Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนพระธรรมกิจการ บทที่ 15

ชื่อคริสเตียนปรากฏเป็นครั้งแรก

พระธรรม        กิจการ 11:1-30

อ้างอิง            กจ.1:16;2:38;8:29,40;9:10-11;10:9-32,44-45,11:26;13:43;14:23-26; 15:19,40;20:24;21:10,26:1-2;รม.10:12-13;15:26;2คร.7:10;มธ.27:32;ลก.1:15

บทนำ             คุณละอายที่จะบอกกับคนอื่น ๆ หรือไม่ว่า คุณเป็นคริสเตียน?

                        และคุณมาเป็นคริสเตียนได้อย่างไร?

                        คุณเองเคยช่วยหรือนำผู้หนึ่งผู้ใดมาเป็นคริสเตียนบ้างหรือไม่?  อย่างไร?

                        คุณรู้สึกอย่างไร เมื่อเห็นคนที่คุณรู้จักหรือคนที่คุณรักมาเป็นคริสเตียน?  

                        และคุณรู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นเขาเจริญเติบโตขึ้นในชีวิตคริสเตียนมากกว่าคุณ?

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนพระธรรมกิจการ บทที่ 14

เปโตรและโครเนลิอัส

พระธรรม        กิจการ 10:1-48

อ้างอิง             กจ.8:40;22:17;ปฐก.9:3;สดด.55:17;20:3;ลนต.11:4-8,13-20;20:25;มธ.26:13;24:17;ฉธบ.14:3-20; 10:17;อสย.53:11

บทนำ           บางครั้งพระเจ้าอาจบัญชาให้เรากระทำกิจบางเรื่องที่เกินความคิดความเข้าใจของเรา เพราะเรื่องนั้นอาจผ่าเหล่าผ่ากอ คือขัดหรือแย้งกับขนบธรรมเนียมประเพณีที่เราและคนอื่น ๆ คุ้นเคย หรือปฏิบัติสืบต่อกันมา แต่เราผู้ที่ปรารถนาจะรับใช้พระเจ้าย่อมไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะยอมจ่ายราคาเพื่อกระทำตามพระบัญชาของพระองค์

                    คุณเคยเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้บ้างหรือไม่? แล้วคุณตอบสนองอย่างไร?

บทเรียน

10:1 “และมีชายคนหนึ่งชื่อโครเนลิอัสอาศัยอยู่ในเมืองซีซารียา เป็นนายร้อยในกองพันทหารที่เรียกว่ากองอิตาเลียน” 

    (At Caesarea there was a man named Cornelius, a centurion of what was known as the Italian Cohort,)

10:2 “ท่านและครอบครัวเป็นคนเคร่งศาสนาและเกรงกลัวพระเจ้า ท่านให้ทานแก่ประชาชนอย่างมากมายและอ้อนวอนพระเจ้าอยู่เสมอ” 

    (a devout man who feared God with all his household, gave alms generously to the people, and prayed continually to God.) 

10:3 “เวลาประมาณบ่ายสามโมง นายร้อยคนนั้นเห็นนิมิตชัดเจนว่ามีทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้ามาหาตน และกล่าวว่า “โครเนลิอัส” 

     (About the ninth hour of the day he saw clearly in a vision an angel of God come in and say to him, “Cornelius.”)

10:4 “โครเนลิอัสจ้องมองทูตองค์นั้นด้วยความตกใจกลัว และถามว่า “นี่หมายความถึงอะไร ท่านเจ้าข้า?” ทูตสวรรค์จึงตอบท่านว่า “คำอธิษฐานและการให้ทานของท่านขึ้นไปถึงพระเจ้าเป็นเหตุให้พระองค์ทรงระลึกถึงท่านแล้ว” 

     (And he stared at him in terror and said, “What is it, Lord?” And he said to him, “Your prayers and your alms have ascended as a memorial before God.)

10:5 “บัดนี้จงใช้คนไปเมืองยัฟฟา เชิญซีโมนที่เรียกว่าเปโตรมา”

     (And now send men to Joppa and bring one Simon who is called Peter. )

10:6 “ท่านอาศัยอยู่กับซีโมนที่เป็นช่างฟอกหนัง บ้านของเขาอยู่ริมฝั่งทะเล” 

    (He is lodging with one Simon, a tanner, whose house is by the sea.” )

10:7 “เมื่อทูตสวรรค์ที่พูดกับท่านจากไปแล้ว ท่านก็เรียกหาคนใช้สองคนกับทหารที่เคร่งศาสนาคนหนึ่งซึ่งเคยปรนนิบัติท่านเสมอ” 

    (When the angel who spoke to him had departed, he called two of his servants and a devout soldier from among those who attended him, )

10:8 “เมื่อโครเนลิอัสเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้พวกเขาฟังแล้ว ท่านก็ใช้พวกเขาไปเมืองยัฟฟา”

   (and having related everything to them, he sent them to Joppa.)

10:9 “วันรุ่งขึ้นเวลาประมาณเที่ยง ขณะที่คนกลุ่มนี้เดินทางใกล้จะถึงเมืองยัฟฟา เปโตรขึ้นไปบนหลังคาตึกเพื่ออธิษฐาน” 

    (The next day, as they were on their journey and approaching the city, Peter went up on the housetop about the sixth hour to pray. )

10:10 “ขณะนั้นท่านหิวอยากจะรับประทานอาหาร และในระหว่างที่ยังจัดอาหารกันอยู่ เปโตรก็ตกอยู่ในภวังค์” 

    (And he became hungry and wanted something to eat, but while they were preparing it, he fell into a trance)

10:11 “และท่านเห็นท้องฟ้าแหวกออกเป็นช่อง มีอะไรอย่างหนึ่งเหมือนผ้าผืนใหญ่ ซึ่งมุมทั้งสี่ถูกหย่อนลงมายังพื้นโลก” 

     (and saw the heavens opened and something like a great sheet descending, being let down by its four corners upon the earth. )

10:12 “ในนั้นมีสัตว์ทุกอย่าง ทั้งสัตว์สี่เท้า สัตว์เลื้อยคลาน และนกในอากาศ”

      (In it were all kinds of animals and reptiles and birds of the air.) 

10:13 “แล้วมีพระสุรเสียงกล่าวกับท่านว่า “เปโตร จงลุกขึ้นฆ่ากิน” 

      (And there came a voice to him: “Rise, Peter; kill and eat.” )

10:14 “เปโตรจึงทูลว่า “ไม่ได้ องค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าสิ่งไม่บริสุทธิ์หรือเป็นมลทินนั้น ข้าพระองค์ไม่เคยรับประทานเลย” 

      (But Peter said, “By no means, Lord; for I have never eaten anything that is common or unclean.”)

10:15 “แล้วมีพระสุรเสียงมาเป็นครั้งที่สองกล่าวกับท่านว่า “สิ่งที่พระเจ้าทรงชำระแล้ว เจ้าอย่าว่าเป็นสิ่งไม่บริสุทธิ์” 

      (And the voice came to him again a second time, “What God has made clean, do not call common.” )

10:16 “สิ่งนี้ปรากฏถึงสามครั้ง แล้วถูกรับขึ้นไปในท้องฟ้าทันที”

       (This happened three times, and the thing was taken up at once to heaven.)

10:17 “เมื่อเปโตรยังคิดสงสัยเรื่องนิมิตที่เห็นนั้นว่ามีความหมายอย่างไร ในทันใดนั้น คนที่โครเนลิอัสใช้ไปนั้นก็มายืนอยู่หน้าประตูรั้วหลังจากถามหาจนพบตึกของซีโมน” 

      (Now while Peter was inwardly perplexed as to what the vision that he had seen might mean, behold, the men who were sent by Cornelius, having made inquiry for Simon’s house, stood at the gate) 

10:18 “พวกเขาร้องถามว่าซีโมนที่เรียกว่าเปโตรพักอยู่ที่นี่หรือไม่?”

       (and called out to ask whether Simon who was called Peter was lodging there.)

10:19 “ขณะเปโตรตริตรองเรื่องนิมิตอยู่นั้น พระวิญญาณตรัสกับท่านว่า “นี่แน่ะ มีชายสามคนมาหาเจ้า”

      (And while Peter was pondering the vision, the Spirit said to him, “Behold, three men are looking for you.) 

10:20 “จงลุกขึ้นลงไปข้างล่างและไปกับพวกเขาเถิด อย่าลังเลใจเลย เพราะว่าเราใช้พวกเขามา” 

      (Rise and go down and accompany them without hesitation, for I have sent them.”) 

10:21 “เปโตรจึงลงไปหาคนเหล่านั้นกล่าวว่า “นี่แน่ะ ข้าพเจ้าคือคนที่พวกท่านตามหา พวกท่านมีธุระอะไรหรือ?” 

      (And Peter went down to the men and said, “I am the one you are looking for. What is the reason for your coming?”)

10:22 “เขาทั้งหลายจึงตอบว่า “นายร้อยโครเนลิอัสเป็นคนชอบธรรมและเกรงกลัวพระเจ้า และเป็นคนมีชื่อเสียงดีในหมู่พวกยิว โครเนลิอัสผู้นี้ได้รับคำบอกจากทูตสวรรค์บริสุทธิ์ให้มาเชิญท่านไปบ้านเพื่อฟังถ้อยคำของท่าน

      (And they said, “Cornelius, a centurion, an upright and God-fearing man, who is well spoken of by the whole Jewish nation, was directed by a holy angel to send for you to come to his house and to hear what you have to say.”)

10:23 “เปโตรจึงเชิญพวกเขาเข้าไปข้างในและให้พักอยู่ที่นั่น วันรุ่งขึ้นเปโตรลุกขึ้นไปกับพวกเขา และพี่น้องบางคนที่เมืองยัฟฟาก็ไปด้วย” 

      (So he invited them in to be his guests. The next day he rose and went away with them, and some of the brothers from Joppa accompanied him. )

10:24 “วันต่อมาเขาทั้งหลายไปถึงเมืองซีซารียา โครเนลิอัสกำลังรอคอยพวกเขาอยู่ และเชิญญาติพี่น้องกับเพื่อนสนิทมาประชุมร่วมกัน” 

      (And on the following day they entered Caesarea. Cornelius was expecting them and had called together his relatives and close friends.) 

10:25 “เมื่อเปโตรมาถึง โครเนลิอัสก็ต้อนรับเปโตรและทรุดตัวลงแทบเท้าท่าน” 

       (When Peter entered, Cornelius met him and fell down at his feet and worshiped him.)

10:26 “เปโตรจึงประคองโครเนลิอัสให้ลุกขึ้นและกล่าวว่า “จงลุกขึ้นยืน ข้าพเจ้าก็เป็นเพียงมนุษย์เหมือนกัน” 

      (But Peter lifted him up, saying, “Stand up; I too am a man.”) 

10:27 “ระหว่างที่กำลังสนทนากัน เปโตรเข้าไปและเห็นคนจำนวนมากมาอยู่รวมกัน” 

      (And as he talked with him, he went in and found many persons gathered.) 

10:28 “จึงกล่าวกับคนเหล่านั้นว่า “พวกท่านทราบแล้วว่า การที่คนยิวจะคบหาหรือเยี่ยมเยียนคนต่างชาติถือว่าเป็นเรื่องต้องห้าม แต่พระเจ้าทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า ไม่ควรถือว่าคนหนึ่งคนใดไม่บริสุทธิ์หรือเป็นมลทิน” 

      (And he said to them, “You yourselves know how unlawful it is for a Jew to associate with or to visit anyone of another nation, but God has shown me that I should not call any person common or unclean.) 

10:29 “เพราะเหตุนี้เมื่อท่านใช้คนไปเชิญข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงมาโดยไม่ขัด ข้าพเจ้าขอถามว่า ที่ท่านเชิญข้าพเจ้ามานี้มีจุดประสงค์อะไร?”

      (So when I was sent for, I came without objection. I ask then why you sent for me.”)

10:30 “โครเนลิอัสจึงตอบว่า “สี่วันที่แล้วขณะข้าพเจ้ากำลังอธิษฐานอยู่ในบ้านของข้าพเจ้าราวๆ ตอนนี้คือบ่ายสามโมง มีคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า สวมเสื้อผ้ามันวาวระยิบระยับ”

      (And Cornelius said, “Four days ago, about this hour, I was praying in my house at the ninth hour, and behold, a man stood before me in bright clothing) 

10:31 “คนนั้นกล่าวว่า ‘โครเนลิอัส พระเจ้าทรงระลึกถึงคำอธิษฐาน และการทำทานของท่านแล้ว” 

      (and said, ‘Cornelius, your prayer has been heard and your alms have been remembered before God.)

10:32 “เพราะฉะนั้นจงใช้คนไปเมืองยัฟฟาเชิญซีโมนที่เรียกว่าเปโตรมา ท่านอาศัยอยู่ในบ้านของซีโมนช่างฟอกหนังที่ริมฝั่งทะเล’” 

       (Send therefore to Joppa and ask for Simon who is called Peter. He is lodging in the house of Simon, a tanner, by the sea.’) 

10:33 “ข้าพเจ้าจึงใช้คนไปเชิญท่านมาทันที การที่ท่านมาก็ดีแล้ว เวลานี้เราอยู่กันพร้อมหน้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อฟังสิ่งสารพัดที่พระองค์ตรัสสั่งท่านไว้

       (So I sent for you at once, and you have been kind enough to come. Now therefore we are all here in the presence of God to hear all that you have been commanded by the Lord.”)

10:34 “แล้วเปโตรจึงกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเห็นจริงแล้วว่าพระเจ้าไม่ทรงลำเอียง”

       (So Peter opened his mouth and said: “Truly I understand that God shows no partiality,) 

10:35 “ทุกคนในทุกชนชาติที่เกรงกลัวพระองค์ และประพฤติตามทางชอบธรรมก็เป็นที่ชอบพระทัยพระองค์ 

       (but in every nation anyone who fears him and does what is right is acceptable to him.” )

10:36 “เรื่องที่พระองค์ทรงฝากไว้กับพวกอิสราเอลคือการประกาศข่าวประเสริฐเรื่องสันติสุขโดยทางพระเยซูคริสต์ผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเหนือคนทั้งหลาย”

       (As for the word that he sent to Israel, preaching good news of peace through Jesus Christ (he is Lord of all), 

10:37 “พวกท่านก็รู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วแคว้นยูเดีย โดยเริ่มต้นที่แคว้นกาลิลีหลังจากยอห์นประกาศเรื่องบัพติศมานั้น”

      (you yourselves know what happened throughout all Judea, beginning from Galilee after the baptism that John Proclaimed)

10:38 “คือเรื่องที่ว่าพระเจ้าทรงเจิมพระเยซูชาวนาซาเร็ธด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยฤทธานุภาพอย่างไร และเรื่องที่ว่าพระเยซูเสด็จไปทำคุณประโยชน์และรักษาคนทั้งหลายที่ถูกมารเบียดเบียนอย่างไร เพราะว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับพระองค์” 

      (how God anointed Jesus of Nazareth with the Holy Spirit and with power. He went about doing good and healing all who were oppressed by the devil, for God was with him.) 

10:39 “เราคือสักขีพยานของกิจการทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำในแคว้นยูเดียและในกรุงเยรูซาเล็ม พวกเขาฆ่าพระองค์โดยแขวนไว้ที่ต้นไม้หมายถึง กางเขน”

      (And we are witnesses of all that he did both in the country of the Jews and in Jerusalem. They put him to death by hanging him on a tree,)

10:40 “และในวันที่สามพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายและทรงให้ปรากฏ”

       (but God raised him on the third day and made him to appear,)

10:41 “ไม่ใช่ให้ปรากฏแก่คนทั่วไป แต่ให้ปรากฏแก่เรา คือบรรดาสักขีพยานที่พระเจ้าทรงเลือกไว้แล้ว คือทรงปรากฏแก่เราที่กินและดื่มกับพระองค์หลังจากพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากตาย” 

     (not to all the people but to us who had been chosen by God as witnesses, who ate and drank with him after he rose from the dead.) 

