Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 11)

หีบพันธสัญญาในพระวิหาร

 

พระธรรม        1พงศ์กษัตริย์  8:1-21

อ้างอิง               2พศด.5:2-6:2;30:24;2ซมอ.5:7;6:17;ลนต.23:34;16:2;อพย.15:17;สดด.132:13;135:21;89:3-4

บทนำ                 หีบพันธสัญญาอันเป็นสัญลักษณ์แห่งการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า ได้รับการนำและมาประดิษฐานอยู่ในพระวิหารอันเป็นเครื่องหมายว่า “พระเจ้า” ทรงอยู่ท่ามกลางประชากรของพระองค์แล้ว   หากวันนี้ คุณคือวิหารของพระเจ้า คุณแนใจหรือไม่ว่า พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับคุณแล้ว?

 บทเรียน

8:1 “แล้ว​ซา‍โล‍มอน​ทรง​เรียก​พวก​ผู้‌ใหญ่​ของ​อิส‍รา‍เอล และ​บรร‍ดา​หัว‌หน้า​ของ​เผ่า​ต่างๆ คือ​พวก​เจ้า‌นาย​ของ​ตระ‍กูล​คน​อิส‍รา‍เอล​มา​ประ‍ชุม​ใน​กรุง​เย‍รู‍ซา‍ เล็ม เพื่อ​จะ​นำ​หีบ​พันธ‍สัญญา​ของ​พระ‌ยาห์‍เวห์​ขึ้น​มา​จาก​นคร​ดา‍วิดคือ​ ศิ‍โยน

      (Then Solomon assembled the elders of Israel and all the heads of the tribes, the leaders of the fathers’ houses of the people of Israel, before King Solomon in Jerusalem, to bring up the ark of the covenant of the Lord out of the city of David, which is Zion.)

8:2 “และ​ผู้‌ชาย​ทั้ง‌หมด​ของ​อิส‍รา‍เอล​ก็​ประ‍ชุม​กับ​พระ‌ราชา​ซา‍โล‍มอน ณ การ​เลี้ยง​ใน​เดือน​เอ‍ธา‍นิม คือ​เดือน​ที่​เจ็ด”

(And all the men of Israel assembled to King Solomon at the feast in the month Ethanim, which is the seventh month. )

8:3 “พวก​ผู้‌ใหญ่​ทั้ง‌สิ้น​ของ​อิส‍รา‍เอล​มา และ​พวก​ปุ‍โร‍หิต​ก็​ยก​หีบ”

     (And all the elders of Israel came, and the priests took up the ark. )

8:4 “และ ​เขา​ทั้ง‌หลาย​นำ​หีบ​ของ​พระ‌ยาห์‍เวห์ และ​เต็นท์​นัด‌พบ อีก​ทั้ง​ข้าว‌ของ​เครื่อง​ใช้​ที่​บริ‍สุทธิ์​ทุก‌อย่าง ซึ่ง​อยู่​ใน​เต็นท์​ขึ้น​มา พวก​ปุ‍โร‍หิต​และ​พวก​เล‍วี​ได้​นำ​ของ​เหล่า‌นี้​ขึ้น​มา

     (And they brought up the ark of the Lord, the tent of meeting, and all the holy vessels that were in the tent; the priests and the Levites brought them up. )

8:5 “และ ​พระ‌ราชา​ซา‍โล‍มอน และ​ชุม‍นุม‌ชน​อิส‍รา‍เอล​ทั้ง‌สิ้น​ที่​ได้​ประ‍ชุม​กัน​กับ​พระ‌องค์ อยู่​กับ​พระ‌องค์​ต่อ​หน้า​หีบได้​ถวาย​แกะ​และ​วัว​มาก‌มาย จน​ไม่​สา‍มารถ​นับ​จำ‍นวน​หรือ​คิด​คำนวณ​ได้

      (And King Solomon and all the congregation of Israel, who had assembled before him, were with him before the ark, sacrificing so many sheep and oxen that they could not be counted or  numbered. )

8:6 “แล้ว​ปุ‍โร‍หิต​ก็​นำ​หีบ​พันธ‍สัญญา​ของ​พระ‌ยาห์‍เวห์​มา​ยัง​ที่​ตั้ง​ของ​ หีบ ใน​ห้อง​ชั้น​ใน​สุด​ของ​พระ‌นิเวศ คือ​ใน​อภิ‍สุทธิ​สถาน ภาย‌ใต้​ปีก​ของ​เค‍รูบ

     (Then the priests brought the ark of the covenant of the Lord to its place in the inner sanctuary of the house, in the Most Holy Place, underneath the wings of the cherubim. )

8:7 “เพราะ​เค‍รูบ​นั้น​กาง​ปีก​ทั้งคู่​ออก​เหนือ​ที่​ตั้ง​ของ​หีบ เค‍รูบ​จึง​คลุม​อยู่​เหนือ​หีบ และ​ไม้‌คาน​ของ​หีบ”

(For the cherubim spread out their wings over the place of the ark, so that the cherubim overshadowed the ark and its poles. )

8:8 “คาน‌หาม​ของ​หีบ​นั้น​ยาว​มาก จึง​เห็น​ปลาย​คาน‌หาม​ได้​จาก​วิสุทธิ​สถาน ซึ่ง​อยู่​หน้า​ห้อง​ชั้น​ใน​สุด แต่​ไม่​อาจ​มองเห็น​จาก​ภาย‌นอก และ​คาน‌หาม​ก็​ยัง​อยู่​ที่‌นั่น​จน​ทุก​วัน‌นี้

     (And the poles were so long that the ends of the poles were seen from the Holy Place before the  Inner sanctuary; but they could not be seen from outside. And they are there to this day. )

8:9 “ไม่‌มี​สิ่ง‌ใด​ใน​หีบ​นอก‌จาก​ศิลา​สอง​แผ่น ซึ่ง​โม‍เสส​ใส่​ไว้ ณ ภูเขา​โฮ‍เรบ เมื่อ​พระ‌ยาห์‍เวห์​ทรง​ทำ​พันธ‍สัญญา​กับ​คน​อิส‍รา‍เอล เมื่อ​เขา​ทั้ง‌หลาย​ออก​มา​จาก​แผ่น‌ดิน​อี‍ยิปต์

     (There was nothing in the ark except the two tablets of stone that Moses put there at Horeb,   where the Lord made a covenant with the people of Israel, when they came out of the land of  Egypt.)

8:10 “และ​ต่อ​มา​เมื่อ​พวก​ปุ‍โร‍หิต​ออก​มา​จาก​วิสุทธิ‍สถาน เมฆ​ก็​เต็ม​พระ‌นิเวศ​ของ​พระ‌ยาห์‍เวห์”

      (And when the priests came out of the Holy Place, a cloud filled the house of the Lord, )

8:11 “จน​พวก​ปุ‍โร‍หิต​ไม่​อาจ​ยืน​ปรน‍นิบัติ​อยู่​ได้​เพราะ​เมฆ​นั้น เพราะ​พระ‌สิริ​ของ​พระ‌ยาห์‍เวห์​เต็ม​พระ‌นิเวศ​ของ​พระ‌ยาห์‍เวห์

       (so that the priests could not stand to minister because of the cloud, for the glory of the Lord  filled the house of the Lord. )

8:12 “แล้ว​ซา‍โล‍มอน​ตรัส​ว่า “พระ‌ยาห์‍เวห์​ตรัส​ว่า พระ‌องค์​จะ​ประ‍ทับ​ใน​ความ‌มืด​ทึบ”

       (Then Solomon said, “The Lord has said that he would dwell in thick darkness. )

8:13 “แท้‌จริงข้า‌พระ‌องค์​ได้​สร้าง​พระ‌นิเวศ​ที่​โอ่‍อ่า‌ตระ‍การ‌ตา​สำ‍หรับ​พระ‌องค์ เป็น​สถาน‌ที่​เพื่อ​พระ‌องค์​จะ​สถิต​อยู่​เป็น​นิตย์

       (I have indeed built you an exalted house, a place for you to dwell in forever.” )

8:14 “แล้ว​พระ‌ราชา​ทรง​หัน‌มา และ​ทรง​อวย‌พร​ชุม‍นุม‌ชน​อิส‍รา‍เอล​ทั้ง‌หมด ขณะ​ที่​ชุม‍นุม‌ชน​อิส‍รา‍เอล​ทั้ง‌หมด​ยืน​อยู่”

(Then the king turned around and blessed all the assembly of Israel, while all the assembly of Israel stood. )

8:15 “พระ‌องค์​ตรัส​ว่า “สาธุ‌การ​แด่​พระ‌ยาห์‍เวห์ พระ‌เจ้า​แห่ง​อิส‍รา‍เอล ผู้​ทรง​สัญ‍ญา​กับ​ดา‍วิด​พระ‌ราช‍บิดา​ของ​ข้าพ‍เจ้า​ด้วย​พระ‌โอษฐ์ และ​ทรง​ให้​สำ‍เร็จ​ด้วย​พระ‌หัตถ์ พระ‌องค์​ตรัส​ว่า

      (And he said, “Blessed be the Lord, the God of Israel, who with his hand has fulfilled what he  promised with his mouth to David my father, saying, )

8:16 ‘ตั้ง‌แต่​วัน​ที่​เรา​ได้​นำ​อิส‍รา‍เอล​ประ‍ชา‍กร​ของ​เรา​ออก​จาก​อี‍ยิปต์ เรา​ไม่‌ได้​เลือก​เมือง​ไหน​จาก​เผ่า​ใด​ใน​อิส‍รา‍เอล​เพื่อ​จะ​สร้าง​นิเวศ เพื่อ​นาม​ของ​เรา​จะ​อยู่​ที่‌นั่น แต่​เรา​ได้​เลือก​ดา‍วิด ให้​อยู่​เหนือ​อิส‍รา‍เอล​ประ‍ชา‍กร​ของ​เรา

       (“Since the day that I brought my people Israel out of Egypt, I chose no city out of all the tribes of Israel in which to build a house, that my name might be there. But I chose David to be over  my people Israel.” )

8:17 “ดา‍วิด​พระ‌ราช‍บิดา​ของ​ข้าพ‍เจ้า​จึง​ตั้ง​พระ‌ทัย​ที่​จะ​สร้าง​พระ‌นิเวศ สำ‍หรับ​พระ‌นาม​แห่ง​พระ‌ยาห์‍เวห์​พระ‌เจ้า​ของ​อิส‍รา‍เอล

       (Now it was in the heart of David my father to build a house for the name of the Lord, the God of Israel. )

8:18 “แต่​พระ‌ยาห์‍เวห์​ตรัส​กับ​ดา‍วิด​พระ‌ราช‍บิดา​ของ​ข้าพ‍เจ้า​ว่า ‘ที่​เจ้า​ตั้ง‌ใจ​สร้าง​นิเวศ​สำ‍หรับ​นาม​ของ​เรา​นั้น เจ้า​ก็​ทำ​ดี​อยู่​แล้ว ใน​เรื่อง​ความ‌ตั้ง‌ใจ​ของ​เจ้า

      (But the Lord said to David my father, “Whereas it was in your heart to build a house for my  name, you did well that it was in your heart. )

8:19 “อย่าง‌ไร​ก็​ตาม เจ้า​จะ​ไม่‌ได้​สร้าง​นิเวศ แต่​บุตร‌ชาย​ผู้​เกิด​จาก​เจ้า​จะ​สร้าง​นิเวศ​สำ‍หรับ​นาม​ของ​เรา’”

      (Nevertheless, you shall not build the house, but your son who shall be born to you shall build the  house for my name.”)

8:20 “บัด‌นี้​พระ‌ยาห์‍เวห์​ทรง​ให้​พระ‌สัญ‍ญา​ของ​พระ‌องค์​ที่​ตรัส​นั้น​สำ‍เร็จ เพราะ​ข้าพ‍เจ้า​ได้​ขึ้น​มา​แทน​ดา‍วิด​พระ‌ราช‍บิดา​ของ​ข้าพ‍เจ้า และ​นั่ง​อยู่​บน​บัล‍ลังก์​ของ​อิส‍รา‍เอล ดัง‌ที่​พระ‌ยาห์‍เวห์​ได้​ทรง​สัญ‍ญา​ไว้ และ​ข้าพ‍เจ้า​ได้​สร้าง​พระ‌นิเวศ​สำ‍หรับ​พระ‌นาม​ของ​พระ‌ยาห์‍เวห์ พระ‌เจ้า​แห่ง​อิส‍รา‍เอล

       (Now the Lord has fulfilled his promise that he made. For I have risen in the place of David my  father, and sit on the throne of Israel, as the Lord promised, and I have built the house for the  name of the Lord, the God of Israel. )

8:21 “ที่​นั่น​ข้าพ‍เจ้า​ได้​กำ‍หนด​ที่​วาง​หีบ และ​ภายใน​หีบ​บรรจุ​พันธ‍สัญญา​ที่​พระ‌ยาห์‍เวห์​ทรง​ทำ​กับ​บรรพ‍บุรุษ​ ของ​เราเมื่อ​ทรง​นำ​พวก‌เขา​ออก​จาก​แผ่น‌ดิน​อี‍ยิปต์

       (And there I have provided a place for the ark, in which is the covenant of the Lord that he made with our fathers, when he brought them out of the land of Egypt.” )

 ข้อมูลมีประโยชน์

 8:1       “พวกผู้ใหญ่…บรรดาหัวหน้าเผ่าต่าง ๆ คือพวกเจ้านาย…”  (the elders … all the heads of the tribes, the leaders…) –กดว.7:2

“นำหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์” (to bring up the ark of the covenant of the Lord)

= อัญเชิญหีบพันธสัญญาขององค์พระเจ้าเข้าสู่วิหาร

-ก่อนหน้านี้ ดาวิดนำหีบพันธสัญญามาจากบ้านของโอเบดเอโดม มาสู่กรุงเยรูซาเล็มแล้ว (2ซมอ.6)

“นครดาวิดคือศิโยน” (the city of David, which is Zion.) -2ซมอ.5:7

8:2       “การเลี้ยงในเดือนเอธานิม” (the feast in the month Ethanim) = เทศกาลของเดือนเอธานิม

= เป็นไปได้ว่า ซาโลมอนรอ 11 เดือน (6:38) เพื่อจะถวายพระวิหารในช่วงเทศกาลอยู่เพิง ซึ่งฉลองกันในเดือนที่ 7 (ลนต.23:34;ฉธบ.16:13-15)

“คือเดือนที่เจ็ด” (the seventh month) = น่าจะเป็นปีที่ 12 ของรัชกาลซาโลมอน

8:4       “เต็นท์นัดพบ” (            the tent of meeting,) = พลับพลาซึ่งเก็บรักษาไว้ที่กิเบโอน (3:4;1ซมอ.7:1;2พศด.5:4-5)

8:6       “ภายใต้ปีกของเครูบ” (  underneath the wings of the cherubim            ) -6:23-28

8:8       “เห็นปลายคานหามได้” (the ends of the poles were seen) = คานหามยังคงค้างอยู่ในห่วงทองคำของหีบพันธสัญญา  (อพย.25:15)

“ก็ยังอยู่ที่นั่นจนทุกวันนี้” (And they are there to this day.) = คำพูดของผู้เขียนดั้งเดิมที่พรรณนาถึงการถวายพระวิหารมากกว่าจะเป็นผู้รวบรวมพระธรรมพงศ์กษัตริย์ขั้นสุดท้าย (2พศด.5:9)

8:9       “ศิลาสองแผ่น” (the two tablets of stone) -อพย.25:16;40:20

“พระยาห์เวห์ทรงทำพันธสัญญา”  (Lord made a covenant) –อพย.24

8:10     “เมฆก็เต็มพระนิเวศน์ของพระยาห์เวห์” (a cloud filled the house of the Lord,) = เมฆปกคลุมทั่วพระวิหาร

= เป็นสัญลักษณ์ที่เห็นได้ชัดเจนว่า พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในพระวิหารด้วย เหมือนที่ประทับอยู่ในพลับพลาที่ซีนาย (อพย.40:33-35; อสค.10:3-5,18-19;43:4-5)

8:12     “พระองค์ประทับในความมืดทึบ” (he would dwell in thick darkness) –อพย.19:9;24:15,18; 33:9-10;34:5;ลนต.16:2;ฉธบ.4:11;5:22;สดด.18:10-11

8:15     “ผู้ทรงสัญญา” (he promised) = ตามพระสัญญา -2ซมอ.7:5-16

8:16     “ไม่ได้เลือกเมืองไหน” ( I chose no city ) –ฉธบ.12:5

“นามของเรา” ( my name ) -3:2

8:21     “พันธสัญญาที่พระยาห์เวห์ทรงทำไว้กับบรรพบุรุษของเรา” (the covenant of the Lord that he made with our fathers,) = ศิลา 2 แผ่นที่บันทึกพระบัญญัติ 10 ประการ (อพย.25:16;ฮบ.9:4)

คำถามนำอภิปราย

  1.        ในชีวิตของคุณ คุณเคยเป็นผู้นำหรือผู้ทำภารกิจอะไรบ้างที่สำคัญมากที่สุดในชีวิตของคุณ?  เรื่องอะไร?  อย่างไร?  และผลเป็นอย่างไร?
  2. คุณเคยเห็น “พวกผู้ชาย” ในคริสตจักรทำอะไรร่วมกันบ้างที่มี “ความหมาย” หรือ “มีคุณค่า” น่าประทับใจมากในความรู้สึกของคุณ?  อย่างไร และทำไม?
  3. มีเหตุการณ์ใดที่ตื่นตาตื่นใจคุณมากที่สุดในชีวิต?  ทำไม?  มีผลอะไรต่อจิตวิญญาณของคุณบ้าง?
  4. เคยมีหมายสำคัญอะไรบ้างที่ยืนยันว่า พระเจ้าอยู่ในคริสตจักรของคุณ?  คุณเคยสัมผัสกับพระสิริของ    พระเจ้าในคริสตจักรของคุณในเรื่องอะไรบ้าง?  (ที่ทำให้คุณยำเกรงพระเจ้ามากยิ่งขึ้น)
  5. คุณเคยคิดจะทำบางสิ่งบางอย่างที่คุณคิดว่าดี ถวายให้แก่พระเจ้า  แต่พระเจ้ากลับไม่อนุญาตให้คุณทำบ้างหรือไม่?  เรื่องอะไร?  คุณรู้สึกอย่างไร?  แล้วผลที่ตามมาคืออะไร?
  6. มี “ความบาป” อะไรบ้างในชีวิตของคุณที่ทำให้พระเจ้าไม่สามารถใช้คุณได้อย่างเต็มที่และ?  คุณพร้อมจะจัดการกับ “บาป” นั้นอย่างจริงจังหรือไม่? ทำไม?

โดย : ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 10)

อภิมหาสิ่งก่อสร้างแห่งยุค 

 

พระธรรม        1พงษ์กษัตริย์ 7:1-51

อ้างอิง            2ซมอ.7:2;1ซมอ.7:15;1พกษ.7:18;10:17;6:15;3:1;2พศด.9:16;2พกษ.11:14;23:3;25:17;สดด.122:5; ศคย.2:1

บทนำ           ในยุคสมัยนั้น ผู้ยิ่งใหญ่อย่างซาโลมอนคงหายาก!

และผู้ที่มีอภิมหาโปรเจ็คในการสร้างทั้งพระวิหารและพระราชวังอย่างซาโลมอนก็คงมีไม่มากเช่นกัน!

มีบทเรียนอะไรบ้างที่สอนเราจากโครงการใหญ่ทั้ง 2 โครงการดังกล่าวนั้น?

