Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียน 1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทที่ 4)

เช็คบิล !

 

 พระธรรม        1พงษ์กษัตริย์ 2:13-46

อ้างอิง               1พศด.29:23;2ซมอ.15:24;1ซมอ.22:20-23;2:27-36

บทนำ               ชีวิตคนเรามีทั้งขาขึ้นขาลง ความดีหรือความสำเร็จในวันวานไม่เป็นหลักประกันว่า จะนำผลดีมาสู่วันนี้  หากว่าเราเลือกข้างผิดหรือทำสิ่งผิดควบคู่

ไปกับสิ่งดี เราอาจได้รับสิ่งดีควบคู่ไปกับผลร้ายที่เกิดจากสิ่งผิดที่เราทำซึ่งจะกลับมาสนองเราในวันนี้หรือพรุ่งนี้

ดังนั้น จงระวังในสิ่งที่คุณเลือกและทำ!      จงเลือกและทำแต่สิ่งที่ดี และถูกต้องเท่านั้น!

บทเรียน

2:13 “แล้ว อาโดนียาห์พระราชโอรสของพระนางฮักกีท ได้เข้าเฝ้าพระนางบัทเชบา พระราชมารดาของซาโลมอน พระนางรับสั่งว่า “เจ้ามาดีหรือ?” ท่านทูลว่า “กระหม่อมมาดี พ่ะย่ะค่ะ

       (Then Adonijah the son of Haggith came to Bathsheba the mother of Solomon. And she said, “Do you come peacefully?” He said, “Peacefully.” )

2:14 “แล้วท่านทูลว่า “กระหม่อมมีเรื่องที่จะทูลพระนาง” พระนางมีรับสั่งว่า “จงว่าไปเถิด

       (Then he said, “I have something to say to you.” She said, “Speak.” )

2:15 “ท่าน จึงทูลว่า “พระนางทรงทราบแล้วว่าราชอาณาจักรนั้นเป็นของกระหม่อม และคนอิสราเอลทั้งสิ้นก็หมาย‌ ใจว่ากระหม่อมจะได้ครอบครอง อย่างไรก็ดี ราชอาณาจักรก็กลับกลายมาเป็นของน้องชายกระหม่อม เพราะพระยาห์เวห์ประทานราชอาณาจักรแก่เขา

       (He said, “You know that the kingdom was mine, and that all Israel fully expected me to reign.  However, the kingdom has turned about and become my brother’s, for it was his from the Lord. )

2:16 “บัดนี้กระหม่อมทูลขอแต่ประการเดียว ขอพระนางอย่าได้ปฏิเสธเลย” พระนางรับสั่งกับท่านว่า “จงว่าไปเถิด

        (And now I have one request to make of you; do not refuse me.” She said to him, “Speak.” )

2:17 “และ ท่านทูลว่า “ขอพระนางทูลพระราชาซาโลมอน เพราะพระราชาคงไม่ทรงปฏิเสธพระนาง คือทูลขออาบี‍ ชากชาวชูเนมให้เป็นชายาของกระหม่อม

       (And he said, “Please ask King Solomon—he will not refuse you—to give me Abishag the  Shunammite as my wife.” )

2:18 “พระนางบัทเชบารับสั่งว่า “ดีแล้ว เราจะทูลพระราชาแทนเจ้า

       (Bathsheba said, “Very well; I will speak for you to the king.”)

2:19 “พระนาง บัทเชบาจึงเข้าเฝ้าพระราชาซาโลมอน เพื่อทูลพระองค์แทนอาโดนียาห์ และพระราชาทรงลุกขึ้นต้อนรับพระนาง และทรงถวายคำนับพระนาง แล้วก็เสด็จประทับบนบัลลังก์ของพระองค์ รับสั่งให้นำพระเก้าอี้มาถวายพระราชมารดา พระนางก็เสด็จประทับที่เบื้องขวาของพระองค์

      (So Bathsheba went to King Solomon to speak to him on behalf of Adonijah. And the king rose to meet her and bowed down to her. Then he sat on his throne and had a seat brought for the king’s mother, and she sat on his right. )

2:20 “แล้ว พระนางทูลว่า “แม่จะขอสิ่งเล็กน้อยสิ่งหนึ่งจากลูก อย่าปฏิเสธแม่เลย” และพระราชาทูลพระนางว่า  “ขอมาเถิด ลูกจะไม่ปฏิเสธเสด็จแม่

      (Then she said, “I have one small request to make of you; do not refuse me.” And the king said to  her, “Make your request, my mother, for I will not refuse you.”)

2:21 “พระนางทูลว่า “ขอยกอาบีชากชาวชูเนมให้เป็นชายาของอาโดนียาห์พี่ชายของลูกเถิด

      (She said, “Let Abishag the Shunammite be given to Adonijah your brother as his wife.” )

2:22 “พระราชาซาโลมอนตรัสตอบพระราชมารดาของพระองค์ว่า“ทำไมเสด็จแม่จึงขออาบีชากชาวชูเนมให้อาโดนียาห์​  เล่า? น่าจะขอราชอาณาจักรให้เขาเสียด้วย เพราะเขาเป็นพี่ชายของลูก อีกทั้งขอให้อาบียาธาร์ปุโรหิตและขอให้  โยอาบบุตรนาง เศรุยาห์ด้วย

      (King Solomon answered his mother, “And why do you ask Abishag the Shunammite for Adonijah?  Ask for him the kingdom also, for he is my older brother, and on his side are Abiathar the priest and Joab the son of Zeruiah.” )

2:23 “แล้ว พระราชาซาโลมอนทรงปฏิญาณในพระนามของพระยาห์เวห์ว่า “ถ้าถ้อยคำนี้ไม่เป็นเหตุให้อาโดนียาห์​  เสียชีวิตแล้ว ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษเราและลงโทษให้หนักยิ่งขึ้น

      (Then King Solomon swore by the Lord, saying, “God do so to me and more also if this word does not cost Adonijah his life! )

2:24 “เพราะ ฉะนั้นพระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด คือพระองค์ผู้ทรงสถาปนาและตั้งเราไว้บนบัลลังก์ของดาวิด​พระราชบิดา และทรงให้เรามีราชวงศ์ดังที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ อาโดนียาห์จะถูกประหารในวันนี้ฉันนั้น

       (Now therefore as the Lord lives, who has established me and placed me on the throne of David my father, and who has made me a house, as he promised, Adonijah shall be put to death today.” )

2:25 “ดังนั้นพระราชาซาโลมอนจึงรับสั่งให้เบไนยาห์บุตรเยโฮยาดา ไปประหารชีวิตอาโดนียาห์เสีย และท่านก็ตาย

           (So King Solomon sent Benaiah the son of Jehoiada, and he struck him down, and he died. )

2:26 “ส่วน อาบียาธาร์ปุโรหิตนั้น พระราชารับสั่งว่า “จงไปอยู่ที่อานาโธท ไปสู่ไร่นาของเจ้าเพราะเจ้าสมควรตาย แต่ในเวลานี้เราจะไม่ประหารเจ้า เพราะว่าเจ้าหามหีบของพระยาห์เวห์องค์เจ้านายไปข้างหน้า ดาวิดพระราช บิดาของเรา และเพราะเจ้าได้ร่วมทุกข์กับพระราชบิดาของเรา

        (And to Abiathar the priest the king said, “Go to Anathoth, to your estate, for you deserve death.   But I will not at this time put you to death, because you carried the ark of the Lord God before  David my father, and because you shared in all my father’s affliction.”)

2:27 “ซาโลมอน จึงทรงขับไล่อาบียาธาร์เสียจากหน้าที่ปุโรหิตของพระยาห์เวห์ ดังนั้นทำให้สำเร็จตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งพระองค์ ตรัสเกี่ยวกับเชื้อสายของเอลีที่เมืองชีโลห์

      (So Solomon expelled Abiathar from being priest to the Lord, thus fulfilling the word of the Lord that he had spoken concerning the house of Eli in Shiloh. )

2:28 “เมื่อ ข่าวนี้ไปถึงโยอาบ (เพราะแม้โยอาบไม่ได้เข้าข้างอับซาโลม แต่ท่านได้เข้าข้างอาโดนียาห์) โยอาบก็หนีไปที่เต็นท์ของพระยาห์เวห์และจับเชิงงอนแท่นบูชา ไว้

      (When the news came to Joab—for Joab had supported Adonijah although he had not supported  Absalom—Joab fled to the tent of the Lord and caught hold of the horns of the altar. )

2:29 “เมื่อ มีคนไปกราบทูลพระราชาซาโลมอนว่า “โยอาบได้หนีไปยังเต็นท์ของพระยาห์เวห์ และนี่แน่ะ เขาอยู่ข้างแท่นบูชานั้น” ซาโลมอนตรัสสั่งเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาว่า “จงไปประหารเขาเสีย

   (And when it was told King Solomon, “Joab has fled to the tent of the Lord, and behold, he is beside the altar,” Solomon sent Benaiah the son of Jehoiada, saying, “Go, strike him down.” )

2:30 “เบไนยา ห์ก็มายังเต็นท์ของพระยาห์เวห์ พูดกับท่านว่า “พระราชามีรับสั่งว่า จงออกมาเถิด” ท่านตอบว่า “ไม่​ ออก ข้าจะตายที่นี่” แล้วเบไนยาห์ก็นำความไปกราบทูลพระราชาอีกว่า “โยอาบพูดอย่างนี้ และเขาตอบข้าพระ‌บาทอย่างนี้

   (So Benaiah came to the tent of the Lord and said to him, “The king commands, “Come out.” But he said, “No, I will die here.” Then Benaiah brought the king word again, saying, “Thus said Joab, and thus he answered me.” )

2:31 “พระราชา ตรัสตอบเขาว่า “จงทำตามที่เขาบอก จงประหารเขาเสียและฝังเขาไว้ ทั้งนี้จะได้เอาโทษของความผิด ซึ่งโยอาบได้ฆ่าคนที่ไม่มีความผิดนั้นไปเสียจากเรา และจากเชื้อสายพระราชบิดาของเรา

     (The king replied to him, “Do as he has said, strike him down and bury him, and thus take away  from me and from my father’s house the guilt for the blood that Joab shed without cause. )

2:32 “พระยา ห์เวห์ทรงนำโลหิตของเขากลับมาตกบนศีรษะของเขาเอง เพราะว่าเขาได้โจมตีและฆ่าชายสองคนที่ชอบธรรมกว่า และดีกว่าตัวเขาด้วยดาบ โดยที่ดาวิดพระราชบิดาของเราไม่ทรงทราบ คืออับเนอร์บุตรเนอร์ผู้บัญชาการกองทัพของอิสราเอล และอามาสาบุตรเยเธอร์ผู้บัญชาการกองทัพของยูดาห์

     (The Lord will bring back his bloody deeds on his own head, because, without the knowledge of my father David, he attacked and killed with the sword two men more righteous and better than himself, Abner the son of Ner, commander of the army of Israel, and Amasa the son of Jether, commander of the army of Judah.)

2:33 “ดังนั้น ที่เขาทั้งสองต้องตายนั้น โยอาบและพงศ์พันธุ์ของเขาต้องรับผิดชอบเป็นนิตย์ แต่ส่วนดาวิดและพงศ์พันธุ์ของพระองค์และราชวงศ์ของพระองค์ และราชบัลลังก์ของพระองค์จะมีสวัสดิภาพจากพระยาห์เวห์อยู่​เป็นนิตย์

 (So shall their blood come back on the head of Joab and on the head of his descendants forever.  But for David and for his descendants and for his house and for his throne there shall be peace from the Lord forevermore.” )

2:34 “แล้ว เบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาก็ขึ้นไปประหารชีวิตเขาเสีย และฝังเขาไว้ในบ้านของเขาเองซึ่งอยู่ในถิ่นทุรกันดาร

   (Then Benaiah the son of Jehoiada went up and struck him down and put him to death. And he was buried in his own house in the wilderness. )

2:35 “พระราชา ได้ทรงแต่งตั้งเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาให้บัญชาการกองทัพ แทนโยอาบ และพระราชาก็ทรงแต่งตั้งศาโดกเป็นปุโรหิตแทนที่อาบียาธาร์

     (The king put Benaiah the son of Jehoiada over the army in place of Joab, and the king put Zadok the priest in the place of Abiathar.)

2:36 “แล้ว พระราชาทรงใช้คนไปเรียกชิเมอีให้เข้ามาเฝ้า และตรัสกับเขาว่า “จงสร้างบ้านอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มและอาศัยอยู่ที่นั่น อย่าออกจากที่นั่นไปไหนเลย

      (Then the king sent and summoned Shimei and said to him, “Build yourself a house in Jerusalem and dwell there, and do not go out from there to any place whatever. )

2:37 “เพราะ ในวันที่เจ้าออกไป และข้ามลำธารขิดโรนนั้น เจ้าจงรู้แน่เถิดว่า เจ้าจะต้องตายแน่ ที่เจ้าต้องตายนั้นเจ้าเองก็รับผิดชอบ

  (For on the day you go out and cross the brook Kidron, know for certain that you shall die. Your  blood shall be on your own head.”)

2:38 “และ ชิเมอีทูลพระราชาว่า “ที่ฝ่าพระบาทตรัสนั้นดีแล้ว ผู้รับใช้จะทำตามที่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาทตรัสนั้น” ชิเมอีจึงอาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มเป็นเวลานาน

     (And Shimei said to the king, “What you say is good; as my lord the king has said, so will your  servant do.” So Shimei lived in Jerusalem many days.)

2:39 “เมื่อ ล่วงไปสามปีก็เกิดเรื่องขึ้น คือทาสสองคนของชิเมอีได้หลบหนีไปหาอาคีช โอรสของมาอาคาห์กษัตริย์เมืองกัท และเมื่อพวกเขามาบอกชิเมอีว่า “ดูสิ ทาสของท่านอยู่ในเมืองกัท

      (But it happened at the end of three years that two of Shimei’s servants ran away to Achish, son of Maacah, king of Gath. And when it was told Shimei, “Behold, your servants are in Gath,” )

2:40 “ชิเมอีก็ลุกขึ้นผูกอานขี่ลาไปเฝ้าอาคีชที่เมืองกัทเพื่อเสาะหาทาสของตนชิเมอีได้ไปนำทาสของตนมาจากเมืองกัท

      (Shimei arose and saddled a donkey and went to Gath to Achish to seek his servants. Shimei went and brought his servants from Gath. )

2:41 “และเมื่อมีผู้กราบทูลซาโลมอนว่า ชิเมอีได้ไปจากกรุงเยรูซาเล็มถึงเมืองกัท และกลับมาแล้ว

       (And when Solomon was told that Shimei had gone from Jerusalem to Gath and returned, )

2:42 “พระราชา ก็ทรงใช้คนไปเรียกชิเมอีมาเฝ้าและตรัสกับเขาว่า “เราได้ให้เจ้าสาบานในพระนามของพระยาห์เวห์ไม่ใช่หรือ? และได้ตักเตือนเจ้าแล้วว่า ‘จงรู้แน่ว่า ในวันที่เจ้าออกไป ไม่ว่าไปที่ไหน เจ้าจะต้องตายแน่’ และเจ้าก็ตอบเราว่า ‘ที่ฝ่าพระบาทตรัสนั้นก็ดีแล้ว ข้าพระบาทจะเชื่อฟัง’”

      (the king sent and summoned Shimei and said to him, “Did I not make you swear by the Lord and solemnly warn you, saying, “Know for certain that on the day you go out and go to any place whatever, you shall die”? And you said to me, “What you say is good; I will obey.” )

2:43 “ทำไมเจ้าจึงไม่รักษาคำสาบานที่ให้ไว้ต่อพระยาห์เวห์ และไม่รักษาคำบัญชาซึ่งเราได้กำชับเจ้านั้น?”

 (Why then have you not kept your oath to the Lord and the commandment with which I commanded you?”)

2:44 “พระราชา ตรัสกับชิเมอีว่า “ในใจของเจ้าเองรู้เรื่องเหตุร้ายทั้งสิ้น ซึ่งเจ้าได้ทำต่อดาวิดพระราชบิดาของเรา  เพราะฉะนั้นพระยาห์เวห์จะทรงนำเหตุร้ายมาสนองเหนือศีรษะของ เจ้าเอง

     (The king also said to Shimei, “You know in your own heart all the harm that you did to David my  father. So the Lord will bring back your harm on your own head.)

2:45 “แต่พระราชาซาโลมอนจะได้รับพระพร และบัลลังก์ของดาวิดจะตั้งมั่นคงเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์เป็นนิตย์

     (But King Solomon shall be blessed, and the throne of David shall be established before the Lord  forever.”)