10:42 “พระองค์ทรงสั่งให้เราประกาศกับคนทั้งหลาย และเป็นพยานว่า พระเจ้าทรงตั้งพระองค์เป็นผู้พิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย”

      (And he commanded us to preach to the people and to testify that he is the one appointed by God to be judge of the living and the dead.)

10:43 “บรรดาผู้เผยพระวจนะก็เป็นพยานถึงพระองค์ว่า ทุกคนที่เชื่อถือในพระองค์นั้น พระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของพวกเขาโดยพระนามของพระองค์

       (To him all the prophets bear witness that everyone who believes in him receives forgiveness of sins through his name.”)

10:44 “ขณะเปโตรยังกล่าวคำเหล่านั้นอยู่ พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาสถิตกับทุกคนที่ฟังพระวจนะนั้น”

      (While Peter was still saying these things, the Holy Spirit fell on all who heard the word.) 

10:45 “บรรดาคนเข้าสุหนัตที่เชื่อแล้วซึ่งมาพร้อมกับเปโตรต่างประหลาดใจ เพราะว่าพระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่คนต่างชาติด้วย” 

      (And the believers from among the circumcised who had come with Peter were amazed, because the gift of the Holy Spirit was poured out even on the Gentiles.) 

10:46 “เพราะเขาทั้งหลายได้ยินคนเหล่านั้นพูดภาษาต่างๆ และยกย่องสรรเสริญพระเจ้า เปโตรจึงถามว่า” 

      (For they were hearing them speaking in tongues and extolling God. Then Peter declared,) 

10:47 “ใครจะห้ามคนเหล่านี้ที่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เหมือนเราจากการรับบัพติศมาด้วยน้ำ?”

      (“Can anyone withhold water for baptizing these people, who have received the Holy Spirit just as we have?”)

10:48 “เปโตรจึงสั่งให้เขาทั้งหลายรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูคริสต์ แล้วพวกเขาขอให้เปโตรพักอยู่กับพวกเขาอีกสักระยะหนึ่ง”

      (And he commanded them to be baptized in the name of Jesus Christ. Then they asked him to remain for some days.)

 ข้อมูลมีประโยชน์

10:1     “เมืองซีซารียา” (Caesarea) –อยู่ห่างจากเมืองยัฟฟาไปทางเหนือราว 48 กิโลเมตร ตั้งชื่อเป็นเกียรติให้แก่ซีซาร์ออกัสตัส  ใช้เป็นสำนักงานใหญ่ของเจ้าหน้าที่ของโรม (8:40)

           “โครเนลิอัส” (Cornelius) = ชื่อภาษาลาติน ที่โด่งดัง เพราะเมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีก่อนหน้านั้น โครเนลิอัสซัลลา ปลดแอกทาสกว่าหมื่นคน คนเหล่านั้นจึงใช้ชื่อสกุลว่า โครเนลิอัสต่อ ๆ กันมา

           “นายร้อย” (a centurion) = ผู้บัญชาการหน่วยทหารซึ่งปกติมีอย่างน้อย 100 นาย (มธ.8:5) กองทหารโรม (6000 นาย) แบ่งเป็น 10 กอง แต่ละกองมีชื่อเรียกเฉพาะเจาะจง

-ในที่นี้มีชื่อกองว่า กองอิตาเลียน (กองอื่น ๆ ก็มีเช่น กองจักรวรรดิ หรือกองออกัสตัส ,27:1)  นายร้อยที่บัญชาประมาณ 1 ใน 6 กอง  จะถูกเลือกจากคน ที่ทรงเกียรติ – ลก.7:5 ,พวกเขาเป็นผู้สร้างเสถียรภาพให้กับระบบโรมันทั้งหมด

10:2     “เป็นคนเคร่งศาสนา และยำเกรงพระเจ้า” (a devout man who feared God) -กจ.10:22,35;13:16,26

           = ในทีนี้หมายถึง คนที่ไม่ได้เข้าจารีตยิวเต็มตัว แต่เชื่อพระเจ้า และถือคำสอนด้านศีลธรรมจรรยาของยิว

10:3     “เวลาประมาณบ่าย 3 โมง” (the ninth hour) = ข้อบ่งชี้ว่า โครเนลิอัสปฏิบัติตามศาสนายิว เพราะบ่ายสามโมงคือ เวลาอธิษฐานของคนยิว (3:1)  = เวลาเผาเครื่องหอมยามเย็น

            “เห็นนิมิตชัดเจน” (he saw clearly in a vision) = การสำแดงผ่านทูตสวรรค์แก่โครเนลิอัส ขณะที่เขาอธิษฐาน (ข.30;9:11)

10:4     “คำอธิษฐาน และการให้ทานของท่านขึ้นไปถึงพระเจ้า” (Your prayers and your alms have ascended) = เหมือนควันของเครื่องถวายบูชา (สดด.141:2; ฟป.4:18;ฮบ.13:15-16)

           “เป็นเหตุให้พระองค์ระลึกถึงท่านแล้ว” (as a memorial before God)  = เป็นเครื่องบูชาให้ระลึกถึงต่อพระพักตร์ของพระเจ้าแล้ว –สดด.20:3;มธ.10:42;26:13;วว.8:4

          = ส่วนหนึ่งของธัญบูชาที่เผาบนแท่นบูชาเรียกว่า “ส่วนอนุสรณ์” (ลนต.2:2)

10:5-6  “เมืองยัฟฟา…ซีโมนที่เป็นช่างฟอกหนัง” (Joppa…  Simon, a tanner) ดู 9:36,43

10:9     “บนหลังคาตึกเพื่ออธิษฐาน” (on the housetop about the sixth hour to pray) ดาดฟ้า เป็นธรรมเนียม ในเวลานั้นที่บ้านแต่ละหลัง จะมีหลังคาแบน และมีบันไดขึ้นด้านนอก หลังคา/ดาดฟ้าจึงเป็นที่เหมาะแก่ การพักผ่อนและทำกิจกรรมส่วนตัว (มก.2:4)

10:10   “เปโตรก็ตกอยู่ในภวังค์” (he fell into a trance)  = เข้าสู่ภวังค์ เป็นสภาวะจิตใจที่พระเจ้าบันดาลให้เกิดเพื่อสื่อสารกับเปโตร ไม่ใช่เป็นการฝันหรือจินตนาการไปเอง เขามีสติสัมปชัญญะดีในขณะที่รับนิมิตจากพระเจ้า

10:12   “สัตว์สี่เท้า….” ( all kinds of animals) = ทั้งสัตว์ที่เป็นมลทิน และไม่เป็นมลทิน (ลนต.11)

10:14   “ไม่ได้ องค์พระผู้เป็นเจ้า” (By no means, Lord)   = “ไม่ได้พระเจ้าข้า”  เปโตรเป็นคนรักษากฎบัญญัติเรื่องความสะอาด ปราศจากมลทินอย่างเคร่งครัดจนไม่ยอมเชื่อฟังทำตามในทันที

10:15   “สิ่งที่พระเจ้าทรงชำระแล้ว เจ้าอย่าว่าเป็นสิ่งไม่บริสุทธิ์” (What God has made clean) = พระเจ้าบัญชาให้เลิกบัญญัติเรื่องอาหารที่สะอาดและเป็นมลทิน (มธ.15:11); ปท.1ทธ.4:3-5)           

10:16   “สิ่งนี้ปรากฏถึงสามครั้ง” (happened three times) = เพื่อให้เปโตรมั่นใจ

10:23   “เชิญพวกเขาเข้าไปข้างใน” (he invited them in) = การจัดที่พักให้กับคนที่โครเนลิอัสส่งมา นับเป็นก้าวแรกที่เปโตรยอมรับคนต่างชาติ ทั้ง ๆ ที่ความใกล้ชิดเช่นนี้ขัดแย้งกับแนวปฏิบัติของคนยิว

            “วันรุ่งขึ้น” (The next day) = วันที่คนเหล่านั้นมาถึงที่เปโตรอยู่นั้นล่าช้า จึงพักอยู่ 1 คืนก่อนออกเดินทางไกลไปซีซารียาในวันรุ่งขึ้น

            “พี่น้องบางคน” (some of the brothers)  = จำนวน 6 คน (11:12) ซึ่งมีภูมิหลังเป็นยิว (10:45;11:1)

10:26   “ข้าพเจ้าก็เป็นเพียงมนุษย์เหมือนกัน” ( I too am a man) = เปโตรไม่ต้องการให้เกิดความเข้าใจผิด เขาไม่ต้องการให้โครเนลิอัส แสดงอาการ การให้เกียรติเป็นเหมือนนมัสการต่อเขา (14:11-15)

10:28   “แต่พระเจ้าทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าแล้ว” (God has shown me) = เปโตรตระหนักว่า นิมิตที่เขาได้เห็นมีความสำคัญลึกซึ้งมากกว่า แค่การประกาศยกเลิก การแบ่งแยกระหว่างเนื้อสะอาดกับเนื้อที่มีมลทิน แต่กำแพงที่ขวางกั้นระหว่างยิวกับคนต่างชาติกำลังถูกรื้อออกไป (อฟ.2:11-22)

10:30   “สี่วันที่แล้ว” (Four days ago) = สี่วันก่อน คนยิวนับเศษของวันเป็น 1 วัน

  • ฑูตสวรรค์ปรากฎต่อโครเนลิอัส -1 วัน
  • ผู้ส่งข่าวเดินทางมายัฟฟา และเปโตรรับนิมิต– 1 วัน
  • คนทั้งหมดเดินทางออกจากยัฟฟา – 1 วัน
  • พวกเขามาถึงบ้านโครเนลิอัส – 1 วัน

          “คนหนึ่ง…สวมเสื้อผ้ามันวาวระยิบระยับ” (a man … in bright clothing  ) = การบรรยายลักษณะทูตสวรรค์ในสภาพกายมนุษย์

10:34   “พระเจ้าไม่ทรงลำเอียง” (God shows no partiality) = พระเจ้าไม่ทรงเลือกที่รักมักที่ชัง = พระเจ้าไม่ได้โปรดปรานคนใด เพราะเชื้อชาติ ฐานะ หรือทรัพย์สมบัติของเขา (รม.2:11;ยก.2:1;ฉธบ. 10:17-19;2พศด.19:17;โยบ 34:19;อฟ.6:9;คส.3:25;1ปต.1:17) แต่พระเจ้าทอดพระเนตรที่อุปนิสัยการตัดสินใจทำของพวกเขา

10:35   “เกรงกลัวพระองค์ และประพฤติตามทางชอบธรรม” (fears him and does what is right is acceptable to him) = การประพฤติที่พระเจ้าพอพระทัยเป็นสิ่งที่ถูกต้องพึงกระทำ  – กจ.15:9

10:36   “ข่าวประเสริฐเรื่องสันติสุขในพระคริสต์” (good news of peace through Jesus Christ )  = โครเนลิอัส นมัสการพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ก็ดีอยู่  แต่เขายังไม่รู้จักหรือเชื่อในพระคริสต์ ในฐานะองค์พระผู้เป็นเจ้าของคนทั้งปวง คือทั้งยิวและต่างชาติ (ยน.3:16;รม.1:16;กจ.10:34-35;รม.5:1) ซึ่งจะก่อเกิดสันติสุข ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์

10:37   “หลังจากยอห์นประกาศเรื่องบัพติศมา” (after the baptism that John proclaimed) = คำเทศนาของเปโตรคล้ายกับโครงเรื่องที่บันทึกไว้ในพระธรรมมาระโก คือเริ่มจากบัพติศมาของยอห์น และดำเนินต่อเนื่องถึงการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ มีนัยว่า มาระโกเป็นล่ามให้กับเปโตร  ปท. คำเทศนาของเปโตรก่อนหน้านี้คือ  2:14-41;3:12-26; 4:8-12; 5:29-32

10:38   “พระเจ้าทรงเจิมพระเยซู” (God anointed Jesus)  -อสย.61:1-3;ลก.4:18-21

10:39   “แขวนไว้ที่ต้นไม้” (hanging him on a tree)  -กจ.5:30

10:41   “ปรากฏแก่เราที่กินและดื่มกับพระองค์” (witnesses, who ate and drank) = คนที่เป็นพยานหรือเห็นหลักฐานของการที่พระเยซูเป็นขึ้นจากตายทางฝ่ายร่างกายอย่างชัดเจน (ลก.24:42-43;ยน.21:12-15)

10:44   “พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาสถิตกับทุกคน” (the Holy Spirit fell on all) -8:16

10:45   “ต่างประหลาดใจ….เพราะว่าพระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่คนต่างชาติด้วย” (were amazed, because the gift of the Holy Spirit was poured out even on the Gentiles) 

            = คริสเตียนยิวยุคแรก ๆ  ไม่เข้าใจที่ข่าวประเสริฐนี้มีเพื่อคนต่างชาติด้วยเช่นเดียวกับเพื่อชาวยิวคือ พวกเขาก็ได้รับประโยชน์จากการไถ่บาปด้วย

10:47   “ใครจะห้ามคนเหล่านี้ที่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เหมือนเรา จากการรับบัพติศมาด้วยน้ำ” (Can anyone withhold water for baptizing these people, who have received the Holy Spirit just  as we have?)   = คนต่างชาติได้รับของประทานเดียวกันกับชาวยิว (11:17)

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเป็นฝ่ายแสวงหาพระเจ้าก่อนหรือพระเจ้า(หรือพระเยซูคริสต์)ทรงเป็นฝ่ายตามหาคุณ? อย่างไร? และชีวิตของคุณก่อนพบกับการเปิดเผยพระองค์ของพระเจ้าเป็นอย่างไร?

           1) เป็นคนดี อย่างไร?…………………………………………………………………………

           2) เป็นคนไม่ดี อย่างไร?……………………………………………………………………..

  1. คุณมีประสบการณ์พิเศษในการพบกับพระเจ้าหรือไม่? อย่างไร?
  2. คุณเคยประสบกับเรื่องที่ไม่คาดฝันในชีวิตบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? และอย่างไร?
  3. คุณเคยถูกสั่งให้ทำอะไรที่คุณไม่เห็นด้วย แต่สุดท้ายต้องทำตามนั้นบ้างอย่างไร? ทำไม?
  4. คุณเคยถูกตามให้ไปอธิบาย เรื่องพระเยซูคริสต์ให้ผู้ใด ครอบครัวใด หรือกลุ่มใดฟังบ้างหรือไม่? แล้วผลเป็นอย่างไร?
  5. คุณเคยเห็นพระเจ้าทรงสำแดงพระคุณต่อคนอย่างไม่เลือกที่รักมักที่ชังหรือไม่? อย่างไร?
  6. คุณเคยมีประสบการณ์กับการได้เห็น

         1) คนรับบัพติศมาด้วยน้ำก่อน รับพระวิญญาณบริสุทธิ์   และ

         2) คนที่รับพระวิญญาณบริสุทธิ์ก่อนรับบัพติศมาด้วยน้ำ? หรือไม่? ที่ไหน? อย่างไร? 

 

 ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์    

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนจากพระธรรมกิจการ บทที่ 12

เซาโลผู้กลับใจ (1)

พระธรรม    กิจการ 9:1-22

อ้างอิง    กจ.2:38;6:8;8:3;9:14-18:10:3,17-19;11:25-26;13:12-2-5;14:1;16:9-10;17:2-3;19:9,23:20:23; 21:11;24:14,22;อสย.17:1;ยรม.49:23;อสค.3:22;ดนล.10:7;1คร.15:8;ยน.12:29;รม.1:1

บทนำ      ชีวิตของคนเราอาจพลิกผันได้ภายในชั่วครู่ ดุจดังชีวิตของเซาโลที่เปลี่ยนจากผู้ล่า มากลายเป็นพวกเดียวกับผู้ถูกล่า จากนั้นก็กลายมาเป็น ผู้ถูกไล่ล่าโดยตรง เพื่อพระเยซูคริสต์ จากนั้นชีวิตของท่านก็เปลี่ยนจากการเป็นศัตรูของพระคริสต์ กลายมาเป็นสาวกที่โดดเด่นที่สุดของพระองค์!

บทเรียน

9:1 “ในระหว่างนั้นเซาโลยังขู่คำราม กล่าวว่าจะฆ่าบรรดาสาวกขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงไปหามหาปุโรหิต” 

  (But Saul, still breathing threats and murder against the disciples of the Lord, went to the high priest) 

9:2 “ขอหนังสือไปยังธรรมศาลาต่างๆ ในเมืองดามัสกัส เพื่อที่ว่าถ้าพบใครเป็นพวก “ทางนั้น”ไม่ว่าชายหรือหญิง จะจับมัดพามายังกรุงเยรูซาเล็ม” 

   (and asked him for letters to the synagogues at Damascus, so that if he found any belonging to the Way,  men or women, he might bring them bound to Jerusalem. )

9:3 “ขณะที่เซาโลเดินทางไปใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ทันใดนั้นมีแสงสว่างส่องมาจากฟ้าล้อมรอบตัวท่าน” 

  (Now as he went on his way, he approached Damascus, and suddenly a light from heaven shone around him.)

9:4 “ท่านก็ล้มลงที่พื้นและได้ยินพระสุรเสียงตรัสว่า “เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม?” 

  (And falling to the ground, he heard a voice saying to him, “Saul, Saul, why are you persecuting me?” )

9:5 “เซาโลจึงทูลถามว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์เป็นใคร?” พระองค์ตรัสว่า “เราคือเยซูผู้ที่เจ้าข่มเหง” 

  (And he said, “Who are you, Lord?” And he said, “I am Jesus, whom you are persecuting. )

9:6 “จงลุกขึ้นเถิดและเข้าไปในเมือง จะมีคนบอกให้เจ้าทราบว่าเจ้าต้องทำอะไร” 

  (But rise and enter the city, and you will be told what you are to do.)

9:7 “พวกที่เดินทางไปด้วยกันก็ยืนจังงังพูดไม่ออก พวกเขาได้ยินพระสุรเสียงแต่ไม่เห็นใคร” 

  (The men who were traveling with him stood speechless, hearing the voice but seeing no one.) 

9:8 “เซาโลจึงลุกขึ้นจากพื้น เมื่อลืมตาแล้วก็มองอะไรไม่เห็น พวกเขาจึงจูงมือท่านเข้าไปในเมืองดามัสกัส” 

  (Saul rose from the ground, and although his eyes were opened, he saw nothing. So they led him by the hand and brought him into Damascus. )

9:9  “ตาของท่านก็มืดมัวไปถึงสามวัน และท่านไม่ได้กินหรือดื่มอะไรเลย”

  (And for three days he was without sight, and neither ate nor drank.)

9:10 “ในเมืองดามัสกัสมีสาวกคนหนึ่งชื่ออานาเนีย องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับคนนั้นทางนิมิตว่า “อานาเนียเอ๋ย” อานาเนียจึงทูลตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์อยู่ที่นี่” 

   (Now there was a disciple at Damascus named Ananias. The Lord said to him in a vision,  “Ananias.” And he said, “Here I am, Lord.” )

9:11 “พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “จงลุกขึ้นไปที่ถนนสายที่เรียกว่า ‘ถนนตรง’ และไปที่บ้านของยูดาสถามหาชายคนหนึ่งจากเมืองทาร์ซัสที่ชื่อเซาโล ตอนนี้เขากำลังอธิษฐานอยู่” 

   (And the Lord said to him,”Rise and go to the street called Straight, and at the house of Judas look for a man of Tarsus named Saul, for behold, he is praying, )

9:12 “และ[ในนิมิตเขามองเห็นชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียเข้ามาวางมือบนตัวเขาเพื่อที่ว่าเขาจะมองเห็นอีก” 

   (and he has seen in a vision a man named Ananias come in and lay his hands on him so that he might regain his sight.” )

9:13 “แต่อานาเนียทูลตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้ยินหลายคนพูดถึงคนนั้นว่า เขาทำร้ายธรรมิกชนของพระองค์ในกรุงเยรูซาเล็มมากมาย” 

   (But Ananias answered, “Lord, I have heard from many about this man, how much evil he has done to your saints at Jerusalem. )

9:14 “และที่นี่เขาก็ได้สิทธิอำนาจจากพวกหัวหน้าปุโรหิตให้มาจับคนทั้งหลายที่อธิษฐานออกพระนามของพระองค์”

    (And here he has authority from the chief priests to bind all who call on your name.” )

9:15 “องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสกับท่านว่า “จงไปเถิด เพราะว่าคนนี้เป็นภาชนะที่เราเลือกสรรไว้ เขาจะนำนามของเราไปถึงบรรดาคนต่างชาติและบรรดากษัตริย์ และไปถึงพวกอิสราเอล” 

   (But the Lord said to him, “Go, for he is a chosen instrument of mine to carry my name before the Gentiles and kings and the children of Israel.) 

9:16 “เราจะแสดงให้เขาเห็นว่าเขาจะต้องทนทุกข์ลำบากมากเท่าไรเพื่อนามของเรา” 

   (For I will show him how much he must suffer for the sake of my name.” )

9:17 “แล้วอานาเนียก็ไป และเข้าไปในบ้านนั้น วางมือบนตัวเซาโลกล่าวว่า “พี่เซาโล พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ที่ปรากฏแก่ท่านระหว่างทางที่ท่านมาที่นี่ ทรงใช้ข้าพเจ้ามาเพื่อให้ท่านมองเห็นอีก และเพื่อให้ท่านเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์

   (So Ananias departed and entered the house. And laying his hands on him he said, “Brother Saul, the Lord Jesus who appeared to you on the road by which you came has sent me so that you may regain your sight and be filled with the Holy Spirit.” )

9:18 “ทันใดนั้นมีอะไรเหมือนเกล็ดหลุดจากตาของเซาโล แล้วท่านก็เห็นได้อีก ท่านจึงลุกขึ้นรับบัพติศมา”

   (And immediately something like scales fell from his eyes, and he regained his sight. Then he rose and was baptized)

9:19 “พอรับประทานอาหารแล้วก็มีกำลังขึ้น  เซาโลพักอยู่กับพวกสาวกในเมืองดามัสกัสหลายวัน” 

   (and taking food, he was strengthened. For some days he was with the disciples at Damascus.)

9:20 “และท่านก็ไม่ได้รีรอ ท่านเริ่มประกาศเรื่องพระเยซูตามธรรมศาลาต่างๆ ว่า “พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า” 

   (And immediately he proclaimed Jesus in the synagogues, saying, “He is the Son of God.”)

9:21 “คนทั้งหลายที่ได้ยินก็ประหลาดใจพูดกันว่า “คนนี้ไม่ใช่หรือที่ทำร้ายผู้คนในกรุงเยรูซาเล็มที่อธิษฐานออกพระนามนี้? และเขามาที่นี่ก็เพื่อจับพวกนั้นส่งให้พวกหัวหน้าปุโรหิตไม่ใช่หรือ?” 

   (And all who heard him were amazed and said, “Is not this the man who made havoc in Jerusalem of those who called upon this name? And has he not come here for this purpose, to bring them bound before the chief priests?” )

9:22 “แต่เซาโลยิ่งมีกำลังมากขึ้น และทำให้พวกยิวในเมืองดามัสกัสงงงันด้วยการพิสูจน์ว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์”

   (But Saul increased all the more in strength, and confounded the Jews who lived in Damascus by proving that Jesus was the Christ.)

ข้อมูลมีประโยชน์

9:1     “เซาโล” (Saul) –ถูกกล่าวถึงครั้งแรกในกิจการ ในเหตุการณ์สังหารสเทเฟน (7:58)  เขาเกิดที่ทาร์ซัส เป็นศิษย์ของกามาลิเอล (22:3) ปท. ฟป.3:4-14

          “ขู่คำราม” (breathing  threats) = ข่มขู่จะฆ่า  ปท.22:4;26;10

         “มหาปุโรหิต” (the high priest) = อาจเป็นคายาฟาส (4:6) ในที่นี้คงหมายรวมถึง สมาชิกสภาแซนเฮดรินซึ่งมีสิทธิอำนาจเหนือชาวยิวทั้งในยูเดีย และที่ต่าง ๆ

9:2       “ดามัสกัส” (Damascus) =อยู่ในแคว้นซีเรีย (ของโรม) เป็นเมืองสำคัญที่ใกล้ที่สุดของอิสราเอล มีประชากร ยิวอยู่จำนวนมาก ระยะทางจากเยรูซาเล็มถึงดามัสกัส ราว ๆ 241 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราวๆ 4-6 วัน

            “ทางนั้น” = ชื่อเรียกคริสต์ศาสนา (หรือทางของพระเยซูคริสต์) ปรากฏบ่อยในพระธรรมกิจการ         (16:17;18:25-26)  = พระเยซูก็ทรงเรียกพระองค์เองว่า เป็น “ทางนั้น” (ยน.14:6)

            “จับมัดพามายังกรุงเยรูซาเล็ม” (might bring them bound to Jerusalem)  = คุมตัว เป็นนักโทษมายังกรุงเยรูซาเล็ม

        = เพราะเยรูซาเล็มเป็นที่ที่พวกเขาสามารถใช้สิทธิอำนาจของสภาแซนเฮดริน ได้อย่างเต็มที่ในการไต่สวน

9:3       “แสงสว่างส่องมาจากฟ้า” (a light from heaven) = เวลาประมาณเที่ยงวัน (26:13)

           การข่มเหงคริสเตียนหรือคริสตจักรก็เหมือนกับข่มเหงตัวพระคริสต์เอง เพราะคริสตจักรคือพระกายของพระคริสต์ -1คร.12:27;อฟ.1:22-23

9:5       “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์เป็นใคร?” (Who are you, Lord?)  = ตามคำสอนของพวกรับบี เชื่อว่าเสียงที่มาจากสวรรค์ เช่นนี้เป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าเอง

           “เราคือเยซูผู้ที่เจ้าข่มเหง” (I am Jesus, whom you are persecuting)  = ทั้งแสงสว่างและพระสุรเสียงที่เซาโลได้ยิน ล้วนเป็นการบ่งบอกกับเซาโลว่า เขากำลังอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า

9:7       “พวกเขาได้ยินพระสุรเสียง” ( hearing the voice) = คนที่อยู่กับเซาโลได้ยินเสียงนั้น แต่ไม่เข้าใจความหมาย  (22:9 ปท.ดนล.10:7)

9:10     “อานาเนีย” (Ananias) = อานาเนียคนนี้ถูกกล่าวถึง 2 ครั้ง คือ ครั้งนี้ที่นี่ และใน 22 :12  แต่ชื่อนี้เป็นชื่อที่คนนิยมใช้ตั้งชื่อ (5:1;23:2) เป็นชื่อกรีกที่มาจากภาษาฮีบรูว่า “ฮานันยาห์” ที่แปลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระคุณหรือสำแดงพระคุณ” (ดนล.1:6)

 9:11     “ถนนตรง” (the street called Straight) = อาจเป็นเส้นทางตรงยาว ซึ่งทุกวันนี้ทอดผ่านเมืองจากตะวันออกไปตะวันตก การตั้งชื่อเช่นนี้เพื่อให้เห็นความแตกต่างจากถนนอื่น ๆ ในเมืองที่คดเคี้ยว

            “เมืองทาร์ซัส” (Tarsus ) -22:3

           “กำลังอธิษฐานอยู่” (praying) –ในลูกา และกิจการ การอธิษฐานมักเกี่ยวกับนิมิต (10:9-11;ลก.1:10;3:21;9:28)

9:13     “ธรรมิกชนของพระองค์” (your saints) = ประชากรของพระองค์(พระเจ้า) –รม.1:7;ฟป.1:1

9:15     “จะนำนามของเราไปถึงบรรดาคนต่างชาติ” (carry my name before the Gentiles and kings) 

             -รม.1:13-14

             “และบรรดากษัตริย์” (kings) = อากริปปา (26:1),ซีซาร์ที่โรม (25:11-12;28:19)

 9:16     “เขาจะต้องทนทุกข์ลำบากมากเท่าไร” (he must suffer for the sake of my name) = เขาต้องทุกข์มากมายเพียงใด –2คร.11:23-28

9:17     “พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ที่ปรากฏแก่ท่าน” (the Lord Jesus who appeared to you)

           = ประสบการณ์ของเซาโลบนถนนไปดามัสกัส เป็นประสบการณ์จริงที่เกิดกับเซาโลจริง ๆ (ไม่ใช่แค่นิมิต) และเซาโลใช้ข้อนี้ยืนยันการมีคุณสมบัติเป็นอัครทูตของท่าน  (1คร.9:1;15:8)

9:20     “ไม่ได้รีรอ” (immediately) = ทันทีหลังจากที่เซาโลรับบัพติศมา (ข.18)

           “ตามธรรมศาลาต่าง ๆ” (the synagogues) = กิจวัตรของเซาโลคือ การเทศนาในธรรมศาลาทุกครั้งที่มีโอกาส   -13:5;14:1;17:1-2,10;18:4,19;19:8

          “พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า” (He is the Son of God) = เซาโลประกาศสิ่งที่ตัวท่านเองได้เชื่อบนถนนสู่ดามัสกัสแล้ว นั่นคือ พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์และเป็นพระเจ้า (ข.22)

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยต่อต้าน ข่มเหงหรือเล่นงานพวกคริสเตียนก่อนมาเชื่อพระเยซูคริสต์หรือไม่? อย่างไร? ทำไม?
  2. คุณมีประสบการณ์กับการรู้จักพระเยซูคริสต์เป็นส่วนตัวหรือไม่? อย่างไร? แล้วเกิดอะไรตามมา?
  3. คุณเคยอยู่ในสภาวะที่ช่วยตัวเองไม่ได้ หรือทำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้เลยบ้างหรือไม่? อย่างไร? เพราะอะไร?นานแค่ไหน? ทำไม?
  4. คุณเคยได้รับการมอบหมายจากรพระเจ้าให้ไปทำบางอย่างที่ขัดหรือฝืนกับใจของคุณมากหรือไม่? เรื่องอะไร? แล้วคุณทำตามหรือไม่?
  5. คุณเคยอธิษฐานต่อพระเจ้าแบบจริงจังที่สุดในชีวิตท่านหรือไม่? อย่างไร? ที่ไหน? เมื่อไร? ทำไม? แล้วผลที่ตามมาคืออะไร?
  6. คุณเคยได้รับสิทธิอำนาจเด็ดขาดในการกระทำบางสิ่งและคุณใช้สิทธิอำนาจนั้นอย่างตรงข้ามกับน้ำพระทัยหรือพระประสงค์ของพระเจ้าบ้างหรือไม่? อย่างไร? แล้วเกิดอะไรตามมา?
  7. คุณเคยมีประสบการณ์กับการที่พระเจ้าเบรคหรือขัดคุณอย่างรุนแรง จนหมดสภาพบ้างหรือไม่? อย่างไร? แล้วผลลัพธ์คืออะไร?
  8. คุณเคยได้รับการเสริมกำลังเรี่ยวแรงจากคนอื่นหรือไม่? จากใคร? เรื่องอะไรและอย่างไร?
  9. คุณเริ่มต้นเป็นพยานและประกาศเรื่องราวของพระเยซูอย่างจริงจังเมื่อไร? ที่ไหน? กับใคร? และได้ผลอะไรบ้าง?
  10. คุณเคยทำให้คนทั้งหลายประหลาดใจบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? ดีหรือไม่ดี? อย่างไร?

 

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนพระธรรมกิจการของอัครทูต บทเรียนที่ 11

เซาโลข่มเหงคริสตจักร และคริสตจักรกระจัดกระจายไปทั่ว

พระธรรม        กิจการ 8:1-40

อ้างอิง             กจ 2:38;5:36;6:6;7:58;8:1-6,25;9:1;10:1,24,44;11:19;13:6,48;14:11;19:2;23:23,33;28:6

บทนำ              บางครั้งการติดตามพระเจ้าของเราอาจถูกข่มเหงโดยคนที่คิดว่า เขากำลังข่มเหงเรา เพราะว่าเรากำลังติดตามพระเจ้า เราต้องไม่หวั่นไหว เมื่อถูกข่มเหงหรือขัดขวาง แต่มุ่งหน้าประกาศข่าวประเสริฐและรับใช้พระเจ้าต่อไป โดยไม่หวั่นไหว และในขณะเดียวกัน เราต้องไม่ขัดขวาง ข่มเหงคนอื่นเช่นนี้โดยอ้างพระเจ้า!

บทเรียน

8:1 “และเซาโลก็เห็นชอบด้วยกับการฆ่าสเทเฟน ขณะนั้นเกิดการข่มเหงคริสตจักรครั้งใหญ่ในกรุงเยรูซาเล็ม และบรรดาสาวกกระจัดกระจายไปทั่วแคว้นยูเดียกับสะมาเรียเว้นแต่พวกอัครทูต”

   (And Saul approved of his execution. And there arose on that day a great persecution against the church in Jerusalem, and they were all scattered throughout the regions of Judea and Samaria, except the apostles.)

8:2 “บรรดาคนที่ยำเกรงพระเจ้าก็ฝังศพสเทเฟนไว้ แล้วคร่ำครวญอาลัยถึงท่านอย่างยิ่ง” 

   (Devout men buried Stephen and made great lamentation over him. )

8:3 “ส่วนเซาโลพยายามทำลายคริสตจักรโดยเข้าไปฉุดลากเอาพวกผู้ชายและพวกผู้หญิงตามบ้านเรือนไปจำไว้ในคุก”

   (But Saul was ravaging the church, and entering house after house, he dragged off men and women and committed them to prison.)

8:4 “พวกที่กระจัดกระจายไปก็เที่ยวประกาศพระวจนะนั้น” 

   (Now those who were scattered went about preaching the word.) 

8:5 “ส่วนฟีลิปไปยังเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรีย และประกาศเรื่องพระคริสต์ให้ชาวเมืองนั้นฟัง” 

   (Philip went down to the city of Samaria and proclaimed to them the Christ. )

8:6 “ฝูงชนต่างสนใจฟังถ้อยคำของฟีลิปขณะฟังท่านประกาศ และเห็นหมายสำคัญต่างๆ ที่ท่านทำ”

    (And the crowds with one accord paid attention to what was being said by Philip, when they heard him and saw the signs that he did.) 

8:7 “เพราะว่าพวกผีโสโครกที่สิงอยู่ในหลายๆ คนพากันร้องเสียงดังแล้วออกจากคนเหล่านั้น พวกที่เป็นอัมพาตกับเป็นง่อยก็หายเป็นปกติ” 

   (For unclean spirits, crying out with a loud voice, came out of many who had them, and many who were paralyzed or lame were healed.) 

8:8 “จึงเกิดความปลื้มปีติอย่างยิ่งในเมืองนั้น”

   (So there was much joy in that city.)

8:9 “และมีคนหนึ่งชื่อซีโมนเคยเล่นคาถาอาคมในเมืองนั้นมาก่อน เขาทำให้ชาวสะมาเรียพิศวงหลงใหล เขายกตัวว่าเป็นผู้วิเศษ” 

    (But there was a man named Simon, who had previously practiced magic in the city and amazed the people of Samaria, saying that he himself was somebody great.)

8:10 “คนทั้งหมดตั้งแต่คนเล็กน้อยไปจนถึงคนใหญ่โตต่างสนใจฟังคนนั้น แล้วว่า “คนนี้คือฤทธานุภาพของพระเจ้าที่เรียกว่ามหิทธิฤทธิ์” 

   (They all paid attention to him, from the least to the greatest, saying, “This man is the power of God that is called Great.” )

8:11”คนทั้งหลายสนใจฟังเขา เพราะเขาทำวิทยาคมให้ผู้คนพิศวงหลงใหลมานานแล้ว”

     (And they paid attention to him because for a long time he had amazed them with his magic. )

8:12 “แต่เมื่อฟีลิปประกาศข่าวประเสริฐเกี่ยวกับแผ่นดินของพระเจ้าและพระนามของพระเยซูคริสต์แล้ว คนทั้งหลายก็เชื่อและรับบัพติศมาทั้งชายและหญิง” 

     (But when they believed Philip as he preached good news about the kingdom of God and the name of Jesus Christ, they were baptized, both men and women.) 

8:13 “ซีโมนเองก็เชื่อด้วย เมื่อรับบัพติศมาแล้วก็อยู่กับฟีลิปต่อไป และประหลาดใจที่เห็นหมายสำคัญกับการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ที่ฟีลิปทำ”

    (Even Simon himself believed, and after being baptized he continued with Philip. And seeing signs and great miracles performed, he was amazed.)

8:14 “เมื่อพวกอัครทูตที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม ได้ยินว่าชาวสะมาเรียได้รับพระวจนะของพระเจ้าแล้ว จึงให้เปโตรกับยอห์นไปหาเขาทั้งหลาย” 

     (Now when the apostles at Jerusalem heard that Samaria had received the word of God, they sent to them Peter and John,)

8:15 “เมื่อเปโตรกับยอห์นไปถึงก็อธิษฐานเผื่อพวกเขา เพื่อให้พวกเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์” 

     (who came down and prayed for them that they might receive the Holy Spirit,) 

8:16 “เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังไม่ได้เสด็จลงมาสถิตกับใคร พวกเขาเพียงแต่ได้รับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น”

    (for he had not yet fallen on any of them, but they had only been baptized in the name of the Lord Jesus.) 

8:17 “เปโตรกับยอห์นจึงวางมือบนพวกเขา แล้วพวกเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์” 

     (Then they laid their hands on them and they received the Holy Spirit. )

8:18 “เมื่อซีโมนเห็นว่าคนเหล่านั้นได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยการวางมือของอัครทูตทั้งสอง จึงนำเงินมาให้ท่านทั้งสอง” 

     (Now when Simon saw that the Spirit was given through the laying on of the apostles’ hands, he offered them money,) 

8:19 “กล่าวว่า “ขอช่วยให้ข้าพเจ้ามีอำนาจแบบนี้ด้วย เพื่อว่าเมื่อข้าพเจ้าวางมือให้คนไหน คนนั้นจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์” 

    ( saying, “Give me this power also, so that anyone on whom I lay my hands may receive the Holy Spirit.)

8:20 “เปโตรจึงกล่าวกับซีโมนว่า “เงินของเจ้าจงพินาศพร้อมกับตัวเจ้า เพราะเจ้าคิดว่าของประทานจากพระเจ้าสามารถซื้อด้วยเงินได้” 

     (But Peter said to him, “May your silver perish with you, because you thought you could obtain the gift of God with money! )

8:21 “เจ้าไม่มีหุ้นหรือส่วนใดๆ ในการงานนี้ เพราะใจของเจ้าไม่ซื่อตรงต่อพระเจ้า” 

     (You have neither part nor lot in this matter, for your heart is not right before God.) 

8:22 “เพราะฉะนั้นจงกลับใจใหม่จากการชั่วร้ายของเจ้า และอธิษฐานขอต่อพระเจ้า พระองค์อาจจะทรงยกความผิดที่เจ้าคิดอยู่ในใจ”

    (Repent, therefore, of this wickedness of yours, and pray to the Lord that, if possible, the intent of your heart may be forgiven you.)

8:23 “เพราะข้าเห็นแล้วว่าเจ้าตกอยู่ในความขมขื่นและการผูกมัดของความอธรรม” 

     (For I see that you are in the gall of bitterness and in the bond of iniquity.”) 

8:24 “ซีโมนจึงตอบว่า “ขอพวกท่านช่วยอ้อนวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าเผื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อว่าเหตุการณ์ที่พวกท่านกล่าวนั้นจะไม่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าแม้แต่อย่างเดียว”

     (And Simon answered, “Pray for me to the Lord, that nothing of what you have said may come upon me.”)

8:25 “เมื่ออัครทูตทั้งสองเป็นพยานและประกาศพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วก็กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และประกาศข่าวประเสริฐในหมู่บ้านชาวสะมาเรียหลายแห่ง”

     (Now when they had testified and spoken the word of the Lord, they returned to Jerusalem, preaching the gospel to many villages of the Samaritans.)

8:26 “แต่ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งฟีลิปว่า “จงลุกขึ้น ไปยังทิศใต้ตามทางที่ลงไปจากกรุงเยรูซาเล็มถึงกาซา” (ซึ่งเป็นทางเปลี่ยว)” 

     (Now an angel of the Lord said to Philip, “Rise and go toward the south to the road that goes down from Jerusalem to Gaza.” This is a desert place. )

8:27 “ฟีลิปก็ลุกไป และนี่แน่ะ มีขันทีชาวเอธิโอปคนหนึ่ง เป็นข้าราชการของพระนางคานดาสีพระราชินีของชาวเอธิโอป และเป็นนายคลังทรัพย์ทั้งหมดของพระราชินีองค์นั้น ท่านมานมัสการที่กรุงเยรูซาเล็ม” 

     (And he rose and went. And there was an Ethiopian, a eunuch, a court official of Candace, queen of the Ethiopians, who was in charge of all her treasure. He had come to Jerusalem to worship)

8:28 “ขณะนั่งรถม้ากลับไปนั้น ท่านกำลังอ่านหนังสืออิสยาห์ผู้เผยพระวจนะอยู่” 

     (and was returning, seated in his chariot, and he was reading the prophet Isaiah. )

8:29  “พระวิญญาณตรัสสั่งฟีลิปว่า “จงเข้าไปชิดรถม้าคันนั้นเถิด” 

      (And the Spirit said to Philip, “Go over and join this chariot.”) 

8:30 “ฟีลิปจึงวิ่งเข้าไปใกล้ และได้ยินท่านอ่านหนังสืออิสยาห์ผู้เผยพระวจนะ จึงถามว่า “ท่านเข้าใจสิ่งที่อ่านหรือไม่?” 

     (So Philip ran to him and heard him reading Isaiah the prophet and asked, “Do you understand what you are reading?” )

8:31 “ขันทีจึงตอบว่า “ถ้าไม่มีใครอธิบาย จะเข้าใจได้อย่างไร?” ท่านจึงเชิญฟีลิปขึ้นไปนั่งบนรถม้ากับท่าน” 

     (And he said, “How can I, unless someone guides me?” And he invited Philip to come up and sit with him.)

8:32 “พระคัมภีร์ตอนที่ท่านอ่านอยู่นั้นคือข้อเหล่านี้ “ท่านถูกนำไปฆ่าเหมือนอย่างแกะ   ลูกแกะนิ่งอยู่ต่อหน้าผู้ตัดขนของมันอย่างไรท่านก็ไม่ปริปากของท่านอย่างนั้น”

     (Now the passage of the Scripture that he was reading was this: “Like a sheep he was led to the slaughter and like a lamb before its shearer is silent, so he opens not his mouth.)

8:33 “ในเวลาที่ท่านถูกเหยียดหยาม ท่านไม่ได้รับความยุติธรรม ใครจะเล่าถึงเชื้อสายของท่าน? เพราะชีวิตของท่านถูกตัดขาดจากแผ่นดินโลก” 

    (In his humiliation justice was denied him. Who can describe his generation? For his life is taken away from the earth.”)

8:34 “ขันทีจึงถามฟีลิปว่า “สิ่งที่ผู้เผยพระวจนะกล่าวนี้เล็งถึงใคร เล็งถึงตัวท่านเอง หรือเล็งถึงคนอื่น? ขอบอกข้าพเจ้าเถิด” 

     (And the eunuch said to Philip, “About whom, I ask you, does the prophet say this, about himself or about someone else?” )

8:35 “ฟีลิปจึงเริ่มเล่าโดยตั้งต้นจากพระคัมภีร์ตอนนั้น ท่านประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูกับขันทีผู้นั้น” 

     (Then Philip opened his mouth, and beginning with this Scripture he told him the good news about Jesus.)

8:36  “ขณะกำลังเดินทางไปก็มาถึงที่ที่มีน้ำแห่งหนึ่ง ขันทีจึงบอกว่า “นี่แน่ะ ที่นี่มีน้ำ มีอะไรขัดข้องไม่ให้ข้าพเจ้ารับบัพติศมา”

     (And as they were going along the road they came to some water, and the eunuch said, “See, here is water! What prevents me from being baptized?” ) 

8:37 “ฟีลิปจึงตอบว่า “ถ้าท่านเต็มใจเชื่อท่านก็รับได้” ขันทีจึงตอบว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า]” แล้วท่านจึงสั่งให้หยุดรถ คนทั้งสองก็ลงไปในน้ำทั้งฟีลิปกับขันที ฟีลิปให้ท่านรับบัพติศมา”

   (And he commanded the chariot to stop, and they both went down into the water, Philip and the eunuch, and he baptized him. )

8:39 “เมื่อท่านทั้งสองขึ้นจากน้ำแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรับฟีลิปไป และขันทีคนนั้นไม่ได้เห็นท่านอีก จึงเดินทางต่อไปด้วยความยินดี”

    (And when they came up out of the water, the Spirit of the Lord carried Philip away, and the eunuch saw him no more, and went on his way rejoicing.)

8:40 “แต่มีคนพบฟีลิปที่เมืองอาโซทัส และเมื่อท่านเดินทางไป ท่านก็ประกาศข่าวประเสริฐทั่วทุกเมืองจนกระทั่งท่านไปถึงเมืองซีซารียา”

     (But Philip found himself at Azotus, and as he passed through he preached the gospel to all the towns until he came to Caesarea.)

ข้อมูลมีประโยชน์

8:1    “ก็เห็นชอบ” ( approved)-22:20
         “บรรดาสาวก…เว้นแต่พวกอัครทูต” (they were all …except the apostles) = สาวกทั้งปวงยกเว้นพวก อัครทูต

          = การที่อัครทูตยังคงอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม เป็นกำลังใจให้แก่ผู้ที่ติดคุกอยู่ และยังได้เป็นศูนย์รวมความ     ช่วยเหลือให้แก่บรรดาผู้ที่กระจัดกระจายกันไป ทำให้คริสตจักรต้องประชุมลับ ๆ กันในช่วงเวลานี้

           “ทั่วแคว้นยูเดีย กับสะมาเรีย” (he regions of Judea and Samaria) = พระบัญชาใน กจ.1:8 กำลังเริ่มต้นเป็นจริง ตามที่พระเจ้าบันดาลให้เป็นไปแบบเหนือการควบคุมของเรา ไม่ใช่เป็นแผนของคริสตจักรที่คิดเอาเอง

8:3     “การพยายามทำลายคริสตจักร” (ravaging the church) = เปาโลเริ่มต้นการทำลายล้างคริสตจักร  22:4  คำกรีกที่ใช้ในวลีนี้ บางทีใช้อธิบายถึงการกัดทำลายของสัตว์ร้าย

8:4     “ประกาศพระวจนะนั้น” (preaching the word.  ) = เป็นพยานเรื่องข่าวประเสริฐไปทั่วทุกแห่งหน จำนวนผู้ที่เป็นพยานก็เพิ่มทวีจำนวนมากขึ้นและแพร่ขยายไปทั่วดินแดนอย่างรวดเร็ว (ปท.11:19-20)

8:5  “ฟิลิป” (Philip) = 1ใน กลุ่ม 7 คนที่คริสตจักรในเยรูซาเล็มตั้งขึ้น (6:3,5,6) ขณะนี้กลายเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์ (ผู้เป็นพระเมสิยาห์) (21:8)

        -ในตอนนี้ ฟิลิปก็เป็นผู้หนึ่งที่ต้องหนีกระจัดกระจายไปด้วย

       “เมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรีย” (the city of Samaria ) –สำเนาต้นฉบับบางฉบับสำเนาเขียนบอกว่า หมายถึงสะมาเรียเมืองหลวงเก่า ซึ่งได้ชื่อใหม่ว่า เซมาสเต หรือ เนอาโบลิส (ปัจจุบันชื่อ นาบลัส)

8:9    “ซีโมน” (Simon) –ในวรรณกรรมคริสเตียนยุคแรก พูดถึง  “นักวิทยาคม” (ซีโมนมากัส) ว่าเป็นเจ้าแห่งลัทธินอกรีต คริสตจักรและเป็น “บิดา” ของคำสอนแบบ นอสติก

         “คาถาอาคม” (magic) –2พกษ17:17

8:10  “คนนี้คือ ฤทธานุภาพของพระเจ้าที่เรียกว่า มหิทธิฤทธิ์” (This man is the power of God that is called Great) = ซีโมนอ้างตัวเองเป็นพระเจ้า หรืออ้างว่าตนเป็นเทพ ระดับหัวหน้าซึ่งเป็นตัวแทนของพระเจ้า

8:13  “ซีโมนเองก็เชื่อด้วย เมื่อรับบัพติศมาแล้ว….” (Simon himself believed, and after being baptized )

        = ไม่รู้ว่าซีโมนเชื่อจริงหรือไม่  แต่จากคำกล่าวของเปโตรที่บอกกับซีโมนว่า เขาไม่มีหุ้นหรือส่วนใด ๆ ในพันธกิจของอัครทูต เพราะใจของเขาไม่ซื่อตรงต่อพระเจ้า (ข.21) ทำให้เราไม่แน่ใจในความเชื่อของเขา

8:14  “ได้รับพระวจนะของพระเจ้าแล้ว” (received the word of God) = เชื่อฟังข่าวประเสริฐที่ฟิลิปประกาศ

        “แจ้งให้เปโตรกับยอห์นไปหาเขาทั้งหลาย” (they sent to them Peter and John ) = ส่งเปโตรกับยอห์นไปตรวจตราดูคริสตจักรที่เยรูซาเล็ม รับผิดชอบในการติดตามผลการประกาศข่าวประเสริฐในที่ใหม่ (11:22)

8:16  “เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังไม่ได้เสด็จมาสถิตกับใคร” (for he had not yet fallen on any of  them) = บางฉบับแปลว่า “เพราะยังไม่มีใครในพวกเขาได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์”

           = ตั้งแต่วันเพ็นเทคอสต์ คนที่เป็นคริสเตียนแท้จริงที่เป็น “คนของพระคริสต์” (รม.8:9) ก็มีพระวิญญาณ บริสุทธิ์ประทับอยู่ในชีวิต  แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังไม่ได้สำแดงพระองค์แก่คริสเตียนในสะมาเรียผ่านทางการสำแดงหมายสำคัญ พระวิญญาณจึงทรงสำแดงพระองค์เป็นหมายสำคัญยืนยันผ่านการสถิตของพระองค์ อธิษฐานวางมือของอัครทูตด้วยพระเมตตา (ข.17)

8:18   “โดยการวางมือของอัครทูตทั้งสอง” (through the laying on of the apostles’ hands) ข.18;19:1-7;  2ทธ.1:6; ปท.กจ.6:6

        “จึงนำเงินมาให้ท่านทั้งสอง” (he offered them money) = ซีโมนเคยอวดอ้างว่า ตนมีอิทธิฤทธิ์ ทำให้คนหลงใหล    (ข.10) เวลานี้พยายามใช้เงินซื้อฤทธิ์อำนาจที่เขาเชื่อว่าพวกอัครทูตครอบครองอยู่

8:23  “ตกอยู่ในความขมขื่น” (in the gall of bitterness) =เต็มไปด้วยความขมขื่น –ดู ฉธบ.29:18

         “การผูกมัดของความอธรรม” (in the bond of iniquity) = ตกเป็นเชลยของความบาป –รม.6:20

8:26  “ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (an angel of the Lord) –ปท.ข29;5:19

        “ตามทางที่ลงไปจากกรุงเยรูซาเล็มถึงกาซา” (to the road that goes down from Jerusalem to Gaza)

         = “ระหว่างกรุงเยรูซาเล็มกับเมืองกาซา”

         = เป็นระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร

8:27  “ชาวเอธิโอป” (Ethiopian) = ชาวเอธิโอเปีย

          -เอธิโอเปียในยุคนี้อยู่ติดกับนูเบีย ตั้งแต่บริเวณแม่น้ำไนล์ ตอนบนที่แก่งน้ำตกแรก (อัสวาน) ถึง “คาร์ทูม”

          “พระนางคานดาสี” ( Candace) = พระนามที่ใช้เรียกพระราชชนนีผู้ปฏิบัติราชกิจของกษัตริย์ที่ครองราชย์อยู่ เนื่องจากถือว่า กษัตริย์ศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าจะปฏิบัติราชกิจเช่นนั้น

          “มานมัสการที่กรุงเยรูซาเล็ม”( to Jerusalem to worship) 

         = สันนิษฐานว่า ขันทีผู้นี้ถ้า  ไม่เป็นผู้เข้าจารีตยิวเต็มตัว  (ฉธบ.23:1) ก็ต้องเป็นผู้ที่ยำเกรงพระเจ้า (10:2) ซึ่งหมายถึง คนที่ไม่ได้เข้าจารีตยิวเต็มตัว แต่เชื่อพระเจ้าองค์เดียว และถือรักษาปฏิบัติตามคำสั่งสอนด้านศีลธรรมจรรยาของยิว

8:30   “ได้ยินท่านอ่านหนังสืออิสยาห์” (heard him reading Isaiah) = ในสมัยโบราณ การอ่านออกเสียงเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกัน โดยทั่วไป

8:34   “สิ่งที่ผู้เผยพระวจนะกล่าวนี้เล็งถึงใคร” ( does the prophet say this, about himself or about someone else?” ) = ผู้เผยพระวจนะ กำลังพูดถึงใคร?

            -ฟิลิปเริ่มต้นอธิบายด้วยพระธรรมอิสยาห์ 53 (ดูข้อ 35) แล้วเชื่อมโยงเรื่องผู้รับใช้ผู้ทนทุกข์เข้ากับ

             พระเมสิยาห์ ที่มาจากเชื้อวงศ์ของกษัตริย์ดาวิด ในอิสยาห์ 11 หรือกับบุตรมนุษย์ใน ดนล.7:13

8:35    “ประกาศข่าวประเสริฐ” (the good news)

           = หนทางแห่งความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์ (มก.1:1)

8:36    “ก็มาถึงที่ที่มีน้ำแห่งหนึ่ง” (they came to some water)

            = พวกเขามาพบแอ่งน้ำ อาจหมายถึง

  1. ลำธารสายหนึ่งในหุบเขาเอลาห์ ซึ่งดาวิดข้ามไปพบโกลิอัท –1ซมอ.17:40
  2. หุบเขาวาดิ เอล ฮาซี ทางเหนือของกาซา
  3. น้ำจากน้ำพุหรือแหล่งน้ำในบริเวณนั้น

8:39   “ด้วยความยินดี” (rejoicing) = ในพระธรรมกิจการ เมื่อกล่าวถึง ความชื่นชมยินดี ก็มักจะมาพร้อมกั[บความรอด (16:34)

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยถูกข่มเหงเพราะเป็นพยานหรือประกาศข่าวประเสริฐบ้างหรือไม่? ทำไม? อย่างไร แล้วคุณทำอย่างไร?
  2. คุณเคยข่มเหงผู้ใดเพราะเขาประกาศข่าวประเสริฐให้คุณบ้างหรือไม่? เมื่อไร? ที่ไหน? อย่างไร?
  3. คุณเคยเสียใจและอาลัยกับการจากไปของผู้ใด(ที่ไม่ใช่คนในครอบครัวของคุณ) มากที่สุด? เพราะอะไร?
  4. คุณเคยเห็นพระเจ้าเปลี่ยนสถานการณ์ที่ร้าย ๆ ให้กลายเป็นดีบ้างหรือไม่? อย่างไร? (แบ่งปัน)
  5. คุณเคยเห็นการอัศจรรย์หรือหมายสำคัญอะไรที่ติดตรึงใจของคุณมากที่สุด? และส่งผลอะไรต่อชีวิตของคุณบ้าง?
  6. คุณเคยเห็นคนมาหาพระเจ้าเพราะหวังผลประโยชน์หรือมีวัตถุประสงค์อื่นแอบแฝงมากกว่าสำนึกบาปกลับใจจริง ๆ บ้างหรือไม่? อย่างไร? แล้วผลที่ตามมาเป็นอย่างไร?
  7. คุณเคยถูกผูกมัดด้วยความอธรรมหรือตกอยู่ในความขมขื่นบ้างหรือไม่? เพราะอะไร? แล้วคุณหลุดพ้นออกมาได้อย่างไร?(แบ่งปัน)
  8. พระเจ้าเคยนำให้คุณไปเป็นพยานหรือประกาศกับ “คนพิเศษ” บางคนบ้างหรือไม่? พิเศษอย่างไร? และคุณประกาศอย่างไร? ได้ผลอะไรบ้าง?

 

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer,facebook.com/lifeanswer

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนพระธรรมกิจการของอัครทูต บทเรียนที่ 10

คำเทศนาของสเทเฟน (2)

พระธรรม        กิจการ 7:30-60

อ้างอิง             อพย.3:1-6,7-10;11:10;12:41;14:21;15:25;17:5-6;19:17;25:8-9,40;32:1-23;33:1-5;38:21       

บทนำ              ในการรับใช้ เราอาจประสบอุปสรรค์  เราอาจพบการต่อต้าน เราอาจถูกปฏิเสธ หรือบางทีเราอาจต้องเสียชีวิต แต่การตายอย่างมีเกียรติที่พระเจ้าพอพระทัย ก็ยังดีกว่าการอยู่อย่างไร้เกียรติ ไร้คุณค่าอย่างที่พระเจ้าทรงปรารถนา!

บทเรียน

7:30 “เมื่อเวลาผ่านไปได้สี่สิบปี ทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาปรากฏแก่โมเสสในเปลวไฟที่พุ่มไม้ในถิ่นทุรกันดารของภูเขาซีนาย” 

    (“Now when forty years had passed, an angel appeared to him in the wilderness of Mount Sinai, in a flame of fire in a bush.)

7:31 “เมื่อโมเสสเห็นก็อัศจรรย์ใจเพราะนิมิตนั้น เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ก็ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าตรัสว่า” 

    (When Moses saw it, he was amazed at the sight, and as he drew near to look, there came the voice of the Lord: )

7:32 ‘เราเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของเจ้า คือพระเจ้าของอับราฮัม ของอิสอัค และของยาโคบ’ โมเสสจึงกลัวจนตัวสั่นไม่กล้ามองดู” 

    (‘I am the God of your fathers, the God of Abraham and of Isaac and of Jacob.’ And Moses trembled and did not dare to look. )

7:33 “พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า ‘จงถอดรองเท้าออก เพราะที่ที่เจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์”

     (Then the Lord said to him, ‘Take off the sandals from your feet, for the place where you are standing is holy ground.) 

7:34 “อันที่จริงเราเห็นความทุกข์ของชนชาติของเราที่อยู่ในประเทศอียิปต์แล้ว และเราได้ยินเสียงคร่ำครวญของเขาทั้งหลาย เราจึงลงมาเพื่อช่วยพวกเขาให้รอด มาเถอะ เราจะใช้เจ้าไปยังประเทศอียิปต์’” 

     (I have surely seen the affliction of my people who are in Egypt, and have heard their groaning, and I have come down to deliver them. And now come, I will send you to Egypt.’)

7:35 “โมเสสคนนี้ที่เคยถูกพวกเขาปฏิเสธ โดยกล่าวว่า ‘ใครตั้งเจ้าให้เป็นผู้ครอบครองและผู้พิพากษาของเรา’ นั้นเอง โดยมือของทูตสวรรค์ผู้ซึ่งปรากฏแก่ท่านที่พุ่มไม้ พระเจ้าทรงใช้โมเสสคนนี้แหละ ไปเป็นผู้ครอบครองและผู้ช่วยกู้” 

     (“This Moses, whom they rejected, saying, ‘Who made you a ruler and a judge?’—this man God sent as both ruler and redeemer by the hand of the angel who appeared to him in the bush. )

7:36 “คนนี้แหละที่เป็นผู้นำพวกเขาออกมา และทำการอัศจรรย์และหมายสำคัญต่างๆ ในแผ่นดินอียิปต์ ที่ทะเลแดง และในถิ่นทุรกันดารสี่สิบปี” 

     (This man led them out, performing wonders and signs in Egypt and at the Red Sea and in the wilderness for forty years. )

7:37 “โมเสสคนนี้แหละที่กล่าวกับชนชาติอิสราเอลว่า ‘พระเจ้าจะประทานผู้เผยพระวจนะผู้หนึ่งเกิดมาเพื่อท่านทั้งหลาย จากพี่น้องของพวกท่าน เหมือนอย่างข้าพเจ้า’”  

     (This is the Moses who said to the Israelites, ‘God will raise up for you a prophet like me from your brothers.’) 

7:38 “โมเสสคนนี้แหละที่อยู่ในชุมนุมชนในถิ่นทุรกันดาร อยู่กับทูตสวรรค์ผู้พูดกับท่านที่ภูเขาซีนาย และอยู่กับบรรพบุรุษของเรา ท่านได้รับพระดำรัสอันทรงชีวิตเพื่อส่งต่อมาให้เรา” 

      (This is the one who was in the congregation in the wilderness with the angel who spoke to him at Mount Sinai, and \ with our fathers. He received living oracles to give to us. )

7:39 “บรรพบุรุษของเราไม่ยอมฟังโมเสส แต่ผลักไสท่านออกไป และหันเหจิตใจกลับไปยังแผ่นดินอียิปต์” 

      (Our fathers refused to obey him, but thrust him aside, and in their hearts they turned to Egypt, )

7:40 “พวกเขากล่าวกับอาโรนว่า ‘ขอสร้างพระให้แก่เรา เป็นพระที่จะนำเราไป เพราะว่าโมเสสคนนี้ ที่เป็นคนนำเราออกจากประเทศอียิปต์นั้นเราไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรไป’”

      (saying to Aaron, ‘Make for us gods who will go before us. As for this Moses who led us out from the land of Egypt, we do not know what has become of him.’ )

7:41 “ในเวลานั้นพวกเขาทำรูปโคหนุ่ม และนำเครื่องสัตวบูชามาถวายแก่รูปนั้น และมีใจยินดีในสิ่งที่พวกเขาทำขึ้นด้วยมือ”

      (And they made a calf in those days, and offered a sacrifice to the idol and were rejoicing in the works of their hands.)

7:42 “ แต่พระเจ้าเบือนพระพักตร์และทรงปล่อยให้พวกเขานมัสการหมู่ดาวในท้องฟ้า ตามที่มีเขียนไว้ในหนังสือของบรรดาผู้เผยพระวจนะว่า ‘โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอล พวกเจ้าฆ่าสัตว์บูชาเรา ในถิ่นทุรกันดารถึงสี่สิบปีหรือ?”

       (But God turned away and gave them over to worship the host of heaven, as it is written in the book of the prophets: “‘Did you bring to me slain beasts and sacrifices, during the forty years in the wilderness, O house of Israel?)

7:43  “พวกเจ้าขนเต็นท์ของพระโมเลค และนำดาวพระเรฟาน รูปพระต่างๆ ที่พวกเจ้าทำขึ้น เพื่อกราบนมัสการรูปนั้นต่างหากเราจะกวาดพวกเจ้าไปไกลจนพ้น เมืองบาบิโลน’

     (You took up the tent of Moloch and the star of your god Rephan, the images that you made to worship; and I will send you into exile beyond Babylon.’)

7:44  “บรรพบุรุษของเราเมื่ออยู่ในถิ่นทุรกันดารก็มีเต็นท์แห่งสักขีพยาน ตามที่พระองค์ทรงสั่งไว้เมื่อตรัสกับโมเสสว่าให้ทำเต็นท์ตามแบบที่ได้เห็น” 

      (Our fathers had the tent of witness in the wilderness, just as he who spoke to Moses directed him to make it, according to the pattern that he had seen. )

7:45 “บรรพบุรุษของเราเมื่อได้รับเต็นท์นั้นจึงขนตามโยชูวาไป หลังจากเข้ายึดแผ่นดินของบรรดาประชาชาติที่พระเจ้าทรงขับไล่ให้พ้นหน้าบรรพบุรุษของเราแล้ว เต็นท์นั้นก็ยังคงอยู่จนถึงสมัยของดาวิด” 

     (Our fathers in turn brought it in with Joshua when they dispossessed the nations that God drove out before our fathers. So it was until the days of David,)

7:46 “ดาวิดนั้นได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า และทรงขออนุญาตที่จะจัดเตรียมพระนิเวศสำหรับพระเจ้าของยาโคบ”

      (who found favor in the sight of God and asked to find a dwelling place for the God of Jacob.)

7:47 “แต่ซาโลมอนเป็นผู้ที่ได้สร้างพระนิเวศสำหรับพระเจ้า” 

     (But it was Solomon who built a house for him.48Yet the Most High does not dwell in houses made by hands, as the prophet says,)

7:48 “ถึงกระนั้นก็ดี องค์ผู้สูงสุดก็ไม่ได้ประทับในพระนิเวศที่มือมนุษย์ทำไว้ ตามที่ผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้ว่า”

     (“However, the Most High does not live in houses made by human hands. As the prophet says:)

7:49 ‘สวรรค์เป็นที่ประทับของเรา และแผ่นดินโลกเป็นที่รองเท้าของเรา พวกเจ้าจะสร้างนิเวศชนิดไหนสำหรับเรา องค์พระผู้เป็นเจ้า หมายถึงพระเจ้า ตรัสหรืออะไรจะเป็นที่พำนักของเรา?”

     (“‘Heaven is my throne, and the earth is my footstool. What kind of house will you build for me, says the Lord, or what is  the place of my rest?)

7:50 “สิ่งเหล่านี้มือของเราทำไว้ทั้งหมดไม่ใช่หรือ?’” 

     (Did not my hand make all these things?’)

7:51 “เจ้าพวกคนหัวแข็ง ใจดื้อดึง และหูตึง พวกท่านขัดขวางพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เสมอ บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายทำอย่างไร พวกท่านก็ทำอย่างนั้น” 

      (“You stiff-necked people, uncircumcised in heart and ears, you always resist the Holy Spirit. As your fathers did, so do you. )

7:52 “มีใครบ้างในบรรดาผู้เผยพระวจนะที่บรรพบุรุษทั้งหลายของพวกท่านไม่ได้ข่มเหง? พวกเขาฆ่าคนทั้งหลายที่พยากรณ์ถึงการเสด็จมาของ ‘องค์ผู้ชอบธรรม’ และบัดนี้ท่านทั้งหลายก็ทรยศและฆ่าพระองค์” 

     (Which of the prophets did your fathers not persecute? And they killed those who announced beforehand the coming of the Righteous One, whom you have now betrayed and murdered, )

7:53 “คือพวกท่านที่ได้รับธรรมบัญญัติจากเหล่าทูตสวรรค์ แต่ไม่ได้ประพฤติตามธรรมบัญญัตินั้น”

     (you who received the law as delivered by angels and did not keep it.”)

7:54 “เมื่อพวกเขาได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกเดือดดาล และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเข้าใส่สเทเฟน” 

     (Now when they heard these things they were enraged, and they ground their teeth at him.)

7:55 “ส่วนสเทเฟนเต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านเขม้นดูสวรรค์เห็นพระรัศมีของพระเจ้า และเห็นพระเยซูทรงยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์” 

     (But he, full of the Holy Spirit, gazed into heaven and saw the glory of God, and Jesus standing at the right hand of God.) 

7:56 “แล้วท่านกล่าวว่า “นี่แน่ะ ข้าพเจ้าเห็นท้องฟ้าแหวกเป็นช่อง และเห็นบุตรมนุษย์ทรงยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า” 

     (And he said, “Behold, I see the heavens opened, and the Son of Man standing at the right hand of God.”)

7:57 “แต่พวกเขาร้องเสียงดังและอุดหูวิ่งกรูกันเข้าไปหาสเทเฟน” 

     (But they cried out with a loud voice and stopped their ears and rushed together at him.) 

7:58 “แล้วขับไล่ท่านออกจากกรุงและเอาหินขว้าง และพวกสักขีพยานที่ปรักปรำสเทเฟน ก็ฝากเสื้อผ้าของตนวางไว้ที่เท้าของชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อเซาโล” 

    (Then they cast him out of the city and stoned him. And the witnesses laid down their garments at the feet of a young man named Saul. )

7:59 “ขณะที่พวกเขาเอาหินขว้างสเทเฟนอยู่นั้น ท่านร้องทูลว่า “ข้าแต่พระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงรับจิตวิญญาณของข้าพระองค์ด้วย” 

     (And as they were stoning Stephen, he called out, “Lord Jesus, receive my spirit.” )

7:60 “แล้วสเทเฟนก็คุกเข่าลงร้องเสียงดังว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอโปรดอย่าถือโทษพวกเขาเพราะบาปนี้” เมื่อกล่าวอย่างนี้แล้วก็สิ้นใจ”

     (And falling to his knees he cried out with a loud voice, “Lord, do not hold this sin against them.” And when he had said this, he fell asleep.)

ข้อมูลมีประโยชน์

7:30     “เวลาผ่านไปได้สี่สิบปี” (Now when forty years had passed)

          = รวมกับอีก 40 ปีในข้อ 23 เท่ากับ 80 ปี ใน อพย.7:7

              “ภูเขาซีนาย” (Mount Sinai) –ใน อพย.3:1 เรียกชื่อว่า “โฮเรบ”

 7:35     “โมเสสคนนี้เคยถูกพวกเขาปฏิเสธ” (This Moses, whom they rejected) –คนอิสราเอลปฏิเสธผู้มาปลดปล่อยพวกเขา เหมือนพวกยิวในเวลานี้ปฏิเสธเทเฟน ผู้มาประกาศและปฏิเสธพระเยซูคริสต์ผู้มาปลดปล่อยพวกเขา

“ทูตสวรรค์ผู้ซึ่งปรากฏแก่ท่านที่พุ่มไม้” (the angel who appeared to him in the bush) –อพย.3:2

7:37     “ผู้เผยพระวจนะ…. เหมือนอย่างข้าพเจ้า” (a prophet like me) -3:22-23;ฉธบ.18:15;34:10,12

7:38     “ทูตสวรรค์ผู้พูดกับท่าน” (the angel who spoke to him ) –ตามการตีความของพวกยิวในเวลานั้น บทบัญญัติมาถึงโมเสสโดยมีทูตสวรรค์เป็นตัวกลาง ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ โมเสสได้รับการเรียกครั้งแรก (อพย.3:2;7:53;กท.3:19;ฮบ.2:2)

         “ท่านได้รับพระดำรัสอันทรงชีวิตเพื่อส่งต่อมาให้เรา” ( He received living oracles to give to us)

         = โมเสสเป็นคนกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์บนภูเขาซีนาย

7:39     “บรรพบุรุษของเราไม่ยอมฟังโมเสส” (Our fathers refused to obey him,) = พวกเขาปฏิเสธผู้แทนของพระเจ้า และพระบัญชาของพระองค์อีกแล้ว

7:40     “ขอให้สร้างพระให้แก่เขา” (Make for us gods who will go before us)

           = ขอให้อาโรนช่วยสร้างเทพเจ้า (รูปเคารพ) ขึ้นมาให้พวกเขาในที่โมเสสกำลังรับพระบัญญัติของพระเจ้าอยู่บนภูเขาซีนาย พวกประชาชนก็ทำวัวทองคำขึ้นมา เท่ากับเป็นปฏิเสธพระเจ้าและตัวแทนของพระองค์ (อพย.32:1)

7:42     “แต่พระเจ้าเบือนพระพักตร์และทรงปล่อย” (But God turned away) –ปท. กับในโรม 1:24

            “นมัสการหมู่ดาวในท้องฟ้า” (to worship the host of heaven)  -ยรม.19:13

7:43     “เราจะกวาดพวกเจ้าไปไกลจนพ้นเมืองบาบิโลน” (I will send you into exile beyond Babylon)

          = สเทเฟน ยกเอาอาโมส 5:25-27 จากพระคัมภีร์ฉบับเซปทัวจิ้นมาใช้ โดยแทนที่ดามัสกัสด้วยบาบิโลน โดยมองว่า ในท้ายสุดพวกอิสราเอลต้องออกจากดินแดนแห่งพันธสัญญาไปเป็นเชลยอยู่ที่บาบิโลน (ทั้ง ๆ ที่อาโมสกำลังพูดถึงการเป็นเชลยครั้งแรก ของอาณาจักรเหนือโดยกองทัพของอัสซีเรียโดยพูดถึง “พระโมเลค…พระเรฟาน” –อมส.5:26;ลนต.18:21

7:44-50 = เนื่องด้วย สเทเฟนถูกกล่าวหาว่า พูดลบหลู่ สถานบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ (6:13) เขาจึงสรุปคำชี้แจงว่าด้วยเรื่องสถานนมัสการ โดยกล่าวว่า พระเยซูผู้เป็นขึ้นมาจากตาย ได้มาทดแทนพระวิหารแล้ว โดยทรงเป็นผู้กลาง ผู้แสดงการสถิตของพระเจ้าอยู่ท่ามกลางประชากรของพระองค์ เพื่อไถ่และช่วยพวกเขาให้รอดพ้นโทษบาป และเป็น ทาง(สถานที่) ให้พวกเขาให้รอดพ้นโทษบาป และเป็นทาง (สถานที่) ให้พวกเขาและบรรดาประชาชาติ (มก.11:17) ไปถึงพระเจ้าได้ผ่านการอธิษฐานด้วยความศรัทธาในพระคริสต์ (6:13)

7:44     “เต็นท์แห่งสักขีพยาน” (the tent of witness ) –บางฉบับแปลว่า “พลับพลาแห่งพันธสัญญา” ที่สเทเฟนเรียกเช่นนั้นเพราะสิ่งสำคัญที่อยู่ในพลับพลา คือ หีบพันธสัญญา และแผ่นจารึกพันธสัญญา ทั้ง 2 แผ่นที่อยู่ภายในเต็นท์นั้น  (อพย.25:16,21)

7:49     “พวกเจ้าจะสร้างนิเวศชนิดไหนสำหรับเรา” (What kind of house will you build for me) = สเทเฟนกำลังเตือนสติชาวอิสราเอลว่า ทุกชีวิตล้วนเป็นวิหารที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาเอง ไม่ใช่ในอาคารวัตถุ

7:51     “เจ้าพวกคนหัวแข็งไม่ดื้อดึงและหูตึง” ( You stiff-necked people, uncircumcised in heart and ears )  = บางฉบับแปลว่า “ท่านเหล่าประชากรผู้หัวแข็ง ผู้มีจิตใจและหูที่ไม่ได้เข้าสุหนัต”

            = พวกเขาเข้าสุหนัตแต่ทำตัวเหมือนชนชาติต่าง ๆ ที่ไม่เข้าสุหนัต จึงนับว่าเป็นพวกเขาสุหนัตอย่างไร้ประโยชน์ใด ๆ เพราะยังหัวแข็ง ดื้อดึงและหูตึงต่อพระเจ้า

7:52     “องค์ผู้ชอบธรรม” (the Righteous One  ) -3:14

7:53     “ธรรมบัญญัติจากเหล่าทูตสวรรค์” (the law as delivered by angels) -7:38

7:55     “เต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” (full of the Holy Spirit ) -2:4;6:5

            “พระรัศมีของพระเจ้า” (the glory of God)  = พระเกียรติสิริของพระเจ้า –ลก.2:29

7:56     “บุตรมนุษย์” (   the Son of Man ) –มก.8:31

            “ยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า” (standing at the right hand of God.) –สดด.110:1;มก.14:62;ลก.22:69;ฮบ.1:2-3

7:58     “ก็ฝากเสื้อผ้าของตนวางไว้ที่เท้าของ….เซาโล” (laid down their garments at the feet of a young man named Saul) = การเริ่มต้นแนะนำตัวละครหลักของพระธรรมกิจการ คือ ตัวเซาโล หรือเปาโลในเวลาต่อมา (บทที่ 13-28)

            -บางคนตีความว่า เซาโลเป็นผู้รับผิดชอบในการสังหารสเทเฟน

คำถามนำอภิปราย

  1. พระเจ้าทรงเรียกโมเสสเมื่อท่านอายุมากถึง 80 ปีแล้ว พระเจ้าทรงเรียกคุณเมื่อตอนอายุเท่าไร? อย่างไร?
  2. บางครั้งคุณอาจมีใจร้อนรนที่จะช่วยเหลือหรือรับใช้พี่น้องของคุณ คุณเคยประสบกับความผิดหวังหรือความเจ็บปวดจากเจตนาดีของคุณจน(แทบ) หมดใจบ้างหรือไม่? อย่างไร?
  3. คุณเคยถูกปฏิเสธซ้ำซ้อนจากคนที่คุณพยายามช่วยเหลือพวกเขาบ้างหรือไม่? อย่างไร? แล้วคุณตอบสนองอย่างไร?
  4. ถ้าคุณเชื่ออย่างสุดใจว่า ร่างกายของคุณคือพระวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คุณคิดว่า คุณจะมีพฤติกรรมอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้บ้าง? แล้วจะมีอะไรดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แล้วจะส่งผลกระทบอะไร? อย่างไรบ้าง?
  5. คุณเคยถูกผู้อื่นโกรธจัดมากจนคิดเล่นงานคุณบ้างหรือไม่? เพราะเรื่องอะไร? แล้วลงเอยอย่างไร?
  6. คุณเคยโกรธผู้ใดมากจนตั้งหน้าตั้งตาเล่นงานเขาบ้างหรือไม่? อย่างไร? แล้วผลที่ตามมาคืออะไร? ดีหรือไม่?
  7. คุณเคยเห็นนิมิตอะไรจากพระเจ้าบ้างหรือไม่? แล้วส่งผลอะไรต่อชีวิตของคุณหรือผู้อื่นบ้าง? อย่างไร?
  8. คุณเคยให้อภัยแก่คนที่ทำร้ายคุณอย่างเจ็บปวดมากหรือไม่? ทำอย่างไร? และทำไมจึงทำเช่นนั้นได้?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนพระธรรมกิจการของอัครทูต บทเรียนที่ 8

คนที่ถูกเลือก

พระธรรม        กิจการ 6:1-15

อ้างอิง            กจ.1:14-16,24;2:41;4:35;7:55-60;8:5-40;9:17,29,39-41;11:19,26;15:1;19:6;21:8,21:22:20; 26:3;27:18;28:8,17;1ทธ.4:14;5:3;ฮบ.4:12;ลก.1:15;อพย.18:21;นหม.13:13;มธ.26:59-61;27:32

บทนำ             ปัญหามีอยู่ทุกที่ เราไม่อาจหนีปัญหาให้พ้นได้ทุกเรื่อง เพราะแม้แต่ในคริสตจักรของพระเจ้าก็ยังมีปัญหาเลย แต่ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ปัญหา แต่อยู่ที่วิถีในการแก้ปัญหาของเราต่างหาก!

บทเรียน

6:1 “ในเวลานั้นเมื่อพวกสาวกกำลังเพิ่มจำนวนขึ้น พวกยิวที่พูดกรีกพากันบ่นติเตียนพวกยิวที่พูดฮีบรู เพราะบรรดาแม่ม่ายของพวกเขาถูกทอดทิ้งไม่ได้รับแจกอาหารประจำวัน” 

    (Now in these days when the disciples were increasing in number, a complaint by the Hellenists arose against the Hebrews because their widows were being neglected in the daily distribution.) 

6:2 “อัครทูตทั้งสิบสองคนจึงเรียกพวกสาวกมาประชุมกัน แล้วกล่าวว่า “การที่เราจะละเลยพระวจนะของพระเจ้า มัวไปแจกอาหารก็ไม่สมควร”

   (And the twelve summoned the full number of the disciples and said, “It is not right that we should give up preaching the word of God to serve tables.)

6:3 “เพราะฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงเลือกเจ็ดคนในพวกท่านที่มีชื่อเสียงดี เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และสติปัญญา เราจะตั้งให้พวกเขาดูแลงานนี้” 

   (Therefore, brothers, pick out from among you seven men of good repute, full of the Spirit and of wisdom, whom we will appoint to this duty.) 

6:4 “ส่วนเราจะอุทิศตัวในการอธิษฐานและในพันธกิจด้านพระวจนะ”

   (But we will devote ourselves to prayer and to the ministry of the word.”)

6:5 “คนทั้งหลายก็เห็นชอบกับสิ่งที่กล่าวนี้ จึงเลือกสเทเฟนผู้เต็มเปี่ยมด้วยความเชื่อและพระวิญญาณบริสุทธิ์ กับฟีลิป โปรโครัสนิคาโนร์ ทิโมน ปารเมนัส และนิโคเลาส์ชาวเมืองอันทิโอกซึ่งเป็นคนเข้าจารีตในศาสนายิว” 

   (And what they said pleased the whole gathering, and they chose Stephen, a man full of faith and of the Holy Spirit, and Philip, and Prochorus, and Nicanor, and Timon, and Parmenas, and Nicolaus, a proselyte of Antioch.)

6:6 “คนทั้งเจ็ดนี้ พวกเขาให้มายืนต่อหน้าพวกอัครทูต แล้วอัครทูตก็อธิษฐานและวางมือบนตัวเขาทั้งหลาย”

   (These they set before the apostles, and they prayed and laid their hands on them.)

6:7 “การประกาศพระวจนะของพระเจ้าก็เจริญขึ้น และจำนวนสาวกก็เพิ่มขึ้นอย่างมากในกรุงเยรูซาเล็ม และพวกปุโรหิตจำนวนมากก็มาเชื่อถือ”

   (And the word of God continued to increase, and the number of the disciples multiplied greatly in Jerusalem, and a great many of the priests became obedient to the faith.)

6:8 “สเทเฟนซึ่งเต็มเปี่ยมด้วยพระคุณและฤทธานุภาพก็ทำการมหัศจรรย์และหมายสำคัญใหญ่ท่ามกลางประชาชน” 

   (And Stephen, full of grace and power, was doing great wonders and signs among the people.) 

6:9 “แต่มีบางคนจากธรรมศาลาที่เรียกว่าธรรมศาลาของทาสอิสระ ชาวไซรีน ชาวอเล็กซานเดรียและบางคนจากซิลีเซียและเอเชียลุกขึ้นมาโต้แย้งกับสเทเฟน” 

    (Then some of those who belonged to the synagogue of the Freedmen (as it was called), and of the Cyrenians, and of the Alexandrians, and of those from Cilicia and Asia, rose up and disputed with Stephen.)

6:10 “คนเหล่านั้นไม่สามารถต่อสู้ถ้อยคำที่ท่านกล่าวโดยสติปัญญาและพระวิญญาณบริสุทธิ์” 

    (But they could not withstand the wisdom and the Spirit with which he was speaking.)

6:11 “จึงแอบสร้างพยานเท็จกล่าวว่า “เราได้ยินคนนี้พูดหมิ่นประมาทโมเสสและพระเจ้า” 

    (Then they secretly instigated men who said, “We have heard him speak blasphemous words against Moses and God.”) 

6:12 “เขาทั้งหลายยุยงประชาชนและพวกผู้ใหญ่กับพวกธรรมาจารย์ให้เกิดความวุ่นวาย แล้วเข้ามาจับสเทเฟนนำไปยังสภายิว” 

    (And they stirred up the people and the elders and the scribes, and they came upon him and seized him and brought him before the council,) 

6:13 “ให้พวกสักขีพยานเท็จมาให้การว่า “คนนี้พูดหมิ่นประมาทสถานบริสุทธิ์และธรรมบัญญัติไม่หยุดเลย” 

    (and they set up false witnesses who said, “This man never ceases to speak words against this holy place and the law) 

6:14 “เพราะเราได้ยินเขาว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธจะทำลายสถานที่นี้ และจะเปลี่ยนธรรมเนียมที่โมเสสให้ไว้แก่เรา” 

    (for we have heard him say that this Jesus of Nazareth will destroy this place and will change the customs that Moses delivered to us.”) 

6:15 “พวกสมาชิกสภาต่างจ้องดูสเทเฟน เห็นหน้าของท่านเหมือนหน้าทูตสวรรค์”

     (And gazing at him, all who sat in the council saw that his face was like the face of an angel.)

 ข้อมูลมีประโยชน์

6:1    “พวกสาวกเพิ่มจำนวนขึ้น” (the disciples were increasing in number)

       = เวลาผ่านมาพอสมควรจากบทที่ 5  แต่คริสตจักรก็ยังคงเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง (5:14)

“บ่นติเตียน” (complaint) = เมื่อคริสตจักรเติบโตขึ้นก็เกิดปัญหาตามมา ทั้งจากภายใน (6:1-7) และจาก

ภายนอก(6:8-7:60)

-ในพัฒนาตอนนี้คริสตจักรประกอบด้วยพวกชาวยิว 2 ประเภท

1) ยิวที่ถือธรรมเนียมกรีก มีสัณชาติกรีก เกิดในดินแดนอื่น นอกปาเลศไตน์ พูดภาษากรีก มีวิถีชีวิตมุมมองและทัศนคติแบบกรีกมากกว่าแบบยิว

2) ยิวที่ถือธรรมเนียมยิว พูดทั้งภาษา อารเมค และหรือภาษาฮีบรู ของยิวในปาเลศไตน์ และรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมของชาวยิว

“ไม่ได้รับแจกอาหารประจำวัน” (were being neglected in the daily distribution) = คริสตจักรในยุคต้นต้องรับผิดชอบดูแลเอาใจใส่เรื่องอาหารของแม่ม่ายที่ไม่มีใครดูแลเอาใจใส่ (ปท.4:35;11:28-29;1ทธ.5:3-16)

6:2    “อัครทูตทั้งสิบสองคน” (the twelve) = ในช่วงเวลานี้ พวกอัครทูตเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบชีวิตของคริสตจักร ทั้งในด้านพันธกิจการประกาศพระวจนะของพระเจ้าและการทำพันธกิจการดูแลคนจน

“มัวไปแจกอาหารก็ไม่สมควร” (to serve tables)  = แท้จริงคริสตจักรยุคแรกต้องดูแลเอาใจใส่พันธกิจทุกด้าน ทั้งด้านฝ่ายจิตวิญญาณ (พระวจนะของพระเจ้า  ด้านอธิษฐาน (ข.4) และปากท้องหรือฝ่ายวัตถุต่าง ๆ

 6:3    “จงเลือกเจ็ดคน” (among you seven)  = คริสตจักร “เลือก” คนทั้งหมดนี้ขึ้นมา (ข.5) และอัครทูต

         “สถาปนา” พวกเขาให้ทำหน้าที่ (ข.6)

 6:5    “จึงเลือกสเทเฟน…นิโคเลาส์ ชาวเมืองอันทิโอก” (and they chose Stephen,…. Nicolaus, a proselyte of Antioch.) = การที่คนทั้ง 7 คนมีชื่อเป็นภาษากรีก นับว่า มีนัยสำคัญเพราะเป็นกลุ่มที่มีปัญหาที่เกิดข้อร้องเรียนขึ้นมา จึงนับเป็นสิ่งสวยงามที่คริสตจักรในยุคแรกนั้นใช้วิธีแก้ปัญหาที่แสดงถึงความใส่ใจอย่างเท่าเทียม-ใน 7 คนนี้มีแต่สเทเฟนกับนิโคเลาส์(หรือนิโคลัส) ได้รับการกล่าวถึงมากยิ่งขึ้น

1) สเทเฟน -6:8-7:60

2) ฟิลิป –8:8-40;21:8-9

“ชาวเมืองอันทิโอกซึ่งเป็นคนเข้าจารีตในศาสนายิว” ( a proselyte of Antioch) = เป็นนัยสำคัญที่ผู้เข้าจารีตยิวถูกนับรวมเข้าไปในกลุ่มนี้ด้วย ลูการะบุว่า บ้านเกิดของเขาอยู่ที่อันทิโอก ซึ่งเป็นเมืองที่ในไม่ช้าจะได้รับข่าวประเสริฐ และกลายเป็นสำนักงานใหญ่สำหรับพันธกิจส่งมิชชันนารีไปประกาศกับคนต่างชาติ

6:6       “อธิษฐานและวางมือบนตัวเขาทั้งหลาย” (prayed and laid their hands on them) = ในพระคัมภีร์เดิมนั้น การวางมือมีจุดประสงค์หลายประการ

  1. เพื่ออวยพร –ปฐก.48:13-20
  2. เพื่อส่งผ่านความผิดบาปจากคนบาปไปยังเครื่องบูชา –ลนต.1:4
  3. เพื่อมอบหมายความรับผิดชอบใหม่ให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง –กดว.27:23

ส่วนในพระคัมภีร์ใหม่นั้น การวางมือใช้ในกรณี

  1. เพื่อรักษาโรค – กจ.28:8;มก.1:41
  2. เพื่ออวยพร -มก.10:16
  3. เพื่อสถาปนาหรือแต่งตั้งให้ทำงาน – กจ.6:6;13:3;1ทธ.5:22
  4. เพื่อมอบของประทานฝ่ายวิญญาณ –กจ.8:17;19:6;1ทธ.4:;2ทธ.1:6

-ทั้ง  7 คนนี้ ถูกแต่งตั้งให้รับผิดชอบงานที่อัครทูตมอบหมายให้ทำในภาษากรีก คำ ๆ นี้ใช้อธิบายความรับผิดชอบของพวกเขา หมายถึง “รับใช้ที่โต๊ะอาหาร” เป็นคำกริยาของคำนามที่แปลว่า “มัคนายก” หรือ “ผู้ปรนนิบัติ, ผู้รับใช้” ต่อมาถูกเรียกว่า “คณะเจ็ดคน”  -21:8

มีประเด็นถกเถียงกันว่า กลุ่มคนทั้ง 7 คนนี้เป็นมัคนายกกลุ่มแรกหรือว่าจะมีมัคนายกมาแทนที่กลุ่มนี้ในภายหลัง (1ทธ.3:8)

6:7    “การประกาศพระวจนะของพระเจ้าก็เจริญขึ้น” ( the word of God continued to increase)

= มีการรายงานความก้าวหน้าของคริสตจักรเป็นระยะ ๆ ในพระธรรมกิจการ เช่น 1:15;2:41;4:4;5:14;6:7;9:31; 12:24;16:5;19:20;28:3

“พวกปุโรหิตจำนวนมากก็มาเชื่อถือ” (the priests became obedient to the faith.) = เมื่อเดิมนั้นเหล่าปุโรหิตจะต้องรับใช้ทั้งชีวิตและผูกพันกับการถวายเครื่องบูชาตามพันธสัญญาเดิมที่กำหนดไว้ แต่ในตอนนี้ พวกเขาก็ยอมรับคำเทศนาของอัครทูตที่ประกาศว่า เครื่องบูชาแบบใหม่ได้ทำให้เครื่องบูชาแบบเก่าหมดความจำเป็น –ฮบ.8:3;10:1-4,11-14

“มาเชื่อถือ” (the faith) = มารับเชื่อ แปลตามตัวว่า “มาเชื่อฟังความเชื่อ”

= เป็นการตอบสนองตามคำบัญชาของข่าวประเสริฐ โดยความเชื่อนี้เองก็คือการเชื่อฟังพระเจ้า และเป็นความเชื่อที่ส่งผลเป็นความเชื่อฟังด้วย – รม.1:5;อฟ.2:8-10;ยก.2:14-26

6:8   “ทำการมหัศจรรย์และหมายสำคัญใหญ่” (doing great wonders and signs) = ที่ผ่านมา มีแค่อัครทูตเท่านั้นทำการอัศจรรย์ (2:43;3:4-8;5:12)

       -แต่หลังจากอัครทูตวางมือให้กับคนเจ็ดคนนี้ พระธรรมกิจการบันทึกว่า สเทเฟนก็ทำการอัศจรรย์เป็นหมายสำคัญด้วย (ซึ่งต่อมาใน กจ.8:6 ฟิลิปก็ทำด้วยเช่นกัน)

6:9    “ทาสอิสระ” ( the Freedmen) = ทาสที่ได้รับอิสรภาพ มาจากดินแดนกรีกหลายแห่ง

        “ไซรีน” ( the Cyrenians) = เมืองสำคัญในลิเบีย และในอัฟริกาเหนือ (2:10;มก.15:21) อยู่ครึ่งทางระหว่าง อเล็กซานเดรียกับคาร์เธจ มีประชากรส่วนหนึ่งเป็นชาวยิว –11:19-21

“อเล็กซานเดรีย” (the Alexandrians) = เมืองหลวงของอียิปต์และใหญ่รองจากกรุงโรม ในจักรพรรดิโรมันเท่านั้น และสองในห้าแขวงของอเล็กซานเดรียเป็นแขวงของชาวยิว

“ซิลีเซีย” (Cilicia) = แคว้นของโรมันทางมุมตะวันออกเฉียงใต้ของเอเชียน้อย ติดกับซีเรีย

-เมืองทาร์ซัสบ้านเกิดของ อ.เปาโล ก็เป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งของแคว้นนี้

“เอเชีย” ( Asia) = แคว้นหนึ่งของโรมันในส่วนตะวันตกของเอเซียน้อย มีเมืองหลวงคือ เอเฟซัส ซึ่งในเวลาต่อมา อ.เปาโล ไปทำพันธกิจที่นั่นระยะหนึ่ง

“ลุกขึ้นมาโต้เถียงกับสเทเฟน” ( rose up and disputed with Stephen) = เปาโลมาจากเมืองทาร์ซัสอาจมาร่วมในธรรมศาลาแห่งนี้ด้วย และท่านอาจเป็นหนึ่งในพวกที่โต้แย้งกับสเทเฟน และในขณะที่สเทเฟนถูกหินขว้างตาย เปาโลก็อยู่ที่นั่นด้วย (7:58)

6:11   “คนนี้พูดหมิ่นประมาทโมเสสและพระเจ้า” (him speak blasphemous words against Moses and God.) = คงเนื่องมาจากการที่สเทเฟนประกาศว่า การนมัสการพระเจ้าไม่ถูกจำกัดให้อยู่ในพระวิหารอีก

(7:48-49) พวกปรปักษ์ของเขาจึงบิดเบือนคำพูดเหล่านั้นและกล่าวหาว่า สเทเฟนโจมตีพระวิหารบทบัญญัติ โมเสสและพระเจ้า

6:12     “พวกผู้ใหญ่กับพวกธรรมาจารย์” (the elders and the scribes) –มธ.2:4;15:2;ลก.5:17

            “สภายิว” (the council)  = สภาแซนเฮดริน – มก.15:55

6:13     “คนนี้พูดหมิ่นประมาทสถานบริสุทธิ์และธรรมบัญญัติไม่หยุดเลย” (This man never ceases to speak words against this holy place and the law) = เป็นคำกล่าวหาหรือข้อหาที่คล้ายคลึงกับที่พวกเขาป้ายสีให้กับพระเยซูคริสต์ (มธ.26:61)

-สเทเฟนอาจกล่าวถึงคำตรัสของพระเยซูที่บันทึกใน ยอห์น2:19 และคนฟังอาจเข้าใจผิดหรือตั้งใจตีความผิด (ข.14) เช่นเดียวกับที่พวกเขาไต่สวนพระเยซู

“สถานบริสุทธ์” ( this holy place) ในที่นี้หมายถึง พระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม

คำถามนำอภิปราย

  1. คริสตจักรของคุณกำลังเจริญเติบโตและมีสมาชิกเพิ่มจำนวนขึ้นหรือไม่? อย่างไร? ทำไม?
  2. คริสตจักรของคุณมีปัญหาในเรื่องใดบ้างในเวลานี้? อะไรคือปัญหาที่ใหญ่ที่สุดในความคิดของคุณ? เกิดจากใครหรืออะไร?  และคริสตจักรของคุณแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้ถูกต้องหรือแก้ไขได้ดีหรือไม่? อย่างไร?
  3. หากคริสตจักรของคุณมีปัญหา (ดังที่กล่าวในข้อ 2) คุณจะมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นหรือไม่? อย่างไร?
  4. ในคริสตจักรของคุณมีบุคคลที่มีคุณลักษณะเหล่านี้อย่างชัดเจนหรือไม่ คือ มีชื่อเสียงดี เต็มเปี่ยมด้วย     พระวิญญาณบริสุทธิ์ และมีสติปัญญา? คุณเอ่ยชื่อพวกเขาได้หรือไม่?  พวกเขามีส่วนช่วยอะไรในคริสตจักรหรือไม่?  อย่างไร?
  5. คุณเคยได้รับการยืนยันในเรื่องของประทานของคุณหรือเคยได้รับการวางมือจากคริสตจักรหรือไม่? ในเรื่องอะไร? แล้วเกิดผลอะไรตามมา?
  6. ใครเป็นผู้รับใช้ที่คุณชื่นชมมากที่สุดในคริสตจักรของคุณ? ในเรื่องอะไร? ทำไม?
  7. คุณเคยเห็นหมายสำคัญของพระเจ้าเป็นพิเศษเรื่องอะไรในชีวิตของคุณบ้าง? ส่งผลอะไรต่อตัวคุณ คนอื่น และคริสตจักรของคุณบ้าง? อย่างไร?
  8. คุณเคยถูกกล่าวหาหรือถูกเล่นงานเป็นความเท็จบ้างหรือไม่? อย่างไร? แล้วคุณผ่านพ้นมาได้อย่างไร?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนพระธรรมกิจการของอัครทูต บทที่ 6

อย่าลองดีกับพระวิญญาณบริสุทธิ์

พระธรรม        กิจการ 5:1-16

อ้างอิง             ยชว.7:11;ยน.4:48;10:23;กจ.2:43;4:32-37;5:3,5-6,10;19:12,17;มธ.4:10;8:16;ยน.13:2,27;ฉธบ.23:22;ลนต.6:2;สดด.5:6

บทนำ

พระเจ้าทรงรังเกียจความหน้าซื่อใจคด ความไม่จริงใจ และการหลอกลวงทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อกระทำออกมาภายใต้หน้ากากแห่งความเป็นคนดีมีน้ำใจ เราต้องเตือนตัวเองว่า เราจะหลอกลวงมนุษย์คนใดก็ได้โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่า กำลังถูกเราหลอก แต่คำเตือนคือ เราไม่มีทางหลอกลวงหรือปิดบังพระเจ้าได้ ดังนั้น จงเลิกหลอกตัวเองและผู้อื่น!

บทเรียน

5:1 “แต่มีชายคนหนึ่งชื่ออานาเนียกับภรรยาชื่อสัปฟีราขายที่ดินของตน”

      (But a man named Ananias, with his wife Sapphira, sold a piece of property, )

5:2 “แล้วเก็บเงินค่าที่ดินส่วนหนึ่งไว้ ภรรยาของเขาก็รู้ด้วย อีกส่วนหนึ่งนั้นเขานำมาวางไว้ที่เท้าของพวกอัครทูต” 

       (and with his wife’s knowledge he kept back for himself some of the proceeds and brought only a part of it and  laid it at the apostles’ feet.) 

5:3 “เปโตรจึงถามว่า “อานาเนีย ทำไมซาตาน จึงควบคุมใจของเจ้าให้โกหกต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทำให้เจ้าเก็บค่าที่ดินส่วน หนึ่งไว้?” 

       (But Peter said, “Ananias, why has Satan filled your heart to lie to the Holy Spirit and to keep back for yourself  part of the proceeds of the land?) 

5:4 “เมื่อที่ดินยังอยู่ก็เป็นของเจ้าไม่ใช่หรือ? เมื่อขายแล้วเงินก็ยังอยู่ในสิทธิอำนาจของเจ้าไม่ใช่หรือ? มีอะไรทำให้ใจของเจ้าคิดทำ อย่างนี้? เจ้าไม่ได้โกหกมนุษย์แต่โกหกพระเจ้า” 

      (While it remained unsold, did it not remain your own? And after it was sold, was it not at your disposal? Why is it that you have contrived this deed in your heart? You have not lied to man but to God.)

5:5 “เมื่ออานาเนียได้ยินคำเหล่านั้นก็ล้มลงและสิ้นใจ ทุกคนที่รู้เรื่องก็เกิดความเกรงกลัวอย่างยิ่ง” 

      (When Ananias heard these words, he fell down and breathed his last. And great fear came upon all who heard of it. )

5:6 “พวกคนหนุ่มก็มาห่อศพเขาแล้วหามไปฝัง”

      (The young men rose and wrapped him up and carried him out and buried him.)

5:7 “หลังจากนั้นประมาณสามชั่วโมง ภรรยาของเขาซึ่งยังไม่ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็เข้าไป”

      (After an interval of about three hours his wife came in, not knowing what had happened.) 

5:8 “เปโตรถามนางว่า “เจ้าขายที่ดินได้ราคาเท่านั้นหรือ จงบอกข้าเถิด?” นางจึงตอบว่า “ได้เท่านั้นค่ะ” 

      (And Peter said to her, “Tell me whether you sold the land for so much.” And she said, “Yes, for so much.)

5:9 “เปโตรจึงถามนางว่า “ทำไมเจ้าสองคนถึงพร้อมใจกันทดลองพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าเล่า? นี่แน่ะ เท้าของพวกคนที่ฝังศพสามีเจ้าอยู่ที่ประตู และพวกเขาจะหามศพของเจ้าออกไปด้วย” 

      (But Peter said to her, “How is it that you have agreed together to test the Spirit of the Lord? Behold, the feet of  those who have buried your husband are at the door, and they will carry you out.)

5:10 “ทันใดนั้นนางก็ล้มลงสิ้นใจแทบเท้าของเปโตร เมื่อพวกคนหนุ่มเข้ามาพบว่านางตายแล้ว ก็หามศพออกไปฝังไว้ข้างสามีของนาง”

        (Immediately she fell down at his feet and breathed her last. When the young men came in they found her dead, and they carried her out and buried her beside her husband.) 

5:11 “ทั่วคริสตจักรและทุกคนที่ได้ยินเหตุการณ์นั้นก็เกิดความเกรงกลัวอย่างยิ่ง”

        (And great fear came upon the whole church and upon all who heard of these things.)

5:12 “มีหมายสำคัญและการอัศจรรย์หลายอย่างที่พระเจ้าทรงทำด้วยมือของบรรดาอัครทูตท่ามกลางประชาชน และพวกเขารวมกัน อยู่ที่เฉลียงของซาโลมอน” 

       (Now many signs and wonders were regularly done among the people by the hands of the apostles. And they were all together in Solomon’s Portico.) 

5:13 “ส่วนคนอื่นๆ ไม่กล้าเข้ามาร่วมกับพวกเขา แต่ประชาชนเคารพพวกเขามาก” 

        (None of the rest dared join them, but the people held them in high esteem)

5:14 “และชายหญิงจำนวนมากก็เชื่อถือและเข้ามาเป็นสาวกของพระเจ้ามากกว่าก่อน” 

        (And more than ever believers were added to the Lord, multitudes of both men and women) 

5:15 “จนเขาทั้งหลายต่างหามคนเจ็บป่วยออกไปที่ถนนโดยวางบนที่นอนและแคร่ เพื่อว่าเมื่อเปโตรเดินผ่านไป อย่างน้อยเงาของท่านจะได้ถูกพวกเขาบางคน” 

       (so that they even carried out the sick into the streets and laid them on cots and mats, that as Peter came by at  least his shadow might fall on some of them.) 

5:16 “ประชาชนจากเมืองที่อยู่รอบกรุงเยรูซาเล็มมารวมกัน และพาบรรดาคนป่วยและคนมีผีโสโครกเบียดเบียนมา และทุกคนก็หาย”

       (The people also gathered from the towns around Jerusalem, bringing the sick and those afflicted with unclean  spirits, and they were all healed.)

ข้อมูลมีประโยชน์

5:1    “อานาเนีย…สัปฟีรา” ( Ananias…Sapphira) = เป็นแบบอย่างไม่ดีของการให้ที่ตรงข้ามกับบารนาบัสที่เป็นแบบอย่างที่ดีในการให้ -4:36

-ต่างก็ขายที่ดินของตน แต่บารนาบัสทำด้วยความใจกว้างอย่างจริงใจ แต่อานาเนียกับสัปฟีรา ทำอย่างเสแสร้งสร้างภาพเพื่อต้องการให้คนเยินยอ

5:2  “แล้วเก็บเงินค่าที่ดินส่วนหนึ่งไว้” (kept back for himself some) = การทำบาปครั้งแรกในวิถีชีวิตของ คริสตจักร

          -จริง ๆ แล้วเขามีสิทธิ์จะเก็บเงินจากการขายที่ของเขา  ประเด็นอยู่ที่ว่า เขาเก็บบางส่วนไว้ แต่แสร้งทำเป็นว่าได้ถวายทั้งหมด

          -การหลอกลวงพระเจ้า ตาม กท.6:7 ปท. ยชว.7:11

          “เขานำมาวางไว้ที่เท้าของพวกอัครทูต” (brought only a part of it and laid it at the apostles’ feet)

          –กจ.4:35,37

5:3       “ทำไมซาตานจึงควบคุมใจของเจ้า” (why has Satan filled your heart) –บางฉบับแปลว่า “เหตุใดซาตานจึง    ครอบงำใจของท่าน”  = ซาตานยังทำงานของมันอยู่เรื่อย ๆ  -ลก.22:3;ยน.13:2,27;1ปต.5:8;มธ.4:10

           “ควบคุมใจ” = ครอบงำใจ  – ยน.13:2,27

         “โกหกต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์” (to lie to the Holy Spirit) = มุสาต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าที่สถิตอยู่กับบรรดาผู้เชื่อ – กจ.5:9

         “ทำให้เจ้าเก็บค่าที่ดินส่วนหนึ่งไว้” (keep back for yourself part of the proceeds of the land?) = เก็บเงินค่าที่ดินส่วนหนึ่งไว้เพื่อตัวท่านเอง – ฉธบ.23:21

5:4     “เงินก็ยังอยู่ในสิทธิอำนาจของเจ้าไม่ใช่หรือ?” (And after it was sold, was it not at your disposal?)

              –ฉธบ.23:22

            “เจ้าไม่ได้โกหกมนุษย์ แต่โกหกพระเจ้า” (You have not lied to man but to God.) –ลนต.6:2

5:5        “ก็ล้มลงและสิ้นใจ” (fell down and breathed his last ) = ล้มลงสิ้นชีวิต – สดด.5:6;กจ.5:10

              “ก็เกิดความเกรงกลัวอย่างยิ่ง” (great fear came upon) = คนทั้งปวงที่ได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นก็ล้วนเกรงกลัวยิ่งนัก

             –กจ.5:1

5:6        “พวกคนหนุ่มก็มาห่อศพเขาแล้วหามไปฝัง” (The young men rose and wrapped him up and carried him out and buried him.) –ยน.19:40

5:8        “ได้เท่านั้นค่ะ” (Yes, for so much) –กจ.5:2

5:9        “ทำไมเจ้าสองคนถึงพร้อมใจกันทดลองพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าเล่า?” (How is it that you have agreed together to test the Spirit of the Lord? )

             -พระเจ้าจำเป็นต้องสอนบทเรียนสำคัญเรื่องความไม่ซื่อสัตย์หลอกลวงและการหน้าซื่อใจคด เป็นอันตรายต่อชุมชนของพระเจ้าโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคิดว่าเราสามารถหลอกพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ – กจ.5:3

5:10      “ทันใดนั้นนางก็ล้มลงสิ้นใจแทบเท้าของเปโตร” (Immediately she fell down at his feet and breathed her last)        

              –กจ.5:5

               “ก็หามศพออกไปฝังไว้ข้างสามีของนาง” (they carried her out and buried her beside her husband.)

               –กจ.5:6

5:11      “คริสตจักร” (church) =ในพระธรรมกิจการใช้คำว่า “คริสตจักร” เป็นครั้งแรกในข้อนี้ ซึ่งหมายถึงกลุ่มผู้เชื่อในท้องถิ่น (8:1;11:22;13:1) หรือคริสตจักรสากล (20:28) คำภาษากรีกที่ใช้นี้ (เอกคลีเซีย) โดยทั่วไปใช้ในความหมายทางการเมือง และการประชุมต่าง ๆ (19:32,40) และในพระคัมภีร์เดิมฉบับภาษากรีกที่เรียกว่า เซบทัวจิ้น ในคำนี้กับการที่ชาวอิสราเอลมาชุมนุมกันทางศาสนา

                “เกิดความเกรงกลัวอย่างยิ่ง” ( great fear) –กจ.5:5;19:17

5:12      “มีหมายสำคัญและการอัศจรรย์หลายอย่าง” (Now many signs and wonders) –ยน.4:48;กจ.2:43

               “พวกเขารวมกันอยู่” ( they were all together ) –กจ.4:32

               “ที่เฉลียงของซาโลมอน” (in Solomon’s Portico) –ยน.10:23;กจ.3:11

5:13      “ส่วนคนอื่น ๆ ไม่กล้าเข้ามาร่วมกับพวกเขา” (None of the rest dared join them)

               = เพราะตัวอย่างการลงโทษอานาเนียกับสัปฟีรา ทำให้หลายคนที่เสแสร้งหรือมีสองจิตสองใจไม่กล้าเสี่ยงเข้าร่วมกับผู้เชื่อ (ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีใครมาร่วมกับชุมนุมชนของคริสเตียน)

5:14       “ชายหญิงจำนวนมากก็เชื่อถือและเข้ามาเป็นสาวกของพระเจ้ามากกว่าก่อน” (And more than ever believers were added to the Lord, multitudes of both men and women)

              –กจ.4:4, ในที่นี้เป็นครั้งแรกที่บันทึกเจาะจงว่า มีผู้หญิงมาเชื่อ (ปท.8:3,12;9:2;13:50;16:1,13-14;17:4,12,34; 18:2;21:51;ปท.1:14)

5:15      “เงาของท่าน” (his shadow) = ในทำนองเดียวกันผ้าเช็ดหน้าของเปาโล ใน 19:12 และชายฉลองของพระเยซูคริสต์ ใน มธ.9:20  ไม่ใช่ว่า สิ่งเหล่านี้มีฤทธิ์อำนาจในตัวมันเอง แต่แสดงถึงการได้สัมผัสกับพระเยซูหรืออัครทูตโดยตรง

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยพบคนที่ดูเป็นคนดีมีใจกว้างน่านับถือ แต่ภายหลังพบว่าเขามิได้เป็นคนเช่นนั้นบ้างหรือไม่? เรื่องราวเป็นอย่างไร?  ส่งผลกระทบอะไรต่อคุณหรือส่วนรวมบ้างหรือไม่? อย่างไร?
  2. คุณเคยคิดหลอกลวงตัวเองหรือหลอกลวงพระเจ้าบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร?  แล้วตอนหลังเป็นอย่างไร?
  3. คุณเป็นนายของเงินทองทรัพย์สินของคุณ หรือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นนายของคุณ? คุณรู้ได้อย่างไร? และส่งผลต่อชีวิตและการรับใช้ของคุณอย่างไร?
  4. คุณเคยประสบกับเรื่องใดที่ทำให้คุณรู้สึกเกรงกลัวหรือยำเกรงพระเจ้าอย่างจับใจบ้างหรือไม่? แบ่งปัน
  5. คุณเคยเห็นการอัศจรรย์หรือหมายสำคัญประการใด (ไม่ว่าจะเกิดกับตัวของคุณหรือคนอื่น) ที่ส่งผลต่อชีวิตของคุณมากบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? และอย่างไร?
  6. คุณเคยเห็นคนหายไปจากโบสถ์และคนเข้ามาเพิ่มขึ้นในโบสถ์มากขึ้นหรือไม่? อะไรเป็นสาเหตุ? เหตุการณ์เหล่านั้นสอนอะไรคุณบ้าง?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer