 “และมีคนที่นั่นหลายคนวางใจในพระองค์”

    (And in that place many believed in Jesus.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

10:1     “คอกแกะ” (the sheepfold)  = ลานเปิดโล่ง มีกำแพงล้อมรอบ และมีทางเข้าทางเดียว โดยกำแพงมีไว้เพื่อป้องกันสัตว์ร้ายและไม่ให้แกะกระจัดกระจาย

10:3     “คนเฝ้าประตู” (the gatekeeper            ) –บางฉบับแปลว่า “ยาม”

                = เขาต้องรับผิดชอบคอกแกะขนาดใหญ่ ซึ่งมีแกะหลายฝูงอยู่รวมกัน

                 “เสียงของท่าน” (hear his voice)  = แกะจะสนองตอบต่อเสียงเรียกของผู้เลี้ยงแกะของมันเท่านั้น

                  “ท่านเรียกชื่อแกะของท่าน” (he calls his own sheep by name)  = ผู้เลี้ยงแกะเรียกชื่อแกะแต่ละตัวเฉพาะเจาะจง

10:4     “เดินนำหน้า” (he goes before them)  = ผู้เลี้ยงแกะจะเดินนำหน้าแกะ (ไม่ใช่ต้อนจากด้านหลัง) และแกะเดินตาม เพราะรู้จักเสียงของผู้เลี้ยง

10:6     “ไม่เข้าใจความหมายของพระดำรัส” (not understand what he was saying to them)

             –ยน.8:27;12:16;มก.8:16;ลก.2:50;9:45;18:34

10:7     “เราเป็น” (I am) = เป็น 1 ใน 7 ครั้งที่พระเยซูกล่าวถึงพระองค์เอง โดยใช้คำว่า “เราเป็น”    (6:35;8:12(9:51),10:7;10:11,14;11:25;14:6;15:1,5) -คำนี้ในภาษากรีก เน้นและสะท้อนถึง อพย. 3:14

10:8     “ทุกคนที่มาก่อนเรา” (All who came before me) = ผู้เลี้ยงแกะปลอม เช่น พวกฟาริสี และหัวหน้าปุโรหิต ไม่ใช่ผู้เผยพระวจนะที่แท้จริงตามพันธสัญญาเดิม

10:9     “เราเป็นประตู” (I am the door )= เป็นทางเดียวสู่ความรอด เมื่อเข้าประตูไปจะพบความปลอดภัย และเมื่อออกไปก็พบกับทุ่งหญ้าที่ตอบสนองความต้องการ

10:10   “ขโมย” (The thief) = สนใจแต่ความต้องการของตนเองมาเพื่อลัก ฆ่า และทำลาย

“เรามาเพื่อพวกเขาจะได้ชีวิต” (I came that they may have life) = พระเยซูคริสต์สนใจแกะของพระองค์ซึ่งพระองค์จะทรงทำให้พวกเขามีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ (1:4)

10:11   “เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี” (I am the good shepherd)  -6:35

              “ยอมสละชีวิตของตน” (lays down his life) = ผู้เลี้ยงยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อแกะของเขา (ปฐก.31:39; 1ซมอ.17:34-37)

10:12   “คนที่รับจ้าง” (He who is a hired hand) = สนใจแต่ค่าจ้าง ไม่ได้สนใจแกะ (ข.13)

10:14   “เรารู้จักแกะ…และแกะของเราก็รู้จักเรา” (I know my own and my own know me) = รู้จักกันอย่างลึกซึ้ง เช่นเดียวกับพระบิดาและพระบุตร

10:15   “เราสละชีวิตเพื่อฝูงแกะ” (I lay down my life for the sheep) –ข.11 –ในบางฉบับแปลว่า “เราพลีชีวิตของเรา”

10:16   “แกะอื่น” (other sheep) = แกะที่เป็นของพระคริสต์เช่นกัน แม้จะยังไม่ได้ถูกนำมาให้พระองค์

             “ไม่ได้เป็นของคอกนี้” (not of this fold) = คนที่อยู่นอกศาสนายิว เป็นภาพเล็งถึงคริสตจักรในเวลาต่อมา

             “จะรวมเป็นฝูงเดียว” (will be one flock)  = ประชากรทั้งหมดของพระเจ้าจะมีพระผู้เลี้ยงองค์เดียว (17:20-23)

10:17-18 –สาระของพระธรรมยอห์นตอนนี้ จะบันทึกเรื่องพระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อประชากรของพระองค์ตลอดทั้งบท กล่าวถึง ความรัก และแผนการของพระเจ้า รวมทั้งสิทธิอำนาจที่พระเจ้าทรงประทานแก่พระบุตร พระเยซูคริสต์เลือกที่จะสิ้นพระชนม์ด้วยใจที่เชื่อฟัง เพราะไม่มีผู้ใดสามารถฆ่าพระองค์ได้ ถ้าพระองค์ไม่ยินยอม

10:19   “ทำให้พวกยิวแตกคอกันอีก” (There was again a division among the Jews) –7:43;9:16

10:20   “เขามีผีสิง” (He has a demon) -7:20 , ถูกผีสิง

10:21   “ผีจะทำให้คนตาบอดมองเห็นได้หรือ” (Can a demon open the eyes of the blind?) -9:16

10:22   “เทศกาลฉลองพระวิหาร” (the Feast of Dedication took place) = เป็นการระลึกถึงการมอบถวายพระวิหาร โดยยูดาส มัคคาบี  ในเดือนธันวาคม ปี 165 ก่อนคริสตศักราช ซึ่งก่อนหน้านั้น อันทิโอคัส เอปิเฟเนส เป็นผู้ทำลายลง นับเป็นการกอบกู้ครั้งสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ของพวกชาวยิว

             “เป็นฤดูหนาว” (It was winter) = เป็นข้อมูลประกอบสำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับปฏิทินของพวกยิว

 10:23   “เฉลียงของซาโลมอน” (in the colonnade of Solomon   ) –กจ.3:11;5:12

               -เป็นเฉลียงที่มีหลังคา มีลักษณะคล้ายระเบียงเสาของกรีก ซึ่งมักถูกเข้าใจผิดว่า มีมาตั้งแต่สมัยของซาโลมอน

 10:24   “ถ้าท่านเป็นพระคริสต์” (If you are the Christ) = เนื่องด้วยความแตกต่างทางความคิด เรื่องของพระเมสสิยาห์ ได้แพร่หลายไปทั่ว จึงเป็นเรื่องยากที่พวกยิวจะแก้ประเด็นร้อนนี้ -1:25;20:31

10:25   “เราบอกพวกท่านแล้ว” (I told you) = พระเยซูไม่ได้ยืนยันความเป็นพระเมสสิยาห์ของพระองค์อย่างชัดเจน นอกจากตรัสบอกหญิงชาวสะมาเรีย (4:26)

-พระองค์อาจหมายความว่า คำสอนของพระองค์ทำให้คำอ้างของพระองค์ชัดเจนยิ่งขึ้น หรือหมายความว่า คำกล่าวใน ยน.8:58 นั้นเพียงพอแล้ว หรือพระองค์อาจหมายถึงทุกสิ่งที่พระองค์ทำในชีวิตของพระองค์ (รวมทั้งการอัศจรรย์ต่าง ๆ ) คือทุกสิ่งที่ทำให้พระนามของพระบิดา

10:26   “ไม่ได้เป็นแกะของเรา” (not among my sheep)  = ที่พวกเขาไม่เชื่อเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้เป็นแกะของพระคริสต์

10:28   “ชีวิตนิรันดร์” (eternal life) = ของขวัญจากพระคริสต์ (3:15)

“จะไม่มีวันพินาศ” (will never perish) = เป็นการยืนยันอย่างหนักแน่นว่า แกะเหล่านี้จะไม่มีวันพินาศ ความปลอดภัยของบรรดาแกะอยู่ในมือของผู้เลี้ยง ซึ่งเขาจะไม่ยอมให้ผู้ใดพรากแกะไปจากเขา

10:29   “พระบิดาของเรา” (My Father) -5:17

               “ไม่มีใครสามารถชิงไปจากพระหัตถ์ของพระบิดาได้”( no one will snatch them out of my hand)

               = ไม่มีศัตรูใดมีอำนาจหรือฤทธิ์เดชยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า พระองค์ทรงคุ้มครองให้แกะทุกตัวอยู่รอดปลอดภัยได้ (17:11-12)

10:30   “เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” (are one) = คำในภาษากรีก แสดงถึงความเป็นเพศกลาง หมายถึง “สิ่งเดียวกัน” ไม่ใช่ “คนเดียวกัน”

              = 2 เป็น 1 ในแง่ ลักษณะพื้นฐาน และธรรมชาติ แต่ในแง่บุคคล ไม่ใช่เป็นบุคคลเหมือนกัน (6:35;8:24,58;17:21-22)

10:31   “พวกยิวจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาอีกจะขว้างพระองค์ให้ตาย” (The Jews picked up stones again to stone him)      

             –1:19, พวกเขาถือว่าคำตรัสของพระเยซูเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้า จึงจะประหารพระองค์ตามบทบัญญัติใน ลนต.24:16 แต่ไม่ได้ทำตามกระบวนการที่ถูกต้อง

10:32   “การดีหลายอย่าง” (many good works)  = สิ่งดีมากมาย เช่น  มธ.5:16;1ทธ.5:10,25;6:18

             = พระราชกิจที่ดีและสูงส่งของพระเยซูคริสต์

10:33   “การพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า” (blasphemy) –พวกผู้นำยิวเข้าใจสิ่งที่พระเยซูคริสต์ตรัสไว้อย่างถูกต้อง แต่ด้วยอคติและความไม่เชื่อ ทำให้พวกเขามีทิฐิไม่ยอมรับสิ่งที่พระเยซูคริสต์ตรัสว่า เป็นความจริง

 10:34   “ในพระคัมภีร์ของท่าน” (in your Law) –บางฉบับแปลว่า “หนังสือบทบัญญัติของท่าน” 

               แปลตรง ๆ หมายถึง หนังสือ “เบญจบรรณ”   แต่ใช้กันกว้าง ๆ หมายถึง พันธสัญญาเดิมทั้งหมด

              “พวกท่านเป็นพระ” (you are gods ?)  -พระเยซูอ้างมาจาก สดุดี 82:6 หมายถึง บรรดาผู้พิพากษา (หรือผู้นำผู้ปกครอง) ซึ่งได้รับมอบหมายมาจากพระเจ้า  (อพย.22:28;ฉธบ.1:17;16:18;2พศด.19:6)

10:35   “จะฝ่าฝืนพระคัมภีร์ไม่ได้” (Scripture cannot be broken) = พระคัมภีร์ถูกต้องเสมอ = พระเยซูยืนยันสิทธิอำนาจและความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์เดิม –มธ.5:18

 10:36   -ในข้อนี้พระเยซูยืนยันว่า ถ้าในพระคัมภีร์มนุษย์กล่าวถึงว่า เป็นพระหรือเป็นผู้ปกครองหรือผู้พิพากษาได้ (สดด.82:6) ก็ใช้หมายถึงผู้ที่พระเจ้าเลือกไว้ และส่งมาได้เช่นกัน

10:37   “ปฏิบัติพระราชกิจของพระบิดา” (doing the works of my Father) = สิ่งที่พระเจ้าพระบิดาทรงกระทำ นั่นคือพระราชกิจแห่งพระเมตตาที่พระเจ้าเองทรงกระทำ

10:38   “เราปฏิบัติพระราชกิจนั้น” (I do them) = การอัศจรรย์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในพระราชกิจของพระเยซู

10:39   “พวกเขาพยายามจะจับพระองค์” (they sought to arrest him) = อาจจะเป็นจับไปไต่สวนหรือจับไปประหารด้วยการขว้างก้อนหิน

              “แต่พระองค์ทรงรอดพ้น” (but he escaped from their hands) = พระเยซูไม่ถูกประหาร เพราะว่ายังไม่ถึงเวลาที่พระเจ้าทรงกำหนด (2:4;ลก.4:30)

10:40   “ตำบลที่ยอห์นเคยให้บัพติศมา” (the place where John had been baptizing     ) –1:28

10:41   “ทุกสิ่งที่ยอห์นกล่าว… เป็นความจริง” (everything that John said) -1:7,26,27,30,34

10:42   “มีคนที่นั่นหลายคนวางใจในพระองค์” (many believed in him there) –7:31

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณรู้จักชื่อสมาชิกในคริสตจักรของคุณสักกี่เปอร์เซ็นต์(กี่ชื่อ) คุณรู้จักเขาเป็นส่วนบุคคลหรือไม่? อย่างไร?
  2. หากคุณเป็นผู้นำหรือผู้เลี้ยงในคริสตจักร มีผู้เชื่อกี่คนที่ตามคุณ? ทำไม? อย่างไร?
  3. คุณหลุดพ้นเงื้อมมือของขโมยที่มาเพื่อรัก ฆ่า และทำลาย มาได้อย่างไร? ใครมีส่วนช่วยคุณบ้าง?
  4. คุณเคยเห็นคนเลี้ยงแกะที่หนีและละทิ้งฝูงแกะที่เขาดูแลบ้างหรือไม่? อย่างไร?  หรือตรงกันข้าม คุณเคยเห็นผู้เลี้ยงคนใดที่ยืนหยัดดูแลฝูงแกะของเขาแบบพร้อมพลีชีพเพื่อฝูงแกะของเขา? อย่างไร? (แบ่งปัน)
  5. คุณมีประสบการณ์กับการที่พระเยซูคริสต์ทรงเลี้ยงดูคุณดุจแกะของพระองค์บ้างหรือไม่? อย่างไร?
  6. คุณเคยถูกปองร้าย เล่นงาน หรือการพยายามฆ่าคุณเพราะคุณประกาศหรือรับใช้พระคริสต์บ้างหรือไม่? อย่างไร?
  7. มีสิ่งใดที่คุณทำแล้วเป็นพยานยืนยันว่า พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในตัวของคุณ? อย่างไร?
  8. พระเจ้าทรงช่วยคุณให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของคนที่เป็นปรปักษ์ และมุ่งร้ายต่อคุณมาอย่างไรบ้าง? ที่คุณรู้สึก ซาบซึ้งที่สุดในชีวิต?

 

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระกิตติคุณยอห์น บทเรียนที่ 9

คนตาบอดฝ่ายวิญญาณ

พระธรรม        ยอห์น 9:1-41

อ้างอิง             มธ.23:7;12:1-14;ลก.13:2;ยน.11:4-9;8:14;7:13;มก.7:33;8:23;อสย.66:รม.10:14;2พกษ.5:10; กจ.3:2,10;รม.2:19;ยชว.7:19;สดด.34:15-16;ยรม.23:1;อสค.34:2;ปฐก.18:23,32

บทนำ              คนบางคนตาบอดฝ่ายกาย แต่ตาฝ่ายวิญญาณของเขากลับมองเห็นพระเจ้า และความจริงของพระองค์ ในขณะที่คนบางคนคิดว่าตัวเองตาปกติดี แต่แท้จริงกลับตาบอดฝ่ายวิญญาณ และมองไม่เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่พวกเขาพร่ำพูดว่ารู้จัก!

บทเรียน

9:1 “ขณะพระองค์เสด็จไปนั้น ทรงเห็นชายคนหนึ่งตาบอดแต่กำเนิด” 

     (As he went along, he saw a man blind from birth.)

9:2 “พวกสาวกของพระองค์ทูลถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์ ใครทำบาป คนนี้หรือพ่อแม่ของเขา เขาถึงเกิดมาตาบอด?”

     (His disciples asked him, “Rabbi, who sinned, this man or his parents, that he was born blind?”)

9:3 “พระเยซูตรัสตอบว่า “ไม่ใช่คนนี้หรือพ่อแม่ของเขาที่ทำบาป แต่เขาเกิดมาตาบอดเพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏใน​      ตัวเขา” 

     (“Neither this man nor his parents sinned,”said Jesus, “but this happened so that the works of God might be     displayed in him.)

9:4 “เราต้องทำพระราชกิจของผู้ทรงใช้เรามาเมื่อยังวันอยู่ กลางคืนอันเป็นเวลาที่ไม่มีใครทำงานนั้นกำลังใกล้เข้ามา” 

     (As long as it is day, we must do the works of him who sent me. Night is coming, when no one can work.)

9:5 “ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลก เราก็เป็นความสว่างของโลก” 

       (While I am in the world, I am the light of the world.”)

9:6 “เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงบ้วนน้ำลายลงที่ดิน แล้วทรงเอาน้ำลายนั้นทำเป็นโคลนทาที่ตาของคนตาบอด” 

      (After saying this, he spit on the ground, made some mud with the saliva, and put it on the man’s eyes.)

9:7 “แล้วตรัสสั่งเขาว่า “จงไปล้างโคลนออกในสระสิโลอัม” (สิโลอัมแปลว่า ใช้ไป) เขาจึงไปล้างแล้วกลับมาก็มองเห็น” 

       (“Go,”he told him, “wash in the Pool of Siloam”(this word means “Sent”). So the man went and washed, and       came home seeing.)

9:8 “เพื่อนบ้านและบรรดาคนที่เคยเห็นชายคนนั้นเป็นคนขอทานมาก่อนก็พูดกันว่า “คนนี้ใช่ไหมที่เคยนั่งขอทาน?” 

       (His neighbors and those who had formerly seen him begging asked, “Isn’t this the same man who used to       sit and beg?” )

9:9 “บางคนก็พูดว่า “ใช่คนนั้นแหละ” คนอื่นว่า “ไม่ใช่ แต่เขาเหมือนคนนั้น” ตัวเขาเองพูดว่า “ข้าพเจ้าคือคนนั้น

       (Some claimed that he was. Others said, “No, he only looks like him.”But he himself insisted, “I am the  man.”)

9:10 “พวกเขาจึงถามเขาว่า “ตาของเจ้าหายบอดได้อย่างไร?” 

        (“How then were your eyes opened?” they asked.)

9:11 “เขาตอบว่า “ชายคนหนึ่งชื่อเยซูทำโคลนทาตาของข้าพเจ้าและบอกข้าพเจ้าว่า ‘จงไปที่สระสิโลอัมแล้วล้างโคลนออก’ ข้าพเจ้าก็ไปล้างตาแล้วก็มองเห็น” 

      (He replied, “The man they call Jesus made some mud and put it on my eyes. He told me to go to Siloam  and wash. So I went and washed, and then I could see.”)

9:12 “พวกเขาจึงถามว่า “เขาอยู่ไหน?” คนนั้นบอกว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบ

        (“Where is this man?” they asked him. “I don’t know,” he said.)

9:13 “พวกเขาจึงพาคนที่เคยตาบอดนั้นไปหาพวกฟาริสี” 

        (They brought to the Pharisees the man who had been blind. )

9:14 “วันที่พระเยซูทรงทำโคลนทาตาชายคนนั้นให้หายบอดเป็นวันสะบาโต”

        (Now the day on which Jesus had made the mud and opened the man’s eyes was a Sabbath. )

9:15 “พวกฟาริสีถามเขาว่าตาของเขามองเห็นได้อย่างไร เขาจึงบอกคนเหล่านั้นว่า “ท่านเอาโคลนทาตาของข้าพเจ้า แล้ว​ข้าพเจ้าก็ไปล้างออกแล้วก็มองเห็น

      (Therefore the Pharisees also asked him how he had received his sight. “He put mud on my eyes,” the man replied, “and I washed, and now I see.”)