2:46 “แล้ว พระราชาทรงบัญชาเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดา และเขาก็ออกไปประหารชีวิตชิเมอีเสีย ดังนั้นราชอาณาจักรก็​ ตั้งมั่นคงอยู่ในพระหัตถ์ของซาโลมอน

      (Then the king commanded Benaiah the son of Jehoiada, and he went out and struck him down,  and he died. So the kingdom was established in the hand of Solomon. )

ข้อมูลมีประโยชน์

2:13     “อาโดนียาห์ พระราชโอรสของพระนางฮักกีท” (Then Adonijah the son of Haggith)  -1:5, บุตรชาย

คนที่ 4 ของดาวิด (2ซมอ.3:4) -น่าจะเป็นบุตรชายคนโตที่สุดของดาวิดที่ยังมีชีวิตอยู่ (2ซมอ.13:28;18:14)

“เจ้ามาดีหรือ?” (“Do you come peacefully?”) = “เจ้ามาอย่างสันติหรือ?”  (1ซมอ.16:4;2พกษ.9:22)   = คำถามนี้เปิดเผยให้เห็นว่า บัทเชบา ยังสงสัยหรือหวั่นเกรงในจุดประสงค์ของอาโดนียาห์ (ข.5)

2:15     “พระนางทราบแล้วว่า ราชอาณาจักรนั้นเป็นของกระหม่อน” (“You know that the kingdom was mine,)     -1:11

“และคนอิสราเอลทั้งสิ้นก็หมายใจว่า กระหม่อมจะได้ครอบครอง”  (and that all Israel fully expected me to reign.)  = จะได้เป็นกษัตริย์  ซึ่งเป็นการกล่าวถึงที่เกินจริงตามความคิดของเขาเอง (หรือกองเชียร์) (1:7-8)

“อย่างไรก็ดี ราชอาณาจักรก็กลับกลายมาเป็นของน้องชาย…เพราะพระยาห์เวห์ประทานแก่เขา” (However, the kingdom has turned about and become my brother’s, for it was his from the Lord. )

= เหตุการณ์กลับตาลปัตร แทนที่เขาจะได้เป็นกษัตริย์ น้องชายได้เป็นแทน แต่เขาก็ยอมรับพระประสงค์ของพระเจ้า

2:17 “…ขออาบีชากชาวชูเนมให้เป็นชายาของกระหม่อม” (Abishag the Shunammite as my wife.” )

= อาบีชาก เป็นหญิงพรหมจารีตลอดเวลาที่อยู่ปรนนิบัติดาวิด (1:1-4;ฉธบ.22:30)

2:19     “เบื้องขวาของพระองค์” (on his right.)  = ตำแหน่งอันทรงเกียรติ (สดด.110:1;มธ.20:21)

2:20    “แม่จะขอสิ่งเล็กน้อยสิ่งหนึ่งจากลูกอย่าปฏิเสธแม่เลย”   (“I have one small request to make of  you; do not refuse me.”)

= บัทเชบาไม่เห็นความสำคัญของคำขอร้องของอาโดนียาห์

2:22     “น่าจะขอราชอาณาจักรให้เขาเสียด้วย” (Ask for him the kingdom also) = ซาโลมอนเข้าใจในทันทีว่า คำขอร้องของอาโดนียาห์ คือการพยายามชิงบัลลังก์อีกครั้ง เพราะเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า การครอบครองฮาเร็มของกษัตริย์เท่ากับการได้รับสิทธิในการสืบทอดบัลลังก์ (2ซม อ.3:7;12:8;16:21)       แม้ อาบีชากจะเป็นหญิงพรหมจารี แต่ทุกคนรู้ว่า เธอเป็นหญิงคนหนึ่งในฮาเร็มของดาวิด จึงจะเป็นเหตุให้อาโดนียาห์ อ้างสิทธิในบัลลังก์ของดาวิดหนักแน่นขึ้น

“อาบียาธาร์ และปุโรหิตและโยอาบ” (Abiathar the priest and Joab)  -1:7; ซาโลมอนถือว่า ทั้ง 2 ยังคงมีส่วนร่วมในแผนการของอาโดนียาห์

2:23     “…ขอพระเจ้าทรงลงโทษเรา และลงโทษให้หนักยิ่งขึ้น” (“God do so to me and more also)

= สำนวนของการสาปแช่ง (1ซมอ.3:17)

2:24     “…ทรงให้เรามีราชวงศ์ดังที่พระองค์ทรงสัญญา” (who has made me a house, as he promised)

= ต่อมาเรโหโบอับผู้เป็นโอรส ได้สืบทอดบัลลังก์ของซาโลมอน ท่านเกิดหลังจากโซโลมอนขึ้นครองราชย์ไม่นาน (11:42;14:21); “ดังที่พระองค์ทรงสัญญาไว้” (as he promised)  -1พศด.22:9-10

2:25     “เบไนยาห์บุตรเยโฮยาดา” (Benaiah the son of Jehoiada)  -1:7;2ซมอ.23:20

2:26     “…เพราะว่าเจ้าหามหีบของพระยาห์เวห์องค์เจ้านาย” (   because you carried the ark of the Lord God) = หามหีบพันธสัญญา -2ซมอ.15:24-25,29;1พศด.15:11-12

“เพราะเจ้าได้ร่วมทุกข์กับราชบิดาของเรา” (because you shared in all my father’s affliction)

= ได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเสด็จพ่อของเรามาตลอด   -1ซมอ.22:20-23;23:6-9;30:7;2ซมอ.17:15;19:11

2:27     “ดังนั้นทำให้สำเร็จตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ ซึ่งพระองค์ตรัสเกี่ยวกับเชื้อสายของเอลีที่

เมืองชิโลห์  (thus fulfilling the word of the Lord  that he had spoken concerning the house of Eli in Shiloh.)              -1ซมอ.2:30-35

2:28     “ข่าวนี้” (the news) = ข่าวเกี่ยวกับการตายของอาโดนียาห์และการเนรเทศอาบียาธาร์

“เต็นท์ของพระยาห์เวห์” (tent of the Lord) = พลับพลาของพระเจ้า (1:39)

2:29     “จงไปประหารเขาเสีย” (Go, strike him down)   = สิทธิในการลี้ภัยกับพระเจ้ามีไว้สำหรับผู้ที่ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาเท่านั้น (อพย.21:14)

-โยอาบเจตนาฆ่าอับเนอร์และอามาสา (ข.31-33)

2:32     “ฆ่าชายสองคนที่ชอบธรรมกว่าและดีกว่าตัวเขาด้วยดาบ” (and killed with the sword two men  more righteous and better than himself,)  -2ซมอ.3:27;20:9-10

“ผู้บัญชาการกองทัพของอิสราเอล” (commander of the army of Israel) = แม่ทัพ -2ซมอ.2:8-9

          “ผู้บัญชาการกองทัพของยูดาห์” (commander of the army of Judah) -2ซมอ.20:4

2:34     “ฝังไว้ในบ้านของเขาเองซึ่งอยู่ในถิ่นทุรกันดาร”  (he was buried in his own house in the

wilderness.)   = ฝังไว้ในที่ดินของโยอาบ  –ใน 2ซมอ.2:32  -บอกว่าหลุมฝังศพบิดาของโยอาบอยู่ใกล้

เบธเลเฮม (2ซมอ.2:32)  ;  “ถิ่นทุรกันดาร” = ทางตะวันออกของเบธเลเฮม

2:35    “เบไนยาห์” (Benaiah)   -2ซมอ.23:20 ;   “ศาโดก”  (Zadok)  -1ซมอ.2:35;2ซมอ.8:17

2:36     “อย่าออกจากที่นั่นไปไหนเลย” (do not go out from there to any place whatever.) = กักตัวชิเมอีไว้ในเยรูซาเล็ม และป้องกันไม่ให้สมคบกับผู้ติดตามซาอูลที่เหลือในการล้มล้างการปกครองของซาโลมอน

2:37     “ลำธารขิดโรน” (brook Kidron) = หุบเขาขิดโรน

2:39     “อาคีช โอรสของมาอาคาห์กษัตริย์เมืองกัท” (Achish, son of Maacah, king of Gath)

กัท = เมืองสำคัญของฟิลิสเตีย (ยชว.13:3;1ซมอ.6:16-17) เป็นไปได้ว่า เมืองนี้ปกครองโดยมาโอค อาคีช ผู้อาวุโส (1ซมอ.27:27) และมาอาคาห์ และอาคีช (ผู้เยาว์) ในตอนนี้ตามลำดับ

2:46     “ประหารชีวิตชิเมอี” (struck him down and he died) =  การลงมือประหารบุคคลสำคัญเป็นรายที่ 3 (ข.25,34) ทำให้สำเร็จตามคำบัญชาของดาวิด ที่มอบไว้กับซาโลมอน (ข.6,9)

คำถามนำอภิปราย

1. ความคิดแรกที่เกิดขึ้นในสมองหรือในใจของคุณ หลังจากที่ได้อ่านพระธรรม 1พงศ์กษัตริย์ 2:13-46 (รวมทั้ง

1พกษ.2:1-12 ด้วย) คืออะไร?

2. สิ่งที่เรียนรู้จากภาพรวมของพระธรรมตอนนี้ สอนอะไรคุณเป็นพิเศษบ้าง?

3. คุณคิดว่า อาโดนียาห์ สมควรจะตายหรือไม่? ทำไม? คุณคิดว่า ซาโลมอนกระทำเกินเลยหรือไม่?  ทำไม?

4. คุณคิดว่า บัทเชบามีบทบาทหรือมีอิทธิพลต่อชีวิตของซาโลมอนหรือไม่?  ทำไม และอย่างไร?

คุณคิดว่า ซาโลมอนให้เกียรติมารดาของพระองค์หรือไม่?  อย่างไร?

5. หากคุณเป็นอาบียาธาร์ ปุโรหิตที่เคยได้ช่วย(ชีวิต) ดาวิดให้รอด ได้รับการปฏิบัติอย่างสมควรหรือไม่จาก

ซาโลมอน?  ทำไม?   หากเป็นคุณ คุณจะทำเช่นเดียวกันกับซาโลมอนหรือไม่?

6. คุณคิดว่า โยอาบ สมควรถูกประหารหรือไม่?  โยอาบมีบทบาทช่วยดาวิดมาตลด หากคุณเป็นซาโลมอนคุณจะประหารโยอาบหรือไม่?  ทำไม?

7. คุณคิดว่า ชิเมอี สมควรรับโทษตายหรือไม่?  ทำไม?   หากคุณเป็นเบไนยาห์ที่ถูกบัญชาให้ประหารหรือจัดการ (ประหาร) คนทั้ง 3 คือ อาโดนียาห์

โย   อาบ และชิเมอี  คุณจะรู้สึกอย่างไร?  ทำไม?

8. บทเรียนสุดท้ายที่คุณได้จากการอภิปรายในวันนี้คืออะไร?  ………………………………………………………………..

คุณจะนำไปใช้จริงในชีวิตของคุณอย่างไร? ……………………………………………………………………………………………

 

 ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียน 1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทที่ 3)

แค้นที่ต้องชำระ!

พระธรรม        1พงษ์กษัตริย์ 2:1-12

อ้างอิง                      1พศด.29:23-28;2ซมอ.5:4-5;19:16-23;16:5-13;3:4

บทนำ           ในที่สุดซาโลมอนก็ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์โดยได้รับคำกำชับให้ดำเนินในทางที่ควรจะเดินไป คำสั่งเสียสุดท้ายจากดาวิดผู้เป็นพระราชบิดา ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ภารกิจแห่งการทวงหนี้หรือคิดบัญชีแค้นกับหลาย ๆ คนที่ก่อนหน้านี้พระองค์ไม่มีโอกาสที่จะจัดการหรือกำจัดด้วยตัวพระองค์เอง

 

บทเรียน

2:1 “เมื่อใกล้เวลาที่ดาวิดจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงกำชับซาโลมอนพระราชโอรสของพระองค์ว่า

(When David’s time to die drew near, he commanded Solomon his son, saying, all that you do and wherever you turn,

2:2 “เรากำลังจะเป็นไปตามทางของโลกแล้ว จงเข้มแข็งและแสดงว่าตัวเป็นลูกผู้ชาย

     (“I am about to go the way of all the earth. Be strong, and show yourself a man,)

2:3 “และ จงรักษาพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า คือดำเนินในพระมรรคาของพระองค์ และรักษากฎเกณฑ์ พระบัญญัติ กฎหมาย และพระโอวาทของพระองค์ ดังที่ได้จารึกไว้ในธรรมบัญญัติของโมเสส เพื่อเจ้า​ ได้จำเริญในทุกสิ่งที่เจ้าทำ และในทุกแห่งที่เจ้าไป

    (and keep the charge of the Lord your God, walking in his ways and keeping his statutes, his commandments, his rules, and his testimonies, as it is written in the Law of Moses, that you may  prosper in)

2:4”เพื่อ พระยาห์เวห์จะสถาปนาพระวจนะของพระองค์ ซึ่งพระองค์ตรัสเกี่ยวกับเราว่า ‘ถ้าลูกหลานของเจ้าระมัด ระวังที่จะดำเนินในทางของเขาต่อหน้า เรา ด้วยความซื่อสัตย์ ด้วยสุดจิตสุดใจของเขาแล้ว เจ้าจะไม่ขาดทายาทที่จะนั่งบนบัลลังก์ของอิสราเอล

 (that the Lord may establish his word that he spoke concerning me, saying, “If your sons pay close  attention to their way, to walk before me in faithfulness with all their heart and with all their soul,   you shall not lack a man on the throne of Israel.” )

2:5 “ยิ่งกว่า นั้นอีก ซาโลมอน เจ้าเองก็รู้ว่า โยอาบบุตรนางเศรุยาห์ได้ทำอะไรแก่เรา คือเขาได้ทำอะไรแก่ผู้บัญชา​  การทั้งสองของกองทัพอิสราเอล คือทำแก่อับเนอร์บุตรเนอร์ และแก่อามาสาบุตร เยเธอร์ที่โยอาบได้ฆ่าเสีย  เขาได้ทำให้โลหิตแห่งสงครามตกในยามสงบสุข  และทำให้โลหิตแห่งสงครามเลอะเข็มขัดรอบเอวของเขา และ เลอะรองเท้าที่อยู่ใต้เท้าของเขา

     (“Moreover, you also know what Joab the son of Zeruiah did to me, how he dealt with the two  commanders of the armies of Israel, Abner the son of Ner, and Amasa the son of Jether, whom he killed, avenging in time of peace for blood that had been shed in war, and putting the blood of war on the belt around his waist and on the sandals on his feet.)

2:6 “เพราะฉะนั้นเจ้าจงทำตามปัญญาของเจ้า อย่าปล่อยให้ศีรษะหงอกของเขาลงไปสู่แดนคนตายอย่างสงบสุข

              (Act therefore according to your wisdom, but do not let his gray head go down to Sheol in peace.)

2:7 “แต่จงแสดงความเมตตาแก่บุตรทั้งหลายของบารซิลลัยคนกิเลอาด จงให้พวกเขาอยู่ในหมู่คนที่รับประทานที่  โต๊ะของเจ้เพราะเมื่อเราหนีอับซาโลมพี่ชายของเจ้านั้น เขาทั้งหลายได้ช่วยเราไว้ด้วยความเมตตา

   (But deal loyally with the sons of Barzillai the Gileadite, and let them be among those who eat at  your table, for with such loyalty they met me when I fled from Absalom your brother. )

          2:8 “และ นี่แน่ะ ชิเมอีบุตรเก-รา คนเบนยามิน จากบ้านบาฮูริมก็อยู่กับเจ้าด้วย เขาเป็นผู้แช่งชักหักกระดูกเรา ในวันที่เราเดินไปยังมาหะนาอิม แต่เขาลงมาต้อนรับเราที่แม่น้ำจอร์แดน เราจึงได้ปฏิญาณต่อเขาในพระนามพระยาห์เวห์ว่า ‘เราจะไม่ประหารชีวิตเจ้าด้วยดาบ’”

    (And there is also with you Shimei the son of Gera, the Benjaminite from Bahurim, who cursed me  with a grievous curse on the day when I went to Mahanaim. But when he came down to meet me at the Jordan, I swore to him by the Lord, saying, “I will not put you to death with the sword.” )

2:9 “เพราะ ฉะนั้นเจ้าอย่าถือว่าเขาไม่มีโทษ เพราะเจ้าเป็นคนมีปัญญา เจ้าจะรู้ว่าควรจะทำอะไรกับเขาและเจ้าจงนำศีรษะหงอกของเขาลงไปสู่แดนคนตายพร้อมกับโลหิต

     (Now therefore do not hold him guiltless, for you are a wise man. You will know what you ought to do to him, and you shall bring his gray head down with blood to Sheol.”)

