Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระกิตติคุณยอห์น บทเรียนที่ 18

เราจะปฏิเสธพระเยซูต่อไปอีกหรือ?

พระธรรม        ยอห์น 18:1-40

อ้างอิง            ยน.3:14,32; 6:39,64;7:26;8:28;48;12:32-33;13:38;19:9;11:49-55;21:9

บทนำ             ช่างน่าเศร้าที่คนที่พระเยซูคริสต์เสด็จลงมาในโลกเพื่อไถ่บาปพวกเขา กลับถูกพวกเขาทำร้ายพระองค์ ทั้งร่างกายและจิตใจจนสิ้นพระชนม์บนกางเขน และคุณเป็นคนหนึ่งในพวกเขาหรือไม่?

บทเรียน

18:1 “เมื่อพระเยซูตรัสอย่างนี้แล้ว พระองค์ก็เสด็จออกไปกับพวกสาวกของพระองค์ ข้ามห้วยขิดโรนไปยังสวนแห่งหนึ่งพระองค์​      เสด็จเข้าไปในสวนนั้นกับพวกสาวก” 

    (When Jesus had spoken these words, he went out with his disciples across the brook Kidron, where there was a garden, which he and his disciples entered.)

18:2 “ยูดาสคนที่จะทรยศพระองค์ก็รู้จักสวนนั้นด้วย เพราะว่าพระเยซูกับพวกสาวกเคยมาพบกันที่นั่นบ่อยๆ”

     (Now Judas, who betrayed him, also knew the place, for Jesus often met there with his disciples.) 

18:3 “ยูดาสนำพวกทหารโรมันกับเจ้าหน้าที่มาจากพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีพวกเขาถือโคมถือไต้และอาวุธไปที่นั่นด้วย” 

    (So Judas, having procured a band of soldiers and some officers from the chief priests and the Pharisees,  went there with lanterns and torches and weapons.) 

18:4 “พระเยซูทรงทราบทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์ พระองค์จึงเสด็จออกไปถามเขาว่า “พวกท่านมาหาใคร?” 

    (Then Jesus, knowing all that would happen to him, came forward and said to them, “Whom do you seek?”)

18:5 “เขาทูลตอบพระองค์ว่า “มาหาเยซูชาวนาซาเร็ธ” พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราเป็นผู้นั้น” ยูดาสคนที่ทรยศพระองค์ก็ยืน​อยู่กับคนเหล่านั้น” 

    (They answered him, “Jesus of Nazareth.” Jesus said to them, “I am he.” Judas, who betrayed him, was standing with them.)

18:6 “เมื่อพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เราเป็นผู้นั้น” เขาก็ถอยหลังและล้มลงที่ดิน” 

      (When Jesus said to them, “I am he,” they drew back and fell to the ground.) 

18:7 “พระองค์ตรัสถามเขาอีกว่า “พวกท่านมาหาใคร?” เขาทูลตอบว่า “มาหาเยซูชาวนาซาเร็ธ” 

      (So he asked them again, “Whom do you seek?” And they said, “Jesus of Nazareth.”)

18:8 “พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกท่านแล้วว่าเราเป็นผู้นั้น ถ้าท่านตามหาเราก็จงปล่อยคนเหล่านี้ไปเถิด” 

       (Jesus answered, “I told you that I am he. So, if you seek me, let these men go.” )

18:9 “ทั้งนี้เพื่อให้เป็นจริงตามพระดำรัสที่พระองค์ตรัสว่า “คนเหล่านั้นซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ไม่ได้เสียไปสักคนเดียว

       (This was to fulfill the word that he had spoken: “Of those whom you gave me I have lost not one.”)

18:10 “ซีโมนเปโตรมีดาบจึงชักออกฟันทาสคนหนึ่งของมหาปุโรหิตถูกหูข้างขวาขาด ทาสคนนั้นชื่อมัลคัส” 

       (Then Simon Peter, having a sword, drew it and struck the high priest’s servant and cut off his right ear.  (The servant’s name was Malchus.)) 

18:11 “พระเยซูตรัสกับเปโตรว่า “จงเอาดาบใส่ฝักเสีย เราจะไม่ดื่มถ้วย ที่พระบิดาประทานแก่เราหรือ?”

    (So Jesus said to Peter,”Put your sword into its sheath; shall I not drink the cup that the Father has given me?”)

18:12 “พวกพลทหารกับนายทหารและเจ้าหน้าที่ของพวกยิวจึงจับพระเยซูมัดไว้” 

     (So the band of soldiers and their captain and the officers of the Jews arrested Jesus and bound him.) 

18:13 “แล้วพาพระองค์ไปหาอันนาสก่อน เพราะอันนาสเป็นพ่อตาของคายาฟาสซึ่งเป็นมหาปุโรหิตในปีนั้น”

      (First they led him to Annas, for he was the father-in-law of Caiaphas, who was high priest that year.) 

18:14 “คายาฟาสคนนี้แหละที่แนะนำพวกยิวว่า ควรให้คนหนึ่งตายแทนประชาชน”

      (It was Caiaphas who had advised the Jews that it would be expedient that one man should die for the people.)

18:15 “ซีโมนเปโตรกับสาวกอีกคนหนึ่งติดตามพระเยซูไป แต่เพราะสาวกคนนั้นรู้จักกับมหาปุโรหิต เขาจึงเข้าไปกับพระเยซูจนถึง​ ลานบ้านของมหาปุโรหิต” 

      (Simon Peter followed Jesus, and so did another disciple. Since that disciple was known to the high priest,  he entered with Jesus into the courtyard of the high priest,) 

18:16 “แต่เปโตรยืนอยู่ข้างนอกริมประตู สาวกอีกคนหนึ่งนั้นที่รู้จักกับมหาปุโรหิตจึงออกไปพูดกับหญิงที่เฝ้าประตูแล้วพาเปโตร​เข้าไป”

     (but Peter stood outside at the door. So the other disciple, who was known to the high priest, went out and spoke to the servant girl who kept watch at the door, and brought Peter in.) 

18:17 “ผู้หญิงคนที่เฝ้าประตูถามเปโตรว่า “ท่านก็เป็นคนหนึ่งในพวกสาวกของคนนั้นด้วยไม่ใช่หรือ?” เขาตอบว่า  “ไม่ใช่” 

    (The servant girl at the door said to Peter, “You also are not one of this man’s disciples, are you?” He said,  “I am not.” )

18:18 “พวกทาสกับเจ้าหน้าที่ก็ยืนอยู่ที่นั่น เอาถ่านมาก่อไฟเพราะอากาศหนาว แล้วก็ยืนผิงไฟกัน เปโตรก็ยืนผิงไฟอยู่กับเขา​ด้วย”

      (Now the servants and officers had made a charcoal fire, because it was cold, and they were standing and warming themselves. Peter also was with them, standing and warming himself.)

18:19 “มหาปุโรหิตก็ถามพระเยซูถึงพวกสาวกของพระองค์และคำสอนของพระองค์”

     (The high priest then questioned Jesus about his disciples and his teaching.) 

18:20 “พระเยซูตรัสตอบท่านว่า “เรากล่าวให้โลกฟังโดยเปิดเผย เราสั่งสอนเสมอทั้งในธรรมศาลาและในบริเวณพระวิหารที่พวก​ยิวเคยชุมนุมกัน เราไม่ได้สอนสิ่งใดอย่างลับๆ เลย” 

     (Jesus answered him, “I have spoken openly to the world. I have always taught in synagogues and in the temple, where all Jews come together. I have said nothing in secret.) 

18:21 “ท่านถามเราทำไม? จงถามคนที่ฟังเราว่า เราพูดอะไรกับพวกเขา เขารู้ว่าเราสอนอะไร” 

      (Why do you ask me? Ask those who have heard me what I said to them; they know what I said.”)

18:22 “เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้วเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ยืนอยู่ที่นั่นก็ตบพระพักตร์พระเยซูแล้วพูดว่า“เจ้าตอบมหาปุโรหิตอย่าง​นั้นหรือ?” 

     (When he had said these things, one of the officers standing by struck Jesus with his hand, saying, “Is that how you answer the high priest?”)

18:23 “พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ถ้าเราพูดผิดก็จงเป็นพยานในสิ่งที่ผิดนั้น แต่ถ้าเราพูดถูก ท่านตบเราทำไม?”

      (Jesus answered him, “If what I said is wrong, bear witness about the wrong; but if what I said is right, why do you strike me?”) 

18:24 “อันนาสจึงให้พาพระเยซูซึ่งถูกมัดอยู่ไปหาคายาฟาสมหาปุโรหิต”

       (Annas then sent him bound to Caiaphas the high priest.)

18:25 “ขณะนั้นซีโมนเปโตรกำลังยืนผิงไฟอยู่ คนพวกนั้นถามเปโตรว่า “เจ้าก็เป็นสาวกของคนนั้นด้วยไม่ใช่หรือ?” เปโตรปฏิเสธ​ว่า “ไม่ใช่” 

      (Now Simon Peter was standing and warming himself. So they said to him, “You also are not one of his  disciples, are you?” He denied it and said, “I am not.”) 

18:26 “ทาสคนหนึ่งของมหาปุโรหิต ซึ่งเป็นญาติกับคนที่เปโตรฟันหูขาดก็ถามว่า “ข้าเห็นเจ้ากับคนนั้นในสวนไม่ใช่หรือ?” 

       (One of the servants of the high priest, a relative of the man whose ear Peter had cut off, asked, “Did I not  see you in the garden with him?” )

18:27 “เปโตรปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง และในทันใดนั้นไก่ก็ขัน”

        (Peter again denied it, and at once a rooster crowed.)

18:28 “แล้วพวกเขาก็พาพระเยซูออกจากบ้านของคายาฟาสไปยังกองบัญชาการปรีโทเรียมขณะนั้นเป็นเวลาเช้าตรู่ พวกเขาเอง​ไม่ได้เข้าไปในกองบัญชาการปรีโทเรียมนั้น เพื่อไม่ให้เป็นมลทินและจะได้กินปัสกาได้” 

     (Then they led Jesus from the house of Caiaphas to the governor’s headquarters. It was early morning.  They themselves did not enter the governor’s headquarters, so that they would not be defiled, but could eat the Passover.)

18:29 “ปีลาตจึงออกมาหาพวกเขา แล้วถามว่า “พวกท่านมีเรื่องอะไรมาฟ้องคนนี้?”

     (So Pilate went outside to them and said, “What accusation do you bring against this man?”) 

18:30 “พวกเขาตอบท่านว่า “ถ้าเขาไม่ใช่ผู้ร้าย เราก็คงจะไม่มอบตัวเขาไว้กับท่าน

      (They answered him, “If this man were not doing evil, we would not have delivered him over to you.)

18:31 “ปีลาตกล่าวกับเขาว่า “พวกท่านจงเอาคนนี้ไปพิพากษาตามกฎหมายของท่านเถิด” พวกยิวจึงเรียนท่านว่า “กฎหมายห้ามเราประหารชีวิตคนหนึ่งคนใด” 

     (Pilate said to them, “Take him yourselves and judge him by your own law.” The Jews said to him, “It is not lawful  for us to put anyone to death)

18:32 “ทั้งนี้เพื่อให้เป็นจริงตามพระดำรัสของพระเยซูที่ตรัสไว้ว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร”

    (This was to fulfill the word that Jesus had spoken to show by what kind of death he was going to die.)

18:33 “ปีลาตจึงเข้าไปในกองบัญชาการปรีโทเรียมอีก และเรียกพระเยซูมาแล้วถามว่า “เจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกยิวหรือ

     (So Pilate entered his headquarters again and called Jesus and said to him, “Are you the King of the Jews?” )

18:34 “พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านถามอย่างนั้นตามความเข้าใจของท่านเอง หรือว่าคนอื่นบอกท่านถึงเรื่องของเรา?” 

       (Jesus answered, “Do you say this of your own accord, or did others say it to you about me?”) 

18:35 “ปีลาตทูลตอบว่า “เราเป็นยิวหรือ? ชนชาติของเจ้าเองและพวกหัวหน้าปุโรหิตมอบเจ้าไว้กับเรา เจ้าทำผิดอะไร?”

      (Pilate answered, “Am I a Jew? Your own nation and the chief priests have delivered you over to me. What have you done?”) 

18:36 “พระเยซูตรัสตอบว่า “ราชอำนาจของเราไม่ได้เป็นของโลกนี้ ถ้าราชอำนาจของเรามาจากโลกนี้ คนของเราก็คงจะต่อสู้ไม่‍ให้เราถูกมอบไว้ในมือของพวกยิว แต่ราชอำนาจของเราไม่ได้มาจากโลกนี้” 

     (Jesus answered, “My kingdom is not of this world. If my kingdom were of this world, my servants would  have been fighting, that I might not be delivered over to the Jews. But my kingdom is not from  the world.” )

18:37 “ปีลาตจึงพูดกับพระองค์ว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เป็นกษัตริย์น่ะซี” พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านพูดว่าเราเป็นกษัตริย์ เพราะเหตุนี้เราจึงเกิดมาและเข้ามาในโลก เพื่อเป็นพยานให้กับสัจจะ ทุกคนที่อยู่ฝ่ายสัจจะย่อมฟังเสียงของเรา

      (Then Pilate said to him, “So you are a king?” Jesus answered, “You say that I am a king. For this purpose I was born and for this purpose I have come into the world—to bear witness to the truth. Everyone who is of  the truth listens to my voice.” )

18:38 “ปีลาตทูลถามพระองค์ว่า “สัจจะคืออะไร?” เมื่อถามอย่างนั้นแล้วปีลาตก็ออกไปหาพวกยิวอีก และบอกเขาว่า “เราไม่​เห็นว่าคนนั้นมีความผิด”

     (Pilate said to him, “What is truth?” After he had said this, he went back outside to the Jews and told them, “I find no guilt in him. )

18:39 “แต่พวกท่านมีธรรมเนียมให้เราปล่อยคนหนึ่งให้แก่ท่านในเทศกาลปัสกา ท่านอยากให้เราปล่อยกษัตริย์ของพวกยิวหรือ?” 

      (But you have a custom that I should release one man for you at the Passover. So do you want me to release to you the King of the Jews?” )

18:40 “พวกเขาร้องตอบว่า “อย่าปล่อยคนนี้ แต่ให้ปล่อยบารับบัส” บารับบัสนั้นเป็นผู้ก่อการร้าย”

         (They cried out again, “Not this man, but Barabbas!” Now Barabbas was a robber.)

 ข้อมูลมีประโยชน์

18:1     “ห้วยขิดโรน” (the brook Kidron ) = ทางตะวันออกของเยรูซาเล็ม ปกติแล้งน้ำ ยกเว้นในช่วงฤดูฝน

18:3     “ยูดาส” (Judas ) –6:71

“เจ้าหน้าที่มาจากพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสี” (officers from the chief priests and the  Pharisees)  = เทียบเท่ากับยามพระวิหารที่สภาแซนเฮดรินส่งมา (มธ.2:4;3:7;มก.14:55)

“ไต้” ( torches) = คบไฟที่นำมาใช้ที่มียางมามัดรวมกัน

“โคม” ( lanterns) = ตะเกียงซึ่งที่จับทำด้วยดินเหนียว โดยสอดตะเกียงที่ใช้ตามบ้านเข้าไปข้างใน

18:4     “พระเยซูทรงทราบทุกสิ่ง” (Jesus, knowing all) = พระเยซูทรงรู้ตัวว่าอะไรจะเกิดขึ้นไม่ใช่ถูกจับแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว

18:5     “เราเป็นผู้นั้น” ( I am he            ) -6:35;8:58

              “ก็ยืนอยู่กับคนเหล่านั้น” (was standing with them) = ผู้เขียนพระธรรมยอห์น ย้ำภาพเราให้เราเห็นว่ายูดาสเป็นคนแบบไหน

                “เยซูชาวนาซาเร็ธ” (Jesus of Nazareth ) = พระเยซูถามให้พวกเขาตอบว่า เขามาหาพระองค์ – 18:5,7

18:6     “เขาก็ถอยหลังและล้มลงที่ดิน” (they drew back and fell to the ground) = พระเยซูทรงเปี่ยมด้วยพระอำนาจบารมี

18:8     “เราเป็นผู้นั้น”(I am he)= พระเยซูย้ำข้อความนี้ถึง 3 ครั้ง–ในข้อ 5,6,8 เน้นถึงความสำคัญในความจริงนี้

“จงปล่อยคนเหล่านี้ไปเถิด” (let these men go) = พระเยซูยังทรงห่วงพวกสาวก แม้แต่ในเวลาที่เขากำลังจะจับพระองค์ และนำพระองค์ไปตรึงบนกางเขน

18:9     “ทั้งนี้เพื่อให้เป็นจริงตามพระดำรัส” (This was to fulfill the word that he had spoken)  = วลีปกติที่ ใช้กับการอ้างพระคัมภีร์ คำตรัสของพระเยซูก็อยู่ในระดับเดียวกับพระคัมภีร์ (6:39;17:12)

18:10   “ซีโมนเปโตรมีดาบ”(Then Simon Peter, having a sword)  -ผู้เขียนพระธรรมยอห์นเท่านั้นที่ให้ข้อมูลว่าคนที่ใช้ดาบ (สั้น) คือ เปโตร และคนที่บาดเจ็บชื่อว่า มัลคัส

18:11   “ถ้วย” ( the cup            ) =

  1. การทนทุกข์ (สดด.75:8;อสค.23:31)
  2. พระพิโรธของพระเจ้า (สดด.16:5;อสย.51:17;ยรม.25:15;รม.1:18;วว.14:10)

“ที่พระบิดาประทานแก่เรา” ( that the Father has given me) –มธ.26:39;มก.14:36;ลก.22:42

= พระเจ้าทรงควบคุมสถานการณ์อยู่ และเป็นผู้ประทานถ้วยนี้ให้พระบุตร

18:12   “จับพระเยซูมัดไว้” (arrested Jesus and  bound him) = อาจเป็นการดำเนินตามขั้นตอนของระเบียบเหมือนสมัยนี้ที่ใส่กุญแจมือ

18:13   “อันนาส” (Annas) = ถูกปลดออกจากตำแหน่งมหาปุโรหิต โดยโรมในปี ค.ศ. 15  แต่คนยังถือว่าเขาเป็นปุโรหิตที่แท้จริง (ลก.3:2)

-ตามกฎหมายของยิว ผู้ต้องหาต้องไม่ถูกตัดสินลงโทษในวันที่มีการไต่สวน การสอบสวนมี 2 ครั้ง คือ ครั้งนี้

(มก.14:53-15:15)  และอีกครั้งต่อหน้า คายาฟาส เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมายในระดับหนึ่ง

“มหาปุโรหิตในปีนั้น” (high priest that year) = ประจำการในปีนี้ –11:49

18:14   “คายาฟาสคนนี้แหละที่แนะนำพวกยิว” (Caiaphas who had advised the Jews  ) = เกี่ยวกับ

เหตุการณ์ใน 11:49-50 ซึ่งผู้เขียนพระธรรมยอห์นถือว่า เป็นคำพยากรณ์แบบไม่รู้ตัวและมีความสำคัญมากที่สุดของคายาฟาส