บทเรียน

7:1 “ซาโลมอน​ทรง​ใช้​เวลา​สิบสาม​ปี สร้าง​พระราชวัง​ของ​พระองค์​จน​เสร็จสิ้น

      (Solomon was building his own house thirteen years, and he finished his entire house. )

7:2 “พระองค์ ​ทรง​สร้าง​พระตำหนัก​พนา​เลบานอน ยาว 44 เมตร กว้าง 22 เมตร และ​สูง 13.5 เมตร อยู่​บน​เสา​ไม้สน​สีดาร์​ สี่​แถว มี​คาน​ไม้​สน​สีดาร์​อยู่​บน​เสา

     (He built the House of the Forest of Lebanon. Its length was a hundred cubits and its breadth fifty cubits and  its height thirty cubits, and it was built on four rows of cedar pillars, with cedar beams on the pillars. )

7:3 “มุง​ด้วย​ไม้สน​สีดาร์ บน​คาน​ซึ่ง​อยู่​บน​เสา 45 ต้น แถว​ละ 15 ต้น”

      (And it was covered with cedar above the chambers that were on the forty-five pillars, fifteen in  each row. )

7:4 “มี​กรอบ​หน้าต่าง​สาม​แถว หน้าต่าง​อยู่​ตรงข้าม​กัน​ทั้ง​สาม​แถว

     (There were window frames in three rows, and window opposite window in three tiers. )

7:5 “ประตู​และ​วงกบ​ทั้งหมด​เป็น​รูป​สี่เหลี่ยม และ​หน้าต่าง​อยู่​ตรงข้าม​กัน​ทั้ง​สาม​แถว

      (All the doorways and windows had square frames, and window was opposite window in three  tiers. )

7:6 “และ ​พระองค์​ทรง​สร้าง​ท้องพระโรง​เสาหาน ยาว 22 เมตร​และ​กว้าง 13.5 เมตร มี​เฉลียง​ด้านหน้า​รองรับ​ด้วย​เสาหาน และ​ มี​หลังคา​ด้านหน้า

      (And he made the Hall of Pillars; its length was fifty cubits, and its breadth thirty cubits. There was a porch in front with pillars, and a canopy in front of them. )

7:7 “และ ​พระองค์​ทรง​สร้าง​ท้องพระโรง​พระที่นั่ง เป็น​ที่​ซึ่ง​พระองค์​ทรง​ให้​คำ​พิพากษา คือ​ท้องพระโรง​วินิจฉัย ซึ่ง​ปิด​ด้วย​ไม้สน​สีดาร์ ตั้งแต่​พื้น​จน​ถึง​เพดาน”​

     (And he made the Hall of the Throne where he was to pronounce judgment, even the Hall of Judgment. It was finished with cedar from floor to rafters. )

7:8 “พระราชวัง ​ของ​พระองค์​ที่​พระองค์​จะ​ประทับ​นั้น อยู่​ที่​ลาน​อีก​แห่ง​หนึ่ง​หลัง​ท้องพระโรง ก็​เป็น​ฝีมือ​ช่าง​อย่างเดียว​กัน ซาโลมอน​ยัง​ทรง​สร้าง​วัง​เหมือน​ท้องพระโรง​นี้​สำหรับ​พระราชธิดา ​ของ​ฟาโรห์ ซึ่ง​พระองค์​ทรง​ได้​มา​เป็น​มเหสี

     (His own house where he was to dwell, in the other court back of the hall, was of like workmanship. Solomon  also made a house like this hall for Pharaoh’s daughter whom he had taken in marriage. )

7:9 “สิ่ง​เหล่านี้​ทั้งหมด​สร้าง​ด้วย​หิน​อัน​มี​ค่า​ที่​สกัด​ออก​มา​ตาม​ขนาด ใช้​เลื่อย​เลื่อย​ทั้ง​ด้านใน​และ​ด้านนอก ตั้งแต่ฐาน​ถึง​ด้าน​บน​สุดและ​มี​ตั้งแต่​ข้างนอก​ถึง​ลาน​ใหญ่

     (All these were made of costly stones, cut according to measure, sawed with saws, back and front, even  from the foundation to the coping, and from the outside to the great court. )

7:10 “ฐาน​นั้น​ทำ​ด้วย​หิน​มี​ค่า หิน​ก้อน​มหึมา หิน​บาง​ก้อน​ยาว 4 เมตร​และ​บาง​ก้อน 3.5 เมตร”

      (The foundation was of costly stones, huge stones, stones of eight and ten cubits. )

7:11 “ข้างบน​ก็​เป็น​หิน​มี​ค่า สกัด​ออก​มา​ตาม​ขนาด และ​ไม้สน​สีดาร์

      (And above were costly stones, cut according to measurement, and cedar.)

7:12 “ลาน​ใหญ่​มี​หิน​สกัด​โดย​รอบ​สาม​ชั้น​และ​ไม้สน​สีดาร์​หนึ่ง​ชั้น เหมือน​อย่าง​ลาน​ชั้น​ใน​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์ และ​เฉลียง​พระนิเวศ

      (The great court had three courses of cut stone all around, and a course of cedar beams; so had the inner  court of the house of the Lord and the vestibule of the house. )

7:13 “พระราชา​ซาโลมอน​ทรง​ใช้​คน​ไป​นำ​ฮูราม​มา​จาก​เมือง​ไทระ

      (And King Solomon sent and brought Hiram from Tyre. )

7:14 “ฮูราม ​เป็น​บุตรชาย​ของ​หญิงม่าย​เผ่า​นัฟทาลี และ​บิดา​ของ​เขา​เป็น​ชาว​เมือง​ไทระ และ​เป็น​ช่าง​ทอง​สัมฤทธิ์ ฮูราม​เต็ม​ เปี่ยม​ด้วย​สติ​ปัญญา ความ​เข้าใจ และ​ฝีมือ​ที่​จะ​ทำงาน​ทอง​สัมฤทธิ์​ทุก​อย่าง เขา​มา​เฝ้า​พระราชา​ซาโลมอน​และ​ทำงาน​ทั้ง‌สิ้น​ของ​พระองค์

      (He was the son of a widow of the tribe of Naphtali, and his father was a man of Tyre, a worker in  bronze.    And he was full of wisdom, understanding, and skill for making any work in bronze. He  came to King Solomon and did all his work. )

7:15 “ฮูราม​ทำ​เสา​ทอง​สัมฤทธิ์​สอง​เสา เสา​ต้น​แรก​สูง 8 เมตร เสา​ต้น​ที่​สอง​วัด​เส้น​รอบ​วง​ได้ 5.3 เมตร”​

       (He cast two pillars of bronze. Eighteen cubits was the height of one pillar, and a line of twelve cubits  measured its circumference. It was hollow, and its thickness was four fingers. The second pillar was the  same.)

7:16 “ท่าน​ทำ​บัว​หัวเสา​สอง​อัน​ด้วย​ทอง​สัมฤทธิ์​หล่อ เพื่อ​จะ​วางไว้​บน​ยอดเสา บัว​หัวเสา​แต่​ละ​อัน​สูง 2.2 เมตร”

      (He also made two capitals of cast bronze to set on the tops of the pillars. The height of the one capital was  five cubits, and the height of the other capital was five cubits. )

7:17 “แล้ว​มี​ตาข่าย​เป็น​ตา​หมากรุก พร้อม​ด้วย​มาลัย​โซ่​สำหรับ​บัว​ที่​อยู่​บน​หัวเสา เจ็ด​อัน​สำหรับ​บัวหัวเสา​แต่​ละ​อัน”​

      (There were lattices of checker work with wreaths of chain work for the capitals on the tops of the pillars, a  lattice for the one capital and a lattice for the other capital.)

7:18 “ท่าน ​ทำ​ลูก​ทับทิม​สอง​แถว​ล้อม​ทับ​ตาข่าย​ผืน​หนึ่ง เพื่อ​คลุม​บัว​ที่​อยู่​บน​ยอด​เสา และ​ท่าน​ก็​ทำ​แบบ​เดียว​กัน​สำหรับ​บัว​อีก​อัน​หนึ่ง​”

       (Likewise he made pomegranates in two rows around the one latticework to cover the capital that was on the top of the pillar, and he did the same with the other capital. )

7:19 “ส่วน​บัว​ซึ่ง​อยู่​บน​ยอด​เสา​ที่​อยู่​ใน​เฉลียง​นั้น​เป็น​ดอก​พลับพลึง สูง 1.8 เมตร”

       (Now the capitals that were on the tops of the pillars in the vestibule were of lily-work, four cubits. )

7:20 “บัว​อยู่​บน​เสา​สอง​ต้น​นั้น และ​อยู่​เหนือ​คิ้ว​ซึ่ง​อยู่​ถัด​ตาข่าย​ด้วย มี​ลูก​ทับทิม​สองร้อย​ลูก​อยู่​ล้อม​รอบ​เป็น​สอง​แถว บัวหัวเสา​อีก​อัน​หนึ่ง​ก็​มี​เหมือนกัน

       (The capitals were on the two pillars and also above the rounded projection which was beside the latticework. There were two hundred pomegranates in two rows all around, and so with the other capital.)

7:21 “ท่าน​ตั้ง​เสา​ไว้​ที่​เฉลียง​พระวิหาร ท่าน​ตั้ง​เสา​ข้าง​ขวา​ไว้ และ​เรียก​ชื่อ​ว่า​ยาคีน และ​ท่าน​ตั้ง​เสา​ข้าง​ซ้าย​ไว้ เรียก​ชื่อ​ว่า​โบอัส​”

       (He set up the pillars at the vestibule of the temple. He set up the pillar on the south and called its name  Jachin, and he set up the pillar on the north and called its name Boaz.)

7:22 “และ​บน​ยอด​เสา​เหล่า​นั้น​เป็น​ลาย​ดอก​พลับพลึง ดังนั้น​งาน​สร้าง​เสา​ก็​เสร็จ​สมบูรณ์

       (And on the tops of the pillars was lily-work. Thus the work of the pillars was finished. )

7:23 “แล้ว​ฮูราม​ได้​หล่อ​อ่าง​สาคร วัด​จาก​ขอบ​หนึ่ง​ไป​ถึง​อีก​ขอบ​หนึ่ง​ได้ 4.5 เมตร สูง 2.25 เมตร และ​วัด​โดย​รอบ​ได้ 13.5 เมตร”

       (Then he made the sea of cast metal. It was round, ten cubits from brim to brim, and five cubits high, and a line of thirty cubits measured its circumference. )

7:24 “ใต้​ขอบ​ได้หล่อ​เป็น​รูป​น้ำ​เต้า​สิบ​ลูก​ทุก 45 เซนติเมตร​อยู่​รอบ​อ่าง​สาคร รูป​น้ำเต้า​มี​สอง​แถว​และ​หล่อ​เป็น​ชิ้น​เดียว​กัน​กับ​อ่าง

       (Under its brim were gourds, for ten cubits, compassing the sea all around. The gourds were in  two rows,   cast with it when it was cast. )

7:25 “อ่าง​สาคร​นั้น​ตั้ง​อยู่​บน​วัว​สิบสอง​ตัว โดย​สาม​ตัว​หันหน้า​ไป​ทิศ​เหนือ สาม​ตัว​หันหน้า​ไป​ทิศ​ตะวันตกสาม​ตัว หันหน้า​ไป​ทิศ​ใต้ และ​สาม​ตัว​หันหน้า​ไป​ทิศ​ตะวันออก เขา​วาง​อ่าง​สาคร​บน​วัว โดย​ให้​ส่วน​หลัง​ของ​วัว​ทุก​ตัว​อยู่​ด้านใน

        (It stood on twelve oxen, three facing north, three facing west, three facing south, and three facing east.   The sea was set on them, and all their rear parts were inward.)

7:26 “อ่าง​หนา 7.5 เซนติเมตร ที่​ขอบ​อ่าง​ทำ​เหมือน​ขอบ​ถ้วย​เหมือน​ดอก​พลับพลึง​กำลัง​บาน อ่าง​มี​ความ​จุ​สี่หมื่น​ลิตร

       (Its thickness was a handbreadth, and its brim was made like the brim of a cup, like the flower of a lily. It held two thousand baths. )

7:27 “ฮูราม​ทำ​แท่น​ทอง​สัมฤทธิ์​สิบ​แท่น แต่​ละ​แท่น​ยาว 1.8 เมตร กว้าง 1.8 เมตร สูง 1.3 เมตร”

      (He also made the ten stands of bronze. Each stand was four cubits long, four cubits wide, and three cubits  high. )

7:28 “ลักษณะ​ของ​แท่น​เป็น​อย่างนี้ แท่น​มี​แผง แผง​นี้​ฝัง​อยู่​ใน​กรอบ

      (This was the construction of the stands: they had panels, and the panels were set in the frames,)

7:29 “บน​แผง​ที่​ฝัง​อยู่​ใน​กรอบ​นั้น​มี​รูป​สิงโต วัว และ​เครูบ บน​กรอบ​ที่​อยู่​บน​และ​ล่าง​สิงโต​และ​วัว มี​ฐาน​ที่​ลวดลาย​เป็น​มาลัย​ย้อย

       (and on the panels that were set in the frames were lions, oxen, and cherubim. On the frames, both above  and below the lions and oxen, there were wreaths of beveled work. )

7:30 “แท่น ​แต่​ละ​แท่น​มี​ล้อ​ทอง​สัมฤทธิ์​สี่​ล้อ​กับ​เพลา​ทอง​สัมฤทธิ์ ที่​มุม​ทั้ง​สี่​มี​ที่​รองรับ​อ่าง​เล็ก ที่​รองรับ​นั้น​ถูก​หล่อ​โดย​มี​มาลัย​ห้อยทุก​ข้าง

       (Moreover, each stand had four bronze wheels and axles of bronze, and at the four corners were supports  for a basin. The supports were cast with wreaths at the side of each. )

7:31 “ช่อง​เปิด​อยู่​ใน​บัวหงาย ซึ่ง​ยื่น​ขึ้น​ไป 45 เซนติเมตร ช่อง​เปิด​นั้น​กลม​อย่าง​ที่​เขา​ทำ​ฐาน กว้าง 66 เซนติเมตร ตรง​ช่อง​เปิด​มี​ลาย​สลัก และ​แผง​นั้น​เป็น​สี่เหลี่ยม​ไม่​กลม

       (Its opening was within a crown that projected upward one cubit. Its opening was round, as a pedestal is made, a cubit and a half deep. At its opening there were carvings, and its panels were square, not round. )

7:32 “ล้อ​ทั้ง​สี่​อยู่​ใต้​แผง เพลาล้อ​นั้น​ติด​กับ​แท่น​ล้อ​อัน​หนึ่ง​สูง 66 เซนติเมตร

       (And the four wheels were underneath the panels. The axles of the wheels were of one piece with the  stands, and the height of a wheel was a cubit and a half.)

7:33 “ล้อ​นั้น​เขา​ทำ​เหมือน​ล้อ​รถรบ ทั้ง​เพลา ขอบ​ล้อ ซี่​ล้อ และ​ดุม​ล้อ​ก็​หล่อ​ออก​มา​ทั้งสิ้น

       (The wheels were made like a chariot wheel; their axles, their rims, their spokes, and their hubs were all  cast. )

7: 34 “แต่​ละ​แท่น​มี​ที่​รอง​รับ​อยู่​ที่​มุม​ทั้ง​สี่ ที่​รอง​รับ​นั้น​หล่อ​เป็น​ชิ้น​เดียว​กับ​แท่น”

       (There were four supports at the four corners of each stand. The supports were of one piece with the  stands. )

7:35 “ที่​บน​ยอด​แท่น​มี​แถบ​กลม​สูง 22 เซนติเมตร และ​บน​ยอด​แท่น​นั้น​มี​กรอบ​และ​แผง​ติด​เป็น​อัน​เดียว​กับ​แท่น

       (And on the top of the stand there was a round band half a cubit high; and on the top of the stand its stays  and its panels were of one piece with it. “

7:36 “ที่​พื้น​กรอบ และ​พื้น​แผง ท่าน​สลัก​เป็น​รูป​เครูบ สิงโต และ​ต้น​อินผลัม ตาม​ที่ว่าง​ของ​แต่​ละ​สิ่ง​มี​ลาย​มาลัย​อยู่​รอบๆ

       (And on the surfaces of its stays and on its panels, he carved cherubim, lions, and palm trees, according to the space of each, with wreaths all around.)

7:37 “ท่าน​ได้​ทำ​แท่นสิบ​แท่น​ตาม​อย่างนี้ หล่อ​เหมือน​กัน​หมด​ทุก​อัน ขนาด​เดียว​กัน และ​รูป​เดียวกัน

       (After this manner he made the ten stands. All of them were cast alike, of the same measure and the same  form. )

7:38 “ฮูราม​ทำ​อ่างเล็ก​ด้วย​ทอง​สัมฤทธิ์สิบ​ใบ อ่าง​แต่​ละ​ใบ​จุ 800 ลิตร และ​มี​ขนาด 1.8 เมตร มี​อ่างเล็ก​อยู่​บน​แท่น​ทั้ง​สิบ​แท่น   แท่น​ละ​ใบ

       (And he made ten basins of bronze. Each basin held forty baths, each basin measured four cubits, and  there was a basin for each of the ten stands. )

7:39 “ท่าน​วาง​แท่น​ไว้​ด้าน​ขวา​ของ​พระนิเวศ​ห้า​แท่น และ​ทาง​ด้าน​ซ้าย​ห้า​แท่น และ​ท่าน​วาง​อ่าง​สาคร​ไว้​ที่​ด้าน​ขวา​ของ​พระนิเวศ​ ทาง​ทิศ​ตะวันออก ​เฉียงใต้

       (And he set the stands, five on the south side of the house, and five on the north side of the house. And he  set the sea at the southeast corner of the house. )

7:40 “ฮูราม​ได้​ทำ​หม้อ ทัพพี และ​ชาม​ด้วย ดังนั้น​ฮูราม​ก็​เสร็จ​งาน​ทั้งสิ้น ที่​ท่าน​ต้อง​ทำ​ถวาย​พระราชา​ซาโลมอนสำหรับ​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์

       (Hiram also made the pots, the shovels, and the basins. So Hiram finished all the work that he did for King Solomon on the house of the Lord: )

7:41 “เสา​สอง​ต้น คิ้ว​ของ​บัว​ที่​อยู่​บน​หัว​เสา​และ​ตาข่าย​สอง​ผืน ซึ่ง​คลุม​คิ้ว​ทั้งสอง​ของ​บัว​ที่​อยู่​บน​หัว​เสา

       (the two pillars, the two bowls of the capitals that were on the tops of the pillars, and the two latticeworks to  cover the two bowls of the capitals that were on the tops of the pillars; )

7:42 “และ​ลูก​ทับทิม​สี่ร้อย​ลูก​สำหรับ​ตาข่าย​สอง​ผืน ตาข่าย​ผืน​หนึ่ง​มี​ลูก​ทับทิม​สอง​แถว เพื่อ​คลุม​คิ้ว​ทั้งสอง​ของ​บัว​ซึ่ง​อยู่​บน​เสา

       (and the four hundred pomegranates for the two latticeworks, two rows of pomegranates for each  latticework, to cover the two bowls of the capitals that were on the pillars; )

7:43 “แท่น​สิบ​แท่น​และ​อ่างเล็ก​สิบ​ใบ​ซึ่ง​อยู่​บน​แท่น​เหล่า​นั้น

       (the ten stands, and the ten basins on the stands; )

7:44 “และ​อ่าง​สาคร​ใบ​หนึ่ง และ​วัว​สิบสอง​ตัว​ที่​อยู่​ใต้​อ่าง​สาคร​นั้น

        (and the one sea, and the twelve oxen underneath the sea. )

7:45 “หม้อ ทัพพี​และ​ชาม ภาชนะ​ทั้งสิ้น​เหล่านี้​ทำ​ด้วย​ทอง​สัมฤทธิ์​ขัดมัน ฮูราม​ได้​ทำ​ถวาย​พระราชา​ซาโลมอนสำหรับ​พระ​นิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์

       (Now the pots, the shovels, and the basins, all these vessels in the house of the Lord, which Hiram made  for King Solomon, were of burnished bronze.)

7:46 “พระราชา​ทรง​หล่อ​สิ่ง​เหล่านี้​ใน​ที่​ลุ่ม​แม่น้ำ​จอร์แดน และ​ใน​ที่​ดิน​เหนียว​ระหว่าง​เมือง​สุคคท และ​เมือง​ศาเรธาน

       (In the plain of the Jordan the king cast them, in the clay ground between Succoth and Zarethan. )

7:47 “ซาโลมอน​ไม่ได้​ทรง​ชั่ง​เครื่องใช้​ทั้งหมด​นี้ เพราะ​มี​มาก​เหลือเกิน จึง​ไม่ได้​หา​น้ำหนัก​ของ​ทอง​สัมฤทธิ์

       (And Solomon left all the vessels unweighed, because there were so many of them; the weight of the  bronze was not

ascertained. )

7:48 “ซาโลมอน​ทรง​ทำ​เครื่องใช้​ทั้งสิ้น​ซึ่ง​อยู่​ใน​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์ คือ​แท่น​บูชา​ทองคำ และ​โต๊ะ​ทองคำ​ที่​ใช้​วาง​ขนมปัง​เฉพาะ​พระพักตร์

       (So Solomon made all the vessels that were in the house of the Lord: the golden altar, the golden table for the bread of the Presence, )

7:49 “คันประทีปทองคำ​บริสุทธิ์​อยู่​หน้า​ห้องชั้น​ใน​สุดด้าน​ขวา​ห้า​อัน ด้าน​ซ้าย​ห้า​อัน ดอกไม้ ตะเกียงและ​คีมล้วน​ทำ​ด้วย​ทองคำ

       (the lampstands of pure gold, five on the south side and five on the north, before the inner sanctuary; the  flowers, the lamps, and the tongs, of gold; )

7:50 “ถ้วย ตะไกร​ตัด​ไส้​ตะเกียง ชาม ชามเล็ก​และ​กระถาง​ไฟ ทำ​ด้วย​ทองคำ​บริสุทธิ์ และ​บาน​พับ​ทองคำ​สำหรับ​ประตู​ของ​ส่วน​ชั้น​ใน​พระนิเวศ คือ​อภิสุทธิสถาน​และ​สำหรับ​ประตู​ห้องโถง​ของ​พระวิหาร

       (the cups, snuffers, basins, dishes for incense, and fire pans, of pure gold; and the sockets of gold, for the  doors of the innermost part of the house, the Most Holy Place, and for the doors of  the nave of the temple.)