9:16 “พวกฟาริสีบางคนพูดว่า “ชายคนนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะเขาไม่ได้รักษาวันสะบาโต” แต่คนอื่นพูดว่า “คนบาปจะทำหมายสำคัญอย่างนั้นได้อย่างไร?” พวกเขาก็ขัดแย้งกัน”

      (Some of the Pharisees said, “This man is not from God, for he does not keep the Sabbath.” But others    asked, “How can a sinner perform such signs?” So they were divided.)

9:17 “พวกเขาจึงพูดกับคนตาบอดอีกว่า “เจ้าคิดอย่างไรเรื่องคนนั้น ในเมื่อเขาทำให้ตาของเจ้าหายบอด?” ชายคนนั้นตอบว่า  “ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ

   (Then they turned again to the blind man, “What have you to say about him? It was your eyes he   opened.”       The man replied, “He is a prophet.”)

9:18 “พวกยิวไม่เชื่อว่าชายคนนั้นตาบอดและกลับมองเห็น จนกระทั่งพวกเขาเรียกบิดามารดาของคนนั้นมา” 

    (They still did not believe that he had been blind and had received his sight until they sent for the man’s parents.)

9:19 “แล้วถามว่า “ชายคนนี้เป็นลูกของเจ้าที่เจ้าบอกว่าตาบอดมาตั้งแต่เกิดหรือ? แล้วทำไมเดี๋ยวนี้เขาจึงมองเห็น?” 

      (“Is this your son?” they asked. “Is this the one you say was born blind? How is it that now he can see?”)

9:20 “บิดามารดาของชายคนนั้นตอบว่า “เรารู้ว่าคนนี้เป็นลูกของเรา และรู้ว่าเขาเกิดมาตาบอด” 

      (“We know he is our son,” the parents answered, “and we know he was born blind. )

9:21 “แต่ไม่รู้ว่าทำไมเดี๋ยวนี้เขาถึงมองเห็นหรือใครทำให้ตาของเขาหายบอด ถามเขาเอาเองเถิด เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาเล่า​เรื่องเองได้” 

     (But how he can see now, or who opened his eyes, we don’t know. Ask him. He is of age; he will speak for himself.” )

9:22 “การที่บิดามารดาของเขาพูดอย่างนั้นก็เพราะกลัวพวกยิว เพราะพวกยิวตกลงกันแล้วว่า ถ้าใครยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ คนนั้นจะถูกขับออกจากธรรมศาลา” 

    (His parents said this because they were afraid of the Jewish leaders, who already had decided that  anyone who acknowledged that Jesus was the Messiah would be put out of the synagogue.)

9:23 “เพราะเหตุนี้บิดามารดาของเขาจึงพูดว่า “เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ถามเขาเอาเองเถิด

        (That was why his parents said, “He is of age; ask him.”)

9:24 “พวกเขาจึงเรียกคนที่เคยตาบอดให้มาหาเป็นครั้งที่สองและบอกเขาว่า “จงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า เรารู้ว่าชายคนนั้นเป็นคนบาป” 

       (A second time they summoned the man who had been blind. “Give glory to God by telling the truth,” they said. “We know this man is a sinner.”)

9:25 “เขาตอบว่า “ชายคนนั้นเป็นคนบาปหรือไม่ข้าพเจ้าไม่ทราบ สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าทราบคือข้าพเจ้าเคยตาบอด แต่เดี๋ยวนี้​ข้าพเจ้ามองเห็นได้แล้ว

       (He replied, “Whether he is a sinner or not, I don’t know. One thing I do know. I was blind but now I see!”)

9:26 “พวกเขาจึงถามเขาว่า “คนนั้นทำอะไรกับเจ้า? เขาทำอย่างไรตาของเจ้าถึงหายบอด?”

        (Then they asked him, “What did he do to you? How did he open your eyes?”)

9:27 “คนนั้นตอบพวกเขาว่า “ข้าพเจ้าบอกท่านแล้วแต่ท่านไม่ฟัง ทำไมท่านถึงอยากฟังอีก? อยากเป็นศิษย์ของคนนั้นด้วยหรือ?” 

       (He answered, “I have told you already and you did not listen. Why do you want to hear it again? Do you want to become his disciples too?”)

9:28 “คนเหล่านั้นจึงเยาะเย้ยเขาว่า “เอ็งเป็นศิษย์ของเขา แต่เราเป็นศิษย์ของโมเสส” 

      (Then they hurled insults at him and said, “You are this fellow’s disciple! We are disciples of Moses! )

9:29 “เรารู้ว่าพระเจ้าตรัสกับโมเสส แต่สำหรับคนนั้นเราไม่รู้ว่ามาจากไหน” 

        (We know that God spoke to Moses, but as for this fellow, we don’t even know where he comes from.”)

9:30 “ชายคนนั้นตอบว่า “เออ ประหลาดจริงๆ นะที่พวกท่านไม่รู้ว่าคนนั้นมาจากไหน แต่เขาก็ทำให้ตาของข้าพเจ้าหายบอด​ได้” 

      (The man answered, “Now that is remarkable! You don’t know where he comes from, yet he opened my eyes.)

9:31 “เรารู้ว่าพระเจ้าไม่ทรงฟังคนบาป แต่ทรงฟังคนที่ยำเกรงพระองค์และทำตามพระทัยของพระองค์” 

        (We know that God does not listen to sinners. He listens to the godly person who does his will.)

9:32 “ตั้งแต่สมัยไหนๆ ก็ไม่เคยมีใครได้ยินว่ามีคนสามารถทำให้ตาของคนที่บอดแต่กำเนิดมองเห็นได้”

        (Nobody has ever heard of opening the eyes of a man born blind.)

9:33 “ถ้าคนนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า เขาจะไม่สามารถทำได้

        (If this man were not from God, he could do nothing.)

9:34 “พวกเขาตอบว่า “เอ็งมันบาปมาตั้งแต่เกิดแล้วยังจะมาสอนเราหรือ?” แล้วพวกเขาก็ไล่เขาออกไป”

         (To this they replied, “You were steeped in sin at birth; how dare you lecture us!” And they threw him out.)

9:35 “พระเยซูทรงได้ยินว่าพวกยิวไล่คนนั้นออกไปแล้ว เมื่อพระองค์ทรงพบเขาจึงตรัสว่า “ท่านวางใจในบุตรมนุษย์หรือ?” 

       (Jesus heard that they had thrown him out, and when he found him, he said, “Do you believe in the Son of man?”)

9:36 “ชายคนนั้นทูลตอบว่า “ท่านเจ้าข้า ใครคือบุตรมนุษย์ที่ข้าพเจ้าจะวางใจได้?”

        (“Who is he, sir?” the man asked. “Tell me so that I may believe in him.”)

9:37 “พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ท่านเห็นผู้นั้นแล้ว คือผู้ที่กำลังพูดอยู่กับท่าน” 

       (Jesus said, “You have now seen him; in fact, he is the one speaking with you.”)

9:38 “เขาจึงทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์วางใจ” แล้วเขาก็กราบไหว้พระองค์” 

        (Then the man said, “Lord, I believe,” and he worshiped him.)

9:39 “พระเยซูตรัสว่า “เราเข้ามาในโลกเพื่อการพิพากษา เพื่อให้คนทั้งหลายที่มองไม่เห็นกลับมองเห็น และคนที่มองเห็นกลับตาบอด” 

      (Jesus said, “For judgment I have come into this world, so that the blind will see and those who see will become blind.”)

9:40 “เมื่อพวกฟาริสีที่อยู่ใกล้พระองค์ได้ยินอย่างนั้นจึงกล่าวแก่พระองค์ว่า “เราตาบอดด้วยหรือ?” 

        (Some Pharisees who were with him heard him say this and asked, “What? Are we blind too?”)

9:41 “พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ถ้าพวกท่านตาบอด ท่านก็จะไม่มีบาป แต่พวกท่านพูดเดี๋ยวนี้เองว่า ‘เรามองเห็น’ เพราะฉะนั้นบาปของท่านยังมีอยู่”

        (Jesus said, “If you were blind, you would not be guilty of sin; but now that you claim you can see, your guilt remains.)

ข้อมูลมีประโยชน์

9:1-12  -พระเยซูกระทำการอัศจรรย์ โดยใช้การรักษาคนตาบอดมากกว่าวิธีแบบอื่น ๆ และมีคำพยากรณ์ไว้ล่วงหน้าว่า พระเมสสิยาห์จะกระทำกิจโดยการรักษาคนตาบอด (อสย.29:18;35:5;42:7) การอัศจรรย์ที่พระเยซูกระทำตอนนี้ จึงเป็นหลักฐานหนึ่งที่พิสูจน์ว่า พระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ (20:31)

 9:2       “ใครทำบาป?” (            who sinned) = ใครกันที่ทำบาป?

                        -พวกรับบีพัฒนาคำสอนออกมาว่า “คนตายเพราะบาปและทนทุกข์เพราะความชั่ว”

                        พวกเขาเชื่อว่า โทษทัณฑ์ของคนหนึ่งเพราะบาปของพ่อแม่ (วิญญาณของเด็กอาจบาปตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ) พระเยซูทรงปฏิเสธความเชื่อเช่นนี้

9:3       “ให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา” (that the works of God might be displayed in him) -11:4

9:4      “เรา” (we) = ไม่ใช่แค่พระเยซูองค์เดียว พวกสาวกต่างก็มีส่วนรับผิดชอบร่วมกับพระองค์ ในการกระทำสิ่งที่พระเจ้าประสงค์

“กลางคืน….กำลังใกล้เข้ามา” (Night is coming)  = พระเยซูผู้ทรงเป็นความสว่างของโลก (ข.5) จะถูกนำไปประหารและฟื้นคืนพระชนม์

9:5       “เราก็เป็นความสว่างของโลก” ( I am the light of the world) -8:13

9:6       “ทรงเอาน้ำลายนั้นทำเป็นโคลน ทาที่ตาของคนตาบอด” (made some mud with the saliva, and put it on the man’s  eyes.) = พระเยซูมีวิธีรักษาหลายรูปแบบ และทรงสามารถเปลี่ยนดิน(ผงคลี) ให้เป็นอุปกรณ์การรักษา  -ปท.มก.8:22-25

9:7       “สระสิโลอัม” (the Pool of Siloam)  = ชื่อโบราณ ของสระนี้ที่เฮเซคียาห์ เป็นผู้สร้างขึ้น

(2พกษ.20:20;นหม.2:14;โยบ 28:10;อสย.8:6)  สระนี้ = ส่วนหนึ่งของระบบลำเลียงน้ำหลัก ซึ่งมาจากบนสุดของสันเขาทางใต้ของเยรูซาเล็ม

 9:8       “คนขอทาน” (begging) = หนทางเดียวที่คนตาบอดในสมัยนั้นจะใช้เป็นวิธีในการเลี้ยงตัวเอง

 9:14     “วันสะบาโต” (Sabbath ) –ปท.5:16

9:16     “บางคน…. คนอื่น ๆ “  (Some …. Others)= คนกลุ่มแรกมีมุมมองจากจุดที่เขายึดอยู่มานานแล้ว ทำให้ ไม่เห็นความเป็นพระเจ้าของพระเยซู แต่อีกกลุ่มมีมุมมองแตกต่างออกไป พวกเขาเห็นหมายสำคัญและไม่เห็นจะเป็นไปได้ที่ว่าพระเยซูทรงเป็นคนบาป (ปท. ข้อ 30-33)

9:17     “เจ้าคิดอย่างไรเรื่องคนนั้น” (“What do you say about him) = พวกเขาสับสนจนต้องถามคำถามนี้กับชายตาบอดผู้นี้

            “ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ” (He is a prophet) = อาจเป็นตำแหน่งสูงสุดเท่าที่ชายตาบอดผู้นี้จะคิดได้

            -ความคิดของเขาพัฒนาขึ้นจากที่คิดว่า พระเยซูเป็นเพียงคนธรรมดา (ข.11) มาเป็น “ผู้เผยพระวจนะ” (ข.17) ; ผู้ที่คนอยากเป็นศิษย์ด้วย (ข.27)

“ผู้ที่มาจากพระเจ้า” (ข.33) และปิดท้ายด้วย “องค์พระผู้เป็นเจ้า” (ข.38)

9:18     “พวกยิว” (The Jews) 

               -1:19 –เป็นพวกที่มีอคติ พยายามลดความน่าเชื่อถือของการอัศจรรย์มากกว่าที่จะเรียนรู้

9:21     “เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว” (he is of age) เขามีความรับผิดชอบด้วยตัวเองได้เลย (อาจเพราะบิดามารดาของเขาไม่อยาก/ไม่กล้าเข้าไปเกี่ยวข้อง)

9:22     “จะถูกขับออกจากธรรมศาลา” (he was to be put out of the synagogue)  = การอเปหิเช่นนี้ มีบันทึกไว้ตั้งแต่สมัยของเอสรา (10:8) ธรรมศาลาเป็นศูนย์กลางของชุมชนยิว (6:59) การถูกอเปหิจึงเป็นการถูกตัดออกจากสังคมในหลายๆ ด้าน

9:24     “จงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า” (Give glory to God) –ยชว.7:19

                        “เรารู้ว่า ชายคนนั้นเป็นคนบาป” (We know that this man is a sinner)

                        คำว่า “เรา” ในภาษากรีกตอนนี้ เป็นคำเน้น  -ยน.9:16

9:27     “ข้าพเจ้าบอกท่านแล้ว” (I have told you already) = บอกไปแล้ว –ยน.9:15

9:28     “เราเป็นศิษย์ของโมเสส” (we are disciples of Moses) –ยน.5:45

9:29     “เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เขามาจากไหน?” (we do not know where he comes from) –ยน.8:14

 9:30-33 = การให้เหตุผลที่ดียอดเยี่ยมของคนที่ไม่เคยได้ร่ำเรียนมา

 9:31     “เรารู้ว่าพระเจ้าไม่ทรงฟังคนบาป” (We know that God does not listen to sinners) –เปรียบเทียบกับข้อสังเกตของฟาริสีบางคน ในข้อ 16

“แต่ทรงฟังคนที่ยำเกรงพระองค์ และทำตามพระทัยของพระองค์” (but if anyone is a worshiper of God and does his will, God listens to him) –ปฐก.18:23-32;สดด.34:15-16;66:18;145:19-20; สภษ.15:29;อสย.1:15;59:1-2;ยน.15:7;ยก.5:16-18;1ยน.5:14-15

9:33     “ถ้าคนนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า” (If this man were not from God) –ยน.3:2;9:16

9:34     “เอ็งมันบาปตั้งแต่เกิด” (You were born in utter sin) –บางฉบับแปลว่า “เจ้าจมปลักอยู่ในบาปมาตั้งแต่เกิด” –ยน.9:2

“ก็ไล่เขาออกไป” (cast him out) = ไล่เขาออกจากชุมชนของพวกเขา

= อเปหิเขาจากธรรมศาลา แปลตรงตัวคือ “โยนเขาออกไป”

= อาจเพียงตัดเขาออกจากธรรมศาลา  -ปท.ข 22;1คร.5:5

 9:35     “เมื่อพระองค์ทรงพบเขา” (having found him)  = พระเยซูตามหาชายคนนี้

                        “ท่านวางใจในบุตรมนุษย์หรือ?” (Do you believe in the Son of Man?) –ยน.3:15;มธ.8:20

 9:36     “ใครคือบุตรมนุษย์ที่ข้าพเจ้าจะวางใจได้” (who is he, sir, that I may believe in him) –รม.10:14

 9:37     “ท่านเห็นผู้นั้นแล้ว คือผู้ที่กำลังพูดอยู่กับท่าน” (You have seen him, and it is he who is speaking to you) –ยน.4:26

9:38     “ข้าพระองค์วางใจ” (I believe)  = ข้าพระองค์เชื่อ,1:7;20:3)

“แล้วเขาก็กราบไหว้พระองค์” (he worshiped him)  = แสดงความเคารพยำเกรงพระเยซูแบบที่พระเจ้าสมควรได้รับ –มธ.28:9

9:39     “บทสนทนาใน 9:35-38 อาจเกิดขึ้นในช่วงที่ไม่มีพวกฟาริสีอยู่ และใน 9:39-41 อาจเกิดหลังจากนั้นเล็กน้อย

“เราเข้ามาในโลก” (I came into this world) –ยน.3:19;12:47

“เพื่อการพิพากษา” (For judgment)

-แท้จริงพระองค์ไม่ได้มาเพื่อพิพากษา (3:17;12:47)

แต่การมาของพระองค์ ได้ทำให้พวกประชาชนแตกเป็น 2 พวก ซึ่งเป็นการพิพากษาในรูปแบบหนึ่ง เพราะผู้ที่ปฏิเสธการช่วยเหลือของพระองค์ก็เหมือนคนตาบอด ไม่เห็นความรอด และจะต้องรับการพิพากษา เพราะสิ่งที่พวกเขาก่อขึ้น

9:40     “เราตาบอดด้วยหรือ?” (Are we also blind?) = พวกฟาริสีคิดว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่จะคิดว่าพวกเขาตาบอดฝ่ายวิญญาณ –รม.2:19

9:42     “แต่พวกท่านพูดเดี๋ยวนี้เองว่า ‘เรามองเห็น’ เพราะฉะนั้นบาปของท่านยังมีอยู่” (but now that you say, ‘We see,’ your guilt remains)  = พวกฟาริสีอ้างตัวว่าพวกเขามองเห็น แสดงว่าพวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่าพวกเขาตาบอด และยากจนฝ่ายจิตวิญญาณ พวกเขาอ้างว่า พวกเขามองเห็น แต่การกระทำของพวกเขากลับยืนยันว่า พวกเขาตาบอด –ยน.15:22,24

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณคิดเช่นเดียวกันหรือไม่ว่า คนที่ป่วยหรือคนพิการทุกคนนั้น มีสาเหตุมาจากเพราะเขาทำบาป หรือไม่ก็พ่อแม่ของเขาทำบาปมาก่อน? ทำไม?
  2. คุณเคยเห็นคนที่เจ็บป่วย หรือพิการ เพื่อให้พระเจ้าทรงสำแดงพระราชกิจผ่านชีวิตของเขาบ้างหรือไม่? แบ่งปัน
  3. คุณทำตัวเป็นความสว่างของโลกนี้อย่างไรบ้าง? โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคนในครอบครัวและในชุมชนที่คุณอาศัยอยู่?
  4. คุณทราบหรือไม่ว่า พระเยซูมักจะใช้วิธีที่แตกต่างกันในการรักษาโรคใดโรคหนึ่ง (ยกตัวอย่างเรื่องรักษาคนตาบอด) ข้อเท็จจริงนี้สอนอะไรคุณเป็นพิเศษบ้าง?
  5. คุณเคยประสบกับการ(รักษาอย่าง)อัศจรรย์ที่มาจากพระเจ้าบ้างหรือไม่? เกิดขึ้นกับตัวคุณเองหรือคนอื่น? อย่างไร?
  6. คุณเคยเป็นพยานถึงพระคริสต์ ทั้ง ๆ ที่รู้เรื่องเกี่ยวกับพระองค์น้อยมากบ้างหรือไม่? อย่างไร? และทำไม?แล้วผลเป็นอย่างไร?
  7. คุณเคยถูกกดดัน ถูกหว่านล้อม ถูกขู่ หรือถูกเล่นงานให้ปฏิเสธพระเยซูบ้างหรือไม่? แล้วคุณรับมืออย่างไร? เกิดอะไรตามมา?
  8. คุณเคยเจ็บปวดหรือเสียหายมากที่สุด เพราะยืนหยัดเพื่อพระเยซูอย่างไรบ้าง? แล้วคุณผ่านมาได้อย่างไร?