= ไม่อาจคาดหวังการไต่สวนที่เป็นธรรม จากคนที่กล่าวว่า การประหารพระเยซูคริสต์เป็นเรื่องที่เหมาะสมที่สุดแล้ว

18:15   “สาวกอีกคนหนึ่ง” (so did another disciple)  = อาจหมายถึงตัว “ยอห์น” (ผู้เขียนพระธรรมตอนนี้)

              “รู้จักกับมหาปุโรหิต” (was known to the high priest) = ต้องไม่ใช่รู้จักธรรมดา เพราะว่า เขามีสิทธิ์ว่าบ้านมหาปุโรหิต และสามารถพาเปโตรเข้าไปได้ด้วย

18:17   “ผู้หญิงคนที่เฝ้าประตู” (girl at the doo)  = ในพระกิตติคุณ 4 เล่ม กล่าวถึงการทักทายเปโตรครั้งแรกจากผู้หญิงรับใช้ที่ไมได้มีความสำคัญอะไรเลย เปโตรฉวยโอกาสปฏิเสธ

ในเล่มอื่น ๆ ดูเหมือนว่า คำถามที่ 2 และการปฏิเสธของเปโตรจะเกิดขึ้นในทันที แต่ก็เป็นไปได้ว่า จะมีช่วงห่างเกิดขึ้นก่อนการปฏิเสธครั้งที่ 2   (ลก.22:58-59)

18:18   “เปโตรก็ยืนผิงไฟอยู่กับเขาด้วย” (Peter also was with them) = เป็นคืนที่หนาวเย็น และเปโตรอาจเป็นที่สังเกตได้ชัด ยืนห่างจากกองไฟ

18:19   “มหาปุโรหิตจึงถามพระเยซู” (The high priest then questioned) = อาจเป็นการถามเบื้องต้นของอันนาส ยังไม่ใช่การไต่สวน

18:20   “เรากล่าวให้โลกฟังโดยเปิดเผย” (I have spoken openly to the world) = น่าจะหาพยานรู้เห็นได้ไม่ยาก (ข.21)

“เราไม่ได้สอนสิ่งใดอย่างลับ ๆ เลย” (I have said nothing in secret)  = ไม่ได้สอนแนวปฏิบัติแก่พวกสาวกอย่างลับ ๆ หรือสอนอะไรแตกต่างจากที่สอนในที่สาธารณะเลย

18:22   “ตบพระพักตร์พระเยซู” (struck Jesus) = ตบด้วยฝ่ามือ เป็นการทำผิดกฎหมาย  -มธ.16:21;ยน.19:3

18:23   “จงเป็นพยาน” (bear witness)  = ศัพท์ทางกฎหมาย เป็นการเชิญชวนให้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง

                        -ผู้เขียนพระธรรมตอนนี้ เน้นความสำคัญของคำพยานตลอดพระธรรมเล่มนี้ (1:7)

18:25   “คนพวกนั้นถาม” (warming himself)  = พวกเขาถาม บางคนมีคำถามขึ้นมาในที่นี่เพราะในมัทธิว 26:71 บอกว่า ผู้หญิงอีกคนหนึ่งถามคำถามนี้ ในขณะที่ในมาระโก 14:69 บอกว่า เป็นผู้หญิงคนเดิม และในลูกา 22:58 บอกว่า เป็นผู้ชาย เป็นไปได้ว่า พวกเขาเป็นกลุ่มคนรับใช้ที่อยู่ด้วยกันรอบ ๆ กองไฟ จึงอาจมีบางคนถามซ้ำขึ้นมา ซึ่งก็หมายรวมเป็น “พวกเขา” หรือ “คนพวกนั้น” ในความหมายของยอห์นผู้เขียนพระธรรมตอนนี้ (ข.17)

พวกคนใช้เหล่านั้นอาจไม่ได้คาดหวังว่า จะได้รับคำตอบว่า ใช่ เพราะพวกเขาคงไม่คิดว่า จะพบสาวกของพระเยซูในบ้านของมหาปุโรหิตในท่ามกลางแสงในสวนคงสลัวเช่นเดียวกับในลานบ้าน

18:26   “ญาติ” (a relative) = เป็นข้อมูลพิเศษที่ได้รู้จากยอห์น

“ข้าเห็นเจ้ากับคนนั้นในสวนไม่ใช่หรือ?” (Did I not see you in the garden with him?) –ยน.18:1

18:27   “ในทันใดนั้น ไก่ก็ขัน” ( at once a rooster crowed) = เป็นจริงตามคำทำนายใน 13:38

18:28   “พาพระเยซู…ไปยังกองบัญชาการปรีโทเรียม” (led Jesus … to the governor’s headquarters) 

= ยอห์น เล่าเรื่องการไต่สวนพระเยซูในส่วน ของโรมันค่อนข้างมาก (มก.14:53-15:15) อาจเป็นเพราะท่านอยู่ที่นั่นด้วย ปรีโทเรียมเป็นที่พำนักของผู้ว่าราชการและเป็นสถานที่ใช้ในการไต่สวนในครั้งนี้

“เป็นเวลาเช้าตรู่” ( early morning) = พวกหัวหน้าปุโรหิตดำเนินการไต่สวนพระเยซูช่วงที่ 2 ของสภาแซนเฮดริน หลังฟ้าสาง (มก.15:1) เพื่อให้ความชอบธรรมตามกฎหมายแก่พวกเขา

= เหตุนี้อาจเกิดขึ้นทันทีหลังจากนั้น อาจเป็นช่วงเวลา 6.00 – 7.00 น.

“เพื่อไม่ให้เป็นมลทิน” (they would not be defiled ) = ไม่ให้เป็นมลทินตามระเบียบพิธีทางศาสนาของยิว เพราะเข้าไปในย่านของคนต่างชาติ

“จะได้กินปัสกาได้” (could eat the Passover) = คำว่า ปัสกาในตอนนี้ หมายถึง เทศกาลปัสกา และเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ รวมกัน ซึ่งจัดเป็นเวลา 7 วัน และมีการรับประทานอาหารร่วมกันหลายมื้อ

18:29   “ปีลาต” (Pilate ) = ผู้ว่าราชการของโรม (มก.15:1)

              “พวกท่านมีเรื่องอะไรมาฟ้องคนนี้” (What accusation do you bring against this man? ) 

= พวกท่านจะฟ้องร้องชายผู้นี้ด้วยข้อหาอะไร แม้เป็นคำถามปกติ แต่พวกยิวตอบยาก เพราะไม่มีข้อหาใดมายื่นต่อศาลโรมันได้

 18:31   “พวกท่านจงเอาคนนี้ไปพิพากษาตามกฎหมายของท่านเถิด” (Take him yourselves and judge him by your own law) = ถ้าไม่มีข้อปัญหาของโรม ก็ไม่มีการไต่สวนของโรม

“กฎหมายห้ามประหารชีวิตคนหนึ่งคนใด” (it is not lawful for us to put anyone to death)  = ไม่มีสิทธิ์ประหารชีวิตผู้ใด

= พวกเขากำลังหาทางประหารพระเยซู ไม่ใช่หาทางไต่สวนอย่างเป็นธรรม (เป็นการควบคุมสิทธิ์ในการประหารชีวิตของโรม มิฉะนั้น ผู้สนับสนุนโรมจะถูกกำจัดไปอย่างเงียบ ๆ โดยกฎหมายท้องถิ่น)

= สิทธิ์ขาดประหารชีวิตอยู่ในมือของโรมเท่านั้น

18:32   “พระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร?” ( what kind of death he was going to die) –เปรียบเทียบกับ 12:32-33

             -ใน 12:34  ,ยิวประหารชีวิตด้วยการเอาหินขว้าง แต่พระเยซูสิ้นพระชนม์ด้วยการตรึงบนกางเขน ซึ่งเป็นที่พระองค์จะรับคำสาปแช่ง (ฉธบ.21:22-23)

=  ต้องเป็นชาวโรมันที่ประหารพระเยซู ไม่ใช่ชาวยิว

18:33   “เจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกยิวหรือ?” (Are you the King of the Jews?) = นี่เป็นประโยคแรกที่ปีลาตพูดกับพระเยซู ปีลาตคงสังเกตได้ว่า ข้อกล่าวหาถึงความน่ากลัวนั้นเป็นแค่จินตนาการของบรรดาผู้นำศาสนายิวเท่านั้น

18:34   “ตามความเข้าใจของท่านเอง” (this of your own accord)  = ถ้าพระเยซูตอบว่า ทรงเป็นกษัตริย์ของพวกยิว ปีลาตคงเข้าใจว่า พระเยซูเป็นพวกก่อการกบฏ  แต่พวกผู้นำยิวคงเข้าใจว่า พระเยซูอ้างว่า เป็นพระเมสสิยาห์

18:36   “ราชอำนาจของเรา” (My kingdom)  = บางฉบับแปลว่า “อาณาจักรของเรา”

             = พระเยซูยอมรับว่า พระองค์มีอาณาจักร แต่ไม่ใช่แบบที่มีกองกำลังทหาร ไม่ได้อยู่ได้เพราะแสนยานุภาพของทัพ

18:37   “เพื่อเป็นพยานให้กับสัจจะ” ( to bear witness to the truth) –บางฉบับแปลว่า “เพื่อเป็นพยานถึงความจริง” (1:7,14;14:6)

18:38   “สัจจะคืออะไร?”  =“อะไรคือความจริง” (What is truth?)

= ปีลาตอาจกำลังพูดเล่น ในทำนอง “ความจริงสำคัญอะไร?” หรืออาจพูดความจริงจังในความหมายว่า   “การพบความจริงไม่ใช่เรื่อง่าย แล้วความจริงคืออะไร?”

                        -แต่ไม่ว่าคำตอบที่แท้จริงคืออะไร ปีลาตแน่ใจว่าพระเยซูไม่ใช่กบฏแน่ ๆ

                        “เราไม่เห็นว่าคนนั้นมีความผิด” (I find no guilt in him)  = “ไม่ได้ทำอะไรผิดตามข้อกล่าวหา”

                        = ย้ำอีกครั้งใน 19:4,6     -เพราะว่า การสั่งสอนความจริง ไม่ได้มีความผิดทางอาชญกรรม

18:39   “พวกท่านมีธรรมเนียม” (you have a custom)  = เป็นที่ทราบกันดีว่า นักโทษจะได้รับการปล่อยตัวในโอกาสพิเศษ ในช่วงเทศกาลนี้

“กษัตริย์ของพวกยิว” (the King of the Jews)  – ยอห์นยังเน้นความเป็นกษัตริย์ของพระเยซู ปีลาตคิดว่า การเรียกพระเยซูอย่างนั้นจะผลักดันให้ประชาชนตัดสินใจไปในทิศทางที่เขาต้องการ

18:40   “บารับบัส” ( Barabbas) = เป็นกบฏและฆาตกร (ลก.23:18-19) ชื่อนี้เป็นภาษาอารเมค หมายความว่า “บุตรของอับบา” (ลูกของพ่อ) แต่ผู้ที่มาตายแทนเขาคือ พระบุตรของพระบิดา (มธ.27:16)

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณรู้สึกอย่างไร หากรู้ว่า คนที่อยู่ใกล้ชิดกับคุณที่สุดคนหนึ่งกำลังทรยศ และจะขายคุณให้แก่ศัตรู?
  2. คุณเคยสัมผัสกับฤทธิ์เดชหรือพระบารมีของพระเยซูคริสต์ ในชีวิตของคุณโดยตรงหรือไม่? อย่างไร?
  3. คุณรู้สึกอย่างไร เมื่อได้เห็นว่า พระเยซูคริสต์(ในสภาพมนุษย์) ทรงรักและปกป้องคนของพระองค์จนถึงที่สุด?
  4. การที่คุณทราบว่า พระเยซูคริสต์ทรงทราบทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์ ได้สอนอะไรคุณเป็นพิเศษบ้าง?
  5. หากพระดำรัสของพระเยซูคือ พระวจนะของพระเจ้า (หรือพระคัมภีร์) คุณเชื่อฟังและกระทำตามจริง ๆ หรือไม่? มีข้อใดที่คุณไม่ยอมปฏิบัติตาม? ทำไม? และมีข้อใดที่คุณชอบมากที่สุดในพระธรรมยอห์น?  ทำไม?
  6. คุณพร้อมที่จะทนทุกข์ร่วมกับพระเยซูคริสต์หรือไม่? คุณเคยเผชิญกับความทุกข์อะไรร่วมกับพระองค์มาบ้าง? (แบ่งปัน)
  7. คุณเคยกลัวจนปฏิเสธหรือทิ้งพระเยซูบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? แล้วคุณกลับมาหาพระองค์อีกได้อย่างไร?
  8. คุณเคยถูกปฏิบัติแบบไม่ยุติธรรมหรือผิดกฎหมาย ทั้ง ๆ ที่คุณบริสุทธิ์บ้างหรือไม่? อย่างไร? แล้วคุณรับมืออย่างไร?
  9. คุณเคยเห็นการใช้กฎหมาย หรือกฎหมู่แบบผิด ๆ บ้างไหม? อย่างไร?

 

ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระกิตติคุณยอห์น บทเรียนที่ 17

คำอธิษฐานของพระเยซู!

พระธรรม        ยอห์น 17:1-26

อ้างอิง            ยน.1:2,18;3:17;6:37,39;7:33;8:23;10:30,38;11:41;12:23,26;13:3,31,32;14:20,24;16:15,27;19:30;20:21

บทนำ             พระคริสต์ทูลขอพระเจ้าให้ประทานความเป็นหนึ่งให้แก่ผู้เชื่อทั้งหลาย พวกเขามีหน้าที่รักษาและสำแดงความเป็นหนึ่งเดียวกันไว้ให้คนทั้งหลายเห็นประจักษ์ และร่วมกันประกาศข่าวประเสริฐเพื่อให้คนทั้งหลายได้รู้จักกับพระคริสต์และได้รับความรอด

บทเรียน

17:1 “เมื่อพระเยซูตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ก็แหงนพระพักตร์ขึ้นดูฟ้าและตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา ถึงเวลาแล้ว ขอโปรดให้พระบุตร​  ของพระองค์ได้รับเกียรติ เพื่อพระบุตรจะได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์” 

     (When Jesus had spoken these words, he lifted up his eyes to heaven, and said, “Father, the hour has come; glorify your Son that the Son may glorify you,)

17:2 “ดังที่พระองค์โปรดให้พระบุตรมีสิทธิอำนาจเหนือมนุษย์ทั้งสิ้น เพื่อให้พระบุตรประทานชีวิตนิรันดร์แก่คนที่พระองค์ทรงมอบแก่​พระบุตรนั้น” 

     (since you have given him authority over all flesh, to give eternal life to all whom you have given him.) 

17:3 “และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือการที่พวกเขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่​พระองค์ทรงใช้มา” 

      (And this is eternal life, that they know you, the only true God, and Jesus Christ whom you have sent.) 

17:4 “ข้าพระองค์ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ในโลก เพราะข้าพระองค์ทำกิจที่พระองค์ทรงให้ข้าพระองค์ทำนั้น สำเร็จแล้ว” 

      (I glorified you on earth, having accomplished the work that you gave me to do.) 

17:5 “บัดนี้ข้าแต่พระบิดา ขอโปรดให้ข้าพระองค์ได้รับเกียรติต่อพระพักตร์ของพระองค์ คือเกียรติที่ข้าพระองค์มีร่วมกับพระองค์​       ก่อนที่โลกนี้มีมา”

      (And now, Father, glorify me in your own presence with the glory that I had with you before the world existed.)

17:6 “ข้าพระองค์สำแดงพระนามของพระองค์ แก่บรรดาคนที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์จากโลก คนเหล่านั้นเป็นของพระองค์​  แล้ว และพระองค์ประทานพวกเขาแก่ข้าพระองค์ และเขาได้ปฏิบัติตามพระดำรัสของพระองค์แล้ว 

      (“I have manifested your name to the people whom you gave me out of the world. Yours they were, and you gave them to me, and they have kept your word.) 

17:7 “บัดนี้พวกเขารู้ว่าทุกสิ่งที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์นั้นมาจากพระองค์” 

       (Now they know that everything that you have given me is from you. )

17:8 “เพราะว่าพระดำรัสที่พระองค์ตรัสแก่ข้าพระองค์นั้น ข้าพระองค์ให้พวกเขาแล้วและเขารับไว้ และรู้แน่ว่าข้าพระองค์มาจาก​พระองค์ และเชื่อแล้วว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา”

      (For I have given them the words that you gave me, and they have received them and have come to know in   truth that I came from you; and they have believed that you sent me.) 

17:9 “ข้าพระองค์อธิษฐานเพื่อพวกเขา ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐานเพื่อโลก แต่เพื่อคนเหล่านั้นที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์เพราะว่าเขาเป็นของพระองค์” 

     (I am praying for them. I am not praying for the world but for those whom you have given me, for they are yours.) 

17:10 “ทุกคนที่เป็นของข้าพระองค์ก็เป็นของพระองค์ และทุกคนที่เป็นของพระองค์ก็เป็นของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ได้รับ​        เกียรติในตัวพวกเขา”

      (All mine are yours, and yours are mine, and I am glorified in them.) 

17:11 “บัดนี้ข้าพระองค์จะไม่อยู่ในโลกนี้อีก แต่พวกเขายังอยู่ในโลกนี้ และข้าพระองค์กำลังจะไปหาพระองค์ ข้าแต่ พระบิดาผู้‍บริสุทธิ์ ขอพระองค์ทรงพิทักษ์รักษาบรรดาคนที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ไว้โดยพระนามของพระองค์ เพื่อเขาจะ​เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเหมือนอย่างข้าพระองค์กับพระองค์” 

       (And I am no longer in the world, but they are in the world, and I am coming to you. Holy Father,  keep them in your name, which you have given me, that they may be one, even as we are one.)

17:12 “เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่กับพวกเขา ข้าพระองค์ก็พิทักษ์รักษาเขา ผู้ซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ไว้โดย พระนามของพระองค์ และข้าพระองค์ปกป้องพวกเขาไว้ และไม่มีใครในพวกเขาพินาศนอกจากลูกแห่งความพินาศ เพื่อให้เป็นจริง​ตามข้อพระคัมภีร์” 

       (While I was with them, I kept them in your name, which you have given me. I have guarded them, and not one of them has been lost except the son of destruction, that the Scripture might be  fulfilled.) 

17:13 “แต่บัดนี้ข้าพระองค์กำลังจะไปหาพระองค์ ข้าพระองค์กล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ในโลก เพื่อให้เขาได้รับความชื่นชมยินดีของข้า‍พระองค์อย่างเต็มเปี่ยม 

      (But now I am coming to you, and these things I speak in the world, that they may have my joy fulfilled in themselves.) 

17:14 “ข้าพระองค์มอบพระดำรัสของพระองค์ให้แก่พวกเขาแล้ว และโลกนี้เกลียดชังเขา เพราะเขาไม่ใช่ของโลก เหมือนอย่างทีข้าพระองค์ไม่ใช่ของโลก”

      (I have given them your word, and the world has hated them because they are not of the world, just as I am not of the world.) 

17:15 “ข้าพระองค์ไม่ได้ขอให้พระองค์เอาพวกเขาออกไปจากโลก แต่ขอให้ปกป้องเขาไว้ให้พ้นจากมารร้าย” 

       (I do not ask that you take them out of the world, but that you keep them from the evil one.) 

17:16 “พวกเขาไม่ใช่ของโลก เหมือนอย่างที่ข้าพระองค์ไม่ใช่ของโลก” 

      (They are not of the world, just as I am not of the world.) 

17:17 “ขอทรงแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง”

      (Sanctify them in the truth; your word is truth.)

17:18 “พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มาในโลกอย่างไร ข้าพระองค์ก็ใช้พวกเขาไปในโลกอย่างนั้น”

       (As you sent me into the world, so I have sent them into the world.)

17:19 “ข้าพระองค์แยกตัวให้บริสุทธิ์เพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย เพื่อให้เขารับการแยกให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง”

        (And for their sake I consecrate myself, that they also may be sanctified in truth.)

17:20 “ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐานเพื่อคนเหล่านี้พวกเดียว แต่เพื่อทุกคนที่วางใจในข้าพระองค์เพราะถ้อยคำของ พวกเขา 

        (“I do not ask for these only, but also for those who will believe in me through their word,) 

17:21 “เพื่อพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังเช่นพระองค์ผู้เป็นพระบิดาสถิตในข้าพระองค์และข้าพระองค์ในพระองค์ เพื่อ​      พวกเขาจะได้อยู่ในพระองค์และในข้าพระองค์ด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา” 

       (that they may all be one, just as you, Father, are in me, and I in you, that they also may be in us, so that the world may believe that you have sent me.)

17:22 “เกียรติซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์นั้น ข้าพระองค์มอบให้แก่พวกเขา เพื่อพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดัง‍เช่นพระองค์กับข้าพระองค์” 

      (The glory that you have given me I have given to them, that they may be one even as we are  one,) 

17:23 “ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขาและพระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อ​โลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา และพระองค์ทรงรักพวกเขาเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์” 

      (I in them and you in me, that they may become perfectly one, so that the world may know that you sent me and loved them even as you loved me.)

17:24 “ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ปรารถนาให้คนเหล่านั้นที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ อยู่กับข้าพระองค์ในที่ที่ข้าพระองค์​อยู่นั้น เพื่อพวกเขาจะได้เห็นศักดิ์ศรีของข้าพระองค์ซึ่งพระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักข้าพระองค์​ก่อนที่จะทรงสร้างโลก” 

      (Father, I desire that they also, whom you have given me, may be with me where I am, to see my glory that you  have given me because you loved me before the foundation of the world.)

17:25 “ข้าแต่พระบิดาผู้ทรงธรรม โลกนี้ไม่รู้จักพระองค์ แต่ข้าพระองค์รู้จักพระองค์ และคนเหล่านี้รู้ว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา”

      (O righteous Father, even though the world does not know you, I know you, and these know that you have sent me.)

17:26 “ข้าพระองค์ทำให้พวกเขารู้จักพระนามของพระองค์ และจะทำให้เขารู้อีก เพื่อความรักที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์นั้นจะ​อยู่ในเขา และข้าพระองค์อยู่ในเขา

       (I made known to them your name, and I will continue to make it known, that the love with which you have loved me may be in them, and I in them.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

17:1  “แหงนพระพักตร์ขึ้นดูฟ้า” (lifted up his eyes to heaven) = ท่าทีปฏิบัติกันทั่วไปในการอธิษฐาน  (11:41;สดด. 123:1;มก.7:34) แต่บางครั้งพระเยซูก็หมอบกราบ (มธ.26:39)

          “พระบิดา” (Father) –ยอห์นใช้คำนี้กับพระเจ้าถึง 120 ครั้ง

         “ถึงเวลาแล้ว” (the hour has come) –มธ.26:18

        “เพื่อพระบุตรจะได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์” (that the Son may glorify you) –ยน.1:14;7:39;12:23; 13:31-32  = พระเกียรติสิริของพระบิดาและขอบพระบุตรเกี่ยวพันกันอย่างมาก และการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าและนำชีวิตนิรันดร์มาสู่ผู้เชื่อ (ข.2)

17:2   “โปรดให้พระบุตรมีสิทธิอำนาจ” (given him authority) – ข.4,6-9,11-12,14,22,24

            “แก่คนที่พระองค์ทรงมอบแก่พระบุตรนั้น” (all whom you have given him) = เน้นอีกครั้งว่า ความรอด เริ่มต้นที่พระเจ้า (ข.6,12;6:37,39,44)

17:3    “ทรงใช้มา” (whom you have sent)  = “ทรงส่งมา”  , กล่าวถึงพันธกิจของพระเยซูอีกครั้ง (13:20)

17:4   “ข้าพระองค์ถวายพระเกียรติแด่พระองค์” (I glorified you ) = พันธกิจของพระเยซูคริสต์ ไม่ได้มีศูนย์กลางอยู่ที่ตัวพระองค์เอง แต่ที่พระบิดา

= พระเยซูทำกิจที่พระเจ้า พระบิดาผู้สูงสุดมอบหมายให้ทำเสร็จแล้ว (4:34;13:31)

17:5   “ขอโปรดให้ข้าพระองค์ได้รับเกียรติ คือเกียรติที่ข้าพระองค์มีร่วมกับพระองค์” (glorify me in your own presence with the glory that I had with you) = พระเยซูทูลขอให้พระบิดานำพระองค์คืนสู่เกียรติสิริ ขอให้เปลี่ยนความต่ำต้อยให้เป็นเกียรติ และสิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อพระเยซูเป็นขึ้นจากตาย และได้รับการยกชูสู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระบิดา

          “โลก” (the world) –ปรากฏในคำอธิษฐานนี้ 158 ครั้ง ในภาษากรีก

17:6   “ข้าพระองค์สำแดงพระนามของพระองค์” (I have manifested your name)  -2:23;14:13 ปท.1:18

          “คนที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์” (the people whom you gave me) = เน้นอีกครั้งว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้เริ่มต้น และผู้ควบคุมสถานการณ์

17:7    “ทุกสิ่ง…มาจากพระองค์” (everything … from you  ) = คนทั้งหลายเห็นแล้วว่า พระเจ้าทำกิจอยู่ในพระเยซู และพวกเขา (โดยเฉพาะเหล่าสาวก) ก็เข้าใจเรื่องพระเจ้าอย่างถูกต้อง (ปท.ยก.1:17)

17:8    “เขารับไว้….รู้แน่ว่า…และเชื่อแล้วว่า…” (they have received …to know …and they have believed)

= พระเยซูกล่าวถึงพวกสาวกของพระองค์ว่า พวกเขา

  1. ยอมรับคำสอนของพระองค์ (ไม่เหมือนพวกฟาริสี และคนอื่น ๆ ที่ไม่ยอมรับ)
  2. รู้แน่ว่าพระเยซูมาจากพระเจ้า (ยอมรับว่า การสำแดงของพระเยซูนำพวกเขาไปสู่ความจริง)
  3. เชื่อว่า พระเจ้าส่งพระเยซูมา (1:7,12;20:31)

17:9   “ไม่ได้อธิษฐานเผื่อโลก” (I am not praying for the world) –แต่คำอธิษฐานเดียวที่พระเยซูอธิษฐานเกี่ยวกับโลก คือขอให้โลกหยุดวิถีทางแบบโลกที่ต่อต้านพระเจ้า (ข.21,23)

17:10 “ทุกคนที่เป็นของพระองค์ก็เป็นของข้าพเจ้า” (All …yours are mine) –ยน.16:15

17:11  “ข้าแต่พระบิดาผู้บริสุทธิ์” (Holy Father) = การเรียกพระเจ้าเช่นนี้ พบในที่นี้ที่เดี่ยวเท่านั้น  ในพระคัมภีร์ใหม่ (ปท.1ปต.1:16;วว.4:8)

 = เป็นพรรณนาที่แสดงถึงทั้งความใกล้และความห่างไกล เน้นความน่ายำเกรงของพระเจ้า (ลนต.11:44) และความรักของพระองค์

         “เพื่อเขาจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” ( that they may be one) = แต่ความเป็นหนึ่งเดียวกันได้ประทานมาแล้ว เราไม่ต้องไปขวนขวายหามาใหม่

 = ให้พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกันเสมอไป ไม่ใช่เพื่อพวกเขาจะกลายมาเป็นหนึ่งเดียวกัน

17:12   “ข้าพระองค์ก็พิทักษ์รักษาเขา” ( I kept them) = “ได้ปกป้อง”

        = พระเยซูคริสต์มีฤทธิ์อำนาจมากพอที่จะคุ้มครองและตอบสนองทุกความต้องการของคนของพระองค์ (1ปต.1:5)

           “ลูกแห่งความพินาศ” (he son of destruction) = คนที่ตกอยู่ในคำสาปแช่ง และถูกกำหนดให้พินาศ (แต่ไม่ใช่การกำหนดล่วงหน้าว่า จะให้ใครผู้ใดพินาศ)  ในที่นี้หมายถึง ยูดาส อิสคาริโอท

17:13  “ความชื่นชมยินดีของข้าพระองค์” (my joy ) -15:11

17:14   “โลกนี้” (the world) = โลกนี้เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า และประชากรของพระเจ้า (17:5;1:9)

             “เขาไม่ใช่ของโลก” (they are not of the world) = ไม่ได้เป็นของโลก

= พวกเขาไม่ได้มีความคิดจิตใจที่เป็นของโลกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า เพราะพวกเขาเกิดจากพระวิญญาณ (3:8) แล้ว  และได้เป็นบุตรของพระเจ้า –11:12

17:15    “ไม่ได้ขอให้พระองค์เอาพวกเขาออกไปจากโลก” (I do not ask that you take them out of the world)

= โลกเป็นที่ที่สาวกของพระคริสต์ต้องทำงานของพวกเขา พระองค์จึงไม่ได้ขอให้เอาพวกเขาออกไปจากโลกจนกว่างานของพวกเขาจะสำเร็จลุล่วงไป  (ข.18)

            “มารร้าย” (the evil) –ในบางฉบับแปลว่า “ผู้ชั่วร้าย”  ที่ทำการอยู่ในโลก –มธ.6:13;1ยน.5:19

-พระเยซูจึงขอพระเจ้าให้ปกป้องพวกสาวกให้พ้นจากภัยจากพวกนี้

17:17   “ขอทรงแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์” (Sanctify them) = ชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์ (ข.19)

           “ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง” (the truth; your word is truth) = การชำระให้บริสุทธิ์และการสำแดง(ของพระวจนะ) ไปด้วยกัน (1ปต.2:2)  คำสอนของพระคริสต์สัมพันธ์กับความจริง (ยน.8:31-32)

17:18   “พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มาในโลกอย่างไร  ข้าพระองค์ก็ใช้พวกเขาไปในโลกอย่างนั้น” ( As you sent me into  the world, so I have sent them into the world)   บางฉบับแปลว่า “ข้าพระองค์ได้ส่งพวกเขาเข้าไปในโลกเหมือนที่พระองค์ทรงส่งข้าพระองค์เข้ามาในโลก” = พันธกิจของพระเยซูคริสต์เป็นหัวใจสำคัญของพระกิตติคุณยอห์น และเป็นแบบอย่างให้แก่ผู้ที่ติดตามพระองค์จะปฏิบัติตาม (ข.3)

           “โลก” = ที่เราต้องทำงานของเราให้สำเร็จ

17:19   “ข้าพระองค์แยกตัวให้บริสุทธิ์” (I consecrate myself) = ข้าพระองค์จึงชำระตนให้บริสุทธิ์   ใช้หมายถึงการชำระปุโรหิต (อพย.28:41) และเครื่องบูชา (อพย.28:38;กดว.18:9)

-พระเยซูทรงจริงจังกับการ “แยกชีวิตของพระองค์” ออกมาเพื่อ “ทำตามพระประสงค์ของพระบิดา”

=  การสิ้นพระชนม์บนกางเขน

        “เพื่อให้เขารับการแยกให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง” (that they also may be sanctified in truth)  = พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน นอกจากช่วยเราให้รอด ยังมาเพื่อชำระเราสำหรับการรับใช้พระเจ้าด้วย (17:17)

17:20  “แต่เพื่อทุกคนที่วางใจให้ข้าพระองค์” (also for those who will believe in me) –ในฉบับอมตธรรมแปลว่า “เพื่อบรรดาผู้ที่จะเชื่อในข้าพระองค์” =  พระเยซูกำลังตรัสว่า พระองค์เชื่อมั่นในบรรดาสาวกของพระองค์ที่ ได้รับการชำระตนให้บริสุทธิ์  (ข.19) ว่าพวกเขาจะประกาศข่าวประเสริฐตามที่พระองค์ส่งพวกเขาไปเผยแพร่  (ข.18) และพระองค์ทรงอธิษฐานเผื่อผู้ที่จะเชื่อเพราะข่าวประเสริฐด้วย เท่ากับว่า พระเยซูทรงอธิษฐานเผื่อผู้เชื่อในสมัยนั้นและในอนาคตด้วย

17:21  “เพื่อพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” (that they may all be one) = ความเป็นหนึ่งเดียวกันที่ได้ ประทานมาแล้วไม่ต้องไปแสวงหาใหม่อีก (ข.11) แต่ให้พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกันตลอดไป

           “เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา” (so that  the world may believe that you have sent me)

= ความเป็นหนึ่งเดียวกันของผู้เชื่อต้องส่งผลกระทบต่อคนภายนอกด้วย เพื่อให้พวกเขาเชื่อในพันธกิจของพระเยซู ในคำอธิษฐานนี้ พระองค์ทรงตำหนิการแตกแยกและการแบ่งพรรคแบ่งพวกกันในหมู่ผู้เชื่อ

17:22   “เกียรติ” (The glory) = ในฉบับอื่นใช้คำว่า “เกียรติสิริ” (ข.1)   -ผู้ชื่อในพระคริสต์ต้องได้รับการหล่อหลอมให้มีความถ่อมใจและรับใช้อย่างเดียวกับพระองค์ แล้วพระเกียรติสิริของพระเจ้าจะประทับเหนือพวกเขา

        “เพื่อพวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน” (that they may be one) = อีกครั้งที่พระเยซูเน้นความสำคัญของการเป็นหนึ่งเดียวกันในหมู่ผู้เชื่อ ตามมาตรฐานความเป็นหนึ่งเดียวกันของพระเจ้าพระบิดาและพระบุตร

17:23  “ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา และพระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์” (I in them and you in me) =  มีการประทับอยู่ 2 ประการ

  1. พระบุตรสถิตอยู่ในหมู่ผู้เชื่อ
  2. พระบิดาสถิตอยู่ในพระบุตร

ประการแรก พระบุตรอยู่ในหมู่ผู้เชื่อ เกิดขึ้นได้เพราะพระบิดาอยู่ในพระบุตรจริง ๆ

     “จะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์” (that they may become perfectly one)  = เน้นอีกครั้งว่า การเป็นหนึ่งเดียวกันมีเป้าหมายเพื่อการประกาศข่าวประเสริฐที่เชื่อมโยงกับความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ทั้งหลาย และต่อพระเยซูคริสต์

17:24  “ข้าพระองค์ปรารถนาให้” (I desire that) = ข้าพระองค์ต้องการสิ่งนั้นคือ ให้พวกผู้ที่เชื่อพระองค์ได้อยู่กับพระองค์ ซึ่งเป็นพระพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคริสเตียน (14:3;1ธส.4:7)

        “ศักดิ์ศรีของข้าพระองค์” (my glory) = บางฉบับแปลว่า “เกียรติสิริของข้าพระองค์” 

= สง่าราศีของพระเยซู (1ยน.3:2) หรือในชีวิตที่จะมาถึงที่พวกสาวกจะชื่นชมอย่างเต็มที่ในสง่าราศีที่ได้จากการรับใช้พระเยซูอย่างถ่อมใจ (อฟ.2:…

17:25  “ข้าแต่พระบิดาผู้ทรงธรรม” (O righteous Father) = บางฉบับแปลว่า “พระบิดาผู้ชอบธรรม”  เป็นคำเรียกพระเจ้าที่พบเฉพาะตอนนี้ในพันธสัญญาใหม่ เปรียบเทียบกับ “พระบิดาผู้บริสุทธิ์” ใน ข.11

        “คนเหล่านี้รู้ว่า พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา” (these know that you have sent me)  บางฉบับแปลว่า

       “พวกเขาก็รู้ว่า พระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา”  = พวกเขาไม่รู้จักกับพระเจ้าโดยตรง เป็นส่วนตัว แต่พวกเขารู้ว่าพระเจ้าทรงส่งพระคริสต์มาการตระหนักว่า พระเจ้าสถิตอยู่ในพันธกิจที่พระคริสต์กระทำเป็นความรู้ที่เหนือความรู้ใด ๆ ในโลกนี้

17:26  “ทำให้พวกเขารู้จักพระนามของพระองค์” (made known to them your name)  -16:3, การไม่รู้จักพระบุตรคือ การเฉยเมยต่อพระบิดา  -14:7,10-11;17:6-7,20-23

คำถามนำอภิปราย

  1. พระเจ้าทรงประทานเกียรติอะไรให้แก่คุณ ที่ทำให้คุณสามารถถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าได้? แล้วคุณทำอะไรอย่างไรบ้างเพื่อที่ถวายเกียรติแด่พระองค์?
  2. คุณได้ช่วยให้ใครรู้จักพระเจ้าและได้รับชีวิตนิรันดร์แล้วบ้าง? อย่างไร?
  3. คุณได้เสริมสร้างผู้ใดให้เจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณเป็นสาวกแท้ของพระคริสต์ด้วยพระวจนะของพระเจ้าบ้าง? อย่างไร?
  4. คุณอธิษฐานเผื่อผู้เชื่อคนอื่น ๆ หรือไม่? อย่างไร? เป็นประจำหรือไม่? แล้วมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง?
  5. คุณเคยได้รับการปกป้องรักษาจากพระคริสต์อย่างไรบ้าง? และส่งผลอะไรต่อชีวิต และการรับใช้ของคุณบ้าง?
  6. ในการดำเนินชีวิต (คริสเตียน) ของคุณ มีใคร(ในคริสตจักร) ที่ช่วยพิทักษ์ปกป้องคุณ และช่วยให้คุณรอดปลอดภัยและเจริญเติบโตขึ้นในความเชื่อบ้าง? อย่างไร?
  7. คุณทูลขอพระเจ้าประทานความเป็นหนึ่งเดียวกัน ให้กับผู้เชื่อ
  • ในคริสตจักรของคุณ
  • ในคริสตจักรทั้งหลายทั่วประเทศไทย
  • ในคริสตจักรทั้งหลายทั่วโลกบ้างหรือไม่?  อย่างไร?
  1. คุณแยกตัวเองจากสิ่งที่ทำให้คุณไม่บริสุทธิ์อย่างไร? พระวจนะของพระเจ้ามีส่วนสำคัญอย่างไรในกระบวนการดังกล่าว? และคุณได้ช่วยผู้ใดให้ได้รับการชำระชีวิตให้บริสุทธิ์บ้าง? อย่างไร?
  2. คุณอธิษฐานเผื่อใครบางคนที่ยังไม่ได้รู้จักกับพระเจ้าในเวลานี้ เพื่อให้เขาได้ยินข่าวประเสริฐและรู้จักกับพระคริสต์ และรับความรอดบ้าง? อย่างไร?
  3. นอกจากอธิษฐาน คุณได้ทำอะไรบ้างเพื่อรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวในคริสตจักร และในวงการคริสเตียน?   คุณสัมผัสถึงความรักของพระเจ้าในท่ามกลางผู้เชื่ออย่างไรบ้าง? (แบ่งปัน)

 

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนล้ำค่าวันคริสตมาส

บทเรียนล้ำค่าจากวันคริสตมาส

บทนำ:         คำทำนาย อิสยาห์ 9:6-7

“ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่บนบ่าของท่าน และเขาจะขนานนามของท่านว่า “ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดา นิรันดร์ และองค์สันติราช” 7การเพิ่มพูนขึ้นของการปกครองและสันติภาพของท่าน จะไม่มีที่สิ้นสุด บนพระที่นั่งของดาวิด และเหนือราชอาณาจักรของพระองค์ เพื่อจะสถาปนาและเชิดชูมันไว้ ด้วยความยุติธรรมและความชอบธรรม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนนิรันดร์กาล ความกระตือรือร้นของพระยาห์เวห์จอมทัพจะทำการนี้”

( For to us a child is born, to us a son is given; and the government shall be upon his  shoulder, and his name shall be called Wonderful Counselor, Mighty God, Everlasting Father, Prince of Peace. 7 Of the increase of his government and of peace there will be no end, on the throne of David and over his kingdom, to establish it and to uphold it with justice and with righteousness from this time forth and forevermore. The zeal of the Lord of hosts will do this.)

บทเรียน

1.จะรู้ได้อย่างไร?    ลูกา1:5-23 

2.จะรู้สึกอย่างไร?   ลูกา 1:24-25 ; ลูกา 1:39-45

3.จะเป็นไปได้อย่างไร?  ลูกา 1:26-39

4.จะทำใจได้อย่างไร?     มัทธิว1:18-25 

5.จะไม่ให้กลัวได้อย่างไร?  ลูกา2:8-21

6.จะไม่ให้ตื่นเต้นได้อย่างไร?  ลูกา 1:11-20 ; ลูกา 1:28-38;  ลูกา 2:9-12 ; ลูกา 2:14 ;  มัทธิว2:13

7.จะไม่ให้มีความหวังได้อย่างไร?  มัทธิว2:1-12 

8.จะไม่ให้วุ่นวายใจได้อย่างไร?  มัทธิว 2:1-3;  มัทธิว 2:16-23

9.จะไม่ให้ดีใจและขอบคุณพระเจ้าได้อย่างไร?  ลูกา 2:22-38 
สรุป
            เรื่องราวของบุคคลต่างๆ ในบทเรียนนี้สอนเราหลายเรื่อง
            ขอให้เราดำเนินชีวิตอย่างที่พระเจ้าทรงกำหนดและทรงนำ
            แล้วคริสตมาสนี้ จะมีความหมายอย่างมากมายต่อเราและคนทั้งหลาย

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระกิตติคุณยอห์น บทเรียนที่ 16

พระธรรม        ยอห์น 16:1-33

อ้างอิง              ยน.15:18-27;17:25;13:19;12:42;9:22;7:33;14:29;16:16,17,28

บทนำ               ชีวิตในการติดตามพระเยซูคริสต์ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเป็นไปไม่ได้ ตรงกันข้าม กลับเป็นการผจญภัยฝ่ายจิตวิญญาณที่น่าตื่นเต้น เพราะมีพระคริสต์คอยนำทาง  พระวิญญาณของพระเจ้าเสริมกำลัง และพระเจ้าพระบิดาทรงพร้อมช่วยเหลือสนับสนุนในทุกเรื่องที่เราทูลขอ และเราจะได้รับเมื่อเรารักและเชื่อฟังพระองค์อย่างแท้จริง

บทเรียน

16:1 “เราบอกสิ่งเหล่านี้กับพวกท่านก็เพื่อไม่ให้ท่านท้อถอย” 

     (“I have said all these things to you to keep you from falling away.)

16:2 “เขาทั้งหลายจะไล่ท่านออกจากธรรมศาลา อันที่จริงวันนั้นจะมาถึง เมื่อทุกคนที่ประหารชีวิตของพวกท่านจะคิดว่าเขา​กำลังปรนนิบัติพระเจ้า” 

      (They will put you out of the synagogues. Indeed, the hour is coming when whoever kills you will think he is offering service to God.) 

16:3 “เขาจะทำอย่างนั้นเพราะไม่รู้จักพระบิดาและไม่รู้จักเรา” 

       (And they will do these things because they have not known the Father, nor me.)

16:4 “แต่เหตุที่เราบอกสิ่งเหล่านี้ให้ท่านฟังก็เพื่อว่าเมื่อถึงเวลาของพวกเขา ท่านจะได้ระลึกว่าเราบอกท่านไว้แล้ว“เราไม่ได้บอก​  เรื่องนี้กับพวกท่านแต่แรก เพราะว่าเรายังอยู่กับท่าน”

      (But I have said these things to you, that when their hour comes you may remember that I told them to you.”I did not say these things to you from the beginning, because I was with you.)

16:5 “แต่ตอนนี้เรากำลังจะไปหาผู้ทรงใช้เรามา และไม่มีใครในพวกท่านถามเราว่า ‘จะไปที่ไหน?’” 

     (But now I am going to him who sent me, and none of you asks me, ‘Where are you going?’ )

16:6 “แต่เพราะเราบอกเรื่องนี้กับพวกท่าน จิตใจของท่านจึงมีแต่ความทุกข์”

     (But because I have said these things to you, sorrow has filled your heart.)

16:7 “อย่างไรก็ตามเราจะบอกความจริงกับพวกท่าน คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไปองค์ผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาพวกท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน” 

     (Nevertheless, I tell you the truth: it is to your advantage that I go away, for if I do not go away, the Helper will not come to you. But if I go, I will send him to you.) 

16:8 “เมื่อพระองค์เสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงทำให้โลกรู้แจ้งในเรื่องความบาป ความชอบธรรม และการพิพากษา” 

      (And when he comes, he will convict the world concerning sin and righteousness and judgment:)

16:9 “ในเรื่องความบาปนั้น คือเพราะพวกเขาไม่วางใจในเรา” 

     (concerning sin, because they do not believe in me;)

16:10 “ในเรื่องความชอบธรรมนั้น คือเพราะเราไปหาพระบิดา และพวกท่านจะไม่เห็นเราอีก” 

      (concerning righteousness, because I go to the Father, and you will see me no longer;)

16:11 “ในเรื่องการพิพากษานั้น คือเพราะผู้ครองโลกนี้ถูกพิพากษาแล้ว”

       (concerning judgment, because the ruler of this world is judged.)

16:12 “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว” 

       (“I still have many things to say to you, but you cannot bear them now.)

16:13 “เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น”

       (When the Spirit of truth comes, he will guide you into all the truth, for he will not speak on his own authority, but whatever he hears he will speak, and he will declare to you the things that are to come.)

16:14 “พระองค์จะทรงให้เราได้รับเกียรติ เพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาแจ้งแก่พวกท่าน” 

       (He will glorify me, for he will take what is mine and declare it to you.) 

16:15 “ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นเป็นของเรา เพราะเหตุนี้ เราจึงกล่าวว่า พระวิญญาณทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรานั้นมาแจ้งแก่พวกท่าน”

       (All that the Father has is mine; therefore I said that he will take what is mine and declare it to you.)

16:16 “อีกหน่อยพวกท่านจะไม่เห็นเรา และต่อไปอีกหน่อย พวกท่านก็จะเห็นเรา” 

       (“A little while, and you will see me no longer; and again a little while, and you will see me.”)

16:17 “สาวกของพระองค์บางคนพูดกันว่า “พระองค์หมายความว่าอะไรที่ตรัสกับเราว่า ‘อีกหน่อยพวกท่านจะไม่เห็นเรา และ​ต่อไปอีกหน่อยพวกท่านก็จะเห็นเรา’ และ ‘เพราะเราไปถึงพระบิดา” 

       (So some of his disciples said to one another, “What is this that he says to us, ‘A little while, and you will not see me, and again a little while, and you will see me’; and, ‘because I am going to the Father’?” )

16:18 “พวกเขาพูดกันว่า‘อีกหน่อย’ นั้นหมายความว่าอะไร?เราไม่ทราบว่า‘อีกหน่อย’ที่พระองค์ตรัสนั้น หมายความว่าอะไร” 

       (So they were saying, “What does he mean by ‘a little while’? We do not know what he is talking about.” )

16:19 “พระเยซูทรงทราบว่าพวกเขาอยากทูลถามพระองค์ พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “พวกท่านถามกันอยู่หรือว่า เราหมาย‍ความว่าอะไรที่พูดว่า ‘อีกหน่อยพวกท่านจะไม่เห็นเรา และต่อไปอีกหน่อยพวกท่านก็จะเห็นเรา?’” 

       (Jesus knew that they wanted to ask him, so he said to them, “Is this what you are asking yourselves, what I meant by saying, ‘A little while and you will not see me, and again a little while and you will see me’? )

16:20 “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ท่านจะร้องไห้และคร่ำครวญ แต่โลกจะชื่นชมยินดี พวกท่านจะเป็นทุกข์ แต่ความทุกข์​ของท่านจะกลับกลายเป็นความชื่นชมยินดี 

       (Truly, truly, I say to you, you will weep and lament, but the world will rejoice. You will be sorrowful, but your sorrow will turn into joy.) 

16:21 “เมื่อผู้หญิงจะคลอดบุตร นางก็มีแต่ความทุกข์เพราะถึงกำหนด แต่เมื่อคลอดบุตรแล้ว นางก็ไม่คิดถึงความเจ็บปวดนั้น​เลย เพราะมีความชื่นชมยินดีที่คนหนึ่งเกิดมาในโลก” 

        (When a woman is giving birth, she has sorrow because her hour has come, but when she has delivered the baby, she no longer remembers the anguish, for joy that a human being has been born into the world.) 

16:22 “ดังนั้นขณะนี้พวกท่านจึงมีความทุกข์ แต่เราจะมาหาท่านอีก และใจของท่านจะชื่นชมยินดี และจะไม่มีใคร ช่วงชิงความชื่นชมยินดีไปจากท่านได้” 

       (So also you have sorrow now, but I will see you again, and your hearts will rejoice, and no one will take your joy from you.) 

16:23 “ในวันนั้นพวกท่านจะไม่ถามอะไรเราอีก เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าท่านขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเราพระองค์จะประทานสิ่งนั้นแก่ท่าน” 

       (In that day you will ask nothing of me. Truly, truly, I say to you, whatever you ask of the Father in my name, he will give it to you.)

16:24  “จนบัดนี้พวกท่านก็ยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเรา จงขอเถิดแล้วจะได้ เพื่อความชื่นชมยินดีของท่านจะมีเต็มเปี่ยม”

       (Until now you have asked nothing in my name. Ask, and you will receive, that your joy may be full.)

16:25 “เราพูดเรื่องนี้กับพวกท่านโดยใช้เรื่องเปรียบเทียบ วันนั้นจะมาถึงเมื่อเราจะไม่พูดกับท่านโดยใช้เรื่องเปรียบเทียบอีก  แต่จะบอกท่านถึงเรื่องพระบิดาอย่างแจ่มแจ้ง” 

       (“I have said these things to you in figures of speech. The hour is coming when I will no longer speak to you in figures of speech but will tell you plainly about the Father. )

16:26 “ในวันนั้นพวกท่านจะทูลขอในนามของเรา และเราจะไม่บอกท่านว่าเราจะอ้อนวอนพระดาเพื่อท่าน”

        (In that day you will ask in my name, and I do not say to you that I will ask the Father on your behalf; )

16:27 “เพราะว่าพระบิดาเองก็ทรงรักพวกท่าน เพราะท่านรักเราและเชื่อว่าเรามาจากพระเจ้า” 

        (for the Father himself loves you, because you have loved me and have believed that I came from God.)

16:28 “เรามาจากพระบิดาและเข้ามาในโลกแล้ว เราจะจากโลกนี้ไปหาพระบิดาอีก

        (I came from the Father and have come into the world, and now I am leaving the world and going to the Father.”)

16:29 “พวกสาวกของพระองค์ทูลว่า “ตอนนี้พระองค์ตรัสอย่างแจ่มแจ้ง ไม่ได้ตรัสโดยใช้เรื่องเปรียบเทียบ” 

        (His disciples said, “Ah, now you are speaking plainly and not using figurative speech!)

16:30 “ตอนนี้พวกข้าพระองค์รู้แล้วว่าพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง และไม่จำเป็นที่ใครจะทูลถามพระองค์อีก เพราะเหตุนี้พวกข้าพระองค์จึงเชื่อว่าพระองค์ทรงมาจากพระเจ้า

       (Now we know that you know all things and do not need anyone to question you; this is why we believe  that you came from God.” )

16:31 “พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “ตอนนี้พวกท่านเชื่อแล้วหรือ?” 

       (Jesus answered them, “Do you now believe? )

16:32 “นี่แน่ะ วันนั้นจะมา และเวลานั้นก็มาถึงแล้ว ที่พวกท่านจะต้องกระจัดกระจายไปยังที่อยู่ของท่านแต่ละคนและจะทิ้งเรา​ไว้คนเดียว แต่เราไม่ได้อยู่คนเดียว เพราะพระบิดาสถิตอยู่กับเรา” 

       (Behold, the hour is coming, indeed it has come, when you will be scattered, each to his own home, and will leave me alone. Yet I am not alone, for the Father is with me.) 

16:33 “เราบอกเรื่องนี้กับพวกท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิดเพราะว่าเราชนะโลกแล้ว

      (I have said these things to you, that in me you may have peace. In the world you will have tribulation.  But take heart; I have overcome the world.”)

ข้อมูลมีประโยชน์

16:1      “สิ่งเหล่านี้” (all these things) –ยน.15:18-27

               “ท้อถอย” (falling away)  -มธ.11:6 (สูญเสียความเชื่อ)

 16:2      “ไล่ท่านออกจากธรรมศาลา” (put you out of the synagogues ) –9:22

“คิดว่า เขากำลังปรนนิบัติพระเจ้า” (will think he is offering service to God)   = คนเคร่งศาสนามักเล่นงาน ผู้อื่นด้วยความมั่นใจว่า เขากำลังทำเพื่อพระเจ้า  (กจ.26:9-11;กท.1:13-14)

 16:3      “พระบิดา…เรา” (Father… me )= การเชื่อมโยงพระบิดากับพระบุตรอีกครั้ง ผู้ที่ไม่รู้จักกับพระบุตรคือ การเพิกเฉย ไม่รู้จักพระบิดา (14:7,10-11;17:6-7,22-23,26)

16:4      “ระลึก” (remember) –ยน.13:19;14:29

16:5      “จะไปที่ไหน” (‘Where are you going?’) –เปโตรเคยถามคำถามนี้ –ยน.13:36;14:5

16:6      “จิตใจของท่านจึงมีแต่ความทุกข์” (sorrow has filled your heart) = ความรู้สึกของพวกเขาเมื่อพระเยซูประกาศว่า พระองค์จะจากไป –ยน.16:22

16:7      “ถ้าเราไม่ไป” (if I do not go away ) = งานไถ่บาปของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนเป็นสิ่งที่จำเป็นก่อนงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเริ่มต้น

16:8      “พระองค์ทรงทำให้โลกรู้แจ้ง” (he will convict the world) = งานของพระวิญญาณบริสุทธิ์

16:9      “ในเรื่องบาป” (concerning sin) = คนจะไม่เห็นว่าตัวเองเป็นคนบาป หากว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทำให้เราสำนึกตัว

“พวกเขาไม่วางใจในเรา” (they do not believe in me ) = บาปของพวกเขาคือ ไม่ยอมเชื่อ(วางใจในพระเจ้า) หรือ การไม่เชื่อว่าพวกเขาเป็นตัวอย่างของบาปอย่างหนึ่ง

16:10    “ในเรื่องความชอบธรรมนั้น” (concerning righteousness) –เราได้ความชอบธรรมจากการยอมพลีพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน (รม.1:17;3:21-24) พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำให้คนตระหนักว่า ความชอบธรรมของเขาไม่ได้มาจากการทำดีของตัวเอง แต่ได้มาจากการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์บนไม้กางเขน

“เราไปหาพระบิดา” (I go to the Father) = เรากำลังจะไปหาพระบิดา

= การเสด็จสู่สวรรค์ที่เป็นส่วนหนึ่งของการที่พระเยซูคริสต์ได้รับการยกชู และการที่พระเจ้าประทับตราเห็นชอบกับการไถ่บาปของพระคริสต์

16:11    “ในเรื่องการพิพากษานั้น” (concerning judgment) = การพ่ายแพ้ของซาตาน “ผู้ครองโลกนี้” (ยน12:31)  เป็นการพิพากษารูปแบบหนึ่ง

16:12    “แต่ตอนนี้ ท่านยังรับไม่ไหว” (but you cannot bear them now ) = มากเกินกว่าที่พวกท่านจะรับได้ในตอนนี้

                        = “เกินกว่าที่พวกท่านจะเข้าใจได้ในตอนนี้”

                        หรือ = “เกินกว่าที่ท่านจะทำได้เอง โดยปราศจากการช่วยเหลือของพระวิญญาณ”

16:13    “พระวิญญาณแห่งความจริง” (the Spirit of truth) -14:17

               “พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน” ( but whatever he hears he will speak) = ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่าง 3 พระภาค

                “สิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น” ( the things that are to come.)

อาจ = วิถีชีวิตคริสเตียน หรือ “การสำแดงทั้งหมดในสิ่งที่เหล่าอัครทูตจะเขียนไว้สำหรับอนาคต” (ยังไม่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่พระเยซูตรัส)

16:14    “ทรงให้เราได้รับเกียรติ” (will glorify me ) –1:14, พระวิญญาณมิได้ดึงความสนใจมาที่พระองค์เอง แต่ส่งเสริมพระเกียรติสิริของพระเยซูคริสต์

 16:15    “ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นเป็นของเรา” (All that the Father has is mine) –17:10, ทั้ง 3 พระภาค สัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น

16:16    “อีกหน่อย ….ต่อไปอีกหน่อย” (A little while… a little while) = “อีกไม่นาน….จากนั้นไม่นาน”

-วลีแรกอาจหมายถึง ช่วงเวลาก่อนที่พระเยซูถูกตรึงบนกางเขน แต่วลีหลังมีการตีความแตกต่างกันว่า จะเป็นช่วงก่อนการเป็นขึ้นจากตาย หรือการเสด็จมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือการเสด็จมาครั้งที่ 2 ของพระเยซูคริสต์ (น่าจะหมายถึง การเป็นขึ้นจากตายมากกว่า)

 16:17    “เราไปถึงพระบิดา” (I am going to the Father)

                        “เรากำลังจะไปหาพระบิดา”  –ยน.16:5,10

 16:20    “ท่านจะร้องไห้และคร่ำครวญ” (you will weep and lament  ) = กริยาคำเดียวกับใน 11:33

                        = การคร่ำครวญเสียงดังแสดงถึง ความโศกเศร้าจนกลั้นไม่อยู่

 16:21    “เมื่อผู้หญิงจะคลอดบุตร” (When a woman is giving birth ) = มีทั้งความเจ็บปวดและความชื่นชมยินดีในเวลาที่ผู้หญิงคลอดบุตร (อสย.26:17-19;66:7-14;ฮชย.13:13-14)

16:22    “เราจะมาหาท่านอีก” (I will see you again) –16:16, อาจหมายถึง การมาปรากฏของพระเยซูหลังจากตาย

               “จะไม่มีใครช่วงชิงความชื่นชมยินดีไปจากท่านได้” (no one will take your joy from you.) = การเป็นขึ้นจากตาย จะเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ อย่างถาวร และจะนำความชื่นชมยินดีในโลกนี้ไม่อาจทำลายมาให้ (ยน.15:11)

ปท. ยรม.31:12;ยน.16:20

16:23    “จะไม่ถามอะไรเราอีก” (  you will ask nothing of me)  = “ท่านจะไม่ขออะไรเราอีก”

                        = สาวกไม่จำเป็นต้องถามแล้ว หลังจากพระองค์เป็นขึ้นจากตาย

“ท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามเรา” (you ask of the Father in my name)  = พวกเขาสามารถเข้าหา พระเจ้าพระบิดาโดยตรง และอธิษฐานในพระนามของพระองค์ –มธ.7:7;ยน.16:24,26-27

16:24    “จนบัดนี้” (Until now ) = ก่อนหน้านี้พวกเขาขอพระบิดา แต่ไม่ได้ขอในนามของพระคริสต์

                        “จงขอเถิดแล้วจะได้” (Ask, and you will receive) –มธ.7:7;16:24

                        “จะมีเต็มเปี่ยม” (may be full) = เต็มบริบูรณ์ (ยน.3:29)

16:25    “ใช้เรื่องเปรียบเทียบ” (figures of speech) = พระเยซูใช้คำพูดเป็นโวหารเปรียบเทียบมาตลอดคำสอนของพระองค์ -สดด.78:2;อสค.20:49;มธ.13:34;มก.4:33-34;ยน.10:6;16:29

“วันนั้นจะมาถึง” (The hour is coming) = หลังจากพระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย ในเวลาอีกไม่นาน –ยน.16:2

16:26    “ทูลขอในนามของเรา “ (ask in my name ) –2:23;14:13

               “เราจะไม่บอกท่านว่า เราจะอ้อนวอนพระบิดาเพื่อท่าน” (and I do not say to you that I will ask the Father on your behalf) = ไม่ได้ขัดแย้งกับ –รม.8:34;ฮบ.7:25;1ยน.2:1

ที่ข้อพระคัมภีร์ที่ถูกยกมาเหล่านี้ หมายความว่าการสถิตอยู่ด้วยของพระเยซูคริสต์ในสวรรค์ ผู้เป็นขึ้นมาจากความตาย เป็นผู้อธิษฐานอ้อนวอนในตัวอยู่แล้ว

= ข้อนี้สอนว่าพระองค์ไม่จำเป็นต้องทูลขอแทนเรา

16:27    “พระบิดาเองก็ทรงรักพวกท่าน” ( the Father himself loves you)  = พระเยซูกำลังอธิบายว่า สาวกเข้าหาพระเจ้าโดยตรงได้ ผ่านการอธิษฐานก็เพราะว่า พวกสาวกรักและเชื่อวางใจว่า พระเยซูมาจากพระเจ้า พระเจ้าจึงทรงรักและรับฟังคำร้องทูลของพวกเขาในพระนามของพระเยซู

16:29    “ไม่ได้ตรัสโดยใช้เรื่องเปรียบเทียบ” (not using figurative speech)  -ข.25

16:30    “เชื่อว่าพระองค์ทรงมาจากพระเจ้า” (believe that you came from God)  = 1 ใน 2 ประเด็นสำคัญในพระธรรมยอห์นนี้ คือ

  1. เชื่อ (1:7)
  2. พระเยซูมาจากพระเจ้า (4:34;17:3,8)

16:32    “พวกท่านจะต้องกระจัดกระจายไป” (you will be scattered ) = พวกสาวกมีความเชื่อ แต่ไม่พอที่ยืนหยัด เมื่อเผชิญวิกฤติภัย พระเยซูทรงทราบว่า พวกเขาจะผิดพลาด (มธ.26:31;ปท.ศคย.13:7)

-แต่คริสตจักรสามารถยืนหยัดได้ ไม่ใช่ด้วยกำลังของมนุษย์ แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของพระเจ้าที่สามารถใช้ได้แม้แต่คนที่ผิดพลาด

16:33    “เราชนะโลกแล้ว” (I have overcome the world) = พระเยซูยืนยันชัยชนะสุดท้ายของพระองค์ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ไม่ว่าเราจะเผชิญอะไร เราจะมีชัยไปกับพระคริสต์

ให้สังเกตความแตกต่างระหว่างคำว่า “ในเรา” และ “ในโลกนี้”  “สันติสุข” และ “ความทุกข์ยาก”

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยรู้สึกท้อถอยในการติดตามพระเยซูคริสต์บ้างไหม? ทำไม? อย่างไร?  แล้วคุณผ่านมาได้อย่างไร?
  2. การจากไปของพระเยซู (ทางกายภาพ) มีประโยชน์อะไรต่อชีวิตของเราบ้าง? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากการที่พระวิญญาณเสด็จลงมาสถิตในชีวิตของคุณ?
  3. คุณเคยมีประสบการณ์กับการที่ความทุกข์ และการร้องไห้คร่ำครวญกลับกลายเป็นความชื่นชมยินดีบ้างหรือไม่? อย่างไร?
  4. คุณเคยขอบางสิ่ง หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วได้รับจากพระเจ้าบ้างหรือไม่? คุณรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งที่คุณได้รับนั้นมาจากพระเจ้า?
  5. คุณเคยอ่านหรือได้ยินเรื่องเปรียบเทียบของพระเยซูแล้วไม่เข้าใจ แต่บัดนี้เข้าใจแล้วบ้างหรือไม่? (แบ่งปัน)
  6. คุณมั่นใจหรือไม่ว่า พระเจ้าพระบิดาทรงรักคุณ และทรงตอบคำทูลขอของคุณ? ทำไม?
  7. เวลานี้คุณเชื่อในพระเยซูคริสต์ และในพระเจ้าจริง ๆ หรือไม่? เพราะเหตุใด?
  8. คุณมีประสบการณ์กับ “สันติสุข” ในพระคริสต์ในท่ามกลางความทุกข์ยากบ้างหรือไม่? อย่างไร?

 

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระกิตติคุณยอห์น บทเรียนที่ 14

จงเข้าสนิทกับพระคริสต์!

พระธรรม        ยอห์น 15:1-27

อ้างอิง            ยน.5:36;6:35,56;7:7;8:26;9:41;10:11,34;13:16-18,10,34;14:16-17,26;16:3;17:14;21:24

บทนำ            เราจะเป็นคริสเตียนโดยไม่เข้าสนิทกับพระคริสต์ย่อมเป็นไปไม่ได้ เหมือนกับกิ่งไม้จะเกิดผลไม่ได้ หากไม่ติดสนิทอยู่กับต้น เราต้องเป็นคริสเตียนที่เกิดผล เพราะติดสนิทกับพระคริสต์ตลอดเวลาและจะเกิดผลมากขึ้นอีกเมื่อพระคริสต์ลิดแขนงเรา!

บทเรียน

15:1 “เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นผู้ดูแลรักษา”

 (“I am the true vine, and my Father is the vinedresser. )

15:2 “แขนงทุกแขนงในเราที่ไม่ออกผล พระองค์ก็ทรงตัดทิ้งเสีย และแขนงทุกแขนงที่ออกผล พระองค์ก็ทรงลิดเพื่อให้ออกผล​    มากขึ้น”

  (Every branch in me that does not bear fruit he takes away, and every branch that does bear fruit he prunes,      that it may bear more fruit.)

15:3 “พวกท่านได้รับการชำระให้สะอาดแล้วด้วยถ้อยคำที่เรากล่าวกับท่าน”

   (Already you are clean because of the word that I have spoken to you.)

15:4 “จงติดสนิทอยู่กับเราและเราติดสนิทอยู่กับพวกท่าน แขนงจะออกผลเองไม่ได้นอกจากจะติดสนิทอยู่กับเถา พวกท่านก็เช่น  เดียวกันจะเกิดผลไม่ได้นอกจากจะติดสนิทอยู่กับเรา” 

   (Abide in me, and I in you. As the branch cannot bear fruit by itself, unless it abides in the vine, neither can you, unless you abide in me.).

15:5 “เราเป็นเถาองุ่น พวกท่านเป็นแขนง คนที่ติดสนิทอยู่กับเราและเราติดสนิทอยู่กับเขา คนนั้นจะเกิดผลมาก เพราะว่าถ้าแยก​    จากเราแล้วพวกท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย”

   (I am the vine; you are the branches. Whoever abides in me and I in him, he it is that bears much fruit, for apart from me you can do nothing)

15:6 “ถ้าใครไม่ได้ติดสนิทอยู่กับเรา คนนั้นก็ต้องถูกตัดทิ้งเสียเหมือนแขนง แล้วก็เหี่ยวแห้งไป และถูกเก็บเอาไปเผาไฟ” 

   (If anyone does not abide in me he is thrown away like a branch and withers; and the branches are gathered, thrown into the fire, and burned.) 

15:7 “ถ้าพวกท่านติดสนิทอยู่กับเราและถ้อยคำของเราติดสนิทอยู่กับท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใดที่ท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น”

   (If you abide in me, and my words abide in you, ask whatever you wish, and it will be done for you.)

15:8 “พระบิดาของเราทรงได้รับพระเกียรติเพราะเหตุนี้ คือเมื่อพวกท่านเกิดผลมากและเป็นสาวกของเรา” 

    (By this my Father is glorified, that you bear much fruit and so prove to be my disciples.) 

15:9 “พระบิดาทรงรักเราอย่างไร เราก็รักพวกท่านอย่างนั้น จงติดสนิทอยู่กับความรักของเรา”

     (As the Father has loved me, so have I loved you. Abide in my love.)

15:10 “ถ้าพวกท่านประพฤติตามบัญญัติของเรา ท่านก็จะติดสนิทอยู่กับความรักของเรา เหมือนอย่างที่เราประพฤติตาม​บัญญัติของพระบิดาและติดสนิทอยู่กับความรักของพระองค์”

     (If you keep my commandments, you will abide in my love, just as I have kept my Father’s commandments and abide in his love.)

15:11 “เราบอกสิ่งเหล่านี้กับพวกท่านแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเราอยู่ในท่าน และให้ความยินดีของท่านเต็มเปี่ยม”

      (These things I have spoken to you, that my joy may be in you, and that your joy may be full).

15:12 “บัญญัติของเราคือให้พวกท่านรักกันและกัน เหมือนอย่างที่เรารักท่าน” 

       (“This is my commandment, that you love one another as I have loved you.) 

15:13 “ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการสละชีวิตเพื่อมิตรสหายของตน”

       (Greater love has no one than this, that someone lay down his life for his friends.)

15:14 “ถ้าพวกท่านประพฤติตามที่เราสั่ง ท่านก็จะเป็นมิตรสหายของเรา” 

       (You are my friends if you do what I command you.)

15:15 “เราจะไม่เรียกพวกท่านว่าบ่าวอีก เพราะบ่าวไม่ทราบว่านายทำอะไร แต่เราเรียกท่านว่ามิตรสหาย เพราะว่าทุกสิ่งที่เราได้‍  ยินจากพระบิดา เราสำแดงแก่พวกท่านแล้ว”

     (No longer do I call you servants, for the servant does not know what his master is doing; but I have called you friends, for all that I have heard from my Father I have made known to you.)

15:16 “ท่านไม่ได้เลือกเรา แต่เราเลือกพวกท่านและแต่งตั้งท่านให้ไปเกิดผลและเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่ เพื่อว่าเมื่อพวกท่านทูลขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะประทานสิ่งนั้นแก่ท่าน”

       (You did not choose me, but I chose you and appointed you that you should go and bear fruit and that your    fruit should abide, so that whatever you ask the Father in my name, he may give it to you.)

15:17 “สิ่งที่เราสั่งพวกท่านไว้ก็คือ จงรักกันและกัน”

       (These things I command you, so that you will love one another.)

15:18 “ถ้าโลกนี้เกลียดชังพวกท่าน ก็จงรู้ว่าโลกเกลียดชังเราก่อน” 

        (“If the world hates you, know that it has hated me before it hated you.) 

15:19 “ถ้าพวกท่านเป็นของโลก โลกก็ย่อมจะรักคนที่เป็นของโลกเอง แต่เพราะท่านไม่ได้เป็นของโลก คือเราเลือกท่านออกจาก​  โลก เพราะเหตุนี้ โลกจึงเกลียดชังท่าน” 

       (If you were of the world, the world would love you as its own; but because you are not of the world, but I      chose you out of the world, therefore the world hates you.)

15:20 “จงระลึกถึงคำที่เรากล่าวกับพวกท่านแล้วว่า ‘บ่าวไม่ได้เป็นใหญ่กว่านาย’ ถ้าพวกเขาข่มเหงเรา เขาก็จะข่มเหงพวกท่าน​ ด้วย ถ้าเขาปฏิบัติตามคำของเรา พวกเขาก็จะปฏิบัติตามคำของพวกท่านด้วย” 

      (Remember the word that I said to you: ‘A servant is not greater than his master.’ If they persecuted me, they will also persecute you. If they kept my word, they will also keep yours.)

15:21 “แต่เขาจะทำทุกสิ่งเหล่านี้แก่พวกท่านเพราะนามของเรา เพราะเขาไม่รู้จักผู้ทรงใช้เรามา”

      (But all these things they will do to you on account of my name, because they do not know him who sent me.)

15:22 “ถ้าเราไม่ได้มาสั่งสอนพวกเขา เขาก็คงจะไม่มีบาป แต่เดี๋ยวนี้พวกเขาไม่มีข้อแก้ตัวในเรื่องบาปของเขา” 

       (If I had not come and spoken to them, they would not have been guilty of sin, but now they have no excuse for their sin.)

15:23 “คนที่เกลียดชังเราก็เกลียดชังพระบิดาของเราด้วย” 

        (Whoever hates me hates my Father also.)

15:24 “ถ้าในท่ามกลางพวกเขา เราไม่ได้ทำสิ่งซึ่งไม่มีคนอื่นทำเลย พวกเขาก็จะไม่มีบาป แต่เดี๋ยวนี้เขาเห็นและ เกลียดชังทั้งตัวเราและพระบิดาของเรา” 

        (If I had not done among them the works that no one else did, they would not be guilty of sin, but now they   have seen and hated both me and my Father.)

15:25 “ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้เป็นจริงตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ของเขาที่ว่า ‘เขาเกลียดชังเราโดยไม่มีสาเหตุ’” 

        (But the word that is written in their Law must be fulfilled: ‘They hated me without a cause.’)

15:26 “แต่เมื่อองค์ผู้ช่วยเสด็จมา ซึ่งเป็นผู้ที่เราจะใช้จากพระบิดามาหาพวกท่าน คือพระวิญญาณแห่งความจริงซึ่งมาจาก​พระบิดานั้น พระองค์จะทรงเป็นพยานให้เรา”

        (“But when the Helper comes, whom I will send to you from the Father, the Spirit of truth, who proceeds from the Father, he will bear witness about me.) 

15:27 “และพวกท่านก็จะเป็นพยานด้วย เพราะว่าท่านอยู่กับเราตั้งแต่แรกแล้ว”

        (And you also will bear witness, because you have been with me from the beginning.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

15:1      “เถาองุ่นแท้” (the true vine) – ยน.6:35;สดด.80:8-11;อสย.5:1-7

“เถาองุ่น”  เป็นสัญลักษณ์ของอิสราเอลด้วย –สดด.80:8-16;อสย.5:1-7;ยรม.2:21 –ซึ่งพวกเขามักเป็นเถาองุ่นที่บกพร่อง  แต่ในที่นี้ พระเยซูเป็นเถาองุ่นแท้ที่สมบูรณ์

15:2      “ตัด…ลิด” (takes away… he prunes)

  1. ตัด = การพิพากษา ลิด =  การทำให้ผลิดอกออกผลมาก

ในพระคัมภีร์ใหม่ หมายถึง

  • ออกดอกออกผลของชีวิตในทางพระเจ้า (มธ.3:8;7:16-20)
  • ลักษณะนิสัยที่มีคุณธรรม (ตามผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์) (กท.5:22-23;อฟ.5:9;ฟป.1:11)

15:3      “การชำระให้สะอาด” (Already you are clean)  -ในภาษากรีกคำนี้ = มีความหมายเดียวกับคำว่า “ลิด” ในข้อ 2

            “ถ้อยคำ” (of the word ) = ทุกสิ่งที่พระเยซูตรัส –ยน.13:10

15:4      “จงติดสนิทอยู่กับเรา” (Abide in me) –บางฉบับแปลว่า “จงคงอยู่ในเรา” = ผู้เชื่อจะไม่เกิดผลใด ๆ หากไม่เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ (ด้วยความสัมพันธ์สนิทสนมกับพระองค์) เหมือนแขนงทุกแขนงจะไม่มีชีวิตและไม่เกิดผลใด ๆ หากไม่ติดสนิทกับพระคริสต์

15:5      “เราเป็นเถาองุ่น” (I am the vine) = กล่าวซ้ำใน ข.1 เมื่อเน้นย้ำความสำคัญ

            “ติดสนิทอยู่กับเรา และเราติดสนิทอยู่กับเขา”( Whoever abides in me and I in him) = คงอยู่ในกันและกัน หมายถึง การดำเนินชีวิตที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ ที่เป็นความสัมพันธ์ที่ขาดไม่ได้

15:6      “ถูกตัดทิ้ง…ไปเผาไฟ” ( thrown into the fire, and burned)  = ถูกพิพากษา (ข.2)

            = แขนงเหล่านี้อาจหมายถึง ผู้ที่ไม่ได้เชื่ออย่างแท้จริง (ปท. ยน.6:39;10:27-29)

            -การรอดที่แท้จริงเห็นได้จากชีวิตที่เกิดผล (ฝ่ายวิญญาณ)  -ข.2,4,10;ฮบ.6:9

            สิ่งที่เกี่ยวกับความรอด หรือ สิ่งต่าง ๆ ที่มาพร้อมกับความรอด – ปท.มธ.7:19-23

15:7      “ถ้อยคำของเราติดสนิทอยู่กับท่าน” (my words abide in you) = หากไม่รู้จักพระคริสต์ และไม่เชื่อในคำสอนของพระองค์ จะอธิษฐานอย่างถูกต้องย่อมไม่ได้

            “ท่านจะขอสิ่งใดที่ท่านปรารถนา”  (ask whatever you wish            ) -14:13;1ยน.5:14

15:8      “พระบิดาของเราทรงได้รับพระเกียรติ”  ( my Father is glorified) –บางฉบับแปลว่า “เป็นการถวายเกียรติสิริแด่พระบิดาของเรา”    = พระเจ้าพระบิดาได้รับการถวายพระเกียรติสิริจากงานที่พระเยซูพระบุตรกระทำ (13:31) และจากการเกิดผลของสาวกของพระองค์ด้วย  (มธ.7:20;ลก.6:43-45)

15:9      “พระบิดาทรงรักเราอย่างไร” (the Father has loved me) –ยน.17:23,24,26

15:10    “ประพฤติตามบัญญัติของเรา … เราประพฤติตามบัญญัติของพระบิดา”(If you keep my commandments

            … just as I have kept my Father’s ) = แสดงถึงความเชื่อฟัง และการปฏิบัติตาม – ปท.14:15,21,23

            -ให้เห็นแบบอย่างของพระคริสต์ที่ความสำคัญยิ่ง (31:14)

            “ความรักของเรา … ความรักของพระองค์” (you will abide in my love) –ข.12,14

            = เน้นว่า การเชื่อฟังและความรักต้องไปด้วยกันเสมอ (14:15,21,23;1ยน.2:5;5:2-3)

15:11    “ความยินดี” (my joy) –3:29, เป็นคุณลักษณะเด่นของชีวิตคริสเตียน (16:22,24;17:13)

            = พระเยซูไม่ต้องการให้สาวกของพระองค์ซึมเศร้า แต่ให้มีความชื่นชมยินดีอย่างเต็มเปี่ยม (ฟป.4:4;1ธส.5:16;     1ยน.1:4)

15:13    “การสละชีวิตเพื่อมิตรสหายของตน” (lay down his life for his friends) = ความรักของพระเยซูคริสต์ไม่ได้เป็นเรื่องแค่คำพูด หรือคำสอน แต่พระองค์ทรงแสดงออกมาผ่านการสละพระชนม์ของพระองค์ (อฟ.5:25)

15:15    “บ่าว…มิตรสหาย” (servants… friends) = บ่าวเป็นเพียงแค่ตัวแทนทำในสิ่งที่นายสั่งให้ทำ และมักไม่เข้าใจในจุดประสงค์ของนาย แต่สหายนั้นได้รับการบอกให้รับรู้และเข้าใจ (16:12)

= สาวกได้รับการเปิดเผยจากพระเยซูในเรื่องแผนการของพระบิดา (มากกว่าที่พวกเขาจะซึมซับได้หมด) และภายหลังพระเจ้าจะให้พระวิญญาณช่วยให้เขาเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ที่เปิดเผยนั้น ในเวลาที่เหมาะสม (16:12-13)

15:16    “เราเลือกพวกท่าน…ให้ไปเกิดผล” (I chose you … bear fruit) –โดยปกติคนยิวจะเลือกอาจารย์ที่พวกเขา

อยากจะตาม (ไปเป็นสาวก) แต่สำหรับพระเยซูพระองค์เป็นผู้เลือกสาวกและมีเป้าหมายให้พวกเขาไปเกิดผล  (ข.2)

            “เพื่อว่า เมื่อพวกท่านทูลขอสิ่งใด…” (that whatever you ask the Father ) = ปกติทั่วไป เรามักอธิษฐานอย่างจริงจัง เพื่อที่เราจะเกิดผล แต่พระเยซูกลับสอนว่า พระเยซูจะให้เราเกิดผล จากนั้นพระเจ้าพระบิดาจะฟังคำอธิษฐานของเรา -ยน.13:18;15:5,19:มธ.7:7

15:18-19 “โลก” ( the world) = ในที่นี้ = ระบบของมนุษย์ในโลกที่ต่อต้านพระประสงค์ของพระเจ้า (1:9)

15:21    “แต่เขาจะทำทุกสิ่งเหล่านี้แก่พวกท่าน” (But all these things they will do to you) = พวกเขาจะปฏิบัติต่อพวกท่านเช่นนี้

            = คริสเตียนไม่เป็นของโลก โลกจึงจะข่มเหง เพราะโลกไม่สนใจพระเจ้าพระบิดา และปฏิเสธพระองค์ (ปท.16:3)

15:22    “ไม่มีข้อแก้ตัว” (they have no excuse) = คนยิวได้รับการทรงเรียก และการสำแดงพิเศษจากพระเจ้าในพันธสัญญาเดิมแล้ว และได้รับสิทธิพิเศษอีกที่พระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาอยู่ท่ามกลางพวกเขา พวกเขาจึงมีความผิดและไม่มีข้อแก้ตัวสำหรับการปฏิเสธพระเยซูคริสต์ (เพราะพวกเขาทำบาปอยู่แล้วก่อนพระองค์เสด็จมา)

            = สิทธิพิเศษมาพร้อมกับความรับผิดชอบ

15:25    “ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้เป็นจริงตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์” (the word that is written in their Law must be fulfilled:   )  -สดด.35:19

            -ในบั้นปลายที่สุด พระประสงค์ของพระเจ้าก็จะสำเร็จเสมอ ถึงแม้คนบาปจะต่อต้านเกลียดชังพระองค์ก็ตาม

            “พระคัมภีร์” = หนังสือบทบัญญัติ –10:34;12:34

15:26    “ผู้ที่เราจะใช้จากพระบิดา” (whom I will send to you from the Father)  -บางฉบับแปลว่า “เราจะส่งองค์ที่ปรึกษาจากพระบิดามาหาพวกท่าน” -14:16,26

            = หมายถึง “พระวิญญาณแห่งความจริง”  -14:17 -มาเพื่อเป็นพยานให้พระคริสต์และทำกิจของพระบิดา (1:7)

15:27    “พวกท่านก็จะเป็นพยานด้วย” (you also will bear witness) = เน้นย้ำว่า ผู้เชื่อมีความรับผิดชอบในการเป็นพยานด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณ (กจ.1:8) โดยมีพวกอัครทูต เป็นพยานที่น่าเชื่อถือมากที่สุด เพราะได้รับการเลือกและการอบรมสั่งสอนโดยตรงจากองค์พระเยซูคริสต์ (ลก.24:48;กจ.10:39,4)

คำถามนำอภิปราย

  1. พระเยซูเปรียบพระองค์ พระบิดาและผู้เชื่อกับอะไรบ้าง?  คุณเข้าใจความหมายหรือไม่? อย่างไร?
  2. ชีวิตของคุณในเวลานี้เกิดผลอะไรบ้าง?

…..1) น้อย

…..2) ปานกลาง

…..3) มาก

คุณพอใจหรือไม่? หรือคิดปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างเพื่อเกิดผลมากขึ้น?

  1. การ “ตัดทิ้ง” กับการ “ลิด” แตกต่างกันอย่างไร คุณเคยได้รับ “การลิด” แขนงจากพระเจ้าบ้างไหม? อย่างไร?
  2. คุณเคยเกิดผลมากที่สุดในช่วงใดของชีวิต? อย่างไร? และมีผลต่อเนื่องมาจนปัจจุบันหรือไม่? อย่างไร?
  3. คุณเคยมีความยินดีอย่างเต็มเปี่ยมบ้างหรือไม่? อย่างไร? และทำไม?
  4. คุณรักพี่น้องคนอื่น ๆ ได้อย่างที่พระคริสต์บัญชาหรือไม่? ทำไม? ถ้าคุณรักไม่ได้ คุณจะทำอย่างไรกับปัญหานี้?
  5. คุณเชื่อหรือไม่ว่า คุณไม่ได้เลือกพระเยซูคริสต์ แต่พระองค์ทรงเป็นผู้ที่เลือกคุณ? ทำไม?
  6. คุณกำลังประพฤติตัวอย่างไรบ้าง? และพฤติกรรมนั้นบ่งบอกว่า คุณเป็นพวกของโลก หรือของพระเยซูคริสต์?  และคุณและคนรอบตัวของคุณพอใจหรือไม่?  อย่างไร?
  7. คุณเคยถูกเกลียดชังอย่างไม่มีสาเหตุบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร? แล้วสุดท้ายลงเอยอย่างไร?
  8. คุณเป็นพยานครั้งล่าสุดกับผู้ใด? อย่างไร? แล้วเกิดผลหรือไม่อย่างไร?

 

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระกิตติคุณยอห์น บทเรียนที่ 14

ตรีเอกานุภาพ

พระธรรม        ยอห์น 14:1-31

อ้างอิง             ยน.7:34;15:12,17;1ยน.3:23;2ยน.5

บทนำ            พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ออกมาเป็น 3 พระภาค คือ พระบิดา  พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือที่เรียก

                        กันว่า “ตรีเอกานุภาพ” บางคนใช้ศัพท์แทนว่า “ตรีเอกภาพ”

           เราต้องมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค เชื่อฟังและปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ด้วยความรัก

บทเรียน

14:1“อย่าให้ใจของพวกท่านเป็นทุกข์เลย พวกท่านวางใจในพระเจ้า จงวางใจในเราด้วย” 

        (“Let not your hearts be troubled. Believe in God; believe also in me.)

14:2 “ในพระนิเวศของพระบิดาเรามีที่อยู่มากมาย ถ้าไม่มีเราคงบอกท่านแล้ว เพราะเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับพวกท่าน” 

      (In my Father’s house are many rooms. If it were not so, would I have told you that I go to prepare a place           for you?)

14:3 “เมื่อเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว เราจะกลับมาอีกและรับท่านไปอยู่กับเรา เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนพวกท่านจะได้อยู่ที่​       นั่นด้วย” 

      (And if I go and prepare a place for you, I will come again and will take you to myself, that where I am you   may be also.)

14:4 “และท่านรู้จักทางที่เราจะไปนั้น” 

      (And you know the way to where I am going.)

14:5 “โธมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พวกข้าพระองค์ไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน พวกข้าพระองค์จะรู้จักทาง​นั้นได้อย่างไร?” 

    (“Thomas said to him, “Lord, we do not know where you are going. How can we know the way?”) 

14:6 “พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา” 

    (Jesus said to him, “I am the way, and the truth, and the life. No one comes to the Father except through me

14:7 “ถ้าพวกท่านรู้จักเราแล้ว ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้ไปท่านก็จะรู้จักพระองค์และได้เห็นพระองค์

    (If you had known me, you would have known my Father also. From now on you do know him and have  seen him.”)

14:8 “ฟีลิปทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอสำแดงพระบิดาให้พวกข้าพระองค์เห็น ก็พอใจข้าพระองค์แล้ว” 

     (Philip said to him, “Lord, show us the Father, and it is enough for us.)

14:9 “พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ฟีลิป เราอยู่กับท่านนานถึงขนาดนี้แล้วท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ? คนที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดาท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า ‘ขอสำแดงพระบิดาให้พวกข้าพระองค์เห็น?’”

     (“Jesus said to him, “Have I been with you so long, and you still do not know me, Philip? Whoever has seen  me has seen the Father. How can you say, ‘Show us the Father’?) 

14:10 “ท่านไม่เชื่อหรือว่าเราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา? คำซึ่งเรากล่าวกับพวกท่านนั้น เราไม่ได้กล่าวตามใจ‍ชอบ แต่พระบิดาผู้สถิตอยู่ในเราทรงทำพระราชกิจของพระองค์” 

      (Do you not believe that I am in the Father and the Father is in me? The words that I say to you I do not speak on my own authority, but the Father who dwells in me does his works.) 

14:11 “จงเชื่อเราว่าเราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา หรือมิฉะนั้นก็จงเชื่อเพราะกิจการเหล่านั้น”

      (Believe me that I am in the Father and the Father is in me, or else believe on account of the works themselves.)

14:12 “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า คนที่วางใจในเราจะทำกิจการที่เราทำนั้นด้วย และเขาจะทำกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก เพราะว่าเราจะไปหาพระบิดาของเรา”

       (“Truly, truly, I say to you, whoever believes in me will also do the works that I do; and greater works than these will he do, because I am going to the Father. )

14:13 “สิ่งใดที่พวกท่านขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น เพื่อว่าพระบิดาจะทรงได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ทางพระบุตร” 

        (Whatever you ask in my name, this I will do, that the Father may be glorified in the Son.)

14:14 “สิ่งใดที่พวกท่านขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น”

         (If you ask me anything in my name, I will do it.)

14:15 “ถ้าพวกท่านรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา”

         (“If you love me, you will keep my commandments. )

14:16 “เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้กับพวกท่าน เพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป” 

         (And I will ask the Father, and he will give you another Helper, to be with you forever,)

14:17 “คือพระวิญญาณแห่งความจริงซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะมองไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ พวกท่านรู้จักพระองค์เพราะ​พระองค์สถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ท่ามกลางท่าน”

        (even the Spirit of truth, whom the world cannot receive, because it neither sees him nor knows him. You know him, for he dwells with you and will be in you.)

14:18 “เราจะไม่ละทิ้งพวกท่านไว้ให้เป็นลูกกำพร้า เราจะมาหาท่าน” 

          (“I will not leave you as orphans; I will come to you. )

14:19 “อีกหน่อยหนึ่งโลกก็จะไม่เห็นเรา แต่พวกท่านจะเห็นเรา เพราะเรามีชีวิตอยู่ พวกท่านก็จะมีชีวิตอยู่ด้วย” 

           (Yet a little while and the world will see me no more, but you will see me. Because I live, you also will live. )

14:20 “ในวันนั้นท่านจะรู้ว่าเราอยู่ในพระบิดา และพวกท่านอยู่ในเราและเราอยู่ในท่าน”

         (In that day you will know that I am in my Father, and you in me, and I in you.)

14:21 “ใครที่มีบัญญัติของเราและประพฤติตามบัญญัติเหล่านั้น คนนั้นเป็นคนที่รักเรา และคนที่รักเรานั้นพระบิดาของเราจะ​ทรงรักเขา และเราจะรักเขาและจะสำแดงตัวให้ปรากฏแก่เขา” 

        (Whoever has my commandments and keeps them, he it is who loves me. And he who loves me will be loved by my Father, and I will love him and manifest myself to him.”) 

14:22 “ยูดาส (ไม่ใช่อิสคาริโอท) ทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทำไมพระองค์ถึงสำแดงพระองค์แก่พวกข้าพระองค์ แต่ไม่สำแดงแก่โลก?”

       (Judas (not Iscariot) said to him, “Lord, how is it that you will manifest yourself to us, and not to the world?” )

 14:23 “พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ถ้าใครรักเรา คนนั้นจะประพฤติตามคำของเรา และพระบิดาจะทรงรักเขา แล้วเรา​ทั้งสองจะมาหาเขาและจะอยู่กับเขา” 

        (Jesus answered him, “If anyone loves me, he will keep my word, and my Father will love him, and we will  come to him and make our home with him.)

14:24 “คนที่ไม่รักเราก็ไม่ประพฤติตามคำของเรา และคำที่พวกท่านได้ยินนี้ไม่ใช่คำของเรา แต่เป็นของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา”

       (Whoever does not love me does not keep my words. And the word that you hear is not mine but the Father’s who sent me.)

14:25 “เรากล่าวคำเหล่านี้กับพวกท่านขณะที่เรายังอยู่กับท่าน” 

         (“These things I have spoken to you while I am still with you. )

14:26 “แต่องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้นจะทรงสอนพวกท่านทุกสิ่งและจะทำให้ระลึกถึงทุกสิ่งที่เรากล่าวกับท่านแล้ว” 

        (But the Helper, the Holy Spirit, whom the Father will send in my name, he will teach you all things and bring to your remembrance all that I have said to you.) 

14:27 “เรามอบสันติสุขไว้กับพวกท่าน สันติสุขของเราที่ให้กับท่านนั้น เราไม่ได้ให้อย่างที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านเป็นทุกข์ อย่ากลัวเลย” 

        (Peace I leave with you; my peace I give to you. Not as the world gives do I give to you. Let not your hearts be troubled, neither let them be afraid.)

14:28 “พวกท่านได้ยินเรากล่าวกับท่านว่า ‘เราจะจากไปและจะกลับมาหาท่าน’ ถ้าพวกท่านรักเรา ท่านก็จะชื่นชมยินดีที่เราไป​หาพระบิดา เพราะพระบิดาทรงยิ่งใหญ่กว่าเรา”

     (You heard me say to you, ‘I am going away, and I will come to you.’ If you loved me, you would have rejoiced, because I am going to the Father, for the Father is greater than I.) 

14:29 “และเราก็บอกพวกท่านแล้วตอนนี้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น เพื่อว่าเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วท่านจะได้เชื่อ” 

       (And now I have told you before it takes place, so that when it does take place you may believe.) 

14:30 “เราจะไม่สนทนากับพวกท่านนานอย่างนี้อีก เพราะว่าผู้ครองโลกกำลังจะมา ผู้นั้นไม่มีสิทธิอำนาจอะไรเหนือเรา” 

        (I will no longer talk much with you, for the ruler of this world is coming. He has no claim on me, )

14:31 “แต่เราทำตามที่พระบิดาทรงบัญชาเรา เพื่อโลกจะได้รู้ว่าเรารักพระบิดา ลุกขึ้น ให้เราไปกันเถิด”

        (but I do as the Father has commanded me, so that the world may know that I love the Father. Rise, let u go from here.)

 ข้อมูลมีประโยชน์

14:1      “อย่าให้ใจของพวกท่านเป็นทุกข์เลย” (Let not your hearts be troubled) = พวกสาวกเพิ่งได้ฟังคำตรัสของพระเยซูคริสต์ที่ทำให้พวกเขาทุกข์ใจ (13:33,31)

“ท่านวางใจในพระเจ้า จงวางใจในเราด้วย”  (Believe in God; believe also in me) = พระเยซูกำลังประทานโอสถแก้ไข้ใจ (ปท. สดด.56:3-4;อสย.26:3-4)

14:3      “เราจะกลับมาอีก” ( I will come again ) = พระเยซูทรงเสด็จมา และจะกลับมาอีกในหลายวิถีทาง แต่หนึ่งในนั้นที่โดดเด่นคือ การเสด็จกลับมาครั้งที่ 2 (ปท. วว.22:7,12,20)

14:4      “ทางที่เราจะไปนั้น” (the way to where I am going) –14:6

14:5      “โธมัส” (Thomas ) = เป็นคนตรงไปตรงมา ไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ สงสัยก็ถาม  -11:16

14:6      “เราเป็น” (I am) –6:35

               “ทางนั้น” (the way) = ทางไปถึงพระเจ้า ซึ่งเป็นทางเดียว (ไม่ใช่เป็นทางหนึ่งในหลาย ๆ ทาง) (กจ.4:12;ฮบ.10:19-20)

-ในยุคต้น ๆ ของคริสตจักร คริสต์ศาสนาถูกเรียกว่า “ทางนั้น” (กจ.9:2)

“ความจริง” (the truth ) = คำสำคัญในพระกิตติคุณยอห์น (1:14)

“ชีวิต” (  the life) -1:4

ในข้อนี้ หมายความว่า “พระเยซูเป็นทางไปถึงพระเจ้าพระบิดา เนื่องจากพระองค์เป็นความจริงและเป็นชีวิต”

14:7      “ถ้ารู้จักเราแล้ว ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย” (If you had known me, you would have known my Father also) = พระเยซูย้ำอีกครั้งถึงความสัมพันธ์ที่สนิทสนมระหว่างพระองค์กับพระเจ้าพระบิดา

= พระเยซูเป็นผู้ทรงสำแดงพระเจ้าอย่างชัดแจ้งบริบูรณ์ (1:18) ดังนั้น พวกสาวกจึงมีความรู้เรื่องพระเจ้าพระบิดาอย่างถูกต้อง

14:10    “เราไม่ได้กล่าวตามใจชอบ” ( I do not speak on my own authority) = “ไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำของเราเอง”

                        = คำสอนของพระเยซูไม่ได้มาจากมนุษย์ แต่มาจากพระเจ้า

14:11    “เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา” ( I am in the Father and the Father is in me) = เราต้องเชื่อในสาระแห่งความจริงที่ว่า พระเยซูเป็นผู้ที่อยู่กับพระบิดา และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์ (17:21-22)

14:12    “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า” (Truly, truly, I say to you) –มก.3:28

              “เขาจะทำกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก” (greater works than these will he do) = การอัศจรรย์ (ข.11)  ที่จะเกิดขึ้นโดยกำลังของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระเยซูคริสต์ส่งมาจากพระบิดา เมื่อพระองค์เสด็จกลับไปหาพระเจ้า     พระบิดานั้นจะยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าสมัยที่พระองค์กระทำในฐานะที่อยู่ในกายมนุษย์  (ข.16-17,15:26)

14:13    “ในนามของเรา” (in my name ) = ไม่ใช่แค่การกล่าวคำอธิษฐานในนามของพระเยซู แต่เป็นการอธิษฐานที่สอดคล้องกับสิ่งที่พระเยซู(เจ้าของนามนั้น) เป็น (2:23)

= การอธิษฐานที่มีเป้าหมาย ที่จะสืบสานพระราชกิจของพระเยซูต่อไป และเป็นคำอธิษฐานที่พระเยซูคริสต์จะเป็นผู้ทรงตอบด้วยพระองค์เอง (ข.14)

14:15    “รัก…ประพฤติตาม” (love me, you will keep) = ความรักก็เช่นเดียวกับความเชื่อ (ยก.2:14-26)   ไม่สามารถแยกออกจากการเชื่อฟังได้

14:16    “พระบิดา …จะประทาน” (the Father… will give) = สาระสำคัญเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระบิดาจะประทานมา  (ข.26;15:26;16:7-15)

“ผู้ช่วยอีกผู้หนึ่ง” (another Helper )  = พระวิญญาณจะมาอยู่เคียงข้างคนของพระคริสต์ โดยทำหน้าที่เป็น “ผู้ช่วยเหลือ” , “ที่ปรึกษา” หรือ “ทนาย” (ที่ปรึกษาเพื่อสู้คดี)          -1ยน.2:1

14:17    “พระวิญญาณแห่งความจริง” (the Spirit of truth) = ผู้ทรงสัตย์จริงทั้งในพระลักษณะและในการกระทำเป็นผู้นำมนุษย์ไปสู่ความจริงของพระเจ้า

              -ทั้ง 3 พระภาคของตรีเอกานุภาพล้วนสัมพันธ์กับความจริง –พระบิดา (4:24;สดด.31:5;อสย.65:16) -พระบุตร (ข.6)

“โลก” (the world) –ไม่สังเกตเรื่องพระวิญญาณของพระเจ้า (1:9;1คร.2:14) แต่พระวิญญาณอยู่ “กับ” และอยู่ “ใน” สาวกของพระเยซูคริสต์

-พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาในวันเพนเทคอสคต์ (กจ.1:2;2:4,17,38; ปท.รม.8:9)

14:18    “เราจะมาหาท่าน” (I will come to you) =การปรากฏของพระเยซูหลังจากเป็นขึ้นมาจากตายและการเสด็จ กลับมาครั้งที่ 2 ด้วย (ข.3:19,28;16:22)

14:19    “โลกก็จะไม่เห็นเรา แต่พวกท่านจะเห็นเรา” (the world will see me no more, but you will see me) –

-หลังจากนี้ โลกจะไม่เห็นพระเยซู แต่พวกสาวกจะได้เห็นพระองค์

“เพราะเรามีชีวิตอยู่ พวกท่านก็จะมีชีวิตอยู่ด้วย” (Because I live, you also will live) = ชีวิตของคริสเตียนขึ้นอยู่ กับชีวิตของพระเยซูคริสต์ (1:4;3:15;10:10;ฟป.1:21)

14:20    “ในวันนั้นท่านจะรู้ว่า….” (In that day you will know…) = การเป็นขึ้นจากตายจะเปลี่ยนแปลงความคิดและความเข้าใจของพวกเรา

14:21    “ประพฤติตาม…คนนั้นเป็นคนที่รักเรา” (keeps them… who loves me) = การรักพระคริสต์ และการ เชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์เป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้ (ข.15)

“พระบิดาของเราจะทรงรักเขา และเราจะรักเขา” (my Father, and I will love him) = ความรักของพระเจ้าพระบิดา ไม่อาจแยกจากความรักของพระบุตร

14:22    “ทำไมพระองค์ถึงสำแดงพระองค์แก่พวกข้าพระองค์ แต่ไม่สำแดงแก่โลก” (how is it that you will  manifest yourself to us, and not to the world?) = พวกสาวกนำโดย ยูดาส (ที่ไม่ใช่ยูดาส อิสคาริโอท)  ไม่เข้าใจว่า ถ้า พระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ ทำไมจึงไม่สำแดงพระองค์เองแก่โลกให้รู้จัก

14:23    “รักเรา… จะประพฤติตามคำของเรา และพระบิดาจะทรงรักเขา” (loves me, … will keep my word, and my Father will love him) = ยืนยันอีกครั้งว่า ความรักกับความเชื่อฟัง แยกจากกันไม่ได้ (ข.15,21;15:10)

14:24    “ไม่รักเรา ก็ไม่ประพฤติตามคำของเรา” (not love me does not keep my words) = พระเยซูย้ำอีกครั้งถึงความสัมพันธ์ที่แยกไม่ออก ระหว่าง ความรักกับการประพฤติตามถ้อยคำของพระเยซูคริสต์กับถ้อยคำของ       พระบิดา ดังที่ตรัสว่า ”คำที่พวกท่านได้ยิน…เป็นของพระบิดา”

14:26    “องค์ผู้ช่วย คือพระวิญญาณบริสุทธิ์” (the Helper, the Holy Spirit) -14:16;1:33

“ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้เรา” (the Father will send) = ทั้งพระบิดาและพระบุตรล้วนมีส่วนในการส่งพระวิญญาณ มา (15:26)

“ในนามของเรา” (in my name)  -ข.13;2:23

“จะทำให้ระลึกถึงทุกสิ่งที่เรากล่าวกับท่านแล้ว” (remembrance all that I have said to you.) = ระลึกถึงสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งต่อคริสตจักร และต่อพันธสัญญาใหม่

14:27    “เรามอบสันติสุขไว้กับพวกท่าน” (Peace I leave with you) = คำทักทายทั่วไปของชาวฮีบรู (20:19,21,26) และพระเยซูใช้ในความหมายว่า เป็นผลแห่งความรอด เมื่อการไถ่บาปของพระคริสต์ต่อโลก และต่อสาวกสำเร็จเสร็จสิ้นลง สัมพันธภาพที่สนิทสนมกับพระเจ้าจะก่อเกิดเป็นสวัสดิภาพ และการพักสงบฝ่ายจิตวิญญาณ

            สันติสุขจึงเป็นของขวัญจากพระเจ้า ซึ่งพระเยซูกล่าวซ้ำให้มั่นใจว่า เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง (16:33)

14:28    “พวกท่านได้ยินเรากล่าวกับท่านว่า” ( You heard me say to you) –ข.3

            “เพราะพระบิดาทรงยิ่งใหญ่กว่าเรา” (the Father is greater than I) = พระเยซูคริสต์ตรัสด้วยความถ่อมพระทัยว่า พระองค์จำเป็นต้องลงมาบังเกิดรับสภาพเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อย อย่างไรก็ตาม พระบิดา และพระบุตรนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน (10:30)

14:30    “ผู้ครองโลก” (the ruler of this world) -12:31

            “ผู้นั้นไม่มีสิทธิอำนาจอะไรเหนือเรา” (He has no claim on me) = ไม่มีอำนาจยับยั้งขัดขวางเราได้ ซาตานควบคุมคนที่ทำบาปหรือล้มอยู่ในความบาปอยู่ แต่พระคริสต์ปราศจากบาป มารจึงควบคุมพระองค์ไม่ได้

14:31    “แต่เราทำตามที่พระบิดาทรงบัญชาเรา” (but I do as the Father has commanded me) = พระเยซูกระทำในสิ่งที่พระเจ้าพระบิดาบัญชาอย่างเคร่งครัดด้วยการเชื่อฟัง รวมทั้ง พวกสาวกต้องเชื่อฟังเช่นกัน ตามแบบอย่างที่พระองค์วางไว้ให้ (15,21,23) จนกว่าจะกระทำพันธกิจของพระองค์สำเร็จ (บท 18-19)

คำถามนำอภิปราย

  1. เวลานี้คุณกำลังทุกข์ กังวล หรือกลัวในเรื่องใดอยู่? ทำไม? การที่พระเยซูสัญญาว่าจะจัดเตรียมทุกอย่างที่จำเป็นให้แก่คุณ ช่วยคุณในการดำเนินชีวิตหรือในการรับใช้อย่างไรบ้างหรือไม่?
  2. การที่คุณรู้ว่าพระเยซูคริสต์ เตรียมที่ไว้สำหรับคุณ เพื่อให้อยู่กับพระองค์ตลอดไปนิรันดร์ ส่งผลอะไรต่อชีวิตของคุณบ้าง?
  3. คุณเชื่อจริง ๆ หรือไม่ว่า พระเยซูเป็นทางนั้น (ทางเดียว) ที่ไปสู่พระเจ้า เป็นความจริง(ที่นำไปสู่ความรอด) และเป็นผู้มอบชีวิตนิรันดร์ให้แก่คุณ? ทำไม? และนั่นมีความหมายอะไรต่อคุณบ้าง?
  4. วันนี้ คุณรู้จักพระเยซูคริสต์ดีพอแล้วหรือไม่? ทำไม? คุณต้องการปรับปรุงหรือพัฒนาความสัมพันธ์กับพระองค์หรือไม่? ในเรื่องอะไร? และอย่างไร?
  5. อะไรทำให้คุณมีความเชื่อในพระเยซูลดน้อยถอยลง หรือมีอะไรที่ทำให้คุณเชื่อพระเยซูเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม? อย่างไร? ทำไม?
  6. คุณเชื่อหรือไม่ว่า คุณสามารถที่จะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าที่พระเยซูเคยกระทำเสียอีก? ทำไม? แล้วส่งผลอะไรต่อการรับใช้ของคุณบ้าง?
  7. คุณเคยขออะไรจากพระเจ้าในนามของพระเยซูคริสต์แล้วได้รับบ้างหรือไม่? มีสิ่งใดที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของคุณมากที่สุด? อย่างไร?
  8. คุณเคยมีประสบการณ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างไรบ้าง? ที่ทำให้ชีวิตของคุณเปลี่ยนแปลงไป? (แบ่งปัน)
  9. คุณแสดงความเชื่อของคุณต่อพระเจ้าออกมาอย่างไรบ้าง? คุณมั่นใจว่า คุณรักพระคริสต์หรือไม่? ทำไมจึงรู้สึกเช่นนั้น?
  10. คุณเคยขอความช่วยเหลือ หรือขอคำปรึกษาจากพระเจ้าแล้วพระองค์ทรงให้พระวิญญาณสอนคุณให้เข้าใจและมีสันติสุขครองใจบ้างหรือไม่? อย่างไร?

 

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระกิตติคุณยอห์น บทเรียนที่ 13

ล้างเท้า และล้างใจด้วยใจรัก

พระธรรม        ยอห์น 13:1-38

อ้างอิง             ยน.11:28,55;16:4-5;27-28,30;17:6;18:27;19:26;20:2;4:26;6:70;7:39;8:24,42;15:16,19-20;14:27,29;12:5-6,27,23;21:7,18-20

บทนำ             ผู้เขียนพระธรรมยอห์น ได้บันทึกเรื่องราวในห้องชั้นบนไว้ยาวที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำสอนขององค์พระเยซูคริสต์ (13:1-17;26) และหัวข้อที่พระองค์ให้ความสำคัญมากคือ “ความรัก” ซึ่งปรากฏ 6 ครั้งใน บทที่ 1-12 และปรากฏ 31 ครั้ง ในบทที่ 13-17

บทเรียน      

13:1 “ก่อนถึงงานเทศกาลปัสกา พระเยซูทรงทราบว่าถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงจากโลกนี้ไปหาพระบิดา พระองค์ทรงรักบรรดาคนของ​พระองค์ที่อยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักเขาทั้งหลายจนถึงที่สุด” 

      (Now before the Feast of the Passover, when Jesus knew that his hour had come to depart out of this world to the Father, having loved his own who were in the world, he loved them to the end.) 

13:2 “ขณะเมื่อรับประทานอาหารเย็นอยู่นั้น (มารได้ดลใจยูดาสบุตรของซีโมนอิสคาริโอทให้ทรยศพระองค์แล้ว)” 

      (During supper, when the devil had already put it into the heart of Judas Iscariot, Simon’s son, to betray him)

13:3 “พระเยซูทรงทราบว่าพระบิดาประทานทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์และทรงทราบว่าพระองค์มาจากพระเจ้าและจะไปหา​พระเจ้า” 

       (Jesus, knowing that the Father had given all things into his hands, and that he had come from God and was going back to God,)

13:4 “พระองค์ทรงลุกจากการเสวยอาหาร ทรงถอดฉลองพระองค์ออกวางไว้ และทรงเอาผ้าเช็ดตัวคาดเอวของพระองค์” 

       (rose from supper. He laid aside his outer garments, and taking a towel, tied it around his waist. )

13:5 “แล้วทรงเทน้ำลงในอ่างและทรงเอาน้ำล้างเท้าของพวกสาวก และทรงเช็ดด้วยผ้าที่ทรงคาดเอวไว้นั้น”

       (Then he poured water into a basin and began to wash the disciples’ feet and to wipe them with the towel that was  wrapped around him.)

13:6 “เมื่อพระองค์ทรงมาถึงซีโมนเปโตร เขาทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพระองค์หรือ?”

       (He came to Simon Peter, who said to him, “Lord, do you wash my feet?”) 

13:7 “พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “สิ่งที่เราทำในขณะนี้ท่านยังไม่รู้เรื่อง แต่ภายหลังท่านจะเข้าใจ” 

       (Jesus answered him, “What I am doing you do not understand now, but afterward you will understand.” )

13:8 “เปโตรทูลพระองค์ว่า “พระองค์จะทรงล้างเท้าของข้าพระองค์ไม่ได้เด็ดขาด” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ถ้าเรา ไม่ล้างท่านแล้วท่านจะมี​ส่วนในเราไม่ได้” 

        (Peter said to him, “You shall never wash my feet.” Jesus answered him, “If I do not wash you, you have  no share with me.” )

13:9 “ซีโมนเปโตรทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่เพียงแต่เท้าของข้าพระองค์เท่านั้น แต่ขอโปรดล้างทั้งมือและศีรษะด้วย” 

         (Simon Peter said to him, “Lord, not my feet only but also my hands and my head!”)

13:10 “พระเยซูตรัสกับเขาว่า “คนที่อาบน้ำแล้วไม่จำเป็นต้องชำระกายอีก ล้างแต่เท้าเท่านั้น เพราะสะอาดหมดทั้งตัวแล้ว พวกท่านก็​สะอาดแล้วแต่ไม่ใช่ทุกคน” 

        (Jesus said to him, “The one who has bathed does not need to wash, except for his feet, but is completely clean.  And you are clean, but not every one of you.” )

13:11 “เพราะพระองค์ทรงทราบว่าใครจะทรยศพระองค์ เพราะเหตุนี้พระองค์จึงตรัสว่า “ไม่ใช่ทุกคนในพวกท่านสะอาด

        (For he knew who was to betray him; that was why he said, “Not all of you are clean.”)

13:12 “เมื่อพระองค์ทรงล้างเท้าของพวกเขาแล้ว พระองค์ก็ทรงฉลองพระองค์แล้วประทับลงตรัสกับเขาว่า “พวกท่านเข้าใจสิ่งที่เราทำกับ​ท่านหรือไม่?” 

        (When he had washed their feet and put on his outer garments and resumed his place, he said to them, “Do you understand what I have done to you? )

13:13 “พวกท่านเรียกเราว่าพระอาจารย์และองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านเรียกถูกแล้ว เพราะเราเป็นอย่างนั้น” 

         (You call me Teacher and Lord, and you are right, for so I am.)

13:14 “เพราะฉะนั้นถ้าเราผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระอาจารย์ยังล้างเท้าของพวกท่าน ท่านก็ควรจะล้างเท้าของกันและกันด้วย” 

          (If I then, your Lord and Teacher, have washed your feet, you also ought to wash one another’s feet. )

13:15 “เพราะว่าเราวางแบบอย่างแก่พวกท่านแล้ว เพื่อให้ท่านทำเหมือนอย่างที่เราทำกับท่านด้วย” 

            (For I have given you an example, that you also should do just as I have done to you. )

13:16 “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า บ่าวจะเป็นใหญ่กว่านายไม่ได้ และทูตจะเป็นใหญ่กว่าคนที่ใช้เขาไปก็ไม่ได้”

          (Truly, truly, I say to you, a servant is not greater than his master, nor is a messenger greater than the one who sent him.) 

13:17 “เมื่อพวกท่านรู้อย่างนี้แล้วและประพฤติตาม ท่านก็เป็นสุข”

          (If you know these things, blessed are you if you do them.)

13:18 “เราไม่ได้พูดถึงพวกท่านทุกคน เรารู้จักคนที่เราเลือกไว้แล้ว แต่จะต้องเป็นจริงตามข้อพระคัมภีร์ที่ว่า‘คนที่รับประทานอาหารของเรา​ยกส้นเท้าใส่เรา’” 

          (I am not speaking of all of you; I know whom I have chosen. But the Scripture will be fulfilled, ‘He who ate my bread  has lifted his heel against me.’)

13:19 “เราบอกพวกท่านตอนนี้ก่อนที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้น เพื่อว่าเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วท่านจะได้เชื่อว่าเราเป็นผู้นั้น” 

          (I am telling you this now, before it takes place, that when it does take place you may believe that I am he.) 

13:20 “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ใครรับคนที่เราใช้ไป คนนั้นก็รับเราด้วย และใครรับเรา คนนั้นก็รับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา

          (Truly, truly, I say to you, whoever receives the one I send receives me, and whoever receives me receives the one who sent me.”)

13:21 “เมื่อพระเยซูตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงเป็นทุกข์ในพระทัย และตรัสเป็นพยานว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า คนหนึ่งในพวกท่านจะทรยศเรา” 

           (After saying these things, Jesus was troubled in his spirit, and testified, “Truly, truly, I say to you, one of you will betray me.” )

13:22 “พวกสาวกจึงมองหน้ากันและสงสัยว่าคนที่พระองค์ตรัสถึงนั้นคือใคร” 

          (The disciples looked at one another, uncertain of whom he spoke. )

13:23 “สาวกที่พระเยซูทรงรักเอนกายอยู่ใกล้พระองค์” 

          (One of his disciples, whom Jesus loved, was reclining at table at Jesus’ side,)

13:24 “ซีโมนเปโตรจึงพยักหน้าให้เขาทูลถามพระองค์ว่า คนที่พระองค์ตรัสถึงนั้นคือใคร”

          (so Simon Peter motioned to him to ask Jesus of whom he was speaking. )

13:25 “ขณะที่ยังเอนกายอยู่ใกล้พระเยซู สาวกคนนั้นก็ทูลถามพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า คนนั้นเป็นใคร?” 

          (So that disciple, leaning back against Jesus, said to him, “Lord, who is it?” )

13:26 “พระองค์ตรัสตอบว่า “เป็นคนที่เราจะเอาขนมปังนี้จิ้มส่งให้” เมื่อพระองค์ทรงเอาขนมปังนั้นจิ้มแล้วก็ทรงยื่นให้กับยูดาสบุตรของ​ซีโมนอิสคาริโอท” 

          (Jesus answered, “It is he to whom I will give this morsel of bread when I have dipped it.” So when he had dipped the morsel, he gave it to Judas, the son of Simon Iscariot.) 

13:27 “เมื่อยูดาสกินขนมปังนั้นแล้ว ซาตานก็เข้าไปสิงในตัวเขา พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ท่านจะทำอะไรก็จงทำเร็วๆ” 

           (Then after he had taken the morsel, Satan entered into him. Jesus said to him, “What you are going to do, do quickly.” )

13:28 “ไม่มีใครในบรรดาคนที่เอนกายร่วมโต๊ะอาหารที่รู้ว่าทำไมพระองค์ถึงตรัสกับเขาอย่างนั้น” 

           (Now no one at the table knew why he said this to him. )

13:29 “บางคนคิดว่าเพราะยูดาสถือกระเป๋าเก็บเงิน พระองค์จึงตรัสบอกเขาว่า “จงไปซื้อสิ่งที่เราต้องการสำหรับงานเทศกาลนี้” หรือตรัสบอกเขาว่า เขาควรจะให้อะไรแก่คนจน” 

           (Some thought that, because Judas had the moneybag, Jesus was telling him, “Buy what we need for the feast,” or that he should give something to the poor. )

13:30 เพราะฉะนั้นหลังจากยูดาสรับขนมปังชิ้นนั้นแล้วเขาก็ออกไปทันที ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน”

          (So, after receiving the morsel of bread, he immediately went out. And it was night.)

13:31 “เมื่อเขาออกไปแล้ว พระเยซูจึงตรัสว่า “เดี๋ยวนี้บุตรมนุษย์ได้รับเกียรติแล้ว และพระเจ้าทรงได้รับพระเกียรติเพราะบุตรมนุษย์” 

            (When he had gone out, Jesus said, “Now is the Son of Man glorified, and God is glorified in him.)

13:32 “ถ้าพระเจ้าทรงได้รับพระเกียรติเพราะบุตรมนุษย์ พระเจ้าก็จะทรงให้บุตรมนุษย์มีเกียรติในตัวเองและจะทรงให้มีเกียรติเดี๋ยวนี้” 

          (If God is glorified in him, God will also glorify him in himself, and glorify him at once.)

13:33 “ลูกทั้งหลายเอ๋ย เราจะอยู่กับพวกท่านอีกหน่อยเดียวเท่านั้น ท่านจะเสาะหาเรา และอย่างที่เราพูดกับพวกยิวและตอนนี้เราก็พูดกับ​ท่านด้วย คือ ‘ที่ที่เรากำลังจะไปนั้น พวกท่านไปไม่ได้’”

          (Little children, yet a little while I am with you. You will seek me, and just as I said to the Jews, so now I also say to you, ‘Where I am going you cannot come.’) 

13:34 “เราให้บัญญัติใหม่ไว้กับพวกท่าน คือให้รักซึ่งกันและกัน เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น” 

          (A new commandment I give to you, that you love one another: just as I have loved you, you also are to love one another.)

13:35 “ถ้าท่านรักกันและกัน ดังนี้แหละทุกคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา

          (By this all people will know that you are my disciples, if you have love for one another.”)

13:36 “ซีโมนเปโตรทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะเสด็จไปที่ไหน?” พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ที่ที่เราจะไปนั้น ท่านจะตามเรา​ไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้ แต่ท่านจะตามไปภายหลัง

          (Simon Peter said to him, “Lord, where are you going?” Jesus answered him, “Where I am going you cannot  follow me now, but you will follow afterward.”)

13:37 “เปโตรทูลพระองค์ว่า“องค์พระผู้เป็นเจ้าทำไมข้าพระองค์ถึงตามพระองค์ไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้?ข้าพระองค์จะสละชีวิตเพื่อพระองค์” 

          (Peter said to him, “Lord, why can I not follow you now? I will lay down my life for you.” )

13:38 “พระเยซูตรัสตอบว่า“ท่านจะสละชีวิตของท่านเพื่อเราหรือ? เราบอกความจริงกับท่านว่า ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง

          (Jesus answered, “Will you lay down your life for me? Truly, truly, I say to you, the rooster will not crow till you have denied me three times.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

 13:1      “เทศกาลปัสกา” ( the Feast of the Passover) -2:13;5:1

 13:2      “อาหารเย็น” (During supper) อาจหมายถึง

  1. มื้ออาหารแห่งสัมพันธภาพที่รับประทานกันในช่วงก่อนพิธีปัสกา
  2. มื้อปัสกาเอง

“มาร” (devil) –ข.27

“ยูดาส บุตรของซีโมน อิสคาริโอท” (Judas Iscariot, Simon’s son) -6:71

13:3      “พระบิดาประทานทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” (the Father had given all things into his hand) 

-ผู้เขียนเน้นอีกครั้งว่า แผนการของพระเจ้าจะสำเร็จ โดยพระเยซูคริสต์เป็นผู้ควบคุมสถานการณ์

            “จะไปหาพระบิดา” (going back to God) -20:17

13:5      “ทรงเอาน้ำล้างเท้าของพวกสาวก” ( wash the disciples’ feet) = งานต่ำต้อยของคนรับใช้ (1:27) แต่ในตอนนี้ไม่มีคนรับใช้ ไม่มีใครอาสาสมัคร พระเยซูกระทำเช่นนี้ ในระหว่างมื้ออาหาร โดยเจตนาเป็นการสอนบทเรียนแห่งความถ่อมใจและเป็นหลักการของการรับใช้ (ลูกาให้ข้อมูลว่า พระเยซูทรงเตือนสติสาวกที่หมกมุ่นกับเรื่องว่าใครจะเป็นใหญ่ในพวกเขา พระเยซูจึงสอนว่า พระองค์อยู่ท่ามกลางพวกเขาดุจคนรับใช้ -ลก.22:27)

            และชีวิตแห่งการรับใช้ของพระเยซูคริสต์บรรลุขั้นสูงสุดบนไม้กางเขน (ฟป.2:5-8)

13:8      “ไม่ได้เด็ดขาด” ( never wash my feet) = นิสัยของเปโตรชอบคัดค้าน ดูเหมือนเขามีนิสัยที่ผสมปนเประหว่างความถ่อมใจ (ไม่อยากให้พระเยซูรับใช้อย่างต่ำต้อย)และความหยิ่งผยอง เช่น พยายามสั่งพระเยซู (มธ.16:21-23)

            “ถ้าเราไม่ล้างท่านแล้ว…” (If I do not wash you, you… ) = พระเยซูไม่ได้ตอบสนองต่อเหตุการณ์เท่านั้น แต่เตือนให้เป็นสัญลักษณ์ว่า เปโตรต้องรับการชำระจิตวิญญาณ เพราะการชำระกายภายนอกเป็นภาพของการชำระจากบาป

13:9      “ไม่เพียงแต่เท้าของข้าพระองค์เท่านั้น” (not my feet only)

            “ขอโปรดล้างทั้งมือและศีรษะด้วย” (but also my hands and my head) = การตอบสนองจากใจของเปโตร แต่ยังคงเหมือนสั่งพระเยซูเช่นเคย

13:10    “ล้างแต่เท้าเท่านั้น” (except for his feet) –บางฉบับแปลว่า “ล้างแต่เท้าก็พอ” = คนที่ไปร่วมงานจะอาบน้ำไปก่อนแล้ว เมื่อมาถึงงานเลี้ยงก็เพียงแค่ล้างแต่เท้าเท่านั้น เพื่อทำให้สะอาดทั้งตัว

13:11    “พระองค์ทรงทราบ” (he knew) = ยอห์นเน้นอีกครั้งว่า พระเยซูทรงเป็นผู้ทราบทุกสิ่งและทรงควบคุมสถานการณ์อยู่

13:13    “พระอาจารย์…องค์พระผู้เป็นเจ้า” (Teacher … Lord) = ปกติผู้เรียน เรียกผู้สอนว่า “อาจารย์” แต่คำว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า” เป็นคำเรียกผู้มีตำแหน่งสูงส่ง –พระเยซูคริสต์ทรงรับการเรียกด้วยทั้ง 2 คำนั้น

13:14-15 –เรื่องการล้างเท้านั้นมีความคิดแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคิดว่าพระเยซูตั้งพระทัยสถาปนาพิธีล้างเท้าขึ้นมาเป็นพิธีสำหรับให้คริสตจักรปฏิบัติ  แต่คริสเตียนส่วนใหญ่ตีความว่า พระองค์เพียงให้เป็นแบบอย่างของการรับใช้ที่ถ่อมใจ

13:14    “ท่านก็ควรจะล้างเท้าของกันและกันด้วย” (you also ought to wash one another’s feet) = คริสเตียนควรเต็มใจรับใช้ซึ่งกันและกัน แม้แต่สิ่งที่ดูเล็กน้อย และต่ำต้อยที่สุดก็ตาม

13:16    -ยน.15:20;มธ.10:24;ลก.6:40;22:27

13:18    “เราไม่ได้พูดถึงพวกท่านทุกคน” (I am not speaking of all of you) = พระเยซูกำลังกล่าวถึงคนที่ทรยศพระองค์ (ข.21)

            “คนที่รับประทานอาหารของเรา” (who ate my bread ) – ในบางฉบับแปลว่า“ผู้ที่รับประทานอาหารร่วมกับเรา”

            -การรับประทานอาหารร่วมกันเป็นเครื่องหมายของความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดสนิทสนม (สดด.41:9)

            “ยกส้นเท้าใส่เรา” (has lifted his heel against me) = ทรยศหักลังเรา  วลีนี้มาจากท่าของม้าที่เตรียมเตะ หรืออาจเหมือนการสะบัดฝุ่นออกจากเท้า (ลก.9:5)

13:19    “เพื่อ….ท่านจะได้เชื่อว่า” (you may believe that) –12:44  -สิ่งที่พระเยซูเป็นห่วงก็เพื่อพวกสาวก ไม่ใช่เพื่อพระองค์เอง

            “เราเป็นผู้นั้น” ( I am he) = คำพูดที่เน้นอย่างหนักแน่น เช่นเดียวกัน 8:58

13:20    “คนที่เราใช้ไป…ก็รับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา” (whoever receives the one I send …. receives the one who sent me.) = พันธกิจของพระเยซูเป็นสาระสำคัญของพระธรรมยอห์น (cf.4:34,12:44;17:3-4,18)

            และพันธกิจของสาวกได้รับการนำมาเชื่อมโยงกับพันธกิจของพระเยซูในตอนนี้ด้วย (ปท.20:21)

13:21    “ทรงเป็นทุกข์ในพระทัย” (Jesus was troubled in his spirit,) –ดู 11:33 แม้พระเยซูจะทราบล่วงหน้าว่า สิ่งนี้จะเกิดขึ้น แต่กระนั้นพระองค์ก็ยังทุกข์ในพระทัย เพราะจะถูกเพื่อนทรยศ

13:22    “สงสัย” (uncertain) = ในบางฉบับแปลว่า “ไม่รู้”

            = ยูดาส ปกปิดเรื่องการติดต่อกับพวกมหาปุโรหิตไว้ จนไม่มีใครสงสัยตัวเขามาก่อน เวลานี้พวกสาวกจึงสงสัยว่าใครคือผู้นั้น โดยคิดไม่ถึงว่าจะเป็นตัวยูดาส (ข.28)   ปท.มก.14:19

13:23    “สาวกที่พระเยซูทรงรัก” (his disciples, whom Jesus loved) –คนทั่วไปคิดว่า คือ ยอห์น ผู้เขียนพระธรรมยอห์นเล่มนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่า พระเยซูไม่ได้รักคนอื่น ๆ เพียงมีความหมายว่า พระองค์มีความผูกพันกับสาวกคนนี้เป็นพิเศษ

            “เอนกายอยู่ใกล้พระองค์” (was reclining at table at Jesus’ side) = ในเวลาอาหารค่ำ แขกจะเอนกายบนฟูก โดยเท้าข้อศอกซ้าย และหันศีรษะไปทางโต๊ะ (ปท.มก.14:18)

13:26    “เป็นคนที่เราจะเอาขนมปังนี้จิ้มส่งให้” (whom I will give this morsel of bread)  = เห็นได้ว่า ยูดาส อยู่ใกล้พระเยซู อาจเป็นที่นั่งอันมีเกียรติ ในตอนนี้ ผู้เขียนเรียกชื่อเต็มของยูดาสเลย คือ ยูดาสบุตรของซีโมน อิสคาริโอท

13:27    “เมื่อยูดาสกินขนมปังนั้นแล้ว” (Then after he had taken the morsel) –บางฉบับแปลว่า “ทันทีที่ยูดาสรับขนมปังนั้น”                 

            “ซาตานก็เข้าไปสิงในตัวของเขา” (Satan entered into him)  -โยบ 1:6;ศคย.3:1;วว.12:9-10

            “ท่านจะทำอะไรก็จงทำเร็ว ๆ” (you are going to do, do quickly)  = เป็นอีกครั้งที่คำตรัสของพระเยซูแสดงถึงการควบคุมของพระองค์ โดยพระองค์จะสิ้นพระชนม์ตามเวลาที่พระองค์กำหนด ไม่ใช่โดยศัตรูเป็นผู้กำหนด

13:29    “สำหรับงานเทศกาลนี้” ( for the feast) –ข.1-2;12:5;มก.14:5

13:30    “เวลากลางคืน” (            was night) –ผู้เขียนเน้นความขัดแย้งระหว่างความสว่างและความมืด คงเป็นภาพเปรียบความมืดมิดในจิตใจของยูดาสด้วย (ปท.1:4;8:12;อสย.60:2)

13:31    “บุตรมนุษย์” (the Son of Man) –มก.8:31

“ได้รับเกียรติ” (glorified) –ข.32; 7:39 = รวมถึงการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อเป็นเครื่องบูชาของพระเยซูคริสต์ และเรื่องความรอดอันมีสง่าราศีซึ่งเป็นผลที่ตามมา

“พระเจ้าทรงได้รับพระเกียตริเพราะบุตรมนุษย์“ (God is glorified in him) = พระเกียรติสิริของพระบิดาเกี่ยวข้องกับพระบุตร

13:34    “บัญญัติใหม่” (A new commandment ) = ในแง่หนึ่งเป็นบัญญัติเก่า (ลนต.19:18) แต่เป็นบัญญัติใหม่สำหรับสาวกของพระเยซู เพราะเป็นเครื่องหมายของการเกี่ยวดองกัน  ซึ่งสร้างขึ้นโดยความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระคริสต์มีต่อพวกเขา (ปท. มธ.22:37,39;มก.12:31;ลก.10:27)

“เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น” (I have loved you, you also are to love one another) = ความรักที่พระคริสต์มีต่อเราคือ มาตรฐานของเราในการรักผู้อื่น

13:35    “รัก” ( love)  = เครื่องหมายที่ทำให้ผู้ติดตามพระคริสต์แตกต่างจากคนอื่น (ปท. ยน.3:23;4:7-8;11-12,19-21)

13:36    “พระองค์จะเสด็จไปที่ไหน” (where are you going)  -เปโตรมีท่าทีว่า ไม่ได้สนใจคำสอนเรื่องความรักที่พระเยซูกำลังสอน เขาเป็นห่วงแต่เรื่องที่ว่า พระอาจารย์ของเขากำลังจะจากไป

“ท่านจะตามเราไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้” (you cannot follow me now) –คำว่า “ท่าน” ในตอนนี้ เป็นคำเอกพจน์บ่งบอกว่า พระเยซูกำลังตรัสกับเปโตรเป็นการส่วนตัว

13:37    “ข้าพระองค์จะสละชีวิตเพื่อพระองค์” (I will lay down my life for you) –บางฉบับแปลว่า “ข้าพระองค์ยอมพลีชีวิต”  (ปท. ยน.10:11) , เปโตรเป็นคนมั่นใจในตัวเอง แต่จะทำตรงข้ามกับที่พูดในตอนนี้ (แม้ภายหลังจะต้องทำตามนั้น – 21:18-19)

13:38    “ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” (you have denied me three times) –การปฏิเสธพระเยซูของเปโตรมีปรากฏอยู่ ในพระกิตติคุณทั้ง  4  เล่ม (มธ.26:33-35;มก.14:29-31;ลก.22:31-34)

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อคุณต้องจากคนที่คุณรักไป หรือเมื่อคนที่คุณรักกำลังจะจากคุณไป ? ต่างกันหรือไม่? และส่งผลกระทบอะไรต่อคุณบ้าง?
  2. มีใครบ้างที่รักคุณอย่างสุด ๆ? อย่างไร? และคุณรักใครแบบสุด ๆ บ้างหรือไม่? ทำไม?  และอย่างไร?
  3. คุณเคยประสบกับสภาวะของ “การแย่งชิงความเป็นใหญ่” หรือ “แย่งชิงอำนาจ” กันในองค์กรหรือในคริสตจักรของคุณบ้างหรือไม่? คุณรู้สึกอย่างไร? แล้วคุณวางตัวอย่างไร?  หรือคุณอยู่ในวังวนของการขัดแย้งนั้นด้วย? อย่างไร?
  4. คุณเคยถูกทรยศ หรือคุณทรยศผู้อื่นบ้างหรือไม่? คุณรู้สึกอย่างไร? แล้วคุณผ่านพ้นมาได้อย่างไร?
  5. คุณเคยพบใครเป็นแบบอย่างของความถ่อมใจมากที่สุดเท่าที่คุณพบมาในชีวิต? อย่างไร? คุณเรียนรู้อะไรจากชีวิตของผู้นั้นบ้าง?
  6. พระคริสต์ทรงกระทำให้คุณถ่อมใจ ถ่อมตัวลงอย่างไรบ้าง? ส่งผลกระทบต่อตัวคุณและคนอื่น ๆ อย่างไรบ้าง?
  7. คุณปฏิบัติต่อคนที่พระคริสต์ส่งมาหาคุณหรือส่งมาให้คริสตจักรของคุณอย่างไร? เป็นอย่างที่พระองค์ประสงค์หรือไม่? และส่งผลอย่างไรบ้าง?
  8. คุณเคยคิดว่า ตัวเองมีความเชื่อมั่นคงหรือมากกว่าคนอื่น แต่สุดท้ายกลับทำให้พระเจ้าผิดหวังบ้างไหม? แล้วคุณปรับปรุงแก้ไขตัวเอง นำเกียรติกลับคืนมาสู่ตัวเองและพระเจ้าหรือไม่? อย่างไร?

 

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์