7:51 “งาน ​ทุกอย่าง​ที่​พระราชา​ซาโลมอน​ทรง​ทำ เกี่ยว​กับ​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์​ก็​ได้​สำเร็จ​ลง และ​ซาโลมอน​ทรง​นำ​สิ่งของ​ ซึ่ง​ดาวิด​พระราชบิดา​ทรง​ถวาย​ไว้​เข้า ​มา คือ​เครื่อง​เงิน เครื่อง​ทองคำ และ​เครื่อง​ใช้​ต่างๆ และ​ทรง​เก็บ​ไว้​ใน​คลัง​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์

  (Thus all the work that King Solomon did on the house of the Lord was finished. And Solomon brought in the things that David his father had dedicated, the silver, the gold, and the vessels,  and stored them in the treasuries of the house of the Lord.)

ข้อมูลมีประโยชน์

7:1       “สิบสามปี” (thirteen years) = ซาโลมอนใช้เวลาสร้างวังของตนเองมากกว่าสร้างพระวิหารของพระเจ้า เกือบ 2 เท่า  เพราะวิหารใช้เวลาสร้าง 7 ปี (6:38;ฮกก.1:2-4)

7:2       “พระตำหนักพนา เลบานอน” (  House of the Forest of Lebanon) = เสาไม้สนสีดาห์ 4 แถวในพระราชวัง ทำให้ดูเหมือนป่าใหญ่ เปรียบเทียบกับขนาดของวิหารของพระเจ้า  ใน 6:2

7:3       “มุงด้วยไม้สนสีดาร์ บนคานซึ่งอยู่บนเสา 45 ต้น แถวละ15 ต้น” (covered with cedar above the chambers that were on the forty-five pillars, fifteen in each row. ) = อาคารนี้มีอีก 3 ชั้นเหนือห้อง

โถงใหญ่ ซึ่งอยู่ในระดับราบ และยังมีที่เก็บอาวุธด้วย (10:16-17)

7:6       “ท้องพระโรงเสาหาน” ( Hall of Pillars) = โถงทางเท้าตำหนักพนา เลบานอน ความยาวระเบียง 22 เมตร (50 ศอก) และกว้าง 13.5 เมตร (30 ศอก) สอดล้องกับความกว้างของพระราชวัง

7:9       “ใช้เลื่อยเลื่อย” (sawed with saws,) = ใช้เลื่อยแต่ง, หินปูนสีขาวอมชมพูในแถบนั้น จะตัดแต่งได้ง่ายเมื่อสกัดออกมาในตอนแรก แต่จะแข็งขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อยู่ภายนอก

7:12     “ลานใหญ่” (The great court) = สร้างแบบเดียวกับลานชั้นในของพระวิหาร (6:36)

7:13     “พระราชาซาโลมอนทรงใช้” (And King Solomon sent and brought) = ก่อนพระวิหารสร้างเสร็จและก่อนจะเริ่มก่อสร้างพระราชวังของซาโลมอน (2พศด.2:7,13-14) “ฮูราม” (Hiram  ) ชื่อเต็มคือ ฮูรามอับบี (หุรามอาบี) -2พศด.2:13

7:14     “หญิงม่ายเผ่านัฟทาลี” (widow of the tribe of Naphtali   ) -2พศด.2:14  สรุปว่าแม่ของฮูรามมาจากเผ่าดาน เป็นไปได้ว่า  เธอเกิดในเมืองของดานทางตอนเหนือของอิสราเอล ใกล้กับเผ่านัฟทาลี ซึ่งเป็นเผ่าของสามีคนแรก หลังจากสามีตาย เธอได้แต่งงานกับคนไทระ

“งานทองสัมฤทธิ์ทุกอย่าง” (worker in bronze) = ฮูราม มีทักษะอื่น ๆ อีกมากมาย (2พศด.2:7,14)

7:15     “เสาทองสัมฤทธิ์สองเสา” (two pillars of bronze.) = ตั้งไว้แต่ละด้านของทางเข้าหลักของพระวิหาร (ข.21) เสานี้อาจตั้งอยู่เป็นอิสระหรือใช้เสาคู่นี้ช่วยรองรับหลังคา (เป็นเฉลียงพระวิหาร) และคิ้วบนเสา

7:16     “2.2 เมตร” (five cubits.            )  = 5 ศอก (2พกษ.25:17)

7:21     “เสาข้างขวา” (pillar on the south) = เสาทางใต้ พระวิหารหันไปทางตะวันออก เช่นเดียวกับพลับพลา (อสค.8:16)

7:23     “หล่ออ่างสาคร” (made the sea of cast metal.) = ขันสาขร , เป็นอ่างน้ำขนาดใหญ่สอดคล้องกับอ่างทองสัมฤทธิ์ที่สร้างขึ้นสำหรับพลับพลา (อพย.30:11-21;38:8) ปุโรหิตใช้น้ำในอ่างนี้สำหรับชำระล้างตามระเบียบพิธี (2พศด.4:6)

“วัดโดยรอบได้ 13.5 เมตร” (line of thirty cubits measured its circumference.) = 30 ศอก ทางคณิตศาสตร์จะเป็น 31.416 ศอก เพราะเป็นวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 10 ศอก 30 ศอก ในที่นี้อาจเป็นการปัดเศษให้เป็นตัวเลขถ้วน

7:24     “สิบลูกทุก 45 เซนติเมตร” (ten cubits) = ศอกละ 10 ลูก , 10 ลูกต่อ 1 ศอก (45 ซม.) เท่ากับมี 300 ลูกสำหรับอ่างทั้งใบ หรือ 600 ลูกเมื่อนับทั้ง 2  แถว

7:26     “มีความจุสี่หมื่นลิตร” (two thousand baths.) = 44 กิโลลิตร (2พศด.4:5)

7:27     “แท่นทองสัมฤทธิ์สิบแท่น” (ten stands of bronze) = แท่นทองสัมฤทธิ์ที่สามารถเคลื่อนที่ย้ายได้และถูกออกแบบมาเพื่อรองรับอ่างน้ำ(ขันน้ำ) ดูข้อ 38 ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าขันสาครมาก  น้ำจากอ่าง(ขัน) เหล่านี้ใช้ล้างชิ้นส่วนของสัตว์ที่ฆ่าเพื่อเผาบูชา  ((ลนต.1:9,13;2พศด.4:6)

7:36     “สลักรูปเครูบ สิงโต และต้นอินทผลัม” (carved cherubim, lions, and palm trees) -6:29

7:40     “หม้อ”  (pots ) = อาจใช้ปรุงเนื้อที่จะรับประทานควบคู่กับเครื่องสัตวบูชา (ลนต.7:11-17;22:21-23)

“ทัพพี” (the shovels) = ใช้กวาดขี้เถ้าออกจากแท่นบูชา

“ชาม” (the basins.) =ชามประพรม, เพื่อให้ปุโรหิตใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ ซึ่งต้องพรมเลือดหรือน้ำ (อพย.27:3)

7:41     “ตาข่ายสองผืน” (two latticeworks) = 2 ชุด – ข.17

7:42     “ลูกทับทิมสี่ร้อยลูก” (four hundred pomegranates ) – 18, 20

7:43     “แท่นสิบแท่น และอ่างเล็กสิบใบ”  (ten stands, and the ten basins) –ข.27-37

7:44     “อ่างสาคร…วัวสิบสองตัว “ (the one sea, and the twelve oxen ) –ข.23-26

7:45     “หม้อ ทัพพี และชาม” ( the pots, the shovels, and the basins,) –ข.40

7:46     “สุดคท” (Succoth) = ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน (ปฐก.33:17;ยชว.13:27;วนฉ.8:4-5) ทางเหนือของแม่น้ำยับบอก

-การขุดสำหรับพื้นที่บริเวณนี้ยืนยันว่า สุดคท เคยเป็นศูนย์กลางด้านโลหะวิทยา ในสมัยที่มีราชวงศ์ปกครอง “เมืองศาเรธาน” (Zarethan) = ตั้งอยู่ใกล้เมืองอาดัม (ยชว.3:16) และ อาเบล เมโหลาห์ (1พกษ.4:12 )

7:48     “แท่นบูชาทองคำ” (the golden altar) -6:22

“โต๊ะทองคำ” (the golden table )= ใช้วางขนมปังเบื้องพระพักตร์หรือเฉพาะพระพักตร์ (อพย.25:23-30; 1พศด.9:32;2พศด.13:11;29:18) – โต๊ะทองคำ 10 ตัวนี้ ถูกกล่าวถึงใน 1พศด.28:16 และ 2พศด.4:8,19 โดยมี 5 ตัวตั้งอยู่ทางด้านเหนือ และอีก  5 ตัวตั้งอยู่ทางด้านใต้ของพระวิหาร

7:49     “คันประทีปทองคำบริสุทธิ์” (the lampstands of pure) –มีคันประทีปที่มี 7 กิ่งเพียงหนึ่งคันตั้งอยู่ในพลับพลาตรงข้ามกับโต๊ะวางขนมปัง เฉพาะพระพักตร์ (อพย.25:31-40;26:35)

-คันประทีปสิบคันในพระวิหารนั้นจะตั้งอยูด้านเหนือ 5 คัน และด้านใต้ 5 คัน ทำให้มีแสงสว่างในวิสุทธิสถาน

“ดอกไม้” (the flowers) = ลวดลายดอกไม้ –อพย.25:33

“ตะเกียง” (the lamps)  -อพย.25:37

“คีม” (the tongs  ) -2พศด.4:21;อสย.6:6

7:50     “กระถางไฟ” (fire pans, ) -2พกษ.25:15;2พศด.4:22;ยรม.52:18-19

7:51     “เครื่องใช้ต่าง ๆ “ (in the things) = เครื่องใช้ไม้สอยต่าง ๆ ซึ่งกษัตริย์ดาวิดได้จัดถวายไว้ เป็นเครื่องใช้

ล้ำค่าทำจากเงินและทองคำ (ทั้งจากยึดมาในสงคราม หรือเป็นเครื่องราชบรรณาการมาจากกษัตริย์ทั้งหลาย ที่ต้องการทำให้ดาวิดโปรดปราน ) -2ซมอ.8:9-12;1พศด.18:7-11;2พศด.5:1

“คลังนิเวศของพระยาห์เวห์” (treasuries of the house of the Lord.) -15:18;2พกษ.12:18; 1พศด.9:26;26:20-26;28:12

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณใช้เวลาและทรัพย์สินเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับตัวคุณ (และครอบครัว) ของคุณ มากกว่าเวลาและทรัพย์ที่ทุ่มเทเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับแผ่นดินของพระเจ้าหรือไม่?  (อย่างไร) คุณจะปล่อยให้ให้เป็นเช่นนี้ต่อไปหรือจะปรับเปลี่ยนอะไรบ้างหรือไม่?
  2. คุณมีความเชี่ยวชาญในเรื่องใดเป็นพิเศษ? และคุณได้ใช้ความสามารถเหล่านั้นเพื่ออะไร หรือเพื่อใครบ้าง?

1)      เพื่อครอบครัว?

2)      เพื่อคริสตจักร?

3)      เพื่อชุมชน และสังคม?

4)      เพื่อกษัตริย์?

5)      เพื่อพระเจ้า?

และอย่างไร?

โดย: ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทที่ 9)

วิหารของซาโลมอน  

 พระธรรม        1พงศ์กษัตริย์ 6:1-37

อ้างอิง            อพย.26:33-34;25:18-20;30:1-3

บทนำ           พระวิหารคือสิ่งที่กษัตริย์ดาวิดและกษัตริย์ซาโลมอนมุ่งมั่นที่จะสร้างถวายแด่พระเจ้า และพระเจ้าทรงยอมรับพระวิหารนั้น เพราะทอดพระเนตรเห็นความตั้งใจที่ดีของท่านทั้ง 2 แต่พระองค์ก็กำชับอยู่เสมอว่า การกระทำตามพระบัญญัติและพันธสัญญาของพระองค์นั้น สำคัญยิ่งกว่าวิหารใด ๆ ที่ มนุษย์จะมอบถวายแด่พระองค์!

บทเรียน

6:1 “ต่อ​มา​ใน​ปี​ที่​สี่‌ร้อย​แปด‌สิบ หลัง‌จาก​ที่​ชน​อิส‍รา‍เอล​ออก​มา​จาก​แผ่น‌ดิน​อี‍ยิปต์ ใน​ปี​ที่​สี่​ที่​ซา‍โล‍มอน​ทรง​ครอง​อิส‍รา‍เอล ใน​เดือน​ศิฟ​ซึ่ง​เป็น​เดือน​ที่​สอง พระ‌องค์​ทรง​เริ่ม​สร้าง​พระ‌นิเวศ​ของ​พระ‌ยาห์‍เวห์

  (In the four hundred and eightieth year after the people of Israel came out of the land of Egypt,  In the fourth year of Solomon’s reign over Israel, in the month of Ziv, which is the second month,  He began to build the house of the Lord. )

6:2 “พระ‌นิเวศ​ซึ่ง​พระ‌ราชา​ซา‍โล‍มอน​ทรง​สร้าง​สำ‍หรับ​พระ‌ยาห์‍เวห์​นั้น​ยาว 27 เมตร กว้าง 9 เมตร​และ​สูง 13.5  เมตร

 (The house that King Solomon built for the Lord was sixty cubits long, twenty cubits wide, and  thirty cubits high.)

6:3 “เฉลียง​หน้า​ห้อง‌โถง​ของ​พระ‌นิเวศ​นั้น​ยาว 9 เมตร เท่า‌กับ​ด้าน​กว้าง​ของ​พระ‌นิเวศ และ​ลึก​เข้า​ไป​หน้า​พระ‌นิเวศ   4.5 เมตร”

 (The vestibule in front of the nave of the house was twenty cubits long, equal to the width of the house, and ten cubits deep in front of the house.)

6:4 “และ​พระ‌องค์​ทรง​สร้าง​หน้า‌ต่าง​สำ‍หรับ​พระ‌นิเวศ โดย​ให้​ข้าง‌ใน​กว้าง​และ​ข้าง‌นอก​แคบ”​

     (And he made for the house windows with recessed frames.)

6:5 “พระ‌องค์​ทรง​สร้าง​ห้อง​ระเบียง​ติด​ผนัง​พระ‌นิเวศ​โดยรอบ​ห้อง‌โถง​และ​ห้อง‌ชั้น​ใน​สุด”​

  (He also built a structure against the wall of the house, running around the walls of the house,  both the nave and the inner sanctuary. And he made side chambers all around.)

6:6 “โดย ​ห้อง​ชั้น​ล่าง​สุด​กว้าง 2.2 เมตร ชั้น​กลาง​กว้าง 2.7 เมตร และ​ชั้น​ที่​สาม​กว้าง 3.1 เมตร เพราะ​รอบ​ด้าน​ นอก​ของ​พระ‌นิเวศ พระ‌องค์​ทรง​สร้าง​ขอบ​ยื่น​ออก​มา​จาก​ผนัง เพื่อ​คาน‌หนุน​จะ​ไม่‌ได้​ทะลวง​เข้า​ไป​ใน​ผนัง​พระ‌นิเวศ

 (The lowest story was five cubits broad, the middle one was six cubits broad, and the third was  seven cubits broad. For around the outside of the house he made offsets on the wall in order that the supporting beams should not be inserted into the walls of the house. )

6:7 “ขณะ ​กำ‍ลัง​ก่อ​สร้าง พระ‌นิเวศ​นั้น​ก็​สร้าง​ด้วย​ศิลา ซึ่ง​เตรียม​มา​จาก​บ่อ​ศิลา เพราะ​ฉะ‍นั้น​จึง​ไม่‌ได้​ยิน​เสียง​ค้อน​หรือ​ขวาน หรือ​เครื่อง​มือ​เหล็ก​ใดๆ ใน​พระ‌นิเวศ ขณะ​ทำ​การ​ก่อ‌สร้าง

 (When the house was built, it was with stone prepared at the quarry, so that neither hammer nor  axe nor any tool of iron was heard in the house while it was being built. )

6:8 “ทาง‌เข้า​ห้อง​ชั้น‌กลาง​อยู่​ด้าน​ขวา​ของ​พระ‌นิเวศ และ​คน​ขึ้น​ไป​ยัง​ห้อง​ชั้น​กลาง​ทาง​บัน‍ได​เวียน และ​ขึ้น​จาก​ห้อง​ชั้น​กลาง​ไป​ห้อง​ชั้น​ที่​สาม

  (The entrance for the lowest story was on the south side of the house, and one went up by stairs to the middle story, and from the middle story to the third.)

6:9 “พระ‌องค์​ทรง​สร้าง​พระ‌นิเวศ​จน​เสร็จ และ​ทรง​มุง​พระ‌นิเวศ​ด้วย​ไม้‌คร่าว​และ​กระ‍ดาน​ไม้‌สน​สี‍ดาร์”

     (So he built the house and finished it, and he made the ceiling of the house of beams and planks of cedar.

6:10 “พระ‌องค์​ทรง​สร้าง​ห้อง​รอบ​พระ‌นิเวศ​สูง 2.2 เมตร โดย​เชื่อม​ติด​กับ​ตัว​พระ‌นิเวศ​ด้วย​กระ‍ดาน​ไม้‌สน​สี‍ดาร์”

    (He built the structure against the whole house, five cubits high, and it was joined to the house  with timbers of cedar. )

6:11 “และ​พระ‌วจนะ​ของ​พระ‌ยาห์‍เวห์​มา​ถึง​ซา‍โล‍มอน​ว่า”

      (Now the word of the Lord came to Solomon,)

6:12 “เกี่ยว​ด้วย​พระ‌นิเวศ​นี้​ซึ่ง​เจ้า​สร้าง​อยู่ ถ้า​เจ้า​ดำ‍เนิน​ตาม​กฎ‌เกณฑ์​ของ​เราและ​เชื่อ​ฟัง​กฎ‌หมาย​ของ​เราและ​รักษา​บัญ‍ญัติ​ทั้ง‌สิ้น​ของ​เรา โดย​ดำ‍เนิน​ตาม เรา​ก็​จะ​สถา‍ปนา​ถ้อย‌คำ​ของ​เรา​กับ​เจ้า ซึ่ง​เรา​พูด​กับ​ดา‍วิด​บิดา​ของ​เจ้า

  “Concerning this house that you are building, if you will walk in my statutes and obey my rules and  keep all my commandments and walk in them, then I will establish my word with you, which I  spoke to David your father.)

6:13 “และ​เรา​จะ​อยู่​ท่ามกลาง​พงศ์‌พันธุ์​อิส‍รา‍เอล และ​จะ​ไม่​ทอด‌ทิ้ง​อิส‍รา‍เอล​ประ‍ชา‍กร​ของ​เรา​เลย”

      (And I will dwell among the children of Israel and will not forsake my people Israel.”)

6:14 “ซา‍โล‍มอน​ได้​ทรง​สร้าง​พระ‌นิเวศ​สำ‍เร็จ”

      (So Solomon built the house and finished it. )

6:15 “พระ‌องค์ ​ทรง​กรุ​ผนัง​ข้าง‌ใน​ด้วย​กระ‍ดาน​ไม้‌สน​สี‍ดาร์ ตั้ง‌แต่​พื้น​พระ‌นิเวศ​จน​ถึง​ไม้​เพ‍ดาน พระ‌องค์​ทรง​กรุ​ข้าง‌ใน​ด้วย​ไม้ และ​พระ‌องค์​ทรง​ปู​ปิด​พื้น​พระ‌นิเวศ​ด้วย​ไม้‌สน​สาม‌ใบ

   (He lined the walls of the house on the inside with boards of cedar. From the floor of the house  to the walls of the ceiling, he covered them on the inside with wood, and he covered the floor of the house with boards of cypress. )

6:16 “พระ‌องค์​ทรง​สร้าง​ด้าน‌หลัง​ของ​พระ‌นิเวศ ด้วย​กระ‍ดาน​ไม้‌สน​สี‍ดาร์​จาก​พื้น​ถึง​ไม้​เพ‍ดาน​สูง 9 เมตร และ​พระ‌องค์​ทรง​สร้าง​ห้อง​นี้​ภาย‌ใน​ให้​เป็น​ห้อง‌ชั้น​ใน​สุด คือ​อภิ‍สุทธิ‍สถาน

   (He built twenty cubits of the rear of the house with boards of cedar from the floor to the walls,  and he built this within as an inner sanctuary, as the Most Holy Place.)