2:10 “แล้วดาวิดทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพไว้ในนครดาวิด

      (Then David slept with his fathers and was buried in the city of David.)

          2:11 “ดาวิดทรงครองอิสราเอลเป็นเวลา 40 ปี พระองค์ทรงครองราชย์ในเฮโบรน 7 ปี และในกรุงเยรูซาเล็ม 33 ปี”

     (And the time that David reigned over Israel was forty years. He reigned seven years in Hebron and thirty-three years in Jerusalem. )

2:12 “ดังนั้น ซาโลมอนจึงประทับบนบัลลังก์ของดาวิดพระราชบิดาของพระองค์ และราชอาณาจักรของพระองค์ก็ตั้งมั่นคงยิ่งนัก

               (So Solomon sat on the throne of David his father, and his kingdom was firmly established.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

             2:1       “กำชับ” (commanded) –ผู้ที่เป็นตัวแทนของพระเจ้าในปกครองประชาชนล้วนแล้วแต่มีคำกำชับหรือตักเตือน(รวมสั่งเสีย)ทิ้งไว้ก่อนเสียชีวิต อาทิ   โมเสส (ฉธบ.31:1-8); โยชูวา (ยชว.23:1-16); ซามูเอล (1ซมอ.12:1-25)

2:2       “เรากำลังจะเป็นไปตามทางของโลกแล้ว”  (I am about to go the way of all the earth) = กำลังจะจากไปตามธรรมดาโลก  = ตาย (ยชว.23:14) trong)  -ฉธบ.31:7,23;ยชว.1:6-7,9,18

2:3       “และจงรักษาพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า” (keep the charge of the Lord your God) = จงรักษาข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงวางไว้ (ปฐก.26:5;ลนต.18:30;ฉธบ.11:1;4:6;10:12;17:14-20; ยชว.1:7

“ดำเนินในพระมรรคาของพระองค์” (walking in His ways) = สำนวนที่โดดเด่นในพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ ฉธบ.5:33;8:6;10:12;11:22;19:9;26:17;28:9;30:16)

“เพื่อเจ้าจะได้จำเริญในทุกสิ่งที่เจ้าทำ” (that you may prosper in)  = จำเริญก้าวหน้า (ฉธบ.29:9; 1พศด.22:13)

2:4       “เพื่อพระยาห์เวห์จะสถาปนาพระวจนะของพระองค์ซึ่งพระองค์ตรัสเกี่ยวกับเราว่า”  (that the Lord may establish His word that He spoke concerning me, saying)  = เพื่อพระเจ้าจะทรงกระทำตามพระสัญญาของพระองค์ที่สัญญาไว้กับกษัตริย์ดาวิด

-ในที่นี้ดาวิดตรัสถึงพันธสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะนาธันว่า ราชวงศ์ของดาวิดจะยั่งยืน สืบไป (2ซมอ.7:11-16)  และวงศ์วานของดาวิดจะมีส่วนร่วมในพระพรก็ต่อเมื่อพวกเขาเชื่อฟังและกระทำตามเงื่อนไขแห่งพันธสัญญาที่ให้ไว้ (2พศด.7:17-22)

“ด้วยสุดจิตสุดใจของเขาแล้ว” (all their heart and with all their soul) -ฉธบ.4:29;6:5;10:12;30:6

“เจ้าจะไม่ขาดทายาทที่จะนั่งบนบัลลังก์ของอิสราเอล”   (you shall not lack a man on the throne of Israel.”)

-น่าเสียดายที่ทั้งซาโลมอน และโอรส และเชื้อสายคนอื่น ๆ ไม่ได้ทำตามพันธสัญญาอย่างครบถ้วน ทำให้อาณาจักรถูกแบ่งออกเป็นเหนือใต้ และจบลงที่ถูกจับไปเป็นเชลย

2:5       “โยอาบ บุตรเศรุยาห์” (Joab the son of Zeruiah) -1ซมอ.26:6;2ซมอ.2:13;18;19:13;20:10,23; 1พกษ.1:7

“อับเนอร์ บุตรเนอร์” (Abner the son of Ner,) -2ซมอ.3:25-32,27;1ซมอ.14:50

“อามาสา บุตรเยเธอร์” ( Amasa the son of Jether ) -2ซมอ.20:10;17:25

“โลหิตแห่งสงครามตกในยามสงบสุข” (in time of peace for blood that had been shed in war,)

= การกระทำของโยอาบที่เป็นการฆาตกรรมที่ผิดกฎหมาย (ฉธบ.19:1-13;21:1-9)  เขาทำเพื่อประโยชน์ของตนเองเท่านั้น โยอาบยังฆ่าอับซาโลมบุตรชายของดาวิด (2ซมอ.18:14-15) และยังร่วมกับอาโดนียาห์ ชิงบัลลังก์ (1พกษ.1:7,19)

2:6       “เจ้าจงทำตามปัญญาของเจ้า” (according to your wisdom )= ลูกจงใช้สติปัญญาจัดการกับเขา -1พกษ.2:9

2:7       “แต่จงแสดงความเมตตาแก่บุตรทั้งหลายของบารซิลลัยคนกิเลอาด” (But deal loyally with the sons of Barzillai the Gileadite)    = ให้แสดงความกรุณา -ปฐก.40:14 “บุตรทั้งหลายของบารซิลลัย” -2ซมอ.17:27;19:31-39

“จงให้พวกเขาอยู่ในหมู่คนที่รับประทานที่โต๊ะของเจ้า”  (and let them be among those who eat at  your table) = การได้ร่วมโต๊ะเสวยกับพระราชานับเป็นพระเกียรติมากยิ่งกว่าได้รบผลประโยชน์อื่น ๆ (18:19;2พกษ.25:29;2ซมอ.9:7;19:28;นหม.5:17)

2:8       “ชิเมอี บุตร เก-รา คนเบนยามิน” (Shimei the son of Gera, the Benjaminite)  -2ซมอ.16:5-13; 1พกษ.2:36-46

-เก-รา น่าจะเป็นบรรพบุรุษในตระกูลของชิเมอีมากกว่าจะเป็นบิดาของเขาโดยตรง (ปฐก.46:21;วนฉ.3:15; ปฐก.10:2;ดนล.5:22)

          “มาหะนาอิม”  (Mahanaim)  -ปฐก.32:2

“เราจึงได้ปฏิญาณต่อเขาในพระนามพระยาห์เวห์ว่า”  (I swore to him by the Lord, saying)

= ได้สาบานกับเขาโดยอ้างองค์พระผู้เป็นเจ้า  -2ซมอ.19:18-23

2:9       “อย่าถือว่าเขาไม่มีโทษ” (do not hold him guiltless)  = อย่าถือว่าเขาพ้นผิด

-โมเสสเคยออกกฎหมายห้ามไม่ให้แช่งด่าผู้ปกครอง (21:10;อพย.22:28)

“เพราะเจ้าเป็นคนมีปัญญา” (for you are a wise man) =เป็นคนฉลาด -1พกษ.2:6

2:10     “ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ” (slept with his fathers) -1:21

“ฝังพระศพไว้ในนครดาวิด” (was buried in the city of David.)   -2ซมอ.5:7

ใน กจ.2:29, เปโตรกล่าวเป็นนัยว่า  หลุมศพของดาวิดเป็นที่รู้จักกันดีในสมัยของเขา

2:11     “ดาวิดทรงครอง” ( the time that David reigned ) = ปกครอง (2ซมอ.5:4,5) “40 ปี”  ( forty years )    = ดาวิดปกครองในช่วงปี 1010-970 ก่อน ค.ศ.

2:12     “ซาโลมอนจึงประทับบนบัลลังก์” (Solomon sat on the throne) = ซาโลมอนครองบัลลังก์ของดาวิด  -1พศด.17:14;29:23

          “ราชอาณาจักรของพระองค์ก็ตั้งมั่นคงยิ่งนัก” (his kingdom was firmly established.)

=มั่นคงเป็นปึกแผ่น -1พกษ.2:46;2พศด.1:1;12:13;17:1;21:4

คำถามนำอภิปราย

  1. กษัตริย์ดาวิดทรงกำชับให้ซาโลมอนกระทำอะไรบ้าง?  และเรื่องใดที่สะกิดใจหรือกระทบใจของคุณมากที่สุด?
  2. หากคุณเป็นกษัตริย์ดาวิด คุณคิดว่าคุณจะสั่งหรือกำชับอะไรต่อซาโลมอนแตกต่างไปจากที่ดาวิดกระทำไป?  อย่างไร?  และทำไม?
  3. คุณคิดว่า คำกำชับของดาวิดมีอะไรที่ขัดกันหรือแย้งกันบ้างหรือไม่?  สิ่งที่คุณเห็นเหล่านั้นบอกอะไรคุณบ้างเกี่ยวกับตัวของดาวิด? และตัวของคุณเองมีความขัดแย้งเช่นนั้นในใจหรือในชีวิตของคุณบ้างหรือไม่?
  4. วันนี้คุณยังมีความแค้นที่ต้องการชำระด้วยตัวของคุณหรือมอบหมายให้ผู้ใดไปจัดการแทนบ้างหรือไม่?  ผลลัพธ์(จะ)เป็นอย่างไร? จะมีผลดีหรือผลเสียอะไรเกิดขึ้นจากการกระทำเช่นนั้นบ้าง?   คุณคิดจะเปลี่ยนแปลงความคิดนั้นหรือไม่?  ทำไม?
  5. หากวันนี้คุณปรารถนาที่จะแสดงความเมตตาแก่ใครบางคน คุณคิดถึงใครเป็นคนแรก?  ทำไม?  และคุณจะทำตามที่คุณคิดได้หรือไม่?  เมื่อไร?  และอย่างไร?
  6. มีใครบ้างที่แสดงความเมตตาหรือช่วยเหลือคุณที่ผ่านมา ที่คุณไม่เคยลืมบุญคุณของเขาเลย? ในเรื่องอะไร?  และคุณคิดจะตอบแทนบุญคุณของเขาอย่างไร?  เมื่อไร?
  7. เวลานี้มีใครที่สามารถสืบต่อหรือสืบทอดเจตนารมณ์ของคุณในการดำเนินชีวิตหรือในการดำเนินกิจการ(พันธกิจ)ของคุณสืบต่อหรือไม่? ในเรื่องอะไร?  และอย่างไร?
  8. หากวันนี้คุณจำเป็นต้องสั่งเสีย หรือกำชับกับคนในครอบครัว ในที่ทำงานหรือในโบสถ์ของคุณ คุณจะกำชับพวกเขาในเรื่องอะไร?  ทำไม?

บทเรียนพระคัมภีร์โดย:  ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียน 1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทที่ 2)

สถานการณ์พลิกผัน!  

พระธรรม                1พงศ์กษัตริย์ 1:28-53

อ้างอิง                      1พศด.29:22 ข – 25

บทนำ                       อาโดนียาห์คิดว่า ตัวเองจะได้เป็นกษัตริย์องค์ใหม่แทนกษัตริย์ดาวิดแน่ ๆ แต่สถานการณ์กลับพลิกผันทำให้ซาโลมอนได้เป็นกษัตริย์แทน

ชีวิตของเราก็เช่นกัน ทุกอย่างอาจไม่เป็นตามแผนหรือตามที่คิด ดังนั้น เราควรอเดินตามวิถีของพระเจ้าด้วยความถ่อมใจอย่างใจเย็น จะปลอดภัยและเกิดผลดีมากกว่า

บทเรียน

1:28 “แล้ว พระราชาดาวิดตรัสตอบว่า “จงเรียกบัทเชบามาหาเรา” พระนางก็เสด็จเข้ามาเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระ

       ราชา และทรงยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระราชา

       (Then King David answered, “Call Bathsheba to me.” So she came into the king’s presence and

       stood before the king. )

1:29 “แล้ว พระราชาทรงปฏิญาณว่า “พระยาห์เวห์ผู้ทรงไถ่ชีวิตของเราจากความทุกข์ยากทั้งสิ้น ทรงพระชนม์อยู่

     แน่ฉันใด

       (And the king swore, saying, “As the Lord lives, who has redeemed my soul out of every

      adversity,)

1:30 “วัน นี้เราก็จะทำอย่างที่ได้ปฏิญาณต่อเจ้า ในพระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลฉันนั้น คือว่า

       ‘ซาโล มอนลูกของเจ้าจะเป็นกษัตริย์ต่อจากเราแน่นอน และจะนั่งบนบัลลังก์ของเราแทนเรา’ เราจะทำอย่าง

     นั้นวันนี้แหละ

       (as I swore to you by the Lord, the God of Israel, saying, “Solomon your son shall reign after me,   

       and he shall sit on my throne in my place,” even so will I do this day.”)

1:31 “แล้ว พระนางบัทเชบาก็ซบพระพักตร์ลงถึงดิน ถวายบังคมพระราชา และทูลว่า “ขอพระราชาดาวิดเจ้านาย

      ของหม่อมฉันทรงพระเจริญเป็นนิตย์

        (Then Bathsheba bowed with her face to the ground and paid homage to the king and said,

       “May  my lord King David live forever!” )

1: 32 “พระราชา ดาวิดมีรับสั่งว่า “จงเรียกศาโดกปุโรหิต และนาธันผู้เผยพระวจนะ กับเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดามา

      หาเรา” เขาทั้งหลายจึงเข้ามาเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระราชา

       (King David said, “Call to me Zadok the priest, Nathan the prophet, and Benaiah the son of

       Jehoiada.” So they came before the king.)

1:33 “และ พระราชาตรัสสั่งเขาทั้งหลายว่า “จงพาข้าราชการของนายพวกเจ้า ไปจัดให้ซาโลมอนลูกของเราขึ้นขี่ล่อ

     ของเรา และนำเขาลงไปที่น้ำพุกีโฮน

       (And the king said to them, “Take with you the servants of your lord and have Solomon my son

        ride on my own mule, and bring him down to Gihon.)

1:34 “และ ให้ศาโดกปุโรหิตและนาธันผู้เผยพระวจนะเจิมตั้งเขาเป็น กษัตริย์เหนืออิสราเอลที่นั่น แล้วท่านทั้งหลาย

      จงเป่าเขาสัตว์ และประกาศว่า ‘ขอพระราชาซาโลมอนทรงพระเจริญ’”

       (And let Zadok the priest and Nathan the prophet there anoint him king over Israel. Then blow

       the trumpet and say, “Long live King Solomon!”)

1:35 “แล้ว ท่านทั้งหลายจงติดตามเขาขึ้นมา และเขาจะมานั่งบนบัลลังก์ของเรา เพราะเขาจะเป็นกษัตริย์แทนเรา

        เราได้ตั้งเขาให้เป็นผู้ครอบครองเหนืออิสราเอลและยูดาห์

                  (You shall then come up after him, and he shall come and sit on my throne, for he shall be king

                  in my place. And I have appointed him to be ruler over Israel and over Judah.” )

1:36 “และ เบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาได้กราบทูลตอบพระราชาว่า “อาเมน ขอพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งพระราชา เจ้า

      นายของข้าพระบาท ตรัสดังนั้นเทอญ

                  (And Benaiah the son of Jehoiada answered the king, “Amen! May the Lord, the God of my lord

                 the king, say so. )

1:37 “พระยา ห์เวห์สถิตกับพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทมาแล้วอย่างไร ก็ขอสถิตกับซาโลมอนอย่างนั้น และ

     ขอทรงทำให้บัลลังก์ของซาโลมอนใหญ่ยิ่งกว่าบัลลังก์ของ พระราชาดาวิดเจ้านายของข้าพระบาท

                (As the Lord has been with my lord the king, even so may he be with Solomon, and make his

                throne greater than the throne of my lord King David.” )

1:38 “ดังนั้น ศาโดกปุโรหิต นาธันผู้เผยพระวจนะ และเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดา และคนเคเรธีกับคนเปเลท ได้ลงไป

     จัดให้ซาโลมอนประทับบนล่อทรงของพระราชาดาวิด และได้นำท่านมาถึงน้ำพุกีโฮน

                 (So Zadok the priest, Nathan the prophet, and Benaiah the son of Jehoiada, and the Cherethites

                 and the Pelethites went down and had Solomon ride on King David’s mule and brought him to

                Gihon.)