 

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระกิตติคุณยอห์น บทเรียนที่ 8

สัจจะจะทำให้ท่านเป็นไท

พระธรรม         ยอห์น 8:1-59

อ้างอิง             มธ.5:14,3:9;ยน.9:5;ลก.3:8

บทนำ              คนเรามักเป็นทาสความคิดของตัวเอง ขนบประเพณี กฎบัญญัติ หรือกระแสสังคม ทำให้บางครั้งหรือบ่อยครั้งใจของเราปิด บิดเบือนความจริงแท้  และขาดความเมตตาต่อผู้อื่น แม้แต่คนที่อยู่ใกล้ตัวเราจึงอาจกลายเป็นคนที่เคร่งศาสนา ที่พร้อมจะฆ่าผู้ใดก็ได้ที่เชื่อหรือกระทำสิ่งใดที่ขัดกับที่เรายึดถือพระเยซูคริสต์ คือ องค์สัจจะที่จะทำให้เราเป็นไทจากสิ่งเหล่านั้น

บทเรียน

8:1 “แต่พระเยซูเสด็จไปที่ภูเขามะกอกเทศ” 

      (but Jesus went to the Mount of Olives.)

8:2 “และในตอนเช้าตรู่พระองค์ทรงปรากฏที่บริเวณพระวิหารอีกคนทั้งหลายก็พากันมาหาพระองค์พระองค์ประทับและทรง เริ่มสั่งสอนเขา”

     (At dawn he appeared again in the temple courts, where all the people gathered around him, and he sat down to teach them.)

8:3 “พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีพาผู้หญิงคนหนึ่งมาหา หญิงคนนี้ถูกจับฐานล่วงประเวณีและพวกเขาให้นางยืนอยู่ต่อหน้าประชาชน” 

    (The teachers of the law and the Pharisees brought in a woman caught in adultery. They made her stand before the  group)

8:4 “เขาทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ หญิงคนนี้ถูกจับขณะกำลังล่วงประเวณีอยู่” 

       (and said to Jesus, “Teacher, this woman was caught in the act of adultery.)

8:5 “ในธรรมบัญญัตินั้นโมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนอย่างนี้ให้ตาย แล้วท่านจะว่าอย่างไร?”

      (In the Law Moses commanded us to stone such women. Now what do you say?)

8:6 “เขาพูดอย่างนี้เพื่อทดลองพระองค์โดยหวังจะหาเหตุฟ้องพระองค์ แต่พระเยซูน้อมพระกายลงเอานิ้วเขียนที่ดิน” 

       (They were using this question as a trap, in order to have a basis for accusing him. But Jesus bent down and started  to write on the ground with his finger. )

8:7 “และเมื่อพวกเขายังทูลถามอยู่เรื่อยๆ พระองค์ก็ยืดพระกายขึ้นตรัสตอบเขาว่า “ใครในพวกท่านไม่มีบาป ให้เอาหินขว้างนางก่อนเป็น​คนแรก” 

     (When they kept on questioning him, he straightened up and said to them, “Let any one of you who is without sin be the first to throw a stone at her.)

8:8 “แล้วพระองค์น้อมพระกายลงเอานิ้วเขียนที่ดินอีก” 

      (Again he stooped down and wrote on the ground.)

8:9 “แต่เมื่อพวกเขาได้ยินอย่างนั้น เขาก็ออกไปทีละคน เริ่มจากคนเฒ่าคนแก่ เหลือแต่พระเยซูตามลำพังกับหญิงคนนั้นที่ยืนอยู่ต่อ‍พระพักตร์พระองค์” 

    (At this, those who heard began to go away one at a time, the older ones first, until only Jesus was left, with the  woman still standing there. )

8:10 “พระเยซูยืดพระกายขึ้นตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย พวกเขาไปไหนหมด? ไม่มีใครเอาโทษเธอหรือ?” 

       (Jesus straightened up and asked her, “Woman, where are they? Has no one condemned you?)

8:11 “นางทูลว่า “ท่านเจ้าข้า ไม่มีใครเลย” แล้วพระเยซูตรัสว่า “เราก็ไม่เอาโทษเหมือนกัน จงไปเถิดและจากนี้ไปอย่าทำบาปอีก”]”

        (“No one, sir,” she said. “Then neither do I condemn you,” Jesus declared. “Go now and leave your life of sin.”)

8:12 “พระเยซูตรัสกับพวกเขาอีกครั้งหนึ่งว่า “เราเป็นความสว่างของโลก คนที่ตามเรามาจะไม่ต้องเดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่ง​ชีวิต” 

    (When Jesus spoke again to the people, he said, “I am the light of the world. Whoever follows me will never walk in darkness, but will have the light of life.)

8:13 “พวกฟาริสีจึงกล่าวกับพระองค์ว่า “ท่านเป็นพยานให้ตัวเอง คำพยานของท่านก็ไม่จริง” 

       (The Pharisees challenged him, “Here you are, appearing as your own witness; your testimony is not valid.”)

8:14 “พระเยซูตรัสตอบว่า “ถึงแม้เราเป็นพยานให้ตัวเราเอง คำพยานของเราก็ยังเป็นจริงอยู่ เพราะเรารู้ว่าเรามาจากไหนและจะไปที่ไหนแต่พวกท่านไม่รู้ว่าเรามาจากไหนและจะไปที่ไหน” 

      (Jesus answered, “Even if I testify on my own behalf, my testimony is valid, for I know where I came from and where I  am going. But you have no idea where I come from or where I am going.)

8:15 “พวกท่านพิพากษาตามมาตรฐานโลก เราไม่ได้มาพิพากษาใคร” 

       (You judge by human standards; I pass judgment on no one.)

8:16 “แต่ถึงแม้เราจะพิพากษา การพิพากษาของเราก็ถูกต้อง เพราะเราไม่ได้พิพากษาโดยลำพัง แต่เราพิพากษาร่วมกับพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา” 

       (But if I do judge, my decisions are true, because I am not alone. I stand with the Father, who sent me.)

8:17 “ในธรรมบัญญัติของท่านเขียนไว้ว่า คำพยานของคนสองคนย่อมเชื่อถือได้” 

        (In your own Law it is written that the testimony of two witnesses is true.)

8:18 “เราเป็นพยานให้ตัวเราเองและพระบิดาผู้ทรงใช้เรามาก็เป็นพยานให้เราด้วย” 

    (I am one who testifies for myself; my other witness is the Father, who sent me.”)

8:19 “พวกเขาจึงทูลพระองค์ว่า “พระบิดาของท่านอยู่ที่ไหน?” พระเยซูตรัสตอบว่า “พวกท่านไม่รู้จักตัวเราหรือพระบิดาของเรา ถ้าพวกท่านรู้จักเรา พวกท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย” 

   (Then they asked him, “Where is your father?” “You do not know me or my Father,” Jesus replied. “If you knew me,  you would know my Father also.”)

8:20 “พระเยซูตรัสคำเหล่านี้ที่คลังเงินขณะกำลังสั่งสอนอยู่ที่บริเวณพระวิหาร แต่ไม่มีใครจับกุมพระองค์เพราะว่ายังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์”

    (He spoke these words while teaching in the temple courts near the place where the offerings were put. Yet no one seized him, because his hour had not yet come.)

8:21 “พระองค์ตรัสกับพวกเขาอีกว่า“เราจะจากไปและพวกท่านจะแสวงหาเราและจะตายในการบาปของตัวเองที่ที่เราจะไปนั้นท่านไป​ไม่ได้” 

   (Once more Jesus said to them, “I am going away, and you will look for me, and you will die in your sin. Where I go,  you cannot come.”)

8:22 “พวกยิวจึงพูดกันว่า “เขาจะฆ่าตัวตายหรือ? เพราะเขาพูดว่า ‘ที่ที่เราจะไปนั้นพวกท่านไปไม่ได้” 

    (This made the Jews ask, “Will he kill himself? Is that why he says, ‘Where I go, you cannot come’?”)

8:23 “พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “พวกท่านเป็นของเบื้องล่าง เราเป็นของเบื้องบน ท่านเป็นของโลกนี้ เราไม่ได้เป็นของโลกนี้” 

     (But he continued, “You are from below; I am from above. You are of this world; I am not of this world.)

8:24“เราบอกพวกท่านว่าท่านจะตายในการบาปของตัวเองเพราะว่าถ้าพวกท่านไม่เชื่อว่าเราเป็นผู้นั้นท่านก็จะต้องตายในการบาปของตัว” 

     (I told you that you would die in your sins; if you do not believe that I am he, you will indeed die in your sins.”)

8:25 “เขาถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นใคร?” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นอย่างที่เราบอกพวกท่านตั้งแต่แรกแล้ว” 

        (“Who are you?” they asked. “Just what I have been telling you from the beginning,” Jesus replied. )

8:26 “เรายังมีอีกหลายเรื่องที่อาจพูดและพิพากษาเกี่ยวกับท่าน แต่ผู้ที่ทรงใช้เรามานั้นสัตย์จริง และเราก็กล่าวต่อโลกในสิ่งที่เราได้ยินจาก​พระองค์

     (“I have much to say in judgment of you. But he who sent me is trustworthy, and what I have heard from him I tell the world.”)

8:27 “พวกเขาไม่ทราบว่าพระองค์ตรัสเรื่องพระบิดา” 

     (They did not understand that he was telling them about his Father.)

8:28 “พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เมื่อพวกท่านยกบุตรมนุษย์ขึ้น ท่านก็จะรู้ว่าเราเป็นผู้นั้น และรู้ว่าเราไม่ได้ทำอะไรตามใจชอบพระบิดาทรง​สอนเราอย่างไร เราก็กล่าวอย่างนั้น” 

     (So Jesus said, “When you have lifted up the Son of Man, then you will know that I am he and that I do nothing on my own but speak just what the Father has taught me.)

8:29 “และพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาก็สถิตอยู่กับเรา พระองค์ไม่ได้ทรงทิ้งเราไว้ตามลำพัง เพราะว่าเราทำตามชอบพระทัยพระองค์เสมอ” 

      (The one who sent me is with me; he has not left me alone, for I always do what pleases him.”)

8:30 “เมื่อพระเยซูตรัสอย่างนี้ก็มีคนจำนวนมากวางใจในพระองค์”

       (Even as he spoke, many believed in him.)

8:31 “พระเยซูจึงตรัสกับพวกยิวที่วางใจในพระองค์ว่า “ถ้าพวกท่านยึดมั่นในคำสอนของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้จริง” 

       (To the Jews who had believed him, Jesus said, “If you hold to my teaching, you are really my disciples.)

8:32 “และพวกท่านจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านเป็นไท

        (Then you will know the truth, and the truth will set you free.)

8:33 “พวกเขาทูลตอบพระองค์ว่า“เราสืบเชื้อสายมาจากอับราฮัมและไม่เคยเป็นทาสใครเลย ทำไมท่านถึงกล่าวว่าเราจะเป็นไท?”

       (They answered him, “We are Abraham’s descendants and have never been slaves of anyone. How can you say that  we shall be set free?”)

8:34 “พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป” 

        (Jesus replied, “Very truly I tell you, everyone who sins is a slave to sin.)

8:35 “ทาสอยู่ในบ้านเพียงชั่วคราว บุตรต่างหากที่อยู่ตลอดไป”

       (Now a slave has no permanent place in the family, but a son belongs to it forever.)

8:36 “เพราะฉะนั้นถ้าพระบุตรทรงทำให้พวกท่านเป็นไท ท่านก็เป็นไทจริงๆ” 

        (So if the Son sets you free, you will be free indeed.)

8:37 “เรารู้ว่าพวกท่านเป็นเชื้อสายของอับราฮัม แต่ท่านก็หาโอกาสฆ่าเรา เพราะไม่เชื่อคำสอนของเรา” 

        (I know that you are Abraham’s descendants. Yet you are looking for a way to kill me, because you have no room for my word.)

8:38 “เราพูดถึงสิ่งที่เราเห็นเมื่ออยู่กับพระบิดา และพวกท่านทำในสิ่งที่ท่านได้ยินมาจากพ่อของท่าน”

    (I am telling you what I have seen in the Father’s presence, and you are doing what you have heard from your father.”)

8:39 “พวกเขาทูลตอบพระองค์ว่า “อับราฮัมเป็นบิดาของเรา” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ถ้าพวกท่านเป็นลูกของอับราฮัมแล้ว ท่านก็จะทำใน​สิ่งที่อับราฮัมทำ” 

    (“Abraham is our father,” they answered. “If you were Abraham’s children,”said Jesus, “then you would do what  Abraham did.)

8:40 “แต่เดี๋ยวนี้พวกท่านหาโอกาสฆ่าเราซึ่งเป็นผู้บอกท่านถึงสัจจะที่เราได้ยินมาจากพระเจ้า อับราฮัมไม่ได้ทำอย่างนี้” 

    (As it is, you are looking for a way to kill me, a man who has told you the truth that I heard from God. Abraham did not do such things.)

8:41 “พวกท่านทำสิ่งที่พ่อของท่านทำ” เขาทูลพระองค์ว่า “เราไม่ได้เกิดจากการล่วงประเวณี เรามีพระบิดาองค์เดียวคือพระเจ้า” 

        (You are doing the works of your own father.” “We are not illegitimate children,” they protested. “The only Father we have is God himself.”)

8:42 “พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ถ้าพระเจ้าเป็นพระบิดาของพวกท่านแล้ว ท่านก็จะรักเรา เพราะเรามาจากพระเจ้าและอยู่นี่แล้ว เราไม่ได้มา​ตามใจชอบของเราเอง แต่พระองค์ทรงใช้เรามา”

     (Jesus said to them, “If God were your Father, you would love me, for I have come here from God. I have not come  on my own; God sent me.)

8:43 “ทำไมพวกท่านถึงไม่เข้าใจถ้อยคำที่เราพูด? นี่เป็นเพราะท่านทนฟังคำสอนของเราไม่ได้”

        (Why is my language not clear to you? Because you are unable to hear what I say.)

8:44 “พวกท่านมาจากพ่อของท่านคือมาร และท่านอยากจะทำตามความปรารถนาของพ่อ มันเป็นฆาตกรตั้งแต่เริ่มแรกและไม่ได้ตั้งอยู่ใน​สัจจะ เพราะมันไม่มีสัจจะ เมื่อมันพูดเท็จมันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา” 

    (You belong to your father, the devil, and you want to carry out your father’s desires. He was a murderer from the beginning, not holding to the truth, for there is no truth in him. When he lies, he speaks his native  language, for he is a liar and the father of lies.)

8:45 “แต่พวกท่านไม่เชื่อเราเพราะเราพูดความจริง”

         (Yet because I tell the truth, you do not believe me!)

8:46 “มีใครในพวกท่านที่อาจชี้ให้เห็นว่าเรามีบาป? ถ้าเราพูดความจริง ทำไมท่านถึงไม่เชื่อเรา?” 

       (Can any of you prove me guilty of sin? If I am telling the truth, why don’t you believe me?)

8:47 “คนที่มาจากพระเจ้าก็ย่อมฟังพระดำรัสของพระเจ้า พวกท่านไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะเหตุนี้พวกท่านจึงไม่ฟัง

        (Whoever belongs to God hears what God says. The reason you do not hear is that you do not belong to God.”)

8:48 “พวกยิวทูลตอบพระองค์ว่า “ที่เราพูดว่าท่านเป็นชาวสะมาเรียและมีผีสิงนั้นไม่จริงหรือ?”

        (The Jews answered him, “Aren’t we right in saying that you are a Samaritan and demon- possessed?”)

8:49 “พระเยซูตรัสตอบว่า “เราไม่มีผีสิง แต่เราถวายพระเกียรติแด่พระบิดาของเรา และพวกท่านลบหลู่เกียรติของเรา” 

        (“I am not possessed by a demon,”said Jesus, “but I honor my Father and you dishonor me.)

8:50 “เราไม่ได้แสวงหาเกียรติของเราเอง แต่มีผู้แสวงหาให้และพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงพิพากษา” 

        (I am not seeking glory for myself; but there is one who seeks it, and he is the judge.)

8:51 “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าใครประพฤติตามคำสอนของเรา คนนั้นจะไม่ประสบความตายเลย” 

       (Very truly I tell you, whoever obeys my word will never see death.”)

8:52 “พวกยิวทูลพระองค์ว่า “เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วว่าท่านมีผีสิง อับราฮัมตายไปแล้วและพวกผู้เผยพระวจนะก็ตายไปแล้วเหมือนกัน แต่ท่านพูด​ว่า ‘ถ้าใครประพฤติตามคำสอนของเรา คนนั้นจะไม่ตายเลย’”

     (At this they exclaimed, “Now we know that you are demon-possessed! Abraham died and so did the prophets, yet you say that whoever obeys your word will never taste death.)

8:53 “ท่านยิ่งใหญ่กว่าอับราฮัมบิดาของเราที่ตายไปแล้วหรือ?พวกผู้เผยพระวจนะก็ตายไปแล้วเหมือนกัน ท่านจะอวดอ้างว่าท่านเป็นใคร?”

    (Are you greater than our father Abraham? He died, and so did the prophets. Who do you think you are?”)

8:54 “พระเยซูตรัสตอบว่า “ถ้าเราให้เกียรติแก่ตัวเราเอง เกียรติของเราก็ไม่มีความหมาย ผู้ที่ทรงให้เกียรติเรานั้นคือพระบิดาของเรา ผู้ที่​พวกท่านกล่าวว่าเป็นพระเจ้าของท่าน” 

   (Jesus replied, “If I glorify myself, my glory means nothing. My Father, whom you claim as your God, is the one who glorifies me.)

8:55 “พวกท่านไม่รู้จักพระองค์ แต่เรารู้จักพระองค์ ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่รู้จักพระองค์ เราก็จะเป็นคนมุสาเหมือนกับท่าน แต่เรารู้จัก​พระองค์ และประพฤติตามพระดำรัสของพระองค์” 

   (Though you do not know him, I know him. If I said I did not, I would be a liar like you, but I do know him and obey his word.)

8:56 “อับราฮัมบิดาของพวกท่านชื่นชมยินดีที่จะได้เห็นวันของเรา และท่านก็เห็นแล้วและมีความยินดี” 

        Your father Abraham rejoiced at the thought of seeing my day; he saw it and was glad.)

8:57 “พวกยิวจึงทูลพระองค์ว่า “ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี ท่านเคยเห็นอับราฮัมแล้วหรือ?” 

        (“You are not yet fifty years old,” they said to him, “and you have seen Abraham!”)

8:58 “พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ก่อนอับราฮัมเกิด เราเป็นอยู่แล้ว” 

        (“Very truly I tell you,”Jesus answered, “before Abraham was born, I am!”)

8:59 “คนเหล่านั้นจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาจะขว้างพระองค์ แต่พระเยซูทรงหลบเลี่ยงและเสด็จออกไปจากบริเวณพระวิหาร”

      (At this, they picked up stones to stone him, but Jesus hid himself, slipping away from the temple grounds.)