6:17 “ตัว​พระ‌นิเวศ​คือ​ห้อง‌โถง​ซึ่ง​อยู่​ส่วน​หน้าห้อง‌ชั้น​ใน​สุด​นั้น​ยาว 18 เมตร”

       (The house, that is, the nave in front of the inner sanctuary, was forty cubits long.)

6:18 “ส่วน​ข้าง‌ใน​พระ‌นิเวศ​ที่​เป็น​ไม้‌สน​สี‍ดาร์​นั้น​แกะ​เป็น​รูป​น้ำ‌เต้า และ​ดอก‌ไม้​บานทั้ง‌หมด​เป็น​ไม้‌สน​สี‍ดาร์ใน​ที่‌นั่น​ แล​ไม่​เห็น​หิน​เลย

       (The cedar within the house was carved in the form of gourds and open flowers. All was cedar; no stone was seen.)

6:19 “พระ‌องค์​ทรง​จัด​เตรียม​ห้อง‌ชั้น​ใน​สุด​ไว้​ข้าง‌ใน​พระ‌นิเวศ เพื่อ​จะ​วาง​หีบ​พันธ‍สัญญา​ของ​พระ‌ยาห์‍เวห์​ไว้​ที่‌นั่น”

       (The inner sanctuary he prepared in the innermost part of the house, to set there the ark of the  covenant of the Lord. )

6:20 “ห้อง‌ชั้น ​ใน​สุด​นั้น​ยาว 9 เมตร กว้าง 9 เมตร และ​สูง 9 เมตร และ​พระ‌องค์​ทรง​บุ​ที่​นั่น​ด้วย​ทอง‍คำ​บริ‍สุทธิ์ พระ‌องค์​ทรง​บุ​แท่น‌บูชา​ด้วย​ไม้‌สน​สี‍ดาร์​ด้วย

       (The inner sanctuary was twenty cubits long, twenty cubits wide, and twenty cubits high, and he overlaid it with pure gold. He also overlaid an altar of cedar.)

6:21 “และ ​ซา‍โล‍มอน​ทรง​บุ​ข้าง‌ใน​พระ‌นิเวศ​ด้วย​ทอง‍คำ​บริ‍สุทธิ์ และ​พระ‌องค์​ทรง​ขึง​โซ่​ทอง‍คำ​หน้า​ห้อง‌ชั้น​ใน​สุด ซึ่ง​บุ​ด้วย​ทอง‍คำ

    (And Solomon overlaid the inside of the house with pure gold, and he drew chains of gold  across, in front of the inner sanctuary, and overlaid it with gold. )

6:22 “และ ​พระ‌องค์​ทรง​บุ​พระ‌นิเวศ​ทั้ง​หลัง​ด้วย​ทอง‍คำ จน​พระ‌นิเวศ​นั้น​สำ‍เร็จ​ทั้ง‌สิ้น พระ‌องค์​ก็​ทรง​บุ​แท่น‌บูชา​ทั้ง​แท่น​ที่​เป็น​ของ​ห้อง‌ชั้น​ใน​สุด​ ด้วย​ทอง‍คำ

    (And he overlaid the whole house with gold, until all the house was finished. Also the whole altar that belonged to the inner sanctuary he overlaid with gold. )

6:23 “ใน​ห้อง‌ชั้น​ใน​สุด พระ‌องค์​ทรง​สร้าง​เค‍รูบ​สอง​รูป​ด้วย​ไม้​มะ‌กอก แต่​ละ​ตัว​สูง 4.5 เมตร”

       (In the inner sanctuary he made two cherubim of olivewood, each ten cubits high. )

6:24 “ปีก ​ข้าง‌หนึ่ง​ของ​เค‍รูบ​ยาว 2.25 เมตร ปีก​อีก​ข้าง‌หนึ่ง​ของ​เค‍รูบ​ยาว 2.25 เมตร จาก​ปลาย​ปีก​ข้าง‌หนึ่ง​ไป​ถึง​ปลาย​ปีก​อีก​ข้าง‌หนึ่ง​ยาว 4.5 เมตร”

     (Five cubits was the length of one wing of the cherub, and five cubits the length of the other wing of the cherub; it was ten cubits from the tip of one wing to the tip of the other.)

6:25 “เค‍รูบ​อีก​รูป​หนึ่ง​ก็​วัด​ได้ 4.5 เมตร​ด้วย เค‍รูบ​ทั้ง​สอง​มี​ขนาด​เท่า​กัน และ​รูป​อย่าง‌เดียว​กัน”

       (The other cherub also measured ten cubits; both cherubim had the same measure and the  same form. )

6:26 “ความ‌สูง​ของ​เค‍รูบ​รูป​หนึ่ง​เป็น 4.5 เมตร และ​เค‍รูบ​อีก​รูป​หนึ่ง​ก็​เหมือน‌กัน”

      (The height of one cherub was ten cubits, and so was that of the other cherub. )

6:27 “พระ‌องค์ ​ทรง​วาง​เค‍รูบ​ไว้​ใน​ส่วน​ชั้น​ใน​ที่‌สุด​ของ​พระ‌นิเวศ ปีก​ของ​เค‍รูบ​นั้น​กาง​ออก​เพื่อ​ให้​ปีก​หนึ่ง​จด​ผนัง​ข้าง‌หนึ่ง และ​ปีก​ของ​เค‍รูบ​อีก​รูป‌หนึ่ง​จด​ผนัง​อีก​ข้าง‌หนึ่ง ส่วน​ปีก​ข้าง​อื่น​ก็​มา​จด​กัน​ตรง‌กลาง​พระ‌นิเวศ

   (He put the cherubim in the innermost part of the house. And the wings of the cherubim were  spread out so that a wing of one touched the one wall, and a wing of the other cherub touched  the other wall; their other wings touched each other in the middle of the house. )

6:28 “และ​พระ‌องค์​ทรง​บุ​เค‍รูบ​ด้วย​ทอง‍คำ”

      (And he overlaid the cherubim with gold.)

6:29 “พระ‌องค์ ​ทรง​สลัก​ผนัง​ของ​พระ‌นิเวศ​นั้น​โดย​รอบ ด้วย​รูป​แกะ‌สลัก​เป็น​รูป​เค‍รูบ ต้น​อิน‍ท‍ผลัม และ​ดอก‌ไม้​บาน ทั้ง​ห้อง​ข้าง‌ใน​และ​ห้อง​ข้าง‌นอก

      (Around all the walls of the house he carved engraved figures of cherubim and palm trees and open flowers, in the inner and outer rooms.)

6:30 “พื้น​ของ​พระ‌นิเวศ​นั้น พระ‌องค์​ทรง​บุ​ด้วย​ทอง‍คำ​ทั้ง​ข้าง‌ใน​และ​ข้าง‌นอก”

       (The floor of the house he overlaid with gold in the inner and outer rooms.)

6:31 “สำ‍หรับ​ทาง​เข้า​สู่​ห้อง‌ชั้น​ใน​สุด พระ‌องค์​ทรง​ทำ​บาน​ประ‍ตู​คู่​ด้วย​ไม้‌มะ‍กอก กรอบ​ประ‍ตู​เป็น​รูป​ห้า​เหลี่ยม”

     (For the entrance to the inner sanctuary he made doors of olivewood; the lintel and the  doorposts were five-sided. )

6:32 “บาน ​ประ‍ตู​ทั้ง​คู่​ทรง​ทำ​ด้วย​ไม้‌มะ‍กอก​แกะ​สลัก​เป็น​รูป​เค‍รูบ ต้น​อิน‍ท‍ผลัม และ​ดอก‌ไม้​บาน ทรง​บุ​บาน​ประตู​ ด้วย​ทอง‍คำ ทรง​แผ่​ทอง‍คำ​หุ้ม​เค‍รูบ​และ​หุ้ม​ต้น​อิน‍ท‍ผลัม

   (He covered the two doors of olivewood with carvings of cherubim, palm trees, and open  flowers. He overlaid them with gold and spread gold on the cherubim and on the palm trees. )

6:33 “พระ‌องค์​ทรง​ทำ​วง‌กบ​ประ‍ตู​ทาง​เข้า​ห้อง​โถง​ด้วย​ไม้​มะ‍กอก​เป็น​รูป​สี่‌เหลี่ยม”

       (So also he made for the entrance to the nave doorposts of olivewood, in the form of a square,)  

6:34 “และ ​ทรง​ทำ​ประ‍ตู​สอง​ประ‍ตู​ด้วย​ไม้‌สน​สาม‌ใบ บาน​ประ‍ตู​สอง​บาน​ของ​ประ‍ตู​หนึ่ง​พับ​หา​กัน​ได้ และ​อีก​สอง​บาน​ของ​อีก​ประ‍ตู​หนึ่ง​ก็​พับ​ได้​เช่น‌กัน

   (and two doors of cypress wood. The two leaves of the one door were folding, and the two leaves of the other door were folding. )

6:35 “พระ‌องค์ ​ทรง​แกะ‌สลัก​เค‍รูบ ต้น​อิน‍ท‍ผลัม และ​ดอก‌ไม้​บาน​บน​บาน​ประ‍ตู​นั้น และ​ทรง​บุ​ด้วย​ทอง‍คำ​สม่ำ‌เสมอ​กัน​บน​งาน​แกะ‌สลัก​นั้น

   (On them he carved cherubim and palm trees and open flowers, and he overlaid them with gold  evenly applied on the carved work. )

6:36 “พระ‌องค์​ทรง​สร้าง​ลาน​ชั้น​ใน​ด้วย​กำ‍แพง​หิน​สกัด​สาม​ชั้น และ​ด้วย​ไม้‌สน​สี‍ดาร์​หนึ่ง​ชั้น”

      (He built the inner court with three courses of cut stone and one course of cedar beams. )

6:37 “ใน​ปี​ที่​สี่ เดือน​ศิฟ พระ‌นิเวศ​ของ​พระ‌ยาห์‍เวห์​ก็​ถูก​วาง​รากฐาน”

        (In the fourth year the foundation of the house of the Lord was laid, in the month of Ziv. )

6:38 “และ​ใน​ปี​ที่​สิบ‌เอ็ด ใน​เดือน​บูล ซึ่ง​เป็น​เดือน​ที่​แปด พระ‌นิเวศ​นั้น​ก็​สำ‍เร็จ​หมด​ทุก​ส่วน ตาม​ที่​กำ‍หนด​ไว้​ทุก​อย่าง  พระ‌องค์​ทรง​สร้าง​พระ‌นิเวศ​นั้น​เจ็ด​ปี

     (And in the eleventh year, in the month of Bul, which is the eighth month, the house was finished   in all its parts, and according to all its specifications. He was seven years in building it. )

ข้อมูลมีประโยชน์

6:1       “ปีที่สี่ร้อยแปดสิบ…” (four hundred and eightieth year)= “ปีที่สี่ที่ซาโลมอนทรงครองอิสราเอล”

(in the fourth year of Solomon’s reign over Israel, ) -จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ทำให้ระบุได้ว่า “ปีที่ 4” ของรัชกาลซาโลมอนตรงกับปี 966 ก.ค.ศ.

-ถ้าการอพยพของอิสราเอลเกิดขึ้น 480 ปีก่อน ปี 966 ก.ค.ศ. ก็จะตรงกับช่วงรัชกาลฟาโรห์อามุนโฮเทปที่ 2 แห่งราชวงศ์ลำดับที่ 18 ของอียิปต์   = 1446 ปีก่อนคริสตศักราช (แต่คำว่าปีที่ 480 นี้อาจเป็นเพียงตัวเลขคร่าวๆ หมายถึงคน 12 รุ่นคูณด้วยระยะเวลารุ่นละ 40 ปีตามประเพณีนิยม)

6:2       “พระนิเวศซึ่งพระราชาซาโลมอนทรงสร้าง” (The house that King Solomon built) = สร้างขึ้นตามแบบของพลับพลา ถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ คือ อภิสุทธิสถาน วิสุทธิสถาน และลานด้านนอกอภิสุทธิสถาน มีรูปทรงเป็นลูกบาศก์ สัดส่วนของพระวิหารนั้นเป็นสองเท่าของพลับพลา(อพย.26:15-30;36:20-34)

6:6       “สร้างขอบยื่นออกมาจากผนัง” (made offsets on the wall in order that the supporting beams should not be inserted into the walls of the house.)= ผนังด้านนอกพระวิหารจะหยักเข้าเป็นบ่าเพื่อไม่ให้คานยื่นเข้าไปในผนังพระวิหาร

= เพื่อหลีกเลี่ยงการเจาะรูที่ผนังพระวิหาร จึงมีการสร้างบ่าเพื่อลองรับคานของห้องด้านข้างทั้ง 3 ชั้น การทำเช่นนั้นทำให้ความกว้างของห้องชั้นในแต่ละชั้นไม่เท่ากัน

6:8       “ทางเข้าห้องชั้นกลาง” (stairs to the middle story)= ในภาษาฮีบรูเรียกว่า “ชั้นที่ 2”

6:11     “…พระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงซาโลมอนว่า” (Now the word of the Lord came to Solomon,)

= เมื่อสร้างพระวิหารใกล้เสร็จสิ้น พระเจ้าตรัสกับซาโลมอน ซึ่งอาจตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะที่ไม่ทราบชื่อ (ปท. 3:5,11-14;9:2-9)

6:12     “ถ้าเจ้าดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา…เราก็จะสถาปนาถ้อยคำของเรากับเจ้า” (    if you will walk in my statutes ……. I will establish my word with you,) = คล้ายกับที่ดาวิดได้กล่าวไว้ (2:1-4) –พระเจ้ายืนยันกับซาโลมอนว่า วงศ์วานของท่านจะยืนยง (2ซมอ.7:12-16) แต่ท่านต้องสัตย์ซื่อต่อพันธสัญญาที่พระเจ้าประทานให้ที่ภูเขาซีนาย เพื่อพันธสัญญาที่พระองค์ประทานแก่ดาวิดจะสำเร็จ

6:13     “เราจะอยู่ท่ามกลางพงศ์พันธ์อิสราเอล” (I will dwell among the children of Israel) = พระเจ้าจะสถิตกับชนชาติอิสราเอลในพระวิหารที่กำลังสร้างอยู่ (9:3)  = พระเจ้าไม่ต้องการให้พวกอิสราเอลกังวล เกี่ยวกับการสถิตอยู่ของพระเจ้า พระองค์จึงย้ำว่า จะทรงสถิตอยู่ท่ามกลางพวกเขา (ปท.สดด.78:60;ยรม.26:6,9;1ซมอ.7:1;8:10-13;ลนต.26:11)

6:16     “อภิสุทธิสถาน” (Most Holy Place.) = ศัพท์เฉพาะที่ หมายถึง พื้นที่ในสุด ซึ่งใช้เก็บรักษาหีบพันธสัญญาในพลับพลา –อพย.26:33-34;ลนต.16:2,16-17,20,23

6:19     “หีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์” (ark of the covenant of the Lord.)-พระบัญญัติ 10 ประการถูกเรียกว่า “ข้อความแห่งพันธสัญญา”  -ใน อพยพ 34:28  -แผ่นหินที่จารึกพระบัญญัติ 10 ประการ ถูกเรียกว่า “แผ่นจารึกพันธสัญญา” (ฉธบ.9:9)

-หีบที่ใช้เก็บแผ่นศิลานี้ บางครั้งเรียกว่า “หีบพันธสัญญาแห่งพระยาห์เวห์” (ฉธบ.10:8;31:9,25;

ยชว.3:11; ปท. ยชว.3:13;อพย.30:6;31:7;1ซมอ.4:11,17,21;5;1)

6:20     “ทองคำบริสุทธิ์” (pure gold) = ซาโลมอนใช้ทองคำจำนวนมากเพื่อให้เป็นสัญลักษณ์แห่งพระสง่าราศีของพระเจ้า และพระวิหารของพระองค์ในสวรรค์ (วว.21:10-11,18,21)

6:21     “โซ่ทองคำ” (chains of gold across)= ม่านที่กั้นทางเข้าอภิสุทธิสถานคงแขวนอยู่บนโซ่เหล่านี้  -2พศด.3:14;มธ.27:51;ฮบ.6:19

6:22     “แท่นบูชา” (the whole altar)= แท่นเผ่าเครื่องหอม -7:48;อพย.30:1,6;37:25-28;ฮบ.9:3-4

6:23     “เครูบสองรูป” ( two cherubim) -อยพ.25:18= คล้ายกับตัวสฟิงซ์มีปีก

= สัญลักษณ์ของผู้ที่ทำหน้าที่ต้อนรับอยู่ ณ ที่ ๆ พระเจ้าทรงครองบัลลังก์ ในอาณาจักรของพระองค์ในโลกนี้ซึ่งอยู่ที่บนฝาหีบพันธสัญญา (ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของพระบัลลังก์ของพระเจ้า -1ซมอ.4:4;2ซมอ.6:2;2พกษ.19:15;สดด.99:1)

-การวางหีบพันธสัญญาของพระเจ้าที่มีเครูบนี้ไว้ในพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม  เป็นการประกาศว่า เยรูซาเล็มเป็นนครของพระเจ้าบนโลกนี้ (สดด.9:11)

-มีเครูบ 2 ตนบนหีบพันธสัญญาคือ ข้างละ 1 ตนบนปลายทั้ง  2 ด้านของพระที่นั่งกรุณา (อพย.25:17-22)

เครูบแต่ละตัวสูง 4.5 เมตร (10 ศอก มีปีกยาว 2.25 เมตร)  ส่วนอภิสุทธิสถานซึ่งเครูบตั้งอยู่นั้นสูง 9 เมตร (20 ศอก) –ข้อ 16

6:29     “รูปสลักเป็นรูปเครูบ” (carved engraved figures of cherubim)= ไม่ได้ละเมิดบัญญัติ 10 ประการ ที่ ห้ามสร้างรูปเคารพ หรือสิ่งใดเพื่อการนมัสการในฐานะเป็นพระเจ้าหรือตัวแทนของพระเจ้า (อพย.20:4)

“ต้นอินทผลัม และดอกไม้บาน” (palm trees and open flowers, ) = เป็นภาพของเครูบและต้นไม้ดอกที่งดงามราวกับสวนเอเดนที่อาดัมและเอวาเคยอยู่ก่อนถูกขับออกมา เนื่องจากทำบาป (ปฐก.3:24)

= เป็นสัญลักษณ์เพื่อบ่งบอกว่า การจะกลับสู่เมืองบรมสุขเกษม (เอเดน) อีกครั้งจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อมีการชำระบาปในสถานศักดิ์สิทธิ์อย่างในพระวิหารเท่านั้น (อพย.26:1)

-ต่อมาในธรรมศาลาของชาวยิวในยุคแรก ๆ ก็มีการประดับประดาในรูปแบบคล้าย ๆ กัน

6:36     “ลานชั้นใน” (inner= บ่งเป็นนัยว่ามีลานชั้นนอก (8:64) ใน 2พศด.4:9 อ้างถึง “ลานของปุโรหิต” (ชั้นใน) และ ลานใหญ่ (ชั้นนอก) ลานชั้นในยังเรียกว่า ลานด้านบน (ยรม.36:10) เพราะอยู่ในพระวิหารซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่ตั้งบนเนินที่สูงกว่า

6:37     “ปีที่สี่เดือนศิฟ” (fourth year the foundation of the house of the Lord was laid, in the month of Ziv)

“ปีที่สี่” = ปีที่ 4 ในรัชกาลของกษัตริย์ซาโลมอน

          “ศิฟ” = เดือนที่ 2 ตามปฏิทินของอิสราเอล (ประมาณกลางเมษายน – กลางพฤษภาคม)

6:38     “ปีที่สิบเอ็ดในเดือนบลู” (the eleventh year, in the month of Bul,)

          “ปีที่สิบเอ็ด” = ในรัชกาลของกษัตริย์ซาโลมอน (ปี 959 ก่อนคริสตศักราช)

“บลู” = เดือนที่ 8 ตามปฏิทินของชาวอิสราเอล (ประมาณกลางตุลาคม – กลางพฤศจิกายน)

คำถามนำอภิปราย

  1. เมื่อคุณอ่านพระธรรม  1พงษ์กษัตริย์บทที่ 6 จบลง ความประทับใจแรกเกิดจากการอ่านหรือฟังพระธรรมตอนนี้คืออะไร ขอแบ่งปัน?
  2. คุณเคยทำงานชิ้นใดและให้แก่ใครที่ประณีตที่สุด (และคุณภูมิใจมากที่สุด?) ในชีวิตของคุณ? อย่างไร?
  3. พระเจ้าตรัสสัญญาเกี่ยวกับวิหารที่ซาโลมอนสร้างถวายแด่พระองค์ว่าอย่างไรบ้าง? สิ่งที่พระองค์ตรัสนั้นเตือนสติอะไรคุณบ้าง?
  4. คุณเคยมีประสบการณ์กับความทุกข์ยากลำบากหรือเผชิญกับปัญหาหนักหนาสาหัส แต่คุณกลับรู้สึกมั่นใจว่าพระเจ้าสถิตอยู่กบคุณจริง ๆ และไม่ได้ทอดทิ้งคุณเลยบ้างหรือไม่? เมื่อไร?  และอย่างไร?
  5. คุณมีอะไรบ้างที่เป็นสิ่งก่อสร้าง(หรือปฏิมากรรม)ที่คุณสร้างหรือมีครอบครองอยู่ที่อาจเข้าข่ายรูปเคารพ     แต่ไม่ใช่บ้างหรือไม่?  (อย่างเช่น รุปเครูบ) และคุณมีไว้เพื่ออะไร?  มีคนสะดุดหรือไม่?  อย่างไร?
  6. คุณได้ข้อคิด (ที่มีความหมายต่อจิตวิญญาณของคุณ) อะไรจากวิหารหรือกระบวนการก่อสร้างวิหารของซาโลมอนในครั้งนี้บ้าง?

