Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนพระธรรมกิจการของอัครทูต บทเรียนที่ 5

เราควรจะเชื่อฟังท่านหรือเชื่อฟังพระเจ้าดี?

พระธรรม        กิจการ 4:1-37

อ้างอิง             ฉธบ.18:19;อพย.20:11;นหม.9:6;ปฐก.22:18;ลก.23:1,7-11;มธ.27:1-2;มก.15:1;สดด.118:22;146:6;2:1-2;ยน.18:28-29

บทนำ             เส้นทางในการติดตามพระเจ้า ไม่ใช่เส้นทางที่เรียบง่าย สงบสุขเสมอไป บางครั้งต้องเผชิญกับขวากหนามหรืออุปสรรค รวมทั้งการข่มเหงกลั่นแกล้ง ข่มขู่ หรือการทำร้าย เข่นฆ่า แต่ผู้ที่เชื่อในพระคริสต์จะไม่หวาดหวั่นหรือทอดทิ้งภารกิจในการประกาศข่าวประเสริฐเป็นอันขาด!

บทเรียน

4:1 “ขณะที่เปโตรกับยอห์นยังกล่าวกับคนทั้งปวงอยู่ ปุโรหิตทั้งหลายกับหัวหน้ารักษาพระวิหารและพวกสะดูสีก็มาหา” 

     (And as they were speaking to the people, the priests and the captain of the temple and the Sadducees came upon them)

4:2 “ด้วยความขัดเคืองใจยิ่งที่ท่านทั้งสองสั่งสอนและประกาศกับคนทั้งหลาย ถึงเรื่องการเป็นขึ้นจากความตายโดยอ้างการคืนพระชนม์ของพระเยซู” 

     (greatly annoyed because they were teaching the people and proclaiming in Jesus the resurrection from the  dead. )

4:3 “พวกเขาจึงจับท่านทั้งสองขังคุกจนถึงวันรุ่งขึ้นเพราะว่าเย็นแล้ว” 

      (And they arrested them and put them in custody until the next day, for it was already evening. )

4:4 “แต่คนจำนวนมากที่ฟังคำสอนนั้นก็เชื่อ จำนวนผู้ชายจึงเพิ่มขึ้นจนนับได้ประมาณห้าพันคน”

      (But many of those who had heard the word believed, and the number of the men came to about five thousand.)

4:5 “ครั้นรุ่งขึ้นพวกผู้ครอบครองกับพวกผู้ใหญ่ และพวกธรรมาจารย์มาประชุมกันในกรุงเยรูซาเล็ม” 

      (On the next day their rulers and elders and scribes gathered together in Jerusalem) 

4:6 “ทั้งอันนาสมหาปุโรหิตและคายาฟาส รวมทั้งยอห์นและอเล็กซานเดอร์กับคนอื่นๆ ที่เป็นญาติของมหาปุโรหิตด้วย” 

      (with Annas the high priest and Caiaphas and John and Alexander, and all who were of the high-priestly family.)

4:7 “เมื่อพวกเขาให้เปโตรและยอห์นยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาแล้ว จึงถามว่า “เจ้าทั้งสองทำการนี้โดยฤทธิ์เดชหรือโดยนามของใคร?”

      (And when they had set them in the midst, they inquired, “By what power or by what name did you do this?” )

4:8 “ขณะนั้นเปโตรเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์กล่าวกับพวกเขาว่า “นี่แน่ะ ท่านผู้ครอบครองพลเมืองและพวกผู้ใหญ่ทั้งหลาย” 

      (Then Peter, filled with the Holy Spirit, said to them, “Rulers of the people and elders)

4:9 “ถ้าท่านทั้งหลายจะไต่สวนเราทั้งสองในวันนี้ถึงการดีที่ได้ทำกับคนป่วยนี้ และถามว่าเขาหายเป็นปกติได้อย่างไรแล้ว” 

      (if we are being examined today concerning a good deed done to a crippled man, by what means this man has been healed)

4:10 “ก็ให้ท่านทั้งหลายกับบรรดาชนอิสราเอลทราบเถิดว่า โดยพระนามของพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธที่พวกท่านตรึงไว้ที่กางเขนผู้ซึ่งพระเจ้าทรงให้เป็นขึ้นจากตาย โดยพระองค์นั้นแหละชายคนนี้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าพวกท่านจึงได้หายเป็นปกติ” 

       (let it be known to all of you and to all the people of Israel that by the name of Jesus Christ of Nazareth, whom you crucified, whom God raised from the dead—by him this man is standing before you well. )

4:11 “พระองค์ทรงเป็นศิลา ที่พวกท่านผู้เป็นช่างก่อสร้างละทิ้งซึ่งกลับกลายเป็นศิลามุมเอกแล้ว” 

      (This Jesus is the stone that was rejected by you, the builders, which has become the cornerstone.) 

4:12 “ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย เพราะว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้นั้น ไม่โปรดให้มีท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า”

      (And there is salvation in no one else, for there is no other name under heaven given among men by which we must be saved.”

4:13 “เมื่อพวกเขาเห็นความกล้าหาญของเปโตรกับยอห์น และรู้ว่าท่านทั้งสองขาดการศึกษาและเป็นคนสามัญ ก็อัศจรรย์ใจ แล้วจำได้ว่าคนทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู” 

      (Now when they saw the boldness of Peter and John, and perceived that they were uneducated, common men,  they were astonished. And they recognized that they had been with Jesus.) 

4:14 “ยิ่งพวกเขาเห็นคนนั้นที่หายโรคยืนอยู่กับเปโตรและยอห์น พวกเขาก็ไม่มีอะไรคัดค้านได้” 

        (But seeing the man who was healed standing beside them, they had nothing to say in opposition.) 

4:15 “เมื่อสั่งให้เปโตรกับยอห์นออกไปจากที่ประชุมแล้ว พวกเขาจึงปรึกษากัน” 

         (But when they had commanded them to leave the council, they conferred with one another)

4:16  “ว่า “เราจะทำอย่างไรกับสองคนนี้? เพราะเขาทั้งสองทำหมายสำคัญพิเศษซึ่งทุกคนที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มก็รู้และเราก็ปฏิเสธไม่ได้” 

         (saying, “What shall we do with these men? For that a notable sign has been performed through them is evident to all the inhabitants of Jerusalem, and we cannot deny it.)

4:17  “แต่ให้เราขู่เข็ญไม่ให้เขาทั้งสองพูดชื่อนั้นกับใครอีก เพื่อเรื่องนี้จะไม่เลื่องลือแพร่หลายไปท่ามกลางประชาชน” 

         (But in order that it may spread no further among the people, let us warn them to speak no more to anyone in this name.” 

4:18 “พวกเขาจึงเรียกเปโตรและยอห์นมา แล้วสั่งไม่ให้พูดหรือสอนออกพระนามของพระเยซูอีก” 

        (So they called them and charged them not to speak or teach at all in the name of Jesus.” 

4:19 “แต่เปโตรกับยอห์นกล่าวตอบพวกเขาว่า“เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเราควรเชื่อฟังพวกท่านหรือควรเชื่อฟังพระเจ้า ขอพวกท่านพิจารณาดู”

        (But Peter and John answered them, “Whether it is right in the sight of God to listen to you rather than to God,  you must judge) 

4:20 “เพราะเราไม่สามารถหยุดพูดในสิ่งที่ได้เห็นและได้ยิน” 

        (for we cannot but speak of what we have seen and heard.”)

4:21 “เมื่อข่มขู่เขาทั้งสองอีก ก็ปล่อยตัวไป พวกเขาหาเหตุลงโทษท่านทั้งสองไม่ได้เพราะกลัวประชาชน เนื่องจากทุกคนสรรเสริญพระเจ้าเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น” 

        (And when they had further threatened them, they let them go, finding no way to punish them, because of the people, for all were praising God for what had happened.)

4:22 “เพราะว่าคนที่หายโรคโดยหมายสำคัญนั้นมีอายุกว่าสี่สิบปีแล้ว”

        (For the man on whom this sign of healing was performed was more than forty years old.)

4:23 “เมื่อได้รับการปล่อยตัวแล้วท่านทั้งสองจึงไปหาพวกพ้อง เล่าเรื่องทั้งหมดที่พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่พูดกับพวกท่าน” 

        (When they were released, they went to their friends and reported what the chief priests and the elders had  said to  them.)

4:24 “เมื่อเขาทั้งหลายฟังแล้วก็ร่วมใจกันเปล่งเสียงทูลพระเจ้าว่า “ข้าแต่องค์เจ้านาย พระองค์ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ทะเลและสรรพสิ่งที่มีอยู่ในที่เหล่านั้น”

       (And when they heard it, they lifted their voices together to God and said, “Sovereign Lord, who made the heaven and the earth and the sea and everything in them,)

4:25 “พระองค์ตรัสไว้โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ด้วยปากของดาวิดบรรพบุรุษของเรา ผู้รับใช้ของพระองค์ ว่า‘ทำไมคนต่างชาติจึงหยิ่งยโสและชนชาติทั้งหลายปองร้ายกันแต่ไม่เป็นผล”

       (who through the mouth of our father David, your servant, said by the Holy Spirit, “‘Why did the Gentiles rage, and  the peoples plot in vain?)

4:26   “บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกตั้งตัวขึ้นและนักปกครองชุมนุมกันต่อสู้พระเจ้าและผู้รับการเจิมตั้ง แปลได้อีกว่าพระคริสต์ของพระองค์’” 

      (The kings of the earth set themselves, and the rulers were gathered together,against the Lord and against his Anointed’)

4:27 “ความจริงในเมืองนี้ ทั้งเฮโรดและปอนทิอัสปีลาตกับพวกต่างชาติและชนชาติอิสราเอล ร่วมชุมนุมกันต่อสู้พระเยซูผู้รับใช้บริสุทธิ์ของพระองค์ซึ่งทรงเจิมไว้แล้ว” 

        (for truly in this city there were gathered together against your holy servant Jesus, whom you anointed, both  Herod and Pontius Pilate, along with the Gentiles and the peoples of Israel) 

4:28 “พวกเขาทำสิ่งสารพัดตามที่พระหัตถ์และพระดำริของพระองค์ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า” 

        (to do whatever your hand and your plan had predestined to take place.) 

4:29 “บัดนี้ พระองค์เจ้าข้าขอทอดพระเนตรการข่มขู่ของพวกเขาและทรงให้บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์กล่าวถ้อยคำของพระองค์ด้วยใจกล้า” 

        (And now, Lord, look upon their threats and grant to your servants to continue to speak your word with all  boldness, )

4:30 “ในเวลาที่พระองค์ยื่นพระหัตถ์ของพระองค์ออกรักษาโรค และโปรดให้หมายสำคัญกับการอัศจรรย์เกิดขึ้น โดยพระนามของพระเยซูผู้รับใช้บริสุทธิ์ของพระองค์” 

       (while you stretch out your hand to heal, and signs and wonders are performed through the name of your holy servant Jesus.)

4:31 “เมื่อเขาทั้งหลายอธิษฐานแล้ว ที่ซึ่งพวกเขาประชุมอยู่นั้นก็หวั่นไหว แล้วพวกเขาเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และกล่าวพระวจนะของพระเจ้าด้วยใจกล้าหาญ”

       (And when they had prayed, the place in which they were gathered together was shaken, and they were all filled with the Holy Spirit and continued to speak the word of God with boldness.)

4:32 “คนทั้งหลายที่เชื่อนั้นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และไม่มีใครอ้างว่าสิ่งของที่ตนมีอยู่นั้นเป็นของตนเอง แต่ทั้งหมดเป็นของส่วนกลาง”

        (Now the full number of those who believed were of one heart and soul, and no one said that any of the things that belonged to him was his own, but they had everything in common.) 

 4:33 “และด้วยฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่บรรดาอัครทูตก็เป็นพยานถึงการคืนพระชนม์ของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระคุณอันยิ่งใหญ่อยู่กับพวกเขาทุกคน”

        (And with great power the apostles were giving their testimony to the resurrection of the Lord Jesus, and great grace was upon them all.) 

4:34 “เพราะว่าในพวกเขาไม่มีใครขัดสน ใครมีไร่นาบ้านเรือนก็ขายเสีย” 

       (There was not a needy person among them, for as many as were owners of lands or houses sold them and brought the proceeds of what was sold) 

4:35 “และนำเงินค่าของที่ขายได้นั้นมาวางไว้ที่เท้าของบรรดาอัครทูต พวกอัครทูตจึงแจกจ่ายให้ทุกคนตามความจำเป็น” 

         (and laid it at the apostles’ feet, and it was distributed to each as any had need.) 

4:36 “โยเซฟผู้ที่บรรดาอัครทูตเรียกว่า บารนาบัส ซึ่งแปลว่าลูกแห่งการหนุนน้ำใจ เป็นเลวีชาวเกาะไซปรัส” 

        (Thus Joseph, who was also called by the apostles Barnabas (which means son of encouragement), a Levite,  a native of Cyprus)

4:37 “มีที่ดินก็ขายเสีย และนำเงินค่าที่ดินนั้นมาวางไว้ที่เท้าของพวกอัครทูต”

        (sold a field that belonged to him and brought the money and laid it at the apostles’ feet.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

4:1       “ปุโรหิต” ( the priests ) = ผู้ที่กำลังรับใช้ในพระวิหารในสัปดาห์นั้น (ลก.1:23)

“หัวหน้ารักษาพระวิหาร” (the captain of the temple)  = หัวหน้ายามพระวิหาร  เป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวปุโรหิต ซึ่งเป็นผู้นำสำคัญรองจากมหาปุโรหิต (5:24;26;ลก.22:4,52)

“สะดูสี” เป็นนิกายของยิวซึ่งสมาชิกมาจากเชื้อสายปุโรหิต และควบคุมพระวิหาร ปฏิเสธความเชื่อเรื่องการเป็นขึ้นจากตาย หรือพระเมสสิยาผู้ที่เป็นบุคคล

-และมหาปุโรหิตที่เป็นสะดูสียังเป็นประธานสภาแซนเฮดรินด้วย (5:17;23:6-8;มธ.22:23-33;อสร.7:2;มธ.3:7;มก.12:18;ลก.20:27)

4:2       “การคืนพระชนม์ของพระเยซู” (Jesus the resurrection from the dead) = รากฐานของข่าวประเสริฐพวกสาวกประกาศสั่งสอน

4:3       “เพราะว่าเย็นแล้ว” (it was already evening) = การถวายเครื่องบูชายามเย็นเสร็จสิ้นประมาณ 16.00 น. และประตูวิหารจะปิด  การพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับความเป็นความตาย จะต้องเริ่มและดำเนินการให้แล้ว เสร็จในช่วงเวลากลางวัน

4:4       “ประมาณห้าพันคน” (about five thousand) =เพิ่มจาก 3,000 คน ในวันเพ็นเทคอสต์ (2:41) และต่อมาในภายหลังเจริญเติบโตยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ (5:14;6:7)

4:6       “อันนาสมหาปุโรหิต” ( Annas the high priest ) = เป็นมหาปุโรหิตในช่วง คศ. 6-15 แต่ถูกโรมปลดออก และเอลียาเชอร์ ผู้เป็นบุตรได้รับช่วงต่อ และตามด้วยคายาฟาส ผู้เป็นบุตรเขย (ค.ศ.13-36) แต่คนยังยอมรับว่า อันนาส คือ มหาปุโรหิต (ลก.3:2;ยน.18:13,34)

“ยอห์น” (John) = อาจเป็นโยนาธานบุตรของอันนาส ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นมหาปุโรหิตใน ค.ศ.36 หรืออาจ = โยฮานัน บุตรศักคัย ซึ่งได้เป็นประธานธรรมศาลาใหญ่ หลังเยรูซาเล็มล่มสลาย

4:8       “เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” (filled with the Holy Spirit) -2:4

4:10     “พระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ” ( the name of Jesus Christ of Nazareth) –มธ.2:23

4:11     “ศิลาที่พวกท่านผู้เป็นช่างก่อสร้างละทิ้ง” (the stone that was rejected by you) = พระเยซูก็อ้างถึง สดุดี 118:22  ด้วย

             = การสำเร็จตามคำพยากรณ์ อันเป็นองค์ประกอบสำคัญในคำเทศนา และเป็นการปกป้องความเชื่อของคริสตจักรในยุคแรก (มธ.21:42;1ปต.2:7;รม.9:33;อสย.28:16)

4:12     “นามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้นั้นไม่โปรดให้มี” (there is salvation in no one else)  -10:43;ยน.14:6;2ทธ.2:5;มธ.1:21

4:13     “ความกล้าหาญ” (the boldness ) = ถูกแสดงออกด้วยความมั่นใจ สิทธิอำนาจและความเด็ดเดี่ยวของเหล่าอัครทูต (2:29;4:29;28:31)  และในหมู่ผู้เชื่อ (4:31)

“ขาดการศึกษาและเป็นคนสามัญ” (uneducated, common men) = ไม่เคยได้รับการอบรมในโรงเรียนที่พวกรับบีสอน และไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการในแวดวงทางศาสนา

“จำได้ว่า คนทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู” (recognized that they had been with Jesus) = นึกขึ้นได้  อาจเป็นเพราะพวกเขากำลังแสดงสิทธิอำนาจที่พระคริสต์มอบให้ (มก.1:22;3:14)

4:20     “เราไม่สามารถหยุดพูด” (we cannot but speak )  = ต้องพูด -5:29;ยรม.20:9

4:22     “สี่สิบปี” (forty years old) = ในสมัยนั้น การรักษาโรคตามปกติ ไม่สามารถรักษาคนที่มีอายุขนาดนั้นได้