1:39 “แล้ว ศาโดกปุโรหิตได้นำเขาสัตว์ที่บรรจุน้ำมันมาจากเต็นท์ของ พระเจ้า และเจิมตั้งซาโลมอนไว้ และเขาทั้ง

      หลายก็เป่าเขาสัตว์ และประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า “ขอพระราชาซาโลมอนทรงพระเจริญ

                  (There Zadok the priest took the horn of oil from the tent and anointed Solomon. Then they blew

                 the trumpet, and all the people said, “Long live King Solomon!” )

1:40 “และ ประชาชนทั้งปวงก็ตามเสด็จขึ้นไป พร้อมกับเป่าขลุ่ยและเปรมปรีดิ์ยิ่งนัก จนแผ่นดินสะเทือนเพราะ

      เสียงของเขาทั้งหลาย

                  (And all the people went up after him, playing on pipes, and rejoicing with great joy, so that the

                  earth was split by their noise. )

1:41 “เมื่อ อาโดนียาห์และบรรดาแขกที่อยู่กับท่านรับประทานเสร็จแล้ว ก็ได้ยินเสียงนั้น และเมื่อโยอาบได้ยินเสียง

     เขาสัตว์ ก็พูดว่า “ทำไมพระนครจึงมีเสียงอึกทึกครึกโครม?”

                (Adonijah and all the guests who were with him heard it as they finished feasting. And when Joab  

                heard the sound of the trumpet, he said, “What does this uproar in the city mean?” )

1:42 “ขณะ ที่เขากำลังพูดอยู่ นี่แน่ะ โยนาธานบุตรอาบียาธาร์ปุโรหิตก็มาถึง และอาโดนียาห์ก็กล่าวว่า “เข้ามาเถิด        

       เพราะเจ้าเป็นคนดี และคงนำข่าวดีมา

                 (While he was still speaking, behold, Jonathan the son of Abiathar the priest came. And Adonijah

                 said, “Come in, for you are a worthy man and bring good news.” )

1:43 “โยนาธาน กราบเรียนอาโดนียาห์ว่า “ไม่ใช่ข่าวดี เพราะพระราชาดาวิดเจ้านายของพวกเราได้ทรงให้ซาโล

      มอนเป็น กษัตริย์

                 (Jonathan answered Adonijah, “No, for our lord King David has made Solomon king, )

1:44 “และ พระราชามีรับสั่งให้ศาโดกปุโรหิต นาธันผู้เผยพระวจนะ และเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดากับคนเคเรธีและ

      คนเปเลทตาม ซาโลมอนไป และเขาทั้งหลายก็จัดให้ซาโลมอนประทับบนล่อทรงของพระราชา

                  (and the king has sent with him Zadok the priest, Nathan the prophet, and Benaiah the son of  

                  Jehoiada, and the Cherethites and the Pelethites. And they had him ride on the king’s mule. )

1:45 “และ ศาโดกปุโรหิตกับนาธันผู้เผยพระวจนะได้เจิมตั้งซาโลมอน เป็นกษัตริย์ ณ น้ำพุกีโฮน และเขาทั้งหลายก็

     ขึ้นมาจากที่นั่นด้วยความเปรมปรีดิ์ เพราะฉะนั้นในกรุงจึงอึกทึกครึกโครม นี่เป็นเสียงที่ท่านทั้งหลายได้ยิน

                 (And Zadok the priest and Nathan the prophet have anointed him king at Gihon, and they have

                  gone up from there rejoicing, so that the city is in an uproar. This is the noise that you have

                  heard. )

1:46 “นอกจากนี้ซาโลมอนได้ประทับบนพระราชบัลลังก์ด้วย

                 (Solomon sits on the royal throne. )

1:47 “และ ยิ่งกว่านั้นอีก พวกข้าราชการของพระราชาก็เข้าไปถวายพระพรแด่พระราชาดาวิด เจ้านายของพวกเรา

     ว่า ‘ขอพระเจ้าของฝ่าพระบาททรงทำให้พระนามของซาโลมอนเลื่องลือ ไปยิ่งกว่าพระนามของฝ่าพระบาท

       และขอทรงทำให้บัลลังก์ของซาโลมอนยิ่งใหญ่กว่าบัลลังก์ของ ฝ่าพระบาท’ แล้วพระราชาก็โน้มพระกายลง

            บนแท่นบรรทม
(Moreover, the king’s servants came to congratulate our lord King David, saying, “May your God

                 make the name of Solomon more famous than yours, and make his throne greater than your  

                 throne.” And the king bowed himself on the bed. )

1:48 “และ พระราชาก็ตรัสด้วยว่า ‘สาธุการแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอล ผู้ประทานคนหนึ่งให้นั่งบนบัลลังก์

    ของเราในวันนี้ และตาของเราเองได้เห็นแล้ว’ ”

                (And the king also said, “Blessed be the Lord, the God of Israel, who has granted someone to sit

                on my throne this day, my own eyes seeing it.” )

1:49 “แล้วแขกทั้งปวงของอาโดนียาห์ก็กลัวจนตัวสั่นและลุกขึ้น ต่างคนต่างไปตามทางของตน

                 (Then all the guests of Adonijah trembled and rose, and each went his own way. )

1:50 “ส่วนอาโดนียาห์ก็กลัวซาโลมอน จึงลุกขึ้นไปจับเชิงงอนของแท่นบูชา

                 (And Adonijah feared Solomon. So he arose and went and took hold of the horns of the altar. )

1:51”มี คนไปกราบทูลซาโลมอนว่า “ดูสิ อาโดนียาห์กลัวพระราชาซาโลมอน เพราะนี่แน่ะ ท่านจับเชิงงอนที่แท่น

    บูชาอยู่ กล่าวว่า ‘ขอพระราชาซาโลมอนได้ปฏิญาณแก่ข้าพเจ้าก่อนว่า จะไม่ทรงประหารผู้รับใช้ของท่านด้วย

    ดาบ’ ”

                (Then it was told Solomon, “Behold, Adonijah fears King Solomon, for behold, he has laid hold of

                the horns of the altar, saying, “Let King Solomon swear to me first that he will not put his servant  

                 to death with the sword.” )

1:52 “และ ซาโลมอนตรัสว่า “ถ้าแม้เขาสำแดงตัวได้ว่าเป็นคนดี ผมสักเส้นเดียวของเขาจะไม่ตกลงยังพื้นดิน แต่ถ้า

     พบความอธรรมอยู่ในตัวเขา เขาจะต้องถึงแก่ความตาย

                 (And Solomon said, “If he will show himself a worthy man, not one of his hairs shall fall to the

                 earth, but if wickedness is found in him, he shall die.” )

1:53 “พระราชา ซาโลมอนทรงใช้คนไปนำท่านลงมาจากแท่นบูชา และท่านก็มากราบลงต่อพระราชาซาโลมอน

       และซาโลมอนตรัสกับท่านว่า “จงกลับไปวังของท่านเถิด

                 (So King Solomon sent, and they brought him down from the altar. And he came and paid

                 homage to King Solomon, and Solomon said to him, “Go to your house.” )

 

ข้อมูลมีประโยชน์

1:28     “บัทเชบา” (Bathsheba) = มเหสีที่ดาวิดได้มาจากการผิดประเวณีและเป็นมารดาของซาโลมอน -2ซมอ.11:3;12:24;1พศด.3:5

1:29     “ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด” (As the Lord lives) -2ซมอ.4:9

1:30     “จะทำอย่างที่ได้ไปปฏิญาณต่อเจ้า” (as I swore to you by the Lord) -1พกษ.1:13;1พศด.23:1

1:31     “ขอพระราชาดาวิดเจ้านายของหม่อมฉันทรงพระเจริญเป็นนิตย์” (“May my lord King David live forever!”)  = บัทเชบาแสดงการขอบคุณและใช้ภาษาตามแบบราชสำนัก – นหม.2:3;ดนล.2:4;3:9; 5:10;6:21

1:32     “ศาโดกปุโรหิต” ( Zadok the priest) -1ซมอ.2:35 1:33     “ข้าราชการของนายพวกเจ้า” (the servants of your lord)   = ข้าราชบริพารของเรา –น่าจะรวมทั้งคน  เคเรธี และคนเปเลท (ข.38 )

“ขี่ล่อของเรา” (ride on my own mule) –วนฉ.10:4;ศคย.9:9  = แม้ว่าการผสมพันธุ์สัตว์ต่างชนิดจะถูกกล่าวห้ามไว้ในบทบัญญัติของโมเสส (ลนต.19:19) แต่ล่อก็ถูกนำมาใช้งานในยุคของดาวิด เป็นพาหนะของราชวงศ์ (2ซมอ.13:29;18:9)

-การที่ดาวิดอนุญาตให้ซาโลมอนขี่ล่อของพระองค์เท่ากับเป็นการประกาศต่อสาธารณชนทั้งหลายให้ทราบ

ว่า ดาวิดสนับสนุนให้ซาโลมอนเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ (ปฐก.41:43;อสธ.6:-7-8)

“น้ำพุกีโฮน” (Gihon) = น้ำพุที่เชิงเขาด้านตะวันออกของภูเขาศิโยน (ข.9;2ซมอ.5:8) -1พกษ.1:33,38;

2พศด.32:30;33:14

1:34     “เจิมตั้งเขาเป็นกษัตริย์” (there anoint him king over Israel) -1ซมอ.2:10;9:16

“จงเป่าเขาสัตว์” (Then blow the trumpet); “จงเป่าแตร” (2พกษ.9:13;2ซมอ.15:10;20:1)

“ขอพระราชาซาโลมอนทรงพระเจริญ”  (“Long live King Solomon!”) –ข.25

1:35     “เหนืออิสราเอลและยูดาห์” (over Israel and over Judah) -ความแตกต่างระหว่างอิสราเอลกับยูดาห์มีรากฐานมาจากการแยกส่วนกันในสมัยที่ดาวิดได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ใน 2 ซมอ.2:4;5:3

1:36     “อาเมน ขอพระยาห์เวห์พระเจ้า… ตรัสดังนั้นเทอญ”  (Amen! May the Lord, the God of my lord the king, say so) –ยรม.28:6

1:37     “ขอสถิตกับ” (may be with)-ยชว.1:5,17;  “ใหญ่ยิ่งกว่า” (greater than) = ไม่ได้ดูถูกความยิ่งใหญ่ของดาวิด แต่เป็นการแสดงความภักดีทั้งต่อดาวิดและซาโลมอน และแสดงความเห็นด้วยกับการที่ดาวิดเลือกผู้สืบทอดบัลลังก์ (1พกษ.1:47-48)

1:38     “ศาโดกปุโรหิต” (Zadok the priest) -2ซมอ.8:18

1:39     “ศาโดกนำเขาสัตว์ที่บรรจุน้ำมัน” (There Zadok the priest took the horn of oil) –อพย.29:7;1ซมอ.10:1;2พกษ.11:12;สดด.89:20 , ปท.อพย.30:22-33     “เจิมตั้งซาโลมอน” (anointed Solomon)  = กษัตริย์ซึ่งพระเจ้าทรงเลือกให้ปกครองหากไม่ได้สืบทอดตามลำดับราชวงศ์จะแต่งตั้งโดยผู้เผยพระวจนะ (ตัวอย่าง ซาอูล – 1ซมอ.9:16; ดาวิด – 1ซมอ.16:2  เยฮู – 2พกษ.9)  ส่วนกษัตริย์ที่สืบทอดตำแหน่งตามลำดับราชวงศ์จะแต่งตั้งโดยปุโรหิต

ตย. ซาโลมอน (ตอนนี้) ; โยอาช – 2พกษ.11:12

ความแตกต่างที่สังเกตได้

  1. ปุโรหิตทำงานภายใต้ระบบที่ตั้งไว้แล้ว   2. ผู้เผยพระวจนะมักจะเป็นผู้เปิดเผยแผนการใหม่ของพระเจ้า

“เป่าเขาสัตว์” (Then they blew the trumpet,) -2ซมอ.15:10;2พกษ.11:14

“ประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า” (all the people said )

= คนทั้งปวงโห่ร้อง  -กดว.23:21;1พกษ.1:34;สดด.47:5;ศคย.9:9

1:40     “เป่าขลุ่ย” (playing on pipes,)   -1ซมอ.10:5

1:41     “ก็ได้ยินเสียงนั้น” (heard the sound of the trumpet) = อาจมองไม่เห็นน้ำพุกีโฮนจากจุดที่พวกเขาอยู่(เอนโรเกล) แต่ระยะทางคงไม่ไกลจากกันมากนัก เสียงจึงดังอึกทึกครึกโครมไปถึงหุบเขาขิดโรน  -2พศด.23:12-13

1:42     “โยนาธานบุตรอาบียาธาร์ปุโรหิต” (Jonathan the son of Abiathar the priest) -2ซมอ.17:17-21

“อาบียาธาร์” -1พกษ.2:26;1ซมอ.22:20-23;1พกษ.1,2,4;1พศด.15:11;18:16;24:6;27;34;2ซมอ.15;24)

1:45    “ในกรุงจึงอึกทึกครึกโครม” (the city is in an uproar)  -1พกษ.1:40

1:46     “ซาโลมอนได้ประทับบนพระราชบัลลังก์ด้วย” (Solomon sits on the royal throne)   -ฉธบ.17:18

1:47     “เลื่องลือไปยิ่งกว่า” (more famous than)  และ “ยิ่งใหญ่กว่า”  (greater than)  -1พกษ.1:37

1:48     “ประทานคนหนึ่งให้นั่งบนบัลลังก์” ( has granted someone to sit) = “ทายาท” -1พกษ.3:6

1:49     “ต่างคนต่างไปตามทางของตน” (and each went his own way.)  = หนีกันไปคนละทิศละทาง

= ไม่มีใครต้องการร่วมปฏิบัติกับอาโดนียาห์อีกต่อไปเพราะว่าล้มเหลวแล้ว

1:50     “จับเชิงงอนของแท่นบูชา” (took hold of the horns of the altar.)   -เชิงงอนของแท่นบูชายื่นออกมาเป็นแนวตั้งจากแต่ละมุม แนวความคิดเรื่องเข้าลี้ภัยที่แท่นบูชานี้มีมาตั้งแต่ในหนังสือเบญจบรรณ (หนังสือ 5 เล่มแรกในพระคัมภีร์เดิม ; อพย.21:13-14) ปุโรหิตจะป้ายเลือดของสัตวบูชาลงที่เชิงงอนของแท่นบูชา (อพย.29:12;ลนต.4:7,18,23,30,34)  -ในตอนนี้ อาโดนียาห์ต้องการฝากชีวิตไว้ภายใต้การคุ้มครองของท่าน

1:52     “ถ้าแม้เขาสำแดงตัวได้ว่าเป็นคนดี” (If he will show himself a worthy man,)   = การยอมรับและยอมจำนนต่อตำแหน่งและสิทธิอำนาจของซาโลมอนในฐานะกษัตริย์

“ผมสักเส้น” (hairs)   -1ซมอ.14:45

“แต่ถ้าพบความอธรรมในตัวเขา”  (but if wickedness is found in him, )  = หากพบสิ่งที่ไม่ดีในตัวของเขา  = ยังคงคิดต่อต้นโซโลมอนในการสืบทอดบัลลังก์

คำถามนำอภิปราย

  1. ถ้าให้คุณพรรณนาถึงพระลักษณะของพระเจ้าที่คุณมีประสบการณ์เป็นส่วนตัว คุณจะกล่าวถึงพระองค์ว่าอย่างไร? ทำไม?
  2. คุณเคยสัญญาที่จะกระทำอะไรในนามของพระเจ้า แล้ว……………………………………………………………….

1)      ไม่ได้ทำตามเลยในเรื่อง……………………………………………………………………………………………….. ผลก็คือ…………………………………………………………………………………………………………………….

2)      ไม่ได้ทำตามตอนแรก แต่มาทำตามภายหลังในเรื่อง……………………………………………………………. ผลคือ……………………………………………………………………………………………………………………….

3)      ทำตาม ในเรื่อง…………………………………………………..ผลคือ……………………………………………….

  1. คุณคิดว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ซาโลมอนได้เป็นกษัตริย์ต่อจากดาวิด?  และทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?  เรื่องนี้มีบทเรียนหรืออุทาหรณ์อะไรสอนคุณเป็นพิเศษบ้าง?  (แบ่งปัน)
  2. ถ้าคุณเป็นอาโดนียาห์ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้สอนบทเรียนอะไรแก่คุณบ้าง? หากย้อนเวลากลับคืนไปได้ คุณอยากเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง?  ทำไม?
  3. คุณเคยคิดคำนวณและเลือกเข้าข้างผิดบ้างหรือไม่?  ใน

1)      เรื่องธุรกิจ/อาชีพ……………………………………………………………………………………………………

2)      เรื่องครอบครัว และความรัก…………………………………………………………………………………….