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทที่ 8)

อภิมหาโปรเจ็ค

 

พระธรรม        1พงษ์กษัตริย์ 5:1-18

อ้างอิง               2พศด.2:1-18;2ซมอ.5:11;7:13;1พศด.22:8-9;28:3;1พกษ.10:9;5:11;4:6;3:12;ปฐก.49:15

บทนำ           บางครั้งเจตนาดีที่เรามีให้กับพระเจ้าอาจสร้างความยากลำบากให้แก่คนจำนวนมากมาย

เราจึงต้องระมัดระวังในการทำดีใด ๆ ที่อาจนำภาระหนักมาวางบนบ่าของผู้หนึ่งผู้ใด หรือนำความเจ็บปวด

มาสู่คนเหล่านั้นอย่างไม่สมควร!

บทเรียน

5:1 “ฮีรามกษัตริย์เมืองไทระได้ส่งข้าราชการของท่านมาเฝ้าซาโลมอน เมื่อท่านได้ยินว่า เขาได้เจิมตั้งพระองค์ไว้แทนพระราชบิดาของพระองค์ เพราะฮีรามเป็นสหายของดาวิดอยู่เสมอ

      (Now Hiram king of Tyre sent his servants to Solomon when he heard that they had anointed him  king in place of his father, for Hiram always loved David. )

5:2 “และซาโลมอนได้ส่งพระดำรัสไปยังฮีรามว่า

           (And Solomon sent word to Hiram, )

5:3 “ท่าน คงทราบอยู่แล้วว่า ดาวิดพระราชบิดาของเราไม่ทรงสามารถสร้างพระนิเวศ สำหรับพระนามของ​พระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ได้ เพราะสงครามล้อมรอบพระองค์อยู่ จนกว่าพระยาห์เวห์จะทรงปราบศัตรูให้อยู่ใต้ฝ่าพระบาทของ พระองค์

     (“You know that David my father could not build a house for the name of the Lord his God because of the warfare with which his enemies surrounded him, until the Lord put them under the soles of his feet. )

5:4 “แต่บัดนี้พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้าทรงให้ข้าพเจ้าได้หยุดพักรอบด้านปฏิปักษ์หรือเหตุร้ายก็ไม่มี

     (But now the Lord my God has given me rest on every side. There is neither adversary nor  misfortune. )

5:5 “ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงประสงค์จะสร้างพระนิเวศสำหรับพระนามของพระยา ห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้า ดังที่​พระยาห์เวห์ได้ตรัสไว้กับดาวิดพระราชบิดาของข้าพเจ้าว่า ‘บุตรชายของเจ้า ผู้ที่เราจะตั้งไว้บนบัลลังก์แทนเจ้าจะสร้างพระนิเวศสำหรับนามของเรา’”

 (And so I intend to build a house for the name of the Lord my God, as the Lord said to David my father,”Your son, whom I will set on your throne in your place, shall build the house for my name.”)

5:6 “ฉะนั้น บัดนี้ขอท่านสั่งให้ตัดไม้สนสีดาร์จากเลบานอนเพื่อข้าพเจ้า และข้าราชการของข้าพเจ้าจะสมทบกับข้าราชการของท่าน ข้าพเจ้าจะมอบเงินค่าจ้างข้าราชการของท่านแก่ท่านตามที่ ท่านตั้งไว้ เพราะท่านทราบแล้ว​ว่าท่ามกลางเรานี้ไม่มีใครรู้จักตัดไม้เหมือนชาวไซดอน

     (Now therefore command that cedars of Lebanon be cut for me. And my servants will join your servants, and I will pay you for your servants such wages as you set, for you know that there is no one among us who knows how to cut timber like the Sidonians.” )

5:7 “ต่อ มาเมื่อฮีรามได้ยินพระดำรัสของซาโลมอน ท่านก็ชื่นชมยินดียิ่งนักและว่า “สาธุการแด่พระยาห์เวห์ในวันนี้ ผู้ประทานบุตรชายที่มีปัญญาคนหนึ่งแก่ดาวิด ให้อยู่เหนือชนชาติใหญ่นี้

  (As soon as Hiram heard the words of Solomon, he rejoiced greatly and said, “Blessed be the Lord this day, who has given to David a wise son to be over this great people.” )

5:8 “และ ฮีรามก็ใช้คนไปยังซาโลมอน ทูลว่า “ข้าพเจ้าทราบข่าวที่ท่านส่งไปยังข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าพร้อมจะทำตามที่ท่านปรารถนาในเรื่องไม้สนสีดาร์ และไม้สนสามใบ

 (And Hiram sent to Solomon, saying, “I have heard the message that you have sent to me. I am  ready to do all you desire in the matter of cedar and cypress timber. )

5:9 “ข้า ราชการของข้าพเจ้าจะนำไม้ลงมาจากเลบานอนถึงทะเล และข้าพเจ้าจะผูกแพล่องมาตามทะเลถึงที่ที่ท่านจะกำหนดให้ และข้าพเจ้าจะให้พวกเขาแก้แพที่นั่น ขอท่านมารับเอา และขอท่านส่งเสบียงอาหารแก่วังของข้าพเจ้า นี่ก็สมประสงค์ข้าพเจ้าแล้ว

     (My servants shall bring it down to the sea from Lebanon, and I will make it into rafts to go by sea  to the place you direct. And I will have them broken up there, and you shall receive it. And you shall meet my wishes by providing food for my household.”)

5:10 “ฮีรามจึงได้จัดส่งไม้สนสีดาร์และไม้สนสามใบให้แก่ซาโลมอน ตามพระประสงค์ทุกประการ

       (So Hiram supplied Solomon with all the timber of cedar and cypress that he desired, )

5:11 “แล้วซาโลมอนได้ประทานข้าวสาลีให้เป็นอาหารแก่วังของฮีราม 2,000 ตัน และน้ำมันบริสุทธิ์ 4,000 ลิตร  ซาโลมอนประทานอย่างนี้แก่ฮีรามทุกปี

     (while Solomon gave Hiram 20,000 cors of wheat as food for his household, and 20,000 cors of  beaten oil. Solomon gave this to Hiram year by year. )

5:12 “และ พระยาห์เวห์ประทานสติปัญญาแก่ซาโลมอน ดังที่ทรงสัญญาไว้ และมีสันติภาพระหว่างฮีรามกับ​ ซาโลมอน และทั้งสองก็ทำสนธิสัญญากัน

  (And the Lord gave Solomon wisdom, as he promised him. And there was peace between Hiram         and Solomon, and the two of them made a treaty. )

 5:13 “พระราชาซาโลมอนทรงเกณฑ์คนงานโยธาจากอิสราเอลทั้งหมด คนที่ถูกเกณฑ์มีจำนวน 30,000 คน”

         (King Solomon drafted forced labor out of all Israel, and the draft numbered 30,000 men.)

5:14 “และ พระองค์ทรงใช้เขาทั้งหลายไปยังเลบานอน โดยผลัดเปลี่ยนเวรกัน ผลัดละ 10,000 คนต่อเดือน พวกเขาจะอยู่ที่เลบานอนเดือนหนึ่งและอยู่บ้านสองเดือน และอาโดนีรัมเป็นผู้ดูแลคนงานโยธา

  (And he sent them to Lebanon, 10,000 a month in shifts. They would be a month in Lebanon and  two months at home. Adoniram was in charge of the draft. )

5:15 “ซาโลมอนมีคนขนของหนัก 70,000 คน และคนสกัดหินในถิ่นเทือกเขา 80,000 คน”

         (Solomon also had 70,000 burden-bearers and 80,000 stonecutters in the hill country,)

5:16 “นอกจาก นี้ยังมีข้าราชการผู้ใหญ่ของซาโลมอนอีก 3,300 คน เป็นผู้ดูแลการงาน และเป็นหัวหน้าดูแล​ ประชาชนผู้ปฏิบัติงาน

    (besides Solomon’s 3,300 chief officers who were over the work, who had charge of the people  who carried on the work.)

5:17 “พระราชา ทรงบัญชา และเขาทั้งหลายได้สกัดก้อนหินใหญ่ล้ำค่าออกมา เพื่อวางรากฐานของพระนิเวศด้วยหินที่แต่งแล้ว

    (At the king’s command they quarried out great, costly stones in order to lay the foundation of the  house with dressed stones. )

5:18 “ดังนั้น คนงานก่อสร้างของซาโลมอน คนงานก่อสร้างของฮีราม และชาวเกบาลก็ตระเตรียมไม้และหินเพื่อสร้างพระนิเวศ

    (So Solomon’s builders and Hiram’s builders and the men of Gebal did the cutting and prepared the timber and the stone to build the house.)

ข้อมูลมีประโยชน์

5:1       “ฮีรามกษัตริย์เมืองไทระ” (Hiram king of Tyre) –ฮีรามปกครองไทระประมาณ ปี ค.ศ. 978-944 ก่อน ค.ศ.      -ท่านอาจร่วมปกครอง (ร่วมสำเร็จราชการ) กับอาบีบาอัล ราชบิดา ตั้งแต่ปี 993  ก.ค.ศ.

-ท่านได้จัดสรรไม้และคนงานสำหรับก่อสร้างพระราชวังของดาวิดไว้ตั้งแต่ก่อนซาโลมอนเกิด (2ซมอ.5:11)

5:3       “ไม่ทรงสามารถสร้างพระนิเวศ” (not build a house) –แม้ดาวิดไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้สร้างพระวิหาร แต่ท่านก็วางแผนและจัดเตรียมวัสดุปกรณ์ก่อสร้างไว้ให้ (1พศด.22:2-5;28:2; ปท. สดด.30; 2ซมอ.7:5)

5:3       “เพราะสงครามล้อมรอบพระองค์อยู่” (  because of the warfare with which his enemies surrounded him) = มีศึกติดพันรอบด้าน -1พศด.22:8;28:3

“ทรงปราบศัตรูให้อยู่ใต้ฝ่าพระบาทของพระองค์” (put them under the soles of his feet) -2ซมอ.22:40;สดด.8:6;110:1;มธ.22:44;1คร.15:25

5:4       “ได้หยุดพักรอบด้าน” (  rest on every side) = ได้พักสงบ นั่นคือ ไม่มีข้าศึกหรือภัยพิบัติประการใดเกิดขึ้น

= พระสัญญาของพระเจ้าต่อประชาชนของพระองค์ (อพย.33:14;ฉธบ.25:19;ยชว.1:13;15) และต่อดาวิด (2ซมอ.7:11) ได้ปรากฎขึ้นเป็นจริงในตอนนี้แล้ว    = ดังนั้น จึงทำให้ประชาชนมีอิสระที่จะทุ่มเททรัพยากรและกำลังเรี่ยวแรงในการก่อสร้างพระวิหารของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเขา!  -ยชว.14:15;1พศด.22:9;ลก.2:14

“ปรปักษ์หรือเหตุร้ายก็ไม่มี” (There is neither adversary nor misfortune.) = ไม่มีข้าศึกหรือภัยพิบัติประการใด -1พกษ.11:14,23

5:5       “ประสงค์จะสร้างพระนิเวศ” (intend to build a house) = ตั้งใจจะสร้างพระวิหาร -1ฉธบ.12:5; 1พศด.17:12;1คร.3:16;วว.21:22

“พระนามของพระยาห์เวห์” (name of the Lord my God )    -1คร.3:16;วว.21:22;3:2

“ดังที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสไว้กับดาวิดพระราชบิดาของข้าพเจ้า” (as the Lord said to David my father) -2ซมอ.7:12-13;1พศด.22:8-10

5:5       “สำหรับนามของเรา” (  for my name.) –ฉธบ.12:5;2ซมอ.7:13

5:6       “ขอท่านสั่ง” (therefore command) = คำขอร้องของซาโลมอนที่บันทึกรายละเอียดอยู่ใน  2พศด.2:3-10

“ไม้สนสีดาร์จากเลบานอน” (cedars of Lebanon) = เป็นไม้ที่ใช้อย่างกว้างขวางในตะวันออกกลางใกล้ยุคโบราณในการสร้างวิหารและพระราชวัง -1พศด.14:1;22:4

5:7       “สาธุการแก่พระยาห์เวห์” (“Blessed be the Lord) = เป็นเรื่องปกติที่คนชนชาติหนึ่งจะรู้จักพระเจ้าของอีกชนชาติหนึ่ง (10:9;11:5) รวมทั้งอาจยกย่องอำนาจของพระเหล่านั้นด้วย (2พกษ.18:25;2พศด.2:12)

5:9       “ผูกแพล่องมาตามทะเล”  (rafts to go by sea) = ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

“ที่ที่ท่านจะกำหนดให้” (to the place you direct. ) = สู่จุดมุ่งหมายตามที่ซาโลมอนกำหนด

= ที่ยัฟฟา -2พศด.2:16;1พกษ.13:1

“ส่งเสบียงอาหารแก่วังของข้าพเจ้า” (providing food for my household.) = ฮีรามบอกให้ซาโลมอนจ่ายค่าไม้สนสีดาร์เป็นอาหารสำหรับราชสำนักของท่านแทน  -1พกษ.5:11;อสค.27:17;กจ.12:20

แต่ซาโลมอนยังต้องจ่ายค่าจ้างของชาวฟินิเซีย (ข.6) ปท. ข้อ 11 กับ 2พศด.2:10 บอกว่า นอกจากข้าวสาลีและน้ำมันมะกอกเทศแล้ว ซาโลมอนยังส่งข้าวบาร์เลย์และเหล้าองุ่นสำหรับเป็นค่าแรงงาน  ฮีรามอาจขายเสบียงเหล่านี้บางส่วนเพื่อจ่ายคนงาน (9:11)

5:11     “ข้าวสาลี…2000 ตัน” (  20,000 cors of wheat) = ข้าว 4400 กิโลลิตร

ปท. กับที่ซาโลมอนได้รับแป้งละเอียด 2409 กิโลลิตร และแป้งขนม 4818 กิโลลิตรต่อปี

= ราชสำนักของซาโลมอนได้รับแป้งละเอียด 2409 กิโลลิตรและแป้งขนม 4818 กิโลลิตรต่อปี (4:22)

-การจ่ายข้าวสาลี 4400 กิโลลิตร และข้าวบาร์เลย์ อีก 4400 กิโลลิตร (2พศด.2:70) แก่ฮีรามน่าจะทำเป็นแป้งละเอียดและแป้งขนมได้ราว 5866 กิโลลิตร หรือน้อยกว่าที่ซาโลมินใช้ประมาณร้อยละ 20

                 “น้ำมันบริสุทธิ์ 4000 ลิตร” (20,000 cors of beaten oil. ) –สำเนาโบราณบางฉบับว่า 400,000 ลิตร  บางฉบับว่า = 440 กิโลลิตร

5:12     “พระยาห์เวห์ประทานสติปัญญาแก่ซาโลมอน” (Lord gave Solomon wisdom) -1พกษ.3:12

5:13     “เกณฑ์” (drafted forced) = เกณฑ์แรงงาน -9:15;2ซมอ.20:24

-ประชาชนไม่พอใจกับการกดขี่เกณฑ์แรงงานเช่นนั้น ต่อมาจึงได้กบฎและแบ่งแยกดินแดนเป็น 2 ส่วนในทันที่ที่ซาโลมอนสิ้นพระชนม์ (12:1-18)

5:15     “มีคนขนของหนัก 70000 คน (  had 70,000 burden-bearers) และคนสกัดหินในถิ่นเทือกเขา 80,000คน (and 80,000 stonecutters in the hill country)  -มีกรรมกรแบกหาม 70,000 คน และช่างสกัดหิน 80,000 คน ที่เกณฑ์มาจากคนต่างชาติที่ดาวิดเคยกำราบและนำเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร (2พศด.2:18-18)

5:16     “ข้าราชการผู้ใหญ่ของซาโลมอนอีก 3300” (3,300 chief officers who were over the work)

–ในบางฉบับแปลว่า “หัวหน้าคนงาน” 3300  คน ใน 1พกษ.9:23 กล่าวถึง เจ้าหน้าที่ 500 คน ถ้าทั้ง 2 เป็นหัวหน้าคนงานคนละประเภทหรือคนละตำแหน่ง ยอดรวมจะเท่ากับ 3850 คน

-ใน 2พศด.2:2 ระบุหัวหน้าคนงาน 3,600 คน และใน 2 พศด.8:10 กล่าวถึงหัวหน้าข้าราชการ 250 คน ซึ่งรวมกันเป็น 3850 ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมดูแล

5:17     “สกัดก้อนหินใหญ่ล้ำค่า”  (costly stones) = หินก้อนมหึมาที่คัดสรรมาแล้ว ขนาดหินปรากฎใน 7:10 -การเคลื่อนย้ายหินเหล่านี้มายังกรุงเยรูซาเล็มต้องใช้แรงงานคนจำนวนมาก

5:18     “ชาวเกบาล” (men of Geba) = ผู้คนที่มาจากเกบาล (อสค.27:9)

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยได้รับการอุปการะเกื้อหนุนโดยสหายของบิดา(หรือญาติผู้ใหญ่)ของคุณบ้างหรือไม่?  เขาเป็นใคร? ในเรื่องอะไร? และอย่างไร?
  2. คุณ(หรือครอบครัวหรือคริสตจักร) เคยมีโครงการใดที่คิดจะกระทำแต่ต้องเลื่อนออกไปอยู่นานเพราะมีอุปสรรคหรือปัญหาถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่องบ้างหรือไม่?  (แบ่งปัน)
  3. คุณเคยมีช่วงเวลาใดในชีวิตที่เหมือนกับได้หยุดพักสงบอย่างยาวนานบ้าง? อย่างไร? (แบ่งปัน)
  4. คุณเคยคิดจะกระทำสิ่งใดที่เป็นโครงการใหญ่ถวายพระเจ้าบ้างหรือไม่?  คืออะไร?  อย่างไร?  และผลสุดท้ายได้ทำหรือไม่? ผลลัพธ์เป็นอย่างไร?
  5. คุณเคยทำโครงการหรือพันธกิจอะไรที่ต้องใช้ทุนและคนจำนวนมาก? แล้วผลที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไรบ้าง?
  6. คุณหรือบุคคลใดเคยได้รับผลกระทบในเชิงลบจากพันธกิจหรือโครงการที่คุณคิดว่าดีบ้างหรือไม่?  อย่างไร? และทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
  7. คุณคิดว่า จากชีวิตของคุณที่ผ่านมา มีสิ่งใดหรือโครงการใด

1)      ที่คุณคิดว่าพระเจ้าทรงได้รับเกียรติจากคุณมากที่สุด?

2)      ที่คุณคิดว่าพระเจ้าทรงเสียพระทัยจากสิ่งที่คุณทำมากที่สุด?  ทำไม

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทที่ 7)

อภิมหากษัตริย์แห่งยุค!

พระธรรม       1พงษ์กษัตริย์ 4:1-34

อ้างอิง             1:8;4:27;10:5;1พกษ.12:6;3:12;2พกษ.15:16;12;1พศด.6:10,68;22:8-9;2พศด.26:17;9:26,23

บทนำ              กษัตริย์ซาโลมอนเป็นกษัตริย์ที่อยู่ในจังหวะที่ดี จึงรุ่งโรจน์และได้รับสติปัญญามาจากพระเจ้าเป็นของขวัญ ทำให้พระองค์มั่งคั่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ จนผู้คนต่างหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศเพื่อขอรับฟังสติปัญญาของซาโลมอน

บทเรียน

4:1 “พระราชาซาโลมอนเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอลทั้งสิ้น

     (King Solomon was king over all Israel,)

4:2 “ต่อไปนี้เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของพระองค์ คือ อาซาริยาห์บุตรศาโดกเป็นปุโรหิต

      (and these were his high officials: Azariah the son of Zadok was the priest;)

4:3 “เอลีโฮเรฟและอาหิยาห์บุตรชิชาเป็นราชเลขา เยโฮชาฟัทบุตรอาหิลูดเป็นเจ้ากรมสารบรรณ

(Elihoreph and Ahijah the sons of Shisha were secretaries; Jehoshaphat the son of Ahilud was recorder;)

4:4 “เบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาเป็นผู้บัญชาการกองทัพ ศาโดกและอาบียาธาร์เป็นปุโรหิต

     (Benaiah the son of Jehoiada was in command of the army; Zadok and Abiathar were priests;)

4:5 “อาซาริยาห์บุตรนาธันเป็นหัวหน้าข้าหลวง ศาบุดบุตรนาธันเป็นปุโรหิต และเป็นพระสหายของพระราชา

     (Azariah the son of Nathan was over the officers; Zabud the son of Nathan was priest and king’s friend;)

4:6 “อาหิชาร์เป็นเจ้ากรมวัง และอาโดนีรัมบุตรอับดาเป็นผู้ดูแลคนงานโยธา

        (Ahishar was in charge of the palace; and Adoniram the son of Abda was in charge of the forced  labor.)

4:7 “ซาโลมอน ทรงมีข้าหลวงสิบสองคนอยู่เหนืออิสราเอลทั้งสิ้น เป็นผู้จัดหาเสบียงอาหารสำหรับพระราชาและสำ‍หรับพระราช สำนัก ข้าหลวงคนหนึ่งจัดหาเสบียงอาหารสำหรับเดือนหนึ่งในหนึ่งปี

      (Solomon had twelve officers over all Israel, who provided food for the king and his household.  Each man had to make provision for one month in the year.)

4:8 “ต่อไปนี้เป็นชื่อของพวกเขาคือ เบนเฮอร์ ประจำที่แดนเทือกเขาเอฟราอิม

     (These were their names: Ben-hur, in the hill country of Ephraim;)

4:9 “เบนเดเคอร์ ประจำที่มาคาส ชาอัลบิม เบธเชเมช และเอโลนเบธฮานัน

     (Ben-deker, in Makaz, Shaalbim, Beth-shemesh, and Elonbeth-hanan;)

4:10 “เบนเฮเสด ประจำที่อารุบโบท (โสโคห์และแผ่นดินเฮเฟอร์ขึ้นอยู่กับเขา)

      (Ben-hesed, in Arubboth (to him belonged Socoh and all the land of Hepher)

4:11 “เบนอาบีนาดับ ประจำที่นาฟาทโดร์ทั้งหมด (เขาได้ทาฟัทพระราชธิดาของซาโลมอนเป็นภรรยา)

     (Ben-abinadab, in all Naphath-dor (he had Taphath the daughter of Solomon as his wife)

4:12 “บาอานา บุตรอาหิลูดประจำที่ทาอานาค เมกิดโด และเบธชานทั้งหมดซึ่งอยู่ข้างศาเรธานที่อยู่ใต้ลงไปจาก​เมืองยิสเรเอล และตั้งแต่เบธชานถึงอาเบลเมโฮลาห์ไปจนถึงอีกด้านหนึ่งของ เมืองโยกเมอัม

      (Baana the son of Ahilud, in Taanach, Megiddo, and all Beth-shean that is beside Zarethan below Jezreel, and from Beth-shean to Abel-meholah, as far as the other side of Jokmeam;)

4:13 “เบนเกเบอร์ ประจำที่ราโมทกิเลอาด (เขามีหมู่บ้านต่างๆ ของยาอีร์บุตรมนัสเสห์ ซึ่งอยู่ในกิเลอาดและเขามีท้องถิ่นอารโกบ ซึ่งอยู่ในบาชาน คือเมืองใหญ่หกสิบเมืองซึ่งมีกำแพงเมือง และสลักกลอนทองสัมฤทธิ์)

       (Ben-geber, in Ramoth-gilead (he had the villages of Jair the son of Manasseh, which are in  Gilead, and he had the region of Argob, which is in Bashan, sixty great cities with walls and  bronze bars);

4:14 “อาหินาดับบุตรอิดโด ประจำที่มาหะนาอิม

      (Ahinadab the son of Iddo, in Mahanaim;)

4:15 “อาหิมาอัส ประจำที่นัฟทาลี (ท่านก็ได้บาเสมัทพระราชธิดาของซาโลมอนเป็นภรรยาเช่นกัน).

      (Ahimaaz, in Naphtali (he had taken Basemath the daughter of Solomon as his wife)

4:16 “บาอานาบุตรหุซัย ประจำที่อาเชอร์และเบอาโลท

      (Baana the son of Hushai, in Asher and Bealoth;)

4:17 “เยโฮชาฟัทบุตรปารูอาห์ ประจำที่อิสสาคาร์

          (Jehoshaphat the son of Paruah, in Issachar; )

4:18 “ชิเมอีบุตรเอลา ประจำที่เบนยามิน

       (Shimei the son of Ela, in Benjamin;)

4:19 “เกเบอร์ บุตรอุรี ประจำที่แผ่นดินกิเลอาด แผ่นดินของสิโหนกษัตริย์ของคนอาโมไรต์ และของโอกกษัตริย์แห่งบาชาน มีข้าหลวงคนเดียวที่ประจำที่แผ่นดินนั้น

       (Geber the son of Uri, in the land of Gilead, the country of Sihon king of the Amorites and of Og king of Bashan. And there was one governor who was over the land.)

4:20 “คนยูดาห์และคนอิสราเอลนั้นมีจำนวนมากมายดังเม็ดทรายชายทะเล เขาทั้งหลายกินดื่มและมีจิตใจ​เบิกบาน

        (Judah and Israel were as many as the sand by the sea. They ate and drank and were happy.)

4:21 “และ ซาโลมอนทรงปกครองเหนือทุกอาณาจักร ตั้งแต่แม่น้ำยูเฟรติสไปจนถึงแผ่นดินฟีลิสเตีย และถึงพรมแดนอียิปต์ เขาทั้งหลายถวายบรรณาการ และปรนนิบัติซาโลมอนตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์

       (Solomon ruled over all the kingdoms from the Euphrates to the land of the Philistines and to the border of Egypt. They brought tribute and served Solomon all the days of his life.)

4:22 “เสบียงอาหารสำหรับซาโลมอนในวันหนึ่งนั้น คือแป้งอย่างดี 3 ตันและแป้ง 6 ตัน”

      (Solomon’s provision for one day was thirty cors of fine flour and sixty cors of meal, )

4:23 “วัวอ้วน 10 ตัว วัวจากทุ่งหญ้า 20 ตัว แกะ 100 ตัว นอกจากนี้มีกวางตัวผู้ เนื้อสมัน อีเก้ง และไก่อ้วน

      (ten fat oxen, and twenty pasture-fed cattle, a hundred sheep, besides deer, gazelles, roebucks,  and fattened fowl.)

4:24 “เพราะ พระองค์ทรงครอบครองเหนือท้องถิ่นทั้งสิ้นฟากตะวันตกของ แม่น้ำยูเฟรติส ตั้งแต่ทิฟสาห์ถึงเมือง​ กาซา และทรงครอบครองเหนือบรรดากษัตริย์ที่อยู่ฟากตะวันตกของ แม่น้ำนั้น และพระองค์ทรงมีสันติภาพอยู่รอบด้านของพระองค์

     (For he had dominion over all the region west of the Euphrates from Tiphsah to Gaza, over all the  kings west of the Euphrates. And he had peace on all sides around him. )

4:25 “ยูดา ห์และอิสราเอลก็อยู่อย่างปลอดภัย ทุกคนนั่งอยู่ใต้ซุ้มองุ่น และใต้ต้นมะเดื่อของตน ตั้งแต่เมืองดานกระทั่งถึงเมืองเบเออร์เชบา ตลอดวันเวลาของซาโลมอน

     (And Judah and Israel lived in safety, from Dan even to Beersheba, every man under his vine and under his fig tree, all the days of Solomon.)

4:26 “ซาโลมอนมีคอกม้า 40,000 คอกสำหรับรถรบของพระองค์ และมีทหารม้า 12,000 คน”

       (Solomon also had 40,000 stalls of horses for his chariots, and 12,000 horsemen. )

4:27 “และ ข้าหลวงเหล่านั้นก็จัดเสบียงอาหารแด่พระราชาซาโลมอน และทุกคนที่มายังโต๊ะเสวยของพระราชา​ซาโลมอน พวกข้าหลวงต่างก็ถวายสิ่งของตามเดือนของตน โดยไม่ให้สิ่งใดบกพร่องเลย

      (And those officers supplied provisions for King Solomon, and for all who came to King Solomon’s table, each one in his month. They let nothing be lacking.)

4:28 “ทั้งข้าวบารเลย์และฟางข้าวสำหรับม้าและม้าพันธุ์ดี เขานำมายังสถานที่ของมัน ตามที่ได้มีรับสั่งแก่ทุกคน พระสติปัญญาของซาโลมอนเลื่องลือ

    (Barley also and straw for the horses and swift steeds they brought to the place where it was  required, each according to his duty.)

4:29 “และพระเจ้าประทานสติปัญญาและความเข้าใจแก่ซาโลมอนมากยิ่งนัก อีกทั้งความรอบรู้ก็กว้างขวางดุจทรายริมทะเล

      (And God gave Solomon wisdom and understanding beyond measure, and breadth of mind likethe sand on the seashore,)

4:30 “และสติปัญญาของซาโลมอนเหนือกว่าสติปัญญาทั้งสิ้นของชาวตะวันออกและของอียิปต์

     (so that Solomon’s wisdom surpassed the wisdom of all the people of the east and all the wisdom  of Egypt.)

4:31 “เพราะพระองค์ทรงมีสติปัญญายิ่งกว่าทุกคน ยิ่งกว่าเอธานตระกูลเอศราค และเฮมาน คาลโคล์ และดารดา บุตรทั้งหลายของมาโฮล และพระนามของพระองค์ก็เลื่องลือไปทั่วชนทุกชาติที่อยู่ล้อมรอบ

    (For he was wiser than all other men, wiser than Ethan the Ezrahite, and Heman, Calcol, and  Darda, the sons of Mahol, and his fame was in all the surrounding nations.)

4:32 “พระองค์ตรัสสุภาษิต 3,000 ข้อด้วย และบทเพลงของพระองค์มี 1,005 บท”

      (He also spoke 3,000 proverbs, and his songs were 1,005.)

4:33 “พระองค์ ตรัสถึงต้นไม้ตั้งแต่ต้นสนสีดาร์ซึ่งอยู่ในเลบานอน จนถึงต้นหุสบ ซึ่งงอกออกมาจากกำแพงพระองค์ตรัสถึงสัตว์ต่างๆ ทั้งบรรดานก สัตว์เลื้อยคลาน และปลา

      (He spoke of trees, from the cedar that is in Lebanon to the hyssop that grows out of the wall. He spoke also of beasts, and of birds, and of reptiles, and of fish.)

4:34 “คน จากชนชาติทั้งหลายก็มาเพื่อฟังสติปัญญาของซาโลมอน พวกเขามาจากบรรดาพระราชาแห่งแผ่นดินลก ผู้ได้ยินถึงสติปัญญาของพระองค์

   (And people of all nations came to hear the wisdom of Solomon, and from all the kings of the earth, who had heard of his wisdom. )

 

ข้อมูลมีประโยชน์

4:1       “เป็นกษัตริย์เหนืออิราเอลทั้งสิ้น”  (King Solomon was king over all Israel)

= ซาโลมอนปกครองเหนืออาณาจักรที่เป็นปึกแผ่นเหมือนดาวิด (2ซมอ.8:15)

4:2       “อาซาริยาห์บุตรศาโดกเป็นปุโรหิต” (Azariah the son of Zadok)-แท้จริงแล้วอาซาริยาห์เป็นหลานของศาโดกเพราะว่าเป็นบุตรของอาหิมาอัส (2ซมอ.15:27,36;1พศด.6:8-9) เข้าใจว่า “อาหิมาอัส” บุตรของ ศาโดกคงเสียชีวิตไป อาซาริยาห์จึงเป็นปุโรหิตแทน (2:27,35)

คำว่า “บุตร” มักถูกใช้หมายถึง หลานอยู่บ่อย ๆ ในพระคัมภีร์ (ปท.1พกษ.2:8;2ซมอ.16:5-13; ปฐก.10:2;46:21;วนฉ.3:15;ดนล.5:22)

4:3      “ชิชา” (Shisha) -2ซมอ.8:17         “ราชเลขา” (secretaries) -2ซมอ.8:17

“เยโฮชาฟัท” (Jehoshaphat) = คนเดียวกับที่รับใช้ในราชสำนักของดาวิด (2ซมอ.8:16)

“เป็นเจ้ากรมสารบรรณ” (was recorder) = เป็นอาลักษณ์

4:4       “เบไนยาห์ บุตรเยโฮยาดา” (Benaiah the son of Jehoiada) = มาเป็นแม่ทัพแทนโยอาบ (2:25;  2ซมอ.8:18)

“ศาโดกและอาบียาธาร์เป็นปุโรหิต” (Zadok and Abiathar were priests) -อาบียาธาร์ถูกปลดตอนต้นรัชกาลของซาโลมอน (2:27,35)  -2ซมอ.8:17  -ศาโดกมีอาซาริยาห์ หลานชายมารับช่วงต่อ (ข.2)

4:5       “นาธัน” (Nathan)-ในตอนนี้อาจหมายถึงผู้เผยพระวจนะ (1:11) หรือโอรสของดาวิด (2ซมอ.5:14)

“หัวหน้าข้าหลวง” (over the officers)= ข้าหลวงประจำเขต (3:7-19)

“พระสหาย” (friend) = ราชมนตรี (2ซมอ.15:37)

ปท. หุชัย เคยถูกเรียกว่า สหายของดาวิด (2ซมอ.15:37;1พศด.27:33) อาจเป็นตำแหน่งอย่างเป็นทางการสำหรับที่ปรึกษาที่กษัตริย์ไว้วางพระทัยมากที่สุด (1พกษ.4:5)

4:6       “เจ้ากรมวัง” (charge of the palace)= การเอ่ยถึงครั้งแรกในพระคัมภีร์เดิม และจะกล่าวถึงต่อไปอีกบ่อยครั้งใน 1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (1พกษ.16:9;18:3;2พกษ.18:18,37;19:2)

= อาจเป็นข้าราชการผู้ดูแลพระราชวังและทรัพย์สินของกษัตริย์

“อาโดนีรัม” (Adoniram)            -ไม่เพียงแต่รับใช้ซาโลมอนเท่านั้น แต่ยังเคยรับใช้กษัตริย์ดาวิด  (2ซมอ.20:24) จากนั้นก็รับใช้เรโหโบอัมด้วย (1พกษ.12:18)

“งานโยธา” (forced labor)-1พกษ.9:15;2ซมอ.20:24

4:7       “มีข้าหลวงสิบสองคนอยู่เหนืออิสราเอลทั้งสิ้น” (had twelve officers over all Israel) = ข้าหลวงประจำเขต 12 นาย แต่ไม่ได้แบ่งตรงกับเขตแดนของแต่ละเผ่า จึงถือว่าระบอบปกครองของซาโลมอนได้ก้าวล่วงเขตแดนของเผ่าดั้งเดิม ทำให้ความจงรักภักดีจากเผ่าเดิมที่ได้รับผลกระทบลดลงเป็นเหตุทำให้อาณาจักรที่เคยเป็นปึกแผ่นต้องแตกแยกในเวลาต่อมา

4:8       “เบนเฮอร์” (Ben-hur) -คำว่า “เบน” มาจากภาษาฮีบรู แปลว่า “บุตรของ”

4:11     “เบนอาบีนาดับ” (Ben-abinadab)= น่าจะเป็น “บุตรของ” อาบีนาดับพี่ชายของดาวิด (1ซมอ.16:8;17:13)

= เป็นลูกพี่ลูกน้อง(โดยตรง)ของซาโลมอน (และเป็นลูกเขยด้วย)

4:12     “บาอานาบุตรอาหิลูด” (Baana the son of Ahilud)= อาจเป็นพี่น้องของเยโฮซาฟัท ผู้เป็นอาลักษณ์ (ข.3)

4:16     “บาอานาบุตรหุซัย” (Baana the son of Hushai) = อาจเป็นบุตรชายของหุชัยที่ปรึกษาผู้ที่ดาวิดไว้วางใจมากที่สุด (2ซมอ.15:32,37)

4:18     “ชิเมอีบุตรเอลา” (Shimei the son of Ela)= อาจเป็นชิเมอีคนเดียวกับที่เอ่ยถึงใน 1:8

4:20     “มากมายดังเม็ดทรายชายทะเล” (many as the sand by the sea)-3:8;  ปท.4:29;ปฐก.22:17; 2ซมอ.17:11;อสย.10:22;ยรม.33:22;ฮชย.1:10; ปท.ปฐก.41:49;ยชว.11:4;วนฉ.7:12;สดด.78:27

“เขาทั้งหลายกินดื่มและมีจิตใจเบิกบาน” (They ate and drank and were happy.) = พวกเขาอิ่มหนำสำราญสุขกันทั่วหน้า  = ยูดาและอิสราเอลต่างเจริญรุ่งเรือง (5:4)

4:21     “ตั้งแต่แม่น้ำยูเฟรติสไปจนถึงแผ่นดินฟิลิสเตีย และถึงพรมแดนอียิปต์”  (from the Euphrates to the land of the Philistines and to the border of Egypt)

= ซาโลมอนขยายเขตแดนอาณาจักรไปถึงขอบเขตที่พระเจ้าสัญญาไว้กับอับราฮัม (2ซมอ.8:3) แต่ว่ามีการกบฎคุกรุ่นอยู่ในเอโดม (11:14-21) และใน

ดามัสกัส (11:23-25)

“ถวายบรรณาการ” (brought tribute)= นำเครื่องบรรณาการมาถวาย

= ซาโลมอนได้ปกครองชนชาติที่ดาวิดได้พิชิตไว้แล้วตั้งแต่ต้นรัชกาล (สดด.2:1-3)

4:22     “เสบียงอาหารสำหรับซาโลมอนในวันหนึ่งนั้น” (Solomon’s provision for one day) = เสบียงอาหารประจำวันที่ซาโลมอนต้องการเพื่อราชวงศ์ทั้งหมด ข้าราชบริพารในพระราชวัง  ข้าหลวงในราชสำนัก รวมทั้งครอบครัวของพวกเขา

4:24     “ทิฟสาห์” (Tiphsah) = เมืองบนชายฝั่งด้านตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส

“กาซา” (Gaza)  = เมืองของชาวฟิลิสเตียซึ่งอยู่ทางใต้สุดของชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียน

4:25     “จากดานจดเบเออร์เชบา” (Dan even to Beersheba)    -1ซมอ.3:20

4:26     “ม้า” (horses)   -2ซมอ.15:1  “40,000 คอก” (40,000 stalls)   -2พศด.9:25 , บางฉบับว่ามี 4000 คอก -1พกษ.10:26;2พศด.1:14 -ระบุว่า ซาโลมอนมีรถม้าศึก 1400 คัน หมายความว่า มีคอกสำหรับม้า 2 ตัวต่อรถม้าศึกแต่ละคัน สำหรับม้าสำรองอีกราว 1200 ตัว เปรียบเทียบกับบันทึกของอัสซีเรียเกี่ยวกับสงครามคาร์คาร์ ในปี 853 ก่อน ค.ศ. (ราว 1 ศตวรรษ หลังสมัยซาโลมอน) ซึ่งกล่าวถึงรถม้าศึก 1200 คัน จากดามัสกัส 700 คันจากฮามัท และ 2000 คัน จากอิสราเอล อาณาจักรเหนือ

4:27     “ข้าหลวง” (officers)= ข้าหลวงเขต (ข.7)

4:29     “ความรอบรู้กว้างขวางดุจทรายริมทะเล” (breadth of mind like the sand on the seashore)     = กว้างขวางสุดคะเน (ข.20)

4:30     “ชาวตะวันออกและของอียิปต์” (people of the east and all the wisdom of Egypt.) = บรรดานักปราชญ์ที่ไม่ได้เจาะจงว่าเป็นใคร แต่หมายถึง คนจากเมโสโปเตเมีย (ปฐก.29:1) และอาระเบีย (ยรม.49:28;อสค.25:4,10)  ซึ่งอยู่สุดเขตด้านตะวันออกเฉียงเหนือและตะวันออกของอิสราเอล เหมือนกับที่อียิปต์เป็นดินแดนสำคัญที่อยู่สุดเขตด้านตะวันตกเฉียงใต้     -มีการค้นพบวรรณกรรมมากมายที่บ่งบอกถึงภูมิปัญญาของเมโสโปเตเมีย

          “ของอียิปต์” (of Egypt)  = ปราชญ์ทั้งปวงของอียิปต์ (ปฐก.41:8;อยพ.7:11;กจ.7:22)

4:31     “มีสติปัญญายิ่งกว่าทุกคน” (wiser than all other men)= ฉลาดกว่าใคร ๆ (จนกระทั่งพระเยซูเสด็จมา –ลก.11:31)

“เอธานตระกูลเอศราค” (Ethan the Ezrahite)-สดด.89

“เฮมาน คาลโคล์ และดารดา” (Heman, Calcol, and Darda)-1พศด.2:6

“พระนามของพระองค์ก็เลื่องลือไป”(his fame was in all the surrounding nations) –ดูตัวอย่างใน 10:1

4:32     “สุภาษิต 3000 ข้อ” (3,000 proverbs) -มีบางส่วนปรากฎอยู่ในพระธรรม สุภาษิต -สภษ.1:1;10:1;25:1

“บทเพลงของพระองค์มี 1005 บาท” (his songs were 1,005) = ปรากฎอยู่ในเพลงซาโลมอน (1:1)

4:33     “ต้นสนสีดาร์ซึ่งอยู่ในเลบานอน” (cedar that is in Lebanon) -5:6;วนฉ.9:15;อสย.9:10

“ต้นหุสบ” (hyssop)-อพย.12:22

“สัตว์ต่าง ๆ บรรดานกสัตว์เลื้อยคลานและปลา” (birds, and of reptiles, and of fish) -ตัวอย่างความรู้เกี่ยวกับสัตว์ของซาโลมอนปรากฎอยู่ในสุภาษิตหลายตอน อาทิ สภษ.6:6-8;26:2-3;11; 27:8;28:1,15

4:34     “บรรดาพระราชาแห่งแผ่นดินโลก” (all the kings of the earth) = หมายถึงโลกในแถบตะวันออกใกล้ (ปฐก.41;57)

 

คำถามนำอภิปราย

 1. คุณเห็นภาพรวมอะไรเกี่ยวกับกษัตริย์ซาโลมอนในบทที่ 4 นี้บ้าง?

2. สิ่งที่เห็น ได้ให้คติหรือข้อคิดอะไรแก่คุณบ้าง?

3. คุณได้เรียนรู้บทเรียนอะไรเกี่ยวกับการบริหารจัดการในมุมที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อนจากพระธรรมตอนนี้บ้าง? (แบ่งปัน)

4. หากคุณเป็นกษัตริย์ซาโลมอนในตอนนี้ คุณมีเรื่องอะไรที่ต้องการขอบคุณพระเจ้าเป็นพิเศษบ้าง 3 เรื่อง

          เรื่อง                                                             ทำไม?

1)      ………………………………………………….                    ……………………………………………………….

2)      ………………………………………………….                    ……………………………………………………….

3)      ………………………………………………….                    ……………………………………………………….

  1. หากคุณเป็นประชาชนในสมัยของกษัตริย์ซาโลมอน คุณคิดว่า คุณจะขอบคุณพระเจ้าเรื่องอะไรบ้าง?

          เรื่อง                                                             ทำไม?

1)      ………………………………………………….                    ……………………………………………………….

2)      ………………………………………………….                    ……………………………………………………….

3)      ………………………………………………….                    ……………………………………………………….

5.เคยมีเรื่องใดในประเทศไทย ที่ทำให้คุณรู้สึกอยากขอบคุณพระเจ้าในทำนองเดียวกันบ้างหรือไม่? (แบ่งปัน)

  1. คุณคิดว่า อะไรคือสาเหตุทำให้แผ่นดินอิสราเอลในยุคนั้นสงบสุข?  (แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้แผ่นดินไทยยุคหนึ่งเคยสงบสุข) ?
  2. คุณประทับใจในสติปัญญาหรือความเข้าใจข้อใดตอนใดของซาโลมอนที่ปรากฎอยู่ในพระคัมภีร์เป็นพิเศษบ้าง? ทำไม?
  3. มีสติปัญญาจากพระธรรมสุภาษิต, ปัญญาจารย์หรือ เพลงซาโลมอน หรือจากพระธรรมตอนใดบ้างที่

1)      คุณท่องจำได้?  และช่วยอะไรคุณบ้าง?

2)      คุณท่องจำไม่ได้ แต่เปิดหาได้? และช่วยอะไรคุณบ้าง? อย่างไร?

6. หากต้องการให้ประเทศไทยของเรามีความสงบสุข (อย่างแท้จริง) พวกเราควรทำอะไรบ้าง?  อย่างไร?  และจะเริ่มได้เมื่อไร?

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทที่ 6)

ปัญญาเริ่มฉายแสง

พระธรรม        1พงศ์กษัตริย์ 3:16-28

อ้างอิง               สดด.102:13;อสย.49:15;63:15;ยรม.3:12;31:20;ฮชย.11:8

บทนำ           พระเจ้าทรงประทานสติปัญญาให้กับกษัตริย์ซาโลมอน ตามที่พระองค์ทรงสัญญา ใน 1 พงศ์กษัตริย์ 3:12

และซาโลมอนใช้สติปัญญาที่ได้รับนั้นจัดการแก้ไขปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อน ดังในกรณีหญิงโสเภณี 2 คน แย่งลูกดังในบทเรียนวันนี้

บทเรียน

          3:16 “แล้วหญิงโสเภณีสองคนมาเฝ้าพระราชา และยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์

       (Then two prostitutes came to the king and stood before him.)

3:17 “หญิง คนหนึ่งทูลว่า “เจ้านายของข้าพระบาท ข้าพระบาทและผู้หญิงคนนี้อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน และข้าพระบาทก็คลอดบุตรคนหนึ่ง ขณะที่นางอยู่ในบ้าน

       (The one woman said, “Oh, my lord, this woman and I live in the same house, and I gave birth to  a child while she was in the house.)

3:18 “เมื่อ ข้าพระบาทคลอดบุตรได้สามวันแล้ว หญิงคนนี้ก็คลอดบุตรด้วย และข้าพระบาททั้งสองอยู่ด้วยกัน ไม่มี​  ใครอยู่กับพวกข้าพระบาทในบ้านนั้น ข้าพระบาททั้งสองเท่านั้นอยู่ในบ้านนั้น

       (Then on the third day after I gave birth, this woman also gave birth. And we were alone. There  was no one else with us in the house; only we two were in the house. )

3:19 “แล้วบุตรของหญิงคนนี้ได้ตายในเวลากลางคืน เพราะนางนอนทับ

        (And this woman’s son died in the night, because she lay on him.)

3:20 “พอ เที่ยงคืนนางลุกขึ้น และเอาบุตรของข้าพระบาทไปจากข้างกายข้าพระบาท ขณะที่สาวใช้ของฝ่าพระบาทนอนหลับอยู่ และวางเขาไว้ในอกของนาง และนางเอาบุตรของนางที่ตายแล้วนั้นไว้ในอกของข้าพระบาท

       (And she arose at midnight and took my son from beside me, while your servant slept, and laid  him at her breast, and laid her dead son at my breast.)

3:21 “เมื่อ ข้าพระบาทตื่นขึ้นในตอนเช้า เพื่อให้บุตรของข้าพระบาทกินนม นี่แน่ะ เขาตายแล้ว แต่เมื่อข้าพระบาทพินิจดูในตอนเช้า ดูสิ เด็กนั้นไม่ใช่บุตรที่ข้าพระบาทได้คลอดออกมา

       (When I rose in the morning to nurse my child, behold, he was dead. But when I looked  at him  closely in the morning, behold, he was not the child that I had borne.”

3:22 “แต่ หญิงอีกคนหนึ่งพูดว่า “ไม่ใช่ เด็กที่มีชีวิตเป็นลูกของข้า ส่วนเด็กที่ตายเป็นของเจ้า” หญิงคนที่หนึ่งพูดว่า  “ไม่ใช่ เด็กที่ตายเป็นของเจ้า และเด็กที่มีชีวิตเป็นของข้า” เขาทั้งสองพูดเถียงกันดังนี้ต่อพระพักตร์พระราชา

       (But the other woman said, “No, the living child is mine, and the dead child is yours.” The first  said, “No, the dead child is yours, and the living child is mine.” Thus they spoke before the king.)

3:23 “แล้ว พระราชาตรัสว่า “คนหนึ่งพูดว่า ‘เด็กที่มีชีวิตอยู่นี้เป็นลูกของข้า ส่วนลูกของเจ้าตายเสียแล้ว’ และอีกคน​หนึ่งพูดว่า ‘ไม่ใช่ ลูกของเจ้าตายเสียแล้ว และลูกของข้ายังมีชีวิตอยู่’ ”

      (Then the king said, “The one says, “This is my son that is alive, and your son is dead”; and the  other says, “No; but your son is dead, and my son is the living one.”)

3:24 “และพระราชาตรัสว่า “จงเอาดาบมาให้เราเล่มหนึ่ง” พวกเขาจึงเอาดาบมาไว้ต่อพระพักตร์พระราชา

       (And the king said, “Bring me a sword.” So a sword was brought before the king.)

3:25 “และพระราชาตรัสว่า “จงแบ่งเด็กที่มีชีวิตนั้นออกเป็นสองท่อน และให้หญิงคนหนึ่งครึ่งหนึ่ง และอีกคนหนึ่งครึ่งหนึ่ง

      (And the king said, “Divide the living child in two, and give half to the one and half to the other.”)

3:26 “แล้ว หญิงคนที่บุตรของตนยังมีชีวิตอยู่นั้นทูลพระราชา เพราะว่าจิตใจของนางสงสารบุตรของนาง นางจึง​กราบทูลว่า “เจ้านายของข้าพระบาท โปรดมอบเด็กที่มีชีวิตนั้นให้เธอไป อย่าฆ่าเขาเลย” แต่หญิงอีกคนหนึ่ง​ว่า “อย่าให้เด็กนั้นเป็นของข้าหรือของเจ้า ขอทรงแบ่งเถิดเพคะ

(Then the woman whose son was alive said to the king, because her heart yearned for her son, “Oh, my lord, give her the living child, and by no means put him to death.” But the other said, “He shall be neither mine nor yours; divide him.”)

3:27 “แล้วพระราชาตรัสตอบว่า “จงให้เด็กที่มีชีวิตนั้นแก่หญิงคนแรก อย่าฆ่าเด็กเลย นางเป็นแม่ของเด็กนั้น

(Then the king answered and said, “Give the living child to the first woman, and by no means put him to death; she is his mother.”)

3:28 “เมื่อ คนอิสราเอลทั้งสิ้นทราบเรื่องการพิพากษา ซึ่งพระราชาทรงวินิจฉัยนั้น เขาทั้งหลายก็เกรงกลัวพระราชา  เพราะเขาเห็นว่า พระปัญญาของพระเจ้าอยู่ในพระองค์ ที่จะทรงวินิจฉัยให้ความยุติธรรม

      (And all Israel heard of the judgment that the king had rendered, and they stood in awe of the  king, because they perceived that the wisdom of God was in him to do justice. )

 

ข้อมูลมีประโยชน์

 3:16     “หญิงโสเภณี 2 คน” (two prostitutes)-ในสุภาษิตกล่าวถึงเรื่อง หญิงโสเภณีไว้หลายครั้ง  ในสุภาษิต 1-9 ในฐานะที่เป็นผู้หญิงซึ่งผู้ชายควรหลีกห่าง –และเตือนสติให้ผู้ชายใส่ใจและเลือกเข้าใกล้ชิดกับหญิงที่มีชื่อว่า “ปัญญา” (Lady Wisdom)  ซึ่งจะช่วยพวกเขาให้สามารถเห็นอุบายหรือคำล่อลวงของหญิงโสเภณีเหล่านั้นแล้วจะปลีกตัวออกมาได้อย่างปลอดภัย (ปท. สุภาษิต 6:20-29)

“มาเฝ้าพระราชา” (came to the king) = ปกติชาวอิสราเอลรวมทั้งผู้ที่อาศัยอยู่ที่นั่น (2พกษ.8:3 ; 2ซมอ.16:2) สามารถเข้าเฝ้าพระราชาได้โดยไม่ต้องผ่านเจ้าหน้าที่ระดับล่าง (ฉธบ.16:18)  -กดว.27:2

3:17     “อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน” (live in the same house) =ซ่องโสเภณี มีอยู่ทั่วไปในเมืองแถบตะวันออกใกล้ ในยุคนั้น

3:18     “3 วัน” (the third day) = ในขณะที่ลูกของหญิงโสเภณีคนหนึ่ง อายุได้ 3 วัน หญิงโสเภณีอีกคนก็คลอดลูกออกมาเช่นกัน

3:19     “ตายในเวลากลางคืน” (died in the night) = ลูกของหญิงคนที่ 2 ตายภายในคืนเดียวกันกับวันที่เกิด

3:23     “คนหนึ่งพูดว่า…และอีกคนหนึ่งพูดว่า…”  (The one says…and the other says…)  = ปัญหานี้ ซับซ้อนสับสนจนยากจะตัดสิน เพราะต่างก็ยืนยันกันคนละอย่าง

3:24     “จงเอาดาบมาให้เราเล่มหนึ่ง” (Bring me a sword.)  ปท. สดุดี 45:2-4    = ซาโลมอนผู้ที่ประกอบด้วยสติปัญญามองทะลุเห็นความจริงหรือสามารถวินิจฉัยมีวิธีหาความจริงผ่านความสับสนยุ่งยากได้ในทันที แม้ว่าจะไม่มีผู้เป็นพยานให้การเข้าข้างฝ่ายใดเลยก็ตาม ซึ่งเป็นปัจจัยที่จำเป็นอย่างมากในการตัดสินความตามธรรมบัญญัติ (ฉธบ.19:15)

-เพราะหากว่าขาดพยานไปกระบวนการการตัดสินความก็ดำเนินต่อไม่ได้ ในเวลานั้นกษัตริย์อิสราเอลเป็นตัวแทนของศาลสูงสุดในการพิจารณาคำอุทธรณ์ และเป็นรากฐานของการบริหารจัดการและกระบวนการยุติธรรม (ปท.1พกษ.3:28)

3:25     “จงแบ่งเด็กที่มีชีวิตนั้นออกเป็น 2 ท่อน” (Divide the living child in two) = คำบัญชาซึ่งประกอบด้วยสติปัญญาของซาโลมอนสามารถตัดสินแก้ไขปัญหาอันซับซ้อนของหญิงโสเภณี 2 คนนั้นได้ในฉับพลัน แต่น่าเศร้าที่ปัญญาที่เคยมีนี้หมดสิ้นไปในภายหลังเมื่อซาโลมอนกระทำบาปและเป็นเหตุให้พระเจ้าตัดสินแบ่งอาณาจักรออกเป็น 2 ท่อน เหมือนดังที่ซาโลมอนตรัสออกมาในครั้งนี้ โดยที่อาณาจักรส่วนหนึ่ง (ส่วนใหญ่) มอบให้แก่ เรโหโบอัม บุตรชายของซาโลมอน และอีกส่วนหนึ่งมอบให้แก่เยโรโบอัม (11:9-13) นับจากนั้นมา อาณาจักรเหนือใต้ทั้ง 2 ส่วนนั้นมักถูกผู้เผยพระวจนะในยุคต่อ ๆ มานำมาเปรียบเทียบกับหญิงโสเภณี (ยรม.3:6-12;อสค.16:15-46;23:3-5;ฮชย.1:2)

3:26     “จิตใจของนางสงสารบุตรของนาง” (her heart yearned for her son,) -สดด.102:13;อสย.49:15; 63:15;ยรม.3:12;31:20;ฮชย.11:8

3:27    “จงให้เด็กที่มีชีวิตนั้นแก่หญิงคนแรก…นางเป็นแม่ของเด็กนั้น” (“Give the living child to the first woman, …she is his mother.”)   = พระเจ้าประทานสติปัญญาให้ซาโลมอนเข้าใจและแยกแยะธรรมชาติของความเป็นแม่ที่ซับซ้อนได้ (และตระหนักว่า พระเจ้าประทานสติปัญญาให้ท่านตามที่ทูลขอใน 1พกษ.3:9,12)

3:28     “พระปัญญาของพระเจ้าอยู่ในพระองค์” (that the wisdom of God was in him)

= พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของซาโลมอนที่ทูลขอความคิดความเข้าใจจากพระเจ้าใน -1พกษ.3:8-9;10-14   ปท. อสร.7:25

คำถามนำอภิปราย

  1. หากคุณเป็นกษัตริย์ซาโลมอนคุณจะตัดสินคดีดังกล่าวอย่างไร ในเมื่อหญิงโสเภณี 2 คนต่างแย่งลูกกัน โดยไม่มีพยานหลักฐาน?  ทำไม?
  2. คุณเคยประสบกับปัญหาที่ยากในการตัดสินความหรือคดีบ้างหรือไม่?  มีเรื่องใดที่เป็นเรื่องที่ยากที่สุดในชีวิตของคุณ?  และคุณตัดสินใจอย่างไร?   ได้ผลดีหรือผลเสียอย่างไรบ้าง?
  3. คุณเคยประทับใจหรือทึ่งในการตัดสินคดีความหรือข้อขัดแย้งที่ประกอบด้วยสติปัญญาของผู้ใดบ้าง? เรื่องอะไร?  และผลที่ตามมาคืออะไร?
  4. คุณเคยประทับใจในความรักหรือความสงสารที่บุคคลใดมีต่อลูกของตัวเอง ที่เขาหรือเธอยอมทนทุกข์กายใจเป็นฝ่ายเสียเปรียบหรือยอมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้(ทั้ง ๆ ที่เขาหรือเธอเป็นฝ่ายถูกหรือมีสิทธิ์โดยชอบธรรม) ?  (แบ่งปัน)
  5. มีเหตุการณ์ตอนใดในชีวิตของคุณหรือเรื่องราวหรือข้อพระธรรมตอนใดในพระคัมภีร์ที่ทำให้คุณเกิดความ       ยำเกรงในพระเจ้า เพราะพระสติปัญญาของพระองค์บ้าง?  ทำไม?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทที่ 5)

สุดยอดปัญญา

 พระธรรม        1พงศ์กษัตริย์ 3:1-15

อ้างอิง             1พกษ.2:10;3:5;9:24;10:23;14:8;7:8;11:1-13;15:14;22:43;4:29-31

บทนำ              ซาโลมอนได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ที่มีความฉลาดและมีสติปัญญาเป็นที่โปรดปรานทั้งของพระเจ้าและคนทั่วไป

วันนี้คุณมีสติปัญญาเป็นที่ยอมรับของคนรอบตัวของคุณแล้วหรือไม่?

บทเรียน

3:1 “ซาโลมอน ได้ทรงทำให้เป็นทองแผ่นเดียวกันกับฟาโรห์กษัตริย์แห่ง อียิปต์ โดยทรงรับพระธิดาของฟาโรห์ และทรงนำพระนาง​มาไว้ในนครดาวิด จนกระทั่งพระองค์ทรงสร้างพระราชวังของพระองค์ พระนิเวศของพระยาห์เวห์ และกำแพงรอบกรุงเยรูซาเล็มเสร็จ

   (Solomon made a marriage alliance with Pharaoh king of Egypt. He took Pharaoh’s daughter and brought her  into the city of David until he had finished building his own house and the house of the Lord and the wall around Jerusalem. )

3:2 “อย่างไรก็ตาม ประชาชนได้ถวายสัตวบูชาที่ปูชนียสถานสูง เพราะยังไม่ได้สร้างพระนิเวศเพื่อพระนามของพระยาห์เวห์จนถึง วันนั้น

   (The people were sacrificing at the high places, however, because no house had yet been built for the name of the Lord.)

3:3 “ซาโลมอนทรงรักพระยาห์เวห์ ทรงดำเนินตามกฎเกณฑ์ของดาวิดพระราชบิดาของพระองค์ เว้นแต่พระองค์ทรงถวายสัตว‌์บูชาและทรงเผาเครื่องหอมที่ ปูชนียสถานสูง

     (Solomon loved the Lord, walking in the statutes of David his father, only he sacrificed and made offerings at  the high places.)

3:4 “และ พระราชาเสด็จไปที่เมืองกิเบโอนเพื่อถวายเครื่องสัตวบูชาที่นั่น เพราะที่นั่นเป็นมหาปูชนียสถานสูงซาโลมอนทรงเคยถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวจำนวนพันตัวบนแท่น บูชานั้น

   (And the king went to Gibeon to sacrifice there, for that was the great high place. Solomon used to offer a  thousand burnt offerings on that altar.)

3:5 “พระยาห์เวห์ทรงปรากฏแก่ซาโลมอนที่เมืองกิเบโอนเป็นพระสุบินในเวลากลางคืน และพระเจ้าตรัสว่า “เจ้าอยากได้สิ่งใด เจ้าก็จงขอเถิด

     (At Gibeon the Lord appeared to Solomon in a dream by night, and God said, “Ask what I shall give you.” )

3:6 “และ ซาโลมอนทูลว่า “พระองค์ทรงสำแดงความรักมั่นคงอันยิ่งใหญ่แก่ดาวิดผู้เป็นบิดาของข้าพระองค์และเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ เพราะว่าท่านดำเนินต่อพระพักตร์พระองค์ด้วยความซื่อสัตย์และ ความชอบธรรมด้วยจิตใจซื่อตรงต่อพระองค์ และพระองค์ทรงรักษาความรักมั่นคงอันยิ่งใหญ่นี้ไว้เพื่อ ท่าน และได้ประทานบุตรชายคนหนึ่งแก่ท่าน ให้นั่งบนบัลลังก์ของท่านในวันนี้

   (And Solomon said, “You have shown great and steadfast love to your servant David my father, because he walked before you in faithfulness, in righteousness, and in uprightness of heart toward you. And you have kept  for him this great and steadfast love and have given him a son to sit on his throne this day.)

3:7 “ข้าแต่ พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ บัดนี้พระองค์ทรงทำให้ผู้รับใช้ของพระองค์เป็นกษัตริย์แทน ดาวิดบิดาของข้า‌พระองค์ แต่ข้าพระองค์เป็นเพียงเด็กเล็ก ข้าพระองค์ไม่ทราบว่าจะดำเนินการปกครองอย่างไรถูก

 (And now, O Lord my God, you have made your servant king in place of David my father, although I am but a  little child. I do not know how to go out or come in.)

  3:8  “และผู้รับใช้ของพระองค์ก็อยู่ท่ามกลางประชากรของพระองค์ ผู้ซึ่งพระองค์ทรงเลือกไว้เป็นชนชาติใหญ่ ซึ่งไม่สามารถจะนับหรือคำนวณได้

  (And your servant is in the midst of your people whom you have chosen, a great people, too many to be numbered or counted for multitude. )

  3:9 “ฉะนั้น ขอพระองค์ประทานความคิดความเข้าใจแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ เพื่อจะวินิจฉัยประชากรของพระองค์เพื่อจะแยกแยะความแตกต่างระหว่างดีกับชั่วได้ เพราะใครจะสามารถวินิจฉัยประชากรมากมายนี้ของพระองค์ได้?’”

      (Give your servant therefore an understanding mind to govern your people, that I may discern between good and evil, for who is able to govern this your great people?”)

  3:10 “ที่ซาโลมอนทูลขอเช่นนี้ก็เป็นที่พอพระทัยองค์เจ้านาย

       (It pleased the Lord that Solomon had asked this. )

3:11 “พระเจ้า จึงตรัสกับซาโลมอนว่า “เพราะเจ้าได้ขอสิ่งนี้และไม่ได้ขอชีวิตยืนยาว หรือความมั่งคั่งให้ตัวเอง หรือขอชีวิตศัตรูของเจ้า แต่เจ้าเองขอความเข้าใจเพื่อจะวินิจฉัยอย่างยุติธรรม

  (And God said to him, “Because you have asked this, and have not asked for yourself long life or riches or the life of your enemies, but have asked for yourself understanding to discern what is right,)

3:12 “นี่แน่ะ เราจะทำตามคำของเจ้า นี่แน่ะเราจะให้ใจที่ประกอบด้วยปัญญาและความเข้าใจ ซึ่งไม่มีใครที่เป็นอยู่ก่อนเจ้าเหมือนเจ้า และจะไม่มีใครที่ขึ้นมาภายหลังเจ้าเหมือนเจ้า

  (behold, I now do according to your word. Behold, I give you a wise and discerning mind, so that none like you has been before you and none like you shall arise after you. )

3:13 “เรา จะให้สิ่งที่เจ้าไม่ได้ขอแก่เจ้าด้วย ทั้งความมั่งคั่งและเกียรติยศ เพื่อจะไม่มีกษัตริย์องค์ใดเปรียบเทียบกับเจ้าได้ตลอดวัน​เวลา ทั้งสิ้นของเจ้า

       (I give you also what you have not asked, both riches and honor, so that no other king shall compare with you, all your days.)

3:14 “และ ถ้าเจ้าจะดำเนินตามทางของเรา รักษากฎเกณฑ์และบัญญัติของเรา ดังดาวิดบิดาของเจ้าได้ดำเนินนั้นเราก็จะให้อายุของเจ้ายืนยาว

       (And if you will walk in my ways, keeping my statutes and my commandments, as your father David walked,  then I will lengthen your days.” )

3:15 “และ ซาโลมอนก็ตื่นบรรทม และนี่แน่ะเป็นพระสุบิน แล้วพระองค์ก็เสด็จมายังกรุงเยรูซาเล็ม และทรงยืนอยู่หน้าหีบพันธสัญญาขององค์เจ้านาย และถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและเครื่องศานติบูชา และทรงจัดงานเลี้ยงแก่ข้าราชการทั้งสิ้นของพระองค์ การวินิจฉัยอันชาญฉลาดของซาโลมอน

   (And Solomon awoke, and behold, it was a dream. Then he came to Jerusalem and stood before the ark ofthe covenant of the Lord, and offered up burnt offerings and peace offerings, and  made a feast for all his  servants.)

ข้อมูลมีประโยชน์

3:1       “เป็นทองแผ่นเดียวกันกับฟาโรห์” (Solomon made a marriage alliance with Pharaoh king of  Egypt )

= เป็นไปได้ว่า ซาโลมอนสมรสเพื่อเจริญพระราชไมตรีกับฟาโรห์ ที่มีนามว่า “สีอามุน” ซึ่งเป็นฟาโรห์องค์ท้าย ๆ ของราชวงค์ลำดับที่ 21 ของอียิปต์

= เป็นการชี้ให้เห็นว่า อียิปต์ยอมรับในความสำคัญของอิสราเอลที่เพิ่มขึ้น -ใน 1 พกษ.9:16 บอกให้รู้ว่า ฟาโรห์ได้ยกเมืองเกเซอร์ในคานาอันให้ธิดาเป็นสินสมรสในการอภิเษกกับซาโลมอน

เกเซอร์ เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ใกล้จุดตัดสำคัญของเส้นทางการค้าที่สำคัญ 2 เส้นทาง จากอียิปต์ไปยัพฟา

-การแต่งงานกับธิดาฟาโรห์เป็นการช่วยฟาโรห์และซาโลมอนในการบรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจ

-สันถวไมตรีนี้เกิดขึ้นในราวปีที่ 3 หรือ 4 ในรัชกาลของซาโลมอน (2:39)

“รับพระธิดาของฟาโรห์” (He took Pharaoh’s daughter) = อภิเษกกับพระธิดาองค์หนึ่งของฟาโรห์

-1พกษ.7:8;11:1-13;9:16,24;2พศด.8:11

= ในตอนนี้ ซาโลมอนแต่งงานอยู่กับนาอามาห์ (มารดาของเรโหโบอัม) อยู่ก่อนแล้ว (14:21,31) และอาจมี

ภรรยาคนอื่น ๆ ด้วย (11:1-3)

“นครดาวิด” (city of David) = เยรูซาเล็ม ธิดาของฟาโรห์อาจพำนักในป้อมเก่าชั่วคราว (2ซมอ.5:7;1พกษ.2:10) จนกระทั่งมีการสร้างราชวังเป็นส่วนตัวในอีกราว 20 ปีต่อมา (7:8;9:10;2พศด.8:11)

“จนกระทั่งพระองค์ทรงสร้างพระราชวังของพระองค์” (until he had finished building his own house)

-2ซมอ.7:2;1พกษ.9:10

3:2       “ปูชนียสถานสูง” (sacrificing at the high places) = สถานบูชาที่สูง –ลนต.17:3-5;26:30;ฉธบ.12:14;

1พกษ.15:14;22:43  =เมื่ออิสราเอลเข้าสู่คานาอัน ก็ปฏิบัติตามธรรมเนียมของคนคานาอัน โดยตั้งแท่นบูชาไว้บนเนินเขาสูง (คงเป็นสถานที่นมัสการบาอัลในอดีต) = เป็นประเด็นปัญหามานานแล้ว เพราะชาวอิสราเอลถูกห้ามไม่ให้ใช้แท่นบูชาและสถานบูชาบนที่สูงของพระต่างชาตินมัสการพระเจ้ามานานแล้ว (กดว.33:52;ฉธบ.7:5;12:3)

-และอีกประการหนึ่งคือ แท่นบูชานั้นจะสร้างขึ้นได้เฉพาะในสถานที่ที่พระเจ้ากำหนดเท่านั้น (อพย.20:24; ฉธบ.12:5,8,13-14)

-ไม่ปรากฎชัดว่า การเพิ่มจำนวนแท่นบูชาถูกห้ามไว้หรือไม่ (19:10,14;ลนต.26:30-31;ฉธบ.12;1ซมอ.9:12)

-ดูเหมือนว่า เงื่อนไขเหล่านั้ถูกละเลยในสมัยของซาโลมอน และมีการใช้ปูชนียสถานสูงของพระต่างชาติ

เพื่อนมัสการพระเจ้า ซึ่งได้นำไปสู่การละทิ้งความเชื่อและการมีความเชื่อปนเป (2พกษ.17:7-18;21:2-9;23:4-25)

“เพราะยังไม่ได้สร้างพระนิเวศ” (because no house had yet been built ) – ฉธบ.14:23

“เพื่อพระนามของพระยาห์เวห์” (for the name of the Lord) –ฉธบ.12:5;สดด.5:11

3:3       “ซาโลมอนทรงรักพระยาห์เวห์” (Solomon loved the Lord)  -ฉธบ.6:5;สดด.31:23;145:20

“ทรงดำเนินตามกฎเกณฑ์” (walking in the statutes) = ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ –ฉธบ.17:19;1พกษ.14:8 “เว้นแต่” (only) = ความผิดพลาดร้ายแรงของซาโลมอนข้อหนึ่งคือ การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดในบทบัญญัติของโมเสส เกี่ยวกับสถานนมัสการพระเจ้าให้ถูกต้องอย่างสม่ำเสมอ

“ถวายสัตวบูชาและทรงเผาเครื่องหมอที่ปูชนียสถานสูง” (only he sacrificed and made offerings at the high places) –ลนต.17:3-5;1พกษ.2:2;2พกษ.12:3;15:4,35;16:4;21:3

3:4       “เมืองกิเบโอน” (Gibeon) –ชาวกิเบโอนเคยหลอกโยชูวาและชาวอิสราเอลให้ทำสัญญาไมตรีขณะที่กำลังพิชิตคานาอัน (ยชว.9:3-27)  ภายหลังเมืองนี้ถูกยกให้กับเผ่าเบนยามิน และถูกแยกออกไว้ให้คนเลวี (ยชว.18:25;21:17)

-ซาอูลทำลายสัญญาไมตรีนี้ ดาวิดจึงชดใช้ให้โดยการประหารบุตรหลานของซาอูล 7 คน (2ซมอ.21:1-9)

“มหาปูชนียสถานสูง” (sacrifice there, for that was the great high place.) = สถานบูชาบนที่สูงที่สำคัญที่สุด

= เนื่องจากกิเบโอนเป็นที่ตั้งของพลับพลาและแท่นทองสัมฤทธิ์โบราณ (1พศด.21:29;2พศด.1:2-6) ซึ่งรอดพ้นมาได้หลังฟิลิสเตียทำลายเมืองชิโลห์ (1ซมอ.7:1)

3:5       “ทรงปรากฎ” (appeared) -1พกษ.9:2;11:9; “พระสุบิน” (in a dream) = ความฝัน

= ช่องทางหนึ่งที่พระเจ้าสำแดงพระองค์ผ่านในพระคัมภีร์เดิม(ปฐก.28:12;31:11;46:2;กดว.12:6;วนฉ.7:13;ดนล 2:4;7:1) ในพระคัมภีร์ใหม่ (มธ.1:20;2:12,22);  “ในเวลากลางคืน” (by night) –มธ.27:19

“เจ้าอยากได้สิ่งใดเจ้าก็จงขอเถิด” (Ask what I shall give you.)  -มธ.7:7

3:6       “สำแดงความรักมั่นคงอันยิ่งใหญ่” (You have shown great and steadfast love) = สำแดงพระกรุณา

= พระคุณในพันธสัญญาใหม่ (2ซมอ.7:15;สดด.6:4)

-ซาโลมอนสรรเสริญพระเจ้าที่ทรงซื่อสัตย์ต่อพระสัญญาที่ให้ไว้กับดาวิด (2ซมอ.7:8-16)

“ด้วยความซื่อสัตย์” (in faithfulness)  –ปฐก.17:1 ; “ประทานบุตรชายคนหนึ่ง…ให้นั่งบนบัลลังก์” (havegiven him a son to sit on his throne) -1พกษ.1:48

3:7       “ข้าพระองค์เป็นเพียงเด็กเล็ก” (although I am but a little child) = ซาโลมอนเกิดในช่วงกลางของการครองราชย์ 40 ปีของดาวิด (2:11-12) และยอมรับว่า ตัวเองขาดประสบการณ์ในการรับผิดชอบหน้าที่ในตำแหน่งนี้ –กดว.27:17;1พศด.22:5;29:1;ยรม.1:6

3:8       “อยู่ท่ามกลางประชากรของพระองค์” ( in the midst of your people whom you have chosen)  = ท่ามกลางประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร –ฉธบ.7:6

“ชนชาติใหญ่ซึ่งไม่สามารถจะนับหรือคำนวณได้” (a great people, too many to be numbered or counted for multitude.) = มีมากมายเหลือคณานับ จากเดิมมีครอบครัวเดียว ซึ่งไปอาศัยอยู่ในอียิปต์ (ปฐก.46:26-27;

ฉธบ.7:7) จนเพิ่มขึ้นมากมายตามที่พระเจ้าสัญญาไว้กับอับราฮัม (ปฐก.13:16;22:17-18) และกับยาโคบ (ปฐก.32:12) และใกล้จะเป็นจริง (4:20) –ปฐก.12:2;15:5;1พศด.27:23

3:9       “ความคิดความเข้าใจ” (understanding mind)   = มีความคิดฉลาดหลักแหลม -2ซมอ.14:17:ยก.1:5

=คำที่แปลได้ตรงตัวว่า “ใจที่รู้จักฟัง” = สามารถรับฟังเรื่องราวจากทุกฝ่ายอย่างใจเยือกเย็น เพื่อจะตัดสินได้อย่างเที่ยงธรรมและชาญฉลาด (ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดีของกษัตริย์หรือผู้ปกครองที่ดี –อสย.11:2-5)

“วินิจฉัยอย่างยุติธรรม” (that I may discern) =รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี –ฉธบ.1:16

“สามารถวินิจฉัย” (between good and evil) = สามารถปกครอง -2คร.2:16

3:11     “เพราะเจ้าได้ขอสิ่งนี้” (Because you have asked this) –ยก.4:3

“ชีวิตยืนยาว ความมั่งคั่งให้ตัวเอง หรือขอชีวิตศัตรูของเจ้า” (have not asked for yourself long life or riches or the life of your enemies) = ความปรารถนาของกษัตริย์ในแถบตะวันออกใกล้ยุคโบราณ

“ขอความเข้าใจเพื่อจะวินิจฉัยอย่างยุติธรรม” (but have asked for yourself understanding to discern what is right,)  -คำภาษาฮีบรูตอนนี้ หมายความตรงตัวว่า “ความสามารถแยกแยะเพื่อจะเข้าใจความยุติธรรม” -1พศด.22:12

3:12     “เราจะทำตามคำของเจ้า” (I now do according to your word) = เราจะให้ตามที่เจ้าขอ -1ยน.5:14-15

“เราจะให้ใจที่ประกอบด้วยปัญญาและความเข้าใจ” (I give you a wise and discerning mind)

-2ซมอ.14:20;1พกษ.4:29-31;5:12;10:23;ปญจ.1:16

“ซึ่งไม่มีใครที่เป็นอยู่ก่อนเจ้าเหมือนเจ้า” (so that none like you has been before you and none like you)  -4:29-34;10:1-13

3:13     “เราจะให้สิ่งที่เจ้าไม่ได้ขอแก่เจ้าด้วย” (I give you also what you have not asked) –ลก.12:31;มธ.6:33; อฟ.3:20;   “ทั้งความมั่งคั่งและเกียรติยศ” (both riches and honor,) = ทรัพย์สมบัติและเกียรติ – สภษ.3:1-2,16;8:18

“จะไม่มีกษัตริย์องค์ใดเปรียบเทียบกับเจ้าได้” (no other king shall compare with you,)  -1พกษ.10:23;2พศด.9:29;นหม.13:26

3:14     “…ถ้าเจ้าจะดำเนินตามทางของเรา” (if you will walk in my ways,) -1พกษ.9:4;สดด.25:13;101:2;128:1; สภษ.3:1-2,16;    “เราก็จะให้อายุของเจ้ายืนยาว” (I will lengthen your days) -สดด.61:6

= สะท้อนถึง  ฉธบ. 6:2,17-20;22:7

= น่าเสียดายที่ซาโลมอนแม้ฉลาดแต่ไม่ได้เชื่อฟังพันธสัญญาของพระเจ้าเหมือนที่ดาวิดบิดาของท่านกระทำ (11:6)  ท่านจึงมีอายุเพียงแค่ 60 ปี (ข.7:11:42)

3:15     “…ซาโลมอนก็ตื่นบรรทม” (…Solomon awoke,) –ปฐก.28:16

“และนี่แนะเป็นพระสุบิน” (it was a dream.)  = ตระหนักว่าได้ทรงผันไป -1พกษ.3:5

“หีบพันธสัญญาขององค์เจ้านาย” (ark of the covenant of the Lord,) -6:19;2ซมอ.6:2

“ถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัว” (offered up burnt offerings) = เครื่องเผาบูชา – ลนต.6:8-13

“เครื่องศานติบูชา” (peace offerings) = เครื่องสันติบูชา -1ซมอ .11:15

คำถามนำอภิปราย

1. คุณเคยทุ่มเทกระทำอะไรบ้างเพื่อสร้างตัวสร้างฐานะของคุณหรือไม่?   คุณใช้เวลานานเท่าใดจึงสร้างฐานะ จนมั่นคง?    และทำอย่างไร?

2. คุณเคยเชื่อฟังพระวจนะหรือกฎเกณฑ์ของพระเจ้าส่วนใหญ่ แต่มีข้อหย่อนยานในบางเรื่องบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร?  แล้วมีผลอะไรตามมาบ้าง?

3. หากพระเจ้ามาปรากฎกับคุณในวันนี้ และสั่งให้คุณขอได้ 1 อย่างจากพระองค์ คุณจะขออะไร? ทำไม?

4. มีใครเป็นแบบอย่างแห่งความซื่อตรงในการรับใช้พระเจ้าที่คุณเห็นบ้าง?  เขาทำอะไรและอย่างไร?

5. คุณเห็นบุคคลใดที่พระเจ้าอวยพรในชีวิตของเขาเพราะว่าเขารับใช้พระเจ้าด้วยใจเที่ยงธรรมและซื่อตรงบ้าง?  อย่างไร?  สิ่งที่เห็นสร้างแรงบันดาลใจ   อะไรให้แก่คุณบ้าง?

6. คุณเคยรู้สึกว่าคุณรู้น้อย และเป็นเด็กและต้องการสติปัญญาจากพระเจ้าบ้างหรือไม่?  เมื่อไร?  และพระเจ้าประทานให้ตามที่ขอหรือไม่?  อย่างไร?

7. คุณคิดว่า การตัดสินใจหรือการใช้สติปัญญาที่ฉลาดที่สุดในชีวิตของคุณ คือเรื่องอะไร?  ทำไมคิดเช่นนั้น?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์