Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 18)

เยโรโบอัม vs เรโหโบอัม

 

พระธรรม        1พงศ์กษัตริย์ 14:1-31

อ้างอิง              1พกษ.10:16-17;15:29;14:15;2พกษ.17:9-10;2พศด.9:15-16;12:2-8;ฉธบ.23:17

บทนำ           น่าเสียดายและน่าเสียใจที่ชนชาติที่พระเจ้าทรงเรียก และทรงเลือกกลับทำบาปชั่วอย่างไม่ยำเกรงพระเจ้า อีกทั้งยังแตกแยกกันเป็นหนือ – ใต้ และต่อสู้รบกันเองมาตลอด ผลสุดท้ายก็คือ ย่อยยับไปตามๆ กัน เป็นเหตุให้สูญเสียศักดิ์ศรีและพระพรของพระเจ้าไป !

วันนี้ คุณกำลังดำเนินตามรอยเท้า(อันไม่ดี)ของพวกเขาอยู่เหรือไม่?

บทเรียน

 14:1 “ในเวลานั้น อาบียาห์พระราชโอรสของเยโรโบอัมประชวร

       (At that time Abijah the son of Jeroboam fell sick.)

14:2 “และเยโรโบอัมรับสั่งกับมเหสีของพระองค์ว่า“จงลุกขึ้นปลอมตัวของเจ้า อย่าให้ใครรู้ว่าเจ้าเป็นมเหสีของเยโรโบอัม  และจงไปเมืองชีโลห์ นี่แน่ะอาหิยาห์ผู้เผยพระวจนะอยู่ที่นั่นผู้ได้กล่าวเรื่องเราว่าเราจะได้เป็นกษัตริย์เหนือประชาชนนี้

       (And Jeroboam said to his wife, “Arise, and disguise yourself, that it not be known that you are the  wife of Jeroboam, and go to Shiloh. Behold, Ahijah the prophet is there, who said of me that I  should  be king over this people. )

14:3 “เจ้าจงเอาขนมปังสิบก้อน ขนมหวานบ้าง และน้ำผึ้งไหหนึ่ง ไปหาท่าน ท่านจะบอกเจ้าว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเด็กนั้น

       (Take with you ten loaves, some cakes, and a jar of honey, and go to him. He will tell you what shall happen to the child.” )

14:4 “มเหสีของเยโรโบอัมก็ทำตามนั้น พระนางทรงลุกขึ้น เสด็จไปเมืองชีโลห์ เสด็จมาถึงบ้านของอาหิยาห์ส่วนอาหิยาห์มองไม่เห็น เพราะว่าตาของท่านมืดมัวด้วยอายุของท่าน

    (Jeroboam’s wife did so. She arose and went to Shiloh and came to the house of Ahijah. Now  Ahijah could not see, for his eyes were dim because of his age. )

14:5 “พระยาห์เวห์ตรัสกับอาหิยาห์ว่า “ดูสิ มเหสีของเยโรโบอัมกำลังมา เพื่อจะถามเจ้าเรื่องลูกของนาง เพราะเด็กนั้นป่วย เจ้าจงบอกนางอย่างนี้” เมื่อพระนางเสด็จไปถึง ก็แสร้งทำเป็นหญิงอื่น

   (And the Lord said to Ahijah, “Behold, the wife of Jeroboam is coming to inquire of you concerning her son, for he is sick. Thus and thus shall you say to her.” When she came, she pretended to be another woman. )

14:6 “แต่เมื่ออาหิยาห์ได้ยินเสียงฝีพระบาทของพระนางมาถึงประตู ท่านจึงพูดว่า “ขอเชิญพระมเหสีของเยโรโบอัมเสด็จเข้ามาข้างใน ทำไมจึงทรงแสร้งทำเป็นหญิงอื่นเล่า? เพราะข้าพระบาทได้รับพระบัญชาให้ทูลข่าวอันน่าสลดใจแก่​พระนาง

  (But when Ahijah heard the sound of her feet, as she came in at the door, he said, “Come in, wife of Jeroboam. Why do you pretend to be another? For I am charged with unbearable news for you.)

14:7 “ขอเสด็จไปทูลเยโรโบอัมว่า ‘พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า “เพราะเราได้ยกเจ้าขึ้นจากฝูงชนและทำให้เจ้าเป็นประมุขเหนืออิสราเอลประชากรของเรา

      (Go, tell Jeroboam, “Thus says the Lord, the God of Israel: “Because I exalted you from among the people and made you leader over my people Israel )

14:8 “และได้ฉีกราชอาณาจักรจากราชวงศ์ของดาวิดมาให้เจ้า แต่เจ้าก็ไม่เหมือนอย่างดาวิดผู้รับใช้ของเราผู้รักษาบัญญัติทั้งหลายของเรา และติดตามเราด้วยสุดใจของเขา ทำแต่สิ่งที่ถูกต้องในสายตาของเรา

 (and tore the kingdom away from the house of David and gave it to you, and yet you have not been like my servant David, who kept my commandments and followed me with all his heart, doing only that which was right in my eyes, )

14:9 “แต่เจ้าได้ทำชั่วยิ่งกว่าทุกคนที่อยู่ก่อนเจ้า เจ้าไปสร้างพระอื่นและรูปหล่อโลหะ และทำให้เราโกรธ และได้เหวี่ยงเรา ทิ้งเบื้องหลังของเจ้า

 (but you have done evil above all who were before you and have gone and made for yourself other gods and metal images, provoking me to anger, and have cast me behind your back, )

14:10 “เพราะฉะนั้น นี่แน่ะ เราจะนำเหตุร้ายมาเหนือราชวงศ์ของเยโรโบอัม และจะตัดชายทุกคนจากเยโรโบอัมทั้งทาส​  และไทในอิสราเอล และจะผลาญราชวงศ์เยโรโบอัมเสียอย่างสิ้นเชิง อย่างที่คนเผามูลสัตว์ให้ไหม้ จนสิ้น

 (therefore behold, I will bring harm upon the house of Jeroboam and will cut off from Jeroboam  every male, both bond and free in Israel, and will burn up the house of Jeroboam, as a man  burns up dung until it is all gone. )

14:11 “ใครในวงศ์เยโรโบอัมที่ตายในเมือง สุนัขจะกิน และใครตายในทุ่งนา นกในอากาศจะกิน เพราะพระยาห์เวห์​  ตรัสแล้ว”’

  (Anyone belonging to Jeroboam who dies in the city the dogs shall eat, and anyone who dies in  the open country the birds of the heavens shall eat, for the Lord has spoken it.”

14:12 “เพราะฉะนั้น ขอลุกขึ้นเสด็จไปยังพระตำหนักของพระนาง เมื่อพระนางเสด็จเข้าเมือง พระกุมารนั้นก็จะสิ้น​ ระชนม์

   (Arise therefore, go to your house. When your feet enter the city, the child shall die. )

14:13 “แล้วอิสราเอลทั้งหมดจะไว้ทุกข์ให้ และจะฝังพระศพไว้ เพราะพระกุมารผู้เดียวเท่านั้นในราชวงศ์เยโรโบอัมที่จะไป​ถึงอุโมงค์ฝังศพ เพราะในตัวพระกุมารซึ่งอยู่ในราชวงศ์ของเยโรโบอัมนั้น ยังพบบางสิ่งที่พอพระทัยพระยาห์เวห์​พระเจ้าแห่งอิสราเอล

 (And all Israel shall mourn for him and bury him, for he only of Jeroboam shall come to the grave,  because in him there is found something pleasing to the Lord, the God of Israel, in the house of   Jeroboam.)

14:14 “ยิ่งกว่านั้นอีก พระยาห์เวห์จะทรงตั้งกษัตริย์องค์หนึ่งเหนืออิสราเอลผู้จะกำจัดราชวงศ์ของเยโรโบอัมเสียในวันนี้และตั้งแต่นี้ไป

  (Moreover, the Lord will raise up for himself a king over Israel who shall cut off the house of Jeroboam today. And henceforth, )

14:15 “พระยาห์เวห์จะทรงตีอิสราเอลดุจไม้อ้อสั่นอยู่ในน้ำ และจะทรงถอนรากอิสราเอลออกเสียจากแผ่นดินอันดีนี้ ซึ่งพระองค์ประทานแก่บรรพบุรุษของพวกเขา และจะกระจายพวกเขาไปฟากตะวันออกของแม่น้ำยูเฟรติส เพราะเขาทั้งหลายได้สร้างบรรดาพระอาเช-ราห์ ทำให้พระยาห์เวห์ทรงพระพิโรธ

 (the Lord will strike Israel as a reed is shaken in the water, and root up Israel out of this good land   that he gave to their fathers and scatter them beyond the Euphrates, because they have made their Asherim, provoking the Lord to anger. )

14:16 “และพระองค์จะทรงมอบอิสราเอลไว้ เพราะบาปของเยโรโบอัม ซึ่งท่านได้ทำและทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย

    (And he will give Israel up because of the sins of Jeroboam, which he sinned and made Israel  to sin.” )

14:17 “แล้วมเหสีของเยโรโบอัมทรงลุกขึ้น เสด็จจากไป และเสด็จถึงเมืองทีรซาห์ เมื่อพระนางเสด็จถึงธรณีประตู​พระตำหนัก พระกุมารก็สิ้นพระชนม์

    (Then Jeroboam’s wife arose and departed and came to Tirzah. And as she came to the threshold  of the house, the child died. )

14:18 “แล้วคนอิสราเอลทั้งหมดก็ฝังพระศพพระกุมารและไว้ทุกข์ให้ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ ซึ่งตรัสทางผู้รับใช้​ของพระองค์คืออาหิยาห์ผู้เผยพระวจนะ

    (And all Israel buried him and mourned for him, according to the word of the Lord, which he spoke  by his servant Ahijah the prophet. )

    14:19 “ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของเยโรโบอัม เรื่องพระองค์ทรงทำศึก และทรงครอบครองอย่างไรนั้น ดูสิ ได้บันทึกไว้ใน​หนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอล

   (Now the rest of the acts of Jeroboam, how he warred and how he reigned, behold, they are written  in the Book of the Chronicles of the Kings of Israel. )

14:20 “เยโรโบอัมทรงครองราชย์เป็นเวลา 22 ปี และทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ แล้วนาดับพระราช‍โอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองราชย์แทน

(And the time that Jeroboam reigned was twenty-two years. And he slept with his fathers, and  Nadab his son reigned in his place. )

14:21 “เรโหโบอัมพระราชโอรสของซาโลมอนทรงครองราชย์ในยูดาห์ เมื่อเรโหโบอัมทรงเป็นกษัตริย์นั้นพระองค์มีพระชน​ายุ 41 พรรษา และทรงครองราชย์ 17 ปีในกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นเมืองที่พระยาห์เวห์ทรงเลือกจากเผ่าทั้งหมด​ ของอิสราเอลเพื่อจะสถาปนาพระนามของพระองค์ไว้ที่นั่น พระราชมารดาของพระองค์มีพระนามว่า นาอามาห์​คนอัมโมน

  (Now Rehoboam the son of Solomon reigned in Judah. Rehoboam was forty-one years old when  he began to reign, and he reigned seventeen years in Jerusalem, the city that the Lord had chosen  out of all the tribes of Israel, to put his name there. His mother’s name was Naamah the Ammonite. )

14:22 “ยูดาห์ทำชั่วในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ และทำให้พระองค์ขุ่นเคืองพระทัยยิ่งกว่าที่บรรพบุรุษได้ทำทั้งสิ้น  เพราะบาปที่พวกเขาได้ทำนั้น

   (And Judah did what was evil in the sight of the Lord, and they provoked him to jealousy with their  sins that they committed, more than all that their fathers had done. )

14:23 “พวกเขาสร้างสิ่งเหล่านี้ให้ตัวเอง คือปูชนียสถานสูง เสาศักดิ์สิทธิ์ และบรรดาพระอาเช-ราห์บนเนินเขาสูงทุกเนินและใต้ต้นไม้เขียวทุกต้น

    (For they also built for themselves high places and pillars and Asherim on every high hill and  under every green tree, )

14:24 “ยิ่งกว่านั้นมีเทวทาส ในแผ่นดินนั้นด้วยและพวกเขาได้ทำตามสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังทุกอย่างของบรรดาประชาชาติ  ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงขับไล่ออกไปให้พ้นหน้าประชาชนอิสราเอล

   (and there were also male cult prostitutes in the land. They did according to all the abominations of the nations that the Lord drove out before the people of Israel. )

14:25 “ในปีที่ห้าแห่งกษัตริย์เรโหโบอัม ชิชักกษัตริย์อียิปต์เสด็จขึ้นมารบกับกรุงเยรูซาเล็ม

   (In the fifth year of King Rehoboam, Shishak king of Egypt came up against Jerusalem.)

14:26 “พระองค์ทรงเอาทรัพย์สมบัติแห่งพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และทรัพย์สมบัติแห่งพระราชวังของกษัตริย์ พระองค์ทรงเอาไปทุกอย่าง และทรงเอาโล่ทองคำทั้งหมดที่ซาโลมอนทรงสร้างไว้นั้นไปด้วย

   (He took away the treasures of the house of the Lord and the treasures of the king’s house.  He took away everything. He also took away all the shields of gold that Solomon had made, )

14:27 “และกษัตริย์เรโหโบอัมทรงทำโล่ทองสัมฤทธิ์ขึ้นแทน และมอบไว้ในมือของพวกทหารรักษาพระองค์ผู้เฝ้าประตู​พระราชวัง

  (and King Rehoboam made in their place shields of bronze, and committed them to the hands of the officers of the guard, who kept the door of the king’s house. )

14:28 “เมื่อพระราชาเสด็จไปยังพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ทหารรักษาพระองค์ก็ถือโล่ออกมา แล้วนำกลับไปเก็บไว้ในห้องทหารรักษาพระองค์ตามเดิม

   (And as often as the king went into the house of the Lord, the guard carried them and brought  them back to the guardroom. )

14:29 “ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของเรโหโบอัม และทุกสิ่งที่ทรงกระทำ ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์​  ไม่ใช่ หรือ?”

   (Now the rest of the acts of Rehoboam and all that he did, are they not written in the Book of the Chronicles of the Kings of Judah? )

14:30 “มีสงครามระหว่างเรโหโบอัมกับเยโรโบอัมตลอดรัชสมัย

    (And there was war between Rehoboam and Jeroboam continually. )

14:31 “และเรโหโบอัมก็ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ใน​นครดาวิด พระราชมารดาของพระองค์มีพระนามว่า นาอามาห์คนอัมโมน และอาบียัมพระราชโอรสก็ขึ้นครอง‌ราชย์แทน

     (And Rehoboam slept with his fathers and was buried with his fathers in the city of David. His  mother’s name was Naamah the Ammonite. And Abijam his son reigned in his place. )

ข้อมูลมีประโยชน์

14:1     “ในเวลานั้น” (that time ) =เวลาที่ไม่ห่างจากเหตุการณ์ที่กล่าวถึงในบทที่ 13

“อาบียาห์” (Abijah) = หมายความว่า “พระบิดาของเราคือ พระยาห์เวห์”

14:2     “จงลุกขึ้นปลอมตัวของเจ้า” (disguise yourself) = เยโรโบอัมบัญชาให้มเหสีปลอมตัวไปหาผู้เผย

พระวจนะอาหิยาห์ เพื่อจะรู้ถึงอนาคตของโอรสของตน ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่า ท่านเองยอมรับความสามารถในการทำนายอนาคตของอาหิยาห์

“ผู้ได้กล่าวเรื่องเราว่า เราจะได้เป็นกษัตริย์เหนือประชาชนนี้” (  who said of me that I should be king over this people) -11:29-39

14:5     “พระยาห์เวห์ตรัสกับอาหิยาห์ว่า” (the Lord said to Ahijah) = ดูตัวอย่างอื่น ๆ เกี่ยวข้องกับการเปิดเผยของพระเจ้าเกี่ยวกับผู้ที่กำลังจะมาเยือนได้ใน 1ซมอ.9:15-17;2พกษ.6:32

14:6     “ขอเชิญพระมเหสีของเยโรโบอัมเสด็จเข้ามาข้างใน” (Come in, wife of Jeroboam) = การที่อาหิยาห์รู้จักมเหสีของเยโรโบอัมและจุดประสงค์ที่เธอมาเป็นเครื่องยืนยันว่า คำพูดของเขามาจากพระวจนะของพระเจ้าจริงๆ

14:7     “…เราได้ยกเจ้าขึ้น…ทำให้เจ้าเป็นประมุขเหนือ” (I exalted you …….. made you leader over)

=พระเจ้าเตือนให้เยโรโบอัมระลึกถึงสิ่งที่พระเจ้ากระทำให้เขาขึ้นเป็นกษัตริย์ (11:26;30-38)

14:8     “…แต่เจ้าก็ไม่เหมือนอย่างดาวิดผู้รับใช้ของเรา” ( yet you have not been like my servant David)

= เยโรโบอัมไม่ได้สำนึกในพระคุณของพระเจ้า ไม่ได้ตอบสนองต่อพระราชกิจอันทรงพระคุณของพระเจ้าและไม่ได้ใส่ใจในข้อเรียกร้องต่าง ๆ ที่อาหิยาห์ ได้กล่าวไว้ตอนที่เยโรโบอัมจะได้เป็นกษัตริย์ (11:38)

14:9     “แต่เจ้าได้ทำชั่วยิ่งกว่าทุกคนที่อยู่ก่อนเจ้า” (you have done evil above all who were before you)

= ความชั่วของเยโรโบอัมนั้น มากยิ่งกว่าซาอูล  ดาวิด และซาโลมอน เพราะเขาได้ก่อตั้งระบบการนมัสการรูปเคารพสำหรับประชาชนในอิสราเอล(ทางเหนือ) ทั้งหมด

“พระอื่น” (other gods) -12:28,30

14:10   “ทั้งทาสและไท”  (both bond and free) =ไม่มีข้อยกเว้น (21:21;2พกษ.9:8;14:26)

14:11   “ใครตายในทุ่งนา นกในอากาศจะกิน” (anyone who dies in the open country the birds of the heavens shall eat) -16:4, คำสาปแช่งตามพันธสัญญาเดิมในเฉลยธรรมบัญญัติ 28:26 เป็นจริงกับลูกหลานเพศชายของเยโรโบอัม และจะไม่มีผู้ใดได้รับการฝังอย่างสมเกียรติเลย

14:12   “พระกุมาร” (child) = คำภาษาฮีบรูมีช่วงอายุกว้าง (เป็นคำที่ใช้กับสหายหนุ่มของเรโหโบอัมด้วย,12:8)

“จะสิ้นพระชนม์” (shall die) = แม้ว่าอาบียาห์จะตาย และทำให้เยโรโบอัมและมเหสีเสียใจ แต่ก็

เป็นพระกรุณาของพระเจ้าต่อโอรสองค์นี้ของพวกเขา เพราะว่าเขายังมีพิธีศพที่สมเกียรติและไม่ต้องทนทุกข์กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับวงศ์วานของบิดา (อสย.57:1-2)

14:13   “แล้วอิสราเอลทั้งหมดจะไว้ทุกข์ให้และจะฝังพระศพไว้” (And all Israel shall mourn for him and bury him) = อาบียาห์เป็นรัชทายาทคนหนึ่งเป็นที่รู้จักของประชาชน และเขาเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นในราชวงศ์ของเยโรโบอัม ที่ได้รับการฝังศพอย่างสมเกียรติ

14:14   “กษัตริย์องค์หนึ่ง…ผู้จะกำจัดราชวงศ์ของเยโรโบอัมเสีย” (king over Israel who shall cut off the house  of Jeroboam) = อาหิยาห์มองข้ามการครองราชย์สั้น ๆ ของนาดับ บุตรชายของเยโรโบอัม   (15:25-26) ไปถึงการกบฏของบาอาชา (15:27-16:7)

14:15   “ดุจไม้อ้อสั่นอยู่ในน้ำ” (reed is shaken in the water) = พรรณนาถึงความไร้เสถียรภาพของราชวงศ์ในอาณาจักรทางเหนือ (อิสราเอล)  ซึ่งเต็มไปด้วยการลอบปลงพระชนม์และการกบฏ (15:27-28;16:16; 2พกษ.9:24;15:10,14,25,30)

“จะทรงถอนรากอิสราเอลออกเสียจากแผ่นดินอันดีนี้” (will strike Israel as a and root up Israel out of this good land) –2พกษ.17:22-23

-ต่อมาคำพยากรณ์นี้ปรากฏเป็นจริง

-ให้ดูคำสาปแช่งต่อการละเมิดพันธสัญญาใน ฉธบ.28:63-64;29:25-28

“บรรดาพระอาเชราห์” ( Asherim) –เจ้าแม่อาเชราห์ เป็นภรรยาของเอล เทพเจ้าของชาวคานาอัน ในที่นี้น่าจะหมายถึงเสารูปไม้สลักของเจ้าแม่นี้ (อพย.34:13;วนฉ.2:13)

14:16   “บาปของเยโรโบอัมซึ่งท่านได้ทำ” (sins of Jeroboam, which he sinned ) -12:26-33;13:33-34

“และทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย” (made Israel to sin) = นำให้ชาวอิสราเอลทำตาม

= เป็นวลีที่ใช้บ่อยใน 1-2 พงศ์กษัตริย์ อาทิ 15:26;16:2;13,19,26

14:17   “เมืองทีรซาห์” (Tirzah) = เมืองหลวงของกษัตริย์อิสราเอลมาตลอด จนกระทั่งอมรีซื้อภูเขาและสร้างเมืองสะมาเรียขึ้นมาแทน (16:24) (ทีรซาห์ อาจจะเป็นเทลเอลฟาราห์ ในปัจจุบัน  อยู่ราว 11 กิโลเมตรทางเหนือของเชเคม –พซม.6:4)

14:19   “ทำศึก” (warred) –ข.30;15:6;2พศด.13:2-20

“หนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอล” (Book of the Chronicles of the Kings of Israel.)

= จดหมายเหตุกษัตริย์แห่งอิสราเอล

= บันทึกการครองราชย์ของกษัตริย์ทางฝ่ายเหนือ

14:20   “22 ปี” (twenty-two years ) = ช่วงเวลาที่เยโรโบอัมครองราชย์

= ปี 930-909 ก.ค.ศ

“นาดับ” (Nadab) -15:25-32

14:21   “17ปี” (seventeen years) = ช่วงเวลาที่เรโหโบอัมครองราชย์

= ปี 930-913 ก.ค.ศ

“เมืองที่พระยาห์เวห์ทรงเลือกจากเผ่าทั้งหมดของอิสราเอล” (the city that the Lord had chosen out of all the tribes of Israel) -9:3;สดด.132:13

14:22   “ยูดาห์ทำชั่วในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์” (Judah did what was evil in the sight of the Lord) –2พศด.11-13, เริ่มแรกปุโรหิต/เลวีที่อพยพมาจากทางเหนือนำประชาชนให้ตามแบบอย่างดาวิด และ      ซาโลมอนในช่วง 3 ปีแรกของเรโหโบอัม (12:24;2พศด.11:17) แต่ภายหลังเรโหโบอัม และชาวยูดาห์      หันหลังให้พระเจ้า (2พศด.12:1)

14:23   “ปูชนียสถานสูง” (high places) = สถานบูชาบนที่สูง -3:2

“เสาศักดิ์สิทธิ์” (pillars) = เสาหินที่มีความสำคัญทางศาสนาจะตั้งไว้ข้างแท่นบูชา เป็นธรรมเนียมปฏิบัติในหมู่คนคานาอัน และเป็นข้อห้ามชัดเจนสำหรับชาวอิสราเอลตามบัญญัติของโมเสส (อพย.23:24; ลนต.26:1;ฉธบ.16:21-22) เสาเหล่านี้อาจใช้เป็นตัวแทนของเทพเจ้า (2พกษ.3:21

-ในพระคัมภีร์มีการกล่าวถึงการใช้เสาหินอย่างถูกต้องด้วย (ปฐก.28:18;31:45;อพย.24:4)

14:24   “เทวทาส” (male cult prostitutes) = โสเภณีชายประจำสถานบูชา

-การใช้โสเภณีในพิธีกรรมเป็นลักษณะเด่นของศาสนาแห่งความอุดมสมบูรณ์ของชาวคานาอัน โมเสสเตือนชาวอิสราเอลไม่ให้ประพฤติเช่นนั้น –ฉธบ.23:17-15;1พกษ.15:12;2พกษ.23:7;ฮชย.4:14

14:25   “ปีที่ 5 แห่งกษัตริย์เรโหโบอัม” (fifth year of King Rehoboam) = ปี 926 ก.ค.ศ

“ชิชักกษัตริย์อียิปต์” (Shishak king of Egypt) –3:1;11:40

“ขึ้นมารบกับกรุงเยรูซาเล็ม” (came up against Jerusalem) –การรุกรานของชิชักมีรายละเอียดอยู่ใน    2พศด.12:2-4 และมีการยืนยันด้วยการจารึกถึงชัยชนะบนกำแพงในวิหารของอามุน ที่เธเบส (ซึ่งมีรายชื่อเมืองกว่า 15 แห่งที่ชิชักปล้นสะดมในยูดาห์ และอิสราเอล

-ใน 2 พศด.12:5-8, ระบุถึงความกลัวการรุกรานที่กำลังจะมาถึงทำให้เกิดการกลับใจแบบชั่วคราวในยูดาห์

14:26   “โล่ทองคำทั้งหมดที่ซาโลมอนทรงสร้างไว้” (the shields of gold that Solomon had made) -10:16

14:27   “โล่ทองสัมฤทธิ์” (shields of bronze) –เรโหโบอัมสูญเสียโล่ทองคำจึงสร้างโล่ทองสัมฤทธิ์ขึ้นมาทดแทน

บ่งบอกว่า เป็นความตกต่ำลงนับจากสมัยของซาโลมอนเป็นต้นมา (10:21,23,27)

14:30   “มีสงคราม…ตลอดรัชสมัย” (was war …continually) = มีสงครามรบพุ่งกันไม่ขาด –ข.19;12:24

14:31   “ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ” (slept with his fathers ) -1:21

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยมีคนที่คุณรักล้มป่วยลงจนน่าวิตกกังวลบ้างหรือไม่?   เป็นใคร?  เป็นอะไร?  แล้วคุณจัดการอย่างไร? ผลเป็นอย่างไร?
  2. คุณเคยต้องแอบปลอมตัวเพื่อทำบางสิ่งบางอย่างบ้างหรือไม่?  ในเรื่องอะไร?  และทำไมต้องทำเช่นนั้น? แล้วผลเป็นอย่างไร?
  3. คุณเคยได้รับการเปิดเผยหรือสำแดงในเรื่องอะไรจากพระเจ้าบ้างหรือไม่?  อย่างไร?
  4. คุณเคยคาดหวังทางออกหรือทางรอดในบางเรื่อง แต่สุดท้ายกลับผิดหวังและสิ้นหวังในเรื่องนั้น ๆ บ้างหรือไม่? และเรื่องนั้นส่งผลอะไรต่อคุณบ้าง?
  5. คุณเคยเห็นการลงโทษของพระเจ้าต่อบุคคลใด กลุ่มใด หรือชนชาติใด บ้างหรือไม่? เพราะอะไร? และสิ่งนั้นสอนอะไรคุณบ้าง?
  6. คุณได้เรียนรู้บทเรียนอะไรบ้างจากการที่คนอิสราเอลและคนยูดาห์สู้รบกันเองตลอดเวลายาวนาน?
  7. คุณคิดว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้คนอิสราเอลและคนยูดาห์ที่เป็นชนชาติที่พระเจ้าเลือกจึงทำบาปชั่วได้ตลอดมา? แล้วคุณเองมีอะไรที่แตกต่างจากพวกเขาบ้าง?
  8. คุณได้รับบทเรียนอะไรบ้างจากการที่ชิชักกษัตริย์อียิปต์บุกขึ้นมาโจมตีเยรูซาเล็มและนำเอาโล่ทองคำทั้งหมดที่ซาโลมอนสร้างขึ้นไป?

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 17)

แผ่นดินแยกเป็น 2 !

 

พระธรรม        1พงศ์กษัตริย์ 12:1-33

อ้างอิง             2พศด.10:1-19;11:1-4

บทนำ                 เมื่อพระเจ้าทรงประทานพระพรหรือสิทธิพิเศษใด ๆ ให้แก่คุณ จงอย่าใช้อารมณ์ ทิฐิ หรือความคิดเห็นส่วนตัวของคุณหรือคนใกล้ตัวในการตัดสินใจทำอะไรที่นำความเสียหายมาสู่พระนามของพระเจ้า และความเป็นหนึ่งในท่ามกลางพวกคุณเอง!

บทเรียน

 12:1 “เรโหโบอัม​ได้​ไป​ยัง​เมือง​เชเคม เพราะ​อิสราเอล​ทั้งสิ้น​ได้​มา​ยัง​เชเคม เพื่อ​จะ​ตั้ง​พระองค์​ให้​เป็น​กษัตริย์

       (Rehoboam went to Shechem, for all Israel had come to Shechem to make him king. )

12:2 “เมื่อ​เยโรโบอัม​บุตร​เนบัท​ทราบ​เรื่อง​นี้​แล้ว ท่าน​ยัง​คง​อยู่​ใน​อียิปต์ (ที่​เยโรโบอัม​ต้อง​อาศัย​อยู่​ใน​อียิปต์ เพราะ​ท่าน​หนี​จาก​พระพักตร์​พระราชา​ซาโลมอน)

       (And as soon as Jeroboam the son of Nebat heard of it (for he was still in Egypt, where he had fled from King  Solomon), then Jeroboam returned from Egypt. )

12:3 “เขา​ทั้งหลาย​ก็​ใช้​คน​ไป​เรียก​ท่าน เยโรโบอัม​กับ​ชุมนุมชน​อิสราเอล​ทั้งหมด​ได้​มา​ทูล​เรโหโบอัม​ว่า

      (And they sent and called him, and Jeroboam and all the assembly of Israel came and said to Rehoboam,)

12:4 “พระราชบิดา ​ของ​ฝ่า​พระบาท​ได้​ทำ​ให้​แอก​ของ​พวก​ข้าพระบาท​หนัก​นัก เพราะ​ฉะนั้น บัดนี้​ขอ​ฝ่าพระบาท​ทรง​ลด​งาน​หนัก​ของ​พระราชบิดา​ของ​ฝ่า​พระบาท และ​ทำให้​แอก​หนัก​ของ​พระองค์​ที่​อยู่​เหนือ​พวก​ข้าพระบาท​เบา​ลง แล้วพวก​ข้าพระบาท​จะ​ ปรนนิบัติ​ฝ่า​พระบาท

     (“Your father made our yoke heavy. Now therefore lighten the hard service of your father and his heavy yoke on us, and we will serve you.” )

12:5 “พระองค์​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “จง​กลับ​ไป​ก่อน แล้ว​สัก​สาม​วัน​จึง​มา​หา​เรา​อีก” ประชาชน​จึง​กลับ​ไป

        (He said to them, “Go away for three days, then come again to me.” So the people went away. )

12:6 “แล้ว​พระราชา​เรโหโบอัม​ก็​ทรง​ปรึกษา​กับ​บรรดา​ผู้อาวุโส ผู้​ได้​ปรนนิบัติ​ซาโลมอน​พระราชบิดา​ของ​พระองค์ เมื่อ​ยัง​ทรง​พระชนม์​อยู่​ว่า “ท่าน​ทั้งหลาย​จะ​แนะนำ​เรา​ให้​ตอบ​ประชาชน​นี้​อย่างไร?”

     (Then King Rehoboam took counsel with the old men, who had stood before Solomon his father while he was  yet alive, saying, “How do you advise me to answer this people?”)

12:7 “เขา​ทั้งหลาย​ทูล​พระองค์​ว่า “ถ้า​ฝ่า​พระบาท​จะ​ทรง​เป็น​ผู้​รับใช้​ประชาชน​นี้​ใน​วันนี้ และ​ปรนนิบัติ​พวกเขา และ​ตรัส​ตอบ​คำ​ดี​แก่​พวกเขา เขา​ทั้งหลาย​ก็​จะ​เป็น​ผู้​รับใช้​ของ​ฝ่า​พระบาท​ตลอด​ไป

     (And they said to him, “If you will be a servant to this people today and serve them, and speak good words to them when you answer them, then they will be your servants forever.”)

12:8 “แต่​พระองค์​ทรง​ปฏิเสธ​คำ​ปรึกษา​ที่​บรรดา​ผู้อาวุโส​ถวาย​นั้น และ​ไป​ปรึกษา​กับ​พวก​คน​หนุ่ม​ที่​เติบโต​ขึ้น​มา​ พร้อม​กับ​พระองค์ ซึ่ง​อยู่​ปรนนิบัติ​พระองค์

       (But he abandoned the counsel that the old men gave him and took counsel with the young men who had  grown up with him and stood before him. )

12:9 “และ​พระองค์​ตรัส​กับ​เขา​ทั้งหลาย​ว่า “ท่าน​จะ​แนะนำ​เรา​อย่างไร เพื่อ​พวก​เรา​จะ​ตอบ​ประชาชน​นี้​ผู้​ที่​ทูล​เรา​ว่า ‘ขอ​ทรง​ทำให้​ แอก​ซึ่ง​พระราชบิดา​ของ​ฝ่า​พระบาทวาง​อยู่​เหนือ​พวก​ ข้าพระบาท​เบา​ลง’”

    (And he said to them, “What do you advise that we answer this people who have said to me, “Lighten the  yoke that your father put on us”?” )

12:10 “และ​คน​หนุ่ม​เหล่า​นั้น​ผู้​ได้​เติบโต​ขึ้น​มา​พร้อม​กับ​พระองค์​ทูล​ พระองค์​ว่า “ขอฝ่า​พระบาท​ตรัส​ดังนี้​แก่​ประชาชน​นี้ผู้​ทูล​พระองค์​ว่า ‘พระราชบิดา​ของ​ฝ่า​พระบาท​ได้​ทรง​ทำ​ให้​แอก​ของ​พวก​ข้าพระบาท​ หนัก แต่​ขอ​ฝ่า​พระบาท​ทรง​ทำ​ให้​เบา​ลง’ นั้นขอ​ฝ่า​พระบาท​ตรัส​แก่​เขา​ทั้งหลาย​อย่างนี้​ว่า ‘นิ้วก้อย​ของ​เรา​ก็​หนา​กว่า​เอว​ของพระราชบิดา​เรา

    (And the young men who had grown up with him said to him, “Thus shall you speak to this people who  said  to you, “Your father made our yoke heavy, but you lighten it for us,” thus shall you say to them, “My little finger  is thicker than my father’s thighs. )

12:11 “พระราชบิดา​ของ​เรา​ได้​วาง​แอก​หนัก​บน​ท่าน​ทั้งหลาย ส่วนเรา​ก็​จะ​เพิ่ม​ภาระ​บน​แอก​ของ​ท่าน​ทั้งหลาย​อีกพระราชบิดา​ของ​ เรา​ตี​สอน​ท่าน​ทั้งหลาย​ด้วย​แส้ แต่​เรา​จะ​ตี​สอน​ท่าน​ด้วย​แมงป่อง’”

   (And now, whereas my father laid on you a heavy yoke, I will add to your yoke. My father disciplined you with whips, but I will discipline you with scorpions.” )

12:12 “เยโรโบอัม​กับ​ประชาชน​ทั้งหมดจึง​เข้า​มา​เฝ้า​เรโหโบอัม​ใน​วัน​ที่​สามดังที่​พระราชา​รับสั่ง​ว่า“จง​กลับ​มา​หา​เรา​ใน​วัน​ที่​สาม”

  (So Jeroboam and all the people came to Rehoboam the third day, as the king said, “Come to me again the  third day.” )

12:13 “และ​พระราชา​ตรัส​ตอบ​ประชาชน​อย่าง​ดุดัน พระองค์​ทรง​ปฏิเสธ​คำ​ปรึกษา​ที่​บรรดา​ผู้อาวุโส​ได้​ถวาย​นั้น

      (And the king answered the people harshly, and forsaking the counsel that the old men had given him, )

12:14 “และ​ตรัส​กับ​เขา​ทั้งหลาย​ตาม​คำ​ปรึกษา​ของ​พวก​คน​หนุ่ม​ว่า “พระราชบิดา​ของ​เรา​ทำ​แอก​ของ​ท่าน​ทั้งหลาย​ให้​หนัก แต่​เรา​จะ​เพิ่ม​ภาระ​บน​แอก​ของ​ท่าน​ทั้งหลาย​อีก พระราชบิดา​ของ​เรา​ตี​สอน​ท่าน​ทั้งหลาย​ด้วย​แส้ แต่​เรา​จะ​ตี​สอน​ท่าน​ทั้งหลาย​ด้วย​ แมงป่อง

    (he spoke to them according to the counsel of the young men, saying, “My father made your  yoke heavy, but  I will add to your yoke. My father disciplined you with whips, but I will discipline you with scorpions.”)

12:15 “พระราชา​ไม่​ทรง​ฟัง​ประชาชน เพราะ​การ​แปร​เปลี่ยน​นี้​เป็น​มา​จาก​พระยาห์เวห์ เพื่อ​พระองค์​จะ​ทรง​ทำ​ให้​พระวจนะ​ของพระองค์​ได้​สำเร็จ ซึ่ง​พระยาห์เวห์​ตรัส​โดย​อาหิยาห์​ชาว​ชีโลห์​แก่​เยโรโบอัม​บุตร​เนบัท

  (So the king did not listen to the people, for it was a turn of affairs brought about by the Lord that he might  fulfill his word, which the Lord spoke by Ahijah the Shilonite to Jeroboam the son of Nebat. )

12:16 “และ​เมื่อ​อิสราเอล​ทั้งสิ้น​เห็น​ว่า​พระราชา​ไม่ได้​ทรง​ฟัง​เขา​ทั้งหลาย ประชาชน​ก็​ทูล​ตอบ​พระราชา​ว่า“พวก​ข้าพระบาท​มี​ส่วน​อะไร​ใน​ดาวิด พวก​ข้าพระบาท​ไม่มี​มรดก​ใน​บุตร​เจสซี โอ อิสราเอล​เอ๋ย กลับ​ไป​เต็นท์​ของ​ท่าน​เถิด ข้าแต่​ดาวิด จง​ดูแล​ราชวงศ์​ของ​พระองค์​เอง​เถิด” อิสราเอล​จึง​จาก​ไป​ยัง​เต็นท์​ของ​เขา

  (And when all Israel saw that the king did not listen to them, the people answered the king,”What portion do we have in David? We have no inheritance in the son of Jesse. To your tents, O Israel! Look now to your own house, David.” So Israel went to their tents. )

12:17 “แต่​เรโหโบอัม​ทรง​ปกครอง​ประชาชน​อิสราเอล ผู้​อาศัย​อยู่​ใน​เมือง​ต่างๆ ของ​ยูดาห์

     (But Rehoboam reigned over the people of Israel who lived in the cities of Judah. )

12:18 “แล้ว​พระราชา​เรโหโบอัม​ทรง​ใช้​อาโดรัม​ผู้​ดูแล​คนงาน​โยธา​ไป และ​อิสราเอล​ทั้งสิ้น​ก็​เอา​หิน​ขว้าง​เขา​ตาย แล้ว​พระราชา​เรโหโบอัม​ก็​ทรง​รีบ​ขึ้น​รถรบ​หนี​ไป​ยัง​กรุง​เยรูซาเล็ม

     (Then King Rehoboam sent Adoram, who was taskmaster over the forced labor, and all Israel stoned him to  death with stones. And King Rehoboam hurried to mount his chariot to flee to Jerusalem. )

12:19 “อิสราเอล​จึง​กบฏ​ต่อ​ราชวงศ์​ของ​ดาวิด​จน​ถึง​ทุก​วันนี้

         (So Israel has been in rebellion against the house of David to this day. )

12:20 “และ​ต่อ​มา​เมื่อ​อิสราเอล​ทั้งปวง​ได้​ยิน​ว่า​เยโรโบอัม​ได้​กลับ​มา​ แล้ว พวกเขา​ก็​ใช้​ให้​ไป​เชิญ​ท่าน​มา​ยัง​ที่​ประชุม แล้ว​ก็​ตั้ง​ท่าน​ห้​เป็น​กษัตริย์​เหนือ​อิสราเอล​ทั้งสิ้น ไม่มี​ใคร​ติดตาม​เชื้อวงศ์​ของ​ดาวิด นอก​จาก​เผ่า​ยูดาห์​เท่านั้น

   (And when all Israel heard that Jeroboam had returned, they sent and called him to the assembly and made him king over all Israel. There was none that followed the house of David but the tribe of Judah only. )

12:21 “เมื่อ​เรโหโบอัม​ทรง​มา​ถึง​กรุง​เยรูซาเล็ม​แล้ว พระองค์​ทรง​ระดม​พล​จาก​พงศ์พันธุ์​ยูดาห์​ทั้งหมด​และ​เผ่า​เบนยามินเป็น​นักรบ​ที่​ คัดเลือก​แล้ว 180,000 คน เพื่อ​จะ​สู้รบ​กับ​พงศ์พันธุ์​อิสราเอล เพื่อ​จะ​เอา​ราชอาณาจักร​คืน​มา​ให้​แก่​เรโหโบอัม​พระราชโอรส​ของ​ซาโลมอน

    (When Rehoboam came to Jerusalem, he assembled all the house of Judah and the tribe of Benjamin,  180,000 chosen warriors, to fight against the house of Israel, to restore the kingdom to Rehoboam the son of  Solomon. )

12:22 “แต่​พระวจนะ​ของ​พระเจ้า​มา​ยัง​เชไมอาห์​คน​ของ​พระเจ้า​ว่า

          (But the word of God came to Shemaiah the man of God: )

12:23 “จง​ไป​ทูล​เรโหโบอัม​พระราชโอรส​ของ​ซาโลมอน พระราชา​แห่ง​ยูดาห์ และ​บอก​กับ​พงศ์พันธุ์​ทั้งหมด​ของ​ยูดาห์​และ​เบนยามินและ​กับ​ประชาชน​ที่​เหลือ​อยู่​ว่า
(“Say to Rehoboam the son of Solomon, king of Judah, and to all the house of Judah and Benjamin, and to the rest of the people, )

12:24 “‘พระยาห์เวห์​ตรัส​ดังนี้​ว่า พวกเจ้า​อย่า​ขึ้น​ไป​สู้รบ​กับ​ประชาชน​อิสราเอล​พี่น้อง​ของ​เจ้าเลย ทุก​คน​จง​กลับ​บ้าน​ของ​ตน​เถิด   เพราะ​สิ่ง​นี้​เป็น​มา​จาก​เรา’” แล้ว​พวกเขา​จึง​เชื่อฟัง​พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์ และ​กลับ​ไป​ตาม​พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์

   (“Thus says the Lord, You shall not go up or fight against your relatives the people of Israel. Every man  return to his home, for this thing is from me.” So they listened to the word of the Lord and went home again,   according to the word of the Lord. )

12:25 “เยโรโบอัม​ทรง​สร้าง​เมือง​เชเคม​ใน​ถิ่น​เทือก​เขา​เอฟราอิม และ​ประทับ​ใน​เมือง​นั้น แล้ว​ก็​เสด็จ​ออก​จาก​ที่นั่น ไป​สร้าง​เมือง​ เปนูเอล
(Then Jeroboam built Shechem in the hill country of Ephraim and lived there. And he went out from  there  and built Penuel. )

12:26 “และ​เยโรโบอัม​ทรง​รำพึง​ใน​พระทัย​ว่า “คราว​นี้​ราชอาณาจักร​จะ​กลับ​ไป​เป็น​ของ​ราชวงศ์​ของ​ดาวิด

          (And Jeroboam said in his heart, “Now the kingdom will turn back to the house of David. )

12:27 “ถ้า​ประชาชน​นี้​ขึ้น​ไป​ถวาย​เครื่อง​สัตวบูชา ใน​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์​ที่​กรุง​เยรูซาเล็ม แล้ว​จิตใจ​ของ​ประชาชน​นี้​จะ​หัน‌กลับ​ไป​ยัง​เจ้านาย​ของ​พวกเขา คือ​ไป​ยัง​เรโหโบอัม​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์ และ​พวกเขา​จะ​ฆ่า​เรา​เสีย แล้ว​หัน​กลับ​ไป​ยัง​เรโหโบอัม​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์

        (If this people go up to offer sacrifices in the temple of the Lord at Jerusalem, then the heart of this people   will turn again to their lord, to Rehoboam king of Judah, and they will kill me and return to Rehoboam king of  Judah.” )

12:28 “ดังนั้น​พระราชา​จึง​ทรง​ปรึกษา และ​ได้​ทรง​สร้าง​ลูกวัว​ทองคำ​สอง​ตัว แล้ว​ตรัส​กับ​พวกเขา​ว่า “ท่าน​ทั้งหลาย​ ขึ้น​ไป​ยัง​รุง​เยรูซาเล็ม​นาน​พอ​แล้ว โอ อิสราเอล​เอ๋ย จง​ดู​พระเจ้า​ของ​ท่าน ผู้ทรง​นำ​ท่าน​ขึ้น​มา​จาก​อียิปต์

  (So the king took counsel and made two calves of gold. And he said to the people, “You have gone up to  Jerusalem long enough. Behold your gods, O Israel, who brought you up out of the land of Egypt.” )

12:29 “และ​พระองค์​ก็​ทรง​ประดิษฐาน​ตัวหนึ่ง​ไว้​ที่​เบธเอล และ​อีก​ตัว​หนึ่ง​ก็​ทรง​ตั้ง​ไว้​ใน​เมือง​ดาน

          (And he set one in Bethel, and the other he put in Dan. )

12:30 “และ​สิ่ง​นี้​เป็น​บาป เพราะ​ประชาชน​ไป​กราบไหว้​ลูก​วัว​ทองคำ​ตัว​หนึ่ง​ที่​เบธเอล และ​ไป​ไกล​จน​ถึง​เมือง​ดาน​ เพื่อ​กราบ​ไหว้​อีก​ตัว​หนึ่ง

         (Then this thing became a sin, for the people went as far as Dan to be before one. )

12: 31 “แล้ว​พระองค์​ทรง​สร้าง​นิเวศ​แห่ง​ปูชนียสถาน​สูง และ​ทรง​ตั้ง​ปุโรหิต​จาก​ประชาชน​ธรรมดา​ผู้​ไม่​ใช่​คน​เลวี

(He also made temples on high places and appointed priests from among all the people, who were not of the Levites. )

12:32 “และ​เยโรโบอัม​ทรง​กำหนด​เทศกาล​เลี้ยง ใน​วัน​ที่​สิบห้า​เดือน​แปด​เหมือน​กับ​การ​เลี้ยง​ใน​ยูดาห์ และ​ทรง​ถวาย​เครื่อง​สัตวบูชา​บน​แท่น​บูชา พระองค์​ทรง​ทำ​เช่นนั้น​ใน​เบธเอล คือ​ถวาย​เครื่อง​สัตวบูชา​แก่​รูป​ลูกวัว​ที่​ได้​ทรง​สร้าง​ไว้​นั้น และ​พระองค์​ทรง​ สถาปนา​ปุโรหิต​ประจำ​ปูชนียสถาน​สูง ซึ่ง​ทรง​สร้าง​ไว้ ณเบธเอล

 (And Jeroboam appointed a feast on the fifteenth day of the eighth month like the feast that was in Judah,  and he offered sacrifices on the altar. So he did in Bethel, sacrificing to the calves that he made. And he  placed in Bethel the priests of the high places that he had made.)

12:33 “พระองค์​ทรง​ขึ้น​ไป​ยัง​แท่น​บูชา ซึ่ง​พระองค์​ทรง​สร้าง​ไว้​ที่​เบธเอล ใน​วัน​ที่​สิบห้า​เดือน​แปด ใน​เดือน​ซึ่ง​พระองค์​ทรง​ดำริ​เอง  และ​ทรง​กำหนด​เทศกาล​เลี้ยง​สำหรับ​คน​อิสราเอล และ​ทรง​ขึ้น​ไป​ยัง​แท่น​บูชา​เพื่อ​เผา​เครื่องหอม

  (He went up to the altar that he had made in Bethel on the fifteenth day in the eighth month, in the month that  he had devised from his own heart. And he instituted a feast for the people of Israel and went up to the altar  to make offerings. )

ข้อมูลมีประโยชน์

 12:1     “เชเคม” (Shechem)= เมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อยู่ในบริเวณเทือกเขาของเอฟราอิมตอนเหนือ (ปฐก.12:6;33:18-20;ยชว.8:30-35;ยชว.20:7;21;21:24:1-33)

“อิสราเอลทั้งสิ้น” (all Israel) = ตัวแทนของเผ่าที่อยู่ทางเหนือ (ข.16) เนื่องด้วยดาวิดเป็นกษัตริย์ของฝ่ายเหนือตามพันธสัญญาที่ตกลงกัน (2ซมอ.5:3) ดังนั้น เมื่อมีการผลัดเปลี่ยนกษัตริย์ฝ่ายเหนือจึงอาจพิจารณาใหม่ว่า จะยอมรับกษัตริย์องค์ใหม่หรือไม่ และสามารถเจรจากันได้

12:2     “ทราบเรื่องนี้แล้ว” (heard of it) =ทราบข่าวเรื่องการตายของซาโลมอน (11:43)

“อาศัยอยู่ในอียิปต์” (still in Egyp) –ในฉบับกรีกและลาตินมีข้อความเพิ่มเติมว่า  

                 “ท่านกลับมาจากอียิปต์”  -2พศด.10:2

12:4     “ทำให้แอกของพวกข้าพระบาทหนักนัก” (made our yoke heavy)= วางแอกหนักให้พวกข้าพระบาท

= ความไม่พอใจที่ถูกเก็บภาษีหนัก ถูกเกณฑ์แรงงาน ถูกเกณฑ์ทหาร ได้ประทุออกมาอย่ารุนแรง (4:7,22-23,27-28;5:13-14;9:22;9:15;11:28)

= สถานการณ์ต่าง ๆ  เริ่มย่ำแย่ลงมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่ต้นรัชกาลของซาโลมอน (4:20)

12:6     “บรรดาผู้อาวุโสผู้ใดปรนนิบัติซาโลมอนพระราชบิดา” (counsel with the old men, who had stood before Solomon) = ข้าราชการที่รับใช้ซาโลมอน เช่น อาโดนีรัม (4:6) และข้าหลวงประจำเขต (4:7-19)

12:7     “ถ้า…เป็นผู้รับใช้ประชาชนนี้ในวันนี้” (“If… will be a servant to this people today ) = การเป็นกษัตริย์หรือผู้นำนั้น จะได้รับอำนาจรัฐซึ่งมีไว้รับใช้ประชาชน ไม่ใช่เพื่อแสดงอำนาจบาตรใหญ่ตามใจของชนชั้นผู้ปกครอง

12:8     “ปรึกษาพวกคนหนุ่มที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกันพระองค์” (counsel with the young men who had grown up with him) – ในเวลานั้น เรโหโบอัมอายุราว 41 ปี เมื่อขึ้นครองราชย์ (14:21)

“ซึ่งอยู่ปรนนิบัติพระองค์” (stood before him.) = เรโหโบอัม ตั้งตำแหน่งใหม่ ๆ ในราชสำนักขึ้นมาเพื่อให้เพื่อนหรือคนคุ้นเคยในรุ่นเดียวกันมาทำหน้าที่

12:10   “นิ้วก้อยของเราก็หนากว่าเอวของพระราชบิดาเรา” (“My little finger is thicker than my father’s thighs.) = คำภาษาเปรียบเปรยว่า ส่วนที่เล็กที่สุดของเรโหโบอัมยังแข็งแรงยิ่งกว่าส่วนที่ใหญ่ที่สุดของ  พระราชบิดา

12:11   “แส้…แมงป่อง” (whips… scorpions) = “แมงป่อง”ในที่นี่ = แส้หนังที่มีปลายเป็นโลหะแหลม ดังนั้น    เรโหโบอัม (รัฐ) ไม่เพียงแต่จะเพิ่มภาระให้ประชาชน แต่ยังจะเพิ่มบทลงโทษแก่ผู้ที่ไม่ตามคำสั่งของรัฐด้วย

12:14   “ตรัสกับเขาทั้งหลายตามคำปรึกษาของพวกคนหนุ่ม” (spoke to them according to the counsel of the young men) = คำตอบของพระราชาที่ตรงข้ามกับลักษณะของราชา(กษัตริย์) ตามพันธสัญญาของพระเจ้า (ฉธบ.17:14-20;1ซมอ.10:25)

12:15   “การแปรเปลี่ยนนี้เป็นมาจากพระยาห์เวห์” (for it was a turn of affairs brought about by the Lord)

= เหตุการณ์นี้มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า

= การลงโทษที่มาจากพระเจ้าสู่ราชวงศ์ดาวิดเนื่องจากซาโลมอนหันไปกราบไหว้รูปเคารพ และละเมิดพันธสัญญา (11:9-13)

= มนุษย์ต้องรับผิดชอบต่อพฤติกรรมของตน (2ซมอ.24:1)

“เพื่อ…พระวจนะของพระองค์ได้สำเร็จ ซึ่งพระยาห์เวห์ตรัสโดยอาหิยาห์ ชาวชิโลห์ แก่เยโรโบอัม” (that …his word, which the Lord spoke by Ahijah the Shilonite to Jeroboam) -11:29-39

12:16   “อิสราเอลทั้งสิ้น” (all Israel) = เผ่าทางเหนือ

12:17   “ประชาชนอิสราเอลผู้อาศัยอยู่ในเมืองต่าง ๆ ของยูดาห์” (the people of Israel who lived in the cities of Judah.) = คนจากเผ่าทางเหนือที่มาตั้งรกรากในยูดาห์ (ต่อมาคนจากเผ่าเหนือที่ปรารถนาจะนมัสการและรับใช้พระเจ้าที่พระวิหารมาสมทบอีก –2พศด.11:16-17

12:18   “อาโดรัม” (Adoram) หรือมีอีกชื่อว่า “อาโดนีรัม” = ผู้ดูแลคนงานโยธา (เคยรับใช้ในตำแหน่งนี้ตั้งแต่สมัยของดาวิด) (2ซมอ.20:24) และสมัยของซาโลมอน (1พกษ.4:6;5:14)

12:19   “ราชวงขของดาวิด” (house of David) –2พกษ.17:21

12:20-24 –แผ่ดินถูกแบ่งแยกเป็น 2 ส่วน (เหนือ – ใต้)

12:21 “180000 คน” (180,000 chosen) = รวมคนทั้งพลสนับสนุนและกลุ่มคนที่จะทำการรบจริง ๆ

“เผ่าเบนยามิน” (tribe of Benjamin) = แม้ว่าเผ่าเบนยามินส่วนใหญ่จะเข้าข้างทางเหนือ (11:31-32)    แต่พื้นที่โดยรอบเยรูซาเล็มยังอยู่ใต้การควบคุมของเรโหโบอัม (เช่นเดียวกับเมืองแถบกิเบโอนและเกเซอร์ ) เขตด้านเหนือของยูดาห์ไปไกลถึงเบธเอล (ประมาณ 19 กิโลเมตรเหนือเยรูซาเล็มซึ่งอาบียาห์บุตร        เรโหโบอัมยึดไว้ได้เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ (2พศด.13:19)

12:22   “เชไมอาห์” (Shemaiah) = ผู้เขียนประวัติศาสตร์การครองราชย์ของเรโหโบอัม (2พศด.12:15)

คำพยากรณ์ของท่านอีกครั้งหนึ่งบันทึกไว้ใน 2พศด.12:5-8

“คนของพระเจ้า” (the man of God) = โดยทั่วไปหมายถึงผู้เผยพระวจนะ (13:1;ฉธบ.18:18;33:1; 1ซมอ.2:27;9:9-10)

12:23   “ประชาชนที่เหลือยู่” (to the rest of the people) –ข.17

12:24   “กลับไป” (return) = พากันกลับบ้าน แม้ว่าจะมีการหลีกเลี่ยงสงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบ แต่ก็มีการต่อสู้กันระหว่างอิสราเอลกับยูดาห์เป็นระยะ ๆ ตลอดสมัยของเรโหโบอัม อาบียาห์ และอาสา จนกระทั่งอิสราเอลมีสภาพการเมืองที่ไร้เสถียรภาพ หลังจากการตายของบาอาชา จึงทำให้การขัดแย้งนี้หยุดชงักไป

-เยโฮชาฟัท บุตรอาสาเข้าเป็นพันธมิตรกับอาหับ และย้ำความสัมพันธ์นี้โดยการจัดการแต่งงานระหว่าง เยโฮรัมบุตรของท่านกับอาธาลิยาห์ บุตรสาวของอาหับ (14:30;15:6;22:2,44;2พกษ.8:18)

12:25   “เมืองเปนูเอล” (Penuel) = เมืองที่อยู่อีกฟากของแม่น้ำจอร์แดน (ปฐก.32:31;วนฉ.8:9,17) เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการต่อสู้กับคนอารัมจากดามัสกัส (11:23-25) และคนอาโมไรต์

12:26   “กลับไปเป็นของราชวงศ์ของดาวิด” (turn back to the house of David.) = เยโรโบอัมไม่ได้เชื่อมั่นในพระสัญญาของพระเจ้าที่ประทานให้ผ่านทางอาหิยาห์ (11:38) เข้าจึงได้ทำในสิ่งที่ทำลายระบอบการปกครองที่มีพระเจ้าเป็นพื้นฐานสำคัญของความเป็นกษัตริย์ของเขา

12:28   “ลูกวัวทองคำสองตัว” (two calves of gold) = พระของชาวอารัมและชาวคานาอันมักเป็นรูปวัวหรือวัวตัวผู้ อันเป็นสัญลักษณ์ของความเข้มแข็งและความอุดมสมบูรณ์ (วนฉ.2:13)

“จงดูพระเจ้าของท่าน ผู้ทรงนำท่านขึ้นมาจากอียิปต์” (Behold your gods, O Israel, who brought you up out of the land of Egypt.”)

= เช่นเดียวกับอาโรน (อพย.32:4-5) ,เยโรโบอัมก็พยายามรวม   สัญลักษณ์ของลูกวัวของชาวอียิปต์เ(และคนต่างชาติ)ข้ากับการนมัสการพระเจ้าแม้เขาไม่ได้พยายามสร้างองค์สมมติของพระเจ้าที่จับต้องได้ประทับอยู่บนหลังวัวก็ตาม

12:29   “เบธเอล” (Bethel) –ตั้งอยู่ราว 19 กิโลเมตรไปทางเหนือจากเยรูซาเล็ม ใกล้กับชายแดนของเอฟราอิมแต่อยู่ในเขตของเบนยามิน (ยชว.18:11-13,22)

-เบธเอลเป็นสถานที่สำคัญเป็นพิเศษในประวัติศาสตร์การนมัสการพระเจ้าของพวกอิสราเอล (ปฐก.12:8;28:11-19;35:6-7;วนฉ.20:20-28;1ซมอ.7:16)

“ดาน” (Dan) = ตั้งอยู่สุดเขตทางเหนือของแผ่นดิน ใกล้ ๆ ภูเขาเฮอร์โมน ที่มีการนมัสการพระต่างชาติในรูปแบบที่คล้ายคลึงกับในยุคของผู้วินิจฉัย (วนฉ.18:30-31)

12:30   “สิ่งนี้เป็นบาป” (Then this thing became a sin) = นโยบายของเยโรโบอัม ส่งเสริมการละเมิดพระบัญญัติข้อที่ 2 (อพย.20:4-6) ซึ่งในที่สุดได้ชักนำอิสราเอลให้ละเมิดพระบัญญัติข้อแรกไปด้วย      (อพย.20:3) และเปิดทางให้พิธีกรรมการนมัสการพระต่างชาติแทรกซึมเข้าสู่พิธีศาสนาของอิสราเอล (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชกาลอาหับ -16:29-34)

-เยโรโบอัมละทิ้งหลักการทางศาสนาเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งเป็นการกระทำที่เขลาและทำลายพันธสัญญาของพระเจ้าที่ให้แก่เขาผ่านทางผู้เผยพระวจนะอาหิยาห์ (11:38)

12:31   “สร้างนิเวศแห่งปูชนียสถานสูง” (made temples on high places) –3:2

“ผู้ไม่ใช่คนเลวี” (not of the Levites) = ปุโรหิตและชาวเลวีจำนวนมากมาจากอาณาจักรเหนือ อพยพมายังยูดาห์เพราะเยโรโบอัมมองข้ามพวกเขาโดยแต่งตั้งปุโรหิตขึ้นแทนในอาณาจักรเหนือ(2พศด.11:13-16)

12:32   “เหมือนกันการเลี้ยงในยูดาห์”( like the feast that was in Judah) = ตรงกับเทศกาลอยู่เพิ่งซึ่งฉลองกันในยูดาห์ตั้งแต่วันที่ 15 ถึง 21 เดือนเจ็ด (8:2;ลนต.23:34)

“ถวายเครื่องสัตวบูชาบนแท่นบูชา” (offered sacrifices on the altar.) = เยโรโบอัมกำลังทำเกินสิทธิของตนในฐานะกษัตริย์และทำหน้าที่ของปุโรหิตเอง (2พศด.26:16-21)

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยเผชิญกับภาวะยากลำบากในการบริหารจัดการตามหน้าที่ของผู้นำ(ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง) บ้างหรือไม่? อย่างไร?
  2. คุณมักปรึกษากับผู้หลักผู้ใหญ่ในการตัดสินใจเรื่องสำคัญ ๆ บ้างหรือไม่?  คุณปรึกษาใคร ? และทำไม? หรืออย่างไร?
  3. คุณเคยปฏิเสธคำปรึกษาของผู้ใหญ่(หรือผู้นำด้านจิตวิญญาณ) แล้วเกิดผลเสียบ้างหรือไม่?  เรื่องอะไร? แบ่งปัน
  4. คุณเคยเชื่อคำปรึกษาของคน(หนุ่มสาว) ในรุ่นเดียวกับคุณ และลงมือกระทำบางสิ่งบางอย่างตามคำแนะนำนั้นบ้างหรือไม่?  เรื่องอะไร? และผลออกมาเป็นอย่างไร?
  5. คุณเคยมีประสบการณ์กับการ “หลงอำนาจ” ของตัวเองบ้างหรือไม่?  อย่างไร?  แล้วผลเป็นอย่างไร?
  6. คุณเคยเจ็บปวดไปกับการ “หลงตัว” หรือ “หลงผิด” เพราะรับฟังและทำตามคำปรึกษาที่ผิดพลาดบ้างหรือไม่?  อย่างไร?
  7. คุณเคยสร้างความเสียหาย เพราะการไม่ฟังคำร้องทูลหรือคำวิงวอนของผู้อื่นบ้างหรือไม่?  เรื่องอะไรและอย่างไร?
  8. เคยมีคนปลุกระดมคนให้ขัดแย้งหรือต่อต้านคุณบ้างหรือไม่?  เรื่องอะไร? และอย่างไร?
  9. คุณเคยถูกคนละทิ้งหรือผละไปจากคุณบ้างหรือไม่?  เรื่องอะไร? และอะไรเป็นสาเหตุ? และคุณได้เรียนรู้บทเรียนอะไรจากเหตุการณ์นั้นบ้าง?
  10. คุณเคยพยายามดึงให้คนติดตามหรือภักดีต่อคุณโดยใช้วิธีที่พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยบ้างหรือไม่?  เรื่องอะไร? แล้วผลลัพธ์คืออะไร?

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 16)

ฉีกอาณาจักร

พระธรรม        1พงศ์กษัตริย์ 11:16-43

อ้างอิง              1พกษ.3:3;9:24;11:11;12:2,15,17;14:2,7;2พกษ.21:22;2พศด.13:6;9:29;10:15,2

บทนำ           น่าเศร้าที่ผู้มีสติปัญญามากที่สุดในโลกกลับกลายเป็นผู้ที่โง่เขลาที่สุดในแผ่นดิน เพราะ “ความรัก” อย่างลุ่มหลงในสตรีและในลาภยศ

                       เราทั้งหลายต้องไม่ประมาทเช่นกัน  และในยามที่เราไม่มีหรือมีน้อยอาจจะต้านกับการทดลองได้ง่ายกว่า  ตอนที่เรากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นที่เราได้และมีทุกอย่างตามที่ปรารถนา อย่าให้เรากลายเป็นเหยื่อจากการใช้ พระพรของพระเจ้าโดยขัดกับพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงประทานพรมาให้

บทเรียน

11:26 “เยโรโบอัมบุตรเนบัท คนเอฟราอิม จากเมืองเศเรดาห์ ข้าราชการคนหนึ่งของซาโลมอน มารดาของท่านเป็นหญิงม่ายชื่อเศรุวาห์ ท่านได้กบฏต่อพระราชาด้วย

        (Jeroboam the son of Nebat, an Ephraimite of Zeredah, a servant of Solomon, whose mother’s  name was Zeruah, a widow, also lifted up his hand against the king. )

11:27 “ต่อไปนี้เป็นสาเหตุที่ท่านกบฏต่อพระราชา คือซาโลมอนทรงสร้างป้อมมิลโล และอุดรอยแยกของกำแพงนครดาวิดพระราชบิดาของพระองค์

(And this was the reason why he lifted up his hand against the king. Solomon built the Millo, and closed up the breach of the city of David his father. )

11:28 “เยโรโบอัมเป็นนักรบกล้าหาญ เมื่อซาโลมอนทรงเห็นว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นคนขยัน จึงตั้งให้ดูแลแรงงานทั้งสิ้นที่ถูกเกณฑ์มาจากพงศ์พันธุ์ ของโยเซฟ

        (The man Jeroboam was very able, and when Solomon saw that the young man was industrious he gave him charge over all the forced labor of the house of Joseph. )

11:29 “ต่อมาในเวลานั้นเมื่อเยโรโบอัมออกจากกรุงเยรูซาเล็ม อาหิยาห์ผู้เผยพระวจนะชาวชีโลห์ได้พบท่านกลางทาง อาหิยาห์คลุมกายด้วยเสื้อคลุมใหม่ และทั้งสองคนก็อยู่ลำพังในทุ่งนา

        (And at that time, when Jeroboam went out of Jerusalem, the prophet Ahijah the  Shilonite found him on the road. Now Ahijah had dressed himself in a new garment, and the two of them were alone in the open country. )

11:30 “แล้วอาหิยาห์ก็จับเสื้อคลุมใหม่ที่สวมอยู่ฉีกออกเป็นสิบสองชิ้น

       (Then Ahijah laid hold of the new garment that was on him, and tore it into twelve pieces. )

11:31 “และท่านพูดกับเยโรโบอัมว่า “ท่านจงเอาไปสิบชิ้น เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘นี่‌แน่ะ เรากำลังจะฉีกอาณาจักรจากมือของซาโลมอน และจะให้เจ้าสิบเผ่า

        (And he said to Jeroboam, “Take for yourself ten pieces, for thus says the Lord, the God of Israel, “Behold, I am about to tear the kingdom from the hand of Solomon and will give you ten  tribes )

11:32 “(แต่เขาจะมีเผ่าหนึ่งเพื่อเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา และเพื่อเห็นแก่เยรูซาเล็มเมืองซึ่งเราเลือกจากเผ่าทั้ง‌หมด ของอิสราเอล)

          (but he shall have one tribe, for the sake of my servant David and for the sake of Jerusalem,  the city that I have chosen out of all the tribes of Israel),

11:33 “เพราะเขาทอดทิ้งเรา ไปนมัสการเจ้าแม่อัชโทเรทพระของชาวไซดอน เคโมชพระของโมอับ และมิลโคมพระของคนอัมโมน และไม่ดำเนินในทางของเราคือทำสิ่งที่ชอบธรรมในสายตาของ เรา อีกทั้งไม่รักษากฎเกณฑ์และกฎหมายของเรา ไม่เหมือนอย่างดาวิดบิดาของเขา

         (because they have forsaken me and worshiped Ashtoreth the goddess of the Sidonians, Chemosh the god of Moab, and Milcom the god of the Ammonites, and they have not walked  in my ways, doing what is right in my sight and keeping my statutes and my rules, as David his  father did. )

11”34 “อย่างไรก็ตาม เราจะไม่เอาอาณาจักรทั้งหมดไปจากมือของเขา แต่เราจะให้เขาเป็นผู้ครอบครองตลอดชีวิตของเขา เพราะเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเราผู้ที่เราเลือกไว้ ผู้รักษาบัญญัติและกฎเกณฑ์ของเรา

         (Nevertheless, I will not take the whole kingdom out of his hand, but I will make him ruler all the days of his life, for the sake of David my servant whom I chose, who kept my commandments  and my statutes.)

11:35 “แต่เราจะเอาอาณาจักรไปจากมือบุตรชายของเขา และจะมอบให้เจ้าสิบเผ่า

        (But I will take the kingdom out of his son’s hand and will give it to you, ten tribes. )

11:36 “เราจะให้เผ่าหนึ่งแก่บุตรชายของเขา เพื่อดาวิดผู้รับใช้ของเราจะมีประทีปดวงหนึ่งต่อหน้าเรา ตลอดเวลาในเยรูซาเล็ม เมืองซึ่งเราเลือกให้ตัวเองเพื่อประดิษฐานชื่อของเราไว้ ที่นั่น
(Yet to his son I will give one tribe, that David my servant may always have a lamp before me in  Jerusalem, the city where I have chosen to put my name. )

11:37 “เราจะเอาตัวเจ้า และเจ้าจะปกครองทุกอย่างที่ใจของเจ้าประสงค์ และเจ้าจะเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล

         (And I will take you, and you shall reign over all that your soul desires, and you shall be king  over Israel. )

11:38 “และถ้าเจ้าเชื่อฟังทุกสิ่งที่เราบัญชาเจ้า และดำเนินในทางทั้งหลายของเรา และทำสิ่งที่ชอบธรรมในสายตาของเรา โดยรักษากฎเกณฑ์และบัญญัติของเรา เหมือนอย่างดาวิดผู้รับใช้ของเราได้ทำ แล้วเราจะอยู่กับเจ้า และจะสร้างราชวงศ์ที่มั่นคงให้เจ้า เหมือนที่เราได้สร้างให้ดาวิด และเราจะให้อิสราเอลแก่เจ้า

        (And if you will listen to all that I command you, and will walk in my ways, and do what is right  in my eyes by keeping my statutes and my commandments, as David my servant did, I will be with you and will build you a sure house, as I built for David, and I will give Israel to you.)

11:39 “เพราะเหตุนี้เราจะให้ความทุกข์ใจแก่เชื้อสายของดาวิด แต่ไม่ใช่ตลอดไป’”

        (And I will afflict the offspring of David because of this, but not forever.” )

11:40 “ดังนั้นซาโลมอนจึงทรงหาช่องทางที่จะประหารเยโรโบอัมเสีย แต่เยโรโบอัมได้ลุกขึ้นหนีไปอียิปต์ ไปยังชิชัก​  กษัตริย์อียิปต์ และอยู่ในอียิปต์จนกระทั่งซาโลมอนสิ้นพระชนม์

      (Solomon sought therefore to kill Jeroboam. But Jeroboam arose and fled into Egypt, to Shishak king of Egypt, and was in Egypt until the death of Solomon. )

11:41 “ส่วนพระราชกิจนอกนั้นของซาโลมอน และทุกสิ่งที่พระองค์ทรงทำ และพระสติปัญญาของพระองค์ ได้บัน‍ทึกไว้ในหนังสือพระราชกิจของซาโลมอนไม่ใช่หรือ?”

   (Now the rest of the acts of Solomon, and all that he did, and his wisdom, are they not written in the Book of the Acts of Solomon? )

11:42 “และเวลาที่ซาโลมอนทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็มเหนืออิสราเอลทั้งสิ้นนั้นคือ 40 ปี”

       (And the time that Solomon reigned in Jerusalem over all Israel was forty years.)

11:43 “และซาโลมอนทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพไว้ในนครดาวิดพระราชบิดาของพระองค์ และเรโหโบอัมพระราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองราชย์แทน

     (And Solomon slept with his fathers and was buried in the city of David his father. And  Rehoboam his son reigned in his place. )

 

ข้อมูลมีประโยชน์

11:26   “กบฏต่อพระราชา” (lifted up his hand against the king.) –ข.40;2พศด.13:6

11:27   “ป้อมมิลโล” (built the Millo) -9:15,24

11:28   “เป็นคนขยัน” (was industrious ) = “หน่วยก้านดี” –ปฐก.39:4;สภษ.22:29

“ผู้ดูแลแรงงาน…จากพงศ์พันธุ์โยเซฟ” (over all the forced labor of the house of Joseph) –5:13-18

-การที่เยโรโบอัมควบคุมแรงงานที่เกณฑ์มาจากเผ่าเอฟราอิม และมนัสเสห์ ทำให้เขารับรู้ว่าประชาชนไม่

พอใจกับนโยบายของซาโลมอน (12:4)

11:29   “อาหิยาห์ ผู้เผยพระวจนะ” (prophet Ahijah) –1พกษ.12:15;14:2;2พศด.9:29;10:15

11:30   “จับเสื้อคลุมใหม่ที่สวมอยู่ ฉีกออกเป็นสิบสองชิ้น” (new garment that was on him, and tore it into

twelve pieces) –1ซมอ.15:27

11:31-32 “สิบเผ่า…เผ่าหนึ่ง” (ten pieces……. one tribe) = ประเพณีที่ถือว่าสิบเผ่าทางเหนือเป็นกลุ่มที่แยกจาก 2 เผ่าทางใต้ (คือ ยูดาห์ และสิเมโอน –โดยเลวีไม่ได้รับดินแดนเป็นมรดก –ยชว.21) นั้นย้อนกลับไปถึงยุคผูวินิจฉัย (วนฉ.5:13-18)

-เพราะมีชนชาติอื่น ๆ (เยรูซาเล็ม กลุ่มกิเบโอน เกเซอร์) มากั้นกลางพื้นที่อิสราเอลทั้ง 2 ส่วน การแบ่งแยกทางการเมืองในช่วงต้น ๆ ของรัชกาลดาวิด และส่วนใต้มาอยู่ภายใต้การปกครองของดาวิด(2ซมอ.2:4;5:3) ยิ่งเป็นการตอกย้ำความแตกแยก

เมื่อดาวิดมีชัยได้กรุงเยรูซาเล็ม (2ซมอ.5:6-7) และฟาโรห์มอบเกเซอร์ให้มเหสีของซาโลมอน (9:16-17) อิสราเอลทั้งหมดจึงมีเขตแดนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันครั้งแรก (เมื่อเยรูซาเล็มและเกเซอร์อยู่ภายใต้การควบคุมของอิสราเอลแล้ว กลุ่มชาวกิเบโอนซึ่งเคยจำนนต่อโยชูวาก็ถูกกลืนไปตามการเมือง (ยชว.9)

-การแบ่งแยกในตอนนี้ประกาศว่า “เผ่าหนึ่ง” ซึ่งหมายถึง พื้นที่ส่วนใหญ่ที่ครอบครองโดยยูดาห์ (แต่รวมสิเมโอนด้วย) –ยชว.19:1-9

และ “สิบเผ่า” หมายถึงพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การปกครองของดาวิดในภายหลัง (เอฟาอิมและมนัสเสห์บุตรของโยเซฟ ถูกนับเป็น 2 เผ่า –ปฐก.48:5;ยชว.14:4)

11:31   “ฉีกอาณาจักร” (tear the kingdom) –1ซมอ.15:27;1พกษ.11:11

11:32   “เห็นแก่ดาวิด” (sake of my servant David) -2ซมอ.7:15

11:33   “เพราะเขาทอดทิ้งเรา” (because they have forsaken me) = ละทิ้งพระเจ้า –ข้อ 5-7

“ไปนมัสการเจ้าแม่อัชโทเรท” (worshiped Ashtoreth     ) –วนฉ.2:13

“ไม่ดำเนินในทางของเรา” (not walked in my ways) –ข.1-2,3:14 -2พกษ.21:22

“ไม่รักษากฎเกณฑ์และกฎหมายของเรา” (keeping my statutes and my rules) = ไม่ปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ของพระเจ้า – 1พกษ.3:3

11:34   “เราจะให้เขาเป็นผู้ครอบครองตลอดชีวิตของเขา” (I will make him ruler all the days of his life  )

= พระเจ้าจะอนุญาตให้ซาโลมอนครองราชย์ไปตลอดชีวิต  (ข.12-13)

11:35   “แต่เราจะเอาอาณาจักรไปจากมือบุตรชายของเขา” (I will take the kingdom out of his son’s hand) = จากมือของเรโหโบอัม (12:1-24)

11:36   “เผ่าหนึ่ง” (one tribe,) –1พกษ.12:17

“มีประทีปดวงหนึ่งต่อหน้าเราตลอดเวลาในเยรูซาเล็ม”( have a lamp before me in Jerusalem  ) –2ซมอ.21:17

= ราชวงศ์ของดาวิดจะยังคงสืบทอดต่อไปในเมืองที่พระเจ้าทรงเลือกที่จะสถาปนาพระนามของพระองค์ (ข.13)

-ในพระคัมภีร์ การจุดหรือดับดวงประทีปตะเกียง หรือแสงสว่าง สื่อถึงการเจริญเติบโตหรือการสิ้นชีวิต (โยบ 18:6;21:17;สภษ.13:9;20:20;24:20)

ในที่นี้และใน 15:4;2พกษ.8:19;2พศด.21:7;สดด.132:17 ภาพเปรียบเทียบนี้ ถูกนำมาใช้กับราชวงศ์ของดาวิด (สดด.132:17)

11:37   “ปกครอง” (reign ) –1พกษ.14:7

“ที่ใจเจ้าประสงค์” (all that your soul desires) = ที่ใจปรารถนา –2ซมอ.3:21

“อิสราเอล” (Israel)  = สิบเผ่าทางเหนือ

11:38   “ถ้าเจ้าเชื่อฟังทุกสิ่งที่เราบัญชาเจ้า…แล้วเราจะอยู่กับเจ้า” (if you will listen to all that I command you, … I will be with you) = เยโรโบอัมก็ต้องอยู่ใต้เงื่อนไขพันธสัญญาเดียวกับดาวิดและซาโลมอน (2:3-4;3:14;6:12-13)

“ทำสิ่งที่ชอบธรรม” (do what is right     ) = ทำสิ่งที่ถูกต้อง –ฉธบ.12:25;2ซมอ.8:15

“โดยรักษากฎเกณฑ์และบัญญัติของเรา” (keeping my statutes and my commandments)

= ปฏิบัติตาม –ฉธบ.17:19 , “สร้างราชวงศ์” (will build) –อพย.1:21;11:39

11:39   “เราจะให้ความทุกข์ใจแก่เชื้อสายของดาวิดแต่ไม่ใช่ตลอดไป” (I will afflict the offspring of David

because of this, but not forever) = จะกำราบวงศ์วานของดาวิด ก็คือการแบ่งแยกอาณาจักรอันเป็นการลดสถานภาพและอำนาจของราชวงศ์ของดาวิดลงไปมาก -แต่ก็ไม่ใช่ตลอดไป คือ จะมีการฟื้นฟูเกิดขึ้น (ยรม.30:9;อสค.34:23;37:15-28;ฮชย.3:5;อมส.9:11-12) และทำให้อาณาจักรกลับมารวมกันเป็นหนึ่งอีกครั้งภายใต้การปกครองของวงศ์วานดาวิด

11:40   “ซาโลมอนจึงทางหาช่องทางที่จะประหารเยโรโบอัม”(Solomon sought therefore to kill Jeroboam.)

= เยโรโบอัมอาจพยายามแย่งชิงอาณาจักรจากซาโลมอนแต่ล้มเหลว (ข.26)

“ชิชักกษัตริย์”  (Shishak king) -14:25-26;2พศด.12:2

ฟาโรห์องค์นี้เป็นองค์แรกที่มีชื่อระบุไว้ในพระคัมภีร์เดิม เป็นชาวลิเบีย ที่ก่อตั้งราชวงศ์ลำดับที่ 22 (ปี 945 – 924 ก.ค.ศ)  -ซาโลมอนเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ของฟาโรห์ลำดับก่อนหน้านั้นผ่านการแต่งงาน (3:1)

11:41   “ในหนังสือพระราชกิจของซาโลมอน” ( the Book of the Acts of Solomon) = จดหมายเหตุของ

ซาโลมอน = งานเขียนที่บันทึกเกี่ยวกับชีวิตและการปกครองของซาโลมอนซึ่งผู้เขียน 1-2 พงศ์กษัตริย์ใช้เป็นแหล่งข้อมูล

11:43   “ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ” (slept with his fathers) -1:21, “เรโหโบอัม” (Rehoboam) –มธ.1:7

คำถามนำอภิปราย

  1. มีเหตุการณ์ “กบฏ” หรือ “ต่อต้าน” การปกครองหรือการศาสนาใดบ้างที่ประทับใจของคุณมากที่สุด? ทำไม?
  2. เคยมีใครมาขอหรือบอกหรือทำนายว่า พระเจ้าจะใช้คุณในการใหญ่ใดบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? และอย่างไร?
  3. คุณเคยแยกตัวหรือได้รับการมอบหมาย “คน” หรือ “งาน” มาให้กระทำภารกิจใดบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? แล้วผลเป็นอย่างไ?
  4. คุณเคยประพฤติตัวไม่ถูกต้องเป็นเหตุให้พระเจ้าลงโทษด้วยการดึงงาน(พันธกิจ)ที่เราเคยทำออกมาจากมือของเราไปมอบให้ผู้อื่นกระทำบ้างหรือไม่? อย่างไร?
  5. พระเจ้าเคยมอบหมายอะไรให้คุณกระทำโดยมีคำกำชับมาให้ชัดเจนบ้างหรือไม่? แล้วผลเป็นอย่างไ? ทำไม?
  6. คุณเคยถูกเล่นงานหรือถูกมุ่งร้ายบ้างหรือไม่? สาเหตุมาจากอะไร? หรือจากใคร? แล้วผลลัพธ์ที่ตามมาคืออะไร?
  7. บทเรียนพิเศษ ที่คุณได้รับจากบทเรียนตอนนี้เป็นส่วนตัวคือ…………………………………………………………….

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 15)

สี่เท้ายังรู้พลาด 

 

พระธรรม        1พงศ์กษัตริย์ 11:1-25

อ้างอิง              ฉธบ.17:17;อพย.34:16;ฉธบ.7:3-4

บทนำ                ไม่สำคัญว่า คุณเคยฉลาดมากแค่ไหน? แต่อยู่ที่ว่า เวลานี้คุณกำลังทำอะไรที่โง่เขลาอยู่หรือไม่?    ไม่สำคัญนักหรอกว่า พระเจ้าโปรดปรานหรืออวยพรคุณมาแล้วมากแค่ไหนในอดีต แต่อยู่ที่ว่า คุณกำลังกระทำอะไรบ้างที่ทำให้พระเจ้าอวยพรคุณต่อไปไม่ได้ และจำเป็นต้องส่งการพิพากษาลงมาให้คุณแทน?

บทเรียน

 11:1 “พระราชาซาโลมอนทรงรักหญิงต่างชาติหลายคน นอกจากพระธิดาของฟาโรห์แล้ว มีหญิงโมอับ หญิง​ อัมโมน หญิงเอโดม หญิงไซดอน และหญิงฮิตไทต์

       (Now King Solomon loved many foreign women, along with the daughter of Pharaoh: Moabite,   Ammonite, Edomite, Sidonian, and Hittite women, )

11:2 “ซึ่งเป็นประชาชาติที่พระยาห์เวห์ตรัสกับคนอิสราเอลว่า “พวกเจ้าอย่าแต่งงานกับพวกเขา หรืออย่าให้พวกเขามาแต่งงานกับพวกเจ้า เพราะพวกเขาจะหันจิตใจของพวกเจ้าไปตามพระต่างๆ ของเขาอย่างแน่นอน” ซาโลมอนทรงติดพันหญิงเหล่านี้ด้วยความรัก

     (from the nations concerning which the Lord had said to the people of Israel, “You shall not enter  into marriage with them, neither shall they with you, for surely they will turn away your heart after  their gods.” Solomon clung to these in love. )

11:3 “พระองค์ทรงมีมเหสี 700 คน และนางห้าม 300 คน และบรรดามเหสีของพระองค์ก็หันพระทัยของพระองค์ไปเสีย

       (He had 700 wives, princesses, and 300 concubines. And his wives turned away his heart. )

11:4 “ต่อมาเมื่อซาโลมอนทรงพระชราแล้ว บรรดามเหสีของพระองค์ได้หันพระทัยของพระองค์ไปตามพระอื่นๆ และพระทัยของพระองค์ไม่ภักดีต่อพระยาห์เวห์ พระเจ้าของพระองค์ ไม่เหมือนอย่างพระทัยของดาวิดพระราชบิดาของพระองค์
(For when Solomon was old his wives turned away his heart after other gods, and his heart was   not wholly true to the Lord his God, as was the heart of David his father. )

11:5 “เพราะ ซาโลมอนทรงดำเนินตามเจ้าแม่อัชโทเรท พระของชาวไซดอน และตามพระมิลโคม สิ่งที่น่าเกลียดน่าชังของชาวอัมโมน

      (For Solomon went after Ashtoreth the goddess of the Sidonians, and after Milcom the  abomination of the Ammonites. )

11:6 “ซาโลมอนจึงทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ และไม่ได้ทรงดำเนินตามพระยาห์เวห์อย่างเต็มพระทัย ไม่เหมือนอย่างดาวิดพระราชบิดาของพระองค์

    (So Solomon did what was evil in the sight of the Lord and did not wholly follow the Lord, as  David his father had done. )

11:7 “แล้วซาโลมอนได้ทรงสร้างปูชนียสถานสูงบนภูเขาที่อยู่ตรงข้ามกรุง เยรูซาเล็มสำหรับพระเคโมช ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังของโมอับ และสำหรับพระโมเลค ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังของคนอัมโมน

     (Then Solomon built a high place for Chemosh the abomination of Moab, and for Molech the  abomination of the Ammonites, on the mountain east of Jerusalem. )

11:8 “พระองค์ทรงทำอย่างนั้นเพื่อมเหสีต่างชาติทั้งหมดของพระองค์ หญิงเหล่านั้นได้เผาเครื่องหอมและถวายเครื่องสัตวบูชาแก่ บรรดาพระของพวกนาง

     (And so he did for all his foreign wives, who made offerings and sacrificed to their gods. )

11:9 “พระยาห์เวห์กริ้วซาโลมอน เพราะพระทัยของท่านได้หันไปจากพระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ทรงปรากฏแก่ท่านสองครั้งแล้ว

       (And the Lord was angry with Solomon, because his heart had turned away from the  Lord, the God of Israel, who had appeared to him twice )

11:10 “และได้ทรงบัญชาท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่าท่านไม่ควรไปติดตามพระอื่นๆ แต่ท่านไม่ได้รักษาพระบัญชาของพระยาห์เวห์

    (and had commanded him concerning this thing, that he should not go after other gods. But he  did not keep what the Lord commanded. )

11:11 “เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์ตรัสกับซาโลมอนว่า “เพราะเจ้าทำเช่นนี้ และเจ้าไม่ได้รักษาพันธสัญญาและกฎเกณฑ์ของเรา ซึ่งเราได้บัญชาเจ้า เราจะฉีกอาณาจักรเสียจากเจ้าอย่างแน่นอน และมอบให้ข้าราชการ​ของเจ้า

   (Therefore the Lord said to Solomon, “Since this has been your practice and you have not kept  my covenant and my statutes that I have commanded you, I will surely tear the kingdom from  you and will give it to your servant. )

11:12 “อย่างไรก็ตาม เพื่อเห็นแก่ดาวิดบิดาของเจ้า เราจะไม่ทำในสมัยของเจ้า แต่เราจะฉีกมันออกจากมือบุตรชายของเจ้า
(Yet for the sake of David your father I will not do it in your days, but I will tear it out of the hand of your son. )

11:13 “อย่างไรก็ดี เราจะไม่ฉีกอาณาจักรเสียทั้งหมด แต่เราจะให้เผ่าหนึ่งแก่บุตรชายของเจ้า เพื่อเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา และเพื่อเห็นแก่เยรูซาเล็มซึ่งเราได้เลือกไว้

    (However, I will not tear away all the kingdom, but I will give one tribe to your son, for the sake  of David my servant and for the sake of Jerusalem that I have chosen.” )

11:14 “พระยาห์เวห์ทรงให้ปฏิปักษ์เกิดขึ้นต่อสู้ซาโลมอน คือฮาดัดคนเอโดม ท่านเป็นเชื้อกษัตริย์แห่งเอโดม

       (And the Lord raised up an adversary against Solomon, Hadad the Edomite. He was of the  royal house in Edom. )

11:15 “เพราะเมื่อดาวิดอยู่ในเอโดมนั้น โยอาบผู้บัญชาการกองทัพได้ขึ้นไปฝังผู้ที่ถูกฆ่า และได้ฆ่าชายทุกคนใน​เอโดมเสีย

     (For when David was in Edom, and Joab the commander of the army went up to bury the slain,  he struck down every male in Edom )

11:16 “(เพราะโยอาบและคนอิสราเอลทั้งสิ้นยังอยู่ที่นั่นหกเดือน จนกว่าเขาจะได้ตัดชีวิตชายทุกคนในเอโดม)

  (for Joab and all Israel remained there six months, until he had cut off every male in Edom)

11:17 “แต่ฮาดัดได้หนีไปอียิปต์ พร้อมกับคนเอโดมบางคนผู้เป็นข้าราชการของบิดาท่าน เวลานั้นฮาดัดยังเป็นเด็กเล็กๆ อยู่

  (But Hadad fled to Egypt, together with certain Edomites of his father’s servants, Hadad still  being a little child. )

11:18 “พวกเขาออกจากมีเดียนมายังปาราน พาคนจากปารานที่มากับเขาทั้งหลายเข้าไปยังอียิปต์ และเข้าเฝ้าฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ และพระองค์ประทานบ้านหลังหนึ่งแก่ฮาดัด และทรงกำหนดให้ได้รับปันอาหาร และประทานที่ดินให้ท่านด้วย

  (They set out from Midian and came to Paran and took men with them from Paran and came to  Egypt, to Pharaoh king of Egypt, who gave him a house and assigned him an allowance of food  and gave him land. )

11:19 “และฮาดัดเป็นที่โปรดปรานของฟาโรห์ ฟาโรห์จึงประทานน้องสาวของมเหสีของพระองค์เอง คือน้องสาว​ของพระราชินีทาเปเนสให้เป็นภรรยาของท่าน
(And Hadad found great favor in the sight of Pharaoh, so that he gave him in marriage the sister of his own wife, the sister of Tahpenes the queen. )

11:20 “และน้องสาวของทาเปเนสก็คลอดบุตรชายคือเกนูบัทแก่ท่าน และทาเปเนสให้เขาหย่านมในวังของฟาโรห์  และเกนูบัทอยู่ในวังของฟาโรห์ในหมู่โอรสของฟาโรห์

     (And the sister of Tahpenes bore him Genubath his son, whom Tahpenes weaned in Pharaoh’s  house. And Genubath was in Pharaoh’s house among the sons of Pharaoh. )

11:21 “แต่เมื่อฮาดัดอยู่ในอียิปต์ได้ยินว่า ดาวิดล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์แล้ว และโยอาบผู้บัญชาการกองทัพก็สิ้นชีวิตแล้ว ฮาดัดจึงทูลฟาโรห์ว่า “โปรดให้ข้าพระบาทไป และข้าพระบาทจะกลับไปประเทศของข้าพระบาท

    (But when Hadad heard in Egypt that David slept with his fathers and that Joab the  commander of the army was dead, Hadad said to Pharaoh, “Let me depart, that I may go to my own country.”)

11:22 “แต่ฟาโรห์ตรัสกับท่านว่า “ท่านอยู่กับเรา ท่านขาดอะไรหรือ? ท่านจึงหาทางที่จะกลับไปประเทศของท่าน” และท่านทูลพระองค์ว่า “ไม่ขาดอะไร พ่ะย่ะค่ะ แต่ขอให้ข้าพระบาทไปเถิด

      (But Pharaoh said to him, “What have you lacked with me that you are now seeking to go to  your own country?” And he said to him, “Only let me depart.” )

11:23 “พระเจ้าทรงให้ปฏิปักษ์อีกคนหนึ่งเกิดขึ้นต่อสู้ซาโลมอน คือเรโซนบุตรของเอลียาดา ผู้ที่หนีไปจากฮาดัด‍เอเซอร์กษัตริย์แห่งโศบาห์เจ้านายของตน

(God also raised up as an adversary to him, Rezon the son of Eliada, who had fled from his master Hadadezer king of Zobah. )

11:24 “เมื่อดาวิดเข่นฆ่าชาวโศบาห์นั้น เรโซนได้รวบรวมผู้คนให้อยู่กับเขา และได้กลายเป็นหัวหน้ากองปล้น พวก‌เขาไปอาศัยอยู่ในเมืองดามัสกัส และครอบครองเมืองดามัสกัส
(And he gathered men about him and became leader of a marauding band, after the killing by David. And they went to Damascus and lived there and made him king in Damascus. )

11:25 “เขาเป็นปฏิปักษ์ของอิสราเอลตลอดรัชสมัยของซาโลมอน และก่อการร้ายเหมือนที่ฮาดัดได้ทำ และเขา​เกลียดชังอิสราเอล และได้ปกครองซีเรีย
(He was an adversary of Israel all the days of Solomon, doing harm as Hadad did. And he loathed Israel and reigned over Syria. )

ข้อมูลมีประโยชน์

11:1     “ทรงรักหญิงต่างชาติหลายคน” (loved many foreign women,) = มีเมียจำนวนมาก   แม้ซาโลมอนจะมีเหตุผลมากมายในการสมรส เช่น เมื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ทั้งใหญ่และเล็ก (อันเป็นธรรมเนียมของประเทศในตะวันออกใก้ลยุคโบราณ)  แต่การกระทำเช่นนั้นเป็นการละเมิดพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ 17:17   – และยังละเมิดข้อห้ามในการแต่งงานกับคนต่างชาติที่ไม่เชื่อพระเจ้า  (อพย.34:16;

ฉธบ.7:1-3:ยชว.23:12-13;อสร.9:2;10:2-3;นหม.13:23-27;1พกษ.16:31)

ปท.8:61, บรรยากาศ/รูปแบบ/พิธีกรรมการนมัสการพระต่างชาติ และรูปเคารพเริ่มเข้ามาอยู่ในราชสำนัก

ของซาโลมอนผ่านบรรดามเหสีต่างชาติ และค่อย ๆ ชักจูงซาโลมอนให้เข้าสู่พิธีกรรมของศาสนาอื่น ๆ

“หญิงโมอับ” (Moabite,) –ปฐก.19:36-38

“หญิงอัมโมน” (Ammonite) –1พกษ.14:21,31;ปฐก.19:36-38;ฉธบ.23:3

          “หญิงเอโดม” (Edomite) –ปฐก.25:26;36:1;อมส.1:11;9:12;ฉธบ.23:7-8

          “หญิงไซดอน” (Sidonian) –16:31

11:2     “เขาจะหันจิตใจของพวกเจ้าไปตามพระต่าง ๆ ของเขาอย่างแน่นอน” (neither shall they with you, for surely they will turn away your heart after their gods.) = ปรากฏเป็นจริงในข้อที่ 4 ซึ่งมีตัวอย่างปรากฏในประวัติศาสตร์อิสราเอลมาก่อนหน้าแล้ว ใน กดว.25:1-15

= เป็นชนชาติที่พระเจ้าตรัสห้ามไว้แล้วว่า ไม่ให้แต่งงานด้วย (อพย.34:16;1พกษ.16:31;ฉธบ.7:3-4)

11:3     “มเหสี 700 คน และนางห้าม 300 คน” (700 wives, princesses, and 300 concubines)

เปรียบเทียบกับ พซม.6:8  –ปท.ปฐก.25:6

11:4     “บรรดามเหสีของพระองค์ก็หันพระทัยของพระองค์ไปตามพระอื่น ๆ และพระทัยของพระองค์ไม่

ภักดีต่อพระยาห์เวห์” (his wives turned away his heart after other gods, and his heart was not wholly true to the Lord his God,) = เป็นจริงเหมือนดังที่เตือนไว้ในข้อ 2

11:5     “เจ้าแม่อัชโทเรท” (Ashtoreth the goddess) –ข้อ 33;14:15;2พกษ.23:13;วนฉ.2:13;1ซมอ.7:3

“พระมิลโคม” (Milcom) –2ซมอ.12:30

“โมเลค” และ “มิลโคม”  เป็นชื่อของพระต่างชาติองค์เดียวกัน การที่ซาโลมอนและชาวอิสราเอลนมัสการพระเหล่านี้ไม่เพียงลบหลู่พระเจ้าในฐานะเป็นพระเจ้าเหนือพวกเขา ยังมีการบูชายัญเด็กทารก (ในบางโอกาส) ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งเลวร้ายอย่างยิ่งที่เกินจะรับได้ (2พกษ.16:3;17:17;21:6;ลนต.18:21;20:2-5;

ปฐก.15:16;วนฉ.10:6

ชื่อของ “อัชโทเรท” และ “โบเชท” ก็มีเสียงสระแบบเดียวกับคำภาษาฮีบรู “โบเชท” ที่แปลว่า “สิ่งที่น่าละอาย” , เขาใช้คำว่า “โบเชท” เป็นชื่อเรียกพระบาอัลอย่างเหยียดหยาม (วนฉ.6:32;ยรม.7:31)

11:6     “ไม่เหมือนอย่างดาวิดพระราชบิดาของพระองค์” (as David his father had done. )  -แม้ดาวิดจะเคยทำเรื่องเลวร้ายบางเรื่อง แต่ท่านก็กลับใจและไม่เคยเกี่ยวข้องกับการนมัสการรูปเคารพใด  ๆ

11:7     “ปูชนียสถานสูง” (high place) -3:2; “พระเคโมช” (Chemosh) –2พกษ.3:27

11:9     “ผู้ทรงปรากฏแก่ท่านสองครั้งแล้ว” (who had appeared to him twice) –3:4-5;9:1-9

11:11   “…เจ้าไม่ได้รักษาพันธสัญญาของพระยาห์เวห์” (you have not kept my covenant) = ซาโลมอนได้ละเมิดพันธสัญญาข้อพื้นฐานที่สุด (อพย.20:2-5) จึงสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อความสัมพันธ์ตามพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับประชากรของพระองค์

11:12   “…เพื่อเห็นแก่ดาวิดบิดาของพระเจ้า” (Yet for the sake of David your father)= ดาวิดจงรักภักดีต่อ

พระเจ้าและพันธสัญญาของพระเจ้าอย่างไม่แปรเปลี่ยน (2ซมอ.7:11-16)

11:13   “เผ่าหนึ่ง” (one tribe) = เผ่ายูดาห์ –ข.31-32;12:20

          “เห็นแก่เยรูซาเล็มที่เราได้เลือกไว้” (for the sake of Jerusalem that I have chosen.”)

“เยรูซาเล็ม” = ที่ตั้งพระวิหารที่สร้างโดยบุตรของดาวิดตาม 2ซมอ.7:13

-ชะตากรรมของกรุงเยรูซาเล็มและราชวงค์ของดาวิดจึงเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิด และพระวิหารเป็นตัวแทนพระราชวังของพระเจ้าเป็นที่ตั้งของพระบัลลังก์ของพระองค์ในโลกนี้ (หีบพันธสัญญา) และเป็นที่ ๆ

พระเจ้าปฏิญาณว่า จะสถิตอยู่ด้วยในฐานะจอมกษัตริย์แห่งอิสราเอล (9:3)

11:14   “ฮาดัด” (Hadad)

= 1. ชื่อเทพแห่งพายุของชาวเซมีติก (วนฉ.2:13;ศคย.12:11)

2. ชื่อของกษัตริย์อารัม (15:18;20:11)      3. ชื่อของกษัตริย์เอโดมหลายองค์ (ปฐก.36:35,39)

11:15   “เพราะเมื่อดาวิดอยู่ในเอโดมนั้น” (David was in Edom) = ดาวิดรบกับเอโดม (2ซมอ.8:13-14)

11:16   “จนกว่าเขาจะได้ตัดชีวิตชายทุกคนในเอโดม” (until he had cut off every male in Edom) = สังหาร

ชายชาวเอโดมได้ทั้งหมด (ชายที่มีส่วนในการสู้รบกัน)

11:17   “ยังเป็นเด็กเล็กๆ อยู่” (still being a little child.) = อาจอยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนต้น

11:18  “มีเดียน” (Midian) = มีชาวมีเดียนอาศัยอยู่ในพื้นที่ชายแดนด้านตะวันออกของโมอับและเอโดม

“ปาราน” (Paran)= บริเวณถิ่นกันดารทางตะวันออกเฉียงใต้ของคาเดช ในพื้นที่ตอนกลางของ

คาบสมุทรซีนาย (กดว.10:12;12:16;13:3)

“ฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์” (Pharaoh king of Egypt) -3:1

“ประทานบ้านหลังหนึ่ง…รับปันอาหาร…ประทานที่ดินให้” (gave him a house ….allowance of

food …. gave him land.) = อียิปต์ผูกมิตรกับฝ่ายที่ก่อกวนอิสราเอลเพื่อรักษาดุลแห่งอำนาจ เพราะอิสราเอลเข้มแข็งขึ้นมากกว่าเดิม

11:21   “โปรดให้ข้าพระบาทไป…จะกลับไปประเทศของข้าพระบาท” (Let me depart,…. I may go to my  own country.) =ดูเหมือนฮาดัดจะกลับเอโดมในช่วงต้นรัชกาลของซาโลมอน

11:22   “ท่านอยู่กับเราท่านขาดอะไรหรือ?” (What have you lacked with me that you are now seeking to go to your own country?) =เนื่องจากในเวลาที่กล่าวนี้ อียิปต์ยังมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีกับอิสราเอล (3:1) -ฟาโรห์จึงลังเลที่จะให้ฮาดัดกลับไป และสร้างปัญหาให้ซาโลมอน

11:23   “โศบาห์” (Rezon) –2ซมอ.8:3

11:24   “หัวหน้ากองปล้น” (leader of a marauding band) = เป็นหัวหน้ากองโจรเหมือนที่ดาวิดเคยทำ

(1ซมอ.22:1-2)  รวมถึงเยฟธาห์ก่อนหน้านี้ (วนฉ.11:3)

“อาศัยอยู่ในเมืองดามัสกัส” (lived there) = คงเกิดขึ้นในช่วงต้นรัชกาลซาโลมอน (2ซมอ.8:6)

-การที่ซาโลมอนไปยึดฮามัทโศบาห์ (ซึ่งเคยเป็นดินแดนที่ฮาดัดเอเซอร์ เคยปกครอง) –2ซมอ.8:3-6;

2พศด.8:3) เป็นชนวนที่ทำให้เกิดการต่อต้านภายใต้การนำของเรโซน และแม้ว่าซาโลมอนจะยังคงควบคุมพื้นที่ตอนเหนือของดามัสกัสไปจนถึงยูเฟรติสได้ (4:21,24) แต่ก็ไม่สามารถขับเรโซนออกจากดามัสกัสได้

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยเห็นคนที่ “ฉลาดมาก” กลับกลายเป็นคนที่ “โง่เขลามาก” ในเวลาต่อมาบ้างไหม? อย่างไร? (แบ่งปัน)
  2. ในพระคัมภีร์ตอนนื้ ซาโลมอนทำอะไรบ้างที่เข้าข่าย “คนฉลาดมาก” ซึ่งกลับกลายเป็น “คนโง่เขลามาก” ? และสิ่งเหล่านั้นผิดอย่างไร? และส่งผลเสียหายอะไรบ้าง?
  3. เวลานี้ มีอะไรบ้างที่เข้าข่าย “โง่เขลา” ที่คุณเห็นว่า

1)      คริสตจักร

2)      องค์กรคริสเตียน

3)      คนในโบสถ์    หรือ

4)      ตัวคุณเองกำลังกระทำอยู่?  และจะแก้ไขได้อย่างไร?

2. หากการแต่งงานกับคนไม่เชื่อพระเจ้า (คนต่างชาติ) เป็นสิ่งที่พระเจ้าห้าม แล้วทำไมทุกวันนี้ยังมีกรณีที่

คริสเตียนแต่งงานกับคนไม่เชื่อปรากฎให้เห็นอยู่บ่อย ๆ ?

1)      คุณคิดว่า ทำไมเขาจึงแต่งกับคนไม่เชื่อ?

2)      จะมีผลเสียอะไรเกิดขึ้นตามมา?

3)      แล้วจะป้องกันหรือแก้ไขในเรื่องนี้ได้อย่างไร?

4)      แล้วคุณหรือคริสตจักรจะช่วยในเรื่องนี้ได้อย่างไรบ้าง?

5.      คุณเคยหรือกำลังถูกโน้มน้าวใจให้หลงไปจากทางของพระเจ้าบ้างหรือไม่? อย่างไร?   แล้ว

                      1)      คุณเอาชนะมาได้อย่างไร?                 2) คุณพ่ายแพ้อย่างไร? แล้วคุณแก้ไขอย่างไร?

6.      เวลานี้คุณกำลังรับ “ผลร้าย” หรือ “คำสาปแช่ง” อะไรบ้างอันเป็นผลมาจากการกระทำการฝ่าฝืนพระบัญญัติของพระเจ้า? ของคนรุ่นก่อนหน้าคุณหรือในรุ่นของคุณและคุณกำลังทำอะไรบ้างที่เข้าข่ายในทำนองเดียวที่จะส่งผลให้คนในรุ่นถัดจากคุณไปต้องทนทุกข์ และรับเคราะห์กรรมนั้น?  แล้วคุณจะแก้ไขอย่างไร?

7.      เวลานี้ มีอะไรบ้างที่เป็นดุจศัตรูที่กล้าแข็งขึ้นในชีวิตของคุณที่คุณต้องต่อสู้?  และคุณจะจัดการกับมันอย่างไร?

ศ๗.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 14)

พระราชินีแห่งเชบา

 

พระธรรม        1พงศ์กษัตริย์ 10:1-29

อ้างอิง              2พศด.9:1-28;1พกษ.3:12-13;4:22;5:7;7:2;9:26-28;1พศด.29:25;27:28

บทนำ               

คนเราควรมีชีวิตที่มีชื่อเสียงดีในบางเรื่อง

ซาโลมอนมีกิตติศัพท์เลื่องลือในเรื่องสติปัญญา

แล้วคุณละ มีความโดดเด่นในเรื่องใดบ้างหรือไม่ ที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า?

บทเรียน

10:1 “เมื่อ​พระ‌รา‍ชินี​แห่ง​เช‍บาทรง ​ได้​ยิน​กิตติ‌ศัพท์​ของ​ซา‍โล‍มอน อัน​เนื่อง​มา​จาก​พระ‌นาม​ของ​พระ‌ยาห์‍เวห์ พระ‌นาง​ก็​เสด็จ​มา​ทด‍สอบ​พระ‌องค์​ด้วย​ปัญ‍หา​ยุ่ง‌ยาก​ต่าง ๆ

        (Now when the queen of Sheba heard of the fame of Solomon concerning the name of the Lord,  she came to test him with hard questions. )

10:2 “พระ‌นาง​เสด็จ​มา​ยัง​กรุง​เย‍รู‍ซา‍เล็ม​พร้อม​ด้วย​ข้า​ราช‍บริ‍พาร​มาก‌มาย กับ​ฝูง​อูฐ​บรร‍ทุก​เครื่อง​เทศ ทอง‍คำ​มาก‌มาย อัญ‍มณี​ล้ำ‌ค่า และ​เมื่อ​พระ‌นาง​เสด็จ​มา​ถึง​ซา‍โล‍มอน​แล้ว พระ‌นาง​ก็​ทูล​เรื่อง​ใน​ใจ​ทุก​ประ‍การ​ต่อ​พระ‌องค์

      (She came to Jerusalem with a very great retinue, with camels bearing spices and very much gold and precious stones. And when she came to Solomon, she told him all that was on her mind. )

10:3 “และ​ซา‍โล‍มอน​ตรัส​ตอบ​ปัญ‍หา​ทุก​ข้อ​ของ​พระ‌นาง ไม่‌มี​สิ่ง​ใด​ซ่อน​‌เร้น​จาก​พระ‌ราชา​ซึ่ง​พระ‌องค์​จะ​ทรง​ตอบ​พระ‌นาง​ไม่‌ได้

      (And Solomon answered all her questions; there was nothing hidden from the king that he could not explain to her. )

10:4 “และ​เมื่อ​พระ‌รา‍ชินี​แห่ง​เช‍บาทรง​เห็น​พระ‌สติ‌ปัญ‍ญา​ทั้ง‌สิ้น​ของ​ซา‍โล‍มอน และ​พระ‌ราช‍วัง​ที่​พระ‌องค์​ทรง​สร้าง”

     (And when the queen of Sheba had seen all the wisdom of Solomon, the house that he had built, )

10:5 “ทั้ง​อา‍หาร​ที่​โต๊ะ​เสวย กับ​ที่‌นั่ง​ของ​บรร‍ดา​ข้า​ราช‍การ และ​การ​ปรน‍นิบัติ​ของ​พวก​มหาด‍เล็ก ตลอด​จน​เครื่อง​แต่ง‌กาย​ของ​พวก‌เขา อีก​ทั้ง​พนัก‌งาน​เชิญ‌ถ้วย​เสวย​ของ​พระ‌องค์ รวม​ทั้ง​เครื่อง​บูชา​เผา​ทั้ง​ตัว​ของ​พระ‌องค์​ที่​ทรง​ถวาย​บูชา ณ พระ‌นิเวศ​ของ​พระ‌ยาห์‍เวห์ พระ‌ทัย​ของ​พระ‌นาง​ก็​ตื่น​ตะ‍ลึง​อย่าง​ยิ่ง

     (the food of his table, the seating of his officials, and the attendance of his servants, their clothing,  his cupbearers, and his burnt offerings that he offered at the house of the Lord, there was no more breath in her. )

10:6 “พระ‌นาง​ทูล​พระ‌ราชา​ว่า “ข่าว​คราว​ซึ่ง​หม่อม‌ฉัน​ได้​ยิน​ใน​ประ‍เทศ​ของ​หม่อม‌ฉัน เกี่ยว‌กับ​พระ‌ราช‍กิจ​และ​พระ‌สติ‌ปัญ‍ญา​ของ​ฝ่า​พระ‌บาท​นั้น​เป็น​ความ​จริง

     (And she said to the king, “The report was true that I heard in my own land of your words and of your wisdom, )

10:7 “แต่​หม่อม‌ฉัน​ไม่‌ได้​เชื่อ​ถ้อย‌คำ​เหล่า‌นั้น จน​กระ‍ทั่ง​หม่อม‌ฉัน​ได้​มา​เฝ้า และ​เห็น​ด้วย​ตา​ของ​หม่อม‌ฉัน​เอง ดู‌สิที่​เขา​บอก​แก่​หม่อม‌ฉัน​ก็​ไม่​ถึง​ครึ่ง​หนึ่ง  พระ‌สติ‌ปัญ‍ญาและ​ความ​มั่ง‌คั่ง​ฝ่า​พระ‌บาท​ก็​มาก​ยิ่ง‌กว่า​ข่าว‌คราว​ ที่​หม่อม‌ฉัน​ได้​ยิน

      (but I did not believe the reports until I came and my own eyes had seen it. And behold, the half  was not told me. Your wisdom and prosperity surpass the report that I heard. )

10:8 “บรร‍ดา​คน​ของ​ฝ่า​พระ‌บาท​ ก็​เป็น​สุข บรร‍ดา​ข้า​ราช‍การ​เหล่า‌นี้​ของ​ฝ่า​พระ‌บาท​ก็​เป็น​สุข คือ​ผู้​ที่​คอย​ปรน​นิบัติ​เฉพาะ​พระ‌พักตร์​ฝ่า​พระ‌บาท​เป็น​ประจำ และ​ฟัง​พระ‌สติ‌ปัญ‍ญา​ของ​ฝ่า​พระ‌บาท

     (Happy are your men! Happy are your servants, who continually stand before you and hear your wisdom! )

10:9 “สาธุ‌การ​แด่​พระ‌ยาห์‍เวห์​พระ‌เจ้า​ของ​ฝ่า​พระ‌บาท ผู้​พอ‌พระ‌ทัย​ใน​ฝ่า​พระ‌บาท และ​ทรง​ตั้ง​ฝ่า​พระ‌บาท​ไว้​บน​ บัล‍ลังก์​แห่ง​อิส‍รา‍เอล เพราะ​พระ‌ยาห์‍เวห์​ทรง​รัก​อิส‍รา‍เอล​เป็น​นิตย์ พระ‌องค์​จึง​ทรง​แต่ง‌ตั้ง​ให้​ฝ่า​พระ‌บาท​เป็น​พระ‌ราชา เพื่อ​ฝ่า​พระ‌บาท​จะ​ทรง​อำ‍นวย​ความ​ยุติ‌ธรรม​และ​ความ​ชอบ‌ธรรม

      (Blessed be the Lord your God, who has delighted in you and set you on the throne of Israel!  Because the Lord loved Israel forever, he has made you king, that you may execute justice and righteousness.” )

10:10 “แล้ว​พระ‌นาง​ก็​ถวาย​ทอง‍คำ​หนัก 4,000 กิโล‍กรัม​แด่​พระ‌ราชา ทั้ง​เครื่อง​เทศ​อีก​มาก​มาย และ​อัญมณี​ล้ำค่า ไม่‌มี​เครื่อง​เทศ​เข้า​มา​มาก‌มาย​เหมือน​อย่าง​ที่​พระ‌รา‍ชินี​แห่ง​เช บา​ถวาย​แด่​พระ‌ราชา​ซา‍โล‍มอน​อีก​เลย”

      (Then she gave the king 120 talents of gold, and a very great quantity of spices and precious stones. Never again came such an abundance of spices as these that the queen of Sheba gave to King Solomon. )

10:11 “ยิ่ง‌กว่า​นั้น​อีก กอง​เรือ​ของ​ฮี‍ราม​ที่​บรร‍ทุก​ทอง‍คำ​มา​จาก​โอ‍ฟีร์ ได้​นำ​ไม้​จันทน์​แดง​มาก​มาย​และ​อัญ‌มณี​ล้ำค่า​มา​จาก​โอ‍ฟีร์

       (Moreover, the fleet of Hiram, which brought gold from Ophir, brought from Ophir a very great  amount of almug wood and precious stones. )

10:12 “แล้ว​พระ‌ราชา​ทรง​ใช้​ไม้​จันทน์​แดง​ทำ​เสา​สำ‍หรับ​พระ‌นิเวศ​ของ​พระ‌ยา ห์‍เวห์ และ​สำ‍หรับ​พระ‌ราช‍วัง​ของ​กษัตริย์ และ​ทำ​พิณ‌เขา‌คู่​และ​พิณ‌ใหญ่​สำ‍หรับ​พวก​นัก‌ร้อง จน​ทุก​วัน‌นี้​ก็​ไม่​เคย​มี​ไม้​จันทน์​แดง​เข้า​มาให้​เห็น​มาก‌มาย​ อย่าง‌นี้​อีก

      (And the king made of the almug wood supports for the house of the Lord and for the king’s  house, also lyres and harps for the singers. No such almug wood has come or been seen to this ay. )

10:13 “พระ‌ราชา​ซา‍โล‍มอน​ประ‌ทาน​แก่​พระ‌รา‍ชินี​แห่ง​เช‍บา ทุก​อย่าง​ที่​พระ‌นาง​ทรง​ประ‍สงค์​ตาม​ที่​ทูล​ขอ นอก​เหนือ‌จาก​สิ่ง​ที่​ได้​ประ‍ทาน​แก่​พระนาง​แล้ว​ด้วย​พระ‌ทัย​กว้าง​ ขวาง​ของ​พระ‌ราชา​ซา‍โล‍มอน ดัง‌นั้น​พระ‌นาง​ก็​เสด็จ​กลับ​ไป​ยัง​แผ่น‌ดิน​ของ​พระ‌นาง พร้อม​กับ​พวก​ข้า​ราช‍การ​ของ​พระ‌นาง

      (And King Solomon gave to the queen of Sheba all that she desired, whatever she asked besides  what was given her by the bounty of King Solomon. So she turned and went back to her own land with her servants. )

10:14 “น้ำ‌หนัก​ของ​ทอง‍คำ​ที่​นำ​มา​ถวาย​ซา‍โล‍มอน​ใน​ปี​หนึ่ง​นั้น​เป็น​ทอง‍คำ​หนัก​ถึง 23,000 กิโล‍กรัม”

       (Now the weight of gold that came to Solomon in one year was 666 talents of gold, )

10:15 “นอก‌เหนือ​จาก​ทอง​ซึ่ง​มา​จาก​พวก​คน​ค้า​ขาย​และ​จาก​สินค้า​ของ​พวก​พ่อ‌ค้า และ​จาก​บรร‍ดา​กษัตริย์​แห่ง​อา‍ระ‍เบีย​และ​จาก​บรร‍ดา​เจ้า‌เมือง​ของ​ แผ่น‌ดิน

        (besides that which came from the explorers and from the business of the merchants, and from  all the kings of the west and from the governors of the land. )

10:16 “พระ‌ราชา​ซา‍โล‍มอน​ทรง​ให้​เอา​ทอง‍คำ​มา​ทุบ​เป็น​โล่​ใหญ่ 200 อัน โล่​อัน​หนึ่ง​ใช้​ทอง‍คำ​หนัก​ประ‍มาณ 7  กิโล‍กรัม

        (King Solomon made 200 large shields of beaten gold; 600 shekels of gold went into each  shield.)

10:17 “และ​พระ‌องค์​ทรง​ให้​เอา​ทอง​คำ​มา​ทุบ​เป็น​โล่​เล็ก 300 อัน โล่​อัน​หนึ่ง​ใช้​ทอง‍คำ​หนัก​ประ‍มาณ 2 กิโล‍กรัม และ​ พระ‌ราชา​ทรง​เก็บ​โล่​ไว้​ใน​พระ‌ตำ‍หนัก​พนา​เล‍บา‍นอน

        (And he made 300 shields of beaten gold; three minas of gold went into each shield. And the  king put them in the House of the Forest of Lebanon. )

10:18 “พระ‌ราชา​ทรง​ทำ​พระ‌ที่‌นั่ง​งา‌ช้าง​ขนาด​ใหญ่ และ​ทรง​บุ​ด้วย​ทอง‍คำ​บริ‍สุทธิ์”

       (The king also made a great ivory throne and overlaid it with the finest gold. )

10:19 “พระ‌ที่‌นั่ง​นั้น​มี​บัน‍ได​หก​ขั้น ด้าน​บน​พนัก‌หลัง​ของ​พระ‌ที่‌นั่ง​นั้น​กลม และ​สอง​ข้าง​ของ​พระ‌ที่‌นั่ง​มี​ที่​วาง​พระ‌หัตถ์ มี​รูป​สิงโต​สอง​ตัว​ยืน​อยู่​ข้างๆ ที่​วาง​พระ‌หัตถ์”

        (The throne had six steps, and at the back of the throne was a calf’s head, and on each side of  the seat were armrests and two lions standing beside the armrests, )

10:20 “และ​มี​รูป​สิงโต​อีก​สิบ‌สอง​ตัว​ยืน​อยู่​บน​ข้าง​บัน‍ได​หก​ขั้น ขั้น​ละ​สอง​ตัว ไม่‌มี​ราช‍อา‍ณา‌จักร​ใดๆ เคย​ทำ​สิ่ง​เหล่า‌นี้​เลย

       (while twelve lions stood there, one on each end of a step on the six steps. The like of it was   never made in any kingdom. )

10:21 “ถ้วย​ทั้ง‌สิ้น​ของ​พระ‌ราชา​ซา‍โล‍มอน​ทำ​ด้วย​ทอง‍คำ และ​ภาชนะ​ทั้ง‌สิ้น​ของ​พระ‌ตำ‍หนัก​พนา​เล‍บา‍นอน​ทำ​ด้วยทอง‍คำ​บริ‍สุทธิ์ ไม่‌มี​ที่​ทำ​ด้วย​เงิน​เลย เงิน​นั้น​ถือ​ว่า​เป็น​ของ​ไม่‌มี​ค่า​อะไร​ใน​สมัย​ของ​ซา‍โล‍มอน

       (All King Solomon’s drinking vessels were of gold, and all the vessels of the House of the Forest  of Lebanon were of pure gold. None were of silver; silver was not considered as anything in the days of Solomon. )

10:22 “เพราะ‌ว่า​พระ‌ราชา​มี​กอง​เรือ​เมือง​ทาร‍ชิช เดิน​ทะเล​พร้อม​กับ​กอง​เรือ​ของ​ฮี‍ราม กอง​เรือ​เมือง​ทาร‍ชิช​นำ​ทอง‍คำ  เงิน งา‌ช้าง ลิง และ​นก‌ยูง​มา​สาม​ปี​ต่อ​ครั้ง”

        (For the king had a fleet of ships of Tarshish at sea with the fleet of Hiram. Once every three  years the fleet of ships of Tarshish used to come bringing gold, silver, ivory, apes, and   peacocks. )

10:23 “ดัง‌นั้นพระ‌ราชา​ซา‍โล‍มอน​จึง​ยิ่ง‌ใหญ่​กว่า​กษัตริย์​อื่นๆ ใน​โลก ใน​เรื่อง​สม‍บัติ​และ​สติ‌ปัญ‍ญา”

       (Thus King Solomon excelled all the kings of the earth in riches and in wisdom. )

10:24 “และ​ทั่ว​ทั้ง​โลก​ก็​แสวง‌หา​ที่​จะ​เข้า‌เฝ้า​ซา‍โล‍มอน เพื่อ​จะ​ฟัง​พระ‌สติ‌ปัญ‍ญา​ซึ่ง​พระ‌เจ้า​ประ‍ทาน​ไว้​ใน​พระ‌ทัย​ของ​พระ‌องค์”

         (And the whole earth sought the presence of Solomon to hear his wisdom, which God had put  into his mind. )

10:25 “ทุก​คน​ก็​นำ​เครื่อง​บรร‍ณา‍การ​ของ​เขา​มา คือ​ภาชนะ​เงิน​และภาชนะ​ทอง เสื้อ​ผ้า อา‍วุธ เครื่อง​เทศ ม้า​และ​ล่อ ตาม​จำ‍นวน​กำ‍หนด​ทุกๆ ปี

       (Every one of them brought his present, articles of silver and gold, garments, myrrh, spices, horses, and mules, so much year by year. )

10:26 “ซา‍โล‍มอน​ทรง​สะสม​รถ‌รบ​และ​ทหาร‌ม้า พระ‌องค์​ทรง​มี​รถ‌รบ 1,400 คัน และ​ทหาร‌ม้า 12,000 คน ซึ่ง​พระ‌องค์​ทรง​ให้​ประ‍จำ​อยู่‌ที่​เมือง​รถ‌รบ และ​อยู่​กับ​พระ‌ราชา​ใน​กรุง​เย‍รู‍ซา‍เล็ม

       (And Solomon gathered together chariots and horsemen. He had 1,400 chariots and 12,000  horsemen, whom he stationed in the chariot cities and with the king in Jerusalem. )

10:27 “และ​พระ‌ราชา​ทรง​ทำ​ให้​เงิน​ใน​กรุง​เย‍รู‍ซา‍เล็ม​เป็น​เหมือน​ก้อน‌หิน และ​ทรง​ทำ​ให้​มี​ไม้‌สน​สี‍ดาร์​มาก‌มาย​เหมือน​ต้น​มะ‍เดื่อ​แห่ง​เนิน​เช‍เฟ‍ลาห์

       (And the king made silver as common in Jerusalem as stone, and he made cedar as plentiful as the sycamore of the Shephelah. )

10:28 “ม้า​อัน​เป็น​สิน‌ค้า​เข้า​ของ​ซา‍โล‍มอน​มา​จาก​อี‍ยิปต์และ​คู‍เอ และ​บรร‍ดา​พ่อ‌ค้า​ของ​พระ‌ราชา​ก็​ได้​ม้า​มา​จาก​คู‍เอ​ตาม​รา‍คา

       (And Solomon’s import of horses was from Egypt and Kue, and the king’s traders received them  from Kue at a price. )

10:29 “ส่วน​รถ‌รบ​ที่​มา​จาก​อี‍ยิปต์​คัน​หนึ่ง​มี​รา‍คา​เป็น​เงิน 600 เช‍เขล ม้า​ตัว​หนึ่ง​มี​ราคา​เป็น​เงิน 150 เช‍เขล ดัง‌นั้น​ โดย​ทาง​พวก​พ่อ‌ค้า เขา​ก็​ส่ง​ออก​ไป​ยัง​กษัตริย์​ทั้ง‌ปวง​ของ​คน​ฮิต‍ไทต์​และ​บรร‍ดา​กษัตริย์​ของ​ซี‍เรีย

       (A chariot could be imported from Egypt for 600 shekels of silver and a horse for 150, and so through the king’s traders they were exported to all the kings of the Hittites and the kings of  Syria. )

ข้อมูลมีประโยชน์

 

  10:1     “พระราชินีแห่งเชบา” (queen of Sheba ) –ปฐก.10:7,28;25:3;มธ.12:42;ลก.11:31

“เชบา” –ตามหลักฐานทางโบราณคดี บ่งบอกว่า เชบาเป็นอาณาจักรทางการค้าที่เจริญรุ่งเรืองทางตะวันตกเฉียงใต้ของอาระเบีย (ปฐก.10:28;ยอล.3:8) ในช่วงเวลาประมาณ  900-450 ก.ค.ศ

เชบา ได้กำไรจากการค้าขายทางทะเลกับอินเดีย และอัฟริกาตะวันออก โดยขนส่งสินค้าที่มีค่าไปทางเหนือถึงดามัสกัส และลงใต้มาทางกาซา โดยใช้เส้นทางคาราวานผ่านถิ่นทุรกันดารอาระเบีย

“กิตติศัพท์ของซาโลมอน” (the fame of Solomon) -4:31;อสค.16:14

“อันเนื่องมาจากพระนามของพระยาห์เวห์” (concerning the name of the Lord,) = สติปัญญาของซาโลมอนถวายพระเกียรติแด่พระนามของพระยาห์เวห์

= ราชินีแห่งเชบา สังเกตว่า สติปัญญาของซาโลมอนนั้นเกี่ยวข้องกับพระเจ้าที่ซาโลมอนนมัสการ

-พระเยซูคริสต์ทรงใช้ราชินีแห่งเชบาเป็นตัวอย่างเพื่อกล่าวโทษประชาชนในสมัยของพระองค์ซึ่งไม่สังเกต

เลยว่า พระเยซูคริสต์ผู้ทรง “ยิ่งใหญ่กว่าซาโลมอน”  นั้นอยู่ท่ามกลางพวกเขา (มธ.12:42;ลก.11:31)

“ทดสอบโดยตั้งปัญหายาก ๆ” (test him with hard questions.) –กดว.12:8;วนฉ.14:12

10:2     “ข้าราชบริพารมากมาย” (a very great retinue,) = กองคาราวานใหญ่ –ปฐก.24:10

10:5     “อาหารบนโต๊ะเสวย” (the food of his table) –1พกษ.4:22

10:7     “หม่อมฉันไม่ได้เชื่อถ้อยคำเหล่านั้น” ( I did not believe the reports) = ไม่ได้เชื่อมาก่อนเลย  –ปฐก.45:26

“พระสติปัญญาและความมั่งคั่ง” (wisdom and prosperity surpass) –1พศด.29:25

10:8     “บรรดาคนของฝ่าพระบาท” (your servants) = “ไพร่ฟ้าของฝ่าพระบาท”  แต่ในสำเนาโบราณบางฉบับแปลว่า “บรรดามเหสีของฝ่าพระบาท”

10:9     “สาธุการแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของฝ่าพระบาท” (Blessed be the Lord your God,) –ราชินีแห่งเชบา ได้กล่าวถ้อยคำที่สะท้อนถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับประชาชนของพระองค์ตามพันธสัญญา (แม้ว่าอาจจะเข้าใจเพียงแค่การรับรู้ว่า พระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าประจำชาติของชาวอิสราเอลก็ตาม)    (ปท.1พกษ.5:7;2พศด.2:12;ดนล.3:28-29;อสย.42:10)

-แต่ยังไม่ได้หมายความว่า พระนางยอมรับพระเจ้าของซาโลมอนเป็นพระเจ้าของพระนางอย่างสิ้นเชิงแล้ว

“ทรงรักอิสราเอลเป็นนิตย์” (the Lord loved Israel forever) = เนื่องด้วยความรักนิรันดร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่มีต่ออิสราเอล – ฉธบ.7:8

“อำนวยความยุติธรรม” (justice            ) –สดด.11:7;33:5;72:2;99:4;103:6

10:10   “ถวายทองคำ” ( gold) –1พกษ.9:28;อสย.60:6

“หนัก 4000 กิโลกรัม” ( 120 talents) = หนักประมาณ 4 ตัน (9:11,28)

10:11   “กองเรือของฮีราม” (the fleet of Hiram  ) -9:26-28 ,-ฮีรามจัดหาไม้, สังกะสี และช่างผู้เชี่ยวชาญในการก่อสร้าง ซึ่งอิสราเอลขาดแคลนมาให้

“ไม้จันทน์แดง” (almug wood) = อาจเป็นไม้ประดู่ (2พศด.9:10-11), ไม้ชนิดนี้มีทั้งในเลบานอนและโอฟีร์ (2พศด.2:8)

“โอฟีร์”( Ophir  ) –ปฐก.10:29

10:13   “ทุกอย่างที่พระนางทรงประสงค์ตามที่ทูลขอ”(all that she desired, whatever she asked besides) =เป็นเพียงแค่การแลกเปลี่ยนของกำนัลและข้อตกลงทางการค้าระหว่างซาโลมอนและราชินีแห่งเชบา (แม้จะมีตำนานมากมายเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของราชินีแห่งเชบาที่ให้กำเนิดบุตรที่เกิดจากซาโลมอนก็ตาม)

10:14   “น้ำหนักทองคำ…เป็นทองคำหนักถึง 23,000 กิโลกรัม” (weight of gold ….. 666 talents of gold)

= หนักประมาณ 23 ตัน หรือ 666 ตะลันต์ –1พกษ.9:28

10:15   “…จากบรรดากษัตริย์แห่งอาระเบีย” (…from all the kings of the west) = บรรณาการเพื่อให้กองคาราวานของกษัตริย์เหล่านี้ผ่านเขตแดนอิสราเอล

“จากบรรดาเจ้าเมืองของแผ่นดิน” (from the governors of the land) = เหล่าผู้ปกครองของดินแดนนั้นอาจเป็นกลุ่มเดียวกับใน 4:7-19

10:16   “เอาทองคำมาทุบเป็นโล่ใหญ่” (gold went into each shield) –โล่ 4 เหลี่ยมผืนผ้าสามารถป้องกันตัวได้เต็มตัว (ต่างจากโล่กรมขนาดเล็ก) –2ซมอ.8:7

-โล่เหล่านี้น่าจะใช้ในพิธีการ (หรือพิธีกรรม) เป็นสัญลักษณ์ส่อถึงความมั่งคั่งและความยิ่งใหญ่ตระการของอิสราเอล

-อาจจะทำด้วยไม้และปิดรอบด้วยทองคำ

-ต่อมาในปีที่ 5 ของรัชกาลเรโหโบอัม ชิชักแห่งอียิปต์ ได้ปล้นชิงโล่เหล่านี้ไป (14:25-26)

“โล่อันหนึ่งใช้ทองคำหนักประมาณ 7 กิโลกรัม” (shields of beaten gold; 600 shekels) –ภาษาฮีบรูใช้คำว่า 600 เบคา

10:17   “ประมาณ 2 กิโลกรัม” (300 shields) = 3 มินา (หรือประมาณ 1.7 กิโลกรัม)

“ตำหนักพนาเลบานอน” (the Forest of Lebanon) –1พกษ.7:2

10:21   “ทองคำบริสุทธิ์” (pure gold) –อสย.60:17

10:22   “กองเรือเมืองทารชิช” ( a fleet of ships of Tarshish) = กองเรือพาณิชย์ (2พศด.9:2) ถูกกล่าวถึงใน ข.11:1พกษ.9:26-28

= ไม่จำเป็นต้องเป็นเรือที่แล่นไปยังทารชิช (ยนา.1:3) แต่อาจหมายถึงเรือพาณิชย์ขนาดใหญ่

“กองเรือ” (ของฮีราม) (sea with the fleet            ) –1พกษ.9:27;สดด.48:7;อสย.2:16;23:1;14;60:6,7

          “นกยูง” -ยังแปลได้ว่า “ลิงบาบูน”

10:23   “ในเรื่องสมบัติ” (riches            ) = กษัตริย์ทรงมั่งคั่งมากกว่ากษัตริย์องค์ใด ๆ ในสมัยนั้น (1พกษ.3:13;มธ.6:29)

“สติปัญญา” (wisdom) = ทรงพระปรีชาญาณเหนือกว่ากษัตริย์องค์ใด ๆ  -1พกษ.3:12;มธ.24:42

10:24   “ฟังพระสติปัญญา” (hear his wisdom) –2ซมอ.14:20

10:25   “นำเครื่องบรรณาการของเขามา” (brought his present,) –1ซมอ.10:27

10:26   “รถรบและทหารม้า” (chariots and horsemen.)  คำว่า “ทหารม้า” อาจแปลได้ว่า “ม้า” -4:26; โมเสสเคยกล่าวห้ามกษัตริย์ไม่ให้สะสมม้าไว้ในเฉลยธรรมบัญญัติ 17:16

“ม้า 12000 ตัว” = อาจแปลว่า “พวกรบรถ 12000 คน”

10:27   “เงิน…เป็นเหมือนก้อนหิน” (silver as common) = เงินมีมากมายจนเหมือนก้อนหิน กลายเป็นสิ่งไร้ค่าไป (โยบ 27:16;อสย.60:17)

“ต้นมะเดื่อ” (the sycamore) –1พศด.27:28;อมส.7:14

10:29   “600 เชเขล” (600 shekels)= มูลค่าของเงินที่มีน้ำหนักประมาณ 7.2 กิโลกรัม

“150 เชเขล” (150 shekels) = มูลค่าของเงินมีน้ำหนักประมาณ 1.8 กิโลกรัม

“ส่งออก” (exported) = ผ่านตัวแทน (ข.28)

ซาโลมอนเป็นกษัตริย์ที่เป็นคนกลางในการทำธุรกิจการค้าที่ได้กำไรดี

“คนฮิตไทต์” (the Hittites) –ปฐก.10:15

“บรรดากษัตริย์ของซีเรีย” (kings of Syria) = เรียกชื่อเดิมว่า “ชาวอารัม” ซึ่งเป็นชนชาติโบราณที่ครอบครองพื้นที่ขนาดใหญ่ทางเหนือทางตะวันออกของทะเลกาลิลี (ปฐก.10:22;ฉธบ.26:5;1พศด.18:15)

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณมีชื่อเสียงที่ดีในด้านใดบ้าง? เพราะอะไร?  และส่งผลต่อชีวิตของคุณและคนอื่นอย่างไร?
  2. คุณเคยได้ยินกิตติศัพท์ของบุคคลใดที่ทำให้คุณปรารถนาที่จะได้เข้าใกล้ชิดหรือพบเขาบ้าง? เพื่ออะไร?  แล้วผลสุดท้ายเป็นอย่างไร?
  3. บุคคลใดในพระคัมภีร์เป็นคนที่มีกิตติศัพท์ที่ดีที่สุดในความคิดเห็นของคุณ? ทำไมจึงคิดเช่นนั้น?  หากคุณได้เข้าพบเขา/เธอคุณจะขออะไรจากเขา/เธอ?
  4. เคยมีบุคคลใดเข้ามาหาคุณและบอกว่า เขาเห็น “พระเจ้า” ทรงสถิตอยู่กับคุณบ้างหรือไม่?  เขาดูหรือสังเกตจากอะไร? (แบ่งปัน)
  5. คุณเคยตื่นตะลึงที่ได้เห็นหรือประสบกับอะไรที่เข้าข่าย “ไม่เคยเห็นมากมายอย่างนั้นมาก่อน” บ้างหรือไม่? และส่งผลอะไรต่อคุณบ้าง?  (แบ่งปัน)
  6. หากวันนี้ คุณมีทองคำมากมายอย่างกษัตริย์ซาโลมอนมี คุณจะทำอะไรบ้าง? ทำไม? และอย่างไร?
  7. บุคคลใดเป็นคนที่มีสติปัญญาที่คุณปรารถนาที่จะขอรับฟังจากเขามากที่สุดและในเรื่องอะไร?
  8. คุณเห็นแบบอย่างอะไรของผู้ใดบ้างที่สามารถใช้สติปัญญาให้เกิดผลมากมายทั้งในทางโลกและทางธรรม เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าและหนุนใจตัวของคุณ? และเขาใช้สติปัญญานั้นอย่างไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 13)

อย่ารุ่งแล้วเหลิง!

 พระธรรม        1พงศ์กษัตริย์ 9:1-28

อ้างอิง                2พศด.7:11-22;1พกษ.3:5,14,14:8;15:5;2พกษ.19:20;20:5;22:17;1ซมอ.9:16;2ซมอ.7:2

บทนำ                 พระเจ้าทรงอวยพรซาโลมอนและอิสราเอล แต่ก็ทรงเตือนพวกเขาให้ระลึกถึงพันธสัญญาที่มีต่อพระองค์ นั่นคือ หากพวกเขาเชื่อฟังและปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์ พวกเขาจะได้รับพร แต่หากว่าพวกเขาไม่เชื่อฟัง ไม่ติดตามพระองค์ เมื่อนั้นสิ่งที่พวกเขาจะได้รับคือ คำแช่งสาบ!

บทเรียน

9:1 “ต่อ​มา​เมื่อ​ซาโลมอน​ทรง​สร้าง​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์​และ​ พระราชวัง​ของ​กษัตริย์ รวม​ทั้ง​ทุก​สิ่ง​ที่​ซาโลมอน​ มี​พระประสงค์​จะ​สร้าง​นั้น​สำเร็จ​ แล้ว

    (As soon as Solomon had finished building the house of the Lord and the king’s house and all that  Solomon desired to build, )

9:2 “พระยาห์เวห์​ทรง​ปรากฏ​แก่​ซาโลมอน​เป็น​ครั้ง​ที่​สอง เหมือนอย่าง​ที่​ทรง​ปรากฏ​แก่​ท่าน​ที่​เมือง​กิเบโอน

    (the Lord appeared to Solomon a second time, as he had appeared to him at Gibeon. )

9:3 “และ​พระยาห์เวห์​ตรัส​กับ​ท่าน​ว่า “เรา​ได้​ยิน​คำ​อธิษฐาน​และ​คำ​วิงวอน​ของ​เจ้า ซึ่ง​เจ้า​ได้​อ้อนวอน​เรา​นั้น​แล้ว เรา​ได้​ทำ​นิเวศ​นี้​ซึ่ง​เจ้า​ได้​สร้าง​ไว้​ให้​บริสุทธิ์ และ​ได้​ใส่​นาม​ของ​เรา​ไว้​ที่นั่น​เป็น​นิตย์ ตา​ของ​เรา​และ​ใจ​ของ​เรา​จะ​อยู่​ที่‌นั่น​ตลอด​ไป

     (And the Lord said to him, “I have heard your prayer and your plea, which you have made before me. I have consecrated this house that you have built, by putting my name there forever. My eyes  and my heart will be there for all time.)

9:4 “และ​ส่วน​เจ้า ถ้า​เจ้า​ดำเนิน​ต่อ​หน้า​เรา​เหมือนอย่าง​ดาวิด​บิดา​ของ​เจ้า​ดำเนิน ด้วย​ใจ​ซื่อสัตย์ และ​ด้วย​ความ​ เที่ยงธรรม และ​ทำ​ทุก​อย่าง​ตาม​ที่​เรา​ได้​บัญชา​เจ้า​ไว้ อีก​ทั้ง​รักษา​กฎเกณฑ์​และ​กฎหมาย​ของ​เรา

     (And as for you, if you will walk before me, as David your father walked, with integrity of heart and  uprightness, doing according to all that I have commanded you, and keeping my statutes and my  rules,)

9:5 “แล้ว​เรา​จะ​สถาปนา​ราชบัลลังก์​ของ​เจ้า​เหนือ​อิสราเอล​เป็น​นิตย์ ดังที่​เรา​ได้​กล่าว​กับ​ดาวิด​บิดา​ของ​เจ้า​ว่า ‘เจ้า​จะ​ไม่​ขาด​ทายาท​ที่​จะ​นั่ง​บน​บัลลังก์​แห่ง​อิสราเอล’”

     (then I will establish your royal throne over Israel forever, as I promised David your father, saying,  “You shall not lack a man on the throne of Israel.” )

9:6 “แต่​ถ้า​เจ้า​ทั้งหลาย​หรือ​ลูก​หลาน​หัน​ไป​จาก​การ​ติดตาม​เรา และ​ไม่ได้​รักษา​บัญญัติ​และ​กฎเกณฑ์​ของ​เรา ซึ่ง​เรา​ได้​ตั้ง​ไว้​ต่อ​หน้า​พวกเจ้า แต่​ไป​ปรนนิบัติ​พระอื่นๆ และ​นมัสการ​พระ​เหล่านั้น

    (But if you turn aside from following me, you or your children, and do not keep my commandments  and my statutes that I have set before you, but go and serve other gods and worship them, )

9:7 “แล้ว​เรา​จะ​ตัด​อิสราเอล​ออก​เสีย​จาก​แผ่นดิน​ซึ่ง​เรา​ได้​ให้​แก่​ พวกเขา และ​เรา​จะ​เหวี่ยง​นิเวศ​ซึ่ง​เรา​ทำ​ให้​บริสุทธิ์​เพื่อ​นาม​ของ​เรา​ไป ​จาก​สายตา​ของ​เรา และ​อิสราเอล​จะ​เป็น​คำ​เปรียบ​เปรย และ​เป็น​ขี้ปาก​ใน​หมู่​ชนชาติ​ทั้ง‌หลาย

   (then I will cut off Israel from the land that I have given them, and the house that I have  consecrated for my name I will cast out of my sight, and Israel will become a proverb and a byword  among all peoples. )

9:8 “และ​นิเวศ​นี้​จะ​กลาย​เป็น​กอง​สิ่ง​ปรัก​หัก​พัง ทุก​คน​ที่​ผ่าน​ไป​จะ​ประหลาด​ใจ และ​จะ​เยาะเย้ย​และ​กล่าว​ว่า ‘ทำไม​พระยาห์เวห์​จึง​ทรง​ทำ​เช่นนี้​แก่​แผ่นดิน​นี้​และ​พระนิเวศ​ นี้?’”

    (And this house will become a heap of ruins. Everyone passing by it will be astonished and will  hiss, and they will say, “Why has the Lord done thus to this land and to this house?” )

9:9 “แล้ว​พวกเขา​จะ​ตอบ​ว่า ‘เพราะ​เขา​ทั้งหลาย​ละทิ้ง​พระยาห์เวห์​พระเจ้า​ของ​เขา ผู้​ทรง​นำ​บรรพบุรุษ​ของ​เขา​ออก​จาก​แผ่นดิน​อียิปต์ และ​ไป​ยึด​ถือ​พระอื่น อีก​ทั้ง​นมัสการ​และ​ปรนนิบัติ​พระ​เหล่านั้น เพราะ​ฉะนั้น พระยาห์เวห์​ทรง​นำ​เหตุร้าย​ทั้งหมด​นี้​มา​เหนือ​เขา​ทั้งหลาย’”

    (Then they will say, “Because they abandoned the Lord their God who brought their fathers out of the land of Egypt and laid hold on other gods and worshiped them and served them. Therefore the  Lord has brought all this disaster on them.” )

9:10 “ต่อ​มา​เมื่อ​สิ้น​ยี่สิบ​ปี ที่​ซาโลมอน​ได้​ทรง​สร้าง​อาคาร​สอง​หลัง คือ​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์ และ​พระราชวัง​ของ​กษัตริย์”

    (At the end of twenty years, in which Solomon had built the two houses, the house of the Lord and  the king’s house, )

9:11 “แล้ว​พระราชา​ซาโลมอน​ก็​ประทาน​เมือง 20 เมือง​ใน​แผ่นดิน​กาลิลี​แก่​ฮีราม​กษัตริย์​แห่ง​ไทระ เพราะ​ฮีราม​ได้​ส่ง​ไม้สน​สีดาร์ ไม้สน​สาม​ใบ​และ​ทองคำ​ให้​แก่​ซาโลมอน ตาม​ที่​พระองค์​มี​พระประสงค์

        (and Hiram king of Tyre had supplied Solomon with cedar and cypress timber and gold, as  much as he desired, King Solomon gave to Hiram twenty cities in the land of Galilee. )

9:12 “แต่​เมื่อ​ฮีราม​เสด็จ​จาก​เมือง​ไทระ​เพื่อ​ชม​เมือง​ที่​ซาโลมอน​ประทาน ​แก่​ท่าน เมือง​เหล่านั้น​ไม่​เป็น​ที่​พอพระทัย​ท่าน

      (But when Hiram came from Tyre to see the cities that Solomon had given him, they did not  please him. )

9:13 “เพราะ​ฉะนั้น​ท่าน​จึง​ว่า “น้อง​เอ๋ย เมือง​ที่​ท่าน​ให้​เรา​นั้น​เป็น​เมือง​อะไร​อย่างนี้?” ท่าน​จึง​เรียก​เมือง​เหล่า​นั้น​ว่าแผ่นดิน​คาบูล​จน​ทุก​วันนี้

      (Therefore he said, “What kind of cities are these that you have given me, my brother?” So they are called the land of Cabul to this day. )

9:14 “ฮีราม​ได้​ส่ง​ทองคำ​หนัก​สี่​ตัน​แก่​พระราชา

      (Hiram had sent to the king 120 talents of gold. )

9:15 “นี่​เป็น​เรื่อง​แรงงาน​เกณฑ์ ซึ่ง​พระราชา​ซาโลมอน​ได้​เกณฑ์​ให้​มา​สร้าง​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เว ห์ พระราชวัง​ของ​พระองค์ ป้อม​มิลโล กำแพง​กรุง​เยรูซาเล็ม เมือง​ฮาโซร์ เมือง​เมกิดโด เมือง​เกเซอร์

       (And this is the account of the forced labor that King Solomon drafted to build the house of the  Lord and his own house and the Millo and the wall of Jerusalem and Hazor and Megiddo and  Gezer )

9:16 “ฟาโรห์​กษัตริย์​อียิปต์​ได้​ทรง​ยก​ทัพ​ขึ้น​มา ยึด​เมือง​เกเซอร์​และ​เอา​ไฟ​เผา​เสีย อีก​ทั้ง​ได้​ฆ่า​คน​คานาอัน​ซึ่ง​อยู่​ใน​เมือง​นั้น และ​ได้​ยก​เมือง​นั้น​ให้​เป็น​ของขวัญ​แก่​พระธิดา​ของ​ท่าน ซึ่ง​เป็น​พระมเหสี​ของ​ซาโลมอน

      (Pharaoh king of Egypt had gone up and captured Gezer and burned it with fire, and had killed the Canaanites who lived in the city, and had given it as dowry to his daughter, Solomon’s wife; )

9:17 “ซาโลมอน​ทรง​สร้าง​เมือง​เกเซอร์​ขึ้น​ใหม่ และ​สร้าง​เมือง​เบธโฮโรน​ตอน​ล่าง

      (so Solomon rebuilt Gezer) and Lower Beth-horon )

9:18 “ทั้ง​เมือง​บาอาลัท​และ​เมือง​ทามาร์​ใน​ถิ่น​ทุรกันดาร ใน​แผ่นดิน​นั้น

       (and Baalath and Tamar in the wilderness, in the land of Judah, )

9:19 “ทั้ง​บรรดา​เมือง​คลัง​หลวง​ที่​ซาโลมอน​มี​อยู่ และ​เมือง​ทั้งหลาย​สำหรับ​รถรบ​ของ​พระองค์ และ​เมือง​ทั้งหลาย​สำ‍หรับ​ทหารม้า​ของ​พระองค์ และ​สิ่ง​ใดๆ ซึ่ง​ซาโลมอน​มี​พระประสงค์​จะ​สร้าง​ใน​กรุง​เยรูซาเล็ม ใน​เลบานอน และ​ทั่ว​แผ่นดิน​อยู่​ใน​อาณาจักร​ของ​พระองค์

       (and all the store cities that Solomon had, and the cities for his chariots, and the cities for his horsemen, and whatever Solomon desired to build in Jerusalem, in Lebanon, and in all the land of his dominion. )

9:20 “ประชาชน​ทั้งหมด​ที่​เหลือ​อยู่​และ​ไม่​ใช่​คน​อิสราเอล​ได้แก่ คน​อาโมไรต์ คน​ฮิตไทต์ คน​เปริสซี คน​ฮีไวต์ และ​คน​เยบุส

       (All the people who were left of the Amorites, the Hittites, the Perizzites, the Hivites, and the  Jebusites, who were not of the people of Israel)

9:21 “ลูก​หลาน​ของ​พวกเขา​ที่​เหลือ​อยู่​ใน​แผ่นดิน ซึ่ง​คน​อิสราเอล​ไม่​สามารถ​จะ​ทำลาย​ให้​สิ้น​ได้ ซาโลมอน​ก็​ทรง​เกณฑ์​ให้​เป็น​ทาส​แรงงาน​อยู่​จน​ทุก​วันนี้

(their descendants who were left after them in the land, whom the people of Israel were unable to devote to destruction—these Solomon drafted to be slaves, and so they are to this day. )

9:22 “แต่​คน​อิสราเอล​นั้น ซาโลมอน​ไม่ได้​ทรง​ทำ​ให้​เป็น​ทาส เพราะ​เขา​ทั้งหลาย​เป็น​ทหาร เป็น​ข้า​ราชการ เป็น​ผู้​บัง‌คับ​บัญชา เป็น​นายทหาร เป็น​ผู้​บังคับ​การ​รถรบ และ​เป็น​ทหารม้า​ของ​พระองค์

        (But of the people of Israel Solomon made no slaves. They were the soldiers, they were his  officials, his commanders, his captains, his chariot commanders and his horsemen. )

9:23 “เหล่านี้​เป็น​ข้าราชการ​ผู้ใหญ่​เหนือ​พระราชกิจ​ของ​ซาโลมอน จำนวน 550 คน พวกเขา​เป็น​ผู้ดูแล​ประชาชน​ที่​ทำงาน

        (These were the chief officers who were over Solomon’s work: 550 who had charge of the people who carried on the work. )

9:24 “แต่​พระธิดา​ของ​ฟาโรห์​ได้​เสด็จ​ขึ้น​จาก​นคร​ดาวิด มา​ยัง​พระตำหนัก​ของ​พระนาง​ซึ่ง​ซาโลมอน​ทรง​สร้าง​ถวาย แล้ว​พระราชา​จึง​สร้าง​ป้อม​มิลโล

    (But Pharaoh’s daughter went up from the city of David to her own house that Solomon had built  for her. Then he built the Millo. )

9:25 “ปี​ละ​สาม​ครั้งซาโลมอน​ทรง​ถวาย​เครื่อง​บูชา​เผา​ทั้ง​ตัว และ​เครื่อง​ศานติบูชา​บน​แท่น​บูชาซึ่ง​ทรง​สร้าง​ถวาย​พระยาห์เวห์ อีก​ทั้ง​ทรง​เผา​เครื่อง​หอม​เฉพาะ​พระพักตร์​พระยาห์เวห์ ดังนั้น​พระองค์​จึง​สร้าง​พระนิเวศ​จน​สำเร็จ

      (Three times a year Solomon used to offer up burnt offerings and peace offerings on the altar that  he built to the Lord, making offerings with it before the Lord. So he finished the house.)

9:26 “พระราชา​ซาโลมอน​ทรง​สร้าง​กอง​เรือ​ที่​เมือง​เอซีโอนเกเบอร์ ซึ่ง​อยู่​ใกล้​เมือง​เอโลท​บน​ฝั่ง​ทะเลแดง ใน​แผ่นดิน​เอโดม

       (King Solomon built a fleet of ships at Ezion-geber, which is near Eloth on the shore of the Red  Sea, in the land of Edom. )

9:27 “และ​ฮีราม​ได้​ส่ง​ข้า​ราชการ​และ​พลเรือ​ผู้​คุ้นเคย​กับ​ทะเล ไป​กับ​กอง​เรือ​พร้อม​กับ​ข้า​ราชการ​ของ​ซาโลมอน

       (And Hiram sent with the fleet his servants, seamen who were familiar with the sea, together with  the servants of Solomon.)

9:28 “เขา​ทั้งหลาย​ไป​ถึง​เมือง​โอฟีร์ และ​นำ​ทองคำ​จาก​ที่นั่น​จำนวน 14,000 กิโลกรัม มา​ถวาย​พระราชา​ซาโลมอน

       (And they went to Ophir and brought from there gold, 420 talents, and they brought it to King  Solomon. )

ข้อมูลมีประโยชน์

9:1       “…เมื่อซาโลมอนทรงสร้างพระนิเวศ…สำเร็จแล้ว” (…Solomon had finished building the house of the Lord)

= อย่างเร็วที่สุดก็จะเป็นปีที่ 24 (4+7+13 = 24) ในรัชกาลของซาโลมอน คือปี 946 B (6:1,37-38;7:1;9:10)

9:2       “เหมือนอย่างที่ปรากฏแก่ท่านที่เมืองกิเบโอน” (as he had appeared to him at Gibeon)  -3:4-15

9:3       “ได้ใส่นามของเราไว้ที่นั่นเป็นนิตย์” (putting my name there forever.) = สถาปนานามของพระเจ้า  -3:2:8:16

“ตาของเราและใจของเราจะอยู่ที่นั่นตลอดไป” (My eyes and my heart will be there for all time.) –8:29

9:4-5    “…ถ้าเจ้าดำเนินต่อหน้าเรา…ด้วยใจซื่อสัตย์ และด้วยความเที่ยงธรรม…”  (if you will walk before me… with integrity of heart and uprightness)  -–8:25;2:4

= พระเจ้าย้ำความสำคัญของการเชื่อฟังตามพันธสัญญาเพื่อจะได้รับการอวยพรจากพระเจ้า แทนการสาปแช่ง

“แล้วเราจะสถาปนาราชบัลลังก์ของเจ้าเหนืออิสราเอลเป็นนิตย์” ( I will establish your royal throne over Israel forever ) = สิ่งจำเป็นที่พระเจ้าต้องย้ำเตือนเพราะอาณาจักรซาโลมอนรุ่งเรือง มีอิทธิพล และมั่งคั่งเพิ่มขึ้น ทำให้ท่านมีแนวโน้มที่จะลืมหรือละเมิดพันธสัญญาที่ท่านมีกับพระเจ้า

–ฉธบ.8:12-14,17;31:20;32:15

9:6       “แต่ถ้าเจ้าทั้งหลายนหรือลูกหลานหันไปจากการติดตามเรา…แต่ไปปรนนิบัติพระอื่นๆ และนมัสการพระเหล่านั้น” (But if you turn aside from following me… but go and serve other gods and worship them) -11:4-8

9:7       “และอิสราเอลจะเป็นคำเปรียบเปรยและเป็นขี้ปากในหมู่ชนชาติทั้งหลาย” (Israel will become a proverb and a byword among all peoples.) = คำสาปแช่งตามพันธสัญญาใน ฉธบ.28:37

9:9       “เพราะฉะนั้นพระยาห์เวห์ทรงนำเหตุร้ายทั้งหมดนี้มาเหนือเขาทั้งหลาย” (Therefore the Lord has brought all this disaster on them.”) –ฉธบ.29:22-28;ยรม.22:8-30

9:11     “แล้วพระราชาซาโลมอนก็ประทานเมือง 20 เมืองในแผ่นดินกาลิลีแก่ฮีราม กษัตริย์แห่งไทระ” (King Solomon gave to Hiram twenty cities in the land of Galilee.)-เมื่อเปรียบเทียบระหว่างข้อ10-14  และ 5:1-12 จะเห็นว่า ในระหว่างโครงการก่อสร้าง 20 ปี ซาโลมอนเป็นหนี้ฮีรามมากกว่าที่คาดไว้ในข้อตกลงตอนแรก (5:9) ซึ่งเป็นค่าจ้างแรงงาน (5:6) และค้าไม้ (5:10-11) และจากข้อ 11,14 เห็นว่านอกจากไม้และแรงงานแล้ว ซาโลมอนยังได้ทองคำจำนวนมากจากฮีราม ดูเหมือนว่า ซาโลมอนจะมอบเมือง 20 เมืองบริเวณพรมแดนฟินิเซีย-กาลิลีเป็นตัวค้ำประกันการจ่ายทองคำ

ใน 2พศ.8:1-2 บ่งชี้ภายหลังเมือ ซาโลมอนมีทองคำสำรองเพิ่มขึ้น อาจเป็นช่วงหลังจากมีการเดินทางไปโอฟีร์ (1พกษ.9:26-28;10:11)  หรือหลังจากการมาเยือนของราชินีแห่งเชบา(10:1-13) ซาโลมอนก็จ่ายหนี้คืนให้ฮีรามและรับเมืองทั้ง 20 แห่งซึ่งเป็นหลักประกันกลับไป

9:13     “น้องเอ๋ย” (my brother) = สรรพนามที่ใช้ในการฑูตระหว่างประเทศบ่งบอกถึงความสัมพันธ์แบบพันธมิตรระหว่างผู้ที่เท่าเทียมกัน (20:32)

9:15     “นี่เป็นเรื่องแรงงานเกณฑ์” ( labor that King Solomon drafted) = แรงงานทาสแบบถาวรไม่ใช่พวกชาวอิสราเอลที่ถูกเกณฑ์แบบชั่วคราวใน 5:13-16

“ป้อมมิลโล” (the Millo) = ซาโลมอนอาจขยายเมืองเยรูซาเล็มไปทางเทือกเขาด้านเหนือของกรุง (2ซมอ.5:9)

“เมืองฮาโซร์” (Hazor) –การก่อสร้างที่ฮาโซร์ เมกิดโด และเกเซอร์ เป็นการเสริมความแข็งแกร่งของเมืองเก่าแก่เหล่านี้ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ

“ฮาโซร์” เป็นป้อมปราการที่สำคัญที่สุดในแถบกาลิลีตอนเหนือ ซึ่งคุมเส้นทางการค้าจากแม่น้ำยูเฟรติส สู่อียิปต์

          “เมกิดโด” –เป็นป้อมปราการบนเส้นทางการค้าที่สำคัญเชื่อมเหนือ-ใต้ โดยควบคุมทางผ่านภูเขาคารเมล จากที่ราบยิสเรเอล สู่ที่ราบชายฝั่งทะเลชาโรน –เกเซอร์ -3:1

9:16     “ฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์” (Pharaoh king of Egypt) -3:1

“ฆ่าคนคานาอันที่อยู่ในเมืองนั้น” (had killed the Canaanites who lived in the city,) = แม้โยชูวาจะสังหารกษัตริย์ของเกเซอร์ในขณะที่มีชัยเหนือดินแดนนั้น (ยชว.10:33;12:12) แต่เผ่าเอฟราอิมก็ยังไม่สามารถขับไล่ผู้อาศัยในนั้นออกไปได้ (ยชว.16:10;วนฉ.1:29)

9:17     “เมืองเบธโฮโรนตอนล่าง” (Lower Beth-horon) = ตั้งอยู่ห่างจากเยรูซาเล็มไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 14.5 กม. เป็นทางเข้าสู่ที่ราบสูงยูดาห์และเยรูซาเล็มจากที่ราบชายฝั่ง

9:18     “เมืองบาอาลัท” (Baalath) -ยชว.15:24, อยู่ทางใต้ของเฮโบรน ในเผ่ายูดาห์ หรืออาจเป็นบาอาลัท ทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของเบธโฮโรน ในเผ่าดาน (ยชว.19:44)

“เมืองทามาร์” (Tamar) –อาจเรียกว่า “ทัดโมร์” ก็ได้ –2พศด.8:4;อสค.47:19

9:19     “เมืองทั้งหลายสำหรับรถรบของพระองค์และเมืองทั้งหลายสำหรับทหารม้าของพระองค์”

(the cities for his chariots, and the cities for his horsemen)  = เมืองที่อยู่ตามจุดยุทธศาสตร์ทั่วอาณาจักร แม้ซาโลมอนจะรักสันติ แต่ก็เตรียมพร้อมสำหรับสงคราม –ฉธบ.17:16-17

9:20     “คนอาโมไรต์…คนเยบุส” (the Amorites…the Jebusites) –ฉธบ.7:1;20:17;ปฐก.10:15-18;13:7;

15:16;23:9;ยชว.5:1;วนฉ.3:3;6:10;2ซมอ.21:2

9:22     “แต่คนอิสราเอลนั้นซาโลมอนไม่ได้ทรงทำให้เป็นทาส” (But of the people of Israel Solomon made no slaves.) ดูข้อ 15

9:25     “ปีละ 3 ครั้ง” (Three times)= ตามเทศกาลสำคัญประจำปี 3 เทศกาลคือ เทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ เทศกาลสัปดาห์ และเทศกาลอยู่เพิง (อพย.23:14-17;2พศด.8:13)

9:26     “ทางสร้างกองเรือ” (built a fleet of ships) = ใช้ทำธุรกิจสำคัญทางการค้า ในการสร้างความมั่งคั่งให้แก่ราชสำนักของซาโลมอน (ข.28;10:11)

          “เมืองเอซีโอนเกเบอร์” (Ezion-geber) = อยู่ริมด้านเหนือของอ่าวอาคาบา (24:48;กดว.33:35;ฉธบ.2:8)

“ฝั่งทะเลแดง” (the Red Sea) เป็นคำที่มาจากคำภาษาฮีบรูว่า “ยัมซุฟ” หมายถึง “ทะเลต้นกก” ซึ่งหมายถึง แหล่งน้ำที่ชนอิสราเอลเดินผ่านขณะที่กำลังอพยพ(ออกจากอียิปต์) –อพย.13:18;14:2

แต่อย่างไรก็ตาม คำนี้สามารถอ่านได้ว่า “ยิมโซฟ” เช่นกัน ที่หมายถึง “ทะเลปลายแผ่นดิน” ซึ่งน่าสอดคล้องมากกว่าอ้างถึงทะเลแดง

9:28     “เมืองโอฟีร์” (Ophir) –แหล่งทองคำ –2พศด.8:18;โยบ.28:16;สดด.45:9;อสย.13:12

–ยังเป็นแหล่งของไม้จันทน์, เพชรนิลจินดาล้ำค่ามากมาย (10:11) รวมถึงเงิน งาช้าง ,ลิง และนกยูง (10:22)

-ที่ตั้งของเมืองเป็นที่ถกเถียงกันในทุกวันนี้ว่า อาจหมายถึง อาระเบียตะวันออกเฉียงใต้, อาระเบียตะวันตกเฉียงใต้ ,ชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของอัฟริกา (พื้นที่ของโซมาเลีย), อินเดีย, ซิมบับเว

-ถ้าโอฟีร์ ตั้งอยู่ในอาระเบีย ก็น่าจะเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนสินค้าจากตะวันออกไกลและอัฟริกาตะวันออก  แต่กองเรือพานิชย์ของซาโลมอนใช้เวลาเดินทางถึง 3 ปี (10:22)

โอฟีร์ ในตอนนี้ จึงน่าจะอยู่ไกลกว่าชายฝั่งอาระเบีย

 คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยใช้เวลาก่อสร้างอะไรหรือทำโครงการใดที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของคุณนานแค่ไหน? และคุณได้รับประสบการณ์อะไรเป็นพิเศษหรือได้รับบทเรียนอะไรจากการกระทำสิ่งเหล่านั้น?
  1. คุณเคยมีประสบการณ์กับการที่พระเจ้าปรากฏหรือสำแดงพระองค์เป็นส่วนตัวกับคุณแบบ 2  ต่อ 2 บ้างไหม?  อย่างไร? และพระองค์เคยปรากฏกับคุณเป็นครั้งที่ 2 หรือไม่?  (แบ่งปัน)
  2. คุณคิดว่า “พระเนตร” (ตา) และ “พระทัย” (ใจ) ของพระเจ้าอยู่กับคุณในเวลานี้ในที่ ๆ คุณอยู่ (ที่บ้าน ที่ทำงานหรือที่โบสถ์ ฯลฯ) หรือไม่? ทำไมคุณคิดเช่นนั้น?
  3. หากคุณสำรวจดูตัวของคุณอย่างซื่อตรง คุณคิดว่าเวลานี้คุณดำเนินชีวิตและทำงานอยู่ต่อพระพักตร์ของ       พระเจ้าแบบใจซื่อสัตย์และเที่ยงธรรมสักกี่เปอร์เซนต์

…..1)  ต่ำกว่า 50 %

…..2) 60-70 %

…..3) 71-80 %

…..4) 81-90 %

…..5) 91-100 %

  1. คุณเคย “แวบ” หรือ “แฉลบ” ออกไปจากการติดตามพระเจ้าอย่างซื่อสัตย์บ้างหรือไม่?  อย่างไร?  และผลเป็นอย่างไร?
  2. คุณเคยทำข้อตกลงหรือร่วมมือ (ร่วมหุ้น) กับผู้ใด….แล้ว

1)      คุณเอาเปรียบเขา?

2)      เขาเอาเปรียบคุณ?  บ้างหรือไม่?

ผลเป็นอย่างไร?

  1. คุณเคยยืมหรือเป็นหนี้ผู้อื่นบ้างหรือไม่?

…..1) เท่าไร?  เรื่องอะไร?……………………………………….. (ทำไม)

…..2) คุณจ่ายคืนหมดแล้วหรือไม่?  อย่างไร?

หรือ

…..1) เคยมีคนมายืมคุณบ้างหรือไม่?  เท่าไร?

…..2) เขาจ่ายคืนหรือไม่?  อย่างไร?   (หรือทำไม?)

แล้วคุณสนองตอบอย่างไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 12)

คำอธิษฐานของซาโลมอน 

 

พระธรรม        1พงศ์กษัตริย์  8:22-66

อ้างอิง              2พศด.2:6;6:12-39;ยชว.21:44-45;1พกษ.2:4;ฉธบ.12:10-11

บทนำ               พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อต่อพันธสัญญาที่ให้ไว้แก่มนุษย์ที่เชื่อฟังพระองค์เสมอ ปัญหาคือ เรามักจะไม่ซื่อตรงต่อคำสัญญาที่เราให้ไว้กับพระเจ้า ทำให้บางครั้งเราอาจได้รับคำสาปแช่งแทนการรับพระพรจากพระองค์

บทเรียน

8:22 “แล้ว​ซา‍โล‍มอน​ทรง​ยืน​อยู่​หน้า​แท่น‌บูชา​ของ​พระ‌ยาห์‍เวห์ ต่อ​หน้า​ชุม‍นุม‌ชน​อิส‍รา‍เอล​ทั้ง‌หมด และ​กาง​พระ‌หัตถ์​ของ​พระ‌องค์​ออก​สู่​ฟ้า​สวรรค์

      (Then Solomon stood before the altar of the Lord in the presence of all the assembly of Israel and spread out his  hands toward heaven, )

8:23 “และ​ทูล​ว่า “ข้า‌แต่​พระ‌ยาห์‍เวห์ พระ‌เจ้า​แห่ง​อิส‍รา‍เอล ไม่‌มี​พระ‌เจ้า​องค์​ไหน​เหมือน​พระ‌องค์ใน​ฟ้า​สวรรค์​เบื้อง​บนหรือ​ที่​แผ่น‌ดิน​เบื้อง​ล่างผู้​ทรง​รัก‍ษา​พันธ‍สัญญาและ​สำ‍แดง​ความ‌รัก​มั่น‌คง​แก่​ผู้​รับ‌ใช้​ของ​พระ‌องค์ผู้​ดำ‍เนินอยู่​เฉพาะ​พระ‌พักตร์​พระ‌องค์​ด้วย​สุด​ใจ

     (and said, “O Lord, God of Israel, there is no God like you, in heaven above or on earth beneath,  keeping  covenant and showing steadfast love to your servants who walk before you with all their heart, )

8:24 “พระ‌องค์​ทรง​รัก‍ษา​พระ‌สัญ‍ญา​ที่​ทรง​ให้​ไว้​กับ​ดา‍วิด​พระ‌ราช‍บิดา​ของ​ ข้า‌พระ‌องค์ ผู้​รับ‌ใช้​ของ​พระ‌องค์ และ​พระ‌องค์​ทรง​ทำ​ให้​พระ‌สัญ‍ญา​ด้วย​พระ‌โอษฐ์​นั้น​สำ‍เร็จ​ด้วย​ พระ‌หัตถ์​ใน​วัน‌นี้

      (who have kept with your servant David my father what you declared to him. You spoke with your mouth, and  with your hand have fulfilled it this day. )

8:25 “ข้า‌แต่​พระ‌ยาห์‍เวห์ พระ‌เจ้า​แห่ง​อิส‍รา‍เอล เพราะ​ฉะ‍นั้น​ขอ​ทรง​รัก‍ษา​พระ‌สัญ‍ญา​ที่​ให้​ไว้กับ​ผู้​รับ‌ใช้​ของ​ พระ‌องค์ คือ​ให้​กับ​ดา‍วิด​ พระ‌ราช‍บิดา​ของ​ข้า‌พระ‌องค์ โดย​ตรัส​ว่า ‘ถ้า​เพียง​แต่​ลูก​หลาน​ของ​เจ้า​จะ​รัก‍ษา​ทาง​ของ​เขาที่​จะ​ดำ‍เนิน​ไป​ต่อ​หน้า​เราอย่าง​ที่​เจ้า​ได้​ดำ‍เนิน​ต่อ​หน้า​เรา​นั้น เจ้า​จะ​ไม่​ขาด​ทา‍ยาท​ที่​จะ​นั่ง​บน​บัล‍ลังก์​ของ​อิส‍รา‍เอล​ต่อ​หน้า​เรา

      (Now therefore, O Lord, God of Israel, keep for your servant David my father what you have promised him,  saying, “You shall not lack a man to sit before me on the throne of Israel, if only your sons pay close attention to their way, to walk before me as you have walked before me.” )

8:26 “เพราะ​ฉะ‍นั้น ข้า‌แต่​พระ‌เจ้า​แห่ง​อิส‍รา‍เอล ขอ​ให้​พระ‌สัญญา​ที่​พระ‌องค์​ได้​ตรัส​กับ​ผู้​รับ‌ใช้​ของ​พระ‌องค์ คือ​ดา‍วิด​ พระ‌ราช‍บิดา​ของ​ข้า‌พระ‌องค์​เป็น​จริง

      (Now therefore, O God of Israel, let your word be confirmed, which you have spoken to your servant  David my  father. )

8:27“แต่​แท้‌จริง​พระ‌เจ้า​จะ​ประ‍ทับ​บน​แผ่น‌ดิน​โลก​หรือ? ดู‌สิ ฟ้า​สวรรค์​และ​ฟ้า​สวรรค์​อัน​สูง​สุด​ยัง​รับ​พระ‌องค์​อยู่​ไม่‌ได้แล้ว​พระ‌นิเวศ​นี้​ซึ่ง​ข้า‌พระ‌องค์​ได้​สร้าง​ขึ้น​จะ​รับ​พระ‌องค์​ได้​อย่าง‌ไร?”

     (“But will God indeed dwell on the earth? Behold, heaven and the highest heaven cannot contain you; how much less this house that I have built! )

8:28 “แต่​ขอ​พระ‌องค์​สน‌พระ‌ทัย​ใน​คำ​อธิษ‍ฐาน​ของ​ผู้​รับ‌ใช้​ของ​พระ‌องค์ และ​ใน​คำ​วิง‌วอน​ของ​เขา ข้า‌แต่​พระ‌ยาห์‍เวห์พระ‌เจ้า​ของ​ข้า‌พระ‌องค์ ขอ​ทรง​สดับ​เสียง‌ร้อง​และ​คำ​อธิษ‍ฐาน ซึ่ง​ผู้​รับ‌ใช้​ของ​พระ‌องค์ อธิษ‍ฐาน​ต่อ​พระ‌องค์​ใน​วัน‌นี้

      (Yet have regard to the prayer of your servant and to his plea, O Lord my God, listening to the cry and to the prayer that your servant prays before you this day, )

8:29 “เพื่อ​พระ‌เนตร​ของ​พระ‌องค์​จะ​ทรง​เฝ้า‌ดู​พระ‌นิเวศ​นี้​ทั้ง​วัน​และ​คืน คือ​สถาน‌ที่​ซึ่ง​พระ‌องค์​ตรัส​ว่า ‘นาม​ของ​เรา​จะ​อยู่​ที่‌นั่น’ เพื่อ​พระ‌องค์​จะ​ทรง​สดับ​คำ​อธิษ‍ฐาน ซึ่ง​ผู้​รับ‌ใช้​ของ​พระ‌องค์​จะ​อธิษ‍ฐาน​ต่อ​สถาน‌ที่​นี้

      (that your eyes may be open night and day toward this house, the place of which you have said, “My name shall be there,” that you may listen to the prayer that your servant offers toward this place. )

8:30 “และ​ขอ​พระ‌องค์​ทรง​สดับ​คำ​วิง‌วอน​ของ​ผู้​รับ‌ใช้​ของ พระ‌องค์ และ​ของ​อิส‍รา‍เอล​ประ‍ชา‍กร​ของ​พระ‌องค์ เมื่อ​เขา​ทั้ง‌หลาย​อธิษ‍ฐาน​ต่อ​สถาน‌ที่​นี้ ขอ​พระ‌องค์​เอง​ทรง​สดับ​จาก​สถาน​ที่‌ประ‍ทับ​ของ​พระ‌องค์​คือ​จาก​ฟ้า​ สวรรค์และ​เมื่อทรง​สดับ​แล้ว ก็​ขอ​ทรง​อภัย

      (And listen to the plea of your servant and of your people Israel, when they pray toward this place. And  listen in heaven your dwelling place, and when you hear, forgive. )

8:31“เมื่อ​ชาย​ใด​ทำ​บาป​ต่อ​เพื่อน‌บ้าน​ของ​เขา และ​ถูก​บัง‌คับ​ให้​สา‍บาน และ​เขา​มา​สา‍บาน​ต่อ​หน้า​แท่น‌บูชา​ของ​พระ‌องค์​ใน​พระ‌นิเวศ​นี้”

      (“If a man sins against his neighbor and is made to take an oath and comes and swears his oath before your altar in this house, )

8:32 “ขอ​พระ‌องค์​ทรง​สดับ​ใน​ฟ้า​สวรรค์ และ​ขอ​ทรง​กระ‍ทำ และ​ขอ​ทรง​พิพาก‍ษา​เหล่า​ผู้​รับ‌ใช้​ของ​พระ‌องค์ โดย​ลง‍โทษ​ผู้​ทำ​ผิด และ​ให้​การ​กระ‍ทำ​ของ​เขา​ตก​บน​ศีรษะ​ของ​เขา และ​ตัด‍สิน​ว่า​ผู้​ชอบ‌ธรรม​นั้น​บริ‍สุทธิ์ โดย​ให้​กับ​เขา​ตาม​ความ​ชอบ‌ธรรม​ของ​เขา

      (then hear in heaven and act and judge your servants, condemning the guilty by bringing his conduct on his own  head, and vindicating the righteous by rewarding him according to his righteousness. )

8:33 “เมื่อ​อิส‍รา‍เอล​ประ‍ชา‍กร​ของ​พระ‌องค์​พ่าย‌แพ้​ศัตรู เพราะ​ได้​ทำ​บาป​ต่อ​พระ‌องค์ แล้ว​พวก‌เขา​หัน​กลับ​มา​หา​พระ‌องค์ และ​ยอม‌รับ​พระ‌นาม​ของ​พระ‌องค์ อธิษ‍ฐาน​และ​ขอ​พระ‌เมตตา​ต่อ​พระ‌องค์​ใน​พระ‌นิเวศ​นี้

      (“When your people Israel are defeated before the enemy because they have sinned against you, and if they turn  again to you and acknowledge your name and pray and plead with you in this house,)

8:34 “ก็​ขอ​พระ‌องค์​ทรง​สดับ​ใน​ฟ้า​สวรรค์ และ​ทรง​อภัย​บาป​ของ​อิส‍รา‍เอล​ประ‍ชา‍กร​ของ​พระ‌องค์ และ​ขอ​ทรง​นำ​พวก‌เขา​กลับ​มา​ยัง​แผ่น‌ดิน ซึ่ง​พระ‌องค์​ได้​ประ‌ทาน​แก่​บรรพ‍บุรุษ​ของ​เขา​ทั้ง‌หลาย

      (then hear in heaven and forgive the sin of your people Israel and bring them again to the land that you gave to their fathers. )

8:35 “เมื่อ​ฟ้า​สวรรค์​ปิด​อยู่​และ​ไม่‌มี​ฝน เพราะ​เขา​ทั้ง‌หลาย​ได้​ทำ​บาป​ต่อ​พระ‌องค์ แล้ว​พวก‌เขา​ได้​อธิษ‍ฐาน​ต่อ​สถาน‌ที่​นี้ และ​ยอม‌รับ​พระ‌นาม​ของ​พระ‌องค์ และ​หัน​กลับ​จาก​บาป​ของ​เขา เนื่องจาก​พระ‌องค์​ทรง​ลง‌โทษ​พวก‌เขา

      (“When heaven is shut up and there is no rain because they have sinned against you, if they pray toward this  place and acknowledge your name and turn from their sin, when you afflict them, )

8:36 “ก็​ขอ​ทรง​สดับ​ใน​ฟ้า​สวรรค์ และ​ทรง​อภัย​บาป​ของ​อิส‍รา‍เอล​ซึ่ง​เป็น​ผู้​รับ‌ใช้และ​ประ‍ชา‌กร​ของ​พระ‌องค์ แล้ว​ขอ​ทรง​สอน​ทาง​ดี​ที่​ควร​จะ​ดำ‍เนิน​แก่​พวก‌เขา และ​ขอ​ประ‍ทาน​ฝน​ตก​บน​แผ่น‌ดิน​ของ​พระ‌องค์ ซึ่ง​พระ‌องค์​ประ‍ทาน​ให้​เป็น​มร‍ดก​แก่​ประ‍ชา‍กร​ของ​พระ‌องค์

     (then hear in heaven and forgive the sin of your servants, your people Israel, when you teach them the good way in which they should walk, and grant rain upon your land, which you have given to your people as an inheritance. )

8:37“ถ้า​มี​การ​กัน‍ดาร​อา‍หาร​ใน​แผ่น‌ดินถ้า​มี​โรค​ระบาด ถ้า​มี​ข้าว‌ลีบข้าว​ขึ้น​รา หรือ​ภัย​จาก​ตั๊ก‍แตน​ปา‍ทัง‍ก้า และ​ตั๊ก‍แตน​ตัว​อ่อน หรือ​ถ้า​ศัตรู​ล้อม​เมือง​ใดๆ ของ​เขา​ใน​แผ่น‌ดิน หรือ​มี​ภัย‌พิบัติ​ใดหรือ​เกิด​ความ‌เจ็บ‌ไข้​ใด​ก็​ดี

       ( “If there is famine in the land, if there is pestilence or blight or mildew or locust or caterpillar, if their enemy besieges them in the land at their gates, whatever plague, whatever sickness there is,)

8:38 “แล้ว​หาก​คน‌หนึ่ง​คน‌ใด หรือ​อิส‍รา‍เอล​ประ‍ชา‌กร​ทั้ง‌หมด​ของ​พระ‌องค์ได้​สำ‍นึก​ใน​ใจ​ของ​เขา​เรื่อง​ภัย‌พิบัติ จะ​อธิษ‍ฐาน​หรือ​วิง‌วอน​ประ‍การ​ใด โดย​กาง​มือ​ของ​เขา​สู่​พระ‌นิเวศ​นี้

       (whatever prayer, whatever plea is made by any man or by all your people Israel, each knowing the affliction of  his own heart and stretching out his hands toward this house, )

8:39 “ก็ขอ​พระ‌องค์​ทรง​สดับ​ใน​ฟ้า​สวรรค์อัน​เป็น​ที่​ประ‍ทับ​ของ​พระ‌องค์ และ​ขอ​ทรง​อภัย และ​ทรง​กระ‍ทำ​การ และ​ประ‍ทาน​แก่​แต่‌ละ​คน​ตาม​การ​ประ‍พฤติ​ทั้ง‌สิ้น​ของ​เขา ซึ่ง​พระ‌องค์​ทรง​ทราบ​จิต​ใจ (เพราะ​พระ‌องค์​เท่า‌นั้น​ทรง​ทราบ​จิต​ใจ​ของ​มนุษย์​ทุก​คน)”

       (then hear in heaven your dwelling place and forgive and act and render to each whose heart you know,  according to all his ways (for you, you only, know the hearts of all the children of mankind),

8:40 “เพื่อ​เขา​ทั้ง‌หลาย​จะ​ได้​ยำ‍เกรง​พระ‌องค์ ตลอด​วัน​เวลา​ที่​มี​ชีวิต​บน​แผ่น‌ดินซึ่ง​พระ‌องค์​ประ‍ทาน​แก่​บรรพ‍บุรุษ​ของ​พวก​ข้า‌พระ‌องค์       

         (that they may fear you all the days that they live in the land that you gave to our fathers. )

8:41“ยิ่ง‌กว่า​นั้น​อีกเกี่ยว‌กับ​คน​ต่าง​ด้าวผู้​ซึ่ง​ไม่​ใช่​อิส‍รา‍เอล​ประ‍ชา‌กร​ของ​พระ‌องค์ แต่​มา​จาก​แดน​ไกล​เนื่อง‌จาก​พระ‌นาม​ของ​พระ‌องค์”

      (“Likewise, when a foreigner, who is not of your people Israel, comes from a far country for your  name’s sake )

8:42 “(เพราะ ​เขา​ทั้ง‌หลาย​จะ​ได้​ยิน​ถึง​พระ‌นาม​ยิ่ง​ใหญ่ และ​ถึง​พระ‌หัตถ์​อัน​ทรง​ฤทธิ์ และ​ถึง​พระ‌กร​ที่​เหยียด​ออก​ของ​ พระ‌องค์) เมื่อ​เขา​มา​อธิษ‍ฐาน​ต่อ​พระ‌นิเวศ​นี้

     ((for they shall hear of your great name and your mighty hand, and of your outstretched arm), when he comes  and prays toward this house, )

8:43 “ก็​ขอ​พระ‌องค์​ทรง​สดับ​ใน​ฟ้า​สวรรค์ อัน​เป็น​ที่​ประ‍ทับ​ของ​พระ‌องค์ และ​ขอ​ทรง​ทำ​ตาม​ทุก​สิ่ง ซึ่ง​คน​ต่าง‌ด้าว​ได้​ทูล​ขอ​พระ‌องค์ เพื่อ​ชน​ทุก​ชาติ​แห่ง​แผ่น‌ดิน​โลก​จะ​รู้‌จัก​พระ‌นาม​ของ​พระ‌องค์ และ​ยำเกรง​พระ‌องค์ เหมือน‌อย่าง​อิส‍รา‍เอล​ประ‍ชา‌กร​ของ​พระ‌องค์ และ​เพื่อ​เขา​ทั้ง‌หลาย​จะ​ทราบ​ว่า เขา​เรียก​พระ‌นิเวศ​นี้ ซึ่ง​ข้า‌พระ‌องค์​ได้​สร้าง​ไว้​ด้วย​พระ‌นาม​ของ​พระ‌องค์

     (hear in heaven your dwelling place and do according to all for which the foreigner calls to you, in order that all the peoples of the earth may know your name and fear you, as do your people Israel, and that they may know  that this house that I have built is called by your name. )

8:44“ถ้า​ประ‍ชา‌กร​ของ​พระ‌องค์​ออก​ไป​ต่อ‌สู้​กับ​ศัตรู โดย​ทาง​ใดๆที่​พระ‌องค์​ทรง​ใช้​พวก‌เขา​ออก​ไป​ก็​ตามและ​เขา​ทั้ง‌หลาย​ได้​อธิษ‍ฐาน​ต่อ​พระ‌ยาห์‍เวห์ ตรง​ไปยัง​เมือง​ซึ่ง​พระ‌องค์​ทรง​เลือก‌สรร​ไว้ และ​ตรง​ไปยัง​พระ‌นิเวศ​ที่​ข้า‌พระ‌องค์​ได้​สร้าง​เพื่อ​พระ‌นาม​ของ​ พระ‌องค์​แล้ว

    (“If your people go out to battle against their enemy, by whatever way you shall send them, and they pray to the  Lord toward the city that you have chosen and the house that I have built for your name, )

8:45 “ก็​ขอ​พระ‌องค์​ทรง​สดับ​คำ​อธิษ‍ฐาน และ​คำ​วิง‌วอน​ของ​พวก‌เขา​ใน​ฟ้า​สวรรค์ และ​ขอ​ประ‍ทาน​ความ​ยุติ‌ธรรม​แก่​พวก‌เขา

      (then hear in heaven their prayer and their plea, and maintain their cause. )

8:46 “ถ้า​เขา​ทั้ง‌หลาย​ทำ​บาป​ต่อ​พระ‌องค์ (เพราะ​ไม่‌มี​มนุษย์​คน​ใด​ไม่‌ได้​ทำ​บาป) และ​พระ‌องค์​กริ้ว​พวก‌เขา และ​ทรง​มอบ​เขา​ไว้​กับ​ศัตรู ผู้​จับ​เขา​ไป​เป็น​เชลย​ยัง​แผ่น‌ดิน​ของ​ศัตรู​นั้น ไม่​ว่า​ไกล​หรือ​ใกล้”

     (“If they sin against you—for there is no one who does not sin—and you are angry with them and give them to an  enemy, so that they are carried away captive to the land of the enemy, far off or near,)

8:47 “แต่​ถ้า​เขา​สำ‍นึก​ผิด​ใน​แผ่น‌ดิน​ที่​เขา​ถูก​จับ​ไป​เป็น​เชลย และ​ได้​กลับ‌ใจแล้ว​ได้​วิง‌วอน​ต่อ​พระ‌องค์​ใน​แผ่น‌ดิน​ของ​ผู้​จับ​เขา​ไป​เป็น​เชลยทูล​ว่า ‘ข้า‌พระ‌องค์​ทั้ง‌หลาย​ได้​ทำ​บาป และ​ได้​ประ‍พฤติ​ชั่ว‌ร้าย​และ​ได้​ทำ​การ​อธรรม’”

      (yet if they turn their heart in the land to which they have been carried captive, and repent and plead with you in  the land of their captors, saying, “We have sinned and have acted perversely and wickedly,”)

8:48 “ถ้า​เขา​ทั้ง‌หลาย​กลับ​มา​หา​พระ‌องค์​ด้วย​สุด‌จิต​สุด‌ใจ ใน​แผ่น‌ดิน​แห่ง​ศัตรู​ผู้​จับ​เขา​ไป​เป็น​เชลย และ​อธิษ‍ฐาน​ต่อ​พระ‌องค์​ตรง​ไปยัง​แผ่น‌ดินซึ่ง​พระ‌องค์​ประ‍ทาน​แก่​บรรพ‍บุรุษ​ของ​เขา​ทั้ง‌หลาย คือ​เมือง​ซึ่ง​พระ‌องค์​ทรง​เลือก​สรร​ไว้ และ​พระ‌นิเวศ​ซึ่ง​ข้า‌พระ‌องค์​ได้​ สร้าง​ไว้​เพื่อ​พระ‌นาม​ของ​พระ‌องค์​แล้ว

      (if they repent with all their mind and with all their heart in the land of their enemies, who carried them captive,  and pray to you toward their land, which you gave to their fathers, the city that you have chosen, and the house  that I have built for your name, )

8:49 “ก็​ขอ​พระ‌องค์​ทรง​สดับ​คำ​อธิษ‍ฐาน​และ​คำ​วิง‌วอน​ของ​พวก‌เขา​ใน​ฟ้า​สวรรค์อัน​เป็น​ที่​ประ‍ทับ​ของ​พระ‌องค์  และ​ขอประ‍ทาน​ความ​ยุติ‌ธรรม​แก่​พวก‌เขา

      (then hear in heaven your dwelling place their prayer and their plea, and maintain their cause )

8:50 “และ​ขอ​ทรง​อภัย​ประ‍ชา‌กร​ของ​พระ‌องค์​ผู้​ทำ​บาป​ต่อ​พระ‌องค์และ​ทรง​อภัย​ต่อ​การ​ทร‍ยศ​ที่​เขา​ทั้ง‌หลาย​ได้​ทำ​ต่อ​พระ‌องค์ และ​ขอ​ให้​ พวก‌เขา​ได้‌รับ​ความ​กรุณา​จาก​ผู้​ที่​จับ​เขา​ไป​เป็น​เชลย เพื่อ​ศัตรู​จะ​เมต‍ตา​เขา​ทั้ง‌หลาย

      (and forgive your people who have sinned against you, and all their transgressions that they have committed  against you, and grant them compassion in the sight of those who carried them captive, that they may have  compassion on them )

8:51 “(เพราะ​พวก‌เขา​เป็น​ประ‍ชา‌กร​ของ​พระ‌องค์​และ​เป็น​มร‍ดก​ของ​พระ‌องค์ ซึ่ง​ทรง​นำ​ออก​มา​จาก​อี‍ยิปต์ จาก​ท่ามกลาง​เตา​เหล็ก)”

      ((for they are your people, and your heritage, which you brought out of Egypt, from the midst of the iron furnace).

8:52 “ขอ​ลืม​พระ‌เนตร​ของ​พระ‌องค์​อยู่​ต่อ​คำ​วิง‌วอน​ของ​ผู้​รับ‌ใช้​ของ​ พระ‌องค์ และ​ต่อ​คำ​วิง‌วอน​ของ​อิส‍รา‍เอล​ประ‍ชา‌กร​ของ​พระ‌องค์ ขอ​ทรง​ฟัง​เมื่อ​เขา​ทั้ง‌หลาย​ร้อง​ต่อ​พระ‌องค์

       (Let your eyes be open to the plea of your servant and to the plea of your people Israel, giving ear to them  whenever they call to you. )

8:53 “เพราะ​พระ‌องค์​ทรง​แยก​พวก‌เขา​จาก​ท่าม‌กลาง​ชน​ทุก​ชาติ​แห่ง​แผ่น‌ดิน​โลก ให้​เป็น​มร‍ดก​ของ​พระ‌องค์ตาม​ซึ่ง​พระ‌องค์​ตรัส​ทาง​โม‍เสส​ผู้​รับ‌ใช้​ของ​พระ‌องค์ ข้า‌แต่​พระ‌ยาห์‍เวห์​องค์​เจ้านาย เมื่อ​พระ‌องค์​ทรง​นำ​บรรพ‍บุรุษ​ของ​ข้า‌พระ‌องค์​ทั้ง‌หลาย​ออก​จาก​อี‍ยิปต์

       (For you separated them from among all the peoples of the earth to be your heritage, as you declared through  Moses your servant, when you brought our fathers out of Egypt, O Lord God.” )

8:54 “เมื่อ​ซา‍โล‍มอน​ทรง​จบ​คำ​อธิษ‍ฐาน และ​คำ​วิง‌วอน​ทั้ง‌สิ้น​นี้​ต่อ​พระ‌ยาห์‍เวห์​แล้ว ก็​ทรง​ลุก‌ขึ้น​จาก​หน้า​แท่น​บูชา​ของ​พระ‌ยาห์‍เวห์ ที่​ที่​ทรง​คุก‌เข่า​พร้อม​กับ​กาง​พระ‌หัตถ์​สู่​ฟ้า​สวรรค์

       (Now as Solomon finished offering all this prayer and plea to the Lord, he arose from before the altar of the Lord,  where he had knelt with hands outstretched toward heaven. )

8:55 “และ​พระ‌องค์​ทรง​ยืน และ​ทรง​อวย​พร​แก่​ชุม‍นุม‌ชน​อิส‍รา‍เอล​ด้วย​เสียง‌ดัง​ว่า”

       (And he stood and blessed all the assembly of Israel with a loud voice, saying,)

8:56 “สาธุ‌การ ​แด่​พระ‌ยาห์‍เวห์ ผู้​ประ‍ทาน​การ​หยุด​พัก​แก่​อิส‍รา‍เอล​ประ‍ชา‌กร​ของ​พระ‌องค์ ตาม​ที่​ทรง​สัญ‍ญา​ไว้​ทุก​ประ‍การพระ‌สัญ‍ญา​อัน​ดี​ทั้ง‌สิ้น​ของ​พระ‌องค์​ซึ่ง​ทรง​สัญ‍ญา​ทาง​โม‍เสส​ผู้​ รับ‌ใช้​ของ​พระ‌องค์​นั้น​ไม่​ล้ม​เหลว​สัก​คำ​เดียว

       (“Blessed be the Lord who has given rest to his people Israel, according to all that he promised.Not one word  has failed of all his good promise, which he spoke by Moses his servant. )

8:57 “ขอ​พระ‌ยาห์‍เวห์​พระ‌เจ้า​ของ​เรา​ทั้ง‌หลาย​สถิต​กับ​พวก‌เรา เหมือน​อย่าง​ที่​ได้​สถิต​กับ​บรรพ‍บุรุษ​ของ​เรา ขอ​อย่า​ทรง​ละ​เรา​หรือ​ทอด‌ทิ้ง​เรา​เลย

       (The Lord our God be with us, as he was with our fathers. May he not leave us or forsake us, )

8:58 “แต่​ขอ​ทรง​โน้ม​จิต​ใจ​ของ​พวก‌เรา​ให้​มา​หา​พระ‌องค์ เพื่อ​ดำ‍เนิน​ใน​ทาง​ทั้ง‌สิ้น​ของ​พระ‌องค์ และ​รัก‍ษา​พระ‌บัญ‍ญัติกฎ‌เกณฑ์ และ​กฎ‌หมาย​ของ​พระ‌องค์ ซึ่ง​ทรง​บัญ‍ญัติ​ไว้​แก่​บรรพ‍บุรุษ​ของ​เรา

       (that he may incline our hearts to him, to walk in all his ways and to keep his commandments, his statutes, and  his rules, which he commanded our fathers. )

8:59 “ขอ​ให้​ถ้อย‌คำ​เหล่า‌นี้ ที่​ข้าพ‍เจ้า​ได้​วิง‌วอน​เฉพาะ​พระ‌ยาห์‍เวห์ อยู่​ใกล้​พระ‌ยาห์‍เวห์​พระ‌เจ้า​ของ​เรา​ทั้ง​วัน​และ​คืนและ​ขอ​ให้​ความ​ยุติ‌ธรรม​แก่​ผู้​รับ‌ใช้​ของ​พระ‌องค์ และ​แก่​อิส‍รา‍เอล​ประ‍ชา‌กร​ของ​พระ‌องค์ ตาม​ความ​ต้อง‌การ​ใน​แต่​ละ​วัน

       (Let these words of mine, with which I have pleaded before the Lord, be near to the Lord our God day and  night, and may he maintain the cause of his servant and the cause of his people Israel, as each day requires, )

8:60 “เพื่อ​ชน​ทุก​ชาติ​แห่ง​แผ่น‌ดิน​โลก​จะ​ทราบ​ว่า พระ‌ยาห์‍เวห์​นั้น​ทรง​เป็น​พระ‌เจ้า ไม่‌มี​พระ​อื่น​เลย”

        (that all the peoples of the earth may know that the Lord is God; there is no other. )

8::61 “เพราะ ​ฉะ‍นั้น​ขอ​ให้​จิต​ใจ​ของ​ท่าน​ทั้ง‌หลาย​ภักดี​ต่อ​พระ‌ยาห์‍เวห์​ พระ‌เจ้า​ของ​เรา คือ​ดำ‍เนิน​อยู่​ใน​กฎ‌เกณฑ์​ของ​พระ‌องค์ และ​รัก‍ษา​พระ‌บัญ‍ญัติ​ของ​พระ‌องค์​ดัง​ใน​วัน​นี้

       (Let your heart therefore be wholly true to the Lord our God, walking in his statutes and keeping his commandments, as at this day.” )

8:62 “แล้ว​พระ‌ราชา​และ​คน​อิส‍รา‍เอล​ทั้ง‌สิ้น​ที่​อยู่​กับ​พระ‌องค์ ได้​ถวาย​เครื่อง​สัตว‌บูชา​แด่​พระ‌ยาห์‍เวห์”

       (Then the king, and all Israel with him, offered sacrifice before the Lord. )

8:63 “และ ​ซา‍โล‍มอน​ได้​ถวาย​สัตว์​ต่อ‌ไป​นี้ เป็น​เครื่อง​ศาน‍ติ‌บูชา​แด่​พระ‌ยาห์‍เวห์ คือ​วัว 22,000 ตัว และ​แกะ 120,000 ตัว พระ‌ราชา​ และ​คน​อิส‍รา‍เอล​ทั้ง‌สิ้น จึง​อุทิศ​ถวาย​พระ‌นิเวศ​ของ​พระ‌ยาห์‍เวห์

       (Solomon offered as peace offerings to the Lord 22,000 oxen and 120,000 sheep. So the king and all the people of Israel dedicated the house of the Lord. )

8:64 “ใน​วัน​เดียว​กัน​นั้น พระ‌ราชา​ทรง​ทำ​พิธี​ชำระ​ส่วน‌กลาง​ของ​ลาน ซึ่ง​อยู่​หน้า​พระ‌นิเวศ​ของ​พระ‌ยาห์‍เวห์เพราะ‌ว่า​พระ‌องค์​ทรง​ใช้​ที่‌นั่น​ถวาย​เครื่อง​บูชา​เผา​ทั้ง​ตัว ธัญ‍บูชา และ​ไขมัน​ของ​ศาน‍ติ‌บูชา เพราะ‌ว่า​แท่น​ทอง​สัม‍ฤทธิ์​ซึ่ง​อยู่​เฉพาะ​พระ‌พักตร์​พระ‌ยาห์‍เวห์​นั้น เล็ก​เกิน​กว่า​จะ​รับ​เครื่อง​บูชา​เผา​ทั้ง​ตัว ธัญ‍บูชา และ​ไขมัน​ของ​ศาน‍ติ‌บูชา​ได้
(The same day the king consecrated the middle of the court that was before the house of the Lord, for there he  offered the burnt offering and the grain offering and the fat pieces of the peace offerings, because the bronze altar that was before the Lord was too small to receive the burnt offering and the  grain offering and the fat pieces of the peace offerings. )

8:65 “ซา‍โล‍มอน ​จึง​ทรง​ฉลอง​เทศ‍กาลเลี้ยง​ใน​เวลา​นั้น พร้อม​กับ​อิส‍รา‍เอล​ทั้ง‌สิ้น เป็น​การ​ชุม‍นุม​ใหญ่ เฉพาะ​พระ‌พักตร์​พระ‌ยาห์‍เวห์​พระ‌เจ้า​ของ​เรา ทั้ง​เจ็ด​วันและ​ต่อ​อีก​เจ็ด​วัน รวม​สิบ‌สี่​วัน มี​คน​มา​ตั้ง‌แต่​ทาง‌เข้า​เมือง​ฮา‍มัท​จน​ถึง​ลำ‌ธาร​อี‍ยิปต์”                          

           (So Solomon held the feast at that time, and all Israel with him, a great assembly, from Lebo-hamath to the Brook  of Egypt, before the Lord our God, seven days. )

8:66“ใน​วัน​ที่​แปดพระ‌องค์​ทรง​ให้​ประ‍ชา‌ชน​กลับ เขา​ทั้ง‌หลาย​ก็​ถวาย​พระ‌พร​แด่​พระ‌ราชาและ​กลับ​ไป​ยัง​เต็นท์​ของ​ตน​ด้วย​จิต​ใจ​ชื่น‌บาน ​และ​ยิน‌ดีเนื่อง​ด้วย​ความ‌ดี​ทั้ง‌สิ้น ซึ่ง​พระ‌ยาห์‍เวห์​ทรง​สำ‍แดง​แก่​ดา‍วิด​ผู้​รับ‌ใช้​ของ​พระ‌องค์และ​แก่​อิส‍รา‍เอล​ประ‍ชา‌กร​ของ​พระ‌องค์

           (On the eighth day he sent the people away, and they blessed the king and went to their homes joyful and glad  of heart for all the goodness that the Lord had shown to David his servant and to Israel his people. )

ข้อมูลมีประโยชน์

8:22     “กางพระหัตถ์ของพระองค์ออกสู่ฟ้าสวรรค์”( spread out his hands toward heaven) = ชูพระหัตถ์ขึ้นฟ้าสวรรค์เพื่ออธิษฐาน –อพย.9:29

8:23   “ไม่มีพระเจ้าองค์ไหนเหมือนพระองค์” (no God like you) = พระเจ้ากระทำการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่และควบคุมเหตุการณ์ต่าง  ๆ ให้สำเร็จตามพระสัญญาของพระองค์ แบบไม่มีพระอื่นใดกระทำ –อพย.15:11;ฉธบ. 4:39;7:9;สดด.86:8-10

“ผู้ทรงรักษาพันธสัญญาและสำแดงความรักมั่นคง”  (keeping covenant and showing steadfast love)

= ผู้ทรงรักษาพันธสัญญาแห่งความรัก – ฉธบ.7:9;12;นหม.1:5;9:32;ดนล.9:4

“ผู้ดำเนินอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ด้วยสุดใจ”(who walk before you with all their heart,) – อพย.20:6

8:24    “ทรงรักษาพระสัญญา” (who have kept) = รักษาคำมั่นสัญญา –ข.15;2ซมอ.7:5-16

8:25     “ถ้าเพียงแต่ลูกหลานของเจ้าจะรักษาทางของเขาที่จะดำเนินไปต่อหน้าเรา” (if only your sons pay close attention to their way, to walk before me as you have walked before me)-9:4-9;2พศด.7:17-22;1พกษ.2:4

8:27   “แล้วพระนิเวศนี้…จะรับพระองค์ได้อย่างไร?”  (how much less this house that I have built!) = จะยิ่งเล็กน้อยกว่านั้นสักเท่าใด

= พระเจ้าไม่มีวันถูกจองจำหรือถูกจำกัดโดยสิ่งก่อสร้างใด ๆ ทั้งปวง –ยรม.7:4-14;มคา.3:11

8:29   “เพื่อพระเนตรของพระองค์จะทรงเฝ้าดู” (that your eyes may be open) –1พกษ.8:52;2พกษ.19:16;2พศด.7:15;นหม.1:6;สดด.5:1;31:2;102:17;130:2;อสย.37:17

“นามของเราจะอยู่ที่นั่น” (“My name shall be there,”) –ฉธบ.11:12;12:11;2:ซมอ.7:13

8:30    “อธิษฐานต่อสถานที่นี้” (pray toward this place) = อธิษฐานวิงวอนตรงต่อที่แห่งนี้

= เวลาที่คนอิสราเอลไม่สามารถอธิษฐานในพระวิหารได้ เขาจะต้องอธิษฐานตรงต่อสถานที่พระเจ้าปฏิญาณว่าจะอยู่ท่ามกลางชนชาติของพระองค์ –ดนล.6:10

8:31     “ถูกบังคับให้สาบาน” (is made to take an oath) = ต้องสาบานเมื่อเกิดเหตุสุดวิสัย (อพย.22:10-12) หรือถือกล่าวหาว่าล่วงประเวณี (กดว. 5:11-31) เมื่อมีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ข้อกล่าวหาได้   ผู้ต้องหาต้องสาบานความบริสุทธิ์ของตนที่พระวิหาร การสาบานนั้นประกอบด้วยคำอวยพรและคำสาปแช่ง

-ถือว่าเป็นวิธีการพิจารณาความบริสุทธิ์หรือความผิดคำสาบานจะปรากฏผลในชีวิตของบุคคลนั้น ไม่ว่าจะเป็นคำอวยพรหรือคำสาปแช่ง หรือด้วยการเปิดเผยของพระเจ้าโดยตรงผ่านทางอูริม และทูมมิม (อพย.28:29-30;ลนต.8:8;กดว.27:21)

8:32    “ทรงสดับในฟ้าสวรรค์” (hear in heaven) –ซาโลมอนมองว่าการสาบานเช่นนี้เป็นการร้องทูลขอให้พระเจ้าจัดการ ไม่ใช่การกระทำที่จะส่งผลแบบอัตโนมัติได้ด้วยเวทมนตร์

8:33     “พ่ายแพ้ศัตรูเพราะได้ทำบาปต่อพระองค์” (defeated before the enemy because they have sinned against you,) = ทำบาปต่อพระเจ้าและถูกศัตรูพิชิต –ฉธบ.28:25 –ระบุว่า การพ่ายแพ้ศัตรูนั้น ถือเป็นคำสาปแช่งอย่างหนึ่ง ซึ่งจะเกิดขึ้นกับอิสราเอล หากพวกเขาไม่เชื่อฟังพันธสัญญา

-คำอธิษฐานของซาโลมอนสะท้อนว่า พวกเขารู้อยู่แล้วว่า เงื่อนไขของพันธสัญญาของพระเจ้าที่กำหนดไว้คืออะไร และรู้ดีแล้วว่า การไม่เชื่อฟังจะต้องรับผลอะไร

8:34     “นำพวกเขากลับมายังแผ่นดิน” (bring them again to the land) = กล่าวถึงเชลยที่ถูกกวาดต้อนไปในสงคราม

8:35    “ไม่มีฝน”(no rain)= ความแห้งแล้ง ซึ่งเป็นคำสาปอีกข้อหนึ่งในพันธสัญญาตามที่ระบุไว้ใน ฉธบ.28:22-24

8:36     “ทางดีที่ควรจะดำเนิน” (the good way in which they should walk) = หนทางดำเนินชีวิตที่ถูกต้องที่สอดคล้องกับเงื่อนไขของพันธสัญญา – ฉธบ.6:18;12:25;13:18;1ซมอ.12:23

8:37    “การกันดารอาหาร” (famine ) –ฉธบ.32:24 ;   “โรคระบาด” (pestilence) –ฉธบ.28:21-22;32:24

“ตั๊กแตนปาทังก้า และตั๊กแตนตัวอ่อน” (caterpillar)  = ตั๊กแตนที่บุกมาทำลาย –ฉธบ.28:38,42

“ศัตรูล้อมเมืองใด ๆ” (enemy besieges them in the land at their gates) –ฉธบ.28:52

“ภัยพิบัติใด” (whatever plague) –ฉธบ.28:61;31:29;32:23-25

8:38     “ได้สำนึกในใจของเขา” (knowing the affliction of his own heart) = แต่ละคนย่อมรู้ถึงความทุกข์ใจ ของตนดี   = สำนึกผิดในความบาปของตนต่อพระเจ้า มีท่าทีของการกลับใจและปรารถนาการอภัยโทษและพระคุณของ

พระเจ้า – 2พศด.6:29;สดด.38:17-18;ยรม.17:9

8:39     “ประทานแก่แต่ละคนตามการประพฤติทั้งสิ้นของเขา”  (render to each whose heart you know, according to all his ways) = จัดการกับแต่ละคนตามการกระทำของเขา

= ไม่ควรมองว่า เป็นการเรียกร้องให้แก้แค้นคนที่ทำผิด (เพราะการให้อภัยและการแก้แค้นล้วนขึ้นอยู่กับพระเจ้)  แต่ = ความปรารถนาให้พระเจ้าสั่งสอนโดยพระปัญญาของพระองค์ เพื่อจะแก้ไขประชาชนและสอนแนวทางของพันธสัญญาแก่พวกเขา (ข.40;สภษ.3:11;ฮบ.12:5-15)

8:40    “ยำเกรงพระองค์” (fear you) =ให้เกียรติพระเจ้าและรับใช้พระองค์ด้วยความเชื่อฟัง (ปฐก.20:11;สภษ.1:7; ฉธบ.5:29;6:1-2;8:6;31:13;2พศด.6:31;สดด.130:4)

8:41     “คนต่างด้าวผู้ซึ่งไม่ใช่อิสราเอลประชากรของพระองค์” ( a foreigner, who is not of your people Israel)

= ผู้ซึ่งเดินทางจากต่างแดนมาเพื่ออธิษฐานต่อพระเจ้าของอิสราเอลที่พระวิหาร ซึ่งแตกต่างจากคนต่างชาติที่อาศัยอยู่กับชาวอิสราเอล

8:42     “เขาทั้งหลายจะได้ยิน”(they shall hear) =ผู้คนจะได้ยิน –ดู 9:9(ประเทศอื่นๆ โดยทั่วไป);10:1(ราชินีแห่งเบชา);  ยชว.2:9-11 (ราหับ) ; 1ซมอ.4:6-8 (ฟิลิสเตีย)

“พระนามยิ่งใหญ่…พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ และพระกรที่เหยียดออก” (your great name and your mighty hand, and of your outstretched arm)   =   ฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่แทรกแซงในประวัติศาสตร์ชนชาติของพระองค์ (ฉธบ.4:34;5:15;7:19;11:2;26:8)

8:44     “ถ้าประชากรของพระองค์ออกไปต่อสู้กับศัตรูโดยทางใด ๆ “ (If your people go out to battle against their enemy, by whatever way) = ออกรบตามคำสั่งของพระเจ้า

ตัวอย่างใน  ลนต.26:7;ฉธบ.20;21:10;1ซมอ.15:3;23:2,4;30:8;2ซมอ.5:19,24

“ตรงไปยังเมืองซึ่งพระองค์ทรงเลือกสรรไว้” (toward the city that you have chosen) –ข.30

8:46     “(เพราะไม่มีมนุษย์คนใดไม่ได้ทำบาป)” (no one who does not sin) = “เพราะมีใครบ้างไม่ทำบาปเลย”

= ทุกคนทำบาป (สดด.14:1;ปฐก.6:5;8:21;รม.3:10-23)

“ศัตรูจับเขาไปเป็นเชลยยังแผ่นดินของศัตรูนั้น” (so that they are carried away captive to the land of the enemy) =ศัตรู…นำเขาไปเป็นเชลยในต่างแดน –ลนต.26:33-45;ฉธบ.28:64-68;30:1-5

= ซาโลมอนรู้ว่า การไม่เชื่อฟังพระเจ้าอย่างดื้อดึงจะเป็นเหตุทำให้พวกประชาชนถูกเนรเทศจากดินแดนพระสัญญา

8:51    “จากท่ามกลางเตาเหล็ก” (from the midst of the iron furnace) = เตาหลอมเหล็ก –ฉธบ.4:20

8:53    “พระองค์ทรงแยกพวกเขาจากท่ามกลางชนทุกชาติแห่งแผ่นดินโลกให้เป็นมรดกของพระองค์”

(you separated them from among all the peoples of the earth to be your heritage) = ซาโลมอนเริ่มต้น

อธิษฐานโดยอ้างถึงพันธสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้กับดาวิด (ข.23-30) และลงท้ายด้วยการอ้างถึงพันธสัญญาซีนาย (อพย.19:5;ลนต.20:24,26;ฉธบ.7:6;32:9)

8:54    “คุกเข่า” (had knelt) –ข.22;2พศด.6:13;2ซมอ.7:18;ลก.22:41;อฟ.3:14

8:56   “สาธุการแด่พระยาห์เวห์” (Blessed be the Lord) = สรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า

-ซาโลมอนเชื่อว่า วันแห่งประวัติศาสตร์นี้เป็นพยานถึงความซื่อสัตย์ของพระองค์ตามพันธสัญญา

“การหยุดพักแก่อิสราเอล” (has given rest to his people Israel,) = หลังจากพิชิตคานาอันภายใต้การนำของโยชูวาแล้ว พระเจ้าประทานช่วงเวลาหยุดพักจากศัตรูให้แก่ชนชาติอิสราเอล (ยชว.11:23;21;44:22:4)

-แม้จะยังมีดินแดนอีกมากที่ต้องยึดครอง (ยชว.13:1;วนฉ.1) และชัยชนะในสงครามต่าง ๆ ของดาวิดส่งผลให้การหยุดพักนี้สมบูรณ์และยั่งยืน (2ซมอ.7:1;1พกษ.5:14)

“ตามที่ทรงสัญญาไว้ทุกประการ” (according to all that he promised)  -ฉธบ.12:9-10

“พระสัญญาอันดีทั้งสิ้น”  (all his good promise) = คำมั่นสัญญาล้ำเลิศ –ยชว.21:44-45;21:45

8:58    “โน้มจิตใจของพวกเราให้มาหาพระองค์” (incline our hearts to him,) = ซาโลมอนทูลขอให้พระเจ้าทำ

พระราชกิจแห่งพระคุณในชนชาติของพระองค์ ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญา –ฉธบ.30:6;สดด.51:10;ฟป.2:13

8:59    “ผู้รับใช้ของพระองค์” ( his servant) = กษัตริย์ซึ่งอยู่ในฐานะเป็นผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งเป็นตัวแทนการปกครองของพระเจ้าในโลกนี้ เหนือชนชาติของพระองค์ (สดด.2:2,7)

8:60    “เพื่อชนทุกชาติแห่งแผ่นดินโลกจะทราบว่า”(that all the peoples of the earth may know that)–สดด.46:10

8:63   “เครื่องศานติบูชา” (peace offerings ) = รวมถึงการรับประทานอาหารร่วมกันด้วย (1ซมอ.11:15)

“วัว 22,000 ตัว และแกะ 120,000 ตัว”=มีคนจำนวนมากเข้าร่วมพิธีถวายพระวิหารซึ่งกินเวลา 14 วัน(ข.1-2,65)

8:65    “เมืองฮามัทจนถึงลำธารอียิปต์” (hamath to the Brook of Egypt,) = “เลโบฮามัท” (อสค.47:15)

“ลำน้ำแห่งอียิปต์” (the Brook of Egypt) อาจ = ลำน้ำเอลฮาริช (ปฐก.15:18)

คนทั้งอาณาจักรเดินทางมากรุงแยรูซาเล็มเพื่อร่วมถวายพระวิหาร (14:21)

“เจ็ดวันและต่ออีก 4 วัน รวมสิบสี่วัน” (seven days ) = จะเป็นดุจการเฉลิมฉลองการถวายพระวิหาร 7 วัน จากนั้นต่อด้วยการฉลองในการเทศกาลอยู่เพิงอีก 7 วัน (ข.2) ฉลองตั้งแต่ 15-21 ของเดือนที่ 7 ในพงศาวดาร ระบุว่า การฉลองนั้นจบลงด้วยการประชุมครั้งสุดท้ายในวันรุ่งขึ้น ตามที่กำหนดไว้ใน ลนต.23:33-36 –จากนั้นวันที่ 23 ทุกคนจะเดินทางกลับบ้าน (2พศด.7:8-10)

คำถามนำอภิปราย

 1. คุณเป็นพยานได้หรือไม่ว่า พระเจ้าทรงสำแดงความรักมั่นคงแก่คุณและครอบครัวอย่างไรบ้างนับตั้งแต่ที่คุณ     (และครอบครัว) เชื่อพระองค์?  อย่างไร?

2. มีอะไรบ้างที่คุณยืนยันได้ว่า พระเจ้าทรงรักษาพระสัญญาของพระองค์ที่ให้ไว้กับผู้เชื่อตามที่ปรากฏอยู่ใน พระคัมภีร์?  ในเรื่องอะไร และอย่างไร?

3. คุณเคยมีประสบการณ์กับการตอบคำอธิษฐานของพระเจ้าในชีวิตของคุณตามคำวิงวอนของคุณบ้างหรือไม่? อย่างไร?

4.คุณเคยเห็นคนที่เชื่อพระเจ้าทำผิดแล้วถูกพระเจ้าพิพากษาลงโทษบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไรและอย่างไร?

5.    คุณเคยเห็นคนที่ทำผิดบาปได้รับการตีสอนและกลับใจใหม่ แล้วได้รับความเมตตาของพระเจ้าอีกครั้งบ้างหรือไม่? อย่างไร?

  1. หากวันนี้คุณจะทูลขอการอภัยโทษบาปจากพระเจ้าเพื่อคนบางคน คุณจะทูลขอเพื่อใคร? ในเรื่องอะไร?  ทำไม?
  2. คุณเคยเห็นผู้ใดเป็นแบบอย่างแห่งความถ่อมใจต่อพระเจ้าที่เป็นตัวอย่างที่คุณปรารถนาที่จะเจริญรอยตามบ้าง? ในเรื่องอะไร และอย่างไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์