ข้อมูลมีประโยชน์

8:1     “ภูเขามะกอกเทศ” (the Mount of Olives) –ศคย.14:4;มก.11:1;ลก.19:29;กจ.1:12;มธ.21:1

8:2     “ประทับและทรงเริ่มสั่งสอนเขา” (sat down and taught them) –มธ.26:55;ยน.8:20

8:3     “พวกธรรมาจารย์” (The scribes) –มธ.2:4;มก.2:16;ลก.5:17

“หญิงคนนี้ถูกจับฐานล่วงประเวณี” (caught in adultery) = ไม่ใช่บาปที่ทำได้คนเดียว เท่ากับเป็นการจัดฉาก เพื่อเล่นงานพระเยซู( ข.6) ถ้าเป็นเรื่องจริงก็เท่ากับว่า พวกเขาเจตนาทำให้เธออับอาย และปล่อยผู้ชายหนีไป

8:4     “ถูกจับขณะกำลังล่วงประเวณีอยู่” (caught in the act of adultery) ในบัญญัติของยิวกำหนดให้มีพยานรู้เห็นเหตุการณ์ 2-3 ปาก การกล่าวหาด้วยคำบอกเล่าเฉย ๆ เป็นหลักฐานที่เลื่อนลอย

8:5     “เอาหินขว้างคนอย่างนี้ให้ตาย” (us to stone such women) = พวกเขาบิดเบือนบทบัญญัติเล็กน้อย เพราะบัญญัติกำหนดให้ประหารชีวิตได้เมื่อหญิงนั้นเป็นหญิงพรหมจารีที่หมั้นหมายแล้ว (ฉธบ.22:22-24)  และบทบัญญัติให้ประหารทั้งหญิงและชาย (ลนต.20:10;ฉธบ.22:22) ไม่ใช่แค่ประหารผู้หญิงคนเดียว (โยบ 31:11)

8:6     “เขาพูดเช่นนี้เพื่อทดลองพระองค์” (This they said to test him) บางฉบับแปลว่า “เขาใช้คำถามนี้เป็นกับดัก” (เพื่อกล่าวโทษพระองค์)   =โรมไม่อนุญาตให้ชาวยิวตัดสินคดีประหารชีวิต (18:31) ดังนั้น ถ้าพระเยซูตรัสให้เอาหินขว้างใส่เธอ ก็เท่ากับพระองค์ขัดแย้งกับโรม แต่หากพระองค์บอกว่า ห้ามขว้าง พระองค์จะถูกกล่าวหาว่า ไม่สนับสนุนธรรมบัญญัติ –มธ.22:15,18;12:10

“น้อมพระกายลงเอานิ้วเขียนที่ดิน” (bent down and wrote with his finger on the ground) = ทำให้คิดถึงการที่พระเจ้าเขียนพระบัญญัติ 10 ประการบนศิลา 2 แผ่น โดยนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้า (อพย.31:18) หรืออาจทำให้คิดได้ว่า ข้อกล่าวหาของหญิงคนนี้ไม่มีน้ำหนักเท่ากับสิ่งที่พระเยซูคริสต์เขียนลงบนพื้นดิน

8:7     “ใครในพวกท่านไม่มีบาป” (Let him who is without sin) = “ไม่มีบาปอะไรเลย”  ไม่ใช่ “ไม่มีบาปแบบนี้” “ให้เอาหินขว้างนางก่อนเป็นคนแรก” (among you be the first to throw a stone at her) = พระเยซูให้คำตอบที่ทำให้พวกสำนึกตัว เพราะพระองค์ตรัสถึงคุณสมบัติของคนขว้าง ทำให้พวกเขาไม่กล้าลงมือ –ฉธบ.17:7;อสค.16:40;รม.2:1,22

8:9     “เขาก็ออกไปทีละคน” (they went away one by one) = ทยอยออกไปทีละคน  เพราะพวกเขาต่างก็รู้ว่า พวกเขาไม่มีใครที่ไม่มีบาป (ข.7) “เริ่มจากคนเฒ่าคนแก่” ( beginning with the older ones) –ยิ่งอายุมากเขายิ่งตระหนักว่า เราทุกคนล้วนทำบาปกันมาก

ทั้งนั้น

8:11   “เราก็ไม่เอาโทษเหมือนกัน” (Neither do I condemn you) –ยน.3:17

            “จงไปเถิดและจากนี้ไป อย่าทำบาปอีก” (go, and from now on sin no more) = บัดนี้จะไปเถิดและจงทิ้งวิถีชีวิตที่ผิดบาปของเจ้า   = พระเยซูให้อภัย แต่ไม่ได้มองข้ามสิ่ง(ผิด) ที่ผู้หญิงที่ได้กระทำลงไป         

8:12   “เราเป็นความสว่างของโลก” (I am the light of the world) “เราเป็น” –ยน.6:35

            “ความสว่าง” –ยน.1:4;9:5;12:46    = พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง (1ยน.1:5) และผู้ที่ติดตามพระเยซูคริสต์ก็เป็นความสว่าง(ของโลก) –มธ.5:14;ฟป.2:15 –ที่มีหน้าที่สะท้อนความสว่างที่มาจากพระเจ้า

            “ความมืด” (darkness) = ทั้งความมืดของโลกนี้และของมารซาตาน

            “ความสว่างแห่งชีวิต” (the light of life) = พระเจ้าเป็นความสว่าง (1ยน.1:5)  พระเยซูก็เป็นความสว่างจากพระเจ้าที่ส่องทางแห่งชีวิตแก่ผู้เชื่อ  ดุจดังที่เสาเพลิงที่ช่วยนำทางชาวอิสราเอลในฐานะที่อพยพออกจากอียิปต์ (อพย.13:21;นหม.9:12) ปท. สภษ.4:18;มธ.5:14)

8:13   “คำพยานของท่านก็ไม่จริง” (your testimony is not true) = คำพยานของท่านเชื่อถือไม่ได้

8:14   “ถึงแม้เราเป็นพยานให้ตัวเราเอง คำพยานของเราก็ยังเป็นจริงอยู่” (Even if I do bear witness about myself, my testimony is true) = พระเยซูมีคุณสมบัติที่จะเป็นพยาน – ยน.13:3;16:28

“แต่พวกท่านไม่รู้ว่าเรามาจากไหน และจะไปที่ไหน” (but you do not know where I come from or where I am going)  = พวกฟาริสีขาดคุณสมบัติ เพราะพระเยซูรู้ที่มาที่ไป และจุดหมายปลายทางของพระองค์ แต่ฟาริสีไม่รู้เลย (ปท.8:16-18) –ยน.7:27;9:29

8:15   “พวกท่านพิพากษาตามมาตรฐานโลก” (You judge according to the flesh)  = การพิพากษาตัดสินของพวกฟาริสีมีแบบหรือกรอบมาจากทางโลกหรือของมนุษย์โดยทั่วไป  -1ยน.7:24

“เราไม่ได้มาพิพากษาใคร” ( I judge no one)  = พระเยซูให้ความกระจ่างว่า พระองค์ไม่ทรงประสงค์จะตัดสินผู้ใดแต่พระองค์ทรงเป็นผู้ที่สมควรและต้องตัดสินพิพากษามนุษย์ทั้งปวงในตอนสุดท้าย –ยน.3:7

8:16-18  -พระเยซูคริสต์ตอบประเด็นเรื่องที่กล่าวว่า คำพยานของพระองค์ขาดผู้สนับสนุน พระองค์ยืนยันว่า พระบิดาทรงสถิตกับพระองค์ และทรงเป็นพยานที่ 2 ที่เป็นไปตามบทบัญญัติกำหนด (ฉธบ.17:6;19:15)

8:16   “พระบิดาผู้ทรงใช้เรามา” (the Father who sent me ) = พระเยซูตระหนักในพันธกิจของพระองค์ที่พระเจ้าทรงประสงค์อยู่เสมอ – ยน.5:30

8:17   “คำพยานของคนสองคนย่อมเชื่อถือได้” (the testimony of two people is true) –มธ.18:16

8:18   “พระบิดาผู้ทรงใช้เรามาก็เป็นพยานให้เราด้วย” (  the Father who sent me bears witness about me) –ยน.5:37

8:19   “ถ้าพวกท่านรู้จักเรา” ( If you knew me)  -ผู้เขียนพระธรรมยอห์นกล่าวไว้ชัดเจนว่า พระวาทะ(พระเยซู) อยู่กับพระเจ้า และเป็นพระเจ้า (1:1) อีกทั้งยังสำแดงพระเจ้า (1:18 ) พระเยซูทรงเน้นว่า คนทั้งหลายจะรู้จักพระเจ้าพระบิดาผ่านทางพระบุตร และถ้ารู้จักผู้หนึ่งผู้ใดก็จะรู้จักอีกผู้หนึ่งด้วย (14:7,10-11)

8:20   “ที่คลังเงิน” (in the treasury) = บางฉบับแปลว่า “ที่วางของถวาย” –มก.12:41; “กำลังสั่งสอน” (he taught) –มธ.26:55

           “ยังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์” (his hour had not yet come)  -มธ.26:18;ยน.2:4

8:21   “จะตายในบาปของตัวเอง” (die in your sin) –อสค.3:18

         “ที่ที่เราจะไปนั้น ท่านไปไม่ได้” (Where I go, you cannot come) –ยน.7:34;13:33

8:23   “เราไม่ได้เป็นของโลกนี้” ( I am not of this world) 

            “ของ”  = ในที่นี้บอกถึงที่มา พระเยซูอยู่ในโลกนี้ แต่พระองค์ ไม่ใช่ “ของ” โลก – ยน.3:31;17:14

            “ท่านเป็นของโลกนี้” (You are of this world)  = พวกเขาเป็น “ของ” โลกนี้ ซึ่งอยู่ใต้อำนาจของซาตาน.5:19;ปท.12:31;14:30;16:11)

8:24   “ไม่เชื่อ” ( you do not believe) –1:7; “เราเป็นผู้นั้น” ( I am he )  –ปท.ยน.4:26;13:19

= พระเยซูสะท้อนเสียงยืนยันหนักแน่นของพระเจ้าเกี่ยวกับพระองค์ (8:58;6:35:อพย.3:14)

8:26   “สัตย์จริง” (true) = เชื่อถือได้ –ยน.7:28  ;“เราก็กล่าวต่อโลก” (I declare to the world) = แจ้งแก่โลก – ยน.3:32;15:15

8:28   “ยกบุตรมนุษย์ขึ้น” (lifted up the Son of Man)   = วลี “ยก…ขึ้น”  โดยปกติในพันธสัญญาใหม่ มีความหมายว่า “ยกย่องเทิดทูน”  แต่ในตอนนี้ ผู้เขียนใช้หมายถึง “การตรึงบนกางเขน” (3:14;12:32)

           “เราก็กล่าวอย่างนั้น” (speak just as the Father taught me)

8:31   “วางใจ” (believed)  -บางฉบับแปลว่า “เชื่อ”  = มีความหมายว่า “ประกาศความเชื่ออย่างเป็นทางการ” แต่เหตุการณ์ในตอนนี้แสดงว่า พวกเขาไม่ได้เป็นผู้เชื่ออย่างแท้จริง (ข.33,37)

8:32   “สัจจะ” (the truth) = “ความจริง” (ข.36:14:6)  = ความจริงที่นำไปสู่ความรอด ไม่ใช่ความจริงเชิงปรัชญา

         “เป็นไท” ( free) = เป็นอิสระจากบาป

8:33   “ไม่เคยเป็นทาสใครเลย” (never been enslaved to anyone ) = พวกเขามองข้ามความจริงว่า พวกเขาอยู่ใต้การปกครองของโรม และเคยเป็นทาสของอียิปต์ อัสซีเรีย บาบิโลน เปอร์เซีย และซีเรีย ด้วย

8:34   “ทาสของบาป” ( a slave to sin)  = คนบาปไม่สามารถหลุดพ้นได้ด้วยกำลังเรี่ยวแรงหรือความสามารถของตัวเอง

–รม.6:16,18

8:35   “ที่อยู่ตลอดไป” (            remains forever) = คนของครอบครัวตลอดไป –กท.4:30

8:36   “ทำให้พวกท่านเป็นไท” (            you will be free) = ท่านก็จะเป็นไทอย่างแท้จริง – ยน.8:32

8:37   “ท่านก็หาโอกาสฆ่าเรา” (you seek to kill me) = ท่านพร้อมที่จะฆ่าเรา – 7:1-8:59

8:38   “เมื่ออยู่กับพระบิดา” (with my Father) –ยน.5:19,30;14:10,24

            “พ่อของท่าน” (your father) = พระเยซูไม่ได้บอกชัดว่า พ่อของพวกเขาเป็นใคร แต่ที่แน่ ๆ คือ ไม่ใช่ทั้งพระเจ้าหรืออับราฮัมตามที่เขาอ้าง – ยน.8:41,44

8:39-41  -พฤติกรรมของพวกเขา เป็นตัวบ่งบอกว่า พ่อของเขาคือใคร

8:41   “เราไม่ได้เกิดจากการล่วงประเวณี” (We were not born of sexual immorality )   = บางฉบับแปลว่า “เราไม่ใช่ลูกนอกสมรส”   -คงเป็นคำกล่าวเสียดสี หมิ่นประมาทพระเยซู เรื่องเกิดจากหญิงพรหมจารี

            “เรามีพระบิดาองค์เดียวคือพระเจ้า” (We have one Father—even God) –อสย.63:16;64:8

8:43   “ถ้อยคำที่เราพูด” (my word)= พวกยิวมั่นใจในความคิดดั้งเดิมของตัวองมากจนไม่เข้าใจจริง ๆ ว่า พระเยซูกำลังตรัสสอนอะไร  –ปท.ข.47

8:44   “ท่านมาจากพ่อของท่านคือ มาร” (You are of your father the devil  ) = พระเยซูเตือนพวกยิวที่ต่อต้านพระองค์ (ไม่ได้หมายถึง ยิวทั้งหมด –เพราะความรอดมาจากพวกยิว –4:22)  มารคือ ผู้ที่ฆ่าและล่อลวง/หลอกลวง

           “ท่านอยากจะทำ” (your will is to do )  = เป็นเรื่องของการตัดสินใจ (ของพวกเขาเอง) เป็นปัญหาเรื่องจิตวิญญาณ ไม่ใช่เรื่องสติปัญญา พวกเขาตั้งใจจะทำหรือจะฆาตกรรมและทำจนสำเร็จ (ข.37,28)

          “มันไม่มีสัจจะ” (no truth) = ไม่มีความจริงอยู่ในมาร ความจริงเป็นสิ่งแปลก และไม่เข้ากับมาร และคนของมัน

         “เป็นพ่อของการมุสา” (the father of lies )   -ปฐก.3:4;4-9;2พศด.18:21;สดด.5:6;12:2

8:45   “เพราะเราพูดความจริง” (because I tell the truth   ) –ยน.18:37

8:46   “มีใคร…อาจชี้ให้เห็นว่าเรามีบาป?” (Which one of you convicts me of sin) = มีใครในพวกท่านพิสูจน์ได้ว่า เราทำผิดบาป = การถามคำถามที่สำคัญ แสดงว่าพระเยซูมีชีวิตที่ใสสะอาด

8:47   “ย่อมฟังพระดำรัสของพระเจ้า” ( hears the words of God   ) –ยน.10:3-4;1ยน.4:6

8:48   “ท่านเป็นชาวสะมาเรีย” (you are a Samaritan ) = คำกระแนะกระแหนว่า พระเยซูทรงหละหลวมในการรักษาบัญญัติของชาวยิวและไม่ได้ดีไปกว่าชาวสะมาเรีย (หรืออาจหมายถึง พระเยซูเป็นชาวสะมาเรียโดยกำเนิด)– มธ.10:5นแ

           “ผีสิง” ( have a demon) –ยน.10:20;7:20;มก.3:22;ยน.8:52

8:51   “คำสอนของเรา” ( my word)  = สิ่งที่พระเยซูสั่งสอนทั้งหมด “คนนั้นจะไม่ประสบความตายเลย” (he will never see death)  = หากประพฤติปฏิบัติตามคำของพระเยซู พวกเขาก็จะหลุดพ้นจากความตาย (นิรันดร์)       

8:53   “ท่านยิ่งใหญ่กว่าอับราฮัมบิดาของเราที่ตายไปแล้วหรือไม่?” (Are you greater than our father Abraham, who died?)  = คำถามที่ตีกรอบให้ตอบว่า “ไม่” เป็นคำเสียดสี  แต่เป็นความจริงว่า พระเยซูยิ่งใหญ่กว่า อับราฮัม และโมเสส   (ยน.6:30-35;4:12;8:39)

8:56  “วันของเรา” (my day) =ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระเยซู ที่ทำให้อับราฮัมที่ได้เห็น (พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จในพระบุตร ทำให้โลกได้รับความรอดและพระพร) (ปฐก.12:2-3) มีความยินดี 

ปท.ปฐก.18:18;ยน.8:37,39;มธ.13:17

8:57   “ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี” (are not yet fifty years old) = อายุสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้ของพระเยซู(ในโลกนี้) ตอนนั้นพระองค์อายุ “ประมาณ” 30 ปีเมื่อเริ่มกระทำพระราชกิจ (ลก.3:23)

8:58   “ก่อนอับราฮัมเกิด เราเป็นอยู่แล้ว” (before Abraham was, I am) =คำประกาศที่หนักแน่นของพระเยซูคริสต์ ถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ (อพย.3:14;ยน.8:24,28,35)  

= สภาพนิรันดร์ของพระเยซูและความเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดาของพระองค์ (1:1)

8:59   “จะขว้างพระองค์” (stones to throw at him) = ตีความว่าพระเยซูหมิ่นประมาทพระเจ้าต้องได้รับโทษด้วยการถูกหินขว้าง  -ลนต.24:16;อสย.17:4;1ซมอ.30:6;ยน.10:31;11:8 ; “ทรงหลบเลี่ยง” ( hid) –ยน.12:36

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยทำผิด(พลาด) แล้วถูกจับได้บ้างไหม? เรื่องราวเป็นอย่างไร? คุณรู้สึกอย่างไร? แล้วตอนท้ายเป็นอย่างไร?
  2. คุณเคยจับผู้ทำผิดพลาด(ผิดบาป) ได้บ้างไหม? เรื่องอะไร? แล้วคุณจัดการกับคนนั้นอย่างไร? คุณคิดว่า คุณทำถูกต้องและไม่รู้สึกเสียใจหรือตรงกันข้ามหรือไม่? ทำไม?
  3. คุณเคยเห็นคนที่ได้รับโอกาสในการแก้ไขหรือปรับปรุงตัวเอง แต่ยังกลับไปทำผิดบาปเหมือนเดิมบ้างหรือไม่? แล้วผลเป็นอย่างไร?
  4. คุณเคยเห็นคนที่ทำผิดบาปและได้รับการให้อภัยและให้โอกาสแล้วกลับใจจนชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในทางดี และพระเจ้าทรงใช้เขาได้อย่างมากบ้างไหม? (แบ่งปัน)
  5. คุณเคยเจอคนที่ดื้อรั้นในความคิดหรือความเชื่อของตนเองจนตั้งตัวเองเป็นไม้บรรทัด หรือผู้พิพากษา คอยตัดสินคนอื่นอยู่ตลอดเวลาบ้างไหม? แล้วคุณมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง? ผลที่ตามมาคืออะไร?
  6. คุณเคยพบคนที่ตั้งหน้าตั้งตาเล่นงานผู้อื่น(หรือคุณ)อย่างไม่ยอมลดละบ้างไหม? เพราะอะไร? แล้วเกิดอะไรตามมา? (ตัวคุณเองรับมืออย่างไร?)
  7. คุณเคยมีประสบการณ์กับ “สัจจะทำให้ท่านเป็นไท” บ้างไหม? อย่างไร?
  8. คุณคิดอย่างไรกับคำพูดอันแข็งกร้าวรุนแรงของพระเยซู จนถึงขั้นประณามผู้นำยิวว่า “มีพ่อเป็นมาร” (8:44) ?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระกิตติคุณยอห์น บทเรียนที่ 8

พระเยซูคือใคร?