4:23     “จึงไปหาพวกพ้อง” (went to their friends) = กลับมาหาพวกพ้อง

= อาจเป็นที่ห้องชั้นบน ห้องเดิมที่พวกอัครทูตเคยใช้เป็นที่พบปะกันมาก่อน (1:13) และเป็นที่ ๆ ผู้เชื่ออาจมาชุมนุมกันต่อไป (12:12)

4:24     “ข้าแต่องค์เจ้านาย” (Sovereign Lord)  = องค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เจ้าชีวิต (ลก.2:29)

4:27     “เฮโรด” (Herod ) = เฮโรด อันทีพาส ผู้ครองแคว้นกาลิลี และเพอเรีย (ลก.23:7-15)

              “ปอนทัสปีลาต” (Pontius Pilate) = ชาวโรมัน ผู้ว่าการยูเดีย (3:1)

4:28     “ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า” (plan had predestined) = พระเจ้าทรงใช้การกระทำของพวกเขาที่พวกเขาเลือก โดยเสรีให้บรรลุจุดมุ่งหมายแห่งการไถ่ที่กำหนดไว้ของพระองค์ (2:23)

4:30     “ผู้รับใช้บริสุทธิ์” (holy servant ) -3:13

4:31     “ก็หวั่นไหว” (was shaken)  = สะเทือนสะท้าน  เป็นหมายสำคัญที่เกิดขึ้นในทันทีทันใด เป็นการสื่อสารว่า พระเจ้าได้สดับฟังคำอธิษฐานแล้ว (16:26)

“เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”( filled with the Holy Spirit) –2:4

“กล่าวพระวจนะของพระเจ้า” (speak the word of God with boldness) = พวกเขายังเทศนาต่อไปโดยไม่แยแสต่อคำขู่ของสภา (ข.13)

4:33     “เป็นพยานถึงการคืนพระชนม์ของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า” (were giving their testimony to the resurrection of the Lord Jesus)

  = เหตุการณ์ที่สำคัญที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการสิ้นพระชนม์ขององค์พระคริสต์ คือ การเป็นขึ้นจากตายของพระองค์ ที่ผลักดันให้สาวกไม่อาจเก็บนิ่งไว้อย่างเงียบ ๆ ต่อไปได้

4:34     “ใครมีไร่นาบ้านเรือนก็ขายเสีย” (were owners of lands or houses sold them) –2:44

 4:36     “บารนาบัส” (Barnabas)  = เพื่อนร่วมงานคนสำคัญของเปาโลในเวลาต่อมา (13:1-4)

 “เป็นเลวี” (a Levite) = แม้ว่าคนเลวีจะไม่มีกรรมสิทธิ์ที่ดินในดินแดนปาเลศไตน์ แต่กฎบัญญัตินี้อาจไม่ได้ใช้กับคนเลวีที่อยู่ในต่างประเทศ เช่นในไซปรัส ดังนั้น บารนาบัส อาจขายที่ดินของเขาในไซปรัส และนำเงินมาให้เหล่าอัครทูต (ข.37) หรือเขาอาจมีภรรยาและที่ดินที่ขายอาจเป็นทรัพย์สินของภรรยาหรือข้อห้ามการถือครองที่ดินของเผ่าเลวีในดินแดนปาเลศไตน์ อาจไม่ได้ถือปฏิบัติกันต่อไปอีกแล้ว

“ไซปรัส” (Cyprus) = เป็นเกาะทางตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พวกชาวยิวไปตั้งถิ่นฐานกันที่นั่นตั้งแต่ในสมัยแมคคาบี

4:37     “มีที่ดินก็ขายเสียและนำเงินค่าที่ดินนั้นมาวางไว้ที่เท้าของพวกอัครทูต” ( sold a field that belonged to him and brought the money and laid it at the apostles’ feet.)  = การเสียสละของหลายคนที่มีความสำคัญต่อชีวิตและพันธกิจของคริสตจักรในยุคแรก (9:27;11:22;25;15:37-39)

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยทำให้ผู้ใดงุ่นง่านใจเพราะการประกาศข่าวประเสริฐของคุณบ้างหรือไม่? อย่างไร? ที่ไหน? แล้วส่งผลอะไรตามมา?
  2. คุณเคยได้รับการข่มเหงหรือการกลั่นแกล้งเพราะประกาศข่าวประเสริฐหรือไม่? อย่างไร? แล้วคุณรอดพ้นมาได้อย่างไร?
  3. คุณเคยเป็นพยานต่อหน้าผู้นำหรือผู้ใหญ่ในเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ด้วยพลังและฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่?  อย่างไร และผลลัพธ์คืออะไร?
  4. คุณเคยมีประสบการณ์กับการเป็นพยานให้พระเยซูคริสต์ด้วยความกล้าหาญหรือไม่? กับใคร? ที่ไหน? อย่างไร? หรือเคยเห็นผู้ใด(ที่เป็นชาวบ้านธรรมดา)กระทำเช่นนั้น? ผลเป็นอย่างไร? (แบ่งปัน)
  5. คุณเคยถูกห้าม ถูกกำชับหรือถูกขู่ไม่ให้เป็นพยานเรื่องพระเยซูคริสต์บ้างหรือไม่? โดยใคร? แล้วคุณทำอย่างไร? หรือเคยเห็นใครอยู่ในสภาวะเช่นนั้นบ้าง? (แบ่งปัน)
  6. คุณเคยได้รับการหนุนน้ำใจจากคำพยานของผู้ใดมากที่สุดในชีวิต? เรื่องอะไร? และส่งผลต่อชีวิตการรับใช้ของคุณอย่างไร?
  7. คุณเคยเป็นพยานในเรื่องใดที่ทำให้ผู้ฟังล้วนสรรเสริญและขอบคุณพระเจ้ากันอย่างมากมาย? หรือคุณเคยรู้สึกสรรเสริญและขอบคุณพระเจ้ามากที่สุดจากคำพยานของผู้ใด? ทำไม?
  8. คุณประทับใจกับการถวายหรือการเสียสละหรือการแบ่งปันทรัพย์สินสิ่งของด้วยใจที่กว้างขวางมากที่สุดเท่าที่คุณเคยประสบมาหรือไม่? โดยผู้ใดในเรื่องอะไร? อย่างไร? และได้ส่งผลกระทบอะไรต่อคริสตจักรของคุณบ้าง หรือไม่อย่างไร?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนพระธรรมกิจการของอัครทูต บทเรียนที่ 4

เงินและทองเราไม่มี!

พระธรรม        กิจการ 3:1-26

อ้างอิง            ลก.22:68;สดด.51:1;55:17;ยน.10:23;อสย.43:25;44:22;กจ.14:8;22:5;มก.15:11;ปฐก.12:3;22:18;รม.1:16

บทนำ            เมื่อเราติดตามพระคริสต์ และพึ่งพาวางใจในพระนามและฤทธิ์เดชของพระองค์ เราก็ไม่เหลืออะไรต้องวิตกหรือกลัวอีกต่อไป แต่เราสามารถเดินไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจ ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้มีอะไรที่จะเป็นหลักประกันทางกายภาพแต่อย่างใด

บทเรียน

3:1 “วันหนึ่งขณะที่เปโตรกับยอห์นกำลังขึ้นไปยังบริเวณพระวิหาร ในเวลาอธิษฐานตอนบ่ายสามโมง” 

         (Now Peter and John were going up to the temple at the hour of prayer, the ninth hour.) 

3:2 “มีชายคนหนึ่งเป็นง่อยมาตั้งแต่เกิด ถูกหามเข้ามา ทุกๆ วันคนจะวางเขาไว้ที่ริมประตูพระวิหารซึ่งมีชื่อว่าประตูงาม เพื่อให้ขอทานจากคนทั้งหลายที่เข้าไปในพระวิหารนั้น” 

         (And a man lame from birth was being carried, whom they laid daily at the gate of the temple that is called the Beautiful Gate to ask alms of those entering the temple.)

3:3 “เมื่อคนนั้นเห็นเปโตรกับยอห์นกำลังจะเข้าไปในพระวิหารก็ขอทาน” 

        (Seeing Peter and John about to go into the temple, he asked to receive alms.)

3:4 “เปโตรกับยอห์นเพ่งดูเขาบอกว่า “จงดูเราทั้งสองเถิด”

        (And Peter directed his gaze at him, as did John, and said, “Look at us.” )

3:5 “คนนั้นก็จ้องดู คิดว่าจะได้อะไรจากท่านทั้งสอง” 

        (And he fixed his attention on them, expecting to receive something from them.)

3:6 “แต่เปโตรกล่าวว่า “เงินและทองเราไม่มี แต่สิ่งที่เรามีนั้นเราจะให้ท่าน คือในพระนามของพระเยซูคริสต์ชาวนาซาเร็ธ จงเดินเถิด” 

        (But Peter said, “I have no silver and gold, but what I do have I give to you. In the name of Jesus Christ of Nazareth, rise up and walk!”) 

3:7 “แล้วเปโตรก็จับมือขวาของเขาพยุงขึ้น ในทันใดนั้นเท้าและข้อเท้าของเขาก็มีกำลัง” 

        (And he took him by the right hand and raised him up, and immediately his feet and ankles were made strong.) 

3:8 “เขาจึงกระโดดขึ้นยืนและเดินเข้าไปในพระวิหาร พร้อมกับเปโตรและยอห์น ทั้งเดินทั้งเต้นโลดและสรรเสริญพระเจ้า” 

        (And leaping up, he stood and began to walk, and entered the temple with them, walking and leaping and praising God.)

3:9 “คนทั้งหมดเห็นเขาเดินและสรรเสริญพระเจ้า”

         (And all the people saw him walking and praising God)

3:10 “ก็จำได้ว่าเขาคือคนที่เคยนั่งขอทานอยู่ที่ประตูงามของพระวิหาร เขาทั้งหลายจึงประหลาดใจและอัศจรรย์ใจอย่างยิ่งในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนนั้น”

         (and recognized him as the one who sat at the Beautiful Gate of the temple, asking for alms. And they were filled with wonder and amazement at what had happened to him.)

3:11 “ขณะที่คนนั้นยังรั้งตัวเปโตรและยอห์นอยู่นั้น ฝูงคนก็วิ่งไปหาท่านทั้งสองด้วยความอัศจรรย์ใจอย่างยิ่งที่เฉลียงพระวิหารที่เรียกว่าเฉลียงของซาโลมอน” 

         (While he clung to Peter and John, all the people, utterly astounded, ran together to them in the portico  called Solomon’s. )

3:12 “พอเปโตรแลเห็นก็กล่าวกับคนเหล่านั้นว่า “ชนชาติอิสราเอลทั้งหลาย ทำไมท่านทั้งหลายอัศจรรย์ใจเพราะเรื่องของคนนี้? และทำไมท่านทั้งหลายจ้องดูเราราวกับว่าเราทำให้คนนี้เดินได้โดยฤทธิ์เดชหรือความชอบธรรมของเราเอง?” 

          (And when Peter saw it he addressed the people: “Men of Israel, why do you wonder at this, or why do  you stare at us, as though by our own power or piety we have made him walk? )

3:13 “พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ซึ่งเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของเรา ได้ประทานพระเกียรตินี้แด่พระเยซู ผู้รับใช้ของพระองค์ พระเยซูผู้ที่ท่านทั้งหลายมอบไว้และปฏิเสธต่อหน้าปีลาต แม้ว่าปีลาตตั้งใจจะปล่อยพระองค์ไป” 

         (The God of Abraham, the God of Isaac, and the God of Jacob, the God of our fathers, glorified his servant Jesus, whom you delivered over and denied in the presence of Pilate, when he had decided to release him. )

3:14 “แต่ท่านทั้งหลายก็ยังปฏิเสธพระองค์ผู้ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์และชอบธรรม และขอให้เขาปล่อยผู้ฆ่าคนให้ท่านทั้งหลาย” 

          (But you denied the Holy and Righteous One, and asked for a murderer to be granted to you,)

3:15 “ท่านทั้งหลายจึงฆ่าพระองค์ผู้ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตเสีย แต่พระเจ้าได้โปรดให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย เราคือสักขีพยานของเรื่องนี้” 

          (and you killed the Author of life, whom God raised from the dead. To this we are witnesses. )

3:16 “โดยความเชื่อในพระนามของพระองค์ พระนามนั้นจึงทำให้คนนี้ที่ท่านทั้งหลายเห็นและรู้จักมีกำลังขึ้น เป็นความเชื่อที่มาทางพระองค์ ทำให้คนนี้หายเป็นปกติต่อหน้าท่านทั้งหลาย”

         (And his name—by faith in his name—has made this man strong whom you see and know, and the faith that is through Jesus has given the man this perfect health in the presence of you all.)

3:17 “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าทราบว่าท่านทั้งหลายทำการนั้นเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่นเดียวกับบรรดาผู้ครอบครองของพวกท่าน” 

         (“And now, brothers, I know that you acted in ignorance, as did also your rulers. 

 3:18 “แต่สิ่งเหล่านั้นที่พระเจ้าทรงประกาศไว้ล่วงหน้าโดยปากของบรรดาผู้เผยพระวจนะว่าพระคริสต์ของพระองค์ต้องทนทุกข์ทรมาน พระองค์ก็ทรงให้สำเร็จ” 

        (But what God foretold by the mouth of all the prophets, that his Christ would suffer, he thus fulfilled.) 

3:19 “เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงกลับใจและหันมาหาพระเจ้า เพื่อที่ว่าความผิดบาปของพวกท่านจะได้รับการลบล้าง” 

        (Repent therefore, and turn back, that your sins may be blotted out )

3:20 “เพื่อวาระแห่งการฟื้นชื่นจะได้มาจากพระพักตร์พระเจ้า และเพื่อพระองค์จะประทานพระคริสต์ที่ทรงกำหนดไว้นั้นแก่ท่านทั้งหลายคือพระเยซู” 

       (that times of refreshing may come from the presence of the Lord, and that he may send the Christ  appointed for you, Jesus)

3:21 “พระองค์นั้นจะต้องอยู่ในสวรรค์จนกว่าจะถึงวาระแห่งการฟื้นฟูสรรพสิ่ง ตามที่พระเจ้าตรัสไว้โดยปากของบรรดาผู้เผยพระวจนะบริสุทธิ์ของพระองค์ตั้งแต่กาลโบราณมา” 

       (whom heaven must receive until the time for restoring all the things about which God spoke by the mouth of his holy prophets long ago.) 

3:22 “โมเสสได้กล่าวไว้ว่า ‘พระเจ้าของท่านทั้งหลายจะประทานผู้เผยพระวจนะคนหนึ่ง เหมือนอย่างเราแก่พวกท่านจากพี่น้องของพวกท่านเอง ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังผู้นั้นในทุกสิ่งที่พระองค์จะตรัสกับพวกท่าน” 

        (Moses said, ‘The Lord God will raise up for you a prophet like me from your brothers. You shall listen to him in whatever he tells you. )

3:23 “ถ้าคนหนึ่งคนใดไม่เชื่อฟังผู้เผยพระวจนะผู้นั้น เขาจะต้องถูกตัดขาดให้พินาศไปจากชนชาติของพระเจ้า’”  

        (And it shall be that every soul who does not listen to that prophet shall be destroyed from the people.) 

3:24 “และบรรดาผู้เผยพระวจนะตั้งแต่ซามูเอลเป็นต้นมาก็กล่าวเป็นเสียงเดียวกัน และได้พยากรณ์ถึงวันเหล่านี้” 

         (And all the prophets who have spoken, from Samuel and those who came after him, also proclaimed these days.) 

3:25 “ท่านทั้งหลายเป็นลูกหลานของผู้เผยพระวจนะเหล่านั้น และของพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำไว้กับบรรพบุรุษของพวกท่าน คือได้ตรัสกับอับราฮัมว่า ‘บรรดาพงศ์พันธุ์ของแผ่นดินโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า’” 

          (You are the sons of the prophets and of the covenant that God made with your fathers, saying to Abraham, ‘And in your offspring shall all the families of the earth be blessed.’ )

3:26 “เมื่อพระเจ้าโปรดให้องค์ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นขึ้นแล้ว ก็ทรงใช้พระองค์มายังท่านทั้งหลายก่อน เพื่ออวยพรแก่พวกท่าน โดยให้ทุกคนหันออกจากบาปของตน

           (God, having raised up his servant, sent him to you first, to bless you by turning every one of you from your wickedness.”)

 ข้อมูลมีประโยชน์

3:1       “เปโตรกับยอห์น” (Peter and John) = ผู้นำของพวกอัครทูต และสาวกทั้งหมด (กท.2:9) และยังมียากอบพี่ชายของยอห์นอีกคนหนึ่งที่ใกล้ชิดอยู่วงในสาวกของพระเยซู (มก.9:2;13:3;14:33;ลก.22:8)   

-ทั้งเปโตรกับยอห์นถูกจับด้วยกัน (4:3) อยู่ด้วยกันในสะมาเรีย (8:14)

“ในเวลาอธิษฐาน” (at the hour of prayer) = พวกยิวรุ่นหลังกำหนดเวลาอธิษฐานไว้ที่ 3 เวลาต่อวัน คือ เวลา 9.00 น. (ตอนสาย), 15.00 น.(เวลาถวายเครื่องบูชายามเย็น และ เมื่อดวงอาทิตย์ตก

3:2       “ประตูพระวิหารซึ่งมีชื่อว่าประตูงาม” (the gate of the temple that is called the Beautiful Gate)

= นิยมใช้เป็นทางเข้าลานพระวิหาร อาจเป็นประตูหุ้มทองสัมฤทธิ์ ซึ่งเรียกว่า “ประตูนิคาโนร์” ในที่อื่น , ประตูนี้เปิดจากลานคนต่างชาติสู่ลานสตรีทางกำแพงด้านตะวันออกของพระวิหาร

3:6       “ในพระนามของพระเยซูคริสต์” (In the name of Jesus Christ) = ไม่ใช่ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจใดๆ ของพวกเขาเอง แต่โดยสิทธิอำนาจขององค์พระเยซูคริสต์ พระเมสสิยาห์ที่พวกเขารอคอย

3:7       “พยุงขึ้น” ( raised him up)  -การลงมือกระทำที่ควบคู่ไปกับความเชื่อทำให้ชายขอทานคนนี้หายจากการเป็นง่อย (ข.16)

3:8       “เดินเข้าไปในพระวิหาร” (entered the temple) = เข้าไปในลานพระวิหาร จากคนชั้นนอกสำหรับคนต่างชาติ เข้าสู่ลานสตรี ซึ่งมีภาชนะรับของถวาย (มก.12:41-44) จากนั้นก็เข้าสู่ลานอิสราเอลจากลานชั้นนอกมีประตู 9 บานเข้าสู่ลานชั้นใน

3:11    “เฉลียงของซาโลมอน” (in the portico called Solomon’s)  = เฉลียงตามแนวด้านในของกำแพงรอบลานชั้นนอกมีแนวเสาหินสูง 8.2 เมตร หลังคาทำด้วยไม้สนสีดาร์ (ยน.10:23)

 3:12-26 – ดู 2:14-20

 3:13     “พระเยซูผู้รับใช้ของพระองค์” (the God of our fathers) –ผู้รับใช้ผู้ทนทุกข์ ที่พยากรณ์ไว้ล่วงหน้า ใน-อสย.52:13-53:12;มธ.12:18;กจ.2:27,30

“ปฏิเสธต่อหน้าปีลาต” (denied in the presence of Pilate)  = พวกเขาร่วมกันรุมต่อต้านพระเยซู ปฏิเสธไม่ยอมรับว่า พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์

“ปีลาตตั้งใจจะปล่อยพระองค์ไป” (he had decided to release him)  -ยน.19:12

3:14     “องค์บริสุทธิ์” ( the Holy) –ปท.ลนต.11:44

             “(องค์)ชอบธรรม” (Righteous)  -7:22;22:14 , ปท.1ยน.2:1

             “ผู้ฆ่าคน” (a murderer) = ฆาตกร –ลก.23:18

3:15     “ท่านทั้งหลายจึงฆ่าพระองค์ …แต่พระเจ้าได้โปรดให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย เราคือ สักขีพยาน”

              (you killed the Author of life, whom God raised from the dead. To this we are witnesses)

= ประเด็นสำคัญในบทพูดที่กล่าวซ้ำอยู่หลายครั้งในกิจการ (2:23-24;4:10;5:30-32;10:39-41;13:28-29; ปท.1คร.15:1-4

3:17     “พี่น้องทั้งหลาย” (brothers)  = ชนชาติอิสราเอล (ข.12)

            “ทำการนั้นเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์” (I know that you acted in ignorance) = พวกเขาไม่รู้จักพระเยซูผู้ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่แท้จริง (ลก.23:34)  จึงปฏิเสธพระองค์ แต่หากพวกเขาสำนึกผิดกลับใจใหม่ หันกลับมา พระเจ้าจะทรงเมตตาพวกเขา

3:18     “พระเจ้าทรงประกาศไว้ล่วงหน้าโดยปากของบรรดาผู้เผยพระวจนะ” (God foretold by the mouth of all the prophets) = สะท้อนถึงสิ่งที่พระเยซูได้ตรัสไว้  (ลก.24:26-27) ในเรื่องการทนทุกข์ที่ถูกพยากรณ์ไว้ก่อนแล้ว (ปท. อสย.53:7-8;กจ.8:32-33;สดด.2:1-2;กจ.4:25-26;สดด.22:1;มธ.27:46; 1ปต.1:11)

3:19     “จงกลับใจ” (Repent therefore) = การเปลี่ยนความคิดจิตใจ และความตั้งใจอันเป็นผลจากความรู้สึกเสียใจที่ได้ทำบาป อันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิต (2:38;ลก.3:3)

“หันมาหาพระเจ้า” (turn back) = สิ่งที่ต่อเนื่องจากการกลับใจใหม่ (11:21)

-ปท.26:26;9:35;14:15;15:19;26:18;28:27

การกลับใจคือ การหันจากบาป และหันมาหาพระเจ้า

“ความผิดบาปของพวกท่านจะได้รับการลบล้าง” (your sins may be blotted out) = จะได้รับการอภัยบาป เมื่อท่านกลับใจใหม่

3:22     “จะประทานผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งเหมือนอย่างเรา แก่พวกท่าน” (will raise up for you a prophet like me from your brothers) = คำทำนายว่า พระเจ้าจะให้พระคริสต์เสด็จมาเป็นดุจผู้เผยพระวจนะอย่างโมเสส (ข.22-23) และตามคำประกาศของซามูเอลเกี่ยวกับดาวิด (ข.24)

-และพระองค์จะนำพรไปสู่คนทุกชนชาติตามที่ทรงสัญญาไว้กับอับราฮัม (ข.25-26)

 3:24     “บรรดาผู้เผยพระวจนะตั้งแต่ซามูเอลเป็นต้นมา” (all the prophets who have spoken, from Samuel) = ซามูเอลเจิมตั้งดาวิดเป็นกษัตริย์(ต่อจากซาอูล) และกล่าวถึงการสถาปนาอาณาจักรของพระองค์ (1ซมอ.16:13; ปท.13:14;15:28;28:17)

-คำพยากรณ์ของนาธัน ใน 2ซมอ.7:12-16 ก็เล็งถึงพระเมสสิยาห์ด้วย (กจ.13:22-23;34;ฮบ.1:5)

3:25     “ท่านทั้งหลายเป็นลูกหลานของผู้เผยพระวจนะเหล่านั้น” (You are the sons of the prophets)

–กจ.2:39

              “เชื้อสาย” (offsring) = วงศ์วาน, เป็นเอกพจน์ในที่นี้เล็งถึงองค์พระเยซูคริสต์ – กท.3:16

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณมีนิสัยชอบไปอธิษฐานร่วมกับพี่น้องที่โบสถ์หรือที่อื่นใดหรือไม่? อย่างไร? และมีผลดีอะไรบ้าง?
  2. เคยมีคนมาขอหรือขอยืมจากคุณบ้างหรือไม่? แล้วคุณให้หรือไม่? ถ้าให้ คุณให้เท่าที่เขาขอหรือไม่? ทำไม? แล้วเกิดอะไรตามมา?
  3. คุณเคยเห็นหรือเคยทำการอัศจรรย์หรือหมายสำคัญในคริสตจักรและนอกคริสตจักรบ้างหรือไม่? อย่างไร? ส่งผลต่อความเชื่อของคุณหรือไม่? อย่างไร?
  4. คุณเคยทำอะไรบ้างที่ทำให้คนบางคนมีชีวิตที่เปลี่ยนไปตลอดกาล? อย่างไร? หรือเคยมีผู้ใดทำเช่นนั้นต่อคุณ? (แบ่งปัน)
  5. คุณเคยได้รับการให้เกียรติที่คุณรู้สึกว่า ตัวเองไม่คู่ควรหรือไม่สมควรบ้างหรือไม่? ทำไม? สิ่งนั้นส่งผลอะไรต่อคำพูดหรือการกระทำของคุณบ้าง? อย่างไร?
  6. คุณเคยเป็นพยานกับบุคคลใดหรือคนกลุ่มใดที่คุณรู้สึกตื่นเต้นมากที่สุดหรือไม่? ทำไม? แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไร?
  7. คุณเคยนำผู้ใดต้อนรับพระเยซูคริสต์ โดยการนำเขาให้เขาอธิษฐานต้อนรับพระคริสต์เป็นส่วนตัวบ้างหรือไม่? อย่างไร? คุณรู้สึกอย่างไร?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนพระธรรมกิจการของอัครทูต บทเรียนที่ 3

คำเทศนาแรกในวันเปิดคริสตจักร!

พระธรรม      กิจการ  2:14-47
อ้างอิง           อสย44:3;อสย53:10;กจ21:9-12;ลก21:11;สดด105:1;110:1;ยอล2:28-32;1คร6:14;15:15;ฮบ13:20; คส2:12;ยรม36:3

บทนำ           ในวันที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาสถิตกับบรรดาผู้เชื่อเป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการในวันเปิดคริสตจักรของพระคริสต์นั้น พระองค์ทรงประทานถ้อยคำอันเปี่ยมด้วยสิทธิอำนาจผ่านคำเทศนากัณฑ์แรกของเปโตรจนเกิดการกลับใจของคนจำนวนมาก เข้ามาเป็นสมาชิกทั้งในคริสตจักรสากลและในคริสตจักรท้องถิ่นครั้งแรกขึ้นจำนวนมากมายอย่างน้อย 3000 คน

บทเรียน
 2:14 “แต่เปโตรได้ยืนขึ้นพร้อมกับอัครทูตสิบเอ็ดคน และกล่าวกับเขาทั้งหลายด้วยเสียงดังว่า “พี่น้องชาวยิวกับทุก ท่านที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม จงทราบเรื่องนี้และฟังถ้อยคำของข้าพเจ้า” 

    (But Peter, standing with the eleven, lifted up his voice and addressed them: “Men of Judea and all who dwell in Jerusalem, let this be known to you, and give ear to my words. )

 2:15 “คนเหล่านี้ไม่ได้เมาเหล้าองุ่นเหมือนอย่างที่ท่านทั้งหลายคิด เพราะว่าเพิ่งจะเก้าโมงเช้าเท่านั้น” 

    (For these people are not drunk, as you suppose, since it is only the third hour of the day. )

 2”16 “แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตามคำที่โยเอลผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้ว่า”

     (But this is what was uttered through the prophet Joel)

 2:17 “‘พระเจ้าตรัสว่า ในวาระสุดท้าย เราจะเทพระวิญญาณของเราบนมนุษย์ทั้งหมดบุตรา บุตรีของท่านทั้งหลายจะเผยพระวจนะบรรดาคนหนุ่มของท่านจะเห็นนิมิตและบรรดาคนแก่ของท่านทั้งหลายจะฝันเห็น”

     ( “‘And in the last days it shall be, God declares, that I will pour out my Spirit on all flesh, and your sons and your daughters shall prophesy, and your young men shall see visions, and your old men shall dream dreams;)

2:18 “แน่ทีเดียวเวลานั้น เราจะเทพระวิญญาณของเราบนทาสทาสีของเราและเขาทั้งหลายจะเผยพระวจนะ”

    (even on my male servants and female servants in those days I will pour out my Spirit, and they shall prophesy.)

 2:19 “เราจะสำแดงการอัศจรรย์ในอากาศเบื้องบนและ หมายสำคัญที่แผ่นดิน เบื้องล่างเป็นเลือด ไฟ และไอควัน”

     ( And I will show wonders in the heavens above and signs on the earth below, blood, and fire, and vapor of smoke;)

2:20 “ดวงอาทิตย์จะมืดไปและดวงจันทร์จะกลับเป็นเลือดก่อนถึงวันยิ่งใหญ่และสง่างามของพระเจ้า”

    (the sun shall be turned to darkness and the moon to blood, before the day of the Lord comes, the great and magnificent day.)

2:21 “และจะเป็นเช่นนี้คือ ทุกคนที่ร้องขอในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้รับความรอด’” 

     (And it shall come to pass that everyone who calls upon the name of the Lord shall be saved.)

2:22 “ท่านทั้งหลายผู้เป็นชนชาติอิสราเอล จงฟังเรื่องต่อไปนี้ คือพระเยซูชาวนาซาเร็ธผู้ที่พระเจ้าทรงรับรองต่อท่านทั้งหลาย โดยการอิทธิฤทธิ์ การอัศจรรย์และหมายสำคัญต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงทำโดยพระองค์ท่ามกลางท่านทั้งหลาย ดังที่พวกท่านทราบอยู่แล้ว” 

     (“Men of Israel, hear these words: Jesus of Nazareth, a man attested to you by God with mighty works and wonders and signs that God did through him in your midst, as you yourselves know)

 2:23 “พระเยซูองค์นี้ทรงถูกมอบไว้ตามที่พระเจ้าทรงดำริแน่นอนและทรงทราบล่วงหน้า และท่านทั้งหลายได้ประหารพระองค์ด้วยการตรึงพระองค์บนกางเขนโดยอาศัยน้ำมือของคนอธรรม”

    (this Jesus, delivered up according to the definite plan and foreknowledge of God, you crucified and killed by the hands of lawless men. )

 2:24 “แต่พระเจ้าทรงทำให้พระองค์คืนพระชนม์ ทรงให้พ้นจากความตายอันปวดร้าว เพราะว่าความตายจะครอบงำพระองค์ไว้ไม่ได้” 

     (God raised him up,loosing the pangs of death, because it was not possible for him to be held by it.)

2:25 “เพราะดาวิดกล่าวถึงพระองค์ว่า‘ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอเพราะพระองค์ประทับที่ขวามือของข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว”

     (For David says concerning him, “‘I saw the Lord always before me, for he is at my right hand that I may not be shaken;)

2:26 “เพราะเหตุนี้ จิตใจของข้าพเจ้าจึงยินดี และลิ้นของข้าพเจ้าจึงเปรมปรีดิ์ยิ่งกว่านั้นร่างกายของข้าพเจ้าจะอยู่ด้วยความหวัง”

     (therefore my heart was glad, and my tongue rejoiced; my flesh also will dwell in hope.)

2:27 “เพราะพระองค์จะไม่ทรงละข้าพระองค์ไว้ในแดนคนตายทั้งจะไม่ทรงให้องค์บริสุทธิ์ของพระองค์เปื่อยเน่าไป”

     (For you will not abandon my soul to Hades, or let your Holy One see corruption.)

2:28 “พระองค์จะทรงให้ข้าพระองค์รู้จักทางแห่งชีวิตแล้วพระองค์จะทรงให้ข้าพระองค์มีความยินดีเต็มเปี่ยมด้วยการสถิตของพระองค์’” 

      (You have made known to me the paths of life; you will make me full of gladness with your  presence.’)

2:29 “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้ามีใจกล้าที่จะกล่าวกับท่านทั้งหลายถึงดาวิดบรรพบุรุษของเราว่า ท่านตายแล้วและถูกฝังไว้แล้ว และอุโมงค์ฝังศพของท่านยังอยู่กับเราจนถึงทุกวันนี้” 

       (“Brothers, I may say to you with confidence about the patriarch David that he both died and was buried, and his tomb is with us to this day.) 

 2:30 “ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ และทราบว่าพระเจ้าตรัสสัญญาไว้กับท่านด้วยพระปฏิญาณว่าพระองค์จะประทานผู้หนึ่งในวงศ์ตระกูลของท่านให้นั่งบนบัลลังก์ของท่าน” 

      (Being therefore a prophet, and knowing that God had sworn with an oath to him that he would set one of his descendants on his throne, )

2:31 “ท่านก็ล่วงรู้เหตุการณ์นี้ก่อน จึงกล่าวถึงการคืนพระชนม์ของพระคริสต์ว่า ‘พระเจ้าไม่ทรงละพระองค์ไว้ในแดนคนตายทั้งพระกายของพระองค์ ก็ไม่ทรงเปื่อยเน่าไป’”

      (he foresaw and spoke about the resurrection of the Christ, that he was not abandoned to Hades, nor did his flesh see corruption. )

 2:32 “พระเยซูองค์นี้พระเจ้าได้ทรงให้คืนพระชนม์แล้วซึ่งเราทุกคนคือสักขีพยานของเรื่องนี้” 

     (This Jesus God raised up, and of that we all are witnesses. )

2:33 “เพราะฉะนั้นเมื่อทรงเชิดชูพระองค์ขึ้นอยู่ที่พระหัตถ์เบื้องขวาของพระเจ้าแล้วและเมื่อพระองค์ทรงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระบิดาตามพระสัญญาแล้ว พระองค์ทรงเทลงมาดังที่ท่านทั้งหลายได้ยินและได้เห็น”

      (Being therefore exalted at the right hand of God, and having received from the Father the promise of the Holy Spirit, he has poured out this that you yourselves are seeing and hearing. )

2:34 “เพราะว่าดาวิดไม่ได้ขึ้นไปยังสวรรค์แต่ท่านกล่าวว่า‘พระเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่าจงนั่งที่ขวามือของเรา”

     (For David did not ascend into the heavens, but he himself says, “‘The Lord said to my Lord, “Sit at my right hand,)

 2:35 “จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของท่านเป็นที่รองเท้าของท่าน” 

     (until I make your enemies your footstool.)

2:36 “เพราะฉะนั้น ให้พงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหมดทราบแน่นอนว่า พระเจ้าทรงแต่งตั้งพระเยซูที่ท่านทั้งหลายตรึงไว้บนกางเขนนั้นให้เป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสต์

    (Let all the house of Israel therefore know for certain that God has made him both Lord and Christ, this Jesus whom you crucified.”)

2:37 “เมื่อคนทั้งหลายได้ยินแล้วก็รู้สึกแปลบปลาบใจ จึงกล่าวกับเปโตรและอัครทูตคนอื่นๆ ว่า “พี่น้องเอ๋ย เราจะทำอย่างไรดี?” 

     (Now when they heard this they were cut to the heart, and said to Peter and the rest of the apostles, “Brothers, what shall we do?” )

 2:38 “เปโตรจึงกล่าวกับเขาทั้งหลายว่า“จงกลับใจใหม่และรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูคริสต์ให้หมดทุกคนเพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของท่านทั้งหลาย แล้วพวกท่านจะได้รับของประทานคือพระวิญญาณบริสุทธิ์” 

      (And Peter said to them, “Repent and be baptized every one of you in the name of Jesus Christ for the forgiveness of your sins, and you will receive the gift of the Holy Spirit. )

 2:39 “เพราะว่าพระสัญญานั้นตกแก่ท่านทั้งหลายกับลูกหลานของพวกท่านด้วย และแก่ทุกคนที่อยู่ไกล คือทุกคนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราทรงเรียกให้มาเฝ้า” 

      (For the promise is for you and for your children and for all who are far off, everyone whom the Lord our God calls to himself.” )

 2:40 “เปโตรจึงกล่าวอีกหลายเรื่องเป็นพยานและเตือนสติพวกเขาว่า “จงเอาตัวรอดจากชาติพันธุ์ที่คดโกงนี้เถิด” 

      (And with many other words he bore witness and continued to exhort them, saying, “Save yourselves from this crooked generation.” )

2:41 “คนทั้งหลายที่รับถ้อยคำของเปโตรก็รับบัพติศมา ในวันนั้นมีคนเข้าเป็นสาวกประมาณสามพันคน” 

     (So those who received his word were baptized, and there were added that day about three thousand souls.)

 2:42 “เขาทั้งหลายอุทิศตัวเพื่อฟังคำสอนของบรรดาอัครทูตและร่วมสามัคคีธรรม รวมทั้งหักขนมปังและอธิษฐาน”

      (And they devoted themselves to the apostles’ teaching and the fellowship, to the breaking of bread and the prayers. )

 2:43 “เขาทั้งหลายมีความเกรงกลัวด้วยกันทุกคน และพวกอัครทูตทำการอัศจรรย์ และหมายสำคัญมากมาย” 

       (And awe came upon every soul, and many wonders and signs were being done through the apostles.)

 2:44 “คนทั้งหมดที่เชื่อถือก็อยู่รวมกัน และนำทุกสิ่งมารวมเป็นของกลาง” 

       (And all who believed were together and had all things in common. )

 2:45 “และพวกเขาขายที่ดินและทรัพย์สิ่งของมาแบ่งให้แก่กันตามความจำเป็น”

       (And they were selling their possessions and belongings and distributing the proceeds to all, as any had need. )

 2:46 “ทุกๆ วัน พวกเขาอุทิศตัวอยู่ด้วยกันในพระวิหารและหักขนมปังตามบ้านของพวกเขา รับประทานอาหารร่วมกันด้วยความชื่นชมยินดีและจริงใจ”

      (And day by day, attending the temple together and breaking bread in their homes, they received their food with glad and generous hearts, )

 2:47 “ทั้งสรรเสริญพระเจ้าและได้รับความชื่นชอบจากทุกคน องค์พระผู้เป็นเจ้าก็โปรดให้คนทั้งหลายที่กำลังจะรอดเพิ่มจำนวนเข้ามามากยิ่งขึ้นทุกๆ วัน”

     (praising God and having favor with all the people. And the Lord added to their number day by day those who were being saved.)

ข้อมูลมีประโยชน์

2:14     “กับอัครทูตสิบเอ็ดคน”( with the eleven)  =พวกอัครทูตได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์และพูดภาษาท้องถิ่นในประเทศต่างๆ  และในเวลานี้ พวกเขายืนขึ้นกับเปโตรผู้ทำหน้าที่เป็นโฆษกของพวกเขา
2:15      “เพิ่งจะเก้าโมงเช้าเท่านั้น” (the third hour of the day)
             -ในเทศกาลอย่างวันเพ็นเทคอสต์ ชาวยิวจะไม่รับประทานอาหารจนกว่าจะถึงเวลา 10.00 น. จึงเป็นไปไม่ได้ เลยที่คนพวกนี้ จะเมาเหล้าองุ่นในช่วงเวลาเช่นนี้
2:17-18 “ประชากรทั้งปวง บุตรชายบุตรสาว..คนหนุ่ม..คนชรา..ชาย..หญิง” (all flesh, your sons and your daughters… your young men … old men …male … female  )
               =พระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณให้ลงมาสถิตในทุกคนไม่เกี่ยงเรื่องวัย เพศ หรือชนชั้น
 2:17     “วาระสุดท้าย” (the last days)-อสย.2:2;ฮชย.3:5;มคา.4:1;1ทธ.4:1;2ทธ.3:1;ฮบ.1:2;1ปต.1:20;  1ยน.2:18  

              -ในภาษาฮีบรู โยเอล ใช้คำว่า”ในภายหลัง” ส่วนในฉบับภาษากรีกที่เรียกว่า เซปตัวจิ้น ใช้คำว่า “หลังจากสิ่งเหล่านี้
              เปโตรตีความว่าเป็นยุคพันธสัญญาใหม่ซึ่งเป็นยุคหลัง คือ เป็นยุคของพระเมสสิยาห์ (ยรม.31:33-34; อสค .36:26-27;39:29) ซึ่งต่างจากยุคพันธสัญญาเดิมซึ่งเป็นยุคแรก(1:2)
 2:18     “เขาทั้งหลายจะเผยพระวจนะ” (they shall prophesy ) -1คร.12:10
 2:19-20 –ยอล.2:30-31;มก13:24-25
 2:21     “ทุกคนที่ร้องขอ” ( everyone who calls)-ปท.ข.39 =ต้องมีทั้งความเชื่อและการสนองตอบด้วยไม่ใช่แค่พูดเท่านั้น -มธ.7:21

2:22    “ทรงรับรองต่อท่านทั้งหลายโดยอิทธิฤทธิ์ การอัศจรรย์และหมายสำคัญต่างๆ” (God with mighty works and wonders and signs) =พระราชกิจยิ่งใหญ่ต่างๆของพระเยซูคริสต์ที่ทรงกระทำเป็นหลักฐานยืนยันว่าพระเมสสิยาห์ได้เสด็จมาแล้ว
2:23  “พระเจ้าทรงดำริแน่นอน และทรงทราบล่วงหน้า” (the definite plan and foreknowledge of God)
            =พระเจ้าทรงกำหนดและสำแดงพระประสงค์ของพระองค์ผ่านทางบรรดาผู้เผยพระวจนะว่า พระเมสสิยาห์ จะต้องทน ทุกข์ทรมาน และสิ้นพระชนม์  (17:2-3;26:22-23;ลก.24:25-26,45-46 ปท.1ปต1:11
2:27    “ไม่ทรงละข้าพระองค์ไว้ในแดนคนตาย” (will not abandon my soul to Hades ) = บางฉบับแปลว่า

           “ไม่ทรงทิ้งข้าพระองค์ไว้กับหลุมฝังศพ” –พระเจ้าจะไม่ยอมให้ร่างกายของพระเมสสิยาห์เน่าเปื่อย (ข.31)
2:29   “อุโมงค์ฝังศพของท่านยังอยู่กับเราจนถึงทุกวันนี้” (his tomb is with us to this day ) = สุสานของเขาก็อยู่ที่นี่   

            =อุโมงค์ฝังศพและร่างของดาวิดยังอยู่ในเยรูซาเล็ม
 2:33    “เมื่อทรงรับการเชิดชูสู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว”  (Being therefore exalted at the right hand of God) –ฮบ.1:2-3
             “พระวิญญาณบริสุทธิ์…ตามพระสัญญา” (the promise of the Holy Spirit, ) -1:4
             “ได้ทรงเทลงมา” (poured out ) -ข.17;ยอล.2:28
2:34     “พระเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า” (The Lord said to my Lord)  =ดาวิดเรียกเชื้อสายของพระองค์ด้วยความเคารพยำเกรง เพราะพระวิญญาณทรงดลใจให้ตระหนักว่าผู้ที่จะมาบังเกิดนั้นยิ่งใหญ่ และบริสุทธิ์ยิ่งนัก (มธ.22:41-45)  ไม่เพียงแต่จะเป็นจากตาย (31-32) แต่ยังได้รับการยกชูสู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าด้วย (33-35) และทรงส่งพระวิญญาณลงมา (33;ยน.16:7;สดด.110:1)
2:37    “รู้สึกแปลบปลาบใจ” (cut to the heart ) – บางฉบับแปลว่า “เสียดแทงใจ” เวลานี้ ผู้ฟังรู้สึกในความผิดมหันต์ของพวกเขาเอง
2:38     “จงกลับใจใหม่และรับบัพติศมา” (Repent and be baptized)
            =การกลับใจใหม่เป็นสาระสำคัญในคำเทศนาเตรียมทางให้พระเยซูคริสต์ของยอห์น (มก.1:4;ลก.3:3) และในคำเทศนาของพระเยซูคริสต์เอง (มก.1:15;ลก.13:3)  รวมทั้งในพระบัญชาที่มอบให้แก่สาวกก่อนเสด็จสู่สวรรค์ (ลก.24:47)
            =การบัพติศมาจึงสำคัญต่อยอห์นผู้ให้บัพติศมา, ต่อการทำตามพระบัญชาของพระเยซู (มธ.28:18-19)และต่อคำเทศนาในพระธรรมกิจการ(8:2;18:8)
            “ในพระนามของพระเยซูคริสต์”( in the name of Jesus Christ)  =ไม่ได้ขัดแย้งกับคำบัญชาให้บัพติศมาในพระนามของพระเจ้าพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ใน มัทธิว 28 :19-20
            ในตอนนี้ เพียงต้องการเน้นว่า บัพติศมานี้แตกต่างและไม่ใช่บัพติศมาของยอห์น (19:4-5)

          “เพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของท่านทั้งหลาย” (for the forgiveness of your sins)

          = “เพื่อรับการอภัยโทษบาปของท่าน” = ไม่ได้ หมายความว่า การรับบัพติศมาส่งผลให้ได้รับการอภัยบาป  แต่การให้อภัยบาปมาจากสิ่งที่บัพติศมาเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึง (รม.6:3-4)
           “พระวิญญาณบริสุทธิ์”( the Holy Spirit) = ของประทาน 2 อย่างในเวลานี้ คือการอภัยโทษบาป (22:16)  และพระวิญญาณบริสุทธิ์

2:42    “คำสอนของบรรดาอัครทูต” (to the apostles’ teaching ) =คำสอนทุกอย่างที่พระเยซูคริสต์สอน

               (มธ.28:20) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข่าวประเสริฐที่เน้นการสิ้นพระชนม์ การถูกฝัง และการเป็นขึ้นจากตาย

               (ข.23-24;3:15;4:10;1คร.15:1-4)  เป็นคำสอนที่มีเอกลักษณ์เพราะมาจากพระเจ้าและมีสิทธิอำนาจซึ่งพระเจ้ามอบให้แก่อัครทูต (2คร.13:10;1ธส.4:2) ตอนนี้ ถ่ายทอดต่อมาอยู่ในพระคัมภีร์ใหม่
            “หักขนมปัง”( the breaking of bread) – วลีนี้หมายถึง มื้ออาหารธรรมดา ในข้อ 46 (ลก.24:30,35) แต่ในที่นี้ น่าจะหมายถึงพิธีมหาสนิท (20:7 -ปท.1คร.10:16;11:20)
            “อธิษฐาน” ( the prayers) -พระธรรมกิจการเน้นการอธิษฐานเป็นสำคัญในชีวิตคริสเตียนทั้งเป็นส่วนตัว และต่อชุมชน (1:14;3:1;6:4;10:4,3112:5;16:13,16)
 2:44    “คนทั้งหมดที่เชื่อถือก็อยู่ร่วมกัน” (all who believed were together ) = “ผู้เชื่อทั้งปวงอยู่รวมกัน”

              = ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคริสตจักรยุคแรก (4:32;ยน.17:11,21-23รม15:5;อฟ.4:1-16;ฟป.2:1-4)
            “นำทุกสิ่งมารวมเป็นของกลาง” (had all things in common)

             = “ถือครองทุกอย่างร่วมกัน”  -4:34-35  = ผู้ที่มีความเชื่อแบ่งปันกันด้วยความสมัครใจเพื่อผู้ที่ขัดสนในการดำเนินชีวิต (4:36-5:9)

2:46     “ในพระวิหาร” (attending the temple ) = อาจคือ ในบริเวณพระวิหาร หรือเฉลียงของซาโลมอน (3:11;5:12)

 

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยเป็นพยานเรื่องพระคริสต์ครั้งแรกที่ไหน เมื่อไร กับใคร? แล้วผลเป็นอย่างไรบ้าง?
  2. คุณเคยมีประสบการณ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ในเรื่องอะไรเป็นพิเศษบ้าง? อย่างไร?
  3. ในคริสตจักรของคุณ เคยมีเด็กหรือผู้ใหญ่ เผยพระวจนะบ้างหรือไม่อย่างไร?
  4. ในคริสตจักรของคุณมีคนหนุ่มสาวได้เห็นนิมิตบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร และอย่างไร?
  5. คุณเคยเห็นหมายสำคัญหรือการอัศจรรย์อะไรบ้างที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของคุณหรืออีกหลายๆ คน? ที่ไหน?   และ อย่างไร?
  6. คุณเองรับฟังข่าวประเสริฐครั้งแรกที่ไหน เมื่อไร โดยผู้ใด และอย่างไร?
  7. คุณเคยเห็นคนกลับใจเชื่อพระเจ้าพร้อมกันจำนวนมากที่สุดเท่าไร? เมื่อไร? โดยใคร และอย่างไร? ที่ไหน? หรือเคยเห็นจำนวนคนรับบัพติศมามากที่สุด คือเท่าไร ที่ไหน และอย่างไร?
  8. คุณกระตือรือร้นในการอุทิศตัวในการสามัคคีธรรม นมัสการพระเจ้าและการรับใช้ร่วมกับพี่น้องในคริสตจักรหรือไม่? อย่างไร?
  9. คุณมีความประทับใจคริสตจักรของคุณในเรื่องใดมากที่สุด ทำไม?

 

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์  

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนพระธรรมกิจการของอัครทูต บทเรียนที่ 2

กำเนิดคริสตจักร (1)

พระธรรม        กิจการ 2:1-13

อ้างอิง             ลนต.23:15-16;1คร.14:23;กจ.2:12;4:31;ลก.2:25;1ปต.1:121;อฟ.5:18;กจ.13:13;14:24;15:35

บทนำ              คริสตจักรเกิดขึ้นตามวันเวลาที่พระเจ้าทรงกำหนด

                         พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย และทรงใช้เวลา 40 วันกับพวกสาวกของพระองค์ จากนั้น พระองค์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ก่อนที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาเป็นจุดเริ่มต้นการกำเนิดของคริสตจักรในโลกนี้!

บทเรียน

2:1 “เมื่อวันเทศกาลเพ็นเทคอสต์แปลว่า ที่ห้าสิบ เป็นเทศกาลภายหลังวันเริ่มเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ 50 วัน มาถึงพวกสาวกรวมตัวอยู่ในสถานที่แห่งเดียวกัน” 

   (When the day of Pentecost arrived, they were all together in one place. )

2:2 “ในทันใดนั้นมีเสียงมาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุแรงกล้าดังก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้น” 

    (And suddenly there came from heaven a sound like a mighty rushing wind, and it filled the entire house where they were sitting. )

 2:3 “และพวกเขาเห็นบางสิ่งที่คล้ายเปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้นแผ่กระจายอยู่บนตัวพวกเขาทุกคน” 

    (And divided tongues as of fire appeared to them and rested on each one of them. )

 2:4 “พวกเขาทั้งหมดก็เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงเริ่มต้นพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระวิญญาณทรงให้พูด”

    (And they were all filled with the Holy Spirit and began to speak in other tongues as the Spirit gave them utterance.)

 2:5 “มีพวกยิวจากทุกประเทศทั่วใต้ฟ้าซึ่งเป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้า มาอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม” 

    (Now there were dwelling in Jerusalem Jews, devout men from every nation under heaven.) 

 2:6 “เมื่อมีเสียงอย่างนั้นเขาทั้งหลายจึงพากันมา และฉงนสนเท่ห์เพราะต่างคนต่างได้ยินพวกเขาพูดภาษาของตัว” 

    (And at this sound the multitude came together, and they were bewildered, because each one was hearing them speak in his own language. )

 2:7 “เขาทั้งหลายจึงแปลกใจและอัศจรรย์ใจพูดว่า “นี่แน่ะ คนทั้งหลายที่พูดอยู่นี้เป็นชาวกาลิลีทุกคนไม่ใช่หรือ?”

    (And they were amazed and astonished, saying, “Are not all these who are speaking Galileans? )

 2:8 “ทำไมเราทุกคนถึงได้ยินพวกเขาพูดภาษาของบ้านเกิดเมืองนอนของเรา?” 

    (And how is it that we hear, each of us in his own native language?)

 2:9 “ซึ่งเป็นชาวปารเธีย ชาวมีเดีย ชาวเอลาม และเป็นคนที่อาศัยอยู่ในเขตแดนเมโสโปเตเมีย อยู่ในแคว้นยูเดียและแคว้นคัปปาโดเซีย อยู่ในแคว้นปอนทัสและแคว้นเอเชีย” 

    (Parthians and Medes and Elamites and residents of Mesopotamia, Judea and Cappadocia, Pontus and Asia,)

 2:10 “อยู่ในแคว้นฟรีเจียและแคว้นปัมฟีเลีย เป็นคนที่อยู่ในประเทศอียิปต์และในบางส่วนของเมืองลิเบียซึ่งขึ้นกับนครไซรีน เป็นคนที่มาจากกรุงโรม” 

    (Phrygia and Pamphylia, Egypt and the parts of Libya belonging to Cyrene, and visitors from Rome )

2:11 “ซึ่งมีทั้งพวกยิวกับพวกที่เข้าจารีตยิว และเป็นชาวครีตและชาวอาระเบีย เราต่างได้ยินคนเหล่านี้กล่าวถึง กิจการที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในภาษาของเราเอง

    (both Jews and proselytes, Cretans and Arabians—we hear them telling in our own tongues the mighty works of God.” )

 2:12 “พวกเขาจึงประหลาดใจและฉงนสนเท่ห์พูดกันว่า “นี่อะไรกัน?”

    (And all were amazed and perplexed, saying to one another, “What does this mean?” )

 2:13 “แต่บางคนเยาะเย้ยว่า “พวกเขาเมาเหล้าองุ่นใหม่”

    (But others mocking said, “They are filled with new wine.”)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

2:1       “วันเพ็ญเทคอสต์” (Pentecost) = วันที่ 50 หลังวันสะบาโตของสัปดาห์ปัสกา (ลนต.23:15-16)

               เพราะฉะนั้น จึง = เป็นวันแรกของสัปดาห์ หรือเรียกได้อีกว่า “เทศกาลแห่งสัปดาห์” (ฉธบ.16:10)

                = เทศกาลเก็บเกี่ยว (อพย.23:16)  และวันถวายผลแรก (กดว.28:26)

                “พวกสาวก” (they)  อาจ = 1) อัครทูต 11 คน (รวมมัทธีอัส) หรือ     2) ทุกคนที่กล่าวถึงใน กจ.1:13-15

              “รวมตัวอยู่ในสถานที่แห่งเดียวกัน” (all together in one place) = ไม่ใช่ห้องชั้นบนที่พบปะกันใน กจ.1:13 แต่อาจอยู่ในบริเวณพระวิหาร (ที่ปกติพวกอัครทูตไปอยู่ที่พระวิหารเป็นประจำในเวลาที่พระวิหารเปิด) (ลก.24:53)

2:2       “เสียงพายุแรงกล้า” (a sound like a mighty rushing wind) –ในพระคัมภีร์ “ลม” เป็นสัญลักษณ์ของพระวิญญาณของพระเจ้า (อสค.37:9,14;ยน.3:8)

            -เครื่องหมายของการเสด็จมาของพระวิญญาณ คือ สิ่งที่ได้ยิน (ลมพายุ) และสิ่งที่มองเห็นได้ (ไฟ)

           “ทั่วตึก” (the entire house) = อาจหมายถึงพระวิหาร (ปท.7:47)

2:3       “เปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้น” (divided tongues as of fire) = ภาพเปรียบที่เหมาะกับบริบท เพราะมีคนพูดหลายภาษาอยู่ที่นั่น

           “ไฟ” (fire) =สัญลักษณ์ของการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า (อพย.3:2) และเกี่ยวข้องกับการพิพากษาด้วย (มธ.3:12)

2:4       “พวกเขาทั้งหมด” (they were all) = พวกอัครทูตหรือสาวก 120 คนก็ได้ ซึ่งสำเร็จตามคำพยากรณ์ของโยเอล (ข.17-18)

           “เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” ( filled with the Holy Spirit)  = สำเร็จตาม กจ.1:4-5:8; ปท.ลก.24:49;ยน.14:16-18;20:22

         = จิตวิญญาณของพวกเขาอยู่ภายในการควบคุมของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นคำพูดของเขาจึงเป็นดุจคำตรัสของพระองค์

        “พูดภาษาอื่น ๆ “ (to speak in other) = ภาษาต่าง ๆ พระวิญญาณทำให้พวกเขาสามารถพูดภาษาอื่นหรือภาษาต่าง ๆ ได้ โดยที่พวกเขาไม่เคยเรียนรู้มาก่อน (กจ.10:46;19:6; ปท.1:1คร.12-14) เพราะในสถานที่นี้มีคนต่างชาติต่างภาษาอยู่ร่วมกันอย่างมากมาย

2:5       “พวกยิวจากทุกประเทศทั่วใต้ฟ้าซึ่งเป็นผู้ยำเกรงพระเจ้า” (Jews, devout men from every nation under heaven)  = ยิวผู้เคร่งครัดในศาสนาจากส่วนต่าง ๆ ของโลกมาชุมนุมกันในเยรูซาเล็ม (ซึ่งมีทั้งผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ และผู้มาเยือน) ปท.ลก.2:25

2:6       “ได้ยินพวกเขาพูดภาษาของตัว” (each one was hearing them speak in his own language)  = พวกยิวที่อยู่ ณ ที่นั้น ได้ยินอัครทูต (และพวก) พูดภาษาท้องถิ่นของสถานที่หรือประเทศต่าง ๆ ที่พวกเขาออกมา

2:9       “ชาวปารเธีย” ( Parthians ) = ผู้ที่อาศัยอยู่ในดินแดนตั้งแต่แม่น้ำไทกรีสไปจนถึงอินเดีย

               “ชาวมีเดีย” (Medes)  = ผู้อยู่ทางตะวันออกของเมโสโปเตเมีย ตะวันออกเฉียงเหนือของเปอร์เซีย และทางใต้กับทางตะวันตกเฉียงใต้ของทะเลแคสเบียน

              “ชาวเอลาม” ( Elamites) = ผู้อยู่ทางเหนือของอ่าวเปอร์เซีย ทางตะวันตกจดแม่น้ำไทกรีส

              “เมโสโปเตเมีย” (Mesopotamia ) = อยู่ระหว่างแม่น้ำไทกรีสและยูเฟรติส

             “แคว้นยูเดีย” (Judea) = บ้านเกิดของคนยิว หากใช้ตามความหมายในพระคัมภีร์เดิม ก็คือ ตั้งแต่ลำน้ำแห่งอียิปต์ จดแม่น้ำใหญ่คือยูเฟรติส (ปฐก.15:18) ซึ่งรวมกาลิลีเข้าด้วย

            “แคว้นคับปาโดเซีย แคว้นปอนทัส และเอเซีย” (Cappadocia, Pontus and Asia)  = แคว้นต่างๆ ของเอเซียน้อย (2คร1:8)

2:10     “แคว้นฟรีเจีย และแคว้นปัมฟีเลย” (Phrygia and Pamphylia)  = แคว้นในเอเชียน้อย

             “ประเทศอียิปต์” (Egypt) = สถานที่ที่มีชาวยิวอาศัยอยู่มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 ก่อน ค.ศ. โดย 2 ใน 5 เขตของเมืองอเล็กซานเดรีย เป็นเขตของคนยิว

              “เมืองลิเปีย” (the parts of Libya ) = ดินแดนทางตะวันตกของอียิปต์

              “นครไซรีน” (Cyrene) = เมืองหลวงของแคว้นลิเบีย ชื่อ “ไซรีไนกา”

              “กรุงโรม” (Rome) = เมืองที่มีชาวยิวนับพัน ๆ อาศัยอยู่

2:11     “พวกที่เข้าจารีตยิว” (both Jews and proselytes) = คนต่างชาติที่รักษาบัญญัติของโมเสสอย่างครบถ้วน และได้รับการยอมรับเข้าสู่สังคมชาวยิวอย่างสมบูรณ์

              “ชาวครีต” (Cretans)  = เกาะครีตที่อยู่ทางใต้ และตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศกรีซ

              “ชาวอาระเบีย” (Arabians) = ชาวอาหรับ จากดินแดนทางตะวันออก อาณาจักรของชาวนาบาเทียอาหรับตั้งอยู่ระหว่างทะเลแดงและแม่น้ำยูเฟรติส มีเปตราเป็นเมืองหลวง

“เราต่างได้ยินคนเหล่านี้กล่าวถึงกิจการที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในภาษาของเราเอง” (we hear them telling in our own tongues the mighty works of God) = พวกสาวกของพระคริสต์กำลังประกาศความอัศจรรย์ของพระเจ้าด้วยภาษาท้องถิ่นของสถานที่ต่าง ๆ ที่พวกชาวยิวเดินทางจากมา

คำถามนำอภิปราย  

  1. คุณเคยมีประสบการณ์กับ “พระวิญญาณบริสุทธิ์” หรือ “ปรากฏการณ์ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์สำแดงพระองค์” บ้างหรือไม่? ที่ไหน? อย่างไร?  แล้วเกิดอะไรตามมา?
  2. คุณเคยมีความสงสัยหรือความไม่เข้าใจหรือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์บ้างหรือไม่? เรื่องอะไร และอย่างไร?   แล้วส่งผลอะไรต่อคุณบ้าง?
  3. คุณเคยถูกคนล้อเลียนหรือหมิ่นประมาทคุณเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์บ้างหรือไม่? โดยผู้ใด? อย่างไร? ที่ไหน? แล้วคุณรับมืออย่างไร?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนพระธรรมกิจการของอัครทูต บทเรียนที่ 1

พระเยซูกำลังจะไปพระวิญญาณจะมา

พระธรรม     กิจการ 1:1-26

อ้างอิง         ลก.1:1-4;มธ.28:19-20;ยน.20:12;สดด.69:25

บทนำ          พระเยซูกระทำกิจสำคัญจนสำเร็จ ดังบันทึกไว้ในพระธรรมลูกา จากนั้น พระองค์ทรงมอบหมายภารกิจให้สาวกของพระองค์กระทำต่อ โดยอาศัยความช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังที่ปรากฏในพระธรรมกิจการ  จนบางคนเรียกพระธรรมกิจการว่า ลูกา ภาค 2

บทเรียน

1:1 “ท่านเธโอฟีลัส ในหนังสือฉบับแรกนั้น ข้าพเจ้ากล่าวแล้วถึงทุกสิ่งที่พระเยซูทรงตั้งต้นทำและสั่งสอน” 

    (In the first book, O Theophilus, I have dealt with all that Jesus began to do and teach )

1:2 “จนถึงวันที่พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นไป หลังจากตรัสสั่งโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์กับบรรดาอัครทูตแปลได้อีกว่าผู้ที่ทรงใช้ ไปซึ่งพระองค์ทรงเลือกไว้” 

    (until the day when he was taken up, after he had given commands through the Holy Spirit to the apostles whom he had chosen.) 

1:3 “เมื่อพระองค์ทรงทนทุกข์ทรมานแล้ว พระองค์ทรงสำแดงพระองค์กับพวกเขาด้วยหลักฐานหลายอย่าง พิสูจน์ว่าพระองค์ทรง      พระชนม์อยู่ ทรงปรากฏแก่เขาทั้งหลายระหว่างสี่สิบวัน และได้ทรงกล่าวถึงเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า” 

    (He presented himself alive to them after his suffering by many proofs, appearing to them during forty days and speaking about the kingdom of God.)

1:4  “ขณะพระองค์ทรงพำนักอยู่กับพวกอัครทูต ทรงกำชับพวกเขาว่า “อย่าออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่ให้รอคอยรับตามพระสัญญาของพระบิดา ซึ่งพวกท่านได้ยินจากเรา” 

     (And while staying with them he ordered them not to depart from Jerusalem, but to wait for the promise of  the Father, which, he said, “you heard from me) 

1:5 “นั่นก็คือยอห์นให้รับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่อีกไม่นานพวกท่านจะรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”

     (for John baptized with water, but you will be baptized with the Holy Spirit not many days from now.”)

1:6  “เมื่อเขาทั้งหลายประชุมพร้อมกัน พวกเขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงตั้งราชอาณาจักรขึ้นใหม่ ให้ชนชาติอิสราเอลในครั้งนี้หรือ?” 

     (So when they had come together, they asked him, “Lord, will you at this time restore the kingdom to Israel?”)

 1:7 “พระองค์ตรัสตอบเขาทั้งหลายว่า “ไม่ใช่ธุระของพวกท่านที่จะรู้เวลาและวาระที่พระบิดาทรงกำหนดไว้โดยสิทธิอำนาจของพระองค์” 

     (He said to them, “It is not for you to know times or seasons that the Father has fixed by his own authority.)

   1:8 “แต่พวกท่านจะได้รับพระราชทานฤทธานุภาพ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลาย จะเป็นสักขีพยานของเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย ทั่วแคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก 

    (But you will receive power when the Holy Spirit has come upon you, and you will be my witnesses in Jerusalem and in all Judea and Samaria, and to the end of the earth.”)

 1:9 “เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา และมีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของเขา” 

    (And when he had said these things, as they were looking on, he was lifted up, and a cloud took him out of their sight.)

 1:10 “เมื่อพวกเขากำลังเขม้นมองดูฟ้า ในขณะที่พระองค์เสด็จขึ้นไป มีชายสองคนสวมเสื้อขาวมายืนอยู่ข้างๆ พวกเขา” 

     (And while they were gazing into heaven as he went, behold, two men stood by them in white robes, )

1:11 “สองคนนั้นกล่าวว่า “ชาวกาลิลีเอ๋ย ทำไมพวกท่านถึงยืนจ้องมองฟ้าสวรรค์? พระเยซูองค์นี้ที่ทรงรับไปจากท่านทั้งหลายขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกในลักษณะเดียวกับที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น

      (and said, “Men of Galilee, why do you stand looking into heaven? This Jesus, who was taken up from you into heaven, will come in the same way as you saw him go into heaven.”)

 1:12 “แล้วอัครทูตจึงลงจากภูเขามะกอกเทศซึ่งอยู่ใกล้กรุงเยรูซาเล็ม (ระยะทางเท่ากับระยะที่อนุญาตให้คนเดินในวันสะบาโต)แล้วกลับไปกรุงเยรูซาเล็ม” 

    (Then they returned to Jerusalem from the mount called Olivet, which is near Jerusalem, a Sabbath day’s journey away. )

1:13 “เมื่อเข้ากรุงแล้วเขาเหล่านั้นจึงขึ้นไปยังห้องชั้นบนที่เคยพักอยู่นั้น มีเปโตร ยอห์น ยากอบกับอันดรูว์ ฟีลิป กับโธมัส บารโธโลมิวกับมัทธิว ยากอบบุตรอัลเฟอัส ซีโมนพรรคชาตินิยม กับยูดาสบุตรยากอบ”

    (And when they had entered, they went up to the upper room, where they were staying, Peter and John and James and Andrew, Philip and Thomas, Bartholomew and Matthew, James the son of Alphaeus and Simon the Zealot and Judas the son of James.) 

 1:14   “พวกเขาอุทิศตัวอธิษฐานด้วยกัน พร้อมกับพวกผู้หญิงและมารีย์มารดาของพระเยซูทั้งพวกน้องชายของพระองค์ด้วย”

     (All these with one accord were devoting themselves to prayer, together with the women and  Mary the mother of Jesus, and his brothers.)

 1:15   “ในเวลานั้นเปโตรยืนขึ้นท่ามกลางพวกพี่น้อง (ซึ่งอยู่รวมกันประมาณร้อยยี่สิบคน) และกล่าวว่า”

     (In those days Peter stood up among the brothers (the company of persons was in all about 120) and said)

 1:16  “นี่แน่ะ พี่น้องทั้งหลาย จำเป็นจะต้องสำเร็จตามพระคัมภีร์ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสไว้โดยปากของดาวิดเกี่ยวกับยูดาสผู้นำทางให้กับพวกที่ไปจับพระเยซู” 

     (“Brothers, the Scripture had to be fulfilled, which the Holy Spirit spoke beforehand by the mouth of David  concerning Judas, who became a guide to those who arrested Jesus. )

 1:17   “เพราะเขานับยูดาสเข้าในกลุ่มเรา และได้รับส่วนในพันธกิจนี้” 

      (For he was numbered among us and was allotted his share in this ministry.” )

1:18   (คนนี้ได้นำค่าตอบแทนที่ได้จากการอธรรมของตนไปซื้อที่ดิน แล้วก็คะมำตกและแตกกลางลำตัวไส้พุงทะลักออกมาหมด” 

      (Now this man acquired a field with the reward of his wickedness, and falling headlong he burst open in the middle and all his bowels gushed out. )

1:19  “เหตุการณ์นี้ทุกคนที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มก็รู้ ที่ดินแปลงนี้จึงถูกเรียกตามภาษาของพวกเขาว่า อาเคลดามา คือนาเลือด)”

      (And it became known to all the inhabitants of Jerusalem, so that the field was called in their own language  Akeldama, that is, Field of Blood.)

 1:20 “เพราะมีคำเขียนไว้ในพระธรรมสดุดีว่า ‘ขอให้ที่อยู่ของเขาร้างเปล่าและอย่าให้มีใครอยู่ที่นั่น’ และ‘ขอให้อีกคนหนึ่งมายึดตำแหน่งของเขา’” 

     (“For it is written in the Book of Psalms, “‘May his camp become desolate, and let there be no one to dwell in it’;and”‘Let another take his office.’)

 1:21 “เพราะฉะนั้น คนหนึ่งในบรรดาคนที่อยู่กับเราตลอดเวลาที่พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จเข้าออกท่ามกลางเรา” 

    (So one of the men who have accompanied us during all the time that the Lord Jesus went in and out among us,)

     1:22 “คือตั้งแต่บัพติศมาของยอห์น จนถึงวันที่พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นไปจากเรา คนหนึ่งในคนเหล่านี้จะต้องเป็น พยานร่วมกับเราเกี่ยวกับการคืนพระชนม์ของพระองค์ 

     (beginning from the baptism of John until the day when he was taken up from us—one of these men must become with us a witness to his resurrection.” )

 1:23  “เขาทั้งหลายจึงเสนอชื่อสองคนคือโยเซฟที่เรียกว่าบารซับบาส ที่มีนามสกุลว่ายุสทัส และมัทธีอัส” 

    (And they put forward two, Joseph called Barsabbas, who was also called Justus, and Matthias. )

1:24   “แล้วพวกสาวกจึงอธิษฐานว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงทราบใจของมนุษย์ทุกคน ขอทรงสำแดงว่าในสองคนนี้พระองค์ทรงเลือกคนไหน” 

    (And they prayed and said, “You, Lord, who know the hearts of all, show which one of these two you have chosen )

 1:25 “ให้รับส่วนในพันธกิจนี้และรับหน้าที่เป็นอัครทูตแทนยูดาสผู้ทิ้งหน้าที่นี้หันไปสู่ที่ของตนเอง”

     (to take the place in this ministry and apostleship from which Judas turned aside to go to his own place.” )

 1:26  “เขาทั้งหลายจึงจับฉลากกัน และฉลากนั้นได้แก่มัทธีอัส เขาจึงได้รับเลือกให้อยู่ในกลุ่มอัครทูตสิบเอ็ดคนนั้น”

     (And they cast lots for them, and the lot fell on Matthias, and he was numbered with the eleven apostles.)

ข้อมูลมีประโยชน์

1:1        “เธโอฟีลัส” (Theophilus) =ผู้รับคนเดียวกันกับผู้รับพระธรรมลูกา

              “หนังสือฉบับแรก” (the first book            ) = พระธรรมลูกา

“ทรงตั้งต้นทำและสั่งสอน” (began to do and teach) = บทสรุปที่กระชับอันเหมาะสมของพระธรรมลูกาเกี่ยวกับกิจของพระเยซูคริสต์ และบอกเป็นนัย ๆ ว่า พระองค์จะทรงกระทำกิจต่อไปในพระธรรมกิจการ โดยผ่านคริสตจักรและพระวิญญาณบริสุทธิ์

1:2        “พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นไป” (he was taken up) = ภาพสุดท้ายของพระธรรมลูกา (24:50-52) และปิดฉากสมบูรณ์ในพระธรรมกิจการ (ซึ่งเป็นเล่มที่ 2 หรือภาค 2 ของลูกา) –กจ.1:6-11

            = พระเยซูเสด็จสู่สวรรค์หลังจากเป็นขึ้นจากตาย 40 วัน (ข.3)

            “ตรัสสั่งโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์” (commands through the Holy Spirit) = หลังจากพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย พระองค์ตรัสสั่งอัครฑูตผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยทำให้งานของอัครทูตสำเร็จ (ข.4-5,8;ลก24:49;ยน.20:22)

1:3        “ด้วยหลักฐานหลายอย่างพิสูจน์ว่า” (by many proof)  -มธ.28:1-20;ลก.24:1-53;ยน.20:1-29;1คร.15:3-8

            “เรื่องแผ่นดินของพระเจ้า” (about the kingdom of God) = หัวใจของคำเทศนาสั่งสอนของพระเยซูคริสต์ (มธ.3:2;ลก.4:43)

1:4        “รอคอยรับตามพระสัญญาของพระบิดา” (to wait for the promise of the Father) = พระวิญญาณบริสุทธิ์ (ลก.24:49;ยน.14:26;15:26-27;16:12-13)

1:5        “ยอห์นให้รับบัพติศมาด้วยน้ำ” (John baptized with water  ) –ลก.3:16

            “อีกไม่นาน” (not many days) = หลังจากนั้นอีก 10 วัน

            “ท่านจะรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” (you will be baptized with the Holy Spirit) = ในวันเพนเทคอสต์ (2:1-4)

1:6        “จะทรงตั้งราชอาณาจักรขึ้นใหม่…หรือ?” (will you at this time restore the kingdom… ?”) = พวกสาวกคิดเหมือนชาวยิวคนอื่นๆ ที่รอคอยการเสด็จมากอบกู้ชาวอิสราเอล จากชาวต่างชาติที่เข้ามาครอบครอง และจะทรงสถาปนาอาณาจักรแบบโลกขึ้นมาใหม่ เมื่อพูดถึงพระวิญญาณจะเสด็จมาจึงทำให้พวกเขาสงสัยว่า ยุคใหม่กำลังจะมาถึงแล้วใช่หรือไม่? 

1:7        “จะรู้เวลาและวาระ” (know times or seasons)  = เวลาที่กำลังล่วงเลยไป หรือลักษณะของเหตุการณ์ที่กำลังจะมาถึง  (มก.13:32;1ธส.5:1)

1:8        “จะได้รับพระราชทานฤทธานุภาพ…จนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” (will receive power when the Holy Spirit …..to  the end of the earth.       ) = โครงเรื่องของพระธรรมกิจการ ที่อัครฑูตต้องเป็นพยานจากในกรุงเยรูซาเล็ม (บท 1-7) แคว้นยูเดียและสะมาเรีย (บท 8-9) และถึงสุดปลายแผ่นดินโลก ซึ่งก็รวมถึงซีซารียา อันทิโอก แคว้นเอเชียน้อย ประเทศกรีซและกรุงโรม (บท 10-28)

-แต่พวกเขาได้รับการกำชับว่า ก่อนเริ่มงานที่ยากลำบากนี้ พวกเขาต้องได้รับฤทธิ์อำนาจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ก่อน (1:4-5)

“จะเป็นสักขีพยานของเรา” (will be my witnesses) = ประเด็นสำคัญหนึ่งตลอดในพระธรรมกิจการ (2:32;3:15;5:32;10:39;13:31;22:15)

“แคว้นยูเดีย”  (Judea) แคว้นที่ตั้งของกรุงเยรูซาเล็ม 

“แคว้นสะมาเรีย” (Samaria) แคว้นที่ติดกับทางเหนือของยูเดีย

1:9        “พระเจ้าทรงรับพระองค์นั้นไป” ( he was lifted up) –ข.2

             “มีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาเขา” (a cloud took him out of their sight) –มธ.17:5

1:10      “ชายสองคนสวมเสื้อขาว” (two men …in white robes) –ปท.ยน.20:12         

1:11      “ชาวกาลิลีเอ๋ย” (Men of Galilee) = อัครฑูตของพระเยซูทั้ง 12 คน ล้วนมาจากกาลิลี ยกเว้นยูดาส

             “ในลักษณะเดียวกับที่ท่านได้เห็น” (the same way as you saw him go into heaven.) = ด้วยพระกาย

หลังจากเป็นขึ้นจากตายในหมู่เมฆ = ด้วยพระเกียรติสิริที่ยิ่งใหญ่ (มธ.24:30)

1:12      “ภูเขามะกอกเทศ” (the mount called Olivet)  = การเสด็จสู่สวรรค์เกิดขึ้นที่เชิงเขาด้านตะวันออก ระหว่างกรุงเยรูซาเล็มกับหมู่บ้านเบธานี (ลก.19:28-29,37;ศคย.14:4;มก.11:1;ลก.19:29;24:50)

            “ระยะทางเท่ากับระยะที่อนุญาตให้คนเดินในวันสะบาโต” (a Sabbath day’s journey away) = ถูกกำหนดโดยรับบีชาวยิว (อพย.16:29;กดว.35:5;ยชว.3:4)

            = ราว ๆ 1000 เมตร คนยิวที่เคร่ง ๆ จะไม่เดินไปไกลเกินนี้เป็นอันขาด ในวันสะบาโต

1:13      “ห้องชั้นบน” (the upper room) = อาจเป็นห้องชั้นบนในบ้านหลังใหญ่ เช่นเดียวกับห้องที่พระเยซูรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายกับพวกสาวก (มก.14:15) หรืออาจเป็นบ้านของมารีย์ผู้เป็นมารดาของมาระโก (12:2)

            “บารโธโลมิว” (Bartholomew ) = นาธานาเอล (ยน.1:45-49,21:2)

            “ยากอบบุตรอัลเฟอัส” (James the son of Alphaeus ) = ยากอบน้อยใน มก.15:40

            “พรรคชาตินิยม” (the Zealot) –มธ.10:4

            “ยูดาสบุตรยากอบ” (Judas the son of James) = ธัดเดอัส (มธ.10:3) ไม่ใช่ยูดาสอิสคาริโอท

1:14      “พวกผู้หญิง” (the women) =อาจหมายถึง ภรรยาของอัตรทูต  (ปท.1คร.9:5)  และพวกผู้หญิงที่ถูกเอ่ยชื่อว่าปรนนิบัติรับใช้พระคริสต์ (มธ.27:55;ลก.8:2-3;24:22)

            “มารีย์มารดาของพระเยซู” ( Mary the mother of Jesus) =ถูกเอ่ยถึงเป็นครั้งสุดท้ายในพระคัมภีร์

            “พวกน้องชายของพระองค์” (his brothers) = ลก.8:9 – หนึ่งในนั้นคือ ยากอบซึ่งต่อมากลายเป็นบุคคลสำคัญในคริสตจักรแรก (12:17;15:13;21:18;กท.1:9;2:9)

1:16      “จำเป็นต้องสำเร็จตามพระคัมภีร์” (the Scripture had to be fulfilled ) –1:20; ลก.24:27;45-47

1:18      “นำค่าตอบแทน…ไปซื้อที่ดิน” (acquired a field with the reward) = ยูดาสซื้อที่ดินทางอ้อม เพราะเงินที่เขาคืนให้พวกปุโรหิต (มธ.27:3) ถูกนำเอาไปซื้อที่ดิน (ทุ่งช่างปั้นหม้อ)  ใน มธ.27:7

“คะมำตกและแตกกลางลำตัวไส้พุงทะลักออกมาหมด” (falling headlong he burst open in the middle and all his bowels gushed out.) –ใน มธ.27:5 –บอกว่า ยูดาสผูกคอตาย คงจะเป็นตอนท้ายศพเน่าแล้วตกลงมา หรือไม่ก็มีใครตัดเชือกทำให้ศพที่เน่าแล้วตกลงมาท้องแตก (บางคนตีความว่า คำว่า “ผูกคอ” ในมธ.27:5 หมายถึง “เสียบทะลุ”) (อสธ.2:23)

1:20      “มีคำเขียนไว้” (it is written) = พระคัมภีร์ 2 ตอนผนวกกันเข้าเพื่อสื่อว่า ยูดาส ทำให้เกิดที่ว่าง ที่ต้องการคนมาแทนที่

1:21      “คนหนึ่งในบรรดาคนที่อยู่กับเรา” (So one of the men who have accompanied us) = คนที่ร่วมทำพันธกิจ ต่อสาธารณชน (ปท.9:28)

1:22      “จะต้องเป็นพยานร่วมกับเราเกี่ยวกับการคืนพระชนม์ของพระองค์” (must become with us a witness to his resurrection) = มีหลายคนที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ แต่ในที่นี่ต้องการเลือกคนหนึ่งอย่างเป็นทางการมาเป็นพยานเรื่องนี้ จึงหมายถึงอัครทูตคนที่ 12 (ข.25)

1:23      “บารซับบาส” (Barsabbas)  = “บุตรแห่งวันสะบาโต”

               -การใช้ชื่อโดยอ้างชื่อบิดาได้นำมาใช้กับคริสเตียนยิวในยุคแรก 2 คน ซึ่งอาจเป็นพี่น้องกัน คนแรกคือ โยเซฟ ในข้อนี้ อีกคนคือ ยูดาส ผู้เผยพระวจนะในเยรูซาเล็ม ซึ่งถูกส่งตัวไปเมืองอันทิโอกพร้อมกับลิลาส (15:22,32)

                   “ยุสทัส” (Justus) = ชื่อภาษากรีกของโยเซฟ

 1:26      “จับฉลากกัน” (cast lots ) –สภษ.16:33 การจับฉลากคือการมอบสิทธิ์ให้พระเจ้าเป็นผู้เลือก สิ่งที่ใช้จับฉลากอาจเป็นก้อนหิน หรือกิ่งไม้ (1พศด.26:13-16;นหม.11:1;ยนา 1:7) และนี่เป็นครั้งสุดท้ายที่พระคัมภีร์พูดถึงการจับฉลาก

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยต้องรอเวลา ตามคำสั่งของพระเจ้าในเรื่องใดเรื่องหนึ่งบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? ยากหรือง่าย? ทำไม และผลออกมาเป็นอย่างไร?
  2. คุณเคยสงสัยในความคิดหรือแผนการของพระเจ้าและทูลถามขอคำตอบจากพระองค์บ้างหรือไม? อย่างไร? เรื่องอะไร? แล้วคุณได้คำตอบหรือไม่?
  3. คุณเคยร่วมใจขะมักเขม้นอธิษฐานกับพี่น้องในเรื่องใดที่สำคัญที่สุดในชีวิตของคุณ? กับใคร? แล้วส่งผลเป็นอย่างไร?
  4. คุณเคยเห็นคนบาปได้รับผลกรรมต่อหน้าของคุณหรือไม่? ใคร? เรื่องอะไร? และอย่างไร?
  5. คุณเคยเห็นคนทรยศต่อพี่น้องหรือมิตรของตัวเองบ้างหรือไม่? บั้นปลายเป็นอย่างไร? หรือคุณเคยทำเช่นนั้นบ้างหรือไม่? กับใคร? แล้วผลเป็นอย่างไร?
  6. คุณเคยตัดสินใจเลือกสิ่งสำคัญโดยใช้การจับฉลากบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร และอย่างไร? และพอใจในผลลัพธ์หรือไม่? ทำไม?

 

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระกิตติคุณยอห์น บทเรียนที่ 19

พระเยซูกับสาวกที่พระเยซูทรงรัก

พระธรรม        ยอห์น 21:1-25

อ้างอิง              ยน.20:14,19,26;18:18,13:23,11:16,2:1,1:45;มธ.4:21;26:33;ลก.5:4-7;24:16

บทนำ              แม้ว่าเปโตรจะล้มเหลว แต่พระเยซูก็ให้โอกาสแก่เขาในการรับใช้ หากเรารักพระองค์ พระองค์ก็ให้โอกาสแก่เราในการรับใช้เช่นกัน ไม่ว่าเราจะผิดพลาดหรือล้มเหลวมาแล้วกี่ครั้ง ตราบใดที่เรายังรักพระองค์อยู่พระเจ้าทรงใช้เราได้!

บทเรียน

21:1 “ต่อมาพระเยซูทรงสำแดงพระองค์แก่พวกสาวกอีกครั้งหนึ่งที่ทะเลทิเบเรียส พระองค์ทรงสำแดงพระองค์อย่างนี้” 

    (After this Jesus revealed himself again to the disciples by the Sea of Tiberias, and he revealed himself in this way.) 

21:2 “คือ ซีโมนเปโตร โธมัสที่เรียกว่าดิดุโมส นาธานาเอลชาวบ้านคานาแคว้นกาลิลี บุตรทั้งสองของเศเบดี และสาวกของพระองค์อีกสองคน กำลังอยู่ด้วยกัน”

   (Simon Peter, Thomas (called the Twin), Nathanael of Cana in Galilee, the sons of Zebedee, and two others of his disciples were together.) 

21:3 “ซีโมนเปโตรบอกพวกเขาว่า “ข้าจะไปจับปลา” พวกเขาจึงพูดกับซีโมนว่า “เราจะไปด้วย” แล้วพวกเขาก็ออกไปลงเรือ แต่คืนนั้นเขาจับปลาไม่ได้เลย”

   (Simon Peter said to them, “I am going fishing.” They said to him, “We will go with you.” They went out and  got into the boat, but that night they caught nothing.)

21:4 “เมื่อถึงรุ่งเช้า พระเยซูทรงยืนอยู่ที่ฝั่ง แต่พวกสาวกไม่รู้ว่าเป็นพระเยซู” 

     (Just as day was breaking, Jesus stood on the shore; yet the disciples did not know that it was Jesus.) 

21:5 “พระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “ลูกเอ๋ย ยังไม่ได้ปลาหรือ?” เขาตอบว่า “ยัง” 

    (Jesus said to them,”Children, do you have any fish?” They answered him, “No.” )

21:6 “พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงทอดอวนลงทางด้านขวาเรือ แล้วจะได้ปลามาบ้าง” เขาจึงทอดอวนลงและได้ปลาจำนวนมากจนลากอวนขึ้นไม่ไหว”

    (He said to them, “Cast the net on the right side of the boat, and you will find some.” So they cast it, and now they were not able to haul it in, because of the quantity of fish.) 

21:7 “สาวกคนที่พระเยซูทรงรัก บอกเปโตรว่า “เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” เมื่อเปโตรได้ยินว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาก็หยิบเสื้อมาสวมเพราะถอดเสื้อและตัวเปล่าอยู่ แล้วก็กระโดดลงทะเล” 

    (That disciple whom Jesus loved therefore said to Peter, “It is the Lord!” When Simon Peter heard that it was the Lord, he put on his outer garment, for he was stripped for work, and threw himself  into the sea.) 

21:8 “แต่สาวกคนอื่นๆ นั้นนั่งเรือมาและลากอวนที่ติดปลาเต็มนั้นมาด้วย เพราะเขาอยู่ห่างจากฝั่งไม่มากนัก ไกลประมาณหนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น”

    (The other disciples came in the boat, dragging the net full of fish, for they were not far from the Land, but about a hundred yards off.)

21:9 “เมื่อพวกเขาขึ้นมาบนฝั่งก็เห็นถ่านติดไฟอยู่ มีปลาวางอยู่ข้างบน และมีขนมปัง”

     (When they got out on land, they saw a charcoal fire in place, with fish laid out on it, and bread.) 

21:10 “พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เอาปลาที่เพิ่งจับได้มาบ้าง” 

     (Jesus said to them, “Bring some of the fish that you have just caught.” )

21:11 “ซีโมนเปโตรจึงลงไปในเรือแล้วลากอวนขึ้นฝั่ง อวนนั้นเต็มไปด้วยปลาตัวใหญ่ๆ มีหนึ่งร้อยห้าสิบสามตัว แม้จะมีมากขนาดนั้นอวนก็ไม่ขาด”

    (So Simon Peter went aboard and hauled the net ashore, full of large fish, 153 of them. And although there were so many, the net was not torn. )

21:12 “พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “มารับประทานอาหารกันเถิด” พวกสาวกไม่มีใครกล้าถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นใคร?” เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” 

     (Jesus said to them,”Come and have breakfast.” Now none of the disciples dared ask him, “Who are you?” They knew it was the Lord.) 

21:13 “พระเยซูทรงเข้ามาหยิบขนมปังแจกให้พวกเขา และทรงหยิบปลาแจกด้วย” 

     (Jesus came and took the bread and gave it to them, and so with the fish.)

21:14 “นี่เป็นครั้งที่สามที่พระเยซูทรงสำแดงพระองค์แก่พวกสาวก หลังจากที่พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว”

     (This was now the third time that Jesus was revealed to the disciples after he was raised from the dead.)

21:15 “เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว พระเยซูตรัสกับซีโมนเปโตรว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเรามากกว่าพวกนี้หรือ?” เขาทูลพระองค์ว่า “ใช่ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระองค์ตรัสสั่งเขาว่า “จงเลี้ยงดูลูกแกะของเราเถิด” 

     (When they had finished breakfast, Jesus said to Simon Peter,”Simon, son of John, do you love me more than these?” He said to him, “Yes, Lord; you know that I love you.” He said to him, “Feed my lambs.”)

21:16 “พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สองว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเราหรือ?” เขาทูลตอบพระองค์ว่า “ใช่ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์ทรงทราบว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงดูแลแกะของเราเถิด” 

    (He said to him a second time, “Simon, son of John, do you love me?”He said to him, “Yes, Lord; you know that I love you.” He said to him,”Tend my sheep.” )

21:17 “พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สามว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเราหรือ?” เปโตรเสียใจมากที่พระองค์ตรัสถามเขาครั้งที่สามว่า “ท่านรักเราหรือ?” เขาจึงทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงรู้ดีว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงดูแกะของเราเถิด” 

    (He said to him the third time, “Simon, son of John, do you love me?” Peter was grieved because he said to him the third time, “Do you love me?” and he said to him, “Lord, you know everything; you know that I love you.” Jesus said to him, “Feed my sheep.) 

21:18 “เราบอกความจริงกับท่านว่า เมื่อท่านยังหนุ่ม ก็คาดเอวของท่านเองและเดินไปไหนๆ ตามที่ท่านปรารถนา แต่เมื่อแก่แล้ว ท่านจะเหยียดมือออก และจะมีคนมาคาดเอวของท่าน และพาไปที่ที่ท่านไม่ปรารถนาจะไป

      (Truly, truly, I say to you, when you were young, you used to dress yourself and walk wherever you wanted, but when you are old, you will stretch out your hands, and another will dress you and carry you where you do not want to go.” )

21:9 “(ที่พระองค์ตรัสอย่างนั้นก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าเปโตรจะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยการตายแบบใด) เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์จึงตรัสกับเปโตรว่า “จงตามเรามาเถิด

   (This he said to show by what kind of death he was to glorify God.) And after saying this he said to him, “Follow me.”)

21:20 “เปโตรเหลียวหลังเห็นสาวกคนที่พระองค์ทรงรักตามมา (สาวกคนนั้นคือคนที่เอนตัวลงใกล้พระองค์ขณะรับประทานอาหารและทูลถามว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า คนที่จะทรยศพระองค์เป็นใคร?”) 

    (Peter turned and saw the disciple whom Jesus loved following them, the one who also had leaned back against him during the supper and had said, “Lord, who is it that is going to betray you?” )

21:21 “เมื่อเปโตรเห็นสาวกคนนั้นจึงทูลถามพระเยซูว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า คนนี้จะเป็นยังไงบ้าง?” 

     (When Peter saw him, he said to Jesus, “Lord, what about this man?” )

21:22 “พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ถ้าเราอยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะมา มันเกี่ยวอะไรกับท่าน? จงตามเรามาเถิด” 

     (Jesus said to him, “If it is my will that he remain until I come, what is that to you? You follow me!” )

21:23 “เพราะฉะนั้นคำที่ว่าสาวกคนนั้นจะไม่ตาย จึงลือกันไปท่ามกลางพวกพี่น้อง พระเยซูไม่ได้ตรัสกับเขาว่าสาวกคนนั้นจะไม่ตาย แต่ตรัสว่า “ถ้าเราอยากให้เขาอยู่จนกว่าเราจะมา มันเกี่ยวอะไรกับท่าน?”

     (So the saying spread abroad among the brothers that this disciple was not to die; yet Jesus did not say to him that he was not to die, but, “If it is my will that he remain until I come, what is that to you?”)

21:24 “สาวกคนนี้แหละที่เป็นพยานถึงเหตุการณ์เหล่านี้ และเป็นคนที่บันทึกสิ่งเหล่านี้ไว้ และเราทราบว่าคำพยานของเขาเป็น​ความจริง”

    (This is the disciple who is bearing witness about these things, and who has written these things, and we know that his testimony is true.)

21:25 “พระเยซูยังทรงทำสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าจะเขียนให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคิดว่าแม้ที่ทั้งโลกไม่พอใส่หนังสือที่จะเขียนนั้น”

      (Now there are also many other things that Jesus did. Were every one of them to be written, I suppose that the world itself could not contain the books that would be written.)

 ข้อมูลมีประโยชน์

 21:1      “ทิเบเรียส” (Tiberias) -6:1 , หมายถึงทะเบสาบกาลิลี

 21:2      “ซีโมนเปโตร” (Simon Peter)  -มก.1:16

                “โธมัส” (Thomas) -11:16

            “บุตรทั้งสองของเศเบดี” (the sons of Zebedee)  = ยอห์นและยากอบ  แต่จะไม่เอ่ยชื่อทั้ง 2 คนนี้ในพระธรรมเล่มนี้เลย (มธ.4:21)

21:3      “คืนนั้น” (that night) = ทั้งคืน  , ชาวประมงในสมัยนั้นชอบหาปลาเวลากลางคืน

21:4      “ไม่รู้ว่าเป็นพระเยซู” (not know that it was Jesus  ) –ปท.กับมารีย์ ชาวมักดารา (20:14)

21:7      “สาวกคนที่พระเยซูทรงรัก” (That disciple whom Jesus loved) -13:23

               “หยิบเสื้อมาสวม” (he put on) = เสื้อตัวนอก แปลกที่เปโตรหยิบเสื้อตัวนอก(เครื่องแต่งกายชิ้นนี้) แล้วกระโดดลงน้ำ

             -คนยิวถือว่า การทักทายในทางศาสนาทำได้เฉพาะเมื่อสวมเสื้อผ้าเท่านั้น เปโตรอาจเตรียมตัวเพื่อทักทายพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า

21:9      “ถ่านติดไฟอยู่” ( a charcoal fire) = แปลตามตัว “ถ่านไม้” เช่นเดียวกับใน 18:18 (ไฟ – ดู 18:26)

21:11    “ลากอวนขึ้นฝั่ง” (hauled the net ashore)  = ดูเหมือนเปโตรเป็นผู้นำกลุ่ม เพราะทั้งกลุ่มยังไม่สามารถลากอวนขึ้นเรือได้ก่อนหน้านี้ (ข.6)

             “อวนก็ไม่ขาด” ( the net was not torn) = แตกต่างจากอวนที่เอ่ยใน ลก.5:6

21:14    “นี่เป็นครั้งที่สาม” (the third time  ) = พระเยซูปรากฏพระองค์เองเป็นครั้งที่ 3 กับเหล่าสาวก (20:19-23,24-29) แต่พระองค์ก็ปรากฏกับบางรายบุคคลด้วย

21:15-17 “รัก….รัก…..รัก” (love.. love.. love) = ในภาษากรีก คำว่า “รัก” ใน 2 คำถามแรกของพระเยซูเป็นคนละคำกับในคำถามที่สาม และในคำตอบของเปโตร

             -ไม่แน่ใจว่า ยอห์นจงใจใช้คำเหล่านี้เพื่อให้ความหมายที่ต่างกันหรือไม่ สิ่งสำคัญคือ คำถามว่า การหวนคืนของเปโตรในการรับใช้ครั้งนี้ มาจากความรักต่อพระเยซูหรือไม่?

21:15    “มากกว่าพวกนี้หรือ” (you love me more than these?) = ยิ่งกว่าสิ่งเหล่านี้จริง ๆ หรือ อาจหมายความว่า

  1. มากกว่ารักคนเหล่านี้หรือ?
  2. มากกว่าที่คนเหล่านี้รักเราหรือ?
  3. มากกว่ารักสิ่งเหล่านี้(อวน เรือ ฯลฯ) หรือ?

-แต่เมื่อเปรียบเทียบกับที่เปโตรเคยอ้างว่า ตัวเองอุทิศตัวแด่พระเยซูมากกว่าคนอื่น ๆ (มธ.26:33;มก.14:29; ยน.13:37)

เปรียบเทียบ

  1. จงเลี้ยงดูลูกแกะของเรา (ข.15)
  2. จงดูแลแกะของเรา (ข.16) –บางฉบับแปลว่า “จงเลี้ยงลูกแกะของเรา”
  3. จงเลี้ยงดูแกะของเรา (ข.17)

21:17    “พระองค์ทรงรู้ดีว่า” (you know that)  = พระองค์ทรงทราบทุกอย่าง –เป็นคำตอบที่เปโตรเน้นว่า พระเยซูทรงทราบทุกสิ่งอยู่แล้ว

21:18    “เราบอกความจริงกับท่าน” (Truly, truly, I say to you,)  -มก.3:28

                “ท่านจะเหยียดมือออก” ( you will stretch out your hands) = คำพยากรณ์ว่า เปโตรจะถูกตรึง

21:19    “การตายแบบใด” (what kind of death) = เชื่อกันว่า เปโตรจะเป็นผู้พลีชีพแบบถูกตรึงกลับหัว

21:20    “สาวกคนที่พระองค์ทรงรัก” (the disciple whom Jesus loved)  -13:23

               “ตามมา” (following them) = เขากำลังทำสิ่งที่เปโตรถูกบอกให้ทำ 2 ครั้ง (ข.19,22)

21:22    “จนกว่าเราจะมา” (until I come) = คำประกาศที่ชัดเจนถึงการเสด็จกลับมาครั้งที่ 2 ของพระเยซู (14:3)

21:24    “สาวกคนนี้แหละที่เป็นพยาน” ((This is the disciple who is bearing witness) = การเป็นพยานหรือคำพยานเป็นหัวข้อที่สำคัญมากตลอดเล่มของพระธรรมยอห์นเล่มนี้ (1:7)                      

            “ถึงเหตุการณ์เหล่านี้” (about these things) = เรื่องราวในพระกิตติคุณยอห์นทั้งเล่ม

            “เป็นคนที่บันทึกสิ่งเหล่านี้ไว้” (who has written these things) = ยอห์นหรือสาวกที่พระเยซูทรงรักไม่เพียงแต่เป็นพยาน แต่เป็นผู้เขียนพระธรรมตอนนี้ด้วย

            “เราทราบว่า “ (we know) = เขียนโดยคนที่อยู่ร่วมสมัยกับเหตุการณ์ต่าง ๆ นั้นที่อยู่และรับรู้เหตุการณ์จริง

 21:25    “สิ่งอื่น ๆ อีกมายมาย” (many other things) –อย่างเช่นในยอห์น 20:30  เป็นการบ่งบอกว่า ผู้เขียนพระธรรมตอนนี้ เลือกเขียนเหตุการณ์บางเหตุการณ์เท่านั้น

             “แม้ที่ทั้งโลกไม่พอใส่หนังสือที่จะเขียนนั้น” (that the world itself could not contain the books that would be written ) = การพูดแบบเกินจริงเพื่อให้เห็นภาพ (ตัวอย่างเช่นใน ลูกา 14:26)

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยมีประสบการณ์กับการที่พระเยซูมาปรากฏกับคุณบ้างหรือไม่? ที่ไหน? เมื่อไร? และอย่างไร?  แล้วเกิดอะไรตามมา? (หรือเคยรู้จักกับใครที่มีประสบการณ์ดังกล่าว?)
  2. คุณเคยมีประสบการณ์กับการทำบางสิ่ง(ที่เราเคยทำอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว) แต่ไม่เกิดผลเลยบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? แล้วพระเจ้า(พระเยซูคริสต์) ทรงช่วยคุณอย่างไรบ้าง? (แบ่งปัน)
  3. คุณมีประสบการณ์ในการสามัคคีธรรมกับพระเยซูคริสต์(เป็นส่วนตัวหรือเป็นกลุ่ม) ที่คุณไม่มีวันลืมเลือนเลย บ้างหรือไม่? อย่างไร? (แบ่งปัน)
  4. คุณเคยถูกสงสัยในความรักที่คุณมีต่อพระ(เยซู)เจ้าบ้างหรือไม่? ทำไม? แล้วคุณพิสูจน์ตัวเองอย่างไร?
  5. คุณแสดงความรักอย่างเป็นรูปธรรมต่อพระเยซูเจ้าอย่างไรบ้าง? คำสั่งของพระองค์ในเรื่องการให้ดูและและเลี้ยงดูแกะของพระองค์นั้นคุณทำอย่างเต็มที่แล้วหรือยัง? อย่างไร?
  6. คุณคิดว่า “ชีวิต” และ “ความตาย” ของคุณ สามารถถวายเกียรติแด่พระเจ้าได้อย่างไรบ้าง?
  7. คุณเคยเป็นคนอยากรู้อยากเห็น และถูกพระเจ้าตักเตือนบ้างหรือไม่? อย่างไร?
  8. คุณเป็นพยานอะไรให้แก่พระเยซูคริสต์ แก่คนใกล้ตัวหรือรอบตัวของคุณบ้าง? อย่างไร? และได้ผลอะไรบ้าง หรือไม่?
  9. คุณเคยเขียนหรือโพสต์อะไรเพื่อเป็นพยานให้พระเยซูคริสต์บ้างหรือไม่? อย่างไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระกิตติคุณยอห์น บทเรียนที่ 19

จุดประสงค์ของพระคัมภีร์เล่มนี้

พระธรรม      ยอห์น 20:1-31

อ้างอิง           มธ.28:1-10;มก.16:1-8;ลก.24:1-12

บทนำ            ผู้เขียนพระธรรมยอห์น ต้องการให้หลักฐานพระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นจากตายท่ามกลางพยานรู้เห็นหลายคน พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงรับสภาพมนุษย์ถูกตรึงตายไถ่บาปของเราและผู้ใดเชื่อ แม้ว่าจะมองไม่เห็นพระองค์ด้วยตาก็เป็นสุข!

บทเรียน

20:1 “วันอาทิตย์เวลาเช้ามืด มารีย์ชาวมักดาลามาถึงอุโมงค์ฝังศพและเห็นว่าหินที่ปิดปากอุโมงค์นั้นถูกยกออกไปแล้ว” 

   (Now on the first day of the week Mary Magdalene came to the tomb early, while it was still dark, and saw that the stone had been taken away from the tomb.) 

20:2 “นางจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรกับสาวกอีกคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรักนั้นและพูดกับเขาว่า “เขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าออกไปจากอุโมงค์แล้ว และเราก็ไม่รู้ว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน

   (So she ran and went to Simon Peter and the other disciple, the one whom Jesus loved, and said to them, “They have taken the Lord out of the tomb, and we do not know where they have laid him.)

20:3 “เปโตรจึงออกไปที่อุโมงค์กับสาวกคนนั้น” 

 (So Peter went out with the other disciple, and they were going toward the tomb.) 

20:4 “เขาวิ่งไปทั้งสองคน แต่สาวกคนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตรจึงมาถึงอุโมงค์ก่อน”

  (Both of them were running together, but the other disciple outran Peter and reached the tomb first. )

20:5 “เขาก้มลงมองดูเห็นผ้าป่านวางอยู่ แต่เขาไม่ได้เข้าไปข้างใน”

  (And stooping to look in, he saw the linen cloths lying there, but he did not go in. )

20:6 “ซีโมนเปโตรตามมาถึงภายหลัง แล้วเข้าไปในอุโมงค์เห็นผ้าป่านวางอยู่” 

  (Then Simon Peter came, following him, and went into the tomb. He saw the linen cloths lying there,) 

20:7 “ส่วนผ้าพันพระเศียรของพระองค์ไม่ได้วางอยู่กับผ้าอื่น แต่พับไว้ต่างหาก” 

  (and the face cloth, which had been on Jesus’ head, not lying with the linen cloths but folded up in a  place by itself. )

20:8 “แล้วสาวกคนนั้นที่มาถึงก่อนก็ตามเข้าไปด้วย เขาเห็นและเชื่อ”

    (Then the other disciple, who had reached the tomb first, also went in, and he saw and believed; )

20:9 “แต่ขณะนั้นเขายังไม่เข้าใจข้อพระคัมภีร์ที่เขียนไว้ว่าพระองค์จะต้องเป็นขึ้นจากตาย”

     (for as yet they did not understand the Scripture, that he must rise from the dead. )

20:10 “แล้วสาวกทั้งสองก็กลับไปยังบ้านของตน”

    (Then the disciples went back to their homes.)

20:11 “ส่วนมารีย์ยังยืนร้องไห้อยู่นอกอุโมงค์ ขณะที่ร้องไห้อยู่นางก้มลงมองเข้าไปในอุโมงค์”

   (But Mary stood weeping outside the tomb, and as she wept she stooped to look into the tomb. )

20:12 “และเห็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ที่ที่เขาวางพระศพพระเยซู องค์หนึ่งอยู่เบื้องพระเศียร อีกองค์หนึ่งอยู่เบื้องพระบาท” 

   (And she saw two angels in white, sitting where the body of Jesus had lain, one at the head and one at the feet.)

20:13 “ทูตทั้งสองพูดกับมารีย์ว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม?” นางตอบว่า “เพราะเขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าไป และข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเอาไปไว้ที่ไหน” )

    (They said to her, “Woman, why are you weeping?” She said to them, “They have taken away my Lord, and I do not know where they have laid him.” )

20:14 “เมื่อมารีย์พูดอย่างนั้นแล้ว ก็หันกลับมาและเห็นพระเยซูทรงยืนอยู่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นพระองค์” 

   (Having said this, she turned around and saw Jesus standing, but she did not know that it was Jesus. )

20:15 “พระเยซูตรัสถามว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม? ตามหาใคร?” มารีย์เข้าใจว่าพระองค์เป็นคนทำสวนจึงตอบว่า “นายเจ้าข้า ถ้าท่านเอาพระองค์ไป ขอบอกให้ดิฉันรู้ว่าเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน ดิฉันจะได้รับพระองค์ไป” 

    (Jesus said to her, “Woman, why are you weeping? Whom are you seeking?” Supposing him to be the gardener, she said to him, “Sir, if you have carried him away, tell me where you have laid him,  and I will take him away.” )

20:16 “พระเยซูตรัสกับนางว่า“มารีย์เอ๋ย”มารีย์จึงหันมาทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับโบนี” (ซึ่งแปลว่า ท่านอาจารย์)” 

    (Jesus said to her,”Mary.” She turned and said to him in Aramaic, “Rabboni!” (which means Teacher).

20:17 “พระเยซูตรัสกับนางว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้ เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปหาพระบิดาของเรา แต่จงไปหาพวกพี่น้องของเรา และบอกเขาว่าเรากำลังจะขึ้นไปหาพระบิดาของเราและพระบิดาของพวกท่าน ไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของพวกท่าน” 

     (Jesus said to her, “Do not cling to me, for I have not yet ascended to the Father; but go to my brothers and say to them, ‘I am ascending to my Father and your Father, to my God and your God.’)

20:18 “มารีย์ชาวมักดาลาจึงไปบอกพวกสาวกว่า “ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” และนางก็เล่าให้พวกเขาฟังว่าพระองค์ตรัสคำเหล่านั้นกับนาง”

    (Mary Magdalene went and announced to the disciples, “I have seen the Lord”—and that he had said these things to her.)

20:19 “ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันอาทิตย์ เมื่อสาวกปิดประตูห้องที่พวกเขาอยู่เพราะกลัวพวกยิว พระเยซูก็เสด็จเข้ามาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย” 

    (On the evening of that day, the first day of the week, the doors being locked where the disciples were for fear of the Jews, Jesus came and stood among them and said to them, “Peace be with you.” )

20:20 “เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ทรงให้เขาดูพระหัตถ์และสีข้างของพระองค์ เมื่อพวกสาวกเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วก็มีความยินดี” 

   (When he had said this, he showed them his hands and his side. Then the disciples were glad when they saw the Lord.) 

20:21 “พระเยซูตรัสกับเขาอีกว่า“สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายพระบิดาทรงใช้เรามาอย่างไร เราก็ใช้พวกท่านไปอย่างนั้น

    (Jesus said to them again,”Peace be with you. As the Father has sent me, even so I am sending you.” )

20:22 “เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้วจึงทรงระบายลมหายใจเหนือพวกเขาและตรัสกับเขาว่า “จงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด”

     (And when he had said this, he breathed on them and said to them, “Receive the Holy Spirit.) 

20:23 “ถ้าพวกท่านจะอภัยบาปของใคร บาปของพวกเขาก็จะได้รับการอภัย ถ้าท่านไม่อภัยบาปของใคร บาปของพวกเขาก็จะไม่ได้รับการอภัย

    (If you forgive the sins of any, they are forgiven them; if you withhold forgiveness from any, it is withheld.”)

20:24 “โธมัสที่เขาเรียกกันว่าดิดุโมสซึ่งเป็นสาวกคนหนึ่งในสิบสองคนนั้น ไม่ได้อยู่กับพวกเขาเมื่อพระเยซูเสด็จมา”

     (Now Thomas, one of the twelve, called the Twin, was not with them when Jesus came. )

20:25 “สาวกคนอื่นๆ จึงบอกโธมัสว่า “เราเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” แต่โธมัสตอบพวกเขาว่า “ถ้าข้าไม่เห็นรอยตะปูที่พระหัตถ์ของพระองค์ และไม่ได้เอานิ้วของข้าแยงเข้าไปที่รอยตะปูนั้น และไม่ได้เอามือของข้าแยงเข้าไปที่สีข้างของพระองค์แล้ว ข้าจะไม่เชื่อเลย

     (So the other disciples told him, “We have seen the Lord.” But he said to them, “Unless I see in his hands the mark of the nails, and place my finger into the mark of the nails, and place my hand into his side, I will never believe.”)

20:26 “เมื่อผ่านไปแปดวันแล้ว พวกสาวกของพระองค์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีกและโธมัสอยู่กับพวกเขาด้วย ประตูก็ปิดแล้ว แต่พระเยซูเสด็จเข้ามาและทรงยืนอยู่ท่ามกลางเขาตรัสว่า “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย

    (Eight days later, his disciples were inside again, and Thomas was with them. Although the doors  were locked, Jesus came and stood among them and said, “Peace be with you.” )

20:27 “แล้วพระองค์ตรัสกับโธมัสว่า “เอานิ้วของท่านแยงที่นี่ และดูที่มือของเรา ยื่นมือของท่านออกมาคลำที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยเลย แต่จงเชื่อ” 

   (Then he said to Thomas,”Put your finger here, and see my hands; and put out your hand, and  place it in my side. Do not disbelieve, but believe.” )

20:28 “โธมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์” 

    (Thomas answered him, “My Lord and my God!” )

20:29 “พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เพราะท่านเห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ? คนที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข

    (Jesus said to him, “Have you believed because you have seen me? Blessed are those who have not seen and yet have believed.”)

20:30 “พระเยซูทรงทำหมายสำคัญอื่นๆ อีกหลายอย่างต่อหน้าพวกสาวก ซึ่งไม่ได้บันทึกไว้ในหนังสือเล่มนี้” 

     (Now Jesus did many other signs in the presence of the disciples, which are not written in this book; )

20:31 “แต่การที่บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ ก็เพื่อพวกท่านจะได้เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้วท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์”

     (but these are written so that you may believe that Jesus is the Christ, the Son of God, and that by believing you may have life in his name.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

20:1 “เวลาเช้ามืด” ( while it was still dark) = ขณะที่ยังมืดอยู่ ในมาระโกพรรณาว่า “พอดวงอาทิตย์ขึ้น” (มก.16:2)  

          “มารีย์ชาวมักดาลา” (Mary Magdalene  )  -19:25;มก.16:9  

        = พวกผู้หญิงอาจมาเป็นกลุ่ม แต่มารีย์มักดาลามาเร็วกว่าคนอื่น ๆ  (หรือเวลาออกจากบ้าน อาจเป็นเวลาที่ยัง

           มืดอยู่และเวลาที่มาถึงอุโมงค์ฝังศพอาจเป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นพอดี)

20:2 “ไปหาซีโมนเปโตร” (went to Simon Peter) = ทั้ง ๆ ที่เปโตรปฏิเสธพระเยซู แต่เขายังเป็นผู้นำของกลุ่มสาวกอยู่

         “สาวกอีกคนหนึ่งที่พระเยซูทรงรัก” (the one whom Jesus loved) -13:23

           “เรา” (we)  = ในที่นี่บ่งบอกว่า มีมากกว่าตัวมารีย์ที่ไปที่นั่น (มธ.28:1;มก.16:1;ลก.24:10)

         “เราก็ไม่รู้ว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน” (we do not know where they have laid him) = มารีย์เองก็ไม่ได้คิดว่าพระเยซูจะเป็นขึ้นจากความตาย

20:7  “ผ้าพันพระเศียร….พับไว้ต่างหาก” (the face cloth, …folded up in a place by itself) = พับเป็นระเบียบไม่ได้ยุ่งเหยิงเหมือนถูกขโมยศพ

20:8 “เขาเห็นและเชื่อ” ( he saw and believed) -20:29 , เขาเชื่อแล้วพระเยซูเป็นขึ้นจากตาย

20:9 “เขายังไม่เข้าใจข้อพระคัมภีร์” (they did not understand the Scripture)  = ตอนแรกพวกเขาไม่รู้ ไม่เข้าใจในเรื่องเป็นขึ้นจากตาย พวกเขาจึงย่อมไม่ได้สร้างสถานการณ์ใด ๆ ในเรื่องนี้

        “พระองค์จะต้องเป็นขึ้นจากตาย” (he must rise from the dead ) = เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่ให้เป็นเช่นนั้น

20:11 “ร้องไห้” (weeping) = พระเยซูปรากฏแก่มารีย์ก่อนผู้ใด เพราะในเวลานั้นเธอต้องการพระเยซูมากที่สุด การร้องไห้ในที่นี้เป็นการคร่ำครวญ แสดงความโศกเศร้า (11:33)

20:12 “ทูตสวรรค์สององค์” ( two angels) –ในมัทธิวบอกว่า มีทูตสวรรค์องค์เดียว(มธ.28:2)ในมาระโกบอกว่าเป็นชายหนุ่ม (มก.16:5) ในลูกาบอกว่า เป็นชาย 2 คน ซึ่งเป็นทูตสวรรค์ (ลก.24:4,23)

20:13 “หญิงเอ๋ย” (Woman) –ข.15;2:4

20:14 “แต่ไม่ทราบว่า เป็นพระองค์” ( but she did not know that it was Jesus ) = มีหลายครั้งที่ผู้คนจำพระเยซูไม่ได้ หลังจากที่พระองค์เป็นขึ้นจากตาย (21:4;มธ.28:17;ลก.24:16;37)

20:16 “รับโบนี” (Rabboni) –เป็นคำที่หนักแน่นขึ้นของคำว่า “รับบี” (มก.10:51) ปกติคนยิวใช้คำนี้เรียกพระเจ้าในเวลาอธิษฐาน

20:17 “เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปหาพระบิดาของเรา” ( for I have not yet ascended to the Father)

      = พระเยซูจะยังไม่ได้เสด็จสู่สวรรค์ ดังนั้นมารีย์จะมีโอกาสพบกับพระองค์ เธอจึงไม่จำเป็นต้องหน่วงเหนี่ยวพระองค์ไว้ (แต่ต่อไปพระองค์จะอยู่กับเธอในทางพระวิญญาณ) – 16:5-16)

20:17  “ไปหาพวกพี่น้องของเรา” (go to my brothers) = ในตอนนี้ คงหมายถึง “พวกสาวกของพระองค์”

            (ข.18;มก.3:35) เพราะตอนนั้น น้อง ๆ ในครอบครัวของพระองค์ยังไม่ได้เชื่อ แต่มาเชื่อภายหลัง (กจ.1:14)

          “พระบิดาของเรา และพระบิดาของพวกท่าน” ( my Father and your Father) = พระเจ้าเป็นพระบิดาของทั้งพระคริสต์ และผู้ที่เชื่อ แต่ในความหมายที่แตกต่างกัน (1:12,14,18,34;3:16)

20:18 “ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” (I have seen the Lord) = มารีย์เห็นพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากตายเป็นคนแรก แต่ต่อมาคนอื่น ๆ ก็ได้เห็นพระองค์ด้วยเช่นกัน (ข.20,25,29)

20:19 “สาวก” (the disciples)  = อาจหมายถึงพวกสาวก 11 คน และคนอื่น ๆ ด้วย (ลก.24:36)

        “สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย” ( Peace be with you) = คำทักทายปกติของคนฮีบรู       (ดนล.10:19)

           พวกเขาคงเป็นทุกข์และกลัวถูกตำหนิที่ละทิ้งพระองค์ในวันศุกร์ที่ผ่านมา แต่ในเวลานี้ พระองค์กลับปลอบโยนพวกเขาให้หายกลัว (14:27)

20:20 “พระหัตถ์และสีข้างของพระองค์” ( his hands and his side) = มีรอยแผลตามบันทึกไว้ –ลูกา24:37

           ไม่ใช่เป็นผีตามที่พวกเขากลัว

20:21 “พระบิดาทรงใช้เราอย่างไร เราก็ใช้พวกท่านไปอย่างนั้น” ( the Father has sent me, even so I am sending you) -ยน.17:18

20:22 “จงรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เถิด” (Receive the Holy Spirit) = เป็นการบอกล่วงหน้า ของสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ 50 วัน   คือในวันเพนเทคอสต์ (กจ.2:2,4;14,17,33,38)

         = เป็นการบอกเป็นนัย ๆ ว่า พวกสาวกจะทำงานที่พระองค์ทรงมอบหมายไม่ได้ หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์

20:23 “ถ้าพวกท่านจะอภัยบาปแก่ใคร บาปของพวกเขาก็จะได้รับการอภัย” (If you forgive the sins of any, they are forgiven then) = แปลตรงตัวว่า คนที่ท่านอภัยบาปให้ ก็ได้รับการอภัยเรียบร้อยแล้ว

          “ถ้าท่านไม่อภัย บาปของใคร บาปของพวกเขาก็จะไม่ได้รับการอภัย” ( if you withhold forgiveness from  any, it is withheld. ) = คนที่ท่านไม่ได้อภัยบาปให้ ก็ยังไม่ได้รับการอภัย

          = ไม่ใช่ว่า พระเจ้าจะอภัยหรือไม่อภัยบาปของคนหนึ่งคนใดเพราะเราอภัยหรือไม่ให้อภัยเขา แต่ขึ้นอยู่กับว่าผู้ฟังจะยอมรับหรือไม่ยอมรับการตายไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ (มก.16:19;18:18) หากพวกเขารับ พวกเขาก็ได้รับการอภัย โดยเราเป็นตัวแทนในการให้อภัยนั้น

20:24 “โธมัส” (Thomas) –11:16

20:25 “ถ้าเขาไม่เห็น…ไม่ได้เอานิ้วของข้าแยงเข้าไปที่รอยตะปูนั้น ….ไม่ได้เอามือของข้าแยงไปที่สีข้าง…

ข้าจะไม่เชื่อเลย ( We have seen …”Unless I see in his hands the mark of the nails, … my hand into his  side, I will never believe.” ) = เป็นอาการของคนหัวแข็งที่ไม่เชื่อถ้าไม่ได้พิสูจน์

20:26  “สันติสุข” (Peace) –ข.19,21;14:27

20:28 “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์” (My Lord and my God! ) = การยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้า(นาย) และเป็นพระเจ้าผู้สูงสุดในความศรัทธาของเรา (1:1)

20:29 “คนที่ไม่เห็นเรา แต่เชื่อก็เป็นสุข” (Blessed are those who have not seen and yet have believed)  –ข.8  

          = ความสุขมีแก่ผู้ที่ไม่ได้เห็น แต่ก็ยังเชื่อ (ทั้งคนในสมัยนั้น สมัยนี้ และต่อ ๆ ไปในอนาคตด้วย)

20:30 “หมายสำคัญ” ( other signs) -2:11 , ยอห์น เลือกบันทึกหมายสำคัญบางอย่างเท่านั้น

        “ต่อหน้าพวกสาวก”(in the presence of the disciples)=ผู้ที่สามารถเป็นพยานถึงสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำ(1:7)

20:31 “เพื่อพวกท่านจะได้เชื่อพระเยซูเป็นพระคริสต์” (that you may believe that Jesus is the Christ ) 

       = เป้าหมายของพระธรรมเล่มนี้ หรือการประกาศข่าวประเสริฐยอห์น เพื่อแสดงพิสูจน์ให้เห็นว่า พระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า เพื่อผู้อ่านจะเชื่อพระองค์

“และเมื่อมีความเชื่อแล้ว ท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์” ( that by believing you may have life in his name.) = เป้าหมายอีกอย่างหนึ่งของยอห์น ก็คือเพื่อโดยความเชื่อนั้น เราผู้เชื่อจะได้รับชีวิตนิรันดร์

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยประสบกับเหตุการณ์แบบที่เกินความคาดคิดคาดฝันบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร ? ส่งผลอะไรต่อคุณบ้าง?  อย่างไร?
  2. คุณเคยฟังหรืออ่านพระคัมภีร์บางข้อบางตอนแล้วไม่เข้าใจ แต่ต่อมาภายหลังเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น จึงทำให้คุณเข้าใจบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? อย่างไร?
  3. คุณเคยพระคัมภีร์แล้วพบเนื้อหาที่ไม่ตรงกันบ้างหรือไม่? บางครั้งถึงขั้นขัดกันก็มี บ้างหรือไม่? ที่ไหนอย่างไร? แล้วกระทบต่อความเชื่อของคุณหรือไม่? อย่างไร?
  4. คุณเคยเห็นอะไร แล้วเชื่อทันทีหรือไม่? (แบ่งปัน)
  5. คุณเคยมีความรู้สึกกลัว เพราะผิดพลาดหรือล้มเหลวบางอย่างจนไม่อยากเจอหน้าใคร แต่ภายหลังพระเจ้าทรงปลอบโยนและประทานสันติสุขให้แก่ใจของคุณบ้างหรือไม่? (แบ่งปัน)
  6. คุณเคยร้องไห้เสียใจกับเรื่องใดมากที่สุดในชีวิต? ทำไม? แล้วพระเจ้าทรงช่วยอะไรคุณบ้าง? อย่างไร?
  7. คุณได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วหรือยัง? ที่ไหน จากใคร เมื่อไร และอย่างไร? คุณรู้ได้อย่างไรว่าใช่?
  8. คุณเคยเป็นพยานหรือประกาศข่าวประเสริฐ จนช่วยให้บางคนรับการอภัยโทษบาปบ้างหรือไม่? อย่างไร? (แบ่งปัน)

ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์