3)      เรื่องการรับใช้………………………………………………………………………………………………………

4)      เรื่องการเรียน/การศึกษา…………………………………………………………………………………………

5)      อื่น ๆ คือ …………………………………………………………………………………………………………….

แล้วผลเป็นอย่างไร? ……………………………………………………………………………………………….

(ถ้าเกิดผลไม่ดี คุณแก้ไขอย่างไรบ้าง? แล้วสุดท้ายคืออะไร?)

  1. คุณเคยกลัวสุดขีดในชีวิตเรื่องอะไร? แล้วคุณเอาตัวรอดมาได้อย่างไร?
  2. คุณเคยได้รับโอกาสที่ 2 ในชีวิตในเรื่องใดที่สำคัญยิ่งต่อชีวิตของคุณ?   อย่างไร?

    -ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

    twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1พงศ์กษัตริย์ 1:1-27 (บทเรียนที่ 1)

เรื่องวุ่น ๆ ในวังหลวง!

 พระธรรม: 1พงษ์กษัตริย์ 1:1-27

อ้างอิง  :  2ซมอ.3:41;8:18;17:17;1ซมอ.2:35;1พกษ.2:17,22;ยชว.19:18;สภษ.15:55;ปฐก.15:5

บทนำ       1 และ 2พงศ์กษัตริย์ (เช่นเดียวกับ 1-2 ซามูเอล และ 1-2 พงศาวดาร) เดิมเป็นงานเขียนชั้นเดียวกัน มาถูกแบ่งโดยผู้แปลพระคัมภีร์เดิม เป็น ภาษากรีกที่เรียกว่า “ฉบับเชปทัวจิ้น” และสืบทอดต่อมาใน “ฉบับ วูลเกต” (ราว ค.ศ. 400) แม้แต่ฉบับฮีบรูก็แบ่งเป็น 2 ส่วนเช่นกันใน ปี 1448 

พระธรรมซามูเอล และพงศ์กษัตริย์ จะครอบคลุมประวัติศาสตร์การปกครองระบอบกษัตริย์ ตั้งแต่สมัยซามูลเอลจนล่มสลายในมือของพวกบาบิโลน

1-2 พงศ์กษัตริย์เล่าถึงประวัติศาสตราของอิสราเอล ตั้งแต่ช่วงปลายรัชกาลดาวิดไปจนตกเป็นเชลยที่      บาบิโลน โดยบอกถึงสาเหตุของการแตกแยกภายในชาติกลายเป็นเหนือ – ใต้ ทางเหนือมีกษัตริย์ 20 องค์ จาก 9 ราชวงศ์ ช่วงเวลาตั้งแต่ 930 ก.ค.ศ. – 722 (721) ก.ค.ศ. รวมเวลาราว 210 ปี

และทางใต้มีกษัตริย์ 20 องค์เช่นกัน แต่เป็นเชื้อสายของดาวิด (ยกเว้น อาธาลิยาห์ ซึ่งชิงบัลลังก์) รวมเวลาราว 345 ปี ตั้งแต่การแบ่งแยกอาณาจักร (930 ก.ค.ศ.) จนเยรูซาเล็มล่มสลายในปี 589 ก.ค.ศ.

 บทเรียน 

 1:1  “กษัตริย์ดาวิดมีพระชนมายุและทรงพระชรามากแล้ว แม้เขาจะห่มผ้าให้พระองค์มากก็ยังไม่อบอุ่น”

  (When King David was very old, he could not keep warm even when they put covers over him.)

1:2 “เพราะฉะนั้นบรรดาข้าราชการของพระองค์จึงกราบทูลว่า “ขอเสาะหาหญิงพรหมจารีมาถวายพระราชา เจ้านายของข้าพระบาท และขอให้เธออยู่งานเฉพาะฝ่าพระบาท และดูแลฝ่าพระบาท ให้เธอนอนในพระทรวง  ของฝ่าพระบาท เพื่อพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทจะได้ทรงอบอุ่น

(So his attendants said to him, “Let us look for a young virgin to serve the king and take care of  him. She can lie beside him so that our lord the king may keep warm.”)

1:3 “เขาจึงได้แสวงหานางสาวที่สวยงามตลอดดินแดนอิสราเอล ได้พบนางสาวอาบีชากหญิงชาวชูเนม จึงได้นำเธอมาเฝ้าพระราชา

(Then they searched throughout Israel for a beautiful young woman and found Abishag, a Shunammite, and brought her to the king.)

1:4 “หญิงสาวคนนั้นงามยิ่งนัก เธอได้ดูแลพระราชาและอยู่ปรนนิบัติพระองค์ แต่พระราชาหาทรงร่วมกับเธอไม่”       

(The woman was very beautiful; she took care of the king and waited on him, but the king had no sexual relations with her.)

1:5 “ฝ่ายอาโดนียาห์* โอรสของพระนางฮักกีทได้ยกตัวเองขึ้นกล่าวว่า “เราเองจะเป็นพระราชา” และท่านได้เตรียมรถรบและพลม้า กับพลวิ่งนำหน้าห้าสิบคนไว้เพื่อตนเอง

 (Now Adonijah, whose mother was Haggith, put himself forward and said, “I will be king.” So he  got chariots and horses ready, with fifty men to run ahead of him.)

1:6 “พระราชบิดาของท่านก็ไม่เคยขัดใจท่านด้วยถามว่า “ทำไมเจ้ากระทำเช่นนี้เช่นนั้น” ท่านเป็นชายงามด้วย ท่านเกิดมาถัดอับซาโลม

 (His father had never rebuked him by asking, “Why do you behave as you do?” He was also very  handsome and was born next after Absalom.)

1:7 “ท่านได้ปรึกษากับโยอาบบุตรนางเศรุยาห์และกับอาบียาธาร์ปุโรหิต เขาทั้งสองก็ติดตามและช่วยเหลือ อาโดนียาห์

  (Adonijah conferred with Joab son of Zeruiah and with Abiathar the priest, and they gave him  their support. )

1:8 “แต่ศาโดกปุโรหิต และเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาและนาธันผู้เผยพระวจนะกับชิเมอี และเรอี และพวกทแกล้วทหารของดาวิดมิได้อยู่ฝ่ายอาโดนียาห์” 

   (But Zadok the priest, Benaiah son of Jehoiada, Nathan the prophet, Shimei and Rei and David’s  special guard did not join Adonijah.)

1:9 “อาโดนียาห์ได้ถวายแกะ วัว และสัตว์อ้วนพีเป็นเครื่องบูชา ณ โศเฮเลท ซึ่งอยู่ข้างๆเอนโรเกล และท่านได้เชิญพี่น้องทั้งสิ้นของท่าน คือราชโอรสของพระราชา และประชาชนทั้งสิ้นแห่งยูดาห์ ที่เป็นข้าราชการของพระราชา

 (Adonijah then sacrificed sheep, cattle and fattened calves at the Stone of Zoheleth near En  Rogel. He invited all his brothers, the king’s sons, and all the royal officials of Judah,)

1:10 “แต่ท่านมิได้เชิญนาธันผู้เผยพระวจนะ หรือเบไนยาห์หรือพวกทแกล้วทหาร หรือซาโลมอนอนุชาของท่าน” 

  (but he did not invite Nathan the prophet or Benaiah or the special guard or his brother Solomon.)

1:11 “แล้วนาธันก็ทูลพระนางบัทเชบาพระชนนีของซาโลมอน*ว่า “ฝ่าพระบาทไม่ทรงทราบหรือว่า อาโดนียาห์โอรส ของพระนางฮักกีทได้ทรงราชย์แล้ว และดาวิดเจ้านายของข้าพระบาทก็มิได้ทรงทราบเรื่อง

 (Then Nathan asked Bathsheba, Solomon’s mother, “Have you not heard that Adonijah, the son  of Haggith, has become king, and our lord David knows nothing about it?)

1:12 “เพราะฉะนั้นขอข้าพระบาทถวายคำปรึกษา เพื่อฝ่าพระบาทจะได้ทรงช่วยชีวิตของฝ่าพระบาท และชีวิตของซาโลมอนโอรสของฝ่าพระบาทไว้

  (Now then, let me advise you how you can save your own life and the life of your son Solomon.)

1:13 “ขอเสด็จเข้าเฝ้าพระราชาดาวิดทันที และกราบทูลพระองค์ว่า ‘พระราชาเจ้านายของหม่อมฉัน ฝ่าพระบาทได้ ทรงปฏิญาณกับสาวใช้ของฝ่าพระบาทไว้มิใช่หรือว่า “ซาโลมอนบุตรของเจ้าจะครองสมบัติต่อจากเรา และจะนั่งบนบัลลังก์ของเรา มิใช่หรือ” ไฉน อาโดนียาห์จึงทรงครองเล่าเพคะ’”

   (Go in to King David and say to him, ‘My lord the king, did you not swear to me your servant:  “Surely Solomon your son shall be    king after me, and he will sit on my throne”? Why then has  Adonijah become king?’ )

1:14 “ดูเถิด ขณะที่ฝ่าพระบาทกราบทูลพระราชาอยู่ ข้าพระบาทจะตามเข้าไปเฝ้า และสนับสนุนพระเสาวนีย์ของฝ่าพระบาท

   (While you are still there talking to the king, I will come in and add my word to what you have   said.”

 

1:15 “แล้วพระนางบัทเชบาก็เข้าไปเฝ้าพระราชาที่ห้องบรรทม  (พระราชาทรงพระชรามาก และอาบีชากชาวชูเนมก็ กำลังอยู่ปรนนิบัติพระราชา)”

   (So Bathsheba went to see the aged king in his room, where Abishag the Shunammite was attending him.)

1:16 “เมื่อพระนางบัทเชบากราบถวายบังคมแล้ว พระราชาก็ตรัสถามว่า “เจ้าประสงค์สิ่งใด”

   (Bathsheba bowed down, prostrating herself before the king.“What is it you want?” the king  asked.)

 

1:17 “พระนางทูลพระองค์ว่า “ข้าแต่เจ้านายของข้าพระบาท ฝ่าพระบาทได้ทรงปฏิญาณในพระนามของพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของฝ่าพระบาทต่อสาวใช้ของฝ่าพระบาทว่า ‘ซาโลมอนบุตรของเจ้าจะครองสมบัติต่อจากเราแน่นอน และเขาจะนั่งบนบัลลังก์ของเรา‘”

   (She said to him, “My lord, you yourself swore to me your servant by the Lord your God: ‘Solomon your son shall be king after me,     and he will sit on my throne.’)

1:18 “ดูเถิด บัดนี้อาโดนียาห์ทรงราชย์แล้ว แม้ว่าพระองค์คือพระราชาเจ้านายของหม่อมฉันก็หาทรงทราบไม่”

    (But now Adonijah has become king, and you, my lord the king, do not know about it.)

1:19 “เธอได้ถวายวัวสัตว์อ้วนพีและแกะเป็นอันมาก และได้เชิญบรรดาโอรสของพระราชากับอาบียาธาร์ปุโรหิต กับโยอาบผู้บัญชาการกองทัพ แต่ซาโลมอนผู้รับใช้ของพระองค์ เธอหาได้เชิญไม่”

(He has sacrificed great numbers of cattle, fattened calves, and sheep, and has invited all the  king’s sons, Abiathar the priest and Joab the commander of the army, but he has not invited Solomon your servant. )

1:20 “ข้าแต่พระราชาเจ้านายของหม่อมฉัน บัดนี้อิสราเอลทั้งสิ้นก็เพ่งดูฝ่าพระบาท เพื่อฝ่าพระบาทจะตรัสแก่เขาว่า จะทรงให้ผู้ใดนั่งบนบัลลังก์ของพระราชาเจ้านายของหม่อมฉันแทนฝ่าพระบาท

  (My lord the king, the eyes of all Israel are on you, to learn from you who will sit on the throne of  my lord the king after him)

1:21 “มิฉะนั้นจะเป็นดังนี้ คือเมื่อพระราชาเจ้านายของหม่อมฉันล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์แล้ว หม่อมฉันและซาโลมอนบุตรของหม่อมฉันก็จะตกเป็นฝ่ายผิด” 

    (Otherwise, as soon as my lord the king is laid to rest with his ancestors, I and my son Solomon  will be treated as criminals.”)

1:22 “ขณะเมื่อพระนางกำลังกราบทูลพระราชาอยู่ นาธันผู้เผยพระวจนะก็เข้ามา”

   (While she was still speaking with the king, Nathan the prophet arrived.)

1:23 “เขาทั้งหลายจึงกราบทูลพระราชาว่า “ดูเถิด นาธันผู้เผยพระวจนะ” เมื่อนาธันเข้ามาต่อพระพักตร์พระราชา เขาก็ซบหน้าลงถึงพื้นถวายคำนับพระราชา”

  (And the king was told, “Nathan the prophet is here.” So he went before the king and bowed  with his face to the ground.)

1:24 “และนาธันกราบทูลว่า “ข้าแต่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท ฝ่าพระบาทรับสั่งไว้หรือว่า ‘อาโดนียาห์จะครองต่อจากเรา และจะนั่งบนบัลลังก์ของเรา‘”

  (Nathan said, “Have you, my lord the king, declared that Adonijah shall be king after you, and that he will sit on your throne?)

1:25 “เพราะวันนี้เธอได้ลงไปถวายวัว สัตว์อ้วนพีและแกะเป็นอันมาก และได้เชื้อเชิญบรรดาโอรสของพระราชาทั้งผู้บัญชาการกองทัพและอาบียาธาร์ปุโรหิต และดูเถิด เขาทั้งหลายกำลังกินดื่มต่อหน้าเธอและกล่าวว่า  ‘ขอพระราชาอาโดนียาห์ทรงพระเจริญ’”

 (Today he has gone down and sacrificed great numbers of cattle, fattened calves, and sheep.  He has invited all the king’s sons, the commanders of the army and Abiathar the priest. Right  now they are eating and drinking with him and saying, ‘Long live King Adonijah!’)

1:26 “แต่ส่วนข้าพระบาทผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท และศาโดกปุโรหิตกับเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดา และซาโลมอนผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเธอหาได้เชิญไม่

  (But me your servant, and Zadok the priest, and Benaiah son of Jehoiada, and your servant Solomon he did not invite.)

1:27 “เหตุการณ์ทั้งนี้บังเกิดขึ้นโดยพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทหรือ และฝ่าพระบาทมิได้ตรัสบอกแก่ผู้รับใช้ ของฝ่าพระบาทว่า จะทรงให้ผู้ใดนั่งบนบัลลังก์ของพระราชาเจ้านายของฝ่าพระบาท ต่อจากฝ่าพระบาท

 (Is this something my lord the king has done without letting his servants know who should sit on  the throne of my lord the king after him? 

ข้อมูลมีประโยชน์

1:1       “ทรงพระชรามากแล้ว” (well advanced in years) ใน 2ซมอ.5:4 บ่งบอกว่า ดาวิดตายเมื่ออายุราว ๆ  70 ปี (ปท. 1พกษ.2:11)

1:2       “จะได้ทรงอบอุ่น” (the King may be warm) = หลักการแพทย์ยูดาโบราณใช้ร่างกายของคนที่แข็งแรงดีมาให้ความอบอุ่นแก่ผู้เจ็บป่วย

1:3       “อาบีชากหญิงชาวชูเนม” (Abishag, a Shunammite) –ข.15 / “ชูเนม” (shunem) -2พกษ.4:8;ยชว.19:18;1ซมอ.28:4 –ตั้งอยู่ใกล้ที่ราบ   Jezreel ในเขตแดนของเผ่าอิสสาคาร์

1:4       “ไม่ได้ทรงมีเพศสัมพันธ์กับเธอ” (the king knew her not) = “หาทรงร่วมกับเธอไม่”(1971) (had no intimate relations with her) = มี         ความสำคัญกับการที่อาโดนียาห์ (Adonijah) ขอนางอาบีชากเป็นภรรยา หลังจากที่ดาวิดตาย (2:17,22)

1:5       “อาโดนียาห์” (Adonijah) –เป็นโอรสองค์ที่ 4 ของดาวิด (2ซมอ.3:4) เกิดจากนางฮักกีท ในเวลานี้อายุราว ๆ  35 ปี ดูเหมือนว่าจะเป็นโอรสองค์โต         ที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ (2ซมอ.13:28;18:14) “ได้ยกตัวเองขึ้น” (exalted himself) = กำเริบเสิบสาน เขากำลังชิงบัลลังก์โดยไม่คำนึงว่า ดาวิดทรงสิทธิ์ที่ จะแต่งตั้งทายาทด้วยพระองค์เอง (และเขาอาจรู้ว่าดาวิดจะเลือกซาโลมอน –ข 10,13,17,30;1พศด.22:9-11;2ซมอ.12:25) “คนห้าสิบคนไว้วิ่งนำหน้าตนเอง” (fifty men to run before him.) = ให้วิ่งนำหน้าขบวนเหมือนที่อับซาโลมเคยทำก่อนหน้านี้ (2ซมอ.15:1)

1:6       “พระราชบิดาของท่านก็ไม่เคยขัดใจท่านสักครั้ง” (His father had never at any time displeased him) = ไม่เคยห้ามปราม ดูเหมือนดาวิดจะ     ละเลยการอบรมสั่งสอนบุตรมาโดยตลอด (2ซมอ.13:21;14:33) “ท่านมีรูปร่างหน้าตาดีด้วย” (He was also a very handsome man) = เป็นคน หล่อเหลา มีรูปลักษณ์ภายนอกมีเสน่ห์ดึงดูดตาผู้อื่น (1ซมอ.9:2;16:12;2ซมอ.14:25)

1:7       “โยอาบบุตรนางเศรุยาห์” (Joab  the son of Zeruiah) -1ซมอ.26:6;2ซมอ.2:13;19:13;20:10,23 -การที่โยอาบเข้าข้างอาโดนียาห์ อาจเพราะ      เขากำลังแย่งชิงอำนาจอิทธิพลกับเบไนยาห์ (ข.8;2ซมอ.8:18; 20:23;20-23) ; เขาดู “ตำแหน่งทางกองทัพ” สำคัญกว่า “ความสัมพันธ์กับดาวิด” (2:5-6) “ปุโรหิตอาบียาธาร์” (Abiathar the priest) -2ซมอ.8:17

1:8       “ปุโรหิตศาโดก” (Zadok the priest) -2ซมอ.8:17  บุตรเยโฮยาดา” ( Benaiah the son of Jehoiada) -2ซมอ.23:20 “ชิเมอี” (shimei) –  ไม่ใช่ชิเมอีใน 2:8,46;2ซมอ.16:5-8 ; แต่อาจเป็นชิเมอีเดียวกับชิเมอีบุตรเอลา (4:18) “ราชองครักษ์ของดาวิด” (David’s mighty men) =พวกทหารเอกของดาวิด” -2ซมอ.23:8-39; พวกนี้ไม่ได้อยู่ฝ่ายอาโดนียาห์

1:9       “อาโดนียาห์ ได้ฆ่าแกะ วัว และสัตว์อ้วนพีเป็นเครื่องบูชา” (Adonijah Sacrificed sheep oxen and fattened cattle) –ข.5, เขายังทำตามแบบ    อย่างของอับซาโลม (2ซมอ.15:7-12) “น้ำพุเอนโรเกล” (En-rogel)   = อยู่ทางใต้ของเยรูซาเล็มในหุบเขาขิดโรน น้ำพุนี้เป็นสัญลักษณ์สำคัญ สำหรับการกระทำของเขา (ข. 33)- 2ซมอ.17:17 “ได้เชิญพี่น้องทั้งสิ้นของท่านคือบรรดาพวกราชโอรสของพระราชา” (invited all his brothers, the king’s sons)  -1พศด.29:24

1:10     “แต่ท่านไม่ได้เชิญนาธัน…และซาโลมอนพระอนุชาของท่าน” (but he did not invite Nathan…or Solomon his brother.)  1พกษ. 1:26 ;2ซมอ.12:24

1:11     “…พระนางบัทเชบาพระราชามารดาของซาโลมอน” (Bathsheba the mother of Solomon) = ตำแหน่งสำคัญและทรงอิทธิพลในราชสำนัก (2:19;15:13;2พกษ.10:13;2พศด.15:16) “ทรงครองราชย์แล้ว” (has become king) = “ตั้งตนเป็นกษัตริย์แล้ว” = พฤติกรรมของเขาทำให้ตีความได้เช่นนั้น แม้ไม่ได้มีการประกาศออกมา (ข. 25;2:15;2ซมอ.15:10)

1:12     “เพื่อพระนางจะได้ทรงช่วยชีวิตของพระนางเองและชีวิตของซาโลมอน” (that you may serve your own life and the life of your son          Solomon.) = ในสมัยโบราณ(ในตะวันออกใกล้) ผู้ที่ชิงบัลลังก์จะกำจัดทุกคนที่อาจอ้างสิทธิ์เหนือบัลลังก์นั้น เพื่อให้ตำแหน่งของตนมั่นคง (5:29;2พกษ.10:11;11:1)

1:13     “ฝ่าพระบาทได้ทรงปฏิญาณกับสาวใช้ของฝ่าพระบาทว่า ..” (Did you not my lord the king, swear to your servant, saying)  = แม้ไม่        ได้บันทึกไว้ชัดเจนใน 2ซามูเอล ว่าดาวิดปฏิญาณจะยกบัลลังก์ให้ ซาโลมอน แต่ก็บ่งเป็นนัยว่า ซาโลมอนจะเป็นผู้สืบทอดพระสัญญาที่พระเจ้าสัญญากับดาวิดว่า ราชวงศ์ของเขาจะดำรงเป็นนิจ (ข.5)

1:17     “เจ้านายของหม่อมฉัน ฝ่าพระบาทได้ทรงปฏิญาณในพระนามของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของฝ่า พระบาท” (My lord your swore to your       servant by the lord you God)  = คำที่ปฏิญาณในนามของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ละเมิดหรือผิดคำสาบานไม่ได้                      (อพย.20:7;ลนต.19:12;ยชว.9:15,18,20;วนฉ.11:30;35:ปญจ.5:4-7)

1:21     “…ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ” (Sleeps with his fathers)  = สำนวนทั่วไปหมายถึง “ตาย”  -ปฐก.47:30;ฉธบ.31:16

1:24     “ข้าแต่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท ฝ่าพระบาทรับสั่งไว้หรือว่า “อาโดนียาห์” จะเป็นกษัตริย์ ต่อจากเราและจะนั่งบนบัลลังก์ของเรา?”     (My lord the king have you said, Adomjah shall reign after me, and he shall sit on my throne.?)  = ชั้นเชิงของนาธันในการตั้งคำถามที่ เปิดเผยปัญหา หากดาวิดไม่ได้ผิดคำปฏิญาณที่ให้ไว้กับบัทเชบาและโซโลมอน (ข.27) ในการแอบสนับสนุนอาโนนียาห์ชิงบัลลังก์ ก็เท่ากับอาโดนียาห์ ยิงชิงบัลลังก์ของดาวิดไปแล้ว

1:25     “ขอพระราชาอาโดนียาห์ทรงพระเจริญ” (Long live King Adonijah) = การยอมรับและประกาศรับรองกษัตริย์องค์ใหม่                                  (1ซมอ.10:24;2ซมอ.16:16;2พกษ.11:12)

1:26     “แต่ส่วนข้าพระบาท…และซาโลมอนผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทท่านไม่ได้เชิญ” (But me…and your servant Solomon has not invited.)                          -1พกษ.2:10

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณคิดว่า ชีวิตที่ยืนยาวเป็นพรหรือเป็นภาระ?  ทำไมคุณคิดเช่นนั้น?  ชีวิตของกษัตริย์ดาวิดได้ยืนยันความคิดของคุณหรือไม่อย่างไร?
  2. คุณคิดว่าชีวิตที่ไม่อบอุ่นทางกายกับชีวิตที่ไม่อบอุ่นทางใจ อย่างไหนทรมานกว่ากัน?  คุณเคยมีประสบการณ์ โดยตรงบ้างหรือไม่? อย่างไร ขอให้แบ่งปัน!
  3. คุณเคยเห็นครอบครัวที่มีปัญหาเกิดขึ้นเพราะพ่อ(หรือแม่)ไม่อบรมสั่งสอนลูกในทางที่ควรจะเดินจนก่อเกิดปัญหาให้พ่อแม่เจ็บปวดใจเมื่อเขาโตขึ้นบ้างหรือไม่?  คุณเองเคยมีประสบการณ์ในเรื่องนี้อย่างไร?ยเข้าไปในความขัดแย้งภายในครอบครัวหรือองค์กรเพราะเรื่อง “ผลประโยชน์” บ้างหรือไม่?  อย่างไร?  แล้วคุณมีส่วนทำให้สถานการณ์ดีขึ้นหรือย่ำแย่ลง?  อย่างไร?
  4. คุณเคยได้รับผลเสียจาก “ความใจร้อน” เพราะไม่รู้จักรอคอยหรือจากความทรนงฮึกเหิมหลงตนของตัวคุณเองบ้างหรือไม่?  อย่างไร?
  5. คุณได้เรียนรู้จักศิลปะในการจัดการกับ “ปัญหา” และกับ “บุคคล” ที่เป็นต้นเหตุของปัญหาจากชีวิตและการรับใช้ของ “นาธัน” ในเรื่องใดบ้าง?   และคุณจะนำมาใช้จริงอย่างไร?

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียน 1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (โครงเรื่อง)

1  และ 2 พงศ์กษัตริย์ 

โครงเรื่อง

 1 และ  2 พงศ์กษัตริย์แบ่งโครงเรื่องคร่าว ๆ โดยการโยงเนื้อหาเข้ากับช่วงเวลาสำคัญ ๆ ทางประวัติศาสตร์ในพระธรรมนี้และพันธกิจของเอลียาห์และเอลีชา

          1. ยุคโซโลมอน (1:12-24)

ก. โซโลมอนขึ้นครองราชย์ (1:1-2:12)

ข. บัลลังก์ของโซโลมอนมั่นคง (2:13-46)

ค. สติปัญญาของโซโลมอน (บทที่ 3)

ง. คุณลักษณะของรัชกาลโซโลมอน (บทที่ 4)

จ. โครงการก่อสร้างของโซโลมอน (5:1-9:9)

1) การเตรียมการก่อสร้างพระวิหาร (บทที่ 5)

2) การก่อสร้างพระวิหาร(บทที่ 6)

3) การก่อสร้างพระราชวัง (7:1-12)

4) การตกแต่งพระวิหาร (7:13-51)

5) การถวายพระวิหาร (บทที่ 8)

6) การตอบสนองของพระเจ้าและคำเตือน (9:1-9)

ฉ. คุณลักษณะของรัชกาลโซโลมอน (9:10-10:29)

ช. ความโง่เขลาของโซโลมอน (11:1-13)

ซ. บัลลังก์ของโซโลมอนถูกคุกคาม (11:14-43)

ฌ. เรโหโบอัมสืบทอดบัลลังก์ (12:1-24)

          2. อิสราเอลและยูดาห์ตั้งแต่รัชกาลเยโรโบอัมที่ 1/เรโหโบอัม จนถึงอาหับ/อาสา (12:25-16:34)

ก. เยโรโบอัมที่ 1 แห่งอิสราเอล (12:25-14:20)

ข. เรโหโบอัมแห่งยูดาห์ (14:21-31)

ค. อาบียาห์แห่งยูดาห์ (15:1-8)

ง. อาสาแห่งยูดาห์ (15:9-24)

จ.นาดับแห่งอิสราเอล (15:25-32)

ฉ. บาอาชาแห่งอิสราเอล (15:33-16:7)

ช. เอลาห์แห่งอิสราเอล (16:8-14)

ซ. ศิมรีแห่งอิสราเอล (16:15-20)

ฌ. อมรีแห่งอิสราเอล (16:12-28)

ญ. อาหับแห่งอิสราเอล (16:29-34)

3. พันธกิจของเอลียาห์และผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆ ตั้งแต่รัชกาลอาหับ/อาสา จนถึงอาหัสยาห์/ เยโฮชาฟัท   (บทที่ 17-22)

ก.      เอลียาห์ (และผู้เผยพระวจนะอื่น ๆ ) ในรัชกาลอาหับ (17:1-22:40)

1)      เอลียาห์กับการกันดารอาหาร (บทที่ 17)

2)      เอลียาห์บนภูเขาคารเมล (บทที่ 18)

3)      เอลียาห์หนีไปโฮเรบ (บทที่ 19)

4)      ผู้เผยพระวจนะกล่าวโทษอาหับที่ไว้ชีวิตเบนฮาคัด (บทที่ 20)

5)      เอลียาห์กล่าวโทษอาหับที่ยึดสวนองุ่นของนาโบท (บทที่ 21)

6)      มีคายาห์พยากรณ์ถึงการตายของอาหับและคำพยากรณ์เป็นจริง (22:1-40)

ข.      เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ (22:41-50)

ค.      อาหัสยาห์แห่งอิสราเอล (22:51-53)

4. พันธกิจของเอลียาห์และเอลีชาในรัชกาลอาหัสยาห์และโยรัม (2พกษ.1:1-8:15)

ก. เอลียาห์ในรัชกาลอาหัสยาห์ (บทที่ 1)

ข. การรับตัวเอลียาห์และการแต่งตั้งเอลีชา (2:1-18)

ค. เอลีชาในรัชกาลโยรัม (2:19-8:15)

1) หมายสำคญครั้งแรก  ๆ ของเอลีชา (2:19-25)

2) เอลีชาระหว่างการสู้รบกับโมอับ (บทที่ 3)

3) เอลีชาทำพันธกิจกับผู้ยากไร้ในอิสราเอล (บทที่ 4)

4) เอลีชารักษานาอามาน (บทที่ 5)

5) เอลีชาช่วยผู้เผยพระวจนะคนหนึ่ง (6:1-7)

6) เอลีชาช่วยโยรัมจากกองทัพอารัม (6:8-23)

7) กองทัพอารัมเลิกล้อมกรุงสะมาเรียนตามที่เอลีชาพยากรณ์ไว้ (6:24-7:20)

8) หญิงชาวชูเนมได้ที่ดินกลับคืนมา (8:1-6)

9) เอลีชาพยากรณ์ว่าฮาซาเอลจะกดขี่อิสราเอล (8:7-15)

5. อิสราเอลและยูดาห์ตั้งแต่รัชกาลโยรัม/เยโฮรัม จนกระทั่งอิสราเอลเอลตกเป็นเชลย (8:16-17:41)

ก. เยโฮรัมแห่งยูดาห์ (8:16-24)

ข. อาหัสยาห์แห่งยูดาห์ (8:25-29)

ค. เยฮูกบฎและขึ้นครองราชย์ในอิสราเอล (บทที่ 9-10)

1) เอลีชาสั่งให้เจิมตั้งเยฮู (9:1-13)

2) เยฮูลอบสังหารโยรัมและอาหัสยาห์ (9:14-29)

3) เยฮูประหารเยเซเบล (9:30-37)

4) เยฮูประหารครอบครัวของอาหับ (10:1-17)

5) เยฮูขจัดการนมัสการพระบาอัล (10:18-36)

ง. อาธาลิยาห์และโยอาชแห่งยูดาห์และการซ่อมแซมพระวิหาร (บทที่ 11-12)

จ. เยโฮอาหาสแห่งอิสราเอล (13:1-9)

ฉ. เยโฮอาชแห่งอิสราเอลและคำพยากรณ์ครั้งสุดท้ายของเอลีชา (13:10-25)

ช. อามาซิยาห์แห่งยูดาห์ (14:1-22)

ซ. เยโรโบอัมที่ 2 แห่งอิสราเอล (14:23-29)

ฌ. อาซาริยาห์แห่งยูดาห์ (15:1-7)

ญ. เศคาริยาห์แห่งอิสราเอล (15:8-12)

ฎ. ชัลลูมแห่งอิสราเอล (15:13-16)

ฏ. เมนาเฮมแห่งอิสราเอล (15:17-22)

ฐ. เปคาหิยาห์แห่งอิสราเอล (15:23-26)

ฑ. เปคาห์แห่งอิสราเอล (15:27-31)

ฒ. โยธามแห่งยูดาห์ (15:32-38)

ฌ. อาหัสแห่งยูดาห์ (บทที่ 16)

ด. โฮเชยาแห่งอิสราเอล (17:1-6)

ต. อิสราเอลตกเป็นเชลยและคนต่างชาติย้ายมาตั้งถิ่นฐานในสะมาเรีย (17:7-41)

6. ยูดาห์ตั้งแต่รัชกาลเฮเซคียาห์จนถึงการตกเป็นเชลยในบาบิโลน (บทที่ 18-25)

ก. เฮเซคียาห์ (บทที่ 18-20)

1) รัชสมัยที่ดีของเฮเซคียาห์ (18:1-8)

2) การคุกคามจากอัสซีเรียและการช่วยกู้ (18:9-19:37)

3) ความเจ็บป่วยของเฮเซคียาห์และการเป็นพันธมิตรกับบาบิโลน (บทที่ 20)

ข. มนัสเสห์ (21:1-18)

ค. อาโมน (21:19-26)

ง. โยสิยาห์ (22:1-23:30)

1) การซ่อมแซมพระวิหารและการค้นพบหนังสือบทบัญญัติ (บทที่ 22)

2) การฟื้นฟูพันธสัญญาและรัชกาลโยสิยาห์สิ้นสุดลง (23:1-30)

จ. เยโฮอาหาสตกเป็นเชลยในอียิปต์ (23:31-35)

ฉ. เยโฮยาคิม : การกวาดต้อนเชลยไปบาบิโลนครั้งแรก (23:36-24:7)

ช. เยโฮยาคิม : การกวาดต้อนเชลยไปบาบิโบนครั้งที่สอง (24:8-17)

ซ. เศเดคียาห์ : การกวาดต้อนเชลยไปบาบิโลนครั้งที่สาม (24:18-25:21)

ฌ. คนที่เหลืออยู่หนีไปอียิปต์ (25:22-26)

ญ. เยโฮยาคีนได้รับการเลื่อนสถานภาพในบาบิโลน (25:27-30)

(จาก NIV STUDY BIBLE ฉบับค้นคว้า)

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

 

 

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1ซามูเอล 18:1-30

โยนาธาน และดาวิด

พระธรรม 1ซามูเอล 18:1-30

อ้างอิง 1ซมอ.19:1;20:16;31:2;2ซมอ.4:4;11:26

บทนำ มิตรภาพระหว่างมิตรเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง มิตรภาพระหว่างบุคคล 2 คนที่ตราตรึงใจผู้อ่านพระคัมภีร์เป็นอย่างยิ่งคู่หนึ่งคือ  มิตรภาพระหว่างดาวิดและโยนาธาน! ความแตกต่างของทั้ง 2 ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับมิตรภาพที่มีต่อกัน และทั้ง 2 ได้เกื้อกูลต่อกันตราบจนวัน สุดท้ายของชีวิต ….วันนี้ คุณมีมิตรภาพที่แท้และถาวรเช่นนี้กับผู้ใดบ้างหรือไม่?

บทเรียน

18:1     “อยู่มาเมื่อดาวิดทูลซาอูลเสร็จแล้ว จิตใจของโยนาธานก็ผูกสมัครรักใคร่กับจิตใจของดาวิด และโยนาธานก็รักเธออย่างรักชีวิตของท่านเอง”

(After David had finished talking with Saul, Jonathan became one in spirit with David, and he loved him as   himself.)

18:2     “และวันนั้นซาอูลก็ทรงกักตัวเธอไว้ ไม่ยอมให้เธอกลับไปบ้านบิดาของเธอ”

(From that day Saul kept David with him and did not let him return to his father’s house)

18:3     “แล้วโยนาธานก็กระทำพันธสัญญากับดาวิด เพราะท่านรักเธออย่างกับรักชีวิตของท่านเอง”

(And Jonathan made a covenant with David because he loved him as himself.)

18:4     “โยนาธานก็ถอดเสื้อคลุมออกมอบให้แก่ดาวิด พร้อมทั้งเครื่องใช้ แม้ดาบ คันธนู และเข็มขัดก็ประทานให้ด้วย”

(Jonathan took off the robe he was wearing and gave it to David, along with his tunic, and even his sword, is bow and his belt.)

18:5     “และดาวิดก็ออกไปกระทำความสำเร็จไม่ว่าซาอูลจะใช้เธอไป ณ ที่ใด ดังนั้นซาอูลจึงทรงตั้งเธอให้อยู่เหนือนักรบทั้งหลาย การกระทำดังนี้เป็นที่ชอบในสายตาของประชาชนและในสายตาของข้าราชการของซาอูลด้วย”

(Whatever Saul sent him to do, David did it so successfully that Saul gave him a high rank in the army. This  pleased all the people, and Saul’s officers as well.)

18:6     “อยู่มาเมื่อดาวิดกลับมาจากการฆ่าคนฟีลิสเตียนั้น กำลังเดินทางกลับบ้าน พวกผู้หญิงก็ออกมาจากหัวเมืองอิสราเอลร้องเพลงและเต้นรำต้อนรับพระราชาซาอูลด้วยรำมะนา ด้วยเพลงร่าเริง และด้วยเครื่องดนตรี”

(When the men were returning home after David had killed the Philistine, the women came out from all the towns of Israel to meet King Saul with singing and dancing, with joyful songs and with tambourines and lutes.)

18:7     “และเมื่อพวกผู้หญิงเต้นรำรื่นเริงกันอยู่นั้นก็ขับร้องรับกันว่า  “ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆ และดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ”

(As they danced, they sang:         “Saul has slain his thousands, and David his tens of thousands.”)

18:8     “ซาอูลทรงกริ้วนัก คำที่ร้องกันนั้นไม่เป็นที่พอพระทัยพระองค์เลย พระองค์ตรัสว่า “เขาสรรเสริญดาวิดว่าฆ่าคนเป็นหมื่นๆ ส่วนเราเขาว่าฆ่าแต่เพียงเป็นพันๆ นอกจากราชอาณาจักรแล้ว ดาวิดจะได้อะไรอีกเล่า”

(Saul was very angry; this refrain galled him. “They have credited David with tens of thousands,” he thought, “but me with only thousands. What more can he get but the kingdom?”)

18:9     “ซาอูลก็ทรงใช้สายตาจับดาวิดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป”

(And from that time on Saul kept a jealous eye on David.)

18:10   “อยู่มาในวันรุ่งขึ้นวิญญาณชั่วจากพระเจ้าก็เข้าสิงซาอูล ซาอูลก็ทรงเพ้ออยู่ในวังของพระองค์ ดาวิดก็กำลังดีดพิณอย่างที่เธอเคยดีดถวายทุกวันมา ซาอูลทรงถือหอกอยู่”

(The next day an evil spirit from God came forcefully upon Saul. He was prophesying in his house, while David was playing the harp, as he usually did. Saul had a spear in his hand)

18:11 “และซาอูลก็ทรงพุ่งหอก ด้วยนึกว่า “ข้าจะปักดาวิดให้ติดกับผนังเสีย” แต่ดาวิดก็หนีไปได้ถึงสองครั้ง”

(and he hurled it, saying to himself, “I’ll pin David to the wall.” But David eluded him twice.)

18:12 “ซาอูลก็ทรงกลัวดาวิด เพราะว่าพระเจ้าทรงสถิตกับเธอ แต่ทรงพรากจากซาอูลแล้ว”

(Saul was afraid of David, because the LORD was with David but had left Saul.)

18:13 “ดังนั้นซาอูลจึงรับสั่งให้ย้ายดาวิดไปให้พ้นพระพักตร์ ตั้งเป็นผู้บังคับการกองพันและเธอได้เข้าออกอยู่ต่อหน้าประชาชน

(So he sent David away from him and gave him command over a thousand men, and David led the troops in their campaigns.)

18:14 “ดาวิดกระทำอะไรก็สำเร็จทุกประการ เพราะพระเจ้าทรงสถิตกับเธอ”

(In everything he did he had great success, because the LORD was with him.)

18:15 “เมื่อซาอูลทรงเห็นว่าดาวิดได้กระทำความสำเร็จยิ่งก็ทรงเกรงกลัวดาวิด”

(When Saul saw how successful he was, he was afraid of him.)

18:16   “แต่คนอิสราเอลและคนยูดาห์ทั้งสิ้นรักดาวิด เพราะเธอเข้าออกต่อหน้าเขาทั้งหลายอยู่เสมอ”

(But all Israel and Judah loved David, because he led them in their campaigns.)

18:17   “ฝ่ายซาอูลจึงรับสั่งกับดาวิดว่า “ดูเถิด นี่คือบุตรสาวคนโตของเราชื่อเมราบ เราจะมอบแม่นางให้เป็นภรรยาของเธอ ขอแต่เธอจงเป็นคนกล้าหาญและสู้ศึกของพระเจ้าเท่านั้น” เพราะซาอูลทรงดำริว่า “อย่าให้มือของเราแตะต้องเขาเลย ให้มือคนฟีลิสเตียแตะต้องเขาดีกว่า”

(Saul said to David, “Here is my older daughter Merab. I will give her to you in marriage; only serve me   bravely and fight the battles of the LORD.” For Saul said to himself, “I will not raise a hand against him. Let the Philistines do that!”)

18:18   “ดาวิดทูลซาอูลว่า  “ในอิสราเอลข้าพระบาทคือผู้ใด วงศ์ญาติของข้าพระบาทคือตระกูลบิดาของข้าพระบาทคือผู้ใดที่ข้าพระบาทควรจะเป็นราชบุตรเขยของพระราชา”

(But David said to Saul, “Who am I, and what is my family or my father’s clan in Israel, that I should become the king’s son-in-law?”)

18:19   “แต่อยู่มาเมื่อถึงเวลาที่จะทรงยกเมราบราชธิดาของซาอูลให้เป็นภรรยาของดาวิด แม่นางก็ถูกยกให้เป็นภรรยาของอาดรีเอลชาวเมโหลาห์”

(So when the time came for Merab, Saul’s daughter, to be given to David, she was given in marriage to driel   of Meholah.)

18:20 “ฝ่ายมีคาลราชธิดาของซาอูลนั้นรักดาวิด มีคนเอาเรื่องไปทูลซาอูลเรื่องนี้เป็นที่พอพระทัยพระองค์”

(Now Saul’s daughter Michal was in love with David, and when they told Saul about it, he was pleased.)

18:21   “ซาอูลทรงดำริว่า “ให้เรายกแม่นางให้แก่เธอ แม่นางจะได้เป็นกับดักเธอและมือของคนฟีลิสเตียจะได้ต่อสู้เธอ” ดังนั้นซาอูลจึงรับสั่งแก่ดาวิดครั้งที่สองว่า “ครั้งนี้เธอจะเป็นบุตรเขยของเรา”

(“I will give her to him,” he thought, “so that she may be a snare to him and so that the hand of the Philistines may be against him.” So Saul said to David, “Now you have a second opportunity to become my son-in-law.”)

18:22   “ซาอูลทรงบัญชามหาดเล็กว่า “จงพูดเป็นส่วนตัวกับดาวิดว่า ‘ดูเถิด พระราชาพอพระทัยในเธอ และบรรดามหาดเล็กของพระองค์ก็รักเธอ เพราะฉะนั้นจงเป็นบุตรเขยของพระราชาเถิด’ “

(Then Saul ordered his attendants: “Speak to David privately and say, ‘Look, the king is pleased with you, and his attendants all like you; now become his son-in-law.’”)

18:23   “และมหาดเล็กของซาอูลพูดเรื่องนี้ให้ดาวิดฟัง ดาวิดก็ถามว่า “ท่านทั้งหลายเห็นว่าที่จะเป็นบุตรเขยของพระราชานั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยอยู่หรือ ด้วยข้าพเจ้าเป็นแต่คนจนและไม่มีชื่อเสียงอะไรเลย”

(They repeated these words to David. But David said, “Do you think it is a small matter to become the king’s son-in-law? I’m only a poor man and little known.”)

18:24   “และมหาดเล็กของซาอูลจึงทูลว่า “ดาวิดพูดอย่างนั้นอย่างนี้”

(When Saul’s servants told him what David had said,)

18:25   “ซาอูลจึงรับสั่งว่า “เจ้าจงพูดเช่นนี้แก่ดาวิด ‘พระราชาไม่มีพระประสงค์จะเอาอะไรในการแต่งงานเลย นอกจากหนังปลายองคชาตของคนฟีลิสเตียสักหนึ่งร้อย เพื่อพระองค์จะทรงแก้แค้นศัตรูของพระราชา’ ” ฝ่ายซาอูลทรงดำริว่าจะให้ดาวิดตายเสียด้วยมือของคนฟีลิสเตีย”                                                                                                                     (Saul replied, “Say to David, ‘The king wants no other price for the bride than a hundred Philistine  foreskins, to  take revenge on his enemies.’” Saul’s plan was to have David fall by the hands of the Philistines.)

18:26  “และเมื่อมหาดเล็กกล่าวคำเหล่านั้นให้ดาวิดฟัง ก็เป็นที่พอใจดาวิดที่จะเป็นบุตรเขยของพระราชา ก่อนเวลาที่กำหนดไว้จะหมดไป”

(When the attendants told David these things, he was pleased to become the king’s son-in-law. So before the allotted time elapsed,)

18:27   “ดาวิดก็ลุกขึ้นไปพร้อมกับคนของเธอ ได้ฆ่าคนฟีลิสเตียเสียสองร้อยคน และดาวิดก็นำหนังปลายองคชาตของคนเหล่านั้นมาถวายแก่พระราชาครบจำนวน เพื่อเธอจะเป็นบุตรเขยของพระราชา ซาอูลจึงยกมีคาลพระราชธิดาของพระองค์ให้เป็นภรรยาของดาวิด”

(David and his men went out and killed two hundred Philistines. He brought their foreskins and presented the full number to the king so that he might become the king’s son-in-law. Then Saul gave him his daughter Michal in marriage.)

18:28   “ซาอูลทรงเห็นและทราบว่า พระเจ้าทรงสถิตกับดาวิดและมีคาลพระราชธิดาของซาอูลรักเธอ”

(When Saul realized that the LORD was with David and that his daughter Michal loved David,)

18:29   “ซาอูลทรงเกรงกลัวดาวิดมากยิ่งขึ้น ดังนั้นซาอูลจึงเป็นศัตรูของดาวิดเรื่อยมา”

(Saul became still more afraid of him, and he remained his enemy the rest of his days.)

18:30   “บรรดาเจ้านายแห่งคนฟีลิสเตียก็ออกมาทำสงคราม เขาทั้งหลายจะออกมาสักกี่ครั้งก็ตาม ดาวิดก็ได้กระทำความสำเร็จมากกว่าบรรดาข้าราชการของซาอูล ชื่อเสียงของเธอจึงโด่งดังมาก”

(The Philistine commanders continued to go out to battle, and as often as they did, David met with more success than the rest of Saul’s officers, and his name became well known.

ข้อมูลมีประโยชน์

18:1     “อยู่มาเมื่อดาวิดทูลซาอูลเสร็จแล้ว” (After David had finished talking with Saul) = ดาวิดคงสนทนากับซาอูลเป็นเวลานานพอสมควร โดยอาจอธิบายถึงการกระทำต่าง ๆ ที่แสดงออกถึงความเชื่อของเขาที่มีต่อพระเจ้า จนโยนาธานที่นั่งฟังอยู่ด้วยเกิดประทับใจ และชอบดาวิดยิ่งนัก (ข.3,14:6;19:5) กลายเป็นความผูกพันภักดีที่ลึกซึ้งจนถึงขั้นโยนาธานยินดีให้ดาวิดมาแทนที่พระองค์ในการเป็นทายาทสืบตำแหน่งจากซาอูลพระราชบิดาของพระองค์

“โยนาธาน” (Jonathan) -1ซมอ.19:1;20:16;31:2;2ซมอ.4:4

“รักเธออย่างรักชีวิตของท่านเอง” (loved him as himself) -2ซมอ.1:26;ปฐก.44:30

18:2     “ซาอูลก็ทรงกักตัวเธอไว้” (Saul kept David with him) -17:15

18:3     “โยนาธานก็กระทำพันธสัญญากับดาวิด” (And Jonathan made a covenant with David)

–โดยโยนาธานเป็นผู้เริ่มต้น (19:1;20:8,13-16,17,41-42;22:8;23:18;24:21;2ซมอ.21:7) คงรวมถึงความจงรักภักดีมีความซื่อสัตย์และมิตรภาพระหว่างกัน โดยโยนาธานยอมรับดาวิดในฐานะเท่าเทียมกัน

18:4     “โยนาธานก็ถอดเสื้อคลุมออกมอบให้แก่ดาวิด” (Jonathan took off the robe he was wearing and gave it to David) = โยนาธานยืนยันพันธสัญญาโดยการกระทำซึ่งเป็นเครื่องหมายบ่งชี้ว่า เขากำลังมอบตัวเองให้กับดาวิด (อาจรวมถึงการมอบตำแหน่งทายาทสืบบัลลังก์ให้กับดาวิดด้วย -20:14-15,31;23:14) เพราะเขามอบให้แม้แต่กระทั่งดาบ, คันธนู และเข็มขัดของเขาด้วย (ปท.13:22;ปฐก.41:42;2ซมอ.18:11)

18:5     “ดาวิดก็ออกไปกระทำความสำเร็จไม่ว่าซาอูลจะใช้เธอไป ณ ที่ใด” (Whatever Saul sent him to do, David did it so successfully) –ข.30

คำว่า “Successfully” (สำเร็จ) อาจแปลได้ว่า “wisely” หรือ อย่างฉลาด!

“ทรงตั้งเธอให้อยู่เหนือนักรบทั้งหลาย” (gave him a high rank in the army) -2ซมอ.5:2

18:6     “ร้องเพลงและเต้นรำ” (singing and dancing) –อพย.15:20; “ด้วยรำมะนา” (tambourines) –สดด.68:25

18:7     “ขับร้องกันว่า” (they sang) –อพย.15:21

“ดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่น ๆ” (David his ten of thousands) = หากพูดตามกวีปกติของชาวฮีบรูจะพูดได้ว่า

“Saul and David have slain thousands!” (คำว่า 10,000 นั้นปกติใช้เป็นเพียงคู่ขนานกับคำว่า 1,000

– ฉธบ.32:30;สดด.91:7;มคา.6:7)     = แต่ในเวลานี้ ดูเหมือนว่าซาอูลจะตีความว่าหมายถึง 10,000 คน อย่างจริง ๆ จัง ๆ ทำให้ซาอูลไม่พอใจ เพราะว่าประชาชนยกดาวิดขึ้นมาในระดับเดียวกับพระองค์ และกำลังยกขึ้นสูงกว่าพรองค์ จึงทำให้พระองค์รู้สึกไม่มั่นคงและอิจฉาดาวิด ความไม่พอใจนี้ได้เป็นชนวนแห่งความร้าวฉานต่อไป -21:11(ดู .21:11 จะเห็นการตีความบทเพลงนี้ของชาวฟิลิสเตีย) -1ซมอ.12:11;29:5; 2ซมอ.18:3

18:8     “นอกจากราชอาณาจักร” (but the kingdom) -1ซมอ.13:14

18:9     “ใช้สายตาจับดาวิดตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป”(And from that time on Saul kept a jealous eye on David) -1ซมอ.19:1

18:10   “วิญญาณชั่วจากพระเจ้า” (an evil spirit from God) –ดู 16:14

คำว่า “วิญญาณ” (spirit) –ดู  วนฉ.9:23

คำว่า “ชั่ว” (evil) นี้ยังหมายความว่า “injurious”

“ทรงเพ้อ”(was prophesying)=ฮีบรูที่ใช้บ่งบอกถึงพฤติกรรมเพ้อแบบควบคุมตัวเองไม่ได้ (1พกษ.18:29)

“ดาวิดก็กำลังดีดพิณอย่างที่เธอเคยดีดถวายทุกวัน”(David was playing the harp as he usually did)

-16:14,21,23;10:5;19:7 “ถือหอกอยู่” (had a spear) -1ซมอ.17:6

18:11   “ด้วยนึกว่า” (saying to himself) –ข.25;1ซมอ.20:7,33

“แต่ดาวิดก็หนีไปได้ถึง 2 ครั้ง” (But David eluded him twice) -1ซมอ.19:10;สดด.132:1

18:12   “ซาอูลก็ทรงกลัวดาวิด” (Saul was afraid of David) -ข.29

“เพราะว่าพระเจ้าทรงสถิตกับเธอ” (because the Lord was with David) -1ซมอ.16:13-14;ยชว.1:5; 1ซมอ.17:37;20:13;1พศด.22:11

“แต่ทรงพรากจากซาอูลแล้ว” (but had left Saul) –วนฉ.16:20

18:13   “รับสั่งให้ย้ายดาวิดไปให้พ้นพระพักตร์” (he sent David away) = แรงจูงใจที่ปรากฎชัดของซาอูลก็คือ หวังให้ดาวิดถูกฆ่าตายในสนามรบ (ข.17,21,25;19:1)

แต่ผลที่ตามมากลับทำให้ดาวิดได้รับการยกย่องมากยิ่งขึ้น  (ข.14,16,30)

“เธอได้เข้าออกอยู่ต่อหน้าประชาชน” = David led the troops in their campaigns –กดว.27:17; 2ซมอ.5:2

18:14   “ดาวิดกระทำอะไรก็สำเร็จทุกประการ เพราะพระเจ้าทรงสถิตกับเธอ” (In everything he did he had great success because the Lord was with him)

–ปฐก.39:2-3;กดว.14:43;2ซมอ.7:9

คำว่า “สำเร็จ” (success) นี้ ยังหมายความได้อีกว่า “wisely”

18:16   “แต่คนอิสราเอลและคนยูดาห์ทั้งสิ้นรักดาวิดเพราะเธอเข้าออกต่อหน้าเขาทั้งหลายอยู่เสมอ” (But all Israel and Judah loved David, because he led them in their campaigns) -1ซมอ.5:2

18:17   “ดูเถิด นี่คือบุตรสาวคนโตของเราชื่อ เมราบ” (Here is my older daughter, Merab) –ดาวิดได้รับการคาดหวังว่าจะได้รับธิดาของซาอูลเป็นภรรยา เพราะว่าเขามีชัยชนะเหนือโกลิอัท (17:23) แต่ซาอูลไม่ได้รักษาสัญญาข้อนี้ จนกระทั่งเวลานี้ มีการเพิ่มเงื่อนไขเพิ่มเติมในการทำสงคราม ซึ่งซาอูลคาดหวังว่าดาวิดจะถูกฆ่า -1ซมอ.17:25

“เราจะมอบแม่นางให้เป็นภรรยาของเธอ” (I will give her to you in marriage) –ปฐก.29:26

“ขอแต่เธอจงเป็นคนกล้าหาญและสู้ศึกของพระเจ้าเท่านั้น” (only serve me bravely and fight the battles of the Lord) -25:28;กดว.21:14

“ซาอูลทรงดำริว่า” (Saul said to himself) –ข.25;1ซมอ.20:3

18:18   “…ข้าพระบาทคือผู้ใด?” (Who am I) –อพย.3:11;1ซมอ.9:21

“จะเป็นราชบุตรเขยของพระราชา” (that I should become the king’s son – in – law?) –ข.23

18:19   “เมราบ” (Merab) -2ซมอ.21:8

“แม่นางก็ถูกยกให้เป็นภรรยาของอาดรีเอลชาวเมโหลาห์” (she was given in marriage to Adriel of Meholah) –วนฉ.7:22

18:20   “มีคาลราชธิดาของซาอูลนั้นรักดาวิด” (Now Saul’s daughter Michal was in love with David)

–ข.28;ปฐก.29:26

“เรื่องนี้เป็นที่พอพระทัยพระองค์” (he was pleased) ข.29

18:21   “แม่นางจะได้เป็นกับดักเธอ” (so that she may be a snare to him) –อพย.10:7;ฉธบ.7:16

18:25   “พระราชาไม่มีพระประสงค์จะเอาอะไรในการแต่งงานเลย” (the king wants no other price for the bride)=ปกติ เจ้าบ่าวต้องจ่ายค่าสินสอดให้กับบิดาของเจ้าสาว(ปฐก.34:12;อพย.22:16)เพื่อเป็นค่าชดเชยสำหรับการจากไปของธิดาและเป็นหลักประกันสำหรับสนับสนุนเธอในยามต้องเป็นม่าย  -ปฐก.34:12

“นอกจากหนังปลายองคชาตของคนฟิลิสเตียสักหนึ่งร้อยเพื่อพระองค์จะทรงแก้แค้นศัตรูของพระราชา” (than a hundred Philistine foreskins, to take revenge on his enemies.) = เวลานี้ซาอูล  ประสงค์ให้มือดาวิดพลาดพลั้งหรือพ่ายแพ้ในสงคราม (ข.17,21)  -สดด.8:2;44:16;ยรม.20:10

“…ซาอูลทรงดำริว่าจะให้ดาวิดตายเสียด้วยมือของคนฟิลิสเตีย” (Saul’s plan was to have David fall by the hands of the Philistines) –ข.11,17

18:27   “ดาวิด…ฆ่าคนฟิลิสเตียเสีย 200 คน และดาวิดก็นำหนังปลายองคชาตของคนเหล่านั้นมาถวายแก่พระราชาครบจำนวน” (David…went out and killed 200 Philistines. He brought their foreskins and presented the full number to the king) –ดาวิดทำมากกว่าที่ซาอูลขอในข้อ 25 “ซาอูลจึงยกมีคาลพระราชธิดา…ให้เป็นภรรยาของดาวิด” (Then Saul gave him his daughter Michal in marriage) -2ซมอ.3:14;6:16

18:28   “พระราชธิดาของซาอูลรักเธอ” (Michal loved David) –ความปรารถนาของพระเจ้าที่มีต่อดาวิดไม่เพียงแต่เปิดเผยออกมาในชัยชนะจากสงครามต่าง ๆ แต่ยังผ่านความรักที่มีคาลมีต่อเขา (นอกเหนือจากความรักของโยนาธาน)  ดูเหมือนว่าทุกอย่างที่ซาอูลคาดหวังจะถ่วงหรือทำลายดาวิดกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ดาวิดก้าวหน้า –ข.20

18:29   “ซาอูลทรงเกรงกลัวดาวิดมากยิ่งขึ้น” (Saul became still more afraid of him) –การที่ซาอูลรับรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับดาวิดไม่ได้นำให้เขากลับใจ หรือยอมรับชะตากรรมของพระองค์เอง (15:26) แต่กลับยิ่งทำให้กลัวและอิจฉาดาวิดมากยิ่งขึ้น –ข.12

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยรู้สึกผูกพันรักใครสักคนด้วยใจบริสุทธิ์ (ไม่ใช่อารมณ์ใคร่) และพร้อมกระทำหรือเสียสละทุกอย่างเพื่อเขาบ้างหรือไม่?   เขาคือใคร?  แล้วทำไมคุณจึงรักผูกพันเขาเช่นนั้น?
  2. ในชีวิตของคุณ เคยมีบุคคลใดที่ผูกพันรักคุณอย่างจริงใจบ้างหรือไม่?  เขาแสดงออกต่อคุณอย่างไร?
  3. คุณเคยได้รับความชื่นชมหรือโปรดปรานจากผู้ที่มีอำนาจหรือบรรดาคนรอบตัวของคุณบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร?  และพวกเขาแสดงความชื่นชอบออกมาอย่างไร?
  4. คุณเคยถูกหมั่นไส้หรือถูกไม่พอใจ โกรธ หรือต้องรับภัย โดยไม่คาดฝัน เพียงเพราะว่าคุณเด่นกว่าเขาหรือเธอบ้างหรือไม่?  เรื่องราวเป็นอย่างไร?  และผลลัพธ์คืออะไร?
  5. คุณเคยอิจฉา  โกรธ หรือ เกลียดใครเพียงเพราะเขาโดดเด่นกว่าคุณในบางเรื่อง หรือทุกเรื่องบ้างหรือไม่? แล้วผลตามมาคืออะไร?
  6. คุณเคยมีประสบการณ์กับการทุกข์ทรมานใจเหมือนกับมีวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิงบ้างหรือไม่?  แล้วคุณจัดการกับมันอย่างไร? พระเจ้ามีส่วนอะไรบ้างในการต่อสู้ของคุณ?
  7. คุณเคยมีประสบการณ์ที่พระเจ้าซึ่งเคยทรงสถิตอยู่กับคุณ แต่อยู่ ๆ พระองค์ก็ทรงพรากไปจากคุณบ้างหรือไม่? คุณทราบสาเหตุหรือไม่?  แล้วคุณมีปฏิกิริยาอย่างไร?
  8. คุณเคยมีประสบการณ์กับการที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับคุณจนทำให้คุณสามารถกระทำกิจต่าง ๆ ให้สำเร็จลงอย่างเห็นได้ชัดเจนบ้างหรือไม่?   เรื่องราวเป็นอย่างไร?  จงแบ่งปัน!
  9. คุณเคยถูกหลอกให้กระทำบางอย่าง โดยผู้อื่นที่ประสงค์ร้ายต่อคุณ  และคุณก็ได้กระทำตามนั้นจนลุล่วงไปบ้างหรือไม่?  อย่างไร?
  10. คุณเคยคิดร้ายหรือประสงค์ร้ายต่อผู้อื่น แต่กลับกลายเป็นเหตุให้ผู้อื่นจำเริญมากขึ้นบ้างหรือไม่?  (แบ่งปัน)
  11. คุณเคยถูกขัดขวาง, ปองร้าย หรือเล่นงาน แต่สุดท้ายกลับทำให้คุณประสบความก้าวหน้าหรือความสำเร็จบ้างหรือไม่?

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระธรรม 1ซามูเอล 17

ดาวิดพิชิตโกลิอัท

พระธรรม           1ซามูเอล 17:1-58

อ้างอิง                1ซมอ.11:2; 13:5; 14:6-12; 16:6-9,12; 25:29; 2ซมอ.21:19-21

บทนำ                  ในการเผชิญกับอุปสรรคใหญ่ในชีวิต เราอาจไม่มีทั้งกำลังกายและกำลังใจจะไปรับมือ เราไม่อาจหวังพึ่งในมนุษย์คนใดหรือสิ่ง ๆ ใดได้  แต่หากว่าเราวางใจและเชื่อฟังพระเจ้าอย่างสุดใจ เราจะสามารถฟันฝ่าก้าวพ้นวิกฤตชีวิตไปได้อย่างมหัศจรรย์ด้วยวิธีการหรือด้วยบุคคลที่พระเจ้าทรงใช้อย่างเกินความเข้าใจของเราดุจดังที่ชาวอิสราเอลได้ชัยเหนือชาวฟิลิสเตียผ่านการทรงใช้เด็กหนุ่มนามว่าดาวิดในการพิชิตยอดนักรบร่าง ยักษ์นามว่า โกลิอัท!

บทเรียน

17:1 “ฝ่ายคนฟีลิสเตีย ก็รวบรวมกองทัพเพื่อจะทำสงคราม เขามาชุมนุมกันอยู่ที่ตำบลโสโคห์ ซึ่งเป็นเขตยูดาห์ และตั้งค่ายอยู่ระหว่าง

ตำบลโสโคห์กับตำบลอาเซคาห์ที่เอเฟสดัมมิม
(Now the Philistines gathered their forces for war and assembled at Socoh in Judah. They pitched camp at Ephe Dammim, between Socoh and Azekah)

17:2 “และซาอูลกับคนอิสราเอลก็ชุมนุมกัน และตั้งค่ายอยู่ที่หุบเขาเอลาห์และวางแนวไว้ต่อสู้กับคนฟีลิสเตีย
(Saul and the Israelites assembled and camped in the Valley of Elah and drew up their battle line to meet the Philistines.)

17:3 “คนฟีลิสเตียยืนอยู่ที่ภูเขาข้างหนึ่งและคนอิสราเอลยืนอยู่ที่ภูเขาอีกข้างหนึ่ง มีหุบเขาคั่นกลาง

( The Philistines occupied one hill and the Israelites another, with the valley between them.)

17:4 “มีผู้หนึ่งชื่อโกลิอัทเป็นยอดทหาร ได้ออกมาจากค่ายคนฟีลิสเตียเป็นชาวเมืองกัท สูงหกศอกคืบ

(A champion named Goliath, who was from Gath, came out of the Philistine camp. He was over nine feet tall.)

17:5 “เขาสวมหมวกทองสัมฤทธิ์ไว้ที่ศีรษะ และสวมเสื้อเกราะ เสื้อเกราะนั้นหนักห้าพันเชเขลเป็นทองสัมฤทธิ์

(He had a bronze helmet on his head and wore a coat of scale armor of bronze weighing five thousand  shekels)

17:6 “และสวมสนับแข้งทองสัมฤทธิ์ และมีหอกทองสัมฤทธิ์แขวนอยู่ที่บ่า

(on his legs he wore bronze greaves, and a bronze javelin was slung on his back.)

17:7 “ด้ามหอกนั้นเหมือนไม้กระพั่นทอผ้า ตัวหอกหนักหกร้อยเชเขลเป็นเหล็ก ทหารถือโล่ของเขาเดินออกหน้า

(His spear shaft was like a weaver’s rod, and its iron point weighed six hundred shekels. His shield bearer went ahead of him.)

17:8 “เขาออกมายืนตะโกนไปทางแนวอิสราเอลว่าเจ้าทั้งหลายออกมาทำศึกทำไมเล่า ข้าเป็นคนฟีลิสเตียไม่ใช่หรือ เจ้าก็เป็นข้าของซาอูล

ไม่ใช่หรือ จงเลือกคนแทนพวกเจ้าให้เขาลงมาหาข้านี่
(Goliath stood and shouted to the ranks of Israel, “Why do you come out and line up for battle? Am I not a Philistine, and  are you not the servants of Saul? Choose a man and have him come down to me.)