พระธรรม        ยอห์น 7:1-52

อ้างอิง             ยน.1:19;3:19-20;4:29;5:2-9,41;6:40-43;7:14-19,25-32,48;8:14-15;26-30,42;50-54;9:22;11:56; 12:35,42;14:24;15:18-19;19:38;20:19,22

บทนำ              การทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่เมื่อพระเยซูคริสต์พระบุตรลงมากระทำกิจของพระบิดาในโลก ยังเผชิญกับอุปสรรคมากมาย ดังนั้น เราจึงไม่ควรบ่นหรือท้อถอยในยามเผชิญปัญหาในการดำเนินชีวิตและในการรับใช้

บทเรียน

7:1 “หลังจากนั้นพระเยซูเสด็จไปตามที่ต่างๆ ในแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ต้องการเสด็จไปแคว้นยูเดียเพราะพวกยิวหาโอกาสฆ่า​      พระองค์”

     (After this, Jesus went around in Galilee. He did not want to go about in Judea because the  Jewish leaders     there were looking for a way to kill him.)  

7:2 “ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลอยู่เพิงของพวกยิวแล้ว”

      (But when the Jewish Festival of Tabernacles was near,)

7:3 “พวกน้องๆ ของพระองค์จึงทูลพระองค์ว่า “จงออกจากที่นี่ไปแคว้นยูเดียเพื่อให้พวกสาวกเห็นกิจการที่กำลังทำอยู่”

       (Jesus’ brothers said to him, “Leave Galilee and go to Judea, so that your disciples there may see the  works you do. )

7:4 “เพราะว่าไม่มีใครแอบทำอะไรเงียบๆ ในเมื่ออยากให้ตัวเองปรากฏ ถ้าจะทำสิ่งเหล่านี้ก็จงแสดงตัวให้ปรากฏต่อโลกเถิด” 

       (No one who wants to become a public figure acts in secret. Since you are doing these things, show yourself to the world.)

7:5 “แม้แต่พวกน้องๆ ของพระองค์ก็ไม่ได้วางใจในพระองค์” 

     (For even his own brothers did not believe in him.)

7:6 “พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “ยังไม่ถึงเวลาของเรา แต่เวลาของพวกน้องนั้นได้ทุกเมื่อ”

     (Therefore Jesus told them, “My time is not yet here; for you any time will do.)

7:7 “โลกเกลียดชังพวกน้องไม่ได้ แต่โลกเกลียดชังเรา เพราะเราเป็นพยานว่าการงานของโลกนี้ชั่วร้าย” 

      (The world cannot hate you, but it hates me because I testify that its works are evil.)

7:8 “พวกน้องจงขึ้นไปที่งานเทศกาล เราจะไม่ขึ้นไปที่งานเทศกาลนี้ เพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลาของเรา” 

     (You go to the festival. I am not going up to this festival, because my time has not yet fully come.)

7:9 “เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้วพระองค์ก็ประทับในแคว้นกาลิลีต่อไป”

      (After he had said this, he stayed in Galilee.)

7:10 “แต่หลังจากพวกน้องๆของพระองค์ขึ้นไปที่งานเทศกาลนั้นแล้ว พระองค์ก็เสด็จตามขึ้นไปด้วย แต่ไปอย่างเงียบๆ ไม่เปิดเผย” 

      (However, after his brothers had left for the festival, he went also, not publicly, but in secret.)

7:11 “พวกยิวมองหาพระองค์ในงานเทศกาลนั้นและถามว่า “คนนั้นอยู่ที่ไหน?” 

       (Now at the festival the Jewish leaders were watching for Jesus and asking, “Where is he?”)

7:12 “และฝูงชนก็ซุบซิบกันอย่างมากเรื่องพระองค์ บางคนพูดว่า “เขาเป็นคนดี” บางคนว่า “ไม่ใช่ เขาทำให้ฝูงชนหลงผิดไป” 

      (Among the crowds there was widespread whispering about him. Some said, “He is a good man.” Others replied, “No, he deceives the people.” )

7:13 “แต่ไม่มีใครกล้าพูดถึงพระองค์อย่างเปิดเผยเพราะกลัวพวกยิว”

       (But no one would say anything publicly about him for fear of the leaders.)

7:14 “เมื่อเวลาผ่านไปถึงกลางเทศกาล พระเยซูเสด็จขึ้นไปที่บริเวณพระวิหารและทรงสั่งสอน”

       (Not until halfway through the festival did Jesus go up to the temple courts and begin to teach.

7:15 “พวกยิวพากันประหลาดใจพูดว่า “คนนี้รู้พระธรรมได้อย่างไรในเมื่อไม่เคยเรียนเลย?”

     (The Jews there were amazed and asked, “How did this man get such learning without having been taught?)

7:16 “พระเยซูจึงตรัสตอบพวกเขาว่า “คำสอนของเราไม่ใช่ของเราเอง แต่เป็นของผู้ทรงใช้เรามา”

     (Jesus answered, “My teaching is not my own. It comes from the one who sent me.)

7:17 “ถ้าใครตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ คนนั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนี้มาจากพระเจ้าหรือว่าเราพูดตามใจชอบเอง”

   (Anyone who chooses to do the will of God will find out whether my teaching comes from God or whether I speak on my own.)

7:18 “ใครที่พูดตามใจชอบเองย่อมแสวงหาเกียรติสำหรับตนเอง แต่คนที่แสวงหาเกียรติให้ผู้ที่ใช้ตนมา คนนั้นเป็นคนจริง ไม่มี​        อธรรมในตัวเขาเลย” 

      (Whoever speaks on their own does so to gain personal glory, but he who seeks the glory of the one who sent him is a man of truth; there is nothing false about him.)

7:19 “โมเสสให้ธรรมบัญญัติแก่พวกท่านไม่ใช่หรือ? แต่ไม่มีใครในพวกท่านประพฤติตามธรรมบัญญัตินั้น พวกท่านหาโอกาส​ฆ่าเราทำไม?” 

     (Has not Moses given you the law? Yet not one of you keeps the law. Why are you trying to kill me?”)

7:20 “ฝูงชนตอบว่า “ท่านมีผีสิงอยู่ ใครกันที่หาโอกาสจะฆ่าท่าน?”

        (“You are demon-possessed,” the crowd answered. “Who is trying to kill you?”)

7:21 “พระเยซูตรัสตอบว่า “เราได้ทำสิ่งเดียว และท่านทุกคนประหลาดใจ” 

        (Jesus said to them, “I did one miracle, and you are all amazed.)

7:22 “โมเสสให้พวกท่านเข้าสุหนัต(สุหนัตไม่ได้มาจากโมเสส แต่มาจากบรรพบุรุษ)และท่านก็ยังให้คนเข้าสุหนัตในวันสะบาโต”

    (Yet, because Moses gave you circumcision (though actually it did not come from Moses, but from the patriarchs), you circumcise a boy on the Sabbath.)

7: 23 “ถ้าในวันสะบาโตคนยังเข้าสุหนัตเพื่อไม่ให้ละเมิดธรรมบัญญัติของโมเสสแล้ว พวกท่านยังจะโกรธเราเพราะเราทำให้ชายคนหนึ่งหายเป็นปกติในวันสะบาโตหรือ?”

        (Now if a boy can be circumcised on the Sabbath so that the law of Moses may not be broken, why are you angry with me for healing a man’s whole body on the Sabbath?)

7:24 “อย่าพิพากษาตามที่เห็นภายนอก แต่จงพิพากษาอย่างยุติธรรมเถิด

      (Stop judging by mere appearances, but instead judge correctly.”)

7:25 “แล้วชาวกรุงเยรูซาเล็มบางคนจึงพูดว่า “คนนี้ไม่ใช่หรือที่พวกเขาหาโอกาสจะฆ่า?” 

        (At that point some of the people of Jerusalem began to ask, “Isn’t this the man they are trying to kill?)

7:26 “เขาก็อยู่นี่แล้วไง กำลังพูดอยู่อย่างเปิดเผย และพวกเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร พวกผู้ใหญ่รู้แน่แล้วหรือว่าคนนี้เป็นพระคริสต์?” 

      (Here he is, speaking publicly, and they are not saying a word to him. Have the authorities really concluded    that he is the Messiah?) 

7:27 “แต่เรารู้แล้วว่าคนนี้มาจากไหน เพราะเมื่อพระคริสต์เสด็จมา จะไม่มีใครรู้เลยว่าพระองค์มาจากไหน

       (But we know where this man is from; when the Messiah comes, no one will know where he is from.”)

7:28 “แล้วพระเยซูก็ทรงประกาศขณะทรงสั่งสอนอยู่ที่บริเวณพระวิหารว่า “พวกท่านรู้จักเราและรู้ว่าเรามาจากไหน เราไม่ได้มา​ตามลำพังเราเอง แต่พระองค์ผู้ทรงใช้เรามานั้นสัตย์จริงและพวกท่านไม่รู้จักพระองค์” 

      (Then Jesus, still teaching in the temple courts, cried out, “Yes, you know me, and you know where I am from.  I am not here on my own authority, but he who sent me is true. You do not know him,)

7:29 “เรารู้จักพระองค์ เพราะเรามาจากพระองค์และพระองค์ทรงใช้เรามา” 

      (but I know him because I am from him and he sent me.”)

7:30 “พวกเขาจึงหาโอกาสจับพระองค์ แต่ไม่มีใครยื่นมือแตะต้องพระองค์เพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์” 

       (At this they tried to seize him, but no one laid a hand on him, because his hour had not yet come.)

7:31 “แต่มีหลายคนในหมู่ประชาชนนั้นวางใจในพระองค์และพูดว่า “เวลาที่พระคริสต์เสด็จมา พระองค์จะทรงทำหมายสำคัญ​มากยิ่งกว่าสิ่งที่ท่านผู้นี้ได้ทำหรือ?”

     (Still, many in the crowd believed in him. They said, “When the Messiah comes, will he perform more signs than this man?”)

7:32 “เมื่อพวกฟาริสีได้ยินประชาชนซุบซิบกันเรื่องพระองค์อย่างนั้น พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีจึงใช้เจ้าหน้าที่ไปจับพระองค์” 

      (The Pharisees heard the crowd whispering such things about him. Then the chief priests and the Pharisees sent temple guards to arrest him.)

7:33 “พระเยซูตรัสว่า “เราจะอยู่กับพวกท่านต่อไปอีกไม่นาน แล้วจะกลับไปหาผู้ที่ทรงใช้เรามา” 

        (Jesus said, “I am with you for only a short time, and then I am going to the one who sent me.)

7:34 “พวกท่านจะแสวงหาเราแต่จะไม่พบเรา และที่ที่เราอยู่นั้นท่านจะเข้าไปไม่ได้” 

        (You will look for me, but you will not find me; and where I am, you cannot come.)

7:35 “พวกยิวจึงพูดกันว่า “คนนี้จะไปไหนที่เราจะหาเขาไม่พบ? เขาตั้งใจจะไปหาคนที่กระจัดกระจายอยู่ในหมู่พวกกรีกและสั่ง‍สอนพวกกรีกหรือ?” 

     (The Jews said to one another, “Where does this man intend to go that we cannot find him? Will he go where our people live scattered among the Greeks, and teach the Greeks?)

7:36 “เขาหมายความว่าอย่างไรที่พูดว่า ‘พวกท่านจะแสวงหาเราแต่จะไม่พบเรา’ และ ‘ที่ที่เราอยู่นั้นพวกท่านจะเข้าไปไม่ได้’?”

    (What did he mean when he said, ‘You will look for me, but you will not find me,’and ‘Where I am, you cannot come’?)

7:37 “ในวันสุดท้ายของงานเทศกาลซึ่งเป็นวันยิ่งใหญ่นั้นพระเยซูทรงยืนขึ้นและทรงประกาศว่า“ถ้าใครกระหาย ให้คนนั้นมาหาเรา

       (On the last and greatest day of the festival, Jesus stood and said in a loud voice, “Let anyone who is thirsty come to me and drink.)

7:38 “และให้คนที่วางใจในเราดื่ม ตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘แม่น้ำที่มีน้ำดำรงชีวิตจะไหลออกมาจากภายในคนนั้น’”

     (Whoever believes in me, as Scripture has said, rivers of living water will flow from within them.)

7:39 “สิ่งที่พระเยซูตรัสนั้นหมายถึงพระวิญญาณซึ่งคนที่วางใจพระองค์จะได้รับ เพราะว่าพระวิญญาณยังไม่สถิตด้วย เพราะ​พระเยซูยังไม่ได้รับพระเกียรติ”

    (By this he meant the Spirit, whom those who believed in him were later to receive. Up to that time the Spirit had not been given, since Jesus had not yet been glorified.)

7:40 “เมื่อประชาชนได้ยินดังนั้น บางคนก็พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะแน่นอน” 

       (On hearing his words, some of the people said, “Surely this man is the Prophet.”)

7:41 “คนอื่นๆ ก็พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นพระคริสต์” แต่บางคนว่า “พระคริสต์จะมาจากกาลิลีได้หรือ?” 

       (Others said, “He is the Messiah.” Still others asked, “How can the Messiah come from Galilee?)

7:42 “พระคัมภีร์กล่าวไว้ไม่ใช่หรือว่าพระคริสต์จะมาจากเชื้อพระวงศ์ของดาวิด และมาจากหมู่บ้านเบธเลเฮม ที่ดาวิดเคยอยู่นั้น” 

       (Does not Scripture say that the Messiah will come from David’s descendants and from Bethlehem, the town where David lived?” )

7:43 “ดังนั้นฝูงชนจึงขัดแย้งกันในเรื่องพระองค์”

        (Thus the people were divided because of Jesus.)

7: 44 “บางคนอยากจะจับพระองค์ แต่ไม่มีใครยื่นมือแตะต้องพระองค์เลย”

        (Some wanted to seize him, but no one laid a hand on him.)

7:45 “พวกเจ้าหน้าที่กลับไปหาพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสี พวกเขาจึงถามเจ้าหน้าที่ว่า “ทำไมพวกเจ้าถึงไม่จับเขามา?” 

     (Finally the temple guards went back to the chief priests and the Pharisees, who asked them, “Why didn’t you bring him in?”)

7:46 “เจ้าหน้าที่ตอบว่า “ไม่เคยมีใครพูดเหมือนอย่างคนนั้นเลย

       (“No one ever spoke the way this man does,” the guards replied.)

7:47 “พวกฟาริสีตอบเขาว่า “พวกเจ้าโดนหลอกด้วยหรือ?” 

       (“You mean he has deceived you also?” the Pharisees retorted.)

7:48 “มีใครบ้างในพวกผู้ใหญ่หรือพวกฟาริสีที่ศรัทธาในตัวเขา?” 

      (“Have any of the rulers or of the Pharisees believed in him? )

7:49 “ก็มีแต่ฝูงชนนี้ที่ไม่รู้ธรรมบัญญัติ พวกเขาต้องถูกสาปแช่ง” 

       (No! But this mob that knows nothing of the law—there is a curse on them.)

7:50 “นิโคเดมัสคนที่มาหาพระองค์คราวก่อน และเป็นคนหนึ่งในพวกเขานั้นกล่าวแก่เขาว่า” 

        (Nicodemus, who had gone to Jesus earlier and who was one of their own number, asked)

7:51 “กฎหมายของเราเคยพิพากษาคนโดยที่ยังไม่ได้ฟังเขาหรือรู้ว่าเขาทำอะไรก่อนหรือ?” 

      (“Does our law condemn a man without first hearing him to find out what he has been doing?”)

7:52 “พวกเขาตอบนิโคเดมัสว่า “ท่านก็มาจากกาลิลีด้วยหรือ? ลองค้นดูเถิดแล้วท่านจะเห็นว่าไม่มีผู้เผยพระวจนะเกิดขึ้นจากกาลิลี

     (They replied, “Are you from Galilee, too? Look into it, and you will find that a prophet does not come out of Galilee.”)

7:53 “[แล้วต่างคนต่างก็กลับไปที่บ้านของตน”

         (Then they all went home,)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

7:1-8:59 –พระธรรมยอห์น ทั้ง 2 บทนี้ กล่าวถึงการต่อต้านพระคริสต์อย่างรุนแรง จนอาจทำอันตรายให้เสียชีวิตได้ (7:1,13,19,25,30,32,44;8:37;40,59)

-ผู้เขียนได้รวบรวมข้อโต้แย้งหลัก ๆ เรื่องพระเมสสิยาห์ของพระเยซู และให้คำตอบไว้

7:1        “หลังจากนั้น” (After this) –เนื่องจาก 6:4 อ้างถึงเทศกาลปัสกา และ 7:2 อ้างถึงเทศกาลอยู่เพิง – จึงมีช่องว่างอยู่ราว 6 เดือน

7:2        “เทศกาลอยู่เพิง”(Festival of Tabernacles) = เทศกาลสำคัญของชาวยิว เพื่อเฉลิมฉลองที่การเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้น และระลึกถึงพระคุณอันดีงามของพระเจ้าที่มีต่อชนชาติอิสราเอล ในช่วงที่ร่อนเร่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร (ลนต.23:33-43;ฉธบ.16:13-15;ศคย.14:16)

-ชื่อเทศกาลนี้มาจากการสร้างเพิงที่มุงด้วยใบไม้ และประชาชนเข้าไปพักตลอด 7 วัน

7:3        “พวกน้อง ๆ” (Jesus’ brothers) –ลก.8:19

7:4        “เพราะว่าไม่มีใครแอบทำอะไรเงียบ ๆ ในเมื่ออยากให้ตัวเองปรากฏ…” (No one who wants to become a public figure acts in secret)

-ไม่แน่ชัดว่าน้อง ๆ รู้เรื่องการอัศจรรย์อื่นใดของพระเยซูที่ผู้อื่นไม่ทราบหรือไม่ หรือว่าพวกเขากำลังแนะนำให้พระองค์กระทำการพิสูจน์ว่า พระองค์เป็นพระเมสสิยาห์ตามที่อ้างในขณะที่ไปกรุงเยรูซาเล็มเลย

-แต่ที่แน่นอนก็คือ พวกเขาไม่ได้จริงใจในการพูดเช่นนั้น เพราะข้อ 5 บอกไว้

7:6        “ยังไม่ถึงเวลาของเรา” (My time is not yet here) = ยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม (มธ.26:18) พระเยซูคริสต์ทรงกระทำพันธกิจตามกำหนดเวลาที่พระบิดากำหนดไว้ (2:4;รม.5:6)

7:7        “โลก…โลก” (The world)   -อาจหมายถึง      1. ผู้คนที่ต่อต้านพระคริสต์  2. ระบบของมนุษย์ที่ต่อต้านพระประสงค์ของพระเจ้า (1ยน.2:15)

            โลกไม่เกลียดชังพวกน้อง ๆ ของพระองค์ เพราะพวกเขาเป็นของโลก  แต่พระเยซูตำหนิโลก ๆ จึงเกลียดชังพระองค์

7:8        “เราจะไม่ขึ้นไปที่งานเทศกาลนี้” (I am not going up to this festival) = พระเยซูปฏิเสธที่จะไปเทศกาลนี้ตามที่น้อง ๆ แนะนำ แต่พระองค์จะไปประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าเมื่อถึงเวลาที่อันเหมาะสมที่พระเจ้าทรงกำหนด (ข.6)

7:10      “พระองค์ก็เสด็จตามขึ้นไปด้วย แต่ไปอย่างเงียบๆ ไม่เปิดเผย” (he went also, not publicly, but in secret)   

= พระเยซูไม่ยอมรับคำแนะนำของน้อง ๆ ที่ให้เปิดเผยพระองค์ในข้อ 4

7:12      “และฝูงชนก็ซุบซิบกันอย่างมาก” (Among the crowds there was widespread whispering about him.)

= เพราะไม่ปลอดภัยที่จะพูดกันอย่างเปิดเผย (ปท.ข้อ 13)

7:14      “เวลาผ่านไปถึงกลางเทศกาล” (Not until halfway through the festival did)   = ช่วงเวลาที่ฝูงชนมีจำนวนคน

มามากที่สุด การสั่งสอนของพระองค์ที่ลานพระวิหารจะมีคนฟังมากมาย –มธ.26:55;ยน.7:28

7:15      “พวกยิว” (The Jews) = คนละพวกกับ “ฝูงชน” ในข้อ 12 ซึ่งเป็นยิวเหมือนกัน (1:19)

              “…ในเมื่อไม่เคยเรียนเลย?” (learning without) = ไม่ได้เรียนจากพวกรับบี (อาจารย์) ของสำนักใดเลย (กจ.4:13)

7:16      “คำสอนของเราไม่ใช่ของเราเอง” (My teaching is not my own) = มาจากพระเจ้าพระบิดา -4:34

7:17      “ถ้าใครตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์”(Anyone who chooses to do the will of God) 

= ถ้าผู้ใดเลือกที่จะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างจริงใจ รับคำสอนของพระเยซูคริสต์และเชื่อในพระองค์ (6:29)

“คนนั้นก็จะรู้ว่า” (will find out)  = ออกัสติน ให้ความเห็นว่า “ความเข้าใจ” เป็นรางวัลของ “ความเชื่อ” ดังนั้น ถ้าบุคคลใดเต็มใจที่จะทำตามพระประสงค์ของพระองค์ คือ เชื่อพระองค์เขาก็จะเข้าใจความจริง

7:18      “คนนั้นเป็นคนจริง” (him is a man of truth)  = “เป็นคนของความจริง” หรือ “ความสัตย์จริง” หรือหาเกียรติ ใส่ตัวเอง –ปท.ยน.5:41;8:50,54      -ไม่มีผู้ใด “สัตย์จริง” นอกจากพระเจ้า พระบิดา (3:33;8:26) และพระเยซู

                        = อีกครั้งหนึ่งที่พระเยซูประกาศตัวว่า พระองค์เท่าเทียมกับพระเจ้า

7:19      “ธรรมบัญญัติ” (the law)  -พวกยิวภูมิใจว่า พวกตัวเองได้รับเลือกให้เป็นผู้รับธรรมบัญญัติ (บทบัญญัติ) แต่พระเยซูตรัสว่า พวกเขาล้วนละเมิดบทบัญญัติที่พวกเขาภาคภูมิใจมากเหลือเกิน (ปท.รม.2:17-29)

7:20      “ฝูงชน” (the crowd)  -อาจเป็นผู้แสวงธรรม(แสวงบุญ)ที่เดินทางมาร่วมเทศกาลที่กรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นคนละพวกกับ “พวกยิว” ที่พยายามหาทางฆ่าพระเยซู (ข.1) และเป็นคนละกลุ่มกับคนในเยรูซาเล็ม ที่รู้ว่ามีการวางแผนฆ่าพระเยซู (ข.25)

“ท่านมีผีสิงอยู่” (You are demon-possessed)

-ในตอนอื่น ๆ ของพระธรรมยอห์น มีการกล่าวหาพระเยซูว่า มีผีสิงอยู่ด้วย เช่น 8:48-52;10:20-21;

ปท.มธ.12:24-32;มก.3:22-30

 7:21      “เราได้ทำสิ่งเดียว” (I did one miracle) –ในบางฉบับแปลว่า “เราได้ทำการอัศจรรย์อย่างหนึ่ง” 

= เข้าใจว่า คือการรักษาคนง่อย  (ยน.5:2-9;7:23)

-ดูได้จากการถกเถียงกันเรื่องการรักษาคนป่วยในวันสะบาโต

7:22      “เข้าสุหนัต” (circumcision)   = เป็นข้อกำหนดในบทบัญญัติของโมเสส (อพย.12:44,48;ลนต.12:3)

                        แต่ก็ไม่ได้เริ่มต้นจากโมเสส แต่เริ่มที่อับราฮัม (ปฐก.17:10-12)

                        -พวกยิวตีความว่า ลนต 12:3 กำหนดให้เข้าสุหนัตในวันที่ 8 (แม้จะเป็นวันสะบาโตก็ตาม)

                        -ข้อยกเว้นนี้มีความสำคัญยิ่งต่อการทำความเข้าใจความขัดแย้งที่เกิดขึ้น (ข.23)

-พระเยซูไม่ได้ตรัสว่า ไม่ควรรักษาวันสะบาโต แต่ต้องการบอกว่า ผู้ที่ต่อต้านพระองค์ ไม่เข้าใจความหมายของวันสะบาโต คำบัญชาให้ทำพิธีเข้าสุหนัต เป็นการบ่งบอกว่า บางครั้งไม่เพียงแต่อนุญาตให้ทำงานในวันสะบาโตได้เท่านั้น แต่จำเป็นต้องทำด้วยการแสดงความเมตตาก็อยู่ในกรณีนี้ด้วย (5:10;มก.3:2)

7:25      “ชาวกรุงเยรูซาเล็ม” (people of Jerusalem) –พบเฉพาะในที่นี้ และใน มก.1:5 อาจหมายถึง ฝูงชนในกรุงเยรูซาเล็ม (ข.20) พวกเขาไม่ใช่ต้นคิดในการวางแผนสังหารพระเยซู แต่รู้ว่า มีการวางแผนเช่นนั้น

7:26      “พวกผู้ใหญ่รู้แน่แล้วหรือว่า” ( the authorities really concluded) –บางฉบับแปลว่า “ผู้มีอำนาจสรุปแน่นอนแล้วใช่ไหม?” -ในภาษากรีกคำถามนี้คาดหวังให้ผู้ตอบ ตอบปฏิเสธ

7:27      “จะไม่มีใครรู้เลยว่า พระองค์มาจากไหน?”  (no one will know where he is from ) = พวกยิวบางคนเชื่อว่า พันธสัญญาเดิมบอกที่มาของพระเมสสิยาห์ (ปท.ข้อ 42;มธ.2:4-6) แต่บางคนไม่เชื่อเช่นนั้น

7:28      “พวกท่านรู้จักเรา” (you know me) = พระเยซูตรัสเป็นเชิงกระทบกระเทียบ ในแง่หนึ่งพวกเขารู้จักพระองค์ว่ามาจากนาซาเร็ธ แต่ในอีกแง่หนึ่งพวกเขาไม่รู้จักพระองค์เลย (8:19)

“พระองค์ผู้ทรงใช้เรามา” (he who sent me)  = พระเยซูประกาศว่า พระองค์มาจากพระเจ้าพระบิดาพระราชกิจของพระองค์ก็มาจากพระเจ้า

7:29      “เรารู้จักพระองค์…พระองค์ทรงใช้เรามา” (I know him … he sent me) –มธ.11:27;ยน.3:17

7:30      “พวกเขาจึงหาโอกาสจับพระองค์” (they tried to seize him) = พวกเขาพยายามที่จะจับพระองค์ แต่ไม่มีใครทำอะไรพระองค์ได้ จนกว่าจะถึงเวลาที่พระบิดากำหนด (3:4)

7:31      “หลายคนในหมู่ประชาชน” (many in the crowd)  = อาจเป็นพวกแสวงธรรม (แสวงบุญ) ที่เดินทางมาร่วมเทศกาล (ข.20)  และหลายคนในพวกเขามาเชื่อพระเยซูเพราะเห็นหมายสำคัญ (ปท.6:26)

7:32      “พวกฟาริสี” (The Pharisees) –มธ3:7;  “พวกหัวหน้าปุโรหิต” (the chief priests) –มธ.2:4;มก.8:31

                        -มีหัวหน้าปุโรหิตประจำการเพียงคนเดียว แต่โรมได้ปลดหัวหน้าปุโรหิตจำนวนมากให้เหลือแค่ยศเท่านั้น

7:33      “แล้วจะกลับไปหาผู้ที่ทรงใช้เรามา” (going to the one who sent me)  = พระเยซูทรงเปลี่ยนเรื่องสนทนาจากเรื่องการอัศจรรย์ของพระองค์ ไปเป็นการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ (ซึ่งพระองค์กล่าวถึงอย่างเป็นปริศนา, ข.34)

7:35      “คนที่กระจัดกระจายอยู่ในหมู่พวกกรีก” (live scattered among the Greeks) = นับตั้งแต่หลังสมัยตกไปเป็นเชลย ยิวหลายคนยังอาศัยอยู่นอกดินแดนอิสราเอล และอยู่ตามเมืองต่าง ๆ ของจักรวรรดิโรมัน

7:37      “ในวันสุดท้ายของงานเทศกาล” (On the last and greatest day of the festival)  =อาจเป็นวันที่ 7 หรือ 8 ก็ได้

เพราะเทศกาลอยู่เพิง ฉลองกัน 7 วัน (ลนต.23:34;ฉธบ.16:13,15) แต่มีการประชุมปิดท้ายในวันที่ 8 (ลนต.23:36) ปท.มก.14:12

“ทรงยืนขึ้นและทรงประกาศว่า” (stood and said in a loud voice)  = ยืนขึ้น และตรัสด้วยเสียงอันดังโดยปกติ ครูจะนั่งสอน แต่พระเยซูยืนขึ้นเพื่อดึงความสนใจให้พวกเขารับฟังข้อความที่พระองค์ตรัส

7:38      “แม่น้ำที่มีน้ำดำรงชีวิต” (rivers of living water)  = น้ำที่ให้ชีวิต –ยน.4:10

7:39      “พระวิญญาณ” (the Spirit) = น้ำที่ให้ชีวิตในข้อ 38

               “พระวิญญาณยังไม่สถิตด้วย”(the Spirit had not been given) = ยังไม่ได้ประทานพระวิญญาณแบบที่จะรับในวันเพนเทคอส (กจ.2:1-2,4)

“ยังไม่ได้รับพระเกียรติ” (not yet been glorified)  = พระเยซูยังไม่ได้ถูกตรึงบนไม้กางเขน เป็นขึ้นจากตาย และได้รับการยกย่องเทิดพระเกียรติ (13:31)

= งานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องขึ้นอยู่กับ งานแห่งความรอดของพระเยซูคริสต์ก่อน

7:40      “ประชาชน” (his) = ฝูงชนในข้อ 20

7:42      “พระคริสต์จะมาจากเชื้อพระวงศ์ของดาวิด และมาจากหมู่บ้านเบธเลเฮม” (the Messiah will come from David’s descendants and from Bethlehem) –1ซมอ.20:6;2ซมอ.7:12-16;สดด.89:3-4;มคา.5:2,  มีความคิดต่างกันในเรื่องที่มาของพระเมสสิยาห์ (ข.27)-ปท.มธ.1:1;2:5-6;ลก.2:4;มคา.5:2

7:43      “ฝูงชนจึงขัดแย้งกัน” (the people were divided) –ยน.6:52;9:16;10:19

7:44      “แต่ไม่มีใครยื่นมือแตะต้องพระองค์เลย” (but no one laid a hand on him) –ยน.7:30

7:46      “เจ้าหน้าที่” (the guards)  – บางฉบับแปลว่า “พวกยาม” ,พวกเขารู้ว่าจะตกที่นั่งลำบาก ถ้าไม่จับกุม แต่พวกเขาก็ประทับใจใสคำสอนของพระเยซูมาก และไม่ประสงค์จะทำให้พระองค์เดือดร้อน

7:47      “พวกฟาริสีตอบเขาว่า” (the Pharisees retorted)  = บางคำแปลใช้ว่า “พากฟาริสีย้อนว่า” 

                        -พวกฟาริสีฉุนเฉียวมาก ปกติหัวหน้าปุโรหิตจะเป็นผู้ตักเตือนเจ้าหน้าที่หรือยามที่เฝ้าพระวิหาร

7:48      “มีใครบ้างในพวกผู้ใหญ่หรือพวกฟาริสี ที่ศรัทธาในตัวเขา?” (Have any of the rulers or of the Pharisees believed in him) –ยน.12:42

7:49      “ฝูงชนนี้” (this mob)  = พวกแสวงธรรมที่เดินทางมาร่วมเทศกาล (ข.20)

“ไม่รู้ธรรมบัญญัติ” (knows nothing of the law)   -บางฉบับแปลว่า “ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบทบัญญัติ เลย”

= พวกเขาพูดเกินจริงว่าประชาชนเหล่านี้ไม่รู้พระคัมภีร์ (ปท.ข้อ 42) แต่พวกยิวทั่วไปไม่สนใจกับเรื่องหยุมๆ หยิมๆ ที่พวกฟาริสีถือเป็นสาระสำคัญ เพราะคำสอนของบรรพบุรุษเหล่านั้นเป็นภาระหนักเกินไปสำหรับประชาชนที่ทำมาหากินอย่างสุจริตด้วยความเหนื่อยยาก

7:50-51 –ในข้อเหล่านี้มีคำพูดที่เสียดสีและเสียดแทง เพราะพวกฟาริสีพูดว่า ไม่มีผู้นำคนไหนเชื่อพระเยซู แต่นิโคเดมัสผู้เป็นสมาชิกสภาปกครองของยิว (3:1) พูดขึ้นมาว่า ในขณะที่พวกฟาริสีเรียกร้องให้ประชาชนถือรักษาธรรมบัญญัติ แต่พวกเขาเองกลับละเลยบทบัญญัติจากเหตุการณ์นี้   -ปท.ยน.3:1;7:41;19:39

7:52      “ไม่มีผู้เผยพระวจนะเกิดขึ้นจากกาลิลี” (that a prophet does not come out of Galilee.)  -1:46:

ปท.มธ.2:23; พวกคนเหล่านี้ใช้อารมณ์ และพูดผิดด้วย เพราะโยนาห์มาจากกาลิลี และฟาริสีมองข้ามสิทธิอำนาจของพระเจ้าที่สามารถเรียกผู้เผยพระวจนะมาจากที่ไหนก็ได้  –ปท.ยน.7:41

7:53-8:11 –เรื่องราวตอนนี้ เป็นประเด็นที่ถกกันว่า ไม่ได้อยู่ในพระกิตติคุณยอห์นตั้งแต่เริ่มแรก

7:53      = ข้อที่เป็นส่วนหนึ่งของ ยน.8:1 เป็นตัวแสดงให้เห็นว่า เดิมเรื่องราวนี้ต่อมาจากเรื่องเล่าตอนอื่น

 

คำถามนำอภิปราย 

  1. หากพระเยซูคริสต์ยังทรงเจตนาเลี่ยงให้ห่างจากการปองร้ายของปฏิปักษ์ คุณคิดว่า สมควรหรือไม่ที่คริสเตียนเราจะหลีกเลี่ยงการเข้าไปสู่ปัญหาหรือสถานการณ์ที่เสี่ยงอันตรายเหล่านั้น?
  2. คุณเคยถูกคนใกล้ชิด ไม่เชื่อมั่นหรือไม่ศรัทธาในตัวของคุณบ้างหรือไม่? อย่างไร (แบ่งปัน) แล้วคุณทำอย่างไร?
  3. เคยมีคนประหลาดใจเพราะสิ่งที่คุณพูดหรือสอนบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร? และส่งผลอย่างไร?
  4. คุณเคยประสบกับการมี “ทวิมาตรฐาน” ในการตัดสินความบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? โดยใคร? ที่ไหน? และอย่างไร?
  5. คุณเคยมั่นใจว่า พระเจ้าส่งคุณให้เป็นผู้พูดหรือสอนแทนพระองค์บ้างหรือไม่? ต่อใคร? เรื่องอะไร? ที่ไหน? แล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไร?
  6. คุณเคยสงสัยหรือไม่เชื่อในตัวพระเยซูคริสต์หรือคำสอนของพระองค์บ้างหรือไม่? ทำไม?
  7. คุณเคยตัดสินผู้อื่นโดยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางบ้างไหม? เรื่องอะไร? แล้วเกิดอะไรขึ้น?
  8. คุณเคยกล้ายืนหยัดปกป้องคนที่คุณคิดว่าไม่ผิด หรือเพราะว่า กระบวนการพิจารณาตัดสินยังไม่สิ้นสุดบ้างหรือไม่? และมีผลอะไรตามมาบ้าง? (แบ่งปัน)

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระกิตติคุณยอห์น บทเรียนที่ 7

สิ่งที่พระเยซูกระทำนั้นล้ำเกินจินตนาการ

พระธรรม        ยอห์น 6:1-71

อ้างอิง              มธ.14:13-21,22-23;มก.6:32-44,47-51;ลก.9:10-17

บทนำ               พระเยซูทรงเปิดเผยว่า พระองค์เป็นอาหารแห่งชีวิต  ผู้ใดมีพระองค์อยู่ในชีวิต ผู้นั้นจะไม่ตาย  แต่การติดตามพระองค์ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงทำให้บางคนถดถอยไม่กล้าก้าวต่อไป แต่ผู้ที่เชื่อว่าพระองค์เป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า จะไม่มีวันหันหลังกลับเป็นอันขาด!

บทเรียน

6:1 “หลังจากนั้นพระเยซูเสด็จข้ามทะเลสาบกาลิลีหรือที่เรียกว่าทะเลทิเบเรียส” 

      (After this Jesus went away to the other side of the Sea of Galilee, which is the Sea of Tiberias.)

6:2 “มหาชนก็ตามพระองค์ไป เพราะพวกเขาเห็นหมายสำคัญต่างๆ ที่พระองค์ทรงทำต่อบรรดาคนป่วย”

      (And a large crowd was following him, because they saw the signs that he was doing on the sick.)

6:3 “พระเยซูเสด็จขึ้นไปบนภูเขาและประทับอยู่กับพวกสาวกของพระองค์”

     (Jesus went up on the mountain, and there he sat down with his disciples.)

6:4 “ขณะนั้นใกล้จะถึงปัสกาซึ่งเป็นเทศกาลของพวกยิว”

     (Now the Passover, the feast of the Jews, was at hand.)

6:5 “พระเยซูเงยพระพักตร์ขึ้นและทอดพระเนตรเห็นมหาชนพากันมาหาพระองค์ พระองค์จึงตรัสกับฟีลิปว่า “พวกเราจะซื้ออาหารให้คนเหล่านี้กินได้ที่ไหน?” 

      (Lifting up his eyes, then, and seeing that a large crowd was coming toward him, Jesus said to Philip, Where are we  to buy bread, so that these people may eat?)

6:6 “พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อจะทดสอบฟีลิป เพราะพระองค์ทรงทราบอยู่แล้วว่าพระองค์จะทรงทำอย่างไร”

     (He said this to test him, for he himself knew what he would do.)

6:7 “ฟีลิปทูลตอบพระองค์ว่า “สองร้อยเดนาริอัน ก็ยังไม่พอซื้ออาหารให้พวกเขากินกันคนละเล็กละน้อย” 

     (Philip answered him, “Two hundred denarii worth of bread would not be enough for each of them to get a little.)

6:8 “สาวกคนหนึ่งของพระองค์คืออันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตรทูลพระองค์ว่า”

      (One of his disciples, Andrew, Simon Peter’s brother, said to him,)

6:9“ที่นี่มีเด็กชายคนหนึ่งมีขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาสองตัว แต่เท่านั้นจะพออะไรกับคนมากอย่างนี้?” 

      (“There is a boy here who has five barley loaves and two fish, but what are they for so many?”)

6:10 “พระเยซูตรัสว่า “ให้ทุกคนนั่งลงเถิด” (ที่นั่นมีหญ้ามาก) คนเหล่านั้นจึงนั่งลง นับแต่ผู้ชายได้ประมาณห้าพันคน” 

       (Jesus said,”Have the people sit down.” Now there was much grass in the place. So the men sat down, about five thousand in number.) 

6:11 “แล้วพระเยซูก็ทรงหยิบขนมปัง เมื่อขอบพระคุณแล้วก็ทรงแจกจ่ายให้บรรดาคนที่นั่งอยู่นั้น และให้ปลาด้วยตามที่เขาต้องการ” 

        (Jesus then took the loaves, and when he had given thanks, he distributed them to those who were seated. So also the fish, as much as they wanted.) 

6:12 “เมื่อพวกเขากินอิ่มแล้วพระเยซูตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “จงเก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ อย่าให้มีสิ่งใดตกหล่น” 

     (And when they had eaten their fill, he told his disciples, “Gather up the leftover fragments, that nothing may be lost.”)

6:13 “พวกเขาจึงเก็บเศษขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนที่เหลือหลังจากทุกคนกินแล้วใส่กระบุงได้สิบสองกระบุงเต็ม”

      (So they gathered them up and filled twelve baskets with fragments from the five barley loaves left by those who had  eaten.) 

6:14 “เมื่อคนทั้งหลายเห็นหมายสำคัญที่พระองค์ทรงทำ พวกเขาจึงพูดกันว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะคนนั้นที่จะมาในโลก

     (When the people saw the sign that he had done, they said, “This is indeed the Prophet who is to come  into the        world!”)

6:15 “เมื่อพระเยซูทรงทราบว่าพวกเขาจะมาจับพระองค์ไปตั้งให้เป็นกษัตริย์ พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาอีกตามลำพัง”

     (Perceiving then that they were about to come and take him by force to make him king, Jesus withdrew again to the mountain by himself.)

6:16 “พอค่ำลงพวกสาวกของพระองค์ก็ไปที่ทะเลสาบ” 

      (When evening came, his disciples went down to the sea)

6:17 “แล้วลงเรือข้ามฟากไปยังคาเปอรนาอุม ขณะนั้นมืดแล้วและพระเยซูก็ยังไม่เสด็จไปหาพวกเขา” 

   (got into a boat, and started across the sea to Capernaum. It was now dark, and Jesus had not yet come to them.) 

6:18 “ทะเลก็กำเริบขึ้นเพราะลมพัดแรง”

      (The sea became rough because a strong wind was blowing.) 

6:19 “เมื่อพวกเขาตีกรรเชียงไปได้ประมาณห้าหกกิโลเมตร ก็เห็นพระเยซูทรงดำเนินมาบนทะเล กำลังเข้ามาใกล้เรือ พวกเขาต่างตกใจกลัว” 

    (When they had rowed about three or four miles, they saw Jesus walking on the sea and coming near the boat, and they were frightened.)

6:20 “แต่พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่เราเอง อย่ากลัวเลย

     (But he said to them, “It is I; do not be afraid.)

6:21 “พวกเขาจึงเต็มใจรับพระองค์ขึ้นเรือ ทันใดนั้นเรือก็ถึงฝั่งที่เขาจะไปนั้น”

    (Then they were glad to take him into the boat, and immediately the boat was at the land to which they were going.)

6:22 “วันรุ่งขึ้นฝูงชนที่เหลืออยู่ฝั่งข้างโน้นเห็นว่า ก่อนนั้นมีเรืออยู่ที่นั่นเพียงลำเดียว และเห็นว่าพระเยซูไม่ได้เสด็จลงเรือลำนั้นไปกับพวกสาวก พวกสาวกของพระองค์ไปกันตามลำพังเท่านั้น”

     (On the next day the crowd that remained on the other side of the sea saw that there had been only one boat there, and that Jesus had not entered the boat with his disciples, but that his disciples had gone away alone.)

6:23 “เวลานั้นมีเรือลำอื่นๆ จากทิเบเรียส ผ่านมาใกล้ตำบลที่พวกเขากินขนมปังหลังจากองค์พระผู้เป็นเจ้าขอบพระคุณแล้ว” 

   (Other boats from Tiberias came near the place where they had eaten the bread after the Lord had given thanks)

6:24 “ดังนั้นเมื่อฝูงชนเห็นว่าพระเยซูและพวกสาวกไม่ได้อยู่ที่นั่น พวกเขาจึงลงเรือไปตามหาพระเยซูที่เมืองคาเปอรนาอุม”

    (So when the crowd saw that Jesus was not there, nor his disciples, they themselves got into the boats and went to Capernaum, seeking Jesus.)

6:25 “เมื่อพวกเขาพบพระองค์ที่ฝั่งทะเลสาบข้างโน้นแล้ว เขาทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ ท่านมาที่นี่เมื่อไหร่?” 

    (When they found him on the other side of the sea, they said to him, “Rabbi, when did you come here?”)

6:26 “พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ท่านตามหาเราไม่ใช่เพราะเห็นหมายสำคัญ แต่เพราะได้กินขนมปังอิ่ม”

    (Jesus answered them, “Truly, truly, I say to you, you are seeking me, not because you saw signs, but because you ate your fill of the loaves.)

6:27 “อย่าทำงานเพื่อแสวงหาอาหารที่เสื่อมสูญได้ แต่จงแสวงหาอาหารที่คงทนอยู่จนถึงชีวิตนิรันดร์ ซึ่งบุตรมนุษย์จะมอบให้กับพวกท่าน เพราะพระเจ้าคือพระบิดาทรงรับรองท่านผู้นี้แล้ว” 

     (Do not work for the food that perishes, but for the food that endures to eternal life, which the Son of Man will give to you. For on him God the Father has set his seal.”)

6:28 “พวกเขาจึงทูลพระองค์ว่า “เราจะต้องทำอะไรบ้างถึงจะทำงานของพระเจ้าได้?” 

     (Then they said to him, “What must we do, to be doing the works of God?” )

6:29 “พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “งานของพระเจ้าคือการวางใจในผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา

      (Jesus answered them, “This is the work of God, that you believe in him whom he has sent.”)

6:30 “พวกเขาจึงทูลพระองค์ว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านจะให้หมายสำคัญอะไรเพื่อที่เราจะเห็นและวางใจท่าน? ท่านจะทำอะไร?” 

     (So they said to him, “Then what sign do you do, that we may see and believe you? What work do you perform?)

6:31 “บรรพบุรุษของเราได้กินมานาในถิ่นทุรกันดาร ตามที่มีคำเขียนไว้ว่า ‘ท่านให้พวกเขากินอาหารจากสวรรค์’” 

      (Our fathers ate the manna in the wilderness; as it is written, ‘He gave them bread from heaven to eat.'” heaven and gives life to the world.”) 

6:32 “พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ไม่ใช่โมเสสที่ให้อาหารจากสวรรค์นั้นแก่ท่าน แต่พระบิดาของเราเป็นผู้ประทานอาหารแท้ที่มาจากสวรรค์ให้กับพวกท่าน”

     (Jesus then said to them, “Truly, truly, I say to you, it was not Moses who gave you the bread from heaven, but my Father gives you the true bread from heaven.) 

6:33 “เพราะว่าอาหารของพระเจ้านั้นคือท่านที่ลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้กับโลก” 

       (For the bread of God is he who comes down from)

6:34 “พวกเขาจึงทูลพระองค์ว่า “ท่านเจ้าข้า ขอโปรดให้อาหารนั้นแก่เราตลอดไปเถิด

       (They said to him, “Sir, give us this bread always.)

6:35 “พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต คนที่มาหาเราจะไม่หิว และคนที่วางใจในเราจะไม่กระหายอีกเลย”

     (Jesus said to them, “I am the bread of life; whoever comes to me shall not hunger, and whoever believes in me shall  never thirst.) 

6:36 “แต่เราก็บอกพวกท่านแล้วว่าท่านเห็นเราแล้วแต่ไม่วางใจ”

       (But I said to you that you have seen me and yet do not believe.) 

6:37 “สารพัดที่พระบิดาประทานแก่เราจะมาหาเรา และคนที่มาหาเรา เราจะไม่ขับไล่เลย” 

       (All that the Father gives me will come to me, and whoever comes to me I will never cast out.) 

6:38 “เพราะว่าเราลงมาจากสวรรค์ ไม่ใช่เพื่อทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่เพื่อทำตามพระประสงค์ของผู้ ทรงใช้เรามา”

       (For I have come down from heaven, not to do my own will but the will of him who sent me.)

6:39 “และพระประสงค์ของผู้ทรงใช้เรามานั้นก็คือ ให้เรารักษาทุกสิ่งที่พระองค์ทรงมอบไว้กับเรา ไม่ให้หายไปสักสิ่งเดียว แต่ทำให้เป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย” 

     (And this is the will of him who sent me, that I should lose nothing of all that he has given me, but raise it up on the last day.)

6:40 “เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ที่จะให้ทุกคนที่เห็นพระบุตรและวางใจพระองค์มีชีวิตนิรันดร์ และเราเองจะให้ คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย

    (For this is the will of my Father, that everyone who looks on the Son and believes in him should have eternal life, and I will raise him up on the last day.)

6:41 “พวกยิวจึงซุบซิบกันเรื่องพระองค์เพราะพระองค์ตรัสว่า “เราเป็นอาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์

    (So the Jews grumbled about him, because he said, “I am the bread that came down from heaven.)

6:42 “พวกเขาพูดกันว่า “คนนี้คือเยซูลูกของโยเซฟไม่ใช่หรือ? พ่อแม่ของเขาเราก็รู้จัก แล้วเดี๋ยวนี้เขาพูดได้อย่างไรว่า ‘เราลงมาจากสวรรค์’?” 

     (They said, “Is not this Jesus, the son of Joseph, whose father and mother we know? How does he now say, ‘I have come down from heaven’?”)

6:43 “พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “อย่าซุบซิบกันเลย”

        (Jesus answered them, “Do not grumble among yourselves.)

6:44 “ไม่มีใครมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาผู้ทรงใช้เรามาจะทรงชักนำให้เขามา และเราจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย” 

      (No one can come to me unless the Father who sent me draws him. And I will raise him up on the last day.)

6:45 “มีคำเขียนไว้ในหนังสือผู้เผยพระวจนะว่า ‘พระเจ้าจะทรงสั่งสอนพวกเขาทุกคนทุกคนที่ได้ยินได้ฟัง และได้เรียนรู้จากพระบิดาก็มาถึงเรา” 

      (It is written in the Prophets, ‘And they will all be taught by God.’ Everyone who has heard and learned from the Father comes to me)

6:46 “ไม่มีใครได้เห็นพระบิดานอกจากท่านที่มาจากพระเจ้า ท่านนั้นแหละได้เห็นพระบิดาแล้ว” 

     (not that anyone has seen the Father except he who is from God; he has seen the Father.)

6:47 “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า คนที่วางใจก็มีชีวิตนิรันดร์”

       (Truly, truly, I say to you, whoever believes has eternal life.)

6:48 “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต” 

        (I am the bread of life. )

6:49 “บรรพบุรุษของพวกท่านได้กินมานาในถิ่นทุรกันดารแล้วก็ยังเสียชีวิต” 

       (Your fathers ate the manna in the wilderness, and they died.)

6:50 “แต่นี่เป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์เพื่อให้คนที่ได้กินแล้วไม่ตาย”

        (This is the bread that comes down from heaven, so that one may eat of it and not die.)

6: 51 “เราเป็นอาหารดำรงชีวิตซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าใครกินอาหารนี้ คนนั้นจะมีชีวิตนิรันดร์ และอาหารที่เราจะให้เพื่อชีวิตของโลกนั้นก็คือเลือดเนื้อของเรา

       (I am the living bread that came down from heaven. If anyone eats of this bread, he will live forever. And the bread that I will give for the life of the world is my flesh.”)

6:52 “แล้วพวกยิวก็ทุ่มเถียงกันว่า “คนนี้จะเอาเนื้อของเขาให้เรากินได้อย่างไร?” 

       (The Jews then disputed among themselves, saying, “How can this man give us his flesh to eat?”)

6:53 “พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าท่านไม่ได้กินเนื้อและไม่ได้ดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ ก็จะไม่มีชีวิตในตัวท่าน” 

     (So Jesus said to them, “Truly, truly, I say to you, unless you eat the flesh of the Son of Man and drink his blood, you have no life in you.)

6:54 “คนที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราจะมีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย” 

     (Whoever feeds on my flesh and drinks my blood has eternal life, and I will raise him up on the  last day.) 

6:55 “เพราะว่าเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราก็เป็นเครื่องดื่มแท้” 

       (For my flesh is true food, and my blood is true drink.)

6:56 “คนที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา คนนั้นก็อยู่ในเราและเราอยู่ในเขา”

       (Whoever feeds on my flesh and drinks my blood abides in me, and I in him.) 

6:57 “พระบิดาผู้ทรงพระชนม์อยู่ทรงใช้เรามา และเรามีชีวิตเพราะพระบิดาอย่างไร คนที่กินเราก็จะมีชีวิตเพราะเราอย่างนั้น” 

     (As the living Father sent me, and I live because of the Father, so whoever feeds on me, he also will live because of me.)

6:58 “นี่แหละเป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์ ไม่เหมือนอาหารที่พวกบรรพบุรุษกินและเสียชีวิต คนที่กินอาหารนี้จะมีชีวิตนิรันดร์” 

   (This is the bread that came down from heaven, not like the bread the fathers ate, and died. Whoever feeds on this  bread will live forever.)

6:59 “คำเหล่านี้พระองค์ตรัสในธรรมศาลา ขณะที่พระองค์ทรงสั่งสอนอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม”

       (Jesus said these things in the synagogue, as he taught at Capernaum)

6:60 “เมื่อพวกสาวกของพระองค์หลายคนได้ยินอย่างนั้นก็พูดว่า “คำสอนเรื่องนี้ยากนัก ใครจะรับได้?” 

        (When many of his disciples heard it, they said, “This is a hard saying; who can listen to it?” )

6:61 “และเมื่อพระเยซูทรงทราบว่าพวกสาวกของพระองค์ซุบซิบกันถึงเรื่องนั้น จึงตรัสกับเขาว่า “เรื่องนี้ทำให้พวกท่านสะดุดหรือ?” 

       (But Jesus, knowing in himself that his disciples were grumbling about this, said to them, “Do you take offense at  this?)

6:62 “ถ้าท่านเห็นบุตรมนุษย์เสด็จขึ้นไปยังที่ที่พระองค์อยู่แต่ก่อนนั้น จะว่าอย่างไร?” 

        (Then what if you were to see the Son of Man ascending to where he was before?) 

6:63 “พระวิญญาณเป็นผู้ให้ชีวิต เนื้อหนังนั้นไม่มีประโยชน์อะไร ถ้อยคำที่เรากล่าวกับพวกท่านมาจากพระวิญญาณและเป็นชีวิต” 

       (It is the Spirit who gives life; the flesh is no help at all. The words that I have spoken to you are spirit and  life)

6:64 “แต่ในพวกท่านมีบางคนไม่เชื่อ” เพราะพระเยซูทรงทราบตั้งแต่แรกแล้วว่าใครไม่เชื่อและใครเป็นคนที่จะทรยศพระองค์”

       (But there are some of you who do not believe.” (For Jesus knew from the beginning who those were who did not believe, and who it was who would betray him.) 

6:65 “แล้วพระองค์ตรัสว่า “เพราะเหตุนี้เราจึงบอกพวกท่านว่า ‘ไม่มีใครมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาจะโปรดคนนั้น

       (And he said,”This is why I told you that no one can come to me unless it is granted him by the  Father.”)

6:66 “ตั้งแต่นั้นมาสาวกของพระองค์หลายคนถดถอยไม่ติดตามพระองค์ต่อไปอีก” 

       (After this many of his disciples turned back and no longer walked with him.)

6:67 “พระเยซูตรัสกับสิบสองคนนั้นว่า “พวกท่านก็จะจากเราไปด้วยหรือ?” 

       (So Jesus said to the Twelve, “Do you want to go away as well?”) 

6:68 “ซีโมนเปโตรทูลตอบพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พวกข้าพระองค์จะจากไปหาใครได้? พระองค์ทรงมีถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์”

      (Simon Peter answered him, “Lord, to whom shall we go? You have the words of eternal life,)

6:69 “และพวกข้าพระองค์ก็เชื่อและทราบแล้วว่าพระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า

      (and we have believed, and have come to know, that you are the Holy One of God.)

6:70 “พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “เราเลือกพวกท่านสิบสองคนไม่ใช่หรือ? แต่คนหนึ่งในพวกท่านเป็นมารร้าย” 

      (Jesus answered them, “Did I not choose you, the Twelve? And yet one of you is a devil.)

6:71 “พระองค์ทรงหมายถึงยูดาสบุตรของซีโมนอิสคาริโอท คนหนึ่งในสาวกสิบสองคน เพราะว่าเขาเป็นคนที่จะทรยศพระองค์”

       (He spoke of Judas the son of Simon Iscariot, for he, one of the Twelve, was going to betray him.)

บทเรียน

6:1-15 –พระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม บันทึกการอัศจรรย์เรื่องการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ ในตอนนี้ก็เป็นอีกหนึ่งการอัศจรรย์ที่ชี้ให้เห็นว่า พระเยซูเป็นผู้ที่จัดเตรียมและตอบสนองความต้องการของมนุษย์ และเป็นการปูพื้นฐาน สำหรับคำพยานว่า พระเยซูเป็นอาหารแห่งชีวิต (ข.35)

6:1    “ทะเลทิเบเรียส” (Tiberias) = ชื่อทางการที่โรมใช้เรียกทะเลสาบกาลิลี มาจากชื่อเมื่องทิเบเรียสที่ก่อตั้งประมาณ ค.ศ. 20

       (ตามชื่อของจักรพรรดิ)

6:2    “หมายสำคัญต่าง ๆ” (the signs)  -2:11

6:4    “ปัสกาซึ่งเป็นเทศกาลของพวกยิว” (the Passover, the feast of the Jews) –ยน.11:55;2:13;5:1

6:5    “ฟิลิป” (Philip) –ยน.1:43, ฟิลิปมาจากละแวกเมืองเบธไซดา (1:44)  จึงเหมาะที่จะถามเขา

6:7    “สองร้อยเดนาริอัน” (Two hundred denarii )  = หนึ่งเหรียญเดนาริอัน เท่ากับค่าจ้างแรงงาน 1 วัน

6:9    “ขนมปังบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาสองตัว” (five barley loaves and two fish) –ขนมปัง ข้าวบาร์เลย์ เป็นขนมปังราคาถูกเป็นอาหารของคนจน  ;  “คนมากอย่างนี้” (many) –2พกษ.4:43

6:10  “ห้าพันคน” ( five thousand) = นับเฉพาะผู้ชาย ไม่รวมผู้หญิงและเด็ก (มธ.14:21)

6:11  “ขอบพระคุณ” (given thanks) –มธ.14:19;ยน.6:23

6:12  “จงเก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ อย่าให้มีสิ่งใดตกหล่น” (Gather up the leftover fragments, that nothing may be  be lost.)  = อย่าให้เสียของ –มก.6:43

6:13  “สิบสองกระบุงเต็ม” (filled twelve baskets )= สิบสองตะกร้า  = มีอาหารรับประทานอย่างเหลือเฟือ

6:14  “หมายสำคัญ” (the sign) –ยน.2:11

= ชี้ให้ประชาชนมองไปที่พระเยซูผู้เป็นบุตรมนุษย์ และอาหารสำหรับชีวิตนิรันดร์ ที่พระเจ้าทรงประทานมาให้ (ข.27)

“ท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะคนนั้น” (the Prophet who is to come into the world)  = พวกเขากลับคิดว่า พระเยซูเป็นเพียงผู้เผยพระวจนะคนนั้น ใน ฉธบ.18:15,19 ซึ่งเหมือนโมเสส (1:21) เพราะพระเจ้าประทานอาหารและน้ำแก่ประชาชนในถิ่นทุรกันดารผ่านโมเสส พวกเขาจึงไม่ได้คาดหวังว่า ผู้เผยพระวจนะจะทำอะไรมากกว่านั้น  –ปท.มธ.11:3;21:11

6:15  “จะมาจับพระองค์ไปตั้งให้เป็นกษัตริย์” (take him by force to make him king) = จะมาใช้กำลังบังคับพระองค์ให้ขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พระเยซูไม่ได้รับแนวคิดในเรื่องพระเมสิยาห์ จะมาในฐานะกษัตริย์ (ปท.18:36;ลก.24:21;มธ.11:3;21:11)

6:19  “ห้าหกกิโลเมตร” (three or four miles) ในมาระโกบอกว่า พวกเขาอยู่กลางทะเลสาบ (มก.6:47)

          “พระเยซูทรงดำเนินมาบนทะเล” (Jesus walking on the sea) –โยบ 9:8

“ต่างตกใจกลัว” (they were frightened) –มธ.14:27

6:21  “ทันใดนั้นเรือก็ถึงฝั่ง” (the boat was at the land) = เรือถึงฝังโดยปลอดภัย ก็เพราะพระเยซูคริสต์(บางคนตีความว่านี่คือ

อีกการอัศจรรย์)

6:22-24 –ฝูงชนไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับพระเยซูคริสต์ แต่พวกเขาต้องการได้พบกับพระองค์อีก จึงออกตามหาพระองค์ในเมือง

         คาเปอร์นาอูม ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด

6:22  “อยู่ฝั่งข้างโน้น” (on the other side of the sea) = อยู่อีกฝาก –ยน.6:2

                “ไปกันตามลำพังเท่านั้น” (gone away alone.) –ยน.6:15-21

6:23  “จากทิเบเรียส” (Tiberias) –ยน.6:1  ;                “ขอบพระคุณแล้ว” (given thanks) –ยน.6:11

6:26  “ท่านตามหาเรา” (you are seeking me)  -ยน.6:24;       “เห็นหมายสำคัญ” (you saw signs) –ยน.2:11;6:30

6:27  “คงทนอยู่จนถึงชีวิตนิรันดร์” (that endures to eternal life )  = ชีวิตนิรันดร์ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาด้วยความดี หรือความพยายามของเรา แต่ได้มาทางความเชื่อในองค์พระคริสต์ (ข.28-29;3:15) –อสย.55:2;มธ.25:46;ยน.6:54

           “บุตรมนุษย์” (the Son of Man) –มก.8:31;มธ.8:20         

           -ยอห์น เน้นเรื่องพระบุตรยอมจำนนต่อพระบิดาเป็นเรื่องหลัก (4:34)

            “พระบิดาทรงรับรองท่านผู้นี้แล้ว” (the Father has set his seal)

บางฉบับแปลว่า = “พระบิดาทรงประทับตรารับรองบุตรมนุษย์แล้ว” –รม.4:11;1คร.9:2;2คร.1:22;อฟ.1:13;4:30;

2ทธ.2:19;วว.7:3

6:28  “เราจะต้องทำอะไรบ้าง?” (What must we do) = พวกเราต้องทำประการใด

          = พวกเขาพลาดประเด็นสำคัญไป โดยคิดว่าชีวิตนิรันดร์นั้นได้มาโดยการมีชีวิตที่เคร่งครัด (อฟ.2:8-9;ทต.3:5)

6:29  “งานของพระเจ้า” (the work of God) = การเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เป็นงานของพระเจ้าที่สำคัญ ที่พระเจ้าเรียกร้อง

ให้ทุกคนทำ อันจะนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์ –1ยน.3:23;ยน.3:17

6:30  “ท่านจะให้หมายสำคัญอะไร” (Then what sign do you do) –ยน.2:11

          “เพื่อที่เราจะเห็นและวางใจท่าน” (that we may see and believe you) –มธ.12:38

“ท่านจะทำอะไร?” ( What work do you perform?)= สิ่งที่พวกเขาต้องการจากพระเยซูก็คือ หมายสำคัญที่ยิ่งใหญ่กว่า มานา (ในการรับใช้ของโมเสส)

6:31  “มานา” (manna) = พวกยิวคาดหวังว่า เมื่อพระเมสิยาห์เสด็จมา พระเจ้าจะส่งมานาลงมาอีกครั้ง

          -พวกฝูงชนอ้างว่าสิ่งที่พระเยซูกระทำนั้น ยังเล็กน้อย เมื่อเปรียบกับสิ่งที่โมเสสกระทำ

          1) พระเยซูเลี้ยงคน 5000 คน    แต่โมเสสเลี้ยงคนทั้งชนชาติ       2) พระเยซูทำอยู่เพียงแค่ 1-2 ครั้ง  แต่โมเสสทำอยู่ 40 ปี

          3) พระเยซูประทานอาหารธรรมดาให้  แต่โมเสสให้อาหารจากสวรรค์ (อพย.16:4;กดว.11:1)

6:32  “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ไม่ใช่โมเสส….” (I say to you, it was not Moses) = พระเยซูแก้ความเข้าใจผิดของพวก เขา โดยชี้ให้เห็นว่า ไม่ใช่โมเสสเป็นผู้ให้อาหารแก่ชาวอิสราเอล แต่เป็นพระเจ้า และพระองค์ยัง “ประทาน” (เป็นกริยาปัจจุบันกาล) และอาหารที่แท้จริงจากสวรรค์ก็คือ ผ่านชีวิตขององค์พระเยซูคริสต์

6:33  “อาหารของพระเจ้า” (the bread of God) = พระเยซูเปลี่ยนการอภิปรายไปสู่ ”บางคน” (บางสิ่ง) ที่ใหญ่หรือสำคัญกว่า มานา

6:34  “อาหารนั้น” (this bread)  = คนทั่วไปอาจเข้าใจผิดอีกเรื่องหนึ่ง เหมือนกับหญิงสะมาเรียที่บ่อน้ำ (4:15) หรือนิโคเดมัส  (3:4) เพราะความคิดของพวกเขาติดอยู่กับเรื่องวัตถุ

6:35  “เราเป็น” (I am ) = นี่เป็นครั้งแรกใน 7 ครั้งที่พระเยซูคริสต์ตรัสถึงพระองค์เอง โดยใช้คำว่า “เราเป็น”  (8:12;9:5;10:7,9;10:11,14;11:25;14:6;15:1,5) = คำที่ใช้เน้นอย่างหนักแน่นสะท้อน  อพยพ 3:14

“อาหารแห่งชีวิต” (the bread of life)  อาจ  1) อาหารที่มีชีวิต  หรือ   2) อาหารที่ให้ชีวิต     -นัยในข้อ 33 ถูกทำให้เข้าใจกระจ่าง และมีการตอกย้ำในข้อ 41,48,51

6:36   = ตรงกันข้ามกับ 20:29

6:37  “สารพัดที่พระบิดาประทาน” (All that the Father gives) บางฉบับแปลว่า “คนทั้งปวงที่พระบิดาประทาน” = ความรอดเริ่มต้นที่พระเจ้า (ข.44;10:29;17:6;18:9) ไม่ใช่ที่มนุษย์ (ข.28) และพระเจ้าทรงมีพระเมตตาไม่มีที่สิ้นสุดหรือไม่เสื่อมสลาย (ข.31-40;10:28;17:9,12,15,19;18:9)

 6:38   “แต่เพื่อทำตามพระประสงค์ของผู้ทรงใช้เรามา” (but the will of him who sent me) -4:34

 6:39   “ไม่ให้หายไปสักสิ่งเดียว” (should lose nothing at all) = ไม่ให้สูญเสียไปแม้แต่สักคนเดียว

          = ผู้เชื่อแท้จะยืนหยัดมั่นคง เพราะพระคริสต์ทรงยึดเขาไว้มั่น (10:28-29;ฟป.1:6;ฮบ.3:6,14)

          “เป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย” ( raise it up on the last day) =เป็นสำนวนที่พบในยอห์นเท่านั้น (ข.40,44,45) 

อาจหมายถึง “วันที่เป็นขึ้นมา” (ข.40) หลังจากการพิพากษา (ปท. 5:25-30;11:24;12:48)

6:40  “ชีวิตนิรันดร์” (eternal life) -3:15;12:45

“ให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย” (raise him up on the last day.) = ความตายไม่สามารถทำลายชีวิตที่พระคริสต์ประทานได้ (11:25)

6:41  “พวกยิว” (the Jews) –1:19

6:42  “เยซูลูกของโยเซฟไม่ใช่หรือ” ( the son of Joseph) –ลก.4:22

          “พ่อแม่ของเขาเราก็รู้จัก” ( father and mother we know?) = เรารู้จักพ่อแม่ของเขา –ยน.7:27-28

          “เราลงมาจากสวรรค์” (‘I have come down from heaven’?) –ยน.6:38,62

6:44  “จะทรงชักนำให้เขามา” (draws him) = คนเราไม่อาจมาหาพระคริสต์ได้ด้วยการริเริ่มของตัวเอง พระเจ้าพระบิดาจึงเป็น
         ผู้ทรงชักนำให้เกิดขึ้น – ยรม.31:3;ยน.6:65;12:32

6:45  “พระเจ้าจะทรงสั่งสอนพวกเขาทุกคน” (‘And they will all be taught by God)  = เขาทั้งหลายจะรับการสอนจาก    พระเจ้า – อสย.54:13;ยรม.54:13;31,33-34;1คร.2:13;1ธส.4:9;ฮบ.8:10-11;10:16;1ยน.2:27

6:46  “นอกจากท่านที่มาจากพระเจ้า” (except he who is from God) –ยน.1:18;5:37;7:29

6:47  “คนที่วางใจก็มีชีวิตนิรันดร์” (whoever believes has eternal life) –มธ.25:46

6:48  “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต” (I am the bread of life) –ยน.6:35,51

6:49  “ก็ยังเสียชีวิต” (they died) = พวกเขาก็ยังคงตายอยู่ดี บรรดาผู้ต่อต้านพระเยซู จดจ่ออยู่กับสิ่งที่ไม่ได้ให้ หรือไม่ได้รักษา    ชีวิตฝ่ายวิญญาณ (ข.31)  -ยน.6:31,58

6:50  “อาหารที่ลงมาจากสวรรค์” ( the bread that comes down from heaven) –ยน.6:33

“กินแล้วไม่ตาย” ( eat of it and not die.)  = ของขวัญที่พระเยซูคริสต์ประทาน ซึ่งแตกต่างจากคนอื่น เพราะยั่งยืนนิรันดร์6:51

“เราเป็นอาหารดำรงชีวิต” (I am the living bread) = อาหารซึ่งให้ชีวิต –ยน.6:35,48

 “ซึ่งลงมาจากสวรรค์” ( that came down from heaven) –ยน.6:41,58

 “กินอาหารนี้” (eats of this bread)  = พระเยซูเป็นผู้ที่ธำรงชีวิตมนุษย์

“เลือดเนื้อของเรา” (my flesh)  = เล็งถึงการตรึงบนกางเขน พระองค์ต้องจ่ายราคาสูงมาก คือชีวิตเลือดเนื้อของพระองค์ในการไถ่มนุษย์ (ฮบ.10:10)

  6:52  “ทุ่มเถียงกัน” (disputed among themselves) = เถียงกันอย่างรุนแรง –ยน.7:43;9:16;10:19

  6:53-58  = “เนื้อ” และ “โลหิต” ในที่นี้ เล็งถึงการตรึงพระเยซูบนไม้กางเขน เป็นเครื่องบูชาที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ ไม่ใช่ตาม   ข้อกำหนดของพิธีกรรมใด ๆ

6:53  “ไม่ได้กินเนื้อ” (unless you eat the flesh) –มธ.26:26

            “ไม่ได้ดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์” (drink his blood) –มธ.26:28

6:54   “เป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย” ( raise him up on the last day)-ยน.6:39

6:56   “คนนี้ก็อยู่ในเรา และเราอยู่ในเขา” (abides in me, and I in him) –ยน.15:4-7;1ยน.2:24;3:24;4:15

6:58   “ไม่เหมือนอาหารที่พวกบรรพบุรุษกิน” ( not like the bread the fathers ate) = ปท. ข้อ 49, มานามีคุณค่าจำกัด แตกต่างจากอาหารจากสวรรค์เป็นนิรันดร์ที่พระเยซูประทานให้

6:60   “คำสอนเรื่องนี้ยากนัก” (This is a hard saying) = ยากที่จะรับ ไม่ใช่ยากที่จะเข้าใจ

              -คนยิวส่วนใหญ่ที่ฟังตระหนกตกใจกับแนวคิดในการกินเนื้อบุตรมนุษย์ และดื่มโลหิตของพระองค์แน่นอน(ข.53-58)

6:62   “บุตรมนุษย์” (the Son of Man) –มก.8:31;ลก.6:5;16:10

            “เสด็จขึ้นไปยัง” (ascending to)  = เหตุการณ์ต่อเนื่องจากที่เริ่มต้นบนไม้กางเขน ซึ่งพระเยซูได้รับพระเกียรติสิริ (7:39)

           “ที่ที่พระองค์อยู่แต่ก่อนนั้น” (where he was before?)  = บ่งบอกว่า พระเยซูดำรงอยู่ในสวรรค์มาก่อน (8:58;17:5) 6:63  -ปท .3:5-6,8

          “พระวิญญาณเป็นผู้ให้ชีวิต” (the Spirit who gives life)  = พระวิญญาณที่กำลังสร้างชีวิต – 2คร.3:6

6:64  “ทรงทราบตั้งแต่แรก“ (knew from the beginning) -ยน.2:25

          “ใครเป็นคนที่จะทรยศพระองค์” (who it was who would betray him) –มธ.10:4

6:65  “ไม่มีใครมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาจะโปรดคนนั้น( no one can come to me unless it is granted  him by the      Father)  = ความพยายามของมนุษย์ไม่สามารถนำใครมาถึงพระเยซูหรือความรอดได้ –ข.37,39,44-45

6:66  “ตั้งแต่นั้น” (After this) –อาจหมายความว่า “ด้วยเหตุนี้”

“หลายคนถดถอยไม่ติดตามพระองค์ต่อไปอีก” (no longer walked with him)  = บางคน/หลายคน หันกลับ แสดงว่า มีหลายคนไม่พร้อมรับชีวิตแบบที่พระเยซูสั่งสอน

6:68  “องค์พระเป็นเจ้า พวกข้าพระองค์จะจากไปหาใครได้ พระองค์ทรงมีถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์”

           (Lord to whom shall we go? You have the words of eternal life) –มธ.16:16;25:46;ยน.6:63, เปโตร กล่าวถึงแก่นแท้  แห่งคำสอนของพระเยซู (6:63)

6:69  “เชื่อและทราบแล้วว่า” (believed, and have come to know)  = ข้าพระองค์ทั้งหลายได้เข้าถึงจุดที่มีความเชื่อและความรู้มาแล้ว ซึ่งยังคงดำเนินต่อมาจนถึงเวลานี้

            “องค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า” (the Holy One of God) = พระเยซู, มก.1:24;ลก.4:34;ปท.กจ.2:27

6:70  “มารร้าย” (devil) = ยูดาส (ข.71), เพราะเขาจะทรยศพระเยซูด้วยวิญญาณของซาตาน

6:71  “อิสคาริโอท” (Iscariot) = คำนี้มีความหมายว่า  “ชายจากเคริโอธ”  (ในแคว้นยูเดีย ,ยชว. 15:25)

            = หมายถึง ทั้งบิดาและบุตร คือทั้งยูดาส และบิดาซึ่งอาจเป็นชาวเคริโอธ (ปท.12:4)

                -ดูเหมือนว่า ยูดาส จะเป็นสาวกเพียงคนเดียว ใน 12 คนนี้ ที่ไม่ใช่ชาวกาลิลี

คำถามนำอภิปราย

  1. มีคนไม่น้อยที่ติดตามพระเยซู โดยไม่ได้กลับใจสำนึกในบาปที่ตนทำ พวกเขาเพียงเชื่อพระองค์ เพราะตื่นตาตื่นใจกับหมายสำคัญที่พระองค์กระทำหรือไม่ก็หวังได้ประโยชน์เฉพาะหน้าจากพระองค์ แล้วคุณล่ะติดตามพระเยซูคริสต์เพราะอะไร?
  2. คุณเคยเผชิญกับสถานการณ์ที่ดูยากลำบากจนสงสัยว่า คุณจะผ่านไปได้อย่างไรบ้างไหม? (แบ่งปัน) แล้วคุณฟันฝ่ามาได้อย่างไร?
  3. คุณเคยเจอกับการทดสอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตคือเรื่องอะไร? แล้วคุณได้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์เหล่านั้นบ้าง?
  4. คุณเคยเก็บเศษพระพรของพระเจ้ามารวมกันแล้วอัศจรรย์ใจกับจำนวนมากมายที่เราคาดไม่ถึงบ้างหรือไม่? (แบ่งปัน)
  5. คุณเคยถูกใครหรือกลุ่มใดพยายามหว่านล้อมหรือกดดันให้คุณเป็นผู้นำ เพื่อให้คุณนำเขาไปในทางที่พวกเขาอยากไปบ้างหรือไม่? (แบ่งปัน)
  6. คุณเคยเผชิญกับสถานการณ์ที่ทำให้คุณตกใจกลัว แต่พระเยซูคริสต์มาปรากฏตัวช่วยคุณในยามนั้นบ้างหรือไม่? เป็นอย่างไร? (แบ่งปัน)
  7. การที่คุณรู้ว่า พระเยซูคริสต์เป็น “อาหารแห่งชีวิต” ส่งผลอะไรต่อการดำเนินชีวิตของคุณบ้าง? อย่างไร?
  8. หากงานของพระเจ้าคือการเชื่อวางใจในองค์พระเยซู วันนี้คุณทำงานนี้ได้มีมากน้อยแค่ไหน?
  9. คุณเคยถูกดูถูก เยาะเย้ย หรือต่อต้านจากใครหรือกลุ่มใดบ้าง? เพราะอะไร? แล้วคุณฝ่าฟันมาได้อย่างไร? (แบ่งปัน)
  10. คุณเคยคิดตีจากพระคริสต์บ้างหรือไม่? ทำไม? แล้วทำไมคุณยังอยู่? ผลเป็นอย่างไร?

 

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer