Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 24)

ชัยชนะมาจากไหน?

 

พระธรรม        1พงศ์กษัตริย์ 20:1-43

อ้างอิง              1พกษ.13:21-32;15:18-20;20:23-30;22:25;21:4;16:9;2พกษ.5:7;13:17

บทนำ               แม้คนของพระเจ้าจะไม่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า แต่พระเจ้าก็ยังรักพวกเขา พระเจ้าช่วยผู้ที่พระองค์ทรงรักด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ แต่น่าเศร้าที่บ่อยครั้งที่คนของพระเจ้าละทิ้งพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้าและนำความทุกข์ความเจ็บปวดมาสู่ตัวเองและคนรอบตัวของเขา

บทเรียน

20:1 “เบนฮาดัด ​กษัตริย์​ซีเรีย​ทรง​รวบ​รวม​กองทัพ​ทั้งสิ้น​ของ​พระองค์ มี​กษัตริย์ 32 องค์​ขึ้น​กับ​พระองค์ พร้อมกับ​ม้า​และ​รถรบ และ​พระองค์​เสด็จ​ขึ้น​ไป​ล้อม​กรุง​สะมาเรีย สู้รบ​กับ​เมือง​นั้น”

  (Ben-hadad the king of Syria gathered all his army together. Thirty-two kings were with him, and horses and  chariots. And he went up and closed in on Samaria and fought against it. )

20:2 “และ​ได้​ส่ง​ผู้​สื่อสาร​เข้า​ไป​ใน​เมือง​หา​อาหับ​กษัตริย์​อิสราเอล”

       (And he sent messengers into the city to Ahab king of Israel and said to him, “Thus says Ben-hadad: )

20:3 “ทูล​พระองค์​ว่า “เบนฮาดัด​ตรัส​ดังนี้​ว่า ‘เงิน​และ​ทอง​ของ​ท่าน​เป็น​ของ​เรา บรรดา​ภรรยา​และ​บุตร​ที่​ดี​ที่สุด​ของ​ท่าน​ก็​เป็นของ​เรา​ด้วย’”

       (“Your silver and your gold are mine; your best wives and children also are mine.” )

20:4 “และ​กษัตริย์​อิสราเอล​ตรัส​ตอบ​ว่า “ข้าแต่​พระราชา​เจ้านาย​ของ​ข้าพเจ้า ดังที่​ท่าน​ว่า​มา​นั่น​แหละ ข้าพเจ้า​เป็น​ของ​ท่าน รวม​ทั้ง​ทุก​อย่าง​ที่​ข้าพเจ้า​มี​อยู่​นั้น​ด้วย

       (And the king of Israel answered, “As you say, my lord, O king, I am yours, and all that I have.”)

20:5 “บรรดา​ผู้​สื่อสาร​ได้​กลับ​มา​อีก​กล่าว​ว่า “เบนฮาดัด​ตรัส​ดังนี้​ว่า ‘เรา​ส่ง​ข่าว​มา​ยัง​ท่าน​ว่า “จง​มอบ​เงิน​และ​ทอง​ของ​ท่าน  ภรรยา และ​บุตร​ของ​ท่าน​แก่​เรา

    (The messengers came again and said, “Thus says Ben-hadad: “I sent to you, saying, Deliver to me your  silver and your gold, your wives and your children.” )

20:6 “แต่​พรุ่งนี้ ประมาณ​เวลา​นี้ เรา​จะ​ส่ง​ข้า​ราชการ​ของ​เรา​ไป​หา​ท่าน พวกเขา​จะ​ค้น​วัง​ของ​ท่าน ค้น​บ้าน​ข้า​ราชการ​ของ​ท่าน สิ่งใด​ที่​ต้องตา​ของ​ท่าน​เขา​จะ​หยิบ​เอา​ไป’”

    (Nevertheless I will send my servants to you tomorrow about this time, and they shall search your house  and the houses of your servants and lay hands on whatever pleases you and take it away.” )

20:7 “แล้ว​กษัตริย์​อิสราเอล​ได้​เรียก​ประชุม​พวก​ผู้ใหญ่​ทั้งหมด​ของ​ แผ่นดิน ตรัส​ว่า “ขอ​ตรอง​ดูเถิด ดู​ว่า​ชาย​ผู้​นี้​หา​เรื่อง​เดือดร้อน​ให้​เรา​เพียงไร เพราะ​เขา​ให้​คน​มา​เอา​เมีย​และ​ลูก​ของ​เรา ทั้ง​เงิน​และ​ทอง​ของ​เรา และ​เรา​ก็​ไม่ได้​ปฏิเสธ​เขา

  (Then the king of Israel called all the elders of the land and said, “Mark, now, and see how this man is seeking trouble, for he sent to me for my wives and my children, and for my silver and my gold, and I did not refuse him.” )

20:8 “บรรดา​ผู้ใหญ่​และ​ประชาชน​ทั้งสิ้น​ก็​ทูล​พระองค์​ว่า “อย่า​ทรง​ฟัง อย่า​ทรง​ยอม พ่ะย่ะค่ะ

        (And all the elders and all the people said to him, “Do not listen or consent.” )

20:9 “พระองค์​จึง​รับ​สั่ง​แก่​ผู้​สื่อสาร​ของ​เบนฮาดัด​ว่า “จง​ไป​ทูล​พระราชา​เจ้านาย​ของ​เรา​ว่า ‘ทุกสิ่ง​ที่​ท่าน​เรียกร้อง​จาก​ผู้​รับใช้​ ของ​ท่าน​ใน​ครั้งแรก​นั้น เรา​จะ​ทำ​ตาม แต่​สิ่ง​นี้​เรา​ทำ​ไม่ได้’” แล้ว​ผู้​สื่อสาร​ก็​จาก​ไป และ​กลับ​มา​รายงาน”

  (So he said to the messengers of Ben-hadad, “Tell my lord the king, “All that you first demanded of your servant I will do, but this thing I cannot do.” And the messengers departed and brought  him word again.)

20:10 “เบนฮาดัด ​ส่ง​ข่าว​กลับ​มา​อีก​ว่า “ถ้า​ผงคลี​แห่ง​สะมาเรีย​จะ​พอ​แก่​คน​ที่​ติดตาม​เรา​มา​สัก​คน​ละ​ หยิบ​มือ​หนึ่ง ก็​ขอ​ให้​พระ​ทั้งหลาย​ลงโทษ​เรา​และ​ยิ่ง​หนัก​กว่า

  (Ben-hadad sent to him and said, “The gods do so to me and more also, if the dust of Samaria shall  suffice for handfuls for all the people who follow me.” )

20:11 “และ​กษัตริย์​อิสราเอล​ตรัส​ตอบ​ว่า “จง​ทูล​ท่าน​ว่า ‘ขอ​ท่าน​ผู้​ที่​สวม​เกราะ อย่า​อวดอ้าง​อย่าง​ผู้​ที่​ถอด​เกราะ​แล้ว​เลย’”

    (And the king of Israel answered, “Tell him, “Let not him who straps on his armor boast himself as he  who takes it off.” )

20:12 “เบนฮาดัด ​ทราบ​ข่าว​นี้ ขณะ​ที่​กำลัง​ดื่ม​อยู่​กับ​บรรดา​กษัตริย์​ที่​ใน​เพิง ท่าน​ก็​สั่ง​พวกข้า​ราชการ​ของ​ท่าน​ว่า “จง​เข้า​ประจำ​ที่” และ​เขา​ทั้งหลาย​ก็​เข้า​ประจำ​ที่​เพื่อ​ต่อสู้​กับ​เมือง​นั้น”

    (When Ben-hadad heard this message as he was drinking with the kings in the booths, he said to his  men, “Take your positions.” And they took their positions against the city. )

20:13 “นี่แน่ะผู้​เผย​พระวจนะ​คน​หนึ่ง เข้า​มา​ใกล้​อาหับ​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​ทูล​ว่า “พระยาห์เวห์​ตรัส​ดังนี้​ว่า เจ้า​เห็น​กองทัพ​ ใหญ่​นี้​หรือ? นี่แน่ะ เรา​จะ​มอบ​ไว้​ใน​มือ​ของ​เจ้า​ใน​วันนี้ แล้ว​เจ้า​จะ​ได้​รู้​ว่า​เรา​คือ​พระยาห์เวห์

  (And behold, a prophet came near to Ahab king of Israel and said, “Thus says the Lord, Have you seen all this  great multitude? Behold, I will give it into your hand this day, and you shall know that I am the Lord.” )

20:14 “และ​อาหับ​ตรัส​ถาม​ว่า “ทรง​ใช้​ใคร​ทำ?​ ” เขา​ทูล​ว่า “พระยาห์เวห์​ตรัส​ดังนี้​ว่า โดย​มือ​ของ​มหาดเล็ก​ของ​เจ้านาย​ประจำ​ จังหวัด​ทั้งหลาย” แล้ว​อาหับ​ตรัส​ว่า “ใคร​จะ​เริ่ม​รบ?” เขา​ทูล​ตอบ​ว่า “ฝ่า​พระบาท พ่ะย่ะค่ะ”             

    (And Ahab said, “By whom?” He said, “Thus says the Lord, By the servants of the governors of the  districts.” Then he said, “Who shall begin the battle?” He answered, “You.”)

20:15 “พระองค์​จึง​ทรง​เกณฑ์​มหาดเล็ก​ของ​เจ้านาย​ประจำ​จังหวัด​เหล่านั้น ซึ่ง​มี 232 คน​ด้วย​กัน และ​ภายหลัง​เกณฑ์​ประชาชน​ทั้งสิ้น คือ​คน​อิสราเอล​ทั้งหมด 7,000 คน”

  (Then he mustered the servants of the governors of the districts, and they were 232. And after them he  mustered all the people of Israel, seven thousand. )

20:16 “เขา​ทั้งหลาย​ยก​ออก​ไป​ใน​เวลา​เที่ยงวัน ส่วน​เบนฮาดัด​กำลัง​ดื่ม​จน​เมา​อยู่​ใน​เพิง ทั้ง​พระองค์​และ​กษัตริย์​อีก 32 องค์​ ที่​ช่วย​พระองค์”

 (And they went out at noon, while Ben-hadad was drinking himself drunk in the booths, he and the  thirty-two kings who helped him. )

20:17 “พวก​มหาดเล็ก​ของ​เจ้านาย​ประจำ​จังหวัด​ได้​ยก​ออก​ไป​ก่อน เบนฮาดัด​ก็​ส่ง​ผู้​สอดแนม​ออก​ไป เขา​ทั้งหลาย​ทูล​รายงาน​พระองค์​ว่า “มี​คน​ยก​ออก​มา​จาก​สะมาเรีย

(The servants of the governors of the districts went out first. And Ben-hadad sent out scouts, and they  reported to him, “Men are coming out from Samaria.” )

20:18 “แล้ว​พระองค์​ตรัส​ว่า “ถ้า​พวก​เขา​ออก​มา​ด้วย​สันติ จง​จับ​เขา​มา​เป็นๆ หรือ​ถ้า​เขา​ออก​มา​ทำ​ศึก ก็​จง​จับ​เขา​มา​เป็นๆ”

 (He said,”If they have come out for peace, take them alive. Or if they have come out for war, take them alive.” )

20:19 “พวก​มหาดเล็ก​ของ​เจ้านาย​ประจำ​จังหวัด และ​กองทัพ​ที่​ติดตาม​พวกเขา​ได้​เคลื่อน​ออก​จาก​เมือง”

        (So these went out of the city, the servants of the governors of the districts and the army that  followed them. )

20:20 “และ​ต่างก็​ฆ่า​คู่​ต่อสู้​ของ​ตน คน​ซีเรีย​หนี และ​คน​อิสราเอล​ไล่​ติดตาม​เขา​ไป แต่​เบนฮาดัด​กษัตริย์​แห่ง​ซีเรีย​ทรง​ม้า​หนี ไป​กับ​ทหาร​ม้า”

  (And each struck down his man. The Syrians fled, and Israel pursued them, but Ben-hadad king of  Syria escaped on a horse with horsemen. )

       20:21 “กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​ก็​ออก​ไป​โจมตี​ม้า​และ​รถรบ และ​ประหาร​คน​ซีเรีย​มากมาย”

     (And the king of Israel went out and struck the horses and chariots, and struck the Syrians with a great blow. )

20:22 “แล้ว​ผู้​เผย​พระวจนะ​คนนั้น​ได้​เข้า​มา​ใกล้​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล ทูล​พระองค์​ว่า “ไป​เถิด ขอ​เสริม​กำลัง​ของ​พระองค์และ​ตรึก‌ ตรอง​ดู​ว่า พระองค์​จะ​ทรง​ทำ​ประการ​ใด เพราะ​ใน​ฤดู​ใบไม้ผลิ​ปี​หน้า กษัตริย์​แห่ง​ซีเรีย​จะ​ยก​กองทัพ​มา​สู้​กับ​พระองค์​อีก

   (Then the prophet came near to the king of Israel and said to him, “Come, strengthen yourself, and consider well what you have to do, for in the spring the king of Syria will come up against you.” )

20:23 “ข้า​ราชการ​ของ​กษัตริย์​ซีเรีย​ทูล​พระองค์​ว่า “พระ​ทั้งหลาย​ของ​เขา​เป็น​พระเจ้า​แห่ง​ภูเขา เขา​ทั้งหลาย​จึง​เข้ม​แข็ง​กว่า​เรา  แต่​ขอ​ให้​เรา​สู้รบ​กับ​เขา​ใน​ที่​ราบ แล้ว​เรา​จะ​ต้อง​เข้ม​แข็ง​กว่า​เขา​แน่นอน​ทีเดียว”
   (And the servants of the king of Syria said to him, “Their gods are gods of the hills, and so they were stronger than we. But let us fight against them in the plain, and surely we shall be stronger than they. )

20:24 “ขอ​ทรง​ทำ​อย่างนี้ ขอ​ทรง​ปลด​กษัตริย์​เสีย​ทุก​องค์​จาก​ตำแหน่ง และ​ตั้ง​นาย​ทหาร​ขึ้นแทน”

         (And do this: remove the kings, each from his post, and put commanders in their places, )

20:25 “และ​เกณฑ์​กองทัพ​เข้า​แทน​ส่วน​ที่​ล้ม​ตาย​ไป​ใน​คราว​ก่อน ม้า​แทน​ม้า รถรบ​แทน​รถรบ แล้ว​เรา​ทั้งหลาย​จะ​สู้รบ​กับ​เขา​ใน​ที่​ราบ เรา​จะ​ต้อง​เข้ม​แข็ง​กว่า​เขา​แน่นอน​ทีเดียว” และ​พระองค์​ก็​ทรง​เชื่อฟัง​เสียง​ของ​เขา​ทั้งหลายและ​ทรง​ทำ​ตาม”

         (and muster an army like the army that you have lost, horse for horse, and chariot for chariot. Then we  will fight against them in the plain, and surely we shall be stronger than they.” And he listened to their  voice and did so. )

20:26 “เมื่อ​ถึง​ฤดู​ใบไม้ผลิ เบนฮาดัด​ทรง​เกณฑ์​คน​ซีเรีย ยก​ขึ้น​ไป​รบ​กับ​อิสราเอล​ที่​เมือง​อาเฟก”

          (In the spring, Ben-hadad mustered the Syrians and went up to Aphek to fight against Israel. )

20:27 “และ​คน​อิสราเอล​ก็​ถูก​เกณฑ์ รับ​เสบียง​อาหาร และ​ยก​ออก​ไป​ต่อสู้​กับ​พวก​เขา คน​อิสราเอล​ตั้ง​ค่าย​ตรง​หน้า​พวกเขา​เหมือน​แพะ​สอง​ฝูง​เล็กๆ แต่​คนซีเรีย​เต็ม​ท้อง​ทุ่ง​ไป​หมด”
(And the people of Israel were mustered and were provisioned and went against them. The people of  Israel encamped before them like two little flocks of goats, but the Syrians filled the country. )

20:28 “และ​คน​ของ​พระเจ้า​คน​หนึ่ง​ได้​เข้า​ไป​ใกล้ และ​ทูล​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​ว่า “พระยาห์เวห์​ตรัส​ดังนี้​ว่า ‘เพราะ​คนซีเรีย​กล่าว​ว่า “พระยาห์เวห์​เป็น​พระเจ้า​แห่ง​ภูเขา พระองค์​ไม่ได้​เป็น​พระเจ้า​แห่ง​ที่​ลุ่ม” เพราะ​ฉะนั้น เรา​จะ​มอบ​กองทัพ​ใหญ่​ทั้งหมด​นี้​ไว้​ใน​มือ​ของ​เจ้า และ​พวกเจ้า​จะ​ได้​รู้​ว่า เรา​คือ​พระยาห์เวห์’”

 (And a man of God came near and said to the king of Israel, “Thus says the Lord, “Because the Syrians have said, “The Lord is a god of the hills but he is not a god of the valleys,” therefore I will give all this great multitude into your hand, and you shall know that I am the Lord.” )

    20:29 “แล้ว​เขา​ทั้งหลาย​ก็​ตั้ง​ค่าย​ตรงข้าม​กัน​อยู่​เจ็ด​วัน แล้ว​ใน​วัน​ที่​เจ็ด​ก็​ปะทะ​กัน คน​อิสราเอล​ฆ่า​คนซีเรีย ซึ่ง​เป็น​ทหาร​ราบ​เสีย  100,000 คน​ใน​วัน​เดียว

   (And they encamped opposite one another seven days. Then on the seventh day the battle was joined.   And the people of Israel struck down of the Syrians 100,000 foot soldiers in one day. )

20:30 “พวก​ที่​เหลือ​ก็​หนี​เข้า​เมือง​อาเฟก และ​กำแพง​เมือง​ล้มทับ​คน​เหล่า​นั้น​เสีย 27,000 คน เบนฮาดัด​ก็​หนี​เข้า​ไป​ใน​ห้อง​ชั้น​ใน​ที่​ใน​เมือง”

  (And the rest fled into the city of Aphek, and the wall fell upon 27,000 men who were left. Ben-hadad  also fled and entered an inner chamber in the city. )

 20:31 “และ​ข้า​ราชการ​ของ​เบนฮาดัด​ทูล​พระองค์​ว่า “นี่แน่ะ เรา​ได้ยิน​ว่า​บรรดา​พระราชา​แห่ง​วงศ์วาน​อิสราเอล​เป็น​พระราชา​ ที่​ทรง​เมตตา ขอ​ให้​เรา​เอา​ผ้า​กระสอบ​คาด​เอว และ​เอา​เชือก​พัน​ศีรษะ​ของ​เรา และ​ออก​ไป​หา​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล บางที​พระองค์​จะ​ไว้​ชีวิต​ฝ่า​พระบาท

 (And his servants said to him, “Behold now, we have heard that the kings of the house of Israel are  merciful kings. Let us put sackcloth around our waists and ropes on our heads and go out to the king  of Israel. Perhaps he will spare your life.” )

20:32 “เพราะ​ฉะนั้น พวกเขา​จึง​เอา​ผ้า​กระสอบ​คาด​เอว เอา​เชือก​พัน​ศีรษะ และ​ไป​เฝ้า​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล ทูล​ว่า“เบนฮาดัด  ผู้​รับใช้​ของ​ฝ่า​พระบาท​ให้​มา​กราบทูล​ว่า ‘ได้​โปรด​เถิด ขอ​ให้​ข้าพเจ้า​รอด​ชีวิต​อยู่’” และ​พระองค์​ตรัส​ว่า “ท่าน​ยัง​มี​ ชีวิต​หรือ? ท่าน​เป็น​น้อง​ของ​เรา”

  (So they tied sackcloth around their waists and put ropes on their heads and went to the king of Israel and  said,”Your servant Ben-hadad says, “Please, let me live.” And he said, “Does he still live? He is my brother.”)

20:33 “คน​เหล่านั้น​สังเกต​เห็น​เป็น​ลาง​ดี ก็​รีบ​ตอบ​โดย​เร็ว​ว่า “พ่ะย่ะค่ะ เบนฮาดัด​เป็น​พระ​อนุชา​ของ​ฝ่า​พระบาท” แล้ว​พระองค์​ ตรัส​ว่า “ไป​นำ​ท่าน​มา​เถอะ” แล้ว​เบนฮาดัด​ก็​เสด็จ​ออก​มาหา​พระองค์ แล้ว​พระองค์​ก็​ให้​ท่าน​ขึ้น​ไป​บน​รถรบ”

   (Now the men were watching for a sign, and they quickly took it up from him and said, “Yes, your brother  Ben-hadad.” Then he said, “Go and bring him.” Then Ben-hadad came out to him, and he caused him to  come up into the chariot.)

20:34 “และ​เบนฮาดัด​ทูล​พระองค์​ว่า “เมือง​ต่างๆ ซึ่ง​บิดา​ของ​ข้าพเจ้า​ยึด​เอา​ไป​จาก​พระราชบิดา​ของ​ท่าน​นั้น ข้าพเจ้า​ขอ​คืน​ให้​ท่าน ท่าน​จะ​สร้าง​ย่าน​การ​ค้า​ของ​ท่าน​ใน​เมือง​ดามัสกัส​ก็​ได้ อย่าง​ที่​บิดา​ข้าพเจ้า​ทำ​ไว้​ใน​สะมาเรีย” แล้ว​อาหับ​ตรัส​ว่า “เรา​จะ​ยอม​ให้​ท่าน​ไป ตาม​ข้อ​ตกลง​นี้” พระองค์​จึง​ทรง​ทำ​พันธสัญญา​กับ​ท่าน และ​ปล่อย​ท่านไป”

 (And Ben-hadad said to him, “The cities that my father took from your father I will restore, and you may  establish bazaars for yourself in Damascus, as my father did in Samaria.” And Ahab said, “I will let you  go on these terms.” So he made a covenant with him and let him go. )

20:35 “มี​คน​หนึ่ง​ใน​กลุ่ม​ผู้​เผย​พระวจนะ​พูด​กับ​เพื่อน​ของ​ตน ตาม​พระบัญชา​ของ​พระยาห์เวห์​ว่า “ได้​โปรด​เถอะ ขอ​ตี​ข้า​ที” แต่​ชาย​คน​นั้น​ก็​ปฏิเสธ​ไม่​ยอม​ตี​ท่าน”

  (And a certain man of the sons of the prophets said to his fellow at the command of the Lord, “Strike  me, please.” But the man refused to strike him. )

20:36 “แล้ว​ท่าน​จึง​พูด​กับ​เขา​ว่า “เพราะ​ท่าน​ไม่​ฟัง​พระสุรเสียง​ของ​พระยาห์เวห์ นี่แน่ะ พอ​ท่าน​จาก​ข้า​ไป สิงโต​ตัว​หนึ่ง​จะ​สังหาร​ท่าน” พอ​เขา​จาก​ท่าน​ไป สิงโต​ตัว​หนึ่ง​ก็​มา​พบ​เขา และ​สังหาร​เขา​เสีย”
   (Then he said to him, “Because you have not obeyed the voice of the Lord, behold, as soon as you have  gone from me, a lion shall strike you down.” And as soon as he had departed from him, a lion met him   and struck him down. )

 20:37 “แล้ว​ท่าน​ไป​พบ​ชาย​อีก​คน​หนึ่ง และ​ท่าน​ว่า “ได้​โปรด​เถอะ ขอ​ตี​ข้า​ที” ชาย​คน​นั้น​ได้​ตี​ท่าน​และ​ทำ​ให้​ท่าน​บาดเจ็บ”

      (Then he found another man and said, “Strike me, please.” And the man struck him—struck him and   wounded him. )

20:38 “ผู้​เผย​พระวจนะ​นั้น​จึง​จาก​ไป และ​คอย​พบ​พระราชา​อยู่​ที่​หนทาง โดย​ปลอม​ตัว​เอา​ผ้า​พัน​ตา”

          (So the prophet departed and waited for the king by the way, disguising himself with a bandage over   his eyes. )

20:39 “พอพระราชา​ทรง​ผ่าน​ไป ท่าน​ก็​ร้องทูล​พระราชา​ว่า “ผู้​รับใช้​ของ​ฝ่า​พระบาท​เข้า​ไป​ใน​กลาง​ศึก และ​ดูเถิด ทหาร​คน​หนึ่ง​ หัน​มา และ​นำ​ชาย​คนหนึ่ง​มา​ให้​ข้า​พระบาท บอก​ว่า ‘จง​ระวัง​ชาย​คน​นี้​ไว้​นะ ถ้า​เขา​หลุด​ไป​ได้​โดย​เหตุใดๆ ชีวิต​ของ​ท่าน​ จะ​ต้อง​แทน​ชีวิต​ของ​เขา หรือ​มิฉะนั้น​ท่าน​จะ​ต้อง​เสีย​เงิน​ตะลันต์​หนึ่ง’”

   (And as the king passed, he cried to the king and said, “Your servant went out into the midst of the battle,  and behold, a soldier turned and brought a man to me and said, “Guard this man; if by any means he is  missing, your life shall be for his life, or else you shall pay a talent of silver.”)

20:40 “และ​เมื่อ​ผู้​รับใช้​ของ​ฝ่า​พระบาท​ติด​ธุระ​อยู่​ที่นี่​ที่นั่น เขา​ก็​หาย​ไป” กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “โทษ​ของ​เจ้า​ต้อง​เป็น​อย่างนั้น​แหละ เพราะ​เจ้า​เอง​ได้​ตัดสิน​แล้ว

  (And as your servant was busy here and there, he was gone.” The king of Israel said to him, “So shall  your judgment be; you yourself have decided it.” )

     20:41 “แล้ว​ท่าน​ก็​รีบ​เอา​ผ้า​พัน​ตา​ออก​เสีย และ​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​ก็​จำ​ท่าน​ได้​ว่า​เป็น​ผู้​เผย​พระวจนะ​คน​หนึ่ง”

       (Then he hurried to take the bandage away from his eyes, and the king of Israel recognized him as one of the prophets. )

 20:42 “และ​ท่าน​จึง​ทูล​พระองค์​ว่า “พระยาห์เวห์​ตรัส​ดังนี้​ว่า ‘เพราะ​เจ้า​ได้​ปล่อย​ชาย​คน​ที่​อยู่​ใน​มือ​ของ​เจ้า ผู้​ซึ่ง​เรา​ได้​กำหนด​ให้​ทำลาย​นั้น ดังนั้น​ชีวิต​ของ​เจ้า​จะ​ต้อง​แทน​ชีวิต​ของ​เขา และ​ประชาชน​ของ​เจ้า​แทน​ประชาชน​ของ​เขา’”

   (And he said to him, “Thus says the Lord, “Because you have let go out of your hand the man whom I had devoted to destruction, therefore your life shall be for his life, and your people for his people.” )

20:43 “และ​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​ก็​เสด็จ​เข้า​ไป​ใน​พระราชวัง ด้วย​อารมณ์​ขุ่น​มัวและ​กลัด​กลุ้ม​ยิ่ง​นัก และ​เสด็จ​มา​สะมาเรีย”

          (And the king of Israel went to his house vexed and sullen and came to Samaria. )

ข้อมูลมีประโยชน์

20:1      “เบนฮาดัด” (Ben-hadad) = กษัริย์ของซีเรีย(หรืออารัม) น่าจะเป็นเบนฮาดัดที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรหรือหลานของเบนฮาดัดที่ 1 (900-895 ก.ค.ศ.) -15:9-10,18-20,33   เหตุการณ์ในบทนี้ครอบคลุมช่วงเวลา 2 ปี (ข้อ 22-26) ตามมาด้วยช่วงเวลาสงบสุข 3 ปี (ระหว่างอิสราเอลกับซีเรีย-22:1)  -เมื่อ 3 ปีสิ้นสุดลง อาหับตายในช่วงที่มีการสู้รบกับซีเรีย (22:37) ในปี 853 ก.ค.ศ.   ดังนั้น เหตุการณ์ในบทนี้น่าจะเกิดขึ้นประมาณปี 857 ก.ค.ศ.

“กษัตริย์ 32 องค์ขึ้นกับพระองค์” (Thirty-two kings were with him ) = หัวหน้าเผ่าหรือกษัตริย์ของเมืองขึ้นของเบนฮาดัดที่ 2 ; “กรุงสะมาเรีย” (Samaria) -16:24

20:4      “ข้าพเจ้าเป็นของท่านรวมทั้งทุกอย่างที่ข้าพเจ้ามีอยู่นั้นด้วย” (I am yours, and all that I have)

= อาหับยอมจำนนต่อเบนฮาดัด เพราะว่ามีความหวังน้อยมากที่จะชนะเพื่อไม่ให้เมืองถูกปล้นทำลายและอาหับไม่ต้องตาย

20:6      “เราจะส่งข้าราชการของเราไปหาท่าน พวกเขาจะค้นวังของท่าน ค้นบ้านข้าราชการของท่าน” (will send

my servants to you tomorrow about this time, and they shall search your house and the houses of your servants) = ข้อเรียกร้องใหม่ของเบนฮาดัดคือ ให้ทั้งเมืองต้องยอมจำนนทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง

20:9      “…แต่สิ่งนี้เราทำไม่ได้” (but this thing I cannot do) = ข้อเรียกร้องครั้งหลังนี้อาหับ ผู้ใหญ่และประชาชนยอมรับไม่ได้ อาหับจึงยืนกรานไม่ยกเมืองและทรัพย์(พร้อมคน)ในเมืองให้

20:10    “ก็ขอให้พระทั้งหลายลงโทษเราและยิ่งหนักกว่า” (The gods do so to me and more also)

= เบนฮาดัดสาบานขอให้เทพเจ้าทั้งหลายของท่านจัดการกับท่านอย่างหนัก ถ้าทำลายสะมาเรียไม่ได้

= สำนวนของคำสาปแช่ง (1ซมอ.3:17)

20:11    “ขอให้ท่านผู้ที่สวมเกราะอย่าอวดอ้างอย่างผู้ที่ถอดเกราะแล้วเลย” (‘Let not him who straps on his armor boast himself as he who takes it off.) = สำนวนที่หมายความว่า “ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะอย่าเพิ่งคุยโว”  หรือ “อย่านับลูกไก่ก่อนที่มันจะฟักไข่ให้เป็นตัว”

20:13    “แล้วเจ้าจะได้รู้ว่า เราคือพระยาห์เวห์” (and you shall know that I am the Lord) = พระเจ้าทรงเมตตาประชากรของพระองค์แม้ว่ากษัตริย์อาหับจะไม่ได้แสวงหาความช่วยเหลือจากพระเจ้า แต่กระนั้นพระองค์ก็ยังทรงปรากฏพระองค์เองเพื่อช่วยกู้พวกเขา (18:36-37)

20:14    “มหาดเล็กของเจ้านายประจำจังหวัดทั้งหลาย” (servants of the governors of the districts.) = บรรดาทหารหนุ่มจากเหล่าผู้บัญชาการภูมิภาคต่าง ๆ  -16:27

20:15    “มี 232 คน …อิสราเอลทั้งหมด 7000 คน” (they were 232. all the people of Israel, seven thousand ) = ไม่ใช่กองกำลังขนาดใหญ่ เพื่อแสดงให้เห็นว่าชัยชนะที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นมาจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากกำลังทหารของอิสราเอล (วนฉ.7:2)

20:20    “…ต่างก็ฆ่าคู่ต่อสู้ของตน” (struck down his man) –ปรากฏว่าทหารกองหน้าก็มีขนาดเล็กพอ ๆ กับ (2ซมอ.2:15-16)

20:22    “กษัตริย์แห่งซีเรียจะยกกองทัพมาสู้กับพระองค์อีก” (king of Syria will come up against you) = ผู้เผยพระวจนะนิรนามเตือนอาหับไม่ให้มั่นใจตนเองจนเกินไป เขาประกาศว่า เบนฮาดัดจะกลับมาโจมตีเพื่อหวังจะผลักดันให้อาหับวางใจในพระเจ้า (ผู้ทรงเปิดเผยพระองค์บนยอดเขาคารเมล และในชัยชนะที่เพิ่งผ่านมา)

20:23    “พระเจ้าแห่งขุนเขา” (gods of the hills) = แนวคิดของคนในสมัยนั้นที่คิดว่าเทพเจ้ามีอำนาจครอบคลุมเฉพาะพื้นที่จำกัดเท่าที่พระเจ้าองค์นั้นครอบครองอยู่

“เขาทั้งหลายจึงเข้มแข็งกว่าเรา” (be stronger than they)  = ชาวซีเรีย(อารัม) เชื่อว่าผลลัพธ์ของสงครามนั้นขึ้นอยู่กับกำลังของเทพเจ้าแต่ละฝ่ายที่ต่อ สู้กันมากกว่าเกิดจากกองทัพ – พวกเขาจึงวางแผนการสู้รบครั้งต่อไปโดยหาช่องทางให้เทพเจ้าของฝ่ายเขาได้เปรียบมากที่สุด และให้อีกฝ่ายเสียเปรียบมากที่สุด

20:26    “เมืองอาเฟก (Aphek) = น่าจะเป็นอาเฟกที่ตั้งอยู่ห่างจากทะเลสาบกาลิลีไปทางทิศตะวันออกราว 3-4 กิโลเมตร การต่อสู้ดูเหมือนจะเกิดขึ้นที่หุบเขาจอร์แดนใกล้จุดที่แม่น้ำยารมัดเชื่อมกับแม่น้ำจอร์แดน

20:28    “คนของพระเจ้าคนหนึ่ง” (a man of God ) = เป็นผู้เผยพระวจนะคนเดิมในข้อ 13,22

“และพวกเจ้าจะได้รู้ว่า เราคือพระยาห์เวห์” (and you shall know that I am the Lord)  -ข.13 = พระเจ้าจะสำแดงอีกครั้งว่า พระเจ้าทรงครอบครองเหนือธรรมชาติและประวัติศาสตร์ เทพเจ้าแห่งธรรมชาติต่าง ๆ (ของคนต่างชาติ) ไม่มีอำนาจใด ๆ เมื่ออยู่ต่อพระพักตร์ของพระเจ้า

20:30    “กำแพงเมืองล้มทับคนเหล่านั้น” (wall fell upon)  = พระเจ้าแห่งอิสราเอลไม่เพียงทำให้กองทัพอิสราเอลมีชัยชนะในการรบแต่ยังทรงบันดาลให้เกิดภัยพิบัติกับกองทัพของซีเรียด้วย

20:31    “…เป็นพระราชาที่ทรงเมตตา” (…merciful kings) = ชาวซีเรียตระหนักว่ากษัตริย์อิสราเอลแตกต่างจากชนชาติอื่น ๆ ที่เลือดเย็น

“เอาผ้ากระสอบคาดเอว เอาเชือกพันศีรษะ” (us put sackcloth around our waists and ropes on our heads) = สัญลักษณ์ของการถ่อมตน และยอมจำนน

20:32    “…ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท” (..Your servant) = ภาษาทางการฑูตที่ยอมรับว่าตนเองต่ำต้อยและยอมอยู่ใต้อำนาจอาหับ

“ท่านเป็นน้องของเรา” (He is my brother) = อาหับตอบสนองด้วยการใช้สรรพนามที่ใช้กับชนชั้นผู้ปกครองที่ถือว่าเท่าเทียมกัน (9:13) นับเป็นสิ่งที่อาหับให้มากกว่าที่เบนฮาดัดคิดหรือหวังจากพระองค์

20:33    “พระองค์ให้ท่านขึ้นไปบนรถรบ” (he caused him to come up into the chariot) = ประทับร่วมกันในราชรถ นับเป็นวิธีที่ไม่ปกตินักในการปฏิบัติต่อศัตรูที่เพิ่งพ่ายแพ้ในสงคราม

20:34    “เมืองต่างๆ ที่บิดาของข้าพเจ้ายึดเอาไปจากพระราชบิดาของท่านนั้น” (The cities that my father took from your father I will restore) = อาจเป็นราโมทกิเลอาด (22:3) และเมืองอื่น ๆ ที่เบนฮาดัดที่ 1 ยึดจากบาอาชา (15:20) ก่อนหน้านั้น

“สร้างย่านการค้าของท่าน” (may establish bazaars for yourself) = เปิดช่องให้มีการค้าระหว่างประเทศเป็นผลประโยน์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งปกติเป็นสิทธิพิเศษเฉพาะของคนในท้องถิ่นเท่านั้น

            “ทำพันธสัญญากับท่าน” (made a covenant with him) = สนธิสัญญาแบบเท่าเทียม นอกจากเป็นสัญญาสันติภาพแล้วยังรวมถึงเงื่อนไขทางการเมืองและการค้าที่เบนฮาดัดเสมอมา (โดยไม่ได้ปรึกษากับพระเจ้าก่อน)

20:35    “คนหนึ่งในกลุ่มผู้เผยพระวจนะ” (man of the sons of the prophets)

= ในบางฉบับใช้ว่า “บุตรของผู้เผยพระวจนะคนหนึ่ง” ซึ่งเป็นสำนวนหมายถึงสมาชิกในกลุ่มผู้เผยพระวจนะ –2พกษ.2:3,5,7,15;4:1,38;5:22; 6:1;9:1

= นับว่าเป็น 1 ในกลุ่มของผู้เผยพระวจนะที่เป็นชุมชนทางศาสนาในยุคที่คนทั่วไปไม่ใส่ใจพระเจ้า

= เป็นชุมชนที่ปลูกฝังคำสอนและประสบการณ์เกี่ยวกับพระเจ้า (18:29;กดว.11:25-27;1ซมอ.10:5-6,10-11;18:10;19:20-24) ซึ่งอาจแตกต่างกับ “ผู้เผยพระวจนะ” ซึ่งมาจากพระเจ้า(โดยตรง) และเป็นพี่เลี้ยงฝ่ายวิญญาณของพวกเขา

20:36    “สิงห์โตตัวหนึ่งจะสังหารท่าน” (a lion shall strike you down)= บทลงโทษที่คล้ายคลึงกับที่เกิดกับคนของพระเจ้าจากยูดาห์ ใน 13:23-24

20:39    “เงินหนึ่งตะลันต์” (a talent of silver) = 34 กิโลกรัม มีทหารน้อยคนที่มีค่าตัวหรือมีราคาแพงขนาดนี้

20:40    “โทษของเจ้าต้องเป็นเช่นนั้นแหละ เพราะเจ้าเองได้ตัดสินแล้ว” (shall your judgment be; you yourself have decided it.) = อาหับไม่ยอมผ่อนปรน แต่หารู้ไม่ว่าพระองค์กำลังสั่งประหารตัวเอง (ปท. วิธีการที่นาธันใช้ใน 2ซมอ.12:1-12)

20:42    “ผู้ชึ่งเรากำหนดให้ทำลาย” (whom I had devoted to destruction) –ลนต.27:28;ยชว.6:17

พระเจ้ามอบเบนฮาดัดไว้ในมือของอาหับ (ข.28) พระองค์ต้องรับผิดชอบ

“ชีวิตของเจ้าจะต้องแทนชีวิตของเขาและประชาชนของเจ้าแทนประชาชนของเขา” (our life shall be for his life, and your people for his people) = อาหับทำบาปในฐานะกษัตริย์ โทษจึงไม่ได้ตกอยู่กับอาหับคนเดียว แต่ตกอยู่กับประชาชนในอาณาจักรเหนือ(อิสราเอล) ด้วย

-ต่อมาอาหับตายในสงครามต่อสู้กับพวกซีเรีย (22:29-39) และอิสราเอลต้องอับอายขายหน้าเพราะอารัม (ในช่วงรัชกาล เยฮูและเยโฮอาหาส) –2พกษ.10:32;13:3

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยถูกรุกรานหรือโจมตีด้วยฝ่ายตรงข้ามที่มีกำลังมากกว่าคุณอย่างมากมายหรือไม่? เรื่องอะไร?
  2. คุณรับมือสถานการณ์ในข้อ 1 นั้นอย่างไร?

1)       คุณยอมจำนน?

2)       คุณเจรจาต่อรอง?

3)       คุณไม่ยอมและต่อสู้? ทำไมจึงเลือกปฏิบัติเช่นนั้น?

3.  คุณเคยคิดที่จะยอมหรือยอมให้หรือยอมแพ้ต่อคนที่โจมตีหรือเล่นงานคุณ แต่อีกฝ่ายกลับเล่นไม่เลิกและเหิมเกริมหนักข้อมากขึ้นจนคุณทนไม่ไหวบ้างหรือไม่? แล้วคุณทำอย่างไร? (แบ่งปัน)

4.    คุณเคยมีประสบการณ์กับการที่พระเจ้ายืนยันกับคุณว่า “ศึกใหญ่” ที่คุณเผชิญอยู่นั้น พระเจ้าจะทรงมอบชัยชนะให้แก่คุณบ้างหรือไม่? อย่างไร?

5. คุณเคยคุยโวโอ้อวดด้วยความทระนงหรือมั่นใจในตัวเอง แต่สุดท้ายจบลงที่ความอัปยศหรืออับอายบ้างหรือไม่? เป็นอย่างไร(แบ่งปัน)

6.  คุณเห็นด้วยหรือไม่ว่า การมีทัพใหญ่หรือกำลังมากกว่าไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะมีชัยชนะเสมอไป? และคนที่มีกำลังน้อยกว่าก็ไม่ได้หมายความว่า ต้องพ่ายแพ้เสมอไป? อะไรคือปัจจัยหรือตัวแปรแห่งชัยชนะหรือความพ่ายแพ้นั้น?

7. คุณเห็นด้วยหรือไม่ว่า การเชื่อฟังพระเจ้าเป็นสิ่งที่สำคัญมากยิ่งกว่าความเมตตาหรือความกลัวใด ๆ ทำไม?

8.คุณเคยโกรธกริ้วคนบางคนที่ชี้หรือจี้ความผิดของคุณต่อหน้าคนอื่น (แทนที่ตัวคุณจะสำนึกผิด)บ้างหรือไม่? แล้ว  ผลเป็นอย่างไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 23)

เมื่อผู้รับใช้พระเจ้าท้อแท้!

 

พระธรรม        1พงศ์กษัตริย์ 19:1-21

อ้างอิง              1พกษ.16:31;18:4,22,30;19:11,16,21;2พกษ.2:1;3:11;8:7-14;9:1-6;10:32;12:17;13:3,7,22

บทนำ           ไม่ว่าเราจะเก่งกล้าสามารถมากสักเพียงใดก็อาจจะมีช่วงเวลาของชีวิตที่จิตตกและวิญญาณอ่อน ทำให้หมดเรี่ยวหมดแรงและคิดเพี้ยน ออกนอกลู่นอกทางของพระเจ้าไปได้ ฉะนั้น เราต้องไม่ประมาท และพึ่งพระเจ้าใกล้ชิดติดสนิทกับพระเจ้าไว้ตลอดเวลา

บทเรียน

19:1 “อาหับ​จึง​บอก​เยเซเบล​ทุก​สิ่ง​ที่​เอลียาห์​ได้​ทำ รวม​ทั้ง​เรื่อง​ที่​ท่าน​ฆ่า​ผู้​เผย​พระวจนะ​ทั้งสิ้น​ของ​พระ​บาอัล​ด้วย​ดาบ”

        (Ahab told Jezebel all that Elijah had done, and how he had killed all the prophets with the sword.)

19:2 “แล้ว​เยเซเบล​ก็​ส่ง​ผู้​สื่อสาร​ไป​บอก​เอลียาห์​ว่า “ถ้า​พรุ่งนี้ เวลา​นี้ เรา​ไม่ได้​ทำ​ชีวิต​ของ​เจ้า​ให้​เหมือน​อย่าง​ชีวิต​ของ​คน​เหล่า​นั้น​แล้ว ก็​ให้​พระ​ทั้งหลาย​ทำ​อย่าง​นั้น​กับ​เรา และ​ทำ​ให้​หนัก​กว่า

       (Then Jezebel sent a messenger to Elijah, saying, “So may the gods do to me and more also, if I do not  make your life as the life of one of them by this time tomorrow.” )

19:3 “เมื่อ​ท่าน​ทราบ​ก็​ลุกขึ้น​หนี​เอา​ชีวิต​รอด และ​มา​ถึง​เบเออร์เชบา​เขต​ยูดาห์ แล้ว​ท่าน​ละ​คนใช้​ของ​ท่าน​ไว้​ที่นั่น”

(Then he was afraid, and he arose and ran for his life and came to Beersheba, which belongs to Judah, and left his servant there. )

19:4 “แต่​ตัว​ท่าน​เอง​เดิน​เข้า​ถิ่น​ทุรกันดาร​ไป​เป็น​ระยะ​ทาง​วัน​หนึ่ง ท่าน​มา​นั่ง​อยู่​ใต้​ต้นซาก​ที่​มี​เพียง​ต้น​เดียว และ​ทูลขอ​ให้​ตัวท่าน​ตาย​เสีย​ที​ว่า “พอ​กัน​ที ข้า​แต่​พระยาห์เวห์ บัดนี้​ขอ​เอา​ชีวิต​ข้า​พระองค์​ไป​เสีย เพราะ​ข้า​พระองค์​ก็​ไม่​ดี​ไป​กว่า​บรรพบุรุษ

       (But he himself went a day’s journey into the wilderness and came and sat down under a broom tree.    And he asked that he might die, saying, “It is enough; now, O Lord, take away my life, for I am no  better than my fathers.” )

19:5 “และ​ท่าน​ก็​เอน​กาย​ลง​หลับ​ใต้​ต้นซาก​ต้น​เดียว​นั้น นี่แน่ะ มี​ทูตสวรรค์​องค์​หนึ่ง​มา​แตะต้อง​ท่าน และ​พูด​กับ​ท่าน​ว่า “ลุกขึ้น​รับประทาน​สิ

       (And he lay down and slept under a broom tree. And behold, an angel touched him and said to him,  “Arise and eat.” )

19:6 “และ​ท่าน​มองดู นี่แน่ะ ตรง​ศีรษะ​ของ​ท่าน​มี​ขนม​ปัง​ที่​ปิ้ง​บน​ก้อนหิน​ร้อน และ​มี​ไหน้ำ​ลูก​หนึ่ง ท่าน​ก็​รับประทาน​และ​ดื่ม​แล้ว​นอน​ลง​อีก”

       (And he looked, and behold, there was at his head a cake baked on hot stones and a jar of water. And  he ate and drank and lay down again. )

19:7 “และ​ทูต​ของ​พระยาห์เวห์​ก็​มา​อีก​เป็น​ครั้ง​ที่​สอง ถูกต้อง​ท่าน แล้ว​ว่า “ลุกขึ้น​รับประทาน​สิ มิฉะนั้น​การ​เดิน​ทาง​จะ​เกิน​กำลัง​ของ​ท่าน

(And the angel of the Lord came again a second time and touched him and said, “Arise and eat, for the journey is too great for you” )

19:8 “และ​ท่าน​ก็​ลุกขึ้น​รับประทาน​และ​ดื่ม และ​เดิน​ไป​ด้วย​กำลัง​ของ​อาหาร​นั้น สี่สิบ​วัน​สี่สิบ​คืน​ถึง​โฮเรบ​ภูเขา​ของ​พระเจ้า”

     (And he arose and ate and drank, and went in the strength of that food forty days and forty nights to  Horeb, the mount of God. )

19:9 “ที่นั่น​ท่าน​มา​ถึง​ถ้ำ​แห่ง​หนึ่ง​และ​เข้า​พัก​อยู่ และ​นี่แน่ะ พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์​มา​ถึง​ท่าน และ​พระองค์​ตรัส​กับ​ท่าน​ว่า “เอลียาห์​เอ๋ย เจ้า​ทำ​อะไร​อยู่​ที่นี่?”

    (There he came to a cave and lodged in it. And behold, the word of the Lord came to him, and he said  to him, “What are you doing here, Elijah?” )

19:10 “ท่าน​ทูล​ว่า“ข้า​พระองค์​หวงแหน​แทน​พระยาห์เวห์​พระเจ้า​จอมทัพ​ยิ่ง​นัก เพราะ​ประชาชน​อิสราเอล​ได้​ทอดทิ้ง​พันธสัญญา​ของ​พระองค์ ได้​พัง​แท่น​บูชา​ของ​พระองค์ และ​ประหาร​ผู้​เผย​พระวจนะ​ของ​พระองค์​เสีย​ด้วย​ดาบ และ​ข้า​พระองค์ ข้า​พระองค์​แต่​ผู้เดียว​เหลือ​อยู่ และ​เขา​ทั้งหลาย​มุ่ง​เอา​ชีวิต​ข้า​พระองค์

 (He said, “I have been very jealous for the Lord, the God of hosts. For the people of Israel have   forsaken your covenant, thrown down your altars, and killed your prophets with the sword, and I, even  I only, am left, and they seek my life, to take it away.” )

19:11 “และ​พระองค์​ตรัส​ว่า “จง​ออก​ไป​เถิด ไป​ยืน​อยู่​บน​ภูเขา​เฉพาะ​พระพักตร์​พระยาห์เวห์”และ​นี่แน่ะพระยาห์เวห์​กำลัง​ทรง​ผ่าน​ไป และ​ลม​พายุ​รุนแรง​ได้​พัด​พัง​ภูเขา และ​ทำ​ให้​หิน​แตก​เป็น​เสี่ยงๆ เฉพาะ​พระพักตร์​พระยาห์เวห์แต่​พระยาห์เวห์​ไม่ได้​สถิต​ใน​ลม​นั้น ภายหลัง​ลม​ก็​เกิด​แผ่นดิน​ไหว แต่​พระยาห์เวห์​ไม่ได้​สถิต​ใน​แผ่นดิน​ไหว​นั้น”

   (And he said, “Go out and stand on the mount before the Lord.” And behold, the Lord passed by, and  a great and strong wind tore the mountains and broke in pieces the rocks before the Lord, but the Lord  was not in the wind. And after the wind an earthquake, but the Lord was not in the earthquake.)

19:12 “ภายหลัง​แผ่นดิน​ไหว​ก็​เกิด​ไฟ แต่​พระยาห์เวห์​ไม่ได้​สถิต​ใน​ไฟ​นั้น ภายหลัง​ไฟ​ก็​มี​เสียง​เบาๆ”

   (And after the earthquake a fire, but the Lord was not in the fire. And after the fire the sound of a low  whisper. )

19:13 “และ​เมื่อ​เอลียาห์​ได้​ยิน ท่าน​ก็​เอา​เสื้อคลุม​ปิด​หน้า​ไว้ ออก​ไป​ยืน​อยู่​ที่​ปาก​ถ้ำ และ​นี่แน่ะ มี​เสียง​มา​ถึง​ท่าน​ว่า  “เอลียาห์​เอ๋ย เจ้า​ทำ​อะไร​อยู่​ที่นี่?”

  (And when Elijah heard it, he wrapped his face in his cloak and went out and stood at the entrance of  the cave. And behold, there came a voice to him and said, “What are you doing here, Elijah?” )

19:14 “ท่าน​ทูล​ว่า “ข้า​พระองค์​หวงแหน​แทน​พระยาห์เวห์​พระเจ้า​จอมทัพ​ยิ่ง​นัก เพราะ​ว่า​ประชาชน​อิสราเอล​ได้​ทอดทิ้ง​ พันธสัญญา​ของ​พระองค์ ได้​พัง​แท่น​บูชา​ของ​พระองค์​ลง​เสีย และ​ประหาร​ผู้​เผย​พระวจนะ​ของ​พระองค์​เสีย​ด้วย​ดาบ  และ​ข้า​พระองค์ ข้า​พระองค์​แต่​ผู้​เดียว​เหลือ​อยู่ และ​เขา​ทั้งหลาย​มุ่ง​เอา​ชีวิต​ข้า​พระองค์

 (He said,”I have been very jealous for the Lord, the God of hosts. For the people of Israel have  forsaken your covenant, thrown down your altars, and killed your prophets with the sword, and I,   even I only, am left, and they seek my life, to take it away.” )

19:15 “และ​พระยาห์เวห์​ตรัส​กับ​ท่าน​ว่า “ไป​เถอะ จง​กลับ​ไป​ตาม​ทาง​ของ​เจ้า​ถึง​ถิ่น​ทุรกันดาร​ดามัสกัส และ​เมื่อ​เจ้า​ไป​ถึง​แล้ว จง​เจิม​ฮาซาเอล​ให้​เป็น​กษัตริย์​ปกครอง​ซีเรีย”

     (And the Lord said to him, “Go, return on your way to the wilderness of Damascus. And when  you  arrive, you shall anoint Hazael to be king over Syria.)

19:16 “และ​เยฮู​บุตร​นิมซี​นั้น จง​เจิม​ให้​เป็น​กษัตริย์​ปกครอง​อิสราเอล และ​เอลีชา​บุตร​ชาฟัท​ชาว​อาเบลเมโฮลาห์ จง​เจิม​ให้​ เป็น​ผู้​เผย​พระวจนะ​แทน​เจ้า”

 (And Jehu the son of Nimshi you shall anoint to be king over Israel, and Elisha the son of Shaphat of  Abel-meholah you shall anoint to be prophet in your place. )

19:17 “และ​ผู้​ที่​รอด​จาก​ดาบ​ของ​ฮาซาเอล เยฮู​จะ​ฆ่า​เสีย และ​ผู้​ที่​รอด​จาก​ดาบ​ของ​เยฮู เอลีชา​จะ​ฆ่า​เสีย”

    (And the one who escapes from the sword of Hazael shall Jehu put to death, and the one who  escapes from the sword of Jehu shall Elisha put to death. )

19:18 “แต่​เรา​จะ​เหลือ 7,000 คน​ไว้​ใน​อิสราเอล คือ​ทุก​คน​ที่​ไม่ได้​คุก​เข่า​ลง​ต่อ​พระบาอัล และ​ไม่ได้​จูบ​พระ​นั้น

   (Yet I will leave seven thousand in Israel, all the knees that have not bowed to Baal, and every mouth that has not kissed him.” )

19:19 “เอลียาห์​ก็​ออก​จาก​ที่นั่น​และ​พบ​เอลีชา​บุตร​ชาฟัท ผู้​กำลัง​ไถ​นา​อยู่​ด้วย​วัว​คู่​หนึ่ง มี​วัว​อื่น​อีก​สิบเอ็ด​คู่​ที่​เดิน​อยู่​ข้างหน้า  และ​ท่าน​อยู่​กับ​วัว​คู่​ที่​สิบสอง เอลียาห์​ก็​ผ่าน​ไป​โยน​เสื้อ​คลุม​ลง​บน​ท่าน”

    (So he departed from there and found Elisha the son of Shaphat, who was plowing with twelve yoke of  oxen in front of him, and he was with the twelfth. Elijah passed by him and cast his cloak upon him. )

19:20 “ท่าน​ก็​ละ​วัว​เหล่า​นั้น วิ่ง​ตาม​เอลียาห์​ไป​และ​กล่าว​ว่า “ขอ​ให้​ข้าพเจ้า​ไป​จูบ​ลา​บิดา​มารดา​ของ​ข้าพเจ้า​ก่อน และ​ข้าพเจ้า​จะ​ติดตาม​ท่าน​ไป” เอลียาห์​จึง​กล่าว​กับ​เอลีชา​ว่า “ไป​เถิด แล้ว​กลับ​มา​อีก เพราะ​เรา​ได้​ทำ​อะไร​แก่​ท่าน?​”

    (And he left the oxen and ran after Elijah and said, “Let me kiss my father and my mother, and then I will follow you.” And he said to him, “Go back again, for what have I done to you?” )

19:21 “และ​เอลีชา​ก็​ละ​เอลียาห์​ไว้ ท่าน​กลับ​ไป​และ​จับ​วัว​คู่​นั้น​ฆ่า​เสีย เอา​เครื่อง​แอก​ต้ม​เนื้อ​วัว และ​ให้​แก่​ประชาชน และ​พวกเขา​ก็​รับประทาน แล้ว​เอลีชา​ก็​ลุกขึ้น ตาม​เอลียาห์​ไป​และ​ปรนนิบัติ​ท่าน”

   (And he returned from following him and took the yoke of oxen and sacrificed them and boiled their  flesh with   the yokes of the oxen and gave it to the people, and they ate. Then he arose and went after Elijah and assisted him. )

 ข้อมูลมีประโยชน์

19:1     “เยเซเบล” (Jezebel) = มเหสีของอาหับชื่อของเธอแปลว่า “สะอาดบริสุทธิ์, ปราศจากมลทิน”  และ นมัสการพระบาอัลเมลคาร์ท ซึ่งเป็นพระของฟินีเซีย (16:25,31-32;18:13)

19:2     “ก็ให้พระทั้งหลายทำอย่างนั้นกับเรา และให้หนักกว่า” (So may the gods do to me and more also) = เป็นสำนวนของคำสาปแช่งให้รับผลอย่างสาหัส ถ้าผิดสัญญา (1ซมอ.3:17)

19:3     “ลุกขึ้นหนีเอาชีวิตรอด” (arose and ran for his life) = แม้เอลียาห์จะมีชัยชนะยิ่งใหญ่ในการท้าพิสูจน์ที่ภูเขาคารเมล และสำแดงอย่างชัดเจนว่า พระเจ้าของเขาเป็นพระเจ้าเหนือฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ทรงเป็นแหล่งพระพรของอิสราเอล แต่พระนางเยเซเบลไม่เกรงขาม อาหับก็ไม่สามารถขัดขวางอะไร พระนางขู่เล่นงานเอลียาห์ ทำให้ชีวิตของเขาอยู่ในอันตราย

          “เบเออร์เชบา” (Beersheba) = เมืองทางใต้สุดของยูดาห์ (ปฐก.21:31;อมส.5:5;วนฉ.20:1)

19:4     “ต้นซาก” (broom tree) = เป็นไม้ในพุ่มทะเลทราย บางครั้งมีขนาดใหญ่พอที่จะบังแสงแดดได้

“ทูลขอให้ตัวท่านตายเสียที” (asked that he might die) –ปท.กับโยนาห์ (ยนา 4:3,8)

-เอลียาห์สรุปว่างานของเขาไม่เกิดผล ชีวิตจึงไม่มีค่าอีกต่อไป เขาสูญเสียความมั่นใจในชัยชนะ และต้องการถอนตัวออกจากสมรภูมิแห่งความขัดแย้ง

19:7     “ทูตของพระยาห์เวห์”(angel of the Lord) –ปฐก.16:7 –ถูกส่งมาเพื่อเลี้ยงดู และช่วยผู้รับใช้ที่กำลังท้อใจ

“การเดินทางจะเกินกำลังของท่าน” (the journey is too great for yo) = เห็นได้ชัดว่า เอลียาห์ตั้งใจเดินทางไปภูเขาโฮเรบ ซึ่งเป็นที่พระเจ้าสถาปนาพันธสัญญากับประชากรของพระองค์ ทั้ง ๆ ที่พระเจ้าไม่ได้สั่งให้ไป ไม่เหมือนที่พระเจ้าสั่งให้เขาไปที่เครีท (17:2-3) ที่ศาราฟัท (17:8-9); และไปพบอาหับ (18           19:8     “สี่สิบวันสี่สิบคืน” (forty days and forty nights) = เช่นเดียวกับที่พระเจ้าดูแลโมเสสในขณะที่อยู่บนภูเขาซีนาย (อพย.24:18;34:28) และที่พระเยซูถูกทดลองอยู่ในถิ่นทุรกันดาร (มธ.4:2-11)

“โฮเรบภูเขาของพระเจ้า” (Horeb, the mount of God) = อาจเป็นอีกชื่อหนึ่งของภูเขาซีนาย (อพย.3:1;

19:1-3)  ตั้งอยู่ในถิ่นทุรกันดารประมาณ 402 กิโลเมตร ทางใต้ของเบเออร์เชบา

19:9     “เอลียาห์เอ๋ย เจ้าทำอะไรอยู่ที่นั่น?” (What are you doing here, Elijah?) = คำถามที่สื่อว่า เอลียาห์มาที่ภูเขาซีนายด้วย เหตุผลผิดของตัวเอง ไม่ใช่เป็นเพราะพระเจ้าสั่งให้มา

19:10   “ข้าพระองค์หวงแหนพระยาห์เวห์ พระเจ้าจอมทัพยิ่งนัก” (I have been very jealous for the Lord, the God of hosts) = เอลียาห์ไม่ได้ตอบคำถามของพระเจ้าตรง ๆ เขากล่าวโทษชนชาติอิสราเอลที่ละเมิดพันธสัญญาและทำบาป ทิ้งพระเจ้า (อพย.32:11-13) เขาบ่นอย่างขมขื่นเกี่ยวกับการรับใช้ที่ไม่เกิดผลของตัวเอง ,  “ข้าพระองค์แต่ผู้เดียวเหลืออยู่”  (I, even I only       ) –18:22

19:12   “มีเสียงเบาๆ” (sound of a low whisper.) = เสียงกระซิบอันอ่อนโยน ดูเหมือนจะเป็นสัญลักษณ์ แม้เอลียาห์จะกล่าวโทษอิสราอลและเรียกร้องให้พระเจ้าลงโทษพวกเขา ด้วยพายุ แผ่นดินไหวและไฟ แต่พระเจ้ามิได้ประสงค์จะกระทำเช่นนั้น  แต่ประสงค์ให้เอลียากลับไปกระทำพันธกิจตามพระประสงค์ของพระเจ้า รวมทั้งการเตรียมคนสืบทอดงานต่อไป (ข.16)

19:13   “เอลียาห์เอ๋ย เจ้าทำอะไรอยู่ที่นี่?” (What are you doing here, Elijah?) –พระเจ้าให้โอกาสแก่เอลียาห์อีกครั้งในการตอบคำถามเดิม (ข.9-10)

19:14   “ข้าพระองค์หวงแหนแทนพระยาห์เวห์” (I have been very jealous for the Lord,…) = เอลียาห ตอบคำถามแบบเดิม แสดงว่าเขาไม่เข้าใจความสำคัญของสิ่งที่พระเจ้าเพิ่งเปิดเผยให้เห็นเลย

19:15   “พระยาห์เวห์ตรัสกับท่านว่า” (the Lord said to him) = พระเจ้าบัญชาให้เอลียาห์ให้เป็นตัวแทนของพระเจ้าในการสำแดงฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เหนือชนทุกชาติและแม้พระเจ้าจะพิพากษาอิสราเอลผ่านทางฮาซาเอล เยฮู และเอลีชาแต่พระองค์ก็ยังคงรักษาคนจำนวนหนึ่งที่ยังสัตย์ซื่อไว้ในหมู่ประชาชน

          “ไปตามทางของเจ้าถึงถิ่นทุรกันดารดามัสกัส”(return on your way to the wilderness of Damascus)

= เอลียาห์คงกลับไปโดยใช้เส้นทางด้านตะวันออกของทะเลตาย และแม่น้ำจอร์แดน –ปรากฏว่า การเจิม 3 ครั้ง เกิดขึ้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน และเอลีชาเป็นผู้ยืนยันการเจิมกษัตริย์ 2 องค์แทนท่าน

“จงเจิม” (shall anoint) =  เจิมตั้ง หมายความว่า = เลือกผู้ที่พระเจ้าแต่งตั้ง  โดยผู้ที่เจิมตั้งนี้คือ เอลีชาผู้สืบทอดต่อจากเอลียาห์ (2พกษ.8:7-15)

“ฮาซาเอล” (Hazael) = ผู้เป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงของอิสราเอลในรัชกาลโยรัม เยฮู และเยโฮอาหาส (2พกษ.8:28-29;10:32-33;12:17-18;13:3,22)

19:16   “เยฮู บุตรนิมซี” (Jehu the son of Nimshi) =เยฮูเป็นแม่ทัพรับใช้อาหับ และโยรัมผู้เป็นบุตรชายของ     อาหัส (2พกษ.9:5-6) เขาได้รับการเจิมตั้งเป็นกษัตริย์อิสราเอล โดย “ผู้เผยพระวจนะคนหนึ่ง” ตามคำสั่งของเอลีชา (2พกษ.9:1-16) พร้อมกับคำสั่งให้ทำลายวงศ์วานของอาหับ

          “เอลีชาบุตรชาฟัท” (Elisha the son of Shaphat )  = ชื่อของเอลีชาหมายความว่า “พระเจ้าคือความรอด” หรือ “พระเจ้าทรงช่วย” = เป็นหัวใจของพันธกิจของเขา ชื่อของเขาสะท้อนชื่อของโยชูวาที่หมายความว่า “พระยาห์เวห์ทรงช่วย”

-เอลียาห์มีคนมาช่วยทำให้สำเร็จเหมือนโมเสสมีโยชูวา

-เอลีชานำพระพรแห่งพันธสัญญาของพระเจ้ามาสู่คนที่ซื่อสัตย์ในอิสราเอล เช่นเดียวกับที่โยชูวานำอิสราเอลเข้าสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา(2พกษ.2:19-8:15;9:1-3;13:14-20)

ในพันธสัญญาใหม่ ยอห์นผู้ให้บัพติศมา (มธ.11:14;17:12-13) ก็มาก่อนพระเยซู (ซึ่งชื่อมีความหมายเช่นเดียวกับโยชูวา –มธ.1:21) เพื่อกระทำให้พระราชกิจแห่งการช่วยกู้สำเร็จ

“ชาฟัท” (Shaphat )  = “พระองค์ทรงพิพากษา”

19:17   “ผู้ที่รอดจากดาบของฮาซาเอล เยฮูจะฆ่าเสีย” (who escapes from the sword of Hazael shall Jehu put to death) –2พกษ.9:24

“ผู้ที่รอดจากดาบของเยฮู เอลีชาจะฆ่าเสีย” (who escapes from the sword of Jehu shall Elisha put to death.) –2พกษ.2:24;8:1;ฮชย.6:5

19:18   “เหลือ 7000 คนไว้ในอิสราเอล” (leave seven thousand in Israel) = เป็นตัวเลขถ้วน ๆ เป็นสัญลักษณ์สื่อถึงความสมบูรณ์หรือความครบถ้วนของคนชอบธรรมที่เหลืออยู่ซึ่งพระเจ้าทรงรักษาไว้ (รม.11:2-4) แต่เอลียาห์กลับเข้าใจผิดคิดว่าเหลือแต่เขาเพียงผู้เดียวที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อพระเจ้ (19:10,14;18:22)

“ไม่ได้จุบพระนั้น” (not kissed him) = ไม่ได้จุบพระบาอัล (ฮชย.13:2)

19:19   “โยนเสื้อคลุมลงบนท่าน” (cast his cloak upon him.)  = เหวี่ยงเสื้อคลุมห่มให้เอลีชา

= เป็นการกำหนดว่า เอลีชาจะเป็นผู้สืบทอดหน้าที่ต่อจากเอลียาห์ (ข.16)

19:21   “จับวัวคู่นั้นฆ่าเสีย เอาเครื่องแอกต้มเนื้อวัว” (took the yoke of oxen and sacrificed them and  boiled their flesh with the yokes of the oxen) = เป็นการประกาศตัวขาดจากอาชีพเดิมของเอลีชาอย่างสมบูรณ์ –ดูจากหลักฐานบ่งชี้ว่าเขามาจากครอบครัวที่มีฐานะดี

“ปรนนิบัติท่าน”(assisted him.)= รับใช้เป็นผู้ช่วย คำ ๆ นี้ในภาษาฮีบรูมีสถานภาพเดียวกับความสัมพันธ์ของโยชูวาและโมเสส (อพย.24:13;33:11)

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยมีประสบการณ์กับความ “น่ากลัว” ของ “ผู้หญิง” บางคนบ้างหรือไม่? เรื่องราวเป็นอย่างไร?
  2. คุณเคยตกใจกลัวจนต้องรีบหนีเอาตัวรอด เพราะคำขู่ของใครบางคน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก “ผู้หญิง”) บ้างหรือไม่?  อย่างไร?
  3. คุณเคยท้อแท้แบบสุด ๆ หรือไม่?  เมื่อใด?  เพราะอะไร?
  4. คุณเคยมีประสบการณ์กับการหนุนกำลังทางกายและทางใจในยามหมดเรี่ยวแรงบ้างหรือไม่?  จากใคร? และอย่างไร? ใช้เวลานานหรือไม่กว่าจะกลับคืนสู่สภาพปกติ (ขอแบ่งปัน)
  5. คุณเคยอยู่ผิดที่ผิดทางบ้างหรือไม่ในชีวิตของคุณ?  อย่างไร? และทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
  6. พระเจ้าทรงช่วยคุณอย่างไรบ้างในสภาวะหมดเรี่ยวหมดแรงและการอยู่ผิดที่ผิดทางของคุณ?
  7. คุณเคยคิดว่ามีแต่คุณคนเดียวเท่านั้นที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อความถูกต้องเพื่อองค์กรหรือเพื่อพระเจ้า แต่สุดท้าย

ปรากฎความจริงว่า มีคนมากมายที่ยืนหยัดเช่นเดียวกับคุณบ้างหรือไม่?  (แบ่งปัน)

  1. คุณเคยเลือก เตรียมหรือฝึกฝนผู้ใดให้ทำหน้าที่แทนตัวของคุณต่อไปบ้างหรือไม่?  ด้วยวิธีใดและได้ผลหรือไม่?  อย่างไร?

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 22)

เอลียาห์ อีกา และหญิงม่าย

 

พระธรรม        1พงศ์กษัตริย์ 17:1-24

อ้างอิง             1พกษ.8:36;17:1,18,22:16;2พกษ.4:2;33-34;มลค.4:5;มธ.11:14;17:3;ลก.4:26;กจ.20:10

บทนำ           ในวาระของพระเจ้า พระองค์จะส่งผู้รับใช้ของพระองค์ออกมาปรากฏ และกระทำกิจตามที่ทรงประสงค์โดยที่คนของพระเจ้าไม่จำเป็นต้องกระวน กระวายในการดำรงชีวิต เพราะพระเจ้าจะทรงเลี้ยงดูด้วยหลากหลายช่องทาง และไม่ต้องกลัวในการรับใช้ เพราะเมื่อพระองค์ทรงใช้ พระองค์จะทรงนำและสนับสนุนอยู่เสมอ แม้เราจะไม่ทราบและไม่เห็นการจัดเตรียมของพระองค์ก็ตาม!

บทเรียน

17:1 “เอลียาห์​ชาว​ทิชบี​อาศัย​อยู่​ใน​กิเลอาด ได้​ทูล​อาหับ​ว่า “พระยาห์เวห์​พระเจ้า​แห่ง​อิสราเอลผู้​ซึ่ง​ข้า​พระบาท​ปรนนิบัติทรง​ พระชนม์​อยู่​แน่​ฉันใด จะ​ไม่มี​น้ำค้าง​หรือ​ฝน​ใน​ปี​เหล่านี้​ฉันนั้น นอกจาก​ตาม​คำ​ของ​ข้า​พระบาท

        (Now Elijah the Tishbite, of Tishbe in Gilead, said to Ahab, “As the Lord, the God of Israel, lives, before whom I stand, there shall be neither dew nor rain these years, except by my word.” )

17:2 “แล้ว​พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์​มา​ยัง​ท่าน​ว่า
(And the word of the Lord came to him: )

17:3 “จง​ออก​จาก​ที่นี่​ไป​ทาง​ตะวันออก และ​ซ่อน​ตัว​ข้าง​ลำธาร​เครีท ซึ่ง​อยู่​ทาง​ตะวันออก​ของ​แม่น้ำ​จอร์แดน

       (“Depart from here and turn eastward and hide yourself by the brook Cherith, which is east of the Jordan.)

17:4 “เจ้า​จะ​ดื่ม​น้ำ​จาก​ลำธาร และ​เรา​ได้​สั่ง​ฝูง​กา​ให้​เลี้ยง​เจ้า​ที่นั่น

        (You shall drink from the brook, and I have commanded the ravens to feed you there.” )

17:5 “ท่าน​จึง​ไป​และ​ทำ​ตาม​พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์ ท่าน​ไป​อาศัย​อยู่​ข้าง​ลำธาร​เครีท ซึ่ง​อยู่​ทาง​ตะวันออก​ของ​แม่น้ำ​จอร์แดน

       (So he went and did according to the word of the Lord. He went and lived by the brook Cherith that is east of the Jordan. )

17:6 “ฝูง​กา​ก็​นำ​ขนมปัง​และ​เนื้อ​มา​ให้​ท่าน​ใน​เวลา​เช้า และ​นำ​ขนมปัง​และ​เนื้อ​มา​ใน​เวลา​เย็น และ​ท่าน​ก็​ดื่มน้ำ​จากลำธาร

        (And the ravens brought him bread and meat in the morning, and bread and meat in the evening, and he drank from the brook. )

17:7 “และ​ต่อมา​อีก​หลาย​วัน ลำธาร​ก็​แห้ง เพราะ​ไม่มี​ฝน​ใน​แผ่นดิน

        (And after a while the brook dried up, because there was no rain in the land. )

17:8 “แล้ว​พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์​มา​ยัง​เอลียาห์​ว่า

        (Then the word of the Lord came to him, )

17:9 “จง​ลุก​ขึ้น​ไป​ยัง​เมือง​ศาเรฟัท ซึ่ง​ขึ้น​กับ​เมือง​ไซดอน และ​อาศัย​อยู่​ที่นั่น นี่แน่ะ เรา​ได้​สั่ง​หญิงม่าย​คน​หนึ่งที่นั่น​ให้​เลี้ยง​เจ้า

         (“Arise, go to Zarephath, which belongs to Sidon, and dwell there. Behold, I have commanded a widow  there to feed you.” )

17:10 “ท่าน​จึง​ลุกขึ้น​ไป​ยัง​เมือง​ศาเรฟัท และ​เมื่อ​มา​ถึง​ประตู​เมือง นี่แน่ะ หญิงม่าย​คน​หนึ่ง​ที่นั่น​กำลัง​เก็บ​ฟืน ท่าน​จึง​เรียก​นาง​ว่า “ขอ​เอา​น้ำ​ใส่​ภาชนะ​มา​ให้​ฉัน​สัก​หน่อย เพื่อ​ฉัน​จะ​ได้​ดื่ม”

      (So he arose and went to Zarephath. And when he came to the gate of the city, behold, a widow was there  gathering sticks. And he called to her and said, “Bring me a little water in a vessel, that I may drink.” )

17:11 “ขณะ​เมื่อ​นาง​จะ​ไป​เอา​น้ำ​มา ท่าน​ก็​เรียก​นาง​แล้ว​บอก​ว่า “ขอ​นำ​ขนมปัง​ใส่​มือ​มา​ให้​ฉัน​สัก​หน่อย​หนึ่ง

        (And as she was going to bring it, he called to her and said, “Bring me a morsel of bread in your hand.” )

17:12 “และ​นาง​ตอบ​ว่า “พระยาห์เวห์​พระเจ้า​ของ​ท่าน​ทรง​พระชนม์​อยู่​แน่​ฉันใด ดิฉัน​ไม่มี​ขนมปัง​เลย มี​แต่​แป้ง​สัก​กำมือ​หนึ่ง​ใน​หม้อ และ​น้ำมัน​เล็กน้อย​ใน​ไห ดูสิ ดิฉัน​กำลัง​เก็บ​ฟืน​สอง​สาม​อัน เพื่อ​จะ​เข้า​ไป​ทำ​ขนม​สำหรับ​ตัว​เอง​และ​ลูกชาย เพื่อ​เรา​จะ​ได้​กิน​แล้ว​ก็​ตาย

       (And she said, “As the Lord your God lives, I have nothing baked, only a handful of flour in a jar and a little oil in a jug. And now I am gathering a couple of sticks that I may go in and prepare it for myself and my son, that we may eat it and die.”)

17:13 “แต่​เอลียาห์​บอก​นาง​ว่า “อย่า​กลัว​เลย จง​ไป​ทำ​ตาม​ที่​เธอ​พูด แต่​จง​ทำ​ขนม​ก้อน​เล็ก​ให้​ฉัน​ก่อน แล้ว​เอา​มา​ให้​ฉัน ภายหลัง​จึง​ทำ​สำหรับ​ตัว​เธอ​และ​ลูก​ของ​เธอ

      (And Elijah said to her, “Do not fear; go and do as you have said. But first make me a little cake of it and bring it to me, and afterward make something for yourself and your son. )

17:14 “เพราะ​พระยาห์เวห์​พระเจ้า​ของ​อิสราเอล​ตรัส​ดังนี้​ว่า ‘แป้ง​ใน​หม้อ​นั้น​จะ​ไม่​ขาด และ​น้ำมัน​ใน​ไห​นั้น​จะ​ไม่​หมดจน​กว่า​จะ​ถึง​วัน​ที่​พระยาห์เวห์​ทรง​ส่ง​ฝน​ลง​มา​ยัง​พื้นดิน’”

(For thus says the Lord, the God of Israel, “The jar of flour shall not be spent, and the jug of oil shall not be empty, until the day that the Lord sends rain upon the earth.” )

17:15 “นาง​ก็​ไป​ทำ​ตาม​คำ​ของ​เอลียาห์ แล้ว​นาง​และ​ครอบครัว​กับ​เอลียาห์​ก็​รับประทาน​อยู่​หลาย​วัน

      (And she went and did as Elijah said. And she and he and her household ate for many days. )

17:16 “แป้ง​ใน​หม้อ​ก็​ไม่​ขาด และ​น้ำมัน​ใน​ไห​ก็​ไม่​หมด ตาม​พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์​ซึ่ง​ตรัส​ทาง​เอลียาห์

  (The jar of flour was not spent, neither did the jug of oil become empty, according to the word of the  Lord that he spoke by Elijah. )

17:17 “และ​ต่อ​มา​หลังจาก​นี้ บุตรชาย​ของ​หญิง​นั้น​ผู้​เป็น​เจ้าของ​บ้าน​ก็​ล้ม​ป่วย และ​มี​อาการ​สาหัส​มากจน​ไม่มี​ลมหาย​ใจ​เหลือ​อยู่​แล้ว

  (After this the son of the woman, the mistress of the house, became ill. And his illness was so severe  that there was no breath left in him. )

17:18 “นาง​จึง​กล่าว​แก่​เอลียาห์​ว่า “โอ คน​ของ​พระเจ้า ดิฉัน​ทำ​อะไร​ให้​ท่าน? ท่าน​จึง​มา​หา​ดิฉัน เพื่อ​ฟื้น​ความ​ผิด​ของ​ดิฉัน  และ​ทำ​ให้​ลูก​ของ​ดิฉัน​ตาย

     (And she said to Elijah, “What have you against me, O man of God? You have come to me to bring my  sin to remembrance and to cause the death of my son!” )

17:19 “แต่​ท่าน​พูด​กับ​นาง​ว่า “เอา​ลูก​ของ​เธอ​มา​ให้​ฉัน​เถิด” ท่าน​ก็​นำ​เขา​ไป​จาก​อ้อม​อก​ของ​นาง อุ้ม​ขึ้น​ไป​ที่​ห้อง​ชั้น​บน​ที่​ท่าน​พัก​อยู่ และ​วาง​เขา​บน​ที่นอน​ของ​ท่าน​เอง

    (And he said to her, “Give me your son.” And he took him from her arms and carried him up into the upper chamber where he lodged, and laid him on his own bed. )

17:20 “และ​ท่าน​ร้องทูล​พระยาห์เวห์​ว่า “ข้าแต่​พระยาห์เวห์​พระเจ้า​ของ​ข้า​พระองค์ พระองค์​ทรง​นำ​เหตุ​ร้าย​มา​เหนือหญิงม่าย​ที่​ ข้า​พระองค์​อาศัย​อยู่ ​ด้วย​ทีเดียว​หรือ? โดย​ทรง​ประหาร​บุตร​ของ​นาง​เสีย

 (And he cried to the Lord, “O Lord my God, have you brought calamity even upon the widow with whom I  sojourn, by killing her son?” )

17:21 “แล้ว​ท่าน​ก็​เหยียด​ตัว​ลง​ทับ​เด็ก​นั้น​สาม​ครั้ง และ​ร้องทูล​พระยาห์เวห์​ว่า “ข้าแต่​พระยาห์เวห์​พระเจ้า​ของ​ข้า​พระองค์ขอ​ชีวิต​ของ​เด็ก​คน​นี้​มา​เข้า​ใน​ตัว​เขา​อีก

 (Then he stretched himself upon the child three times and cried to the Lord, “O Lord my God, let this  child’s life come into him again.” )

17:22 “และ​พระยาห์เวห์​ทรง​ฟัง​เสียง​ของ​เอลียาห์ และ​ชีวิต​ของ​เด็ก​นั้น​มา​เข้า​ใน​ตัว​เขา​อีก และ​เขา​ก็​มี​ชีวิต​อีก

        (And the Lord listened to the voice of Elijah. And the life of the child came into him again, and he revived.)

17:23 “และ​เอลียาห์​ก็​อุ้ม​เด็ก​นั้น นำ​ลง​มา​จาก​ห้อง​ชั้น​บน​เข้า​ไป​ใน​บ้าน และ​มอบ​เขา​ให้​มารดา​ของ​เด็ก​และ​เอลียาห์​บอก​ว่า “ดูซิ  ลูก​ของ​เธอ​มี​ชีวิต​อยู่”

  (And Elijah took the child and brought him down from the upper chamber into the house and delivered  him to his mother. And Elijah said, “See, your son lives.” )

17:24 “และ​หญิง​นั้น​พูด​กับ​เอลียาห์​ว่า “ตอน​นี้​ดิฉัน​ทราบ​แล้ว​ว่า​ท่าน​เป็น​คน​ของ​พระเจ้า และ​พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์​จาก​ปาก​ของ​ท่าน​เป็น​ความจริง

  (And the woman said to Elijah, “Now I know that you are a man of God, and that the word of the Lord in your mouth is truth.” )

ข้อมูลมีประโยชน์

17:1     “เอลียาห์” (Elijah) –ใน 1พกษ.17:1-2   กล่าวถึงพันธกิจของเอลียาห์และเอลีชา รวมทั้งผู้เผยพระวจนะคนอื่น ๆ ตั้งแต่ช่วงสมัยของอาหับ/อาสา ไปจนถึง โยรัม/เยโฮชาฟัท

ชื่อ “เอลียาห์” หมายความว่า “พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าของฉัน” ซึ่งชื่อนี้มีความสำคัญยิ่งนักต่อความคิด ความเชื่อของท่าน (18:21,39) ท่านถูกส่งไปต่อต้านการนมัสการพระบาอัลและผู้สนับสนุน

“ชาวทิชบีอาศัยอยู่ในกิเลอาด” (Tishbe in Gilead) –กิเลอาดอยู่ทางเหนือของดินแดนอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน

“ผู้ซึ่งข้าพระบาทปรนนิบัติ” (before whom I stand) = แปลตรงตัวได้ว่า “ผู้ที่ข้าพเจ้ายืนต่อหน้า” เป็นสำนวนที่สื่อถึงผู้ที่ยืนคอยปรนนิบัติรับใช้กษัตริย์   กษัตริย์และปุโรหิตได้รับการเจิมแต่งตั้งในฐานะตัวแทนของพระเจ้าจอมกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ และเป็นผู้นำอิสราเอลไปในวิถีแห่งความชอบธรรม และในการกระทำตามพันธสัญญาของพระเจ้า เนื่องจากในสมัยของเยโรโบอัม อาณาจักรเหนือไม่มีปุโรหิตทำหน้าที่เช่นนี้ (12:31) และบรรดากษัตริย์ก็ไม่ซื่อสัตย์

“จะไม่มีน้ำค้างหรือฝน” (there shall be neither dew nor rain) = ความแห้งแล้วที่จะเกิดขึ้นเป็นทั้งการลงโทษของพระเจ้าต่อประชาชนที่หันไปนมัสการรูปเคารพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบาอัล ซึ่งถือว่า เจ้าแห่งความอุดมสมบูรณ์ (ลนต.26:3-4; ฮชย.2:5,8)

17:3     “จงออกจากที่นี่ไป” (Depart from here) = คำสั่งของพระเจ้าเพื่อนำผู้เผยพระวจนะให้ละจากแผ่นดินและ ประชาชนเป็นการย้ำระดับโทษที่รุนแรงขึ้น

17:4     “เราได้สั่งฝูงกาให้เลี้ยงเจ้าที่นั่น” (I have commanded the ravens to feed you there)

–เอลียาห์ผู้รับใช้ผู้ซื่อสัตย์ ได้รับการเลี้ยงดูอย่างอัศจรรย์ (เหมือนอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร) ในขณะที่ประชาชนอิสราเอลจะหิวโหย

17:6     “นำขนมปังและเนื้อมาให้ท่าน” (the ravens brought him bread and meat) = เนื่องด้วยกาเป็นสัตว์ที่คนรับประทานไม่ได้ (ลนต.11:15;ฉธบ.14:14) –เนื้อที่กากินเป็นอาหารก็ต้องห้ามเช่นกัน (ลนต.7:4;  ฉธบ.14:21;อสค.4:14)

“ในเวลาเช้า…ในเวลาเย็น” (in the morning… in the evening) –การได้รับประทานเนื้อนับเป็นเรื่องพิเศษ เพราะว่าเนื้อมักจะเก็บไว้กินในโอกาสพิเศษ มีแต่กษัตริย์ที่มีเนื้อกินทุกวัน (1พกษ.4:23)

แต่ในตอนนี้เอลียาห์ได้เนื้อไว้กินทุกวันวันละ 2 ครั้ง ดุจภาพของผู้รับใช้ร่วมโต๊ะเสวยของจอมกษัตริย์แห่งสวรรค์ (อพย.29:38-40;กดว.28:4-8;2พกษ.4:42; ปท.1พกษ.18:19)

17:9     “เมืองเศเรฟัท” (Zarephath) = เมืองชายฝั่งอยู่ระหว่างไทระและโซดอน ในเขตปกครองของเอ็ทบาอัล บิดา ของเยเชเบล (16:31)  -เอลียาห์ ถูกบัญชาให้ไปพักอาศัยในใจกลางดินแดนที่นมัสการพระบาอัล

“เราได้สั่งหญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นให้เลี้ยงเจ้า” (I have commanded a widow there to feed you)

= พระเจ้าเลี้ยงดูผู้รับใช้ผู้นำสารของพระองค์ผ่านมือมนุษย์ แต่เป็นมนุษย์ที่ยากจนใกล้ตายอย่างหญิงม่าย

(ข.2) และเป็นคนต่างชาติที่ไม่ได้อยู่ในหมู่ชนชาติของพระเจ้าด้วย (ลก.4:25-26)

17:10   “ท่านจึงลุกขึ้นไป…” (he arose…) = แบบอย่างของการเชื่อฟังและวางใจพระเจ้าที่แสดงออกมาให้เห็นของเอลียาห์ในตอนนี้

17:12   “พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด” (“As the Lord your God lives)

= คำทักทายของหญิงผู้นี้แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจของเธอต่อความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและความสัมพันธ์ที่มีต่อชาวอิสราเอล (5:7;10:9)

17:13   “แต่จงทำขนมก้อนเล็กให้ฉันก่อน” (But first make me a little cake of it )= หญิงนี้ถูกเรียกร้องให้มอบทั้งหมดที่เธอมีให้กับพระเจ้าและคนของพระองค์ก่อน อันเป็นหัวใจสำคัญในข้อกำหนดของพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับประชากรของพระองค์

17:14   “พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสว่า” (says the Lord, the God of Israel,)  = เอลียาห์ ปลอบหญิงม่ายไม่ให้กลัว (ข.13) เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้เรียกร้องโดยปราศจากพันธสัญญาและพระเจ้าไม่เรียกร้องเรามากกว่าที่พระองค์จะประทานให้

17:15   “นางก็ไปทำตามคำของเอลียาห์” (she went and did as Elijah said.)

= ไปทำตามที่เอลียาห์สั่ง โดยความเชื่อ  -น่าสนใจที่คนอิสราเอลไม่ซื่อสัตย์ละทิ้งพันธสัญญาหันไปติดตามพระบาอัลและเจ้าแม่อาเชราห์  แต่แม่ม่ายชาวต่างชาติกลับเชื่อฟังพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ

17:16   “แป้งในหม้อก็ไม่ขาด” (The jar of flour was not spent,  ) = พระเจ้าทรงเลี้ยงดูหญิงต่างชาติ และครอบครัวของเธออย่างอัศจรรย์ เพราะเธอเชื่อและเสี่ยงชีวิตทำตามในขณะที่ชนชาติของพระองค์ที่ไม่ซื่อสัตย์กลับถูกยับยั้งอาหารจากพระองค์ในดินแดนพันธสัญญา คำเตือนใน ฉธบ.32:21 กำลังเป็นจริง (รม.10:19;11:11,14)

17:18   “เพื่อฟื้นความผิดของดิฉัน และทำให้ลูกดิฉันตาย” (come to me to bring my sin to remembrance and to cause the death of my son!) = หญิงม่ายผู้นี้สรุปเอาเองว่า การที่เอลียาห์มาปรากฏตัวที่บ้าน ทำให้พระเจ้าสนใจบาปของเธอและประหารลูกของเธอเป็นการลงโทษ

17:21   “ท่านก็เหยียดตัวลงทับเด็กนั้นสามครั้ง” (he stretched himself upon the child three times) = แม้จะตีความได้ว่า เอลียาห์กำลังใช้วิธีสัมผัสกายในความอบอุ่นกระตุ้นเด็กชายให้ฟื้น แต่เป็นที่ชัดเจนว่า แท้ที่จริงท่านหวังให้เด็กกลับมีชีวิต ไม่ใช่จากการสัมผัสทางกาย แต่เป็นการตอบคำอธิษฐานของพระเจ้า

“ข้าแต่พระยาห์เวห์…ขอชีวิตของเด็กคนนี้มาเข้าในตัวเขาอีก” (“O Lord my God, let this child’s life come into him again.”) เอลียาห์อธิษฐานด้วยความเชื่ออย่างเดียวกันอับราฮัม (รม.4:17;ฮบ.11:19) ท่านอธิษฐานขอชีวิตเด็กชายกลับมา เพื่อสำแดงความสัตย์จริงและความเชื่อถือได้ของพระวจนะของพระเจ้า

17:22   “เขาก็มีชีวิต” (he revived) = การฟื้นคืนชีวิตรายแรกที่บันทึกในพระคัมภีร์เป็นการช่วยกู้ให้พ้นจากอำนาจของความตายที่เกิดขึ้นกับคนที่ไม่ใช่คนอิสราเอล เป็นพรที่เกิดกับหญิงม่ายและบุตรชาย ผู้เป็นความหวังเดียวของเธอในสังคมยุคโบราณ  (2พกษ.4:14;นรธ.1:11-12;4:15-17;ลก.7:12)

17:24   “ท่านเป็นคนของพระเจ้า” (you are a man of God) –1ซมอ.2:27  , ก่อนหน้านี้ หญิงม่ายเคยกล่าวแล้วว่า เอลียาห์เป็นคนของพระเจ้า (ข.18) แต่ตอนนี้เธอได้เรียนรู้และมีประสบการณ์ด้วยตัวเอง (12:22)

“พระวจนะของพระยาห์เวห์จากปากของท่านเป็นความจริง” (that the word of the Lord in your mouth is truth.) –พระเจ้าใช้ประสบการณ์นี้เพื่อทำให้หญิงม่ายชาวฟินิเซียนี้เชื่อมั่นว่า พระวจนะของ     พระเจ้านั้นเชื่อถือได้อย่างบริบูรณ์  น่าเศร้าที่คำประกาศความเชื่อของเธอเช่นนี้กลับไม่ได้เกิดขึ้นจากปากของคนในชนชาติที่พระเจ้าทรงเรียกเอง

คำถามนำอภิปราย

  1. พระเจ้าเคยใช้คุณให้พูดถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือเตือนให้รู้ถึงผลเสียของการกระทำของผู้มีอำนาจบ้างหรือไม่?  เรื่องราวเป็นอย่างไร?
  2. พระเจ้าเคยบัญชาให้คุณหลบหรือหนีบ้างหรือไม่?  ในเรื่องอะไร? (แบ่งปัน)
  3. คุณเคยมีประสบการณ์กับการที่พระเจ้าทรงเลี้ยงดูคุณในสภาพแวดล้อมหรือในสถานการณ์ที่ไม่น่าเป็นไปได้บ้างหรือไม่? อย่างไร?
  4. คุณเคยถูกขอให้ทำหรือให้ยอมมอบอะไรซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อคุณแก่ “คนอื่น” (โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนของพระเจ้า) ก่อนบ้างหรือไม่?  แล้วคุณตอบสนองอย่างไร? และผลเป็นอย่างไร?
  5. คุณเคยอยู่ในสภาพที่สิ้นหวังสุด ๆ แต่พระเจ้ากลับทดสอบคุณโดยให้คุณยอมสละสิ่งที่คุณมีเหลืออยู่น้อยนิดให้กับพระเจ้าก่อนบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร? แล้วคุณสนองอย่างไร?  มีอะไรเกิดขึ้นตามมา?
  6. คุณมีประสบการณ์กับการทรงเลี้ยงดูของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจ หรือ เกินจินตนาการของคุณบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร? อย่างไร?
  7. คุณเคยทุกข์โศกเศร้าหรือเกือบสิ้นหวัง เพราะคนบางคนที่คุณรักหรือสำคัญต่อคุณมาจากไปบ้างหรือไม่?
  8. พระเจ้าทรงปลอบประโลมหรือทรงช่วยคุณอย่างไรบ้างในสถานการณ์เช่นนั้น?
  9. คุณเคยเห็นผู้ใดที่ตายแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่บ้างหรือไม่?  เรื่องราวเป็นอย่างไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 20)

สงครามไม่มีวันเลิก

 พระธรรม        1พงศ์กษัตริย์ 16:1-34

อ้างอิง                   1พกษ.6:11;11:2;12:30;13:32;14:7-9,11;15:30-33;16:3,7,11;20:12;25:30;2พกษ.9:9,31,34;13:6; 2พศด.19:2;16:7;20:34

บทนำ           ความบาปชั่วทำให้แผ่นดินนองเลือด อย่าให้ชีวิตของเราหลงละเลิงอยู่ในบาปและชวนผู้อื่นให้ทำบาป เพราะจะเป็นเหตุให้พระพิโรธของพระเจ้าเทลงมาเหนือพวกเรา!

บทเรียน

16:1 “แล้ว​พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์​ได้​มา​ถึง​เยฮู​บุตร​ฮานานี กล่าว​โทษ​บาอาชา​ว่า

        (And the word of the Lord came to Jehu the son of Hanani against Baasha, saying, )

16:2 “ใน​เมื่อ​เรา​ได้​เชิดชู​เจ้า​ขึ้น​มา​จาก​ผงคลี และ​ตั้ง​เจ้า​เป็น​ประมุข​เหนือ​อิสราเอล​ประชากร​ของ​เรา แต่​เจ้า​ได้​ดำเนิน​ตาม​ทาง​ของเยโรโบอัม และ​ได้​ทำ​ให้​อิสราเอล​ประชากร​ของ​เรา​ทำ​บาป ทำ​ให้​เรา​โกรธ​ด้วย​บาป​ของ​เขา​ทั้งหลาย
(“Since I exalted you out of the dust and made you leader over my people Israel, and you have walked in the way of Jeroboam and have made my people Israel to sin, provoking me to anger with their sins, )

16:3 “นี่แน่ะบาอาชา เรา​จะ​กวาดล้าง​เจ้า​และ​ราชวงศ์​ของ​เจ้า​ให้​สิ้น และ​ทำ​ให้​ราชวงศ์​ของ​เจ้า​เหมือน​กับ​ราชวงศ์​ของ​เยโรโบอัมบุตร​ เนบัท
(behold, I will utterly sweep away Baasha and his house, and I will make your house like the house of Jeroboam the son of Nebat. )

16:4 “ผู้ใด​ใน​วงศ์​บาอาชา​ที่​ตาย​ใน​เมือง สุนัข​จะ​กิน และ​ผู้ใด​ที่​ตาย​ใน​ทุ่งนา นก​ใน​อากาศ​จะ​กิน

        (Anyone belonging to Baasha who dies in the city the dogs shall eat, and anyone of his who dies in the field  the birds of the heavens shall eat.” )

16:5 “ส่วน​พระราชกิจ​อื่นๆ ของ​บาอาชา และ​สิ่ง​ที่​พระองค์​ทรง​ทำ และ​พระราชอำนาจ​ของ​พระองค์ ได้​บันทึก​ไว้​ใน​หนังสือ​พงศาวดาร​ กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​ไม่​ใช่​ หรือ?”
(Now the rest of the acts of Baasha and what he did, and his might, are they not written in the Book of the  Chronicles of the Kings of Israel? )

16:6 “และ​บาอาชา​ทรง​ล่วงหลับ​ไป​อยู่​กับ​บรรพบุรุษ​ของ​พระองค์ และ​เขา​ฝัง​พระศพ​ไว้​ที่​เมือง​ทีรซาห์ และ​เอลาห์​พระราชโอรส​ก็​ ขึ้น​ครองราชย์​แทน
(And Baasha slept with his fathers and was buried at Tirzah, and Elah his son reigned in his place.)

16:7 “ยิ่งกว่า​นั้น​อีกพระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์​ได้​มา​โดย​ผู้​เผย​พระวจนะ​เยฮู​บุตร​ ฮานานี กล่าว​โทษ​บาอาชา​และ​เชื้อวงศ์​ของ​พระองค์  ทั้ง​เรื่อง​ความ​ชั่ว​ทุก​อย่าง​ซึ่ง​ทรง​ทำ​ใน​สายพระเนตร​ของ​พระยา ห์เวห์ คือ​ทำ​ให้​พระองค์​กริ้ว​ด้วย​พระราชกิจ​แห่ง​พระหัตถ์​ของ​พระราชา ที่​เป็น​เหมือน​กับ​ราชวงศ์​ของ​เยโรโบอัม และ​เรื่อง​ที่​บาอาชา​ทรง​ทำลาย​ราชวงศ์​นั้น​ด้วย

       (Moreover, the word of the Lord came by the prophet Jehu the son of Hanani against Baasha and his house,  both because of all the evil that he did in the sight of the Lord, provoking him to anger with the work of his  hands, in being like the house of Jeroboam, and also because he destroyed it. )

16:8 “ใน​ปี​ที่​ยี่สิบหก​แห่ง​รัชกาล​อาสา​กษัตริย์​ของ​ยูดาห์ เอลาห์​พระราชโอรส​ของ​บาอาชา​ทรง​เริ่ม​ครอง​อิสราเอล​ใน​เมือง​ทีรซาห์ และ​ทรง​ครอง​อยู่​สอง​ปี

       (In the twenty-sixth year of Asa king of Judah, Elah the son of Baasha began to reign over Israel in Tirzah,  and he reigned two years. )

16:9 “แต่​ศิมรี​ข้าราชการ​ของ​พระองค์ ซึ่ง​เป็น​ผู้​บัญชา​การ​กอง​รถรบ​ครึ่งหนึ่ง​ของ​พระองค์ ได้​คิด​กบฏ​ต่อ​พระองค์เมื่อ​พระองค์​ประทับ​ที่​เมือง​ทีรซาห์ พระองค์​ทรง​ดื่ม​จน​เมา​ใน​บ้าน​ของ​อารซา ผู้​บัญชาการ​ราชสำนัก​ใน​เมือง​ทีรซาห์
(But his servant Zimri, commander of half his chariots, conspired against him. When he was at Tirzah, drinking  himself drunk in the house of Arza, who was over the household in Tirzah, )

16:10 “ศิมรี​ได้​เข้า​มา​ฟัน​พระองค์​ล้มลง​และ​ประหาร​พระองค์​เสีย ใน​ปี​ที่​ยี่สิบเจ็ด​แห่ง​รัชกาล​อาสา​พระราชา​ของ​ยูดาห์ แล้ว​ก็​ขึ้น​เป็น​กษัตริย์​แทน
(Zimri came in and struck him down and killed him, in the twenty-seventh year of Asa king of Judah, and  reigned in his place. )

16:11 “และ​ต่อ​มา​เมื่อ​ศิมรี​ทรง​เป็น​กษัตริย์ พอ​ประทับ​บน​บัลลังก์ ก็​ทรง​ประหาร​ราชวงศ์​ของ​บาอาชา​เสีย​สิ้นพระองค์​ไม่​ทรง​เหลือ​ชาย​สัก​คน​เดียว​ที่​เป็น​ญาติสนิท หรือ​มิตรสหาย​ของ​บาอาชา​ไว้​เลย

         (When he began to reign, as soon as he had seated himself on his throne, he struck down all the house  of Baasha. He did not leave him a single male of his relatives or his friends. )

16:12 “ดังนั้น​ศิมรี​ทรง​ทำลาย​ราชวงศ์​ของ​บาอาชา​จน​สิ้นตาม​พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์​ซึ่ง​ทรง​กล่าว​โทษ​บาอาชา​โดย​เยฮู​ผู้​เผย​พระวจนะ

    (Thus Zimri destroyed all the house of Baasha, according to the word of the Lord, which he spoke against  Baasha by Jehu the prophet, )

16:13 “เพราะ​บาป​ทั้งสิ้น​ของ​บาอาชา​และ​บาป​ของ​เอลาห์ พระราชโอรส​ของ​พระองค์​ซึ่ง​ได้​ทรง​กระทำและ​ทรง​ทำ​ให้​อิสราเอล​ทำ​บาป​ด้วย ทำ​ให้​พระยาห์เวห์​พระเจ้า​แห่ง​อิสราเอล​กริ้ว​ด้วย​เรื่อง​ รูปเคารพ

         (for all the sins of Baasha and the sins of Elah his son, which they sinned and which they made Israel to sin, provoking the Lord God of Israel to anger with their idols. )

16:14 “ส่วน​พระราชกิจ​อื่นๆ ของ​เอลาห์และ​ทุก​สิ่ง​ซึ่ง​ทรง​กระทำ ได้​บันทึก​ไว้​ใน​หนังสือ​พงศาวดาร​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​ไม่​ใช่​หรือ?”

(Now the rest of the acts of Elah and all that he did, are they not written in the Book of the Chronicles of the Kings of Israel? )

16:15 “ใน​ปี​ที่​ยี่สิบเจ็ด​แห่ง​รัชกาล​อาสา​กษัตริย์​แห่ง​ยูดาห์ ศิมรี​ทรง​ครองราชย์​ได้​เจ็ด​วัน​ใน​เมือง​ทีรซาห์ ส่วน​ไพร่พล​ได้​ตั้ง​ค่าย​รบ​กับ​เมือง​กิบเบโธน​ของ​คน​ฟีลิสเตีย

         (In the twenty-seventh year of Asa king of Judah, Zimri reigned seven days in Tirzah. Now the troops were   encamped against Gibbethon, which belonged to the Philistines, )

16:16 “เมื่อ​ไพร่พล​ซึ่ง​ตั้ง​ค่าย​อยู่​นั้น​ทราบ​ข่าว​ว่า “ศิมรี​ได้​กบฏ​และ​ได้​ปลง​พระชนม์​พระราชา​เสีย​แล้ว” คน​อิสราเอล​ทั้ง​สิ้น​จึง​ตั้ง​อม-รี​ผู้​บัญชาการ​กองทัพ​ให้​เป็น​ พระราชา​เหนือ​อิสราเอล​ใน​วัน​นั้น​ที่​ใน​ค่าย

        (and the troops who were encamped heard it said, “Zimri has conspired, and he has killed the king.” Therefore  all Israel made Omri, the commander of the army, king over Israel that day in the camp. )

16:17 “อม-รี​และ​คน​อิสราเอล​ทั้งสิ้น​ได้​ขึ้น​ไป​จาก​เมือง​กิบเบโธน เขา​ทั้งหลาย​เข้า​ล้อม​เมือง​ทีรซาห์

         (So Omri went up from Gibbethon, and all Israel with him, and they besieged Tirzah. )

16:18 “และ​ต่อ​มา​เมื่อ​ศิมรี​ทรง​เห็น​ว่า​เมือง​นั้น​แตก​แล้ว ก็​เสด็จ​เข้า​ไป​ใน​ป้อม​ของ​พระราชวัง และ​ทรง​เผา​พระราชวัง​เสีย​ด้วย​ไฟ และ​สิ้น​พระชนม์

     (And when Zimri saw that the city was taken, he went into the citadel of the king’s house and burned the king’s house over him with fire and died, )

16:19 “เพราะ​บาป​ซึ่ง​พระองค์​ทรง​ทำ​ไว้ คือ​ทรง​ทำ​ชั่ว​ใน​สายพระเนตร​พระยาห์เวห์ ทรง​ดำเนิน​ใน​ทาง​ของ​เยโรโบอัมและ​ด้วย​บาป​ซึ่ง​พระองค์​ทรง​ทำ ทรง​นำ​อิสราเอล​ทำ​บาป​ด้วย

        (because of his sins that he committed, doing evil in the sight of the Lord, walking in the way of Jeroboam, and for his sin which he committed, making Israel to sin. )

16:20 “ส่วน​พระราชกิจ​นอก​นั้น​ของ​ศิมรี รวมทั้ง​การ​กบฏ​ซึ่ง​พระองค์​ทรง​ก่อ ได้​บันทึก​ไว้​ใน​หนังสือ​พงศาวดาร​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​ไม่​ใช่​ หรือ?”
(Now the rest of the acts of Zimri, and the conspiracy that he made, are they not written in the Book of the  Chronicles of the Kings of Israel? )

16:21 “แล้ว​ประชาชน​อิสราเอล​ได้​แบ่ง​ออก​เป็น​สอง​ส่วน ครึ่ง​หนึ่ง​ของ​ประชาชน​ติดตาม​ทิบนี​บุตร​กีนัท และ​ยก​ท่าน​ขึ้น​เป็น​กษัตริย์  และ​อีก​ครึ่ง​หนึ่ง​ติดตาม​อม-รี

   (Then the people of Israel were divided into two parts. Half of the people followed Tibni the son of Ginath,   to make him king, and half followed Omri. )

16:22 “แต่​ประชาชน​ที่​ติดตาม​อม-รี​ได้​รบ​ชนะ​ประชาชน​ที่​ติดตาม​ทิบนี​ บุตร​กีนัท ทิบนี​จึง​สิ้น​ชีวิตและ​อม-รี​ก็​ขึ้น​เป็น​กษัตริย์

 (But the people who followed Omri overcame the people who followed Tibni the son of Ginath. So Tibni died,   and Omri became king. )

16:23 “ใน​ปี​ที่​สามสิบ​เอ็ด​แห่ง​รัชกาล​อาสา​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์ อม-รี​ได้​เริ่ม​ครอง​อิสราเอล และ​ทรง​ครอง​อยู่ 12 ปี พระองค์​ทรง​ครอง​ใน​เมือง​ทีรซาห์ 6 ปี สะมาเรีย​เมือง​หลวง​ใหม่

   (In the thirty-first year of Asa king of Judah, Omri began to reign over Israel, and he reigned for twelve years;   six years he reigned in Tirzah. )

16:24 “พระองค์​ทรง​ซื้อ​ภูเขา​สะมาเรีย​จาก​เชเมอร์​ด้วย​เงิน​สอง​ตะลันต์ และ​ทรง​สร้าง​เมือง​บน​ภูเขา​นั้น และ​ทรง​ขนาน​นาม​เมืองที่​ทรง​สร้าง​นั้น​ว่า สะมาเรีย ตาม​ชื่อ​ของ​เชเมอร์​ผู้​เป็น​เจ้าของ​ภูเขา​นั้น

   (He bought the hill of Samaria from Shemer for two talents of silver, and he fortified the hill and called the  name of the city that he built Samaria, after the name of Shemer, the owner of the hill.)

16:25 “อม-รี​ทรง​ทำ​สิ่ง​ที่​ชั่ว​ใน​สายพระเนตร​พระยาห์เวห์ และ​ทรง​ทำ​ชั่ว​ยิ่งกว่า​บรรดา​กษัตริย์​ผู้​อยู่​ก่อน​พระองค์

    (Omri did what was evil in the sight of the Lord, and did more evil than all who were before him.)

16:26 “เพราะ​พระองค์​ทรง​ดำเนิน​ตาม​ทาง​ทั้งสิ้น​ของ​เยโรโบอัม​บุตร​เนบัท และ​ตาม​บาป​ของ​พระองค์​ซึ่ง​ทำ​ให้​อิสราเอล​ทำ​บาป​ด้วย ทำ​ให้​พระยาห์เวห์​พระเจ้า​แห่ง​อิสราเอล​กริ้ว​ด้วย​รูปเคารพ​ ทั้งหลาย​ของ​พวกเขา

   (For he walked in all the way of Jeroboam the son of Nebat, and in the sins that he made Israel to sin,  provoking the Lord, the God of Israel, to anger by their idols. )

16:27 “ส่วน​พระราชกิจ​อื่นๆ ของ​อม-รี​ซึ่ง​ทรง​ทำ และ​พระราชอำนาจ​ซึ่ง​ทรง​สำแดง ได้​บันทึก​ไว้​ใน​หนังสือ​พงศาวดาร​กษัตริย์​แห่ง​ อิสราเอล​ไม่​ใช่​ หรือ?”

  (Now the rest of the acts of Omri that he did, and the might that he showed, are they not written in the Book of  the Chronicles of the Kings of Israel? )

16:28 “และ​อม-รี​ทรง​ล่วงหลับ​ไป​อยู่​กับ​บรรพบุรุษ​ของ​พระองค์ และ​เขา​ฝัง​พระศพ​ไว้​ใน​กรุง​สะมาเรีย และ​อาหับ​พระราชโอรส​ของ​พระองค์​ก็​ขึ้น​ครองราชย์​แทน

         (And Omri slept with his fathers and was buried in Samaria, and Ahab his son reigned in his place.)

16:29 “ใน​ปี​ที่​สามสิบแปด​แห่ง​รัชกาล​อาสา​พระราชา​ของ​ยูดาห์ อาหับ​พระราชโอรส​ของ​อม-รี​ทรง​เริ่ม​ครอง​อิสราเอลและ​อาหับ​ พระราชโอรส​ของ​อม-รี​ได้​ทรง​ครอง​อิสราเอล​ใน​กรุง​ สะมาเรีย 22 ปี”

    (In the thirty-eighth year of Asa king of Judah, Ahab the son of Omri began to reign over Israel, and Ahab the  son of Omri reigned over Israel in Samaria twenty-two years. )

16:30 “และ​อาหับ​พระราชโอรส​ของ​อม-รี​ได้​ทรง​ทำ​ชั่ว​ใน​สายพระเนตร​พระยาห์เวห์มาก​ยิ่ง​กว่า​บรรดา​พระราชา​ที่​อยู่​ก่อน​พระองค์  อาหับ​อภิเษก​สมรสกับ​นาง​เยเซเบล​และ​นมัสการ​พระ​บาอัล

         (And Ahab the son of Omri did evil in the sight of the Lord, more than all who were before him. )

16:31 “และ​ต่อ​มา ดู​เหมือน​ว่า การ​ที่​พระองค์​ทรง​ดำเนิน​ตาม​บาป​ของ​เยโรโบอัม​บุตร​เนบัท​นั้น​ เป็น​สิ่ง​เล็ก​น้อย พระองค์​จึง​ทรง​รับ​เยเซเบล​พระราชธิดา​ของ​เอ็ทบาอัล​พระราชา​ของ ​ชาว​ไซดอน​มา​เป็น​มเหสี และ​ไป​ปรนนิบัติ​พระบาอัล และ​นมัสการ​พระ​นั้น

   (And as if it had been a light thing for him to walk in the sins of Jeroboam the son of Nebat, he took for his  wife Jezebel the daughter of Ethbaal king of the Sidonians, and went and served Baal and worshiped him.)

 16:32 “พระองค์​ทรง​ตั้ง​แท่น​บูชา​พระบาอัล​ใน​นิเวศ​ของ​พระบาอัล ซึ่ง​พระองค์​ได้​ทรง​สร้าง​ไว้​ใน​กรุง​สะมาเรีย

          (He erected an altar for Baal in the house of Baal, which he built in Samaria. )

16:33 “และ​อาหับ​ทรง​สร้าง​พระ​อาเช-ราห์ อาหับ​ทรง​ทำ​การ​ที่​ทำ​ให้​พระยาห์เวห์​พระเจ้า​แห่ง​อิสราเอล​ทรง​ พระพิโรธมาก​ยิ่งกว่า​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​ทุก​พระองค์​ซึ่ง​อยู่​ก่อนพระองค์

  (And Ahab made an Asherah. Ahab did more to provoke the Lord, the God of Israel, to anger than all the kings of Israel who were before him. )

16:34 “ใน​รัชกาล​ของ​พระองค์ ฮีเอล​ชาว​เบธเอล​ได้​สร้าง​เมือง​เยรีโค ท่าน​ได้​วาง​ราก​ฐาน​เมือง​นั้น​โดย​ต้อง​เสีย​อาบีรัม​บุตร​หัวปี​ของ​ ท่าน และ​ตั้ง​ประตู​เมือง​โดย​ต้อง​เสีย​เสกุบ​บุตร​สุดท้อง​ของ​ท่าน ตาม​พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์ซึ่ง​ตรัส​ทาง​โยชูวา​บุตร​นูน

  (In his days Hiel of Bethel built Jericho. He laid its foundation at the cost of Abiram his firstborn, and set up its gates at the cost of his youngest son Segub, according to the word of the Lord, which he spoke by Joshua  the son of Nun.)

ข้อมูลมีประโยชน์

16:1              “เยฮู”(Jehu)–2พศด.16:7-10- เป็นกษัตริย์ฝ่ายเหนือต่อจากบาอาชา(บิดา)ที่นำคำสาปแช่งมาสู่ราชวงศ์

16:2              “ได้เชิดชูเจ้าขึ้นมาจากผงคลี” (exalted you out of the dust) –14:7

  “ดำเนินตามทางของเยโรโบอัม” (walked in the way of Jeroboam) -14:16

16:3  “บาอาชา เราจะกวาดล้างเจ้าและราชวงศ์ของเจ้าให้สิ้น” (I will utterly sweep away Baasha and his  house)

–เปรียบเทียบกับ -14:10(วงศ์วานของเยโรโบอัม)  21:21 (วงศ์วานของอมรีและอาหับ)

16:4   เหมือนคำพยากรณ์เกี่ยวกับราชวงศ์ของเยโรโบอัม ใน 14:11

16:5      “ส่วนพระราชกิจอื่น ๆ” (the rest of the acts) -14:19

16:7  “ความชั่วทุกอย่างซึ่งทรงทำในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์” (all the evil that he did in the sight of the Lord)

= เหมือนราชวงศ์ของเยโรโบอัม –ข.2;15:34

            “เรื่องที่บาอาชาทรงทำลายราชวงศ์นั้น” (he destroyed it) –บาอาชาทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จในการทำลายราชวงศ์ของเยโรโบอัม (14:10,14)แต่เขาต้องรับผิดชอบต่อการกระทำที่รุนแรงและผิดกฎหมายด้วย   (ปฐก.50:20;อสย.10:5-7,12)

16:8  “ในปีที่ยี่สิบหกแห่งรัชกาลอาสากษัตริย์ของยูดาห์” (In the twenty-sixth year of Asa king of Judah)

–ปี 886 ก.ค.ศ (15:10);            “ทรงครองอยู่สองปี“ (reigned two years) = ปี 886-885 ก.ค.ศ

16:9  “พระองค์ทรงดื่มจนเมาในบ้านของอารซา” (drinking himself drunk in the house of Arza) = เอลาห์กำลังดื่มอย่างเมามายที่ทีรซาห์ ในขณะที่กองทัพกำลังโจมตี กิบเบโธน (ข.15)

16:10 “ปีที่ยี่สิบเจ็ดแห่งรัชกาลอาสา” (in the twenty-seventh year of Asa) = ปี 885 ก.ค.ศ.

16:11 “ประหารราชวงศ์ของบาอาชาเสียสิ้น” (struck down all the house of Baasha)-15:29;2พกษ.10:1-7;11:1

            “มิตรสหาย”(friends)–ในที่นี้อาจหมายถึง ที่ปรึกษาของกษัตริย์บาอาชา(2ซมอ.15:37)

16:12 “ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งกล่าวโทษบาอาชาโดยเยฮูผู้เผยพระวจนะ” (according to the word of the Lord, which he spoke against Baasha by Jehu the prophet) –ข.1-4, ศีมรีเป็นเครื่องมือที่ทำให้คำ

พยากรณ์ของเยฮูสำเร็จโดยไม่รู้ตัว เมื่อเขากบฏต่อเอลาห์ และทำลายราชวงศ์ของบาอาชา (เยฮูถูกส่งมาจากอาณาจักรใต้ เพื่อมาหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรเหนือ โดยกระทำพันกิจต่อเนื่องราว  60 ปี จนถึงรัชสมัยของเยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ (2พศด.19:2;20:34)

16:3   “…บาปทั้งสิ้นของบาอาชา และบาปของเอลาห์พระราชโอรส” (all the sins of Baasha and the sins  of Elah his son) -15:34 , 

                 “กริ้วด้วยเรื่องรูปเคารพ” (anger with their idols) – ในที่นี้  = รูปเคารพอันไร้ค้าในศาสนพิธีต่าง ๆ รวมทั้งการใช้วัวทองคำ (12:28;14:9)

16:14  “หนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอล” (Book of the Chronicles of the Kings of Israel?) = จดหมายเหตุกษัตริย์แห่งอิสราเอล -14:19

16:15 “ในปีที่ยี่สิบแห่งรัชกาลอาสา” (In the twenty-seventh year of Asa) –ปี 885 ก.ค.ศ.   ดู  15:1,10

  “เมืองกิบเบโธน” (Gibbethon)   -ข.9;15:27

16:16 “ศิมรีได้กบฏและได้ปลงพระชนม์พระราชาเสียแล้ว” (Zimri has conspired, and he has killed the king)

* ข.9-12; “อมรีผู้บัญชาการกองทัพ” (Omri, the commander of the army) –อมรีเป็นแม่ทัพที่มีตำแหน่งสูงกว่าศิมรี ได้รับการแต่งตั้งจากคนอิสราเอลให้เป็นพระราชาต่อจากเอสาห์ โดยไม่ยอมรับศิมรีผู้ก่อกบฏ (ข.9)

16:17 “เมืองทีรซาห์” (Tirzah) = ที่ประทับของกษัตริย์ (ข.8-10;14:17)

16:22 “ประชาชนอิสราเอลได้แบ่งแยกออกเป็นสองส่วน” (people who followed Omri overcame the people who followed Tibni)

=อิสราเอลแตกเป็น 2 พวก พวกหนึ่งตามทิบนีบุตรกีนัทอีกพวกหนึ่งตามอมรี

                    “ทิบนีจึงสิ้นชีวิต” (Tibni died) = ไม่ปรากฏชัดว่าตายตามธรรมชาติหรือถูกฆ่าตายจากการรบ

16:23 “อมรีได้เริ่มครองอิสราเอล” (Omri began to reign over Israel) = อมรีได้ปกครองอิสราเอลในฐานะกษัตริย์แต่ผู้เดียว หลังจากรบชิงบัลลังก์กับทิบนีที่ใช้เวลาสี่ปี(ข.15)ในปีที่ 31 ของกษัตริย์อาสา(ปี 880 ก.ค.ศ. ; 15:10)

-อมรีครองราชย์ได้ 12 ปี (885-874 ก.ค.ศ.) โดยครองในเมืองทีรซาร์ 6 ปี หลังจากสามารถยึดได้ภายในไม่กี่วัน (ข.15-19) เท่ากับว่า ใน 12 ปีนี้รวม 4 ปีที่ต่อสู้กับทิบนีด้วย (ข.15,29)

16:24 ”สะมาเรีย” (Samaria) = อยู่ประมาณ 11 กิโลเมตร ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเชเคม อยู่สูงกว่าหุบเขาที่มีความอุดมสมบูรณ์โดยรอบประมาณ 90 เมตร (อ้างถึงโดยใช้ชื่อว่า “มงกุฎดอกไม้” ใน อสย.28:1)

-เมืองตั้งอยู่บนที่ดินซึ่งถูก(เกลี้ยกล่อมให้)ขายให้ โดยอาจมีเงื่อนไขในการตั้งชื่อตามชื่อของเจ้าที่มีนามว่า เชเมอร์ (21:3;นรธ.4:5) สถานที่นี้มีชัยภูมิตามอุดมคติในการตั้งเป็นเมืองหลวง เพราะโจมตีได้ยาก (20:1-21;2พกษ.6:25;  18:9-10) เมื่อได้รับการสถาปนาเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเหนือก็เปรียบเหมือนกับป้อมปราการเช่นเดียวกับที่ ราชวงศ์ดาวิดมีในกรุงเยรูซาเล็ม (2ซมอ.5:6-12)

-นักโบราณคดีได้ค้นพบว่า อมรีและอาหับได้ประดับเมืองนี้ด้วยสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่น่าทึ่งมาก เพื่อแข่งขันประชันกับสิ่งปลูกสร้างของซาโลมอนในกรุงเยรูซาเล็ม

-นับจากนี้ไป อาณาจักรเหนือถูกเรียกแทนด้วยชื่อเมืองหลวง “สะมาเรีย” นี้ ดังเช่น อาณาจักรใต้สามารถูกเรียก แทนได้โดยชื่อเมืองหลวงคือ เยรูซาเล็ม (21:1;อสย.10:10;อมส.6:1)

16:25 “อมรี…ทรงทำชั่วยิ่งกว่าบรรดากษัตริย์ผู้อยู่ก่อนพระองค์” (Omri did what was evil in the sight of the Lord, and did more evil than all who were before him)  -อมรีเป็นพันธมิตรกับเอ็ทบาอัลแห่งไทระ และโซดอน

(อาหับบุตรชายของอมรีแต่งงานกับเยเชเบล บุตรสาวของเอ็ทบาอัล) ทำให้การนมัสการพระบาอัลแพร่หลายในอาณาจักรเหนือ (ข.31-33) และเกือบทำให้ราชวงศ์ดาวิดในอาณาจักรใต้สิ้นสุดลง (2พกษ.11:8:18)

–อมรีอาจใช้การแต่งงานของบุตรชายเป็นการสร้างพันธมิตรเพื่อมีกำลังอำนาจในการต่อสู้กับทิบนี (ข.21-22)

16:26 “ตามบาป…ซึ่งทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย” (walked in all the way of Jeroboam the son of Nebat, and in  the sins that he made Israel to sin)- 12:26-33;14:16

16:27 “ส่วนพระราชกิจอื่น ๆ ของอมรีซึ่งทรงทำ” (the rest of the acts of Omri that he did) –นอกจากสถาปนาสะมาเรียเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเหนือ อมรีเป็นผู้จัดระบบโครงสร้างการปกครองที่อาหับบุตรชายนำมาใช้ตาม

-ราชวงศ์ของอมรีอยู่นานมาได้กว่า 40 ปี และในอีก 550 ปี ต่อมา (ปี 732 ก.ค.ศ.) ทิกลักปิเลเสอร์ที่ 3 แห่งอัสซีเรีย อ้างถึงอิสราเอลในชื่อ “วงศ์วานของอมรี” (14:19)

16:29 “ในปีที่สามสิบแปดแห่งรัชกาลอาสา” (In the thirty-eighth year of Asa) = ปี 874 ก.ค.ศ. (15:9-10)

                   “อาหับพระราชโอรสของอมรีทรงครองอิสราเอลในกรุงสะมาเรีย 22 ปี” (Ahab the son of Omri reigned over Israel in Samaria twenty-two years) = ปี 874-853 ก.ค.ศ.

16:30 “ได้ทรงทำชั่ว…มากยิ่งกว่าบรรดาพระราชาที่อยู่ก่อนพระองค์” (did evil in the sight of the Lord, more than all who were before him) -คำบรรยายเกือบ 1 ใน 3 ของ 1 และ 2 พงศ์กษัตริย์มีเนื้อหาเกี่ยวกับ 34 ปีของ

รัชกาลอาหับและบุตรทั้งสองคือ อาหัสยาห์และโยรัม ในช่วงนี้มีการต่อสู้อย่างดุเดือดเป็นพิเศษระหว่างอาณาจักรเหนือ(ของซาตาน) และอาณาจักรใต้(ของพระเจ้า)

16:31 “ทรงรับเยเซเบลพระราชธิดาของเอ็ทบาอัล พระราชาของชาวไซดอนมาเป็นมเหสี” (took for his wife Jezebel the daughter of Ethbaal king of the Sidonians)

 “เอ็ทบาอัล” เป็นทั้งปุโรหิตและกษัตริย์ปกครองไทระและไซดอน นาน 32 ปี อาหับแต่งงานกับเยเซเบลมา ตั้งแต่ในสมัยรัชกาลของบิดาแล้ว (ข.25)

  “พระบาอัล”(Baal)นี้อาจเป็น “เมลคาร์ท” ซึ่งเป็นพระบาอัลท้องถิ่นของไทระ และนำเข้ามาอิสราเอลโดยเยเซเบล  ชื่อของบุตรชายของอาหับคือ อาหัสยาห์ (พระยาห์เวห์ทรงฉวย) และโยรัม (พระยาห์เวห์ทรงได้รับการสรรเสริญ)  ชี้ให้เห็นว่า อาหับไม่ได้ทั้งใจเปลี่ยนจากการนมัสการพระเจ้ามาเป็นนมัสการพระบาอัล แต่คง ตั้งใจนมัสการทั้งคู่ แบบผสมผสานกันไป

16:32 “นิเวศของพระบาอัล” (house of Baal,) = อาหับนำวิธีการนมัสการพระบาอัลของชาวฟินิเซียมาจากภรรยาคือ เยเชล เข้าสู่อาณาจักรเหนือโดยสร้างวิหารพระบาอัลในสะมาเรียเหมือนซาโลมอนสร้างพระวิหารของพระเจ้าใน เยรูซาเล็ม ต่อมาภายหลังเยฮูเป็นผู้ทำลายวิหารและหินศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ เหล่านั้นลง (14:32;2พกษ.10:21-27)

16:33 “พระอาเชราห์” (Asherah) -14:15

16:34 “ได้สร้างเมืองเยรีโค” (built Jericho) =เยรีโคถูกทำลายโดยโยชูวา (ยชว.18:21;ลนต.1:16;3:13;2ซมอ.10:5)

กลายเป็นเมืองหรือหมู่บ้านที่ไม่มีกำแพงล้อมรอบ   -ในสมัยของอาหับ ฮีเอลได้เสริมสร้างเมืองให้แข็งแกร่งขึ้น โดยสร้างกำแพงและประตูเมืองขึ้นใหม่ (9:17) อันเป็นการละเมิดพระประสงค์ของพระเจ้าที่ต้องการให้ซากเมือง เยรีโคเป็นอนุสรณ์เตือนสติชาวอิสราเอลให้ตระหนักว่า แผ่นดินคานาอันเป็นของขวัญจากพระเจ้า ดังนั้น ฮีเอล ต้องทนทุกข์ตามคำสาปแช่งที่ โยชูวาประกาศไว้ในโยชูวา 6:26

คำถามนำอภิปราย

  1. หากพระเจ้าบัญชาให้เราลุกขึ้นมากล่าวตักเตือนผู้มีอำนาจหรือผู้มีตำแหน่ง(สูง) ในสิ่งที่เขากระทำผิด(บาป) คุณจะกล้าหาญกระทำด้วยความเชื่อฟังพระองค์หรือไม่?  ทำไม?   และอย่างไร?
  2. เวลานี้ คุณ(หรือองค์กร, คริสตจักร ครอบครัว ฯลฯ ขอบคุณ) กำลังกระทำอะไรที่เป็นการยั่วยุให้พระเจ้าทรงพระพิโรธบ้างหรือไม่?  ในเรื่องอะไร หรือคุณได้ชักนำให้ใครทำผิดบาปบ้างหรือไม่?  ในเรื่องอะไร?
  3. คุณเคยเห็นพระเจ้ากำจัดหรือทำลายล้างบุคคลใด(ไม่ว่าจะมีอำนาจวาสนาหรือตำแหน่งสูง? บ้างหรือไม่? คือใคร?   ในเรื่องอะไร? และอย่างไร?
  4. คุณเคยเห็นการแก่งแย่งอำนาจ (ทางการเมือง/การปกครอง) แต่ผลสุดท้ายก็ได้คนชั่วเหมือนเดิมหรือมากกว่าเดิมมาแทนคนชั่วคนเดิมบ้างหรือไม่? อย่างไร? และคุณได้บทเรียนอะไรบ้างจากเหตุการณ์เหล่านั้น?
  5. คุณเคยหรือเคยเห็นคนบางคนได้ดีหรือได้รับเคราะห์จากการเป็นมิตรหรืออยู่ใฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งของเกมการแย่งอำนาจ (ทางการเมือง) บ้างหรือไม่? ที่ไหน? และอย่างไร?
  6. เคยมีคนชวนคุณให้ทำผิดบาป(ตามเขา) แล้วคุณกระทำตามหรือคุณปฏิเสธบ้างหรือไม่? แล้วผลที่เกิดตามมาคืออะไร?
  7. คุณเคยอยู่ตรงกลางระหว่างความแตกแยกของคน 2 ฝ่ายบ้างหรือไม่?  ในเหตุการณ์อะไร?  แล้วคุณเลือกฝ่ายใด?  ทำไม?  ผลเป็นอย่างไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

กำเนิดของพระคริสต์แห่งวันคริสตมาส!

วันคริสตมาส

พระธรรม      มัทธิว 1:18- 2:23

อ้างอิง            ลก. 1:2-7,31,35;ฉธบ. 24:1;กจ. 5:19;มธ. 27:17;ยน. 7:42;มีคาห์ 5:2;2ซมอ. 5:2;อสย. 60:3;สดด.72:10

บทนำ              คริสตมาสเป็นเรื่องราวการมาบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระเยซูคริสต์ !

มัทธิวเก็บประวัติเรื่องราวชีวิตตั้งแต่ประสูติจนเสด็จขึ้นสู่สวรรค์และคำสอนของพระเยซูคริสต์ค่อนข้างละเอียด  ทั้งยังกล่าวถึงการประสูติของพระเยซูคริสต์จากมารีย์ หญิงพรหมจารีด้วยวิธีเหนือธรรมชาติโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อเสด็จลงมารับสภาพมนุษย์ผู้จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอดจากความผิดบาปของพวกเขาและการต่อต้านมุ่งเข่มฆ่าพระองค์ด้วยความอมหิตของผู้มีตำแหน่งอำนาจที่ระแวงในการบังเกิดมาของพระองค์!

บทเรียน

 1:18   “เรื่องพระกำเนิดของพระเยซูคริสต์เป็นดังนี้ คือมารีย์ผู้เป็นมารดาของพระเยซูนั้น เดิมโยเซฟได้สู่ขอหมั้นกันไว้แล้ว ก่อนที่จะได้อยู่กินด้วยกันก็ปรากฏว่า มารีย์มีครรภ์แล้วด้วยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์

  (This is how the birth of Jesus Christ came about: His mother Mary was pledged to be married to Joseph, but  before  they came together, she was found to be with child through the Holy Spirit.)

1:19  “แต่โยเซฟคู่หมั้นของเขาเป็นคนมีธัมมะ ไม่พอใจที่จะแพร่งพรายความเป็นไปของเธอ หมายจะถอนหมั้นเสียลับๆ”

(Because Joseph her husband was a righteous man and did not want to expose her to public disgrace, he  had in  mind to divorce her quietly.)

1:20  “แต่เมื่อโยเซฟยังคิดในเรื่องนี้อยู่ ก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้า มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า “โยเซฟบุตรดาวิด อย่า กลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิในครรภ์ของเธอเป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์

  (But after he had considered this, an angel of the Lord appeared to him in a dream and said, “Joseph son of  David, do  not be afraid to take Mary home as your wife, because what is conceived in her is from the Holy Spirit.)

1:21  “เธอจะประสูติบุตรชาย แล้วเจ้าจงเรียกนามท่านว่า เยซูเพราะว่าท่านเป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิด บาปของเขา

 (She will give birth to a son, and you are to give him the name Jesus, because he will save his people from  their sins.”)

1:22 “ ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า” 

        (All this took place to fulfill what the Lord had said through the prophet:)

1:23  “ดูเถิด หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่า อิมมานูเอล*  (แปลว่า พระเจ้า ทรงอยู่กับเรา)”

         (“The virgin will be with child and will give birth to a son, and they will call him Immanuel”which means, “God with us.”)

1: 24 “ครั้นโยเซฟตื่นขึ้นก็กระทำตามคำซึ่งทูตของพระเจ้าสั่งนั้น คือได้รับมารีย์มาเป็นภรรยา”

        (When Joseph woke up, he did what the angel of the Lord had commanded him and took Mary home as his  wife.)

1: 25  “แต่มิได้สมสู่กับเธอจนประสูติบุตรชายแล้ว และโยเซฟเรียกนามของบุตรนั้นว่าเยซู”

         ( But he had no union with her until she gave birth to a son. And he gave him the name Jesus.)

 2: 1 “พระเยซูได้ทรงบังเกิดที่บ้านเบธเลเฮมแคว้นยูเดียในรัชกาลของกษัตริย์เฮโรด ภายหลังมีพวกโหราจารย์จากทิศตะวันออกมายังกรุงเยรูซาเล็ม ถามว่า

        (After Jesus was born in Bethlehem in Judea, during the time of King Herod, Magi from the east came to  Jerusalem)

2:2 “กุมารผู้ที่บังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน เราได้เห็นดาวของท่านปรากฏขึ้น  เราจึงมาหวังจะนมัสการท่าน”

      (and asked, “Where is the one who has been born king of the Jews? We saw his star in the east and have come to worship him.”)

2:3 “ครั้นกษัตริย์เฮโรดได้ยินดังนั้นแล้ว ก็วุ่นวายพระทัย ทั้งชาวกรุงเยรูซาเล็มก็พลอยวุ่นวายใจไปด้วย”

            (When King Herod heard this he was disturbed, and all Jerusalem with him.)

2:4 “แล้วท่านให้ประชุมบรรดามหาปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์ของประชาชน ตรัสถามเขาว่า  “ผู้เป็นพระคริสต์นั้นจะบังเกิดแห่งใด”

(When he had called together all the people’s chief priests and teachers of the law, he asked them where the  Christ was to be born.)

2:5  “เขาทูลว่า “ที่บ้านเบธเลเฮมแคว้นยูเดีย เพราะว่าผู้เผยพระวจนะได้เขียนไว้ ดังนี้ว่า”

       (In Bethlehem in Judea,” they replied, “for this is what the prophet has written:)

2:6  “บ้านเบธเลเฮมในแผ่นดินยูเดีย จะเป็นบ้านเล็กน้อยที่สุดในสายตาของบรรดาผู้ครองแผ่นดินยูเดียก็หามิได้ เพราะว่าเจ้านาย คนหนึ่งจะ ออกมาจากท่าน  ผู้ซึ่งจะครอบครองอิสราเอล ชนชาติของเรา”

       (‘But you, Bethlehem, in the land of Judah,  are by no means least among the rulers of Judah;  for out of you will  come a ruler who will be the shepherd of my people Israel.’)

2:7 “แล้วเฮโรดจึงเชิญพวกโหราจารย์เข้ามาเป็นการลับ ถามเขาได้ความถ้วนถี่ถึงเวลาที่ดาวนั้นได้ปรากฏขึ้น

       (Then Herod called the Magi secretly and found out from them the exact time the star had appeared.)

2:8 “แล้วท่านได้ให้พวกโหราจารย์ไปยังบ้านเบธเลเฮมสั่งว่า “จงไปค้นหากุมารนั้นเถิด เมื่อพบแล้วจงกลับมาแจ้งแก่เรา เพื่อเราจะได้ไปนมัสการท่านด้วย

     (He sent them to Bethlehem and said, “Go and make a careful search for the child. As soon as you find him, report  to me, so that I too may go and worship him.”)

2:9 “โหราจารย์เหล่านั้น จึงไปตามรับสั่ง และดาวซึ่งเขาได้เห็นเมื่อปรากฏขึ้นนั้นก็ได้นำหน้าเขาไป จนมาหยุดอยู่เหนือสถานที่ที่ กุมารอยู่นั้น

   (After they had heard the king, they went on their way, and the star they had seen in the east went ahead of them  until it stopped over the place where the child was.)

2:10 “เมื่อพวกโหราจารย์ได้เห็นดาวนั้นแล้ว ก็มีความยินดียิ่งนัก”

         (When they saw the star, they were overjoyed.)

2:11 “ครั้นเข้าไปในเรือนก็พบกุมารกับนางมารีย์มารดา จึงกราบถวายนมัสการกุมารนั้น แล้วเปิดหีบหยิบทรัพย์ของเขา ออกมาถวายแก่กุมารเป็นเครื่องบรรณาการ คือ ทองคำ กำยาน และมดยอบ

  (On coming to the house, they saw the child with his mother Mary, and they bowed down and worshiped him.  Then they opened their treasures and presented him with gifts of gold and of incense and of myrrh.)

2:12 “แล้วพวกโหราจารย์ได้ยินคำเตือนในความฝัน มิให้กลับไปเฝ้าเฮโรด เขาจึงกลับไปยังเมืองของตนทางอื่น”

 (And having been warned in a dream not to go back to Herod, they returned to their country by another route.)

2:13 “ครั้นเขาไปแล้วก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้า ได้มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันแล้วบอกว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาหนี ไป ประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้า เพราะว่าเฮโรดจะแสวงหากุมาร เพื่อจะประหารชีวิตเสีย

   (When they had gone, an angel of the Lord appeared to Joseph in a dream. “Get up,” he said, “take the child and  his  mother and escape to Egypt. Stay there until I tell you, for Herod is going to search for the child to kill him.”)

2:14 “ในเวลากลางคืนโยเซฟจึงลุกขึ้น พากุมารกับมารดาไปยังประเทศอียิปต์”

      (So he got up, took the child and his mother during the night and left for Egypt,)

2:15 “และได้อยู่ที่นั่นจนเฮโรดสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งได้ตรัสไว้โดยผู้เผย พระวจนะว่า  เราได้เรียกบุตรของเราให้ออกมาจากอียิปต์

  (where he stayed until the death of Herod. And so was fulfilled what the Lord had said through the prophet: “Out of  Egypt I called my son.”)

2:16 “ครั้นเฮโรดเห็นว่าพวกโหราจารย์หลอกท่าน ก็กริ้วโกรธยิ่งนัก จึงใช้คนไปฆ่าเด็กผู้ชายทั้งหลาย  ในบ้านเบธเลเฮมและที่ ใกล้เคียงทั้งสิ้นตั้งแต่อายุสองขวบลงมา ซึ่งพอดีกับเวลาที่ท่านได้ทราบจากพวกโหราจารย์นั้น”

  (When Herod realized that he had been outwitted by the Magi, he was furious, and he gave orders to kill all the  boys  in Bethlehem and its vicinity who were two years old and under, in accordance with the time he had learned from the  Magi)

2:17 “ครั้งนั้นก็สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสโดยเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะว่า” 

        (Then what was said through the prophet Jeremiah was fulfilled:)

2:18  “ได้ยินเสียงในหมู่บ้านรามาห์ เป็นเสียงโอดครวญและร่ำไห้  คือนางราเชลร้องไห้คร่ำครวญ เพราะบุตรทั้งหลายของตน นาง ไม่รับฟังคำปลอบเล้าโลม เพราะบุตรทั้งหลายนั้นไม่มีแล้ว

    (“A voice is heard in Ramah, weeping and great mourning, Rachel weeping for her children and refusing to be comforted, because they are no more.”)

2:19 “ครั้นเฮโรดสิ้นพระชนม์แล้ว ทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้ามาปรากฏในความฝันแก่โยเซฟ ที่ประเทศอียิปต์สั่งว่า”

        (After Herod died, an angel of the Lord appeared in a dream to Joseph in Egypt)

2:20  “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดามายังแผ่นดินอิสราเอล เพราะผู้ที่เป็นภัยต่อชีวิตของกุมารนั้นตายแล้ว”

(and said, “Get up, take the child and his mother and go to the land of Israel, for those who were trying to take the   child’s life are dead.”)

2:21 “โยเซฟจึงลุกขึ้นพากุมารกับมารดามายังแผ่นดินอิสราเอล”

         (So he got up, took the child and his mother and went to the land of Israel.)

2:22 “แต่เมื่อได้ยินว่า อารเคลาอัสครอบครองแคว้นยูเดียแทนเฮโรดผู้เป็นบิดา จะไปที่นั่นก็กลัวและเมื่อได้ทราบคำเตือนในความฝัน จึงเลยปยังแคว้นกาลิลี

  (But when he heard that Archelaus was reigning in Judea in place of his father Herod, he was afraid to go there.  Having been warned in a dream, he withdrew to the district of Galilee,)

2:23 “ไปอาศัยในเมืองหนึ่งชื่อนาซาเร็ธ* เพื่อจะสำเร็จตามพระวจนะ ซึ่งตรัสโดยผู้เผยพระวจนะว่า เขาจะเรียกท่านว่า ชาวนาซาเร็ธ”

 (and he went and lived in a town called Nazareth. So was fulfilled what was said through the prophets: “He will  be called a Nazarene.”)

 ข้อมูลมีประโยชน์

1:18     “ได้สู่ขอหมั้นกันไว้แล้ว” (Was pledged to be married)

-ในช่วงหมั้นหมายของชาวยิว จะไม่มีความสัมพันธ์ทางเพศกัน แต่ก็เป็นความสัมพันธ์ที่ผูกมัดมากยิ่งกว่าการหมั้นในสมัยใหม่นี้และจะเลิกได้เพียงทางเดียวนั่นคือ การหย่าอย่างเป็นทางการ! (ข.9)

-ใน ฉธบ. 22:24 = จะเรียกผู้หญิงที่หมั้นแล้วว่า “ภรรยา” และเรียกผู้ชายที่หมั้นว่า “สามี”

= “ปรากฎว่ามีครรภ์แล้ว” (she was found to be with child.)

= โยเซฟ คงช็อคที่พบว่ามารีย์ตั้งครรภ์ และเธอคงไม่ได้เล่าให้เขาฟังเรื่องที่ฑูตสวรรค์มาหาเธอ   (ลก. 1:26-38), ตามกฎบัญญัติของชาวยิวมีโทษหนักในการเล่นชู้ และโยเซฟเป็นคนมีธรรมะ ไม่อยากให้เธออับอาย จึงตัดสินใจถอนหมั้นอย่างลับ ๆ ซึ่งทำได้ หากมีพยานอย่างเป็นทางการ 2 คน ปรากฎอยู่ด้วย

“ด้วยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์” (through the spirit) มัทธิวสรุปด้วยวลีสั้น ๆ แต่ในลูกามีรายละเอียดมากกว่า (ลก.1:35)

ข.19     “โยเซฟคู่หมั้น” –ในต้นฉบับ,มัทธิวใช้คำว่า “Joseph her husband”(โยเซฟ “สามี”ของเธอ)และเรียกมารีย์ว่า “ภรรยา” (wife) ก่อนที่ทั้ง 2 จะแต่งงานมีความสัมพันธ์ทางเพศด้วยกัน

“เป็นคนมีธรรมะ” (a righteous man) – สำหรับคนยิว คำ ๆ นี้หมายถึง “การกระตือรือร้น ในการรักษาธรรมบัญญัติ”

“จะถอนหมั้นเสียลับๆ ”  (divorce her quietly) = เขายินดีจะลงนามในเอกสารทางการที่(จำเป็น)ให้   แต่ไม่ต้องการให้เธอถูกพิพากษาตัดสิน และถูกหินขว้างในที่สาธารณะ (ฉธบ. 22:23-24)

1:20     “ในความฝัน” (in a dream) วลีนี้ปรากฎ 5 ครั้งใน 2 บทแรก ของมัทธิว   (1:20 และ 2:12-13,19,22)  และเป็นวิธีที่พระเจ้าใช้ฑูตสวรรค์มาแจ้งข่าวต่อโยเซฟในความฝัน

“บุตรดาวิด” (Son of David) -ฑูตสวรรค์ทักทายเช่นนี้ อาจเป็นการบ่งเป็นนัย ๆ ว่า พระเมสิยาห์ที่กำลังรอคอยกันอยู่จะมาจากเชื้อสายอันชอบธรรมของ“ดาวิด”ผ่านทางโยเซฟและจะถูกเรียกว่า“บุตรดาวิด”เช่นกัน

“รับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้า” (take Mary home as your wife) – พวกเขาทั้ง 2 ผูกมัดกันทางกฎหมาย แต่ยังไม่ได้อยู่กินด้วยกันอย่างสามีภรรยา ฑูตสวรรค์กำชับโยเซฟไม่ให้หย่าร้างกับมารีย์ แต่ให้รับเธอมาเป็นภรรยา

“เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิในครรภ์ของเธอเป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธ์” (What is conceived in her is from the Holy Spirit.)   = สิ่งนี้สอดคล้องอย่างกลมกลืนกับคำประกาศที่มีต่อมารีย์ก่อนหน้านี้ (ลก. 1:35)

1:21     “เยซู” (Jesus) –คำนี้เป็นคำมาจากภาษากรีกเทียบเท่ากับคำว่า “Joshua” ในภาษาฮีบรู หมายถึง “พระเจ้าทรงช่วยให้รอด -เพราะพระเยซูจะมาช่วยชนชาติของพระองค์ให้ได้รับความรอดจากบาปของพวกเขา

-เมื่อพระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า นางซาราห์ในวัยชราจะตั้งครรภ์และคลอดอิสอัค ก็นับว่ายากจะเกิดขึ้นแล้ว  แต่การที่หญิงพรหมจารีย์อย่างมารีย์จะตั้งครรภ์คลอดพระเยซูยิ่งเป็นการอัศจรรย์มากกว่านั้นมากนัก  (ปฐก.17:19)

1:22     “สำเร็จ” (fulfill)  -ปรากฎ 12 ครั้ง  (1:22;2:15,23;3:15;4:14;5:17;8:17;12:17;13:14,35;21:4;27:9)

มัทธิวมักกล่าวถึงคำพยากรณ์ของผู้เผยพระวจนะ (ฮบ. 1:1-2) ในพระคัมภีร์เดิมที่ได้รับการกระทำให้สำเร็จว่าเป็นคำพยานที่ทรงพลังถึงแหล่งกำเนิดของพระคัมภีร์ที่มาจากพระเจ้า และเที่ยงตรงแม้แต่ในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ

1:23     -นี่เป็นถ้อยคำที่คัดมาจากอิสยาห์ 7:14 ซึ่งเป็นคำอ้างอิงอันแรกของอย่างน้อย 47 คำอ้างอิงที่มัทธิว ดึงออกมาจากพระคัมภีร์เดิม ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับความเป็นพระเมสิยาห์ของพระคริสต์

-ในพระธรรมตอนนี้ กล่าวถึง  กษัตริย์อาหัส ที่พระเจ้าให้หมายสำคัญว่าหญิงสาว (almah) คนหนึ่งจะให้กำเนิดบุตรและก่อนที่บุตรคนนั้นจะรู้ความ ศัตรู 2 ราย คือ กษัตริย์อิสราเอล และซีเรียจะถูกปลดออก (อสย.7:16) ดังนั้นยูดาห์ที่วางใจพระเจ้า จะได้รับการช่วยกู้ และจะปลอดภัย

ต่อมา ความหมายของถ้อยคำนี้ขยายเป็นคำพยากรณ์ถึงการประสูติของพระเยซู

-นับมาจนถึงข้อนี้ พระผู้ช่วยให้รอด (เมสิยาห์) ได้รับการเรียกขาน 3 นามแล้วคือ

1. “บุตรดาวิด”           2. “เยซู”               และ  3. “อิมมานูเอล”

“อิมมานูเอล” แปลว่า “พระเจ้าทรงอยู่กับเรา” (God with us)

-น่าอัศจรรย์ และน่าขอบคุณพระเจ้าที่พระบุตรของพระเจ้าเสด็จลงมารับสภาพของบุตรมนุษย์ พระเยซูคือพระเจ้าที่ลงมาใกล้และสถิตอยู่กับมนุษย์   พระองค์ทรงเปิดเผยพระเจ้าผู้ทรงรักและปรารถนาที่จะช่วยมนุษย์ให้รอด

1:24     “กระทำตามคำซึ่งฑูตของพระเจ้าสั่งนั้น”  (did as the angel of the Lord commanded him.)

= โยเซฟเชื่อฟัง ทำให้แผนการและพระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จ น้ำพระทัยของพระเจ้าจะดำเนินก้าวหน้า ก็โดยการร่วมมือของมนุษย์อย่างเรา บ่อยครั้งที่เราทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าถูกขัดขวาง โดยการไม่เชื่อฟังของเรา (ลก. 13:34)

โศกนาฎกรรมยิ่งใหญ่ในชีวิตของเราก็คือ เราพลาดพระพรจากสวรรค์ เพราะความไม่เชื่อฟังของเรา

“ได้รับมารีย์มาเป็นภรรยา”  (took Mary home as his wife.)  -โยเซฟพามารีย์ไปยังบ้านของเขา เท่ากับเป็นการประกาศอย่างเปิดเผยต่อสาธารณชนว่า เขายอมรับเธอเป็นภรรยาของเขา  ในการกระทำเช่นนั้น เขาอาจถูกตำหนิหรือนินทาว่า เป็นคนที่มีความสัมพันธ์ทางเพศกับมารีย์ก่อนแต่งงาน     ทั้งโยเซฟ  และมารีย์ต่างยินดีจ่ายราคาของการเชื่อฟัง เพื่อจะเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า ในการกระทำให้สำเร็จตามน้ำพระทัยของพระองค์!

วันนี้ คุณยอมเสียสละอะไรเพื่อพระเจ้าหรือคนที่เคียงข้างคุณบ้าง?

1:25     “แต่มิได้สมสู่กับเธอจนประสูติบุตรชายแล้ว”  (But he had no union with her until she gave birth to a son)

= เป็นการบ่งชี้เป็นนัย ๆ ว่า หลังจากให้กำเนิดพระเยซูแล้ว ต่อมาโยเซฟและมารีย์ก็มีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยากันจริง ๆ และให้กำเนิดบุตรอีกหลายคน คือ ยากอบ โยเซฟ ซีโมน และ ยูดาส และน้องสาวอีกอย่างน้อย 2 คน (มธ. 13:55)

2:1       “บ้านเบธเลเฮมแคว้นยูเดีย” (Bethlehem in Judea)

= ตำบลที่อยู่ห่างออกไปทางใต้ของเยรูซาเล็ม 5 ไมล์ มัทธิวกำลังเน้นภูมิหลังเชื้อสายกษัตริย์ดาวิดของพระเยซูคริสต์ เพราะคนยิวคาดหวังว่า พระเมสิยาห์จะมาบังเกิดที่เบธเลเฮม จากวงศ์ตระกูลของดาวิด (ยน.7:42)

“กษัตริย์เฮโรด” (King Herod) = เฮโรดมหาราช (37-4 ก.ค.ศ) คนละคนกับเฮโรดอื่น ๆ ในพระคัมภีร์ เขาเป็นชาวไอดูเมียน (Idumean)  ไม่ใช่ชาวยิว และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ของยูเดียโดยสภาสูงของโรมในราว 40 ก.ค.ศ. และได้อำนาจปกครองเต็มในปี 37 ก.ค.ศ

เขาเป็นกษัตริย์ที่โหดเหี้ยมอำมหิต ฆ่าได้แม้แต่ภรรยา  บุตร 3 คน  แม่ยาย  เขยคนอื่น ๆ  ลุง   และ อีกหลาย ๆ คน (ข.16) นี่ยังไม่นับรวม การฆ่า เด็กทารกในเบธเลเฮม     แต่เรื่องการปกครองต้องถือว่าเป็นยุครุ่งเรืองที่ปรากฎในรูปแบบของ โรงมหรสพ   สนามกีฬา อนุสาวรีย์  แทนบูชา ป้อมปราการ และสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ    รวมทั้งผลงานสุดยอดชิ้นโบแดง คือ การบูรณะพระวิหารในเยรูซาเล็ม ขึ้นมาใหม่ โดยเริ่มใน 20 ก.ค.ศ. และสร้างเสร็จสิ้นหลังเฮโรดสิ้นพระชนม์

“พวกโหราจารย์” (Magi, magos)  -อาจเป็นนักดาราศาสตร์ (จากเปอร์เซียหรือทางใต้ของอาราเบีย ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของปาเลสไตน์) –มธ. 2:7,16; ในกิจการแปลว่า “คนทำวิทยาคม” (กจ. 13:6,8)

“เยรูซาเล็ม”  -เนื่องเพราะพวกคนเหล่านั้นต้องการเดินทางมาหา “กษัตริย์ของยิว” จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะต้องไปเมืองหลวงของพวกยิว

2:2       “กษัตริย์ของชนชาติยิว” (King of the Jews) –บ่งชี้ว่า พวกโหราจารย์ เป็นชาวต่างชาติ มัทธิวต้องการแสดงให้เห็น  คนจากมวลประชาชาติตระหนัก และยอมรัว่าพระเยซูคริสต์เป็นกษัตริย์ของชาวยิว และมานมัสการพระองค์ในฐานะองค์พระผู้เป็นเจ้า

“ดาว” (star, aster) –อาจไม่ใช่ดาวปรกติธรรมดา, ปท. มธ. 2:7,9,10;24:29;1คร.15:41;วว.2:28;22:16

2:4       “มหาปุโรหิต” (chief priests) –พวกสะดุสี (3:7) ผู้ดูแลการนมัสการในวิหารในเยรูซาเล็ม

“พวกธรรมาจารย์” (teachers of the law) –เป็นพวกนักวิชาการของยิวในสมัยนั้น ได้รับการอบรมอย่างมืออาชีพ ในการพัฒนา  การสอน และการประยุกต์กฎบัญญัติของพระคัมภีร์เดิม สิทธิอำนาจของพวกเขาไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่มาจากมนุษย์และขนบประเพณี

2:6       = คำพยากรณ์จากพระธรรมมีคาห์ ที่ให้มาล่วงหน้าราว 700 ปีก่อน

2:11     “เรือน” (house)  -ความจริงตอนนี้ขัดกับความเชื่อตามประเพณี  เพราะว่า พวกโหราจารย์ไม่ได้ไปเข้าเฝ้าพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นทารก(baby)ที่รางหญ้า(manger)ในคืนที่พระองค์ประสูติ เหมือนที่คนเลี้ยงแกะกระทำ    พวกเขาคงเดินทางมาถึงหลังจากนั้นหลายเดือน และเยี่ยมพระองค์ในฐานะ “กุมาร”(child)ในเรือน(house)

“กุมารกับนางมารีย์มารดา” (the child with his mother Mary)   = ทุกครั้งที่มีการกล่าวถึงพระกุมารเยซูและมารดาพร้อมกัน มัทธิวจึงกล่าวถึงพระกุมารก่อนเสมอ  (ขข.11,13-14,20-21)

“ทองคำ  กำยาน และมดยอบ” (gold …incense….myrrh) –ของขวัญ 3 ชิ้นกลายเป็นที่มาของตำนานว่า มีโหราจารย์หรือนักปราชญ์ 3 คน แต่พระคัมภีร์ไม่ได้บอกจำนวนของโหราจารย์เลยว่ามีจำนวนกี่คน  (“ทองคำ” –มธ. 10:9;กจ.17:29;ยก. 5:3;    “กำยาน” –วว.18:13;ยน.19:39) , “มดยอบ” –ปฐก. 37:25

2:15     “เฮโรดสิ้นพระชนม์”  (the death of Herod) ใน 4 ก.ค.ศ.

“เราได้เรียกบุตรของเราให้ออกมาจากอียิปต์” (out of Egypt  I called my son)  = คำที่คัดอ้างมาจากพระ

ธรรมโฮเชยา 1:1  – ความหมายดั้งเดิม คือ พระเจ้าทรงเรียกชนชาติ(อิสราเอล)ของพระองค์ออกมาจากอียิปต์ ในยุคสมัยของโมเสส    แต่มัทธิวภายใต้การทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ประยุกต์ความหมายนี้กับพระเยซูคริสต์ เขามองดูประวัติศาสตร์ของอิสราเอล (บุตรของพระเจ้า) สรุปรวบยอดในชีวิตของพระเยซูคริสต์(บุตรองค์เดียวของพระเจ้า)

-ดุจดังที่ชาติ(ที่เป็นดุจทารก) เดินทางเข้าไปในอียิปต์ พระเยซูคริสต์กุมารก็เข้าไปอียิปต์เช่นกัน  และดุจเดียวกับที่อิสราเอลได้รับการทรงนำจากพระเจ้าให้ออกจากอียิปต์ พระเยซูคริสต์ก็เช่นกัน

2:16     “ใช้คนไปฆ่าเด็กผู้ชาย …ตั้งแต่อายุ 2 ขวบลงมา”  (Kill all the boys …two years old and under)

-เป็นการเข่นฆ่าอย่างทารุณโหดร้าย

2:18     -ยรม. 31:15

2:22     “อารเคลาอัส” (Archelaus)  -บุตรของเฮโรดมหาราช ปกครองยูเดีย และสะมาเรียเพียง 10 ปี (4 ก.ค.ศ. –ค.ศ6)

เขาเป็นคนทารุณโหดร้าย และเป็นเผด็จการ  ต่อมาจึงถูกเนรเทศ ยูเดียจึงกลายเป็นจังหวัดหนึ่งของโรมบริหารดูแลโดยผู้ว่าที่แต่งตั้งมาจากจักรพรรดิ์โรม

“แคว้นกาลิลี” (Galilee) – ทางส่วนเหนือของปาเลสไตน์ในสมัยของพระเยซู

2:23     “นาซาเร็ธ” (Nazareth) – เป็นตำบลที่ดูไม่ค่อยสำคัญนักในพระคัมภีร์เดิม แต่เป็นตำบลที่พระเยซูคริสต์เติบโต

-13:54-57;ลูกา 2:39;4:16-24;ยน. 1:45-46

“เขาจะเรียกท่านว่าชาวนาซาเร็ธ” (He will be called a Nazarene.) -ถ้อยคำตรง ๆ แบบนี้ไม่พบในพระคัมภีร์เดิม   ความหมายตอนนี้บ่งเป็นนัย ๆ ว่าพระเมสิยาห์จะถูกดูถูก(ตย.  สดด.22:6;อสย. 53:3)

ในสมัยของพระเยซูคำว่า“ชาวนาซาเร็ธ”(Nazarene)เป็นคำที่มีความหมายในทำนอง“ดูถูก”(ยน.1:45-46)

-นักวิชาการบางคนตีความว่า มัทธิวมีความประสงค์เบื้องต้นที่จะโยงคำนี้กับคำว่า “หน่อ” (branch) ที่ภาษาฮีบรูใช้คำว่า “neser” ในอิสยาห์  11:1

 คำถามนำอภิปราย

1.   หากพระเจ้าทรงขอให้คุณรับสภาพบางอย่างที่คนใกล้ชิดและคนรอบตัวของคุณยากจะยอมรับได้อย่างมารีย์(ได้รับการมอบหมายให้ตั้งครรภ์โดยไม่ได้แต่งงาน?) หรือ อย่างโยเซฟ (ต้องรับคู่หมั้นที่ตั้งครรภ์โดยตัวเองไม่ได้ยุ่งเกี่ยวด้วยมาเป็นภรรยา) คุณจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร?  ทำไม?   หากเปรียบเทียบกับปฏิกิริยาของมารีย์ใน ลูกา 1:2-7 และของโยเซฟใน มธ. 1:19 แล้วจะเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร?  ทำไม?

2.  คุณเคยเห็นหรือเคยมีประสบการณ์ใดกับ “เดชพระวิญญาณบริสุทธิ์” บ้างหรือไม่? อย่างไร?  ผลเป็นอย่างไร?

3.  คุณเคยได้รับการช่วยเหลือหรือการสำแดงของพระเจ้าในยามที่คุณกำลังเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบากหรือ ความกลัวบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร   และพระเจ้าทรงช่วยคุณอย่างไร? และคุณตอบสนองพระองค์อย่างไร?

4.  ในชีวิตของคุณมีบาปอะไรซึ่งคุณกระทำและคุณคิดว่าเป็นบาปที่ “ใหญ่ที่สุด” หรือ “มากที่สุด” ที่คุณต้องการการอภัยโทษจากพระเจ้า? คุณสารภาพบาปนั้น และกลับใจใหม่แล้วหรือยัง?  คุณแน่ใจหรือไม่ว่า พระเยซูคริสต์ได้ตายแทนบาปนั้นของคุณแล้ว?  ผลที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร?

5.  เวลานี้ คุณมั่นใจหรือไม่ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับคุณดังพระนามของพระองค์ที่ว่า “อิมมานุเอล”?  ทำไมคุณรู้สึกเช่นนั้น?

6.  การที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับคุณจริง ๆ มีผลอะไรต่อความคิด การตัดสินใจ หรือการกระทำของคุณ ในการ ดำเนินชีวิต(ส่วนตัว  ครอบครัว  และกับชุมชน) การทำงาน ประกอบอาชีพ และพันธกิจรับใช้ของคุณบ้าง?

7.  คุณคิดว่ามีนักปราชญ์กี่คนมาเข้าเฝ้าพระกุมารเยซู?   ทำไมจึงคิดเช่นนั้น?  และคุณคิดว่านักปราชญ์พวกนี้เดินทาง มาจากไหน?  ทำไมจึงคิดเช่นนั้น?

8.  พวกนักปราชญ์ดั้นด้นมานมัสการพระเยซูคริสต์  เพราะ “เห็นดาว”  คุณล่ะ มีอะไรนำทางคุณให้มาเฝ้านมัสการพระองค์?

9. คุณเคยรู้สึกวุ่นวายใจเพราะได้ยินเรื่องราวของพระเยซูหรือไม่?   ทำไม?   ผลที่ตามมาคืออะไร? หรือเคยมีคนรู้สึกวุ่นวายใจเพราะได้ยินเรื่องพระเยซูคริสต์จากตัวของคุณหรือไม่?  อย่างไร?

10. คนเรามักสนใจคนที่มาจาก “ฐานะดีหรือชาติตระกูลสูง” หรือ “เมืองใหญ่”  แต่ทำไม พระเยซูคริสต์ทรงเลือก มาประสูติที่เบธเลเฮม  ซึ่งเป็น “บ้านที่เล็กน้อยที่สุด”?   ความจริงนี้ให้บทเรียนอะไรแก่คุณบ้าง?

11. คุณเคยถูกใครหลอกลวงเหมือนเฮโรดหลอกพวกนักปราชญ์หรือไม่?   ในเรื่องอะไร?   แล้วคุณรู้ตัวหรือจัดการ กับเหตุการณ์นั้นอย่างไร?

12. คุณเคยมีความปีติยินดีจริง ๆ ในการเข้าเฝ้าพระเยซูคริสต์หรือไม่?    อย่างไร?  เมื่อไร?   ที่ไหน?

13. คุณเคยมอบถวายสิ่งใดที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของคุณให้เป็นเครื่องถวายบูชาแด่พระเยซูคริสต์?   คุณรู้สึกอย่างไร?

14. คุณเคยมีประสบการณ์ยินดีกับการช่วยเหลือของพระเจ้าในชีวิตของคุณผ่านทาง “ความฝัน” หรือ “นิมิต”  บ้าง  หรือไม่?  อย่างไร?

15. คุณเคยมีประสบการณ์กับการต้อง “หนี” จากภัยบางอย่าง เป็นเวลานาน กว่าที่จะผ่านพ้นวิกฤตภัย บ้างหรือไม่?   เรื่องอะไร?      และคุณคิดว่า พระเจ้าทรงมีส่วนในการ “หนี” ครั้งนั้นหรือไม่?  อย่างไร?

16. คุณเคยประสบกับเหตุการณ์ทารุณโหดร้าย หรือรุนแรงจากคนที่ต้องการกำจัดหรือต่อต้านพระคริสต์(หรือตัวของคุณ) บ้างหรือไม่?  เรื่องอะไร?  อย่างไร?  และผลสุดท้ายคืออะไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

เรื่องราวก่อนวันคริสตมาส

christmas dec

พระธรรม      มัทธิว 1:1-17

อ้างอิง           ลูกา 3:23-38;1พงศาวดาร 3:10-17;นางรูธ 4:18-22;2ซามูเอล 7:12-16;อิสยาห์ 9:6-7;11:1

บทนำ             มัทธิว เป็นพระกิตติคุณเล่มแรก เน้นการประสูติ การกระทำพันธกิจและการสอนของพระเยซูคริสต์ เน้นหลักการหรือหัวข้อมากกว่าการเล่าเรื่องตามลำดับเหตุการณ์  และมีการคัดลอกข้ออ้างอิงจากพระคัมภีร์เดิม ราว 50 ตอน  และอีก 75 ตอน อ้างถึงเหตุการณ์ในพระคัมภีร์เดิม มัทธิวเน้นให้เห็นว่า พระเยซูคริสต์คือ พระเมสิยาห์ ที่สืบเชื้อสายมาจากดาวิดตามพระสัญญาที่สืบเนื่องมาจากอับราฮัม (2ซมอ. 7:12-17;ปฐก. 12:3) และเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ในวันคริสตมาส!

บทเรียน

  1:1  “หนังสือลำดับพงศ์ของพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นเชื้อสายของดาวิด ผู้สืบตระกูลเนื่องมาจากอับราฮัม” 

        (A record of the genealogy of Jesus Christ the son of David, the son of Abraham)  

 1:2 “ อับราฮัมมีบุตรชื่ออิสอัค อิสอัคมีบุตรชื่อยาโคบ ยาโคบมีบุตรชื่อยูดาห์และพี่น้องของเขา”                 

     ( Abraham was the father of Isaac, Isaac the father of Jacob,Jacob the father of Judah and his brothers,)

1:3 “ยูดาห์มีบุตรชื่อเปเรศกับเศราห์เกิดจากนางทามาร์ เปเรศมีบุตรชื่อเฮสโรน เฮสโรนมีบุตรชื่อราม”

(Judah the father of Perez and Zerah, whose mother was Tamar, Perez the father of Hezron,  Hezron the father of Ram,)

1:4 “ รามมีบุตรชื่ออัมมีนาดับ อัมมีนาดับมีบุตรชื่อนาโชน นาโชนมีบุตรชื่อสัลโมน”

 (Ram the father of Amminadab,Amminadab the father of Nahshon, Nahshon the father of  Salmon,)

1:5  “สัลโมนมีบุตรชื่อโบอาสเกิดจากนางราหับ โบอาสมีบุตรชื่อโอเบดเกิดจากนางรูธ โอเบดมีบุตรชื่อเจสซี”

(Salmon the father of Boaz, whose mother was Rahab,Boaz the father of Obed, whose mother was Ruth,Obed the father of Jesse,)

1:6  “เจสซีมีบุตรชื่อดาวิดผู้เป็นกษัตริย์ ดาวิดมีบุตรชื่อซาโลมอนเกิดจากนางซึ่งแต่ก่อนเป็นภรรยาของอุรียาห์”

(and Jesse the father of King David. David was the father of Solomon, whose mother had been  Uriah’s wife,)

1:7 “ซาโลมอนมีบุตรชื่อเรโหโบอัม เรโหโบอัมมีบุตรชื่ออาบียาห์ อาบียาห์มีบุตรชื่ออาสา”                           

    (Solomon the father of Rehoboam, Rehoboam the father of Abijah, Abijah the father of Asa,)

1:8  “อาสามีบุตรชื่อเยโฮชาฟัท เยโฮชาฟัทมีบุตรชื่อโยรัม โยรัมมีบุตรชื่ออุสซียาห์”

(Asa the father of Jehoshaphat,Jehoshaphat the father of Jehoram,Jehoram the father of  Uzziah,)

1:9  “อุสซียาห์มีบุตรชื่อโยธาม โยธามมีบุตรชื่ออาหัส อาหัสมีบุตรชื่อเฮเซคียาห์”

  (Uzziah the father of Jotham,Jotham the father of Ahaz,Ahaz the father of Hezekiah,)

1:10  “เฮเซคียาห์มีบุตรชื่อมนัสเสห์ มนัสเสห์มีบุตรชื่ออาโมน อาโมนมีบุตรชื่อโยสิยาห์”

       (Hezekiah the father of Manasseh,Manasseh the father of Amon,Amon the father of Josiah,)

1:11 “ โยสิยาห์มีบุตรชื่อเยโคนิยาห์กับพวกพี่น้องของท่าน เกิดเมื่อคราวต้องถูกกวาดไปเป็นเชลยยังกรุงบาบิโลน”

     (and Josiah the father of Jeconiah and his brothers at the time of the exile to Babylon.)

1:12 “ ครั้นต้องถูกกวาดไปยังกรุงบาบิโลนแล้ว เยโคนิยาห์ก็มีบุตรชื่อเชอัลทิเอล เชอัลทิเอลมีบุตรชื่อเศรุบบาเบล”

(After the exile to Babylon:Jeconiah was the father of Shealtiel,Shealtiel the father of  Zerubbabel,)

1:13  “เศรุบบาเบลมีบุตรชื่ออาบียุด อาบียุดมีบุตรชื่อเอลียาคิม เอลียาคิมมีบุตรชื่ออาซอร์”

(Zerubbabel the father of Abiud,Abiud the father of Eliakim, Eliakim the father of Azor,)

1:14  “อาซอร์มีบุตรชื่อศาโดก ศาโดกมีบุตรชื่ออาคิม อาคิมมีบุตรชื่อเอลีอูด”

 (Azor the father of Zadok, Zadok the father of Akim, Akim the father of Eliud,)

1:15 “ เอลีอูดมีบุตรชื่อเอเลอาซาร์ เอเลอาซาร์มีบุตรชื่อมัทธาน มัทธานมีบุตรชื่อยาโคบ”

     (Eliud the father of Eleazar, Eleazar the father of Matthan, Matthan the father of Jacob,)

1:16  “ยาโคบมีบุตรชื่อโยเซฟ สามีของนางมารีย์ พระเยซูที่เรียกว่าพระคริสต์ก็ทรงบังเกิดมาจากนางมารีย์นี้”

(and Jacob the father of Joseph, the husband of Mary, of whom was born Jesus, who is    called Christ.)

  1:17  “ดังนั้นตั้งแต่อับราฮัมลงมาจนถึงดาวิดจึงเป็นสิบสี่ชั่วคน และนับตั้งแต่ดาวิดลงมา  จนถึงต้องถูกกวาดไปเป็นเชลยยังกรุงบาบิโลน เป็นเวลาสิบสี่ชั่วคน และนับตั้งแต่ต้องถูกกวาดไปเป็นเชลย ยังกรุงบาบิโลนจนถึงพระคริสต์เป็นสิบสี่ชั่วคน

( Thus there were fourteen generations in all from Abraham to David, fourteen from David to the exile to Babylon, and fourteen from the exile to the Christ.)

 ข้อมูลมีประโยชน์

1:1       “ผู้เป็นเชื้อสายของดาวิด” (the son of David)

= นามของพระเมสิยาห์  ผู้ซึ่งกำลังเสด็จกลับมา (มธ. 9:27;12:23;20:30;21:9;22:44-45)

           “ผู้สืบตระกูลเนื่องจากอับราฮัม” (the son of Abraham)

= เพราะมัทธิวเขียนถึงชาวยิว จึงจำเป็นต้องแสดงตัวของพระเยซูว่า มาจากเชื้อสายของอับราฮัม

1:3,5,6 “ทามาร์” (Tamar) –น่าสนใจที่มัทธิวอ้างนามของ “สตรี”หลายคน โดยเริ่มจาก ทามาร์ (ข.3; ปฐก. 32:24- 30), ราหับ (ข.5,ยชว.2:1;ฮบ. 11:31), รูธ (ข.51, นรธ.1:4), บัธเชบา มารดาของซาโลมอน (ข.16,2ซมอ.12:24) และมารีย์ (ข.16)  เพราะทามาร์ และราหับต่างทำตัวเป็นหญิงโสเภณี, รูธเป็นหญิงต่างด้าวชาวโมอับ, บัธเชบาเป็นหญิงมีสามีที่ดาวิดเป็นชู้ด้วย

1:4       “อัมมีนาดับ” (Amminadab) –เป็นพ่อตาของอาโรน (อพย. 6:23)

1:8       “โยรัม” ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Jehoram”

ในข้อนี้ภาษาไทยเขียนว่า  “โยรัมมีบุตรชื่ออุสซียาห์” แต่ในภาษาต้นฉบับจะเขียนว่า .. “Jehoram the father of Uzziah”

แต่คำว่า “father” ในที่นี้ ไม่ได้หมายความถึง “พ่อ” (father) จริง ๆ แต่หมายถึง “บรรพบุรุษ” (forefather) ดังที่ 2 พงศาวดาร 21:4-26:23 บันทึกไว้ว่ามีหลายช่วงสมัย  (อาหัสยาห์, โยอาช, อามาชิยาห์) ก่อนจะถึงสมัยของ อุสซียาห์

1:11     “โยสิยาห์มีบุตร” (Josiah the father) –ก็เช่นเดียวกันกับในข้อ 8

ในตอนนี้ โยสิยาห์ถูกเรียกว่า “บิดา” ของ เยโคนิยาห์ (เยโฮยาคีน)  ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วพระองค์เป็นบิดาของเอลียาคิม (เยโฮยาคิม) กับเยโฮอาหาส  แต่เป็นปู่ของเยโฮยาคีน (2พศด. 36:1-9;1พศด 3:16)

1:12     “เชอัลทิเอลมีบุตร” (shealtiel the father..)

= ในตอนนี้กล่าวว่า เชอัลทิเอล มีบุตรชื่อ เศรุบบาเบล  แต่ที่จริงแล้ว พระองค์เป็นปู่ของเศรุบบาเบล (1พศด.3:17-18)

1:16     “โยเซฟ สามีของนางมารีย์” (Joseph the husband of Mary)

= น่าสนใจที่มัทธิวไม่ได้พูดว่า โยเซฟเป็นบิดาของพระเยซู เพียงแต่พูดว่า เขาเป็นสามีของมารีย์ และพระเยซูบังเกิดจากเธอ

ในลำดับพงศ์พันธ์นี้ มัทธิวแสดงให้เห็นว่า แม้พระเยซูคริสต์ไม่ได้เป็นบุตรทางกายภาพของโยเซฟ แต่พระองค์ก็เป็นบุตรที่ชอบธรรมตามกฎหมาย

จึงนับ ได้ ว่า เป็นเชื้อสายของดาวิด

1:17     “สิบสี่ชั่วคน…สิบสี่ชั่วคน”  (fourteen generations…… fourteen …….fourteen)

= การแบ่งพงศ์พันธุ์ในลักษณะนี้ สะท้อนให้เห็นลักษณะเฉพาะตัวของพระธรรมมัทธิว ดังนี้

1)      มัทธิว ชอบเล่าเรื่องตัวเลข

2)      มัทธิว สนใจการจัดเรื่องราวให้เป็นระบบ

หมายเลข 14 นั้นเข้าใจว่า มาจาก หมายเลข 7×2 ซึ่งปกติ  7 เป็นเลขแห่งความสมบูรณ์ และยังเป็นจำนวนมูลค่ารวมของตัวอักษรในคำว่า “ดาวิด” อีกด้วย (วว. 13:18) อย่างเช่น มัทธิว ไม่ได้บันทึกชื่อคนทุกคน ในพงศ์พันธุ์ระหว่างอับราฮัม และดาวิด (ข.2-6), ระหว่างดาวิดถึงช่วงอพยพ (ข.6-11)  และระหว่างการอพยพถึงพระเยซู (ข.12-16) –การนับคนในตระกูลของชาวยิวไม่จำเป็นต้องนับชื่อทุกคน

อย่างไรก็ตาม รายชื่อพงศ์พันธุ์ของมัทธิว ตอบคำถามสำคัญมากที่ชาวยิวมักจะถาม  นั่นคือ  คนที่อ้างตนว่าเป็นกษัตริย์นั้นเป็นลูกหลานของดาวิดตามเชื้อสายที่มีสิทธิครอบครองบัลลังก์หรือไม่?

และมัทธิวตอบชัดเจนว่า พระเยซูคือเชื้อสายอันชอบธรรมของดาวิด!

คำถามนำอภิปราย

  1. ทำไมมัทธิว จึงโยงลำดับพงศ์พันธ์ของพระเยซูคริสต์ ไปโดยตรงที่ “ดาวิด” แทนที่จะเป็นที่ “อับราฮัม” ?
  2. ทำไมมัทธิว จึงเน้นตัวเลข “14 “ ในการจัดลำดับพงศ์พันธ์เชื้อสายของพระเยซูคริสต์?
  3. ในลำดับพงศ์พันธ์ของพระเยซูคริสต์ มีรายนามของผู้หญิงกี่คน?   ใครบ้าง?  คนเหล่านั้นมีความเป็นมาและสำคัญอย่างไร?  ทำไมพระเจ้าทรงเรียกและใช้พวกเธอ?
  4. คุณได้รับบทเรียนอะไรจากการที่พระเจ้าทรงเลือกพวกเธอให้เป็นบรรพบุรุษของพระเยซูคริสต์ และมัทธิวเองก็ เอ่ยถึงนามของพวกเธอในบทนี้?

4.1 มัทธิว ไม่เขียนว่า “โยเซฟ มีบุตรชื่อพระเยซู” หรือ “พระเยซูเป็นบุตรของโยเซฟ” แต่ใช้คำเพียงว่า “โยเซฟ สามีของมารีย์….พระเยซู….ก็ทรงบังเกิดมาจากนางมารีย์”  คุณคิดว่า ทำไมมัทธิวจึงเขียนเช่นนั้น เขามีเจตนาอะไรเป็นพิเศษหรือไม่?   อย่างไร?

4.2 ทำไมพระเจ้าจึงยอมให้ชนชาติอิสราเอลต้องทนทุกข์จากการถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่บาบิโลนด้วย?  ทำไมพระองค์ไม่ช่วยเหลือปกป้องพวกเขาในฐานะที่เป็นชนชาติของพระองค์?

5. คุณได้รับบทเรียนอะไรจากเรื่องนี้บ้าง?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 19)

ศึกสายเลือด!

 

พระธรรม        1พงศ์กษัตริย์ 15:1-34

อ้างอิง             1พกษ.14:10;11:3;14:24;2ซมอ.11:1-27;2พศด.13:3-21;15:8-15

บทนำ               เมื่อใดที่คนในชาติหรือในครอบครัวขัดแย้งและสู้รบกันเอง ที่นั่นมีแต่หายนะและความเจ็บปวด!

และสาเหตุที่ทำให้เกิดการฟาดฟันหรือกัดและกินเนื้อซึ่งกันและกันนั้นมักจะมาจากความบาปแห่งการไม่เชื่อฟัง  พระบัญญัติแห่งความรักของพระเจ้า!

บทเรียน

15:1 “ในปีที่สิบแปดแห่งรัชกาลเยโรโบอัมบุตรเนบัท อาบียัมทรงครองยูดาห์

           (Now in the eighteenth year of King Jeroboam the son of Nebat, Abijam began to reign over Judah.)

15:2 “พระองค์ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็มสามปีพระนามของพระราชมารดาคือ มาอาคาห์บุตรหญิงของอาบีชาโลม

       (He reigned for three years in Jerusalem. His mother’s name was Maacah the daughter of Abishalom.)

15:3 “พระองค์ ทรงดำเนินตามบาปทุกอย่าง ซึ่งพระราชบิดาของพระองค์ทรงทำต่อพระพักตร์พระองค์และพระทัยของ​ พระองค์ก็ไม่ภักดีต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของ พระองค์ ไม่เหมือนอย่างพระทัยของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์

  (And he walked in all the sins that his father did before him, and his heart was not wholly true to the  Lord his God, as the heart of David his father. )

15:4 “อย่างไรก็ดี เพราะเห็นแก่ดาวิด พระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์ได้ประทานประทีปอันหนึ่งแก่ อาบียัมในกรุงเยรูซาเล็ม คือทรงตั้งพระราชโอรสแทน และทรงสถาปนากรุงเยรูซาเล็ม

(Nevertheless, for David’s sake the Lord his God gave him a lamp in Jerusalem, setting up his son  after him, and establishing Jerusalem, )

15:5 “เพราะว่าดาวิดทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ และไม่ได้หันไปจากสิ่งใด ซึ่งพระเจ้าทรงบัญชา​ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ นอกจากเรื่องอุรียาห์คนฮิตไทต์

 (because David did what was right in the eyes of the Lord and did not turn aside from anything that he commanded him all the days of his life, except in the matter of Uriah the Hittite. )

15:6 “มีสงครามระหว่างเรโหโบอัมกับเยโรโบอัม ตลอดพระชนม์ชีพของอาบียัม

        (Now there was war between Rehoboam and Jeroboam all the days of his life. )

15:7 “พระราชกิจอื่นๆ ของอาบียัม และทุกสิ่งที่ทรงทำ ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ?และมีสงครามระหว่างอาบียัมและเยโรโบอัม

       (The rest of the acts of Abijam and all that he did, are they not written in the Book of the Chronicles  of the Kings of Judah? And there was war between Abijam and Jeroboam. )

15:8 “อาบียัมก็ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาได้ฝังพระศพของพระองค์ไว้ในนครดาวิด และอาสา​พระราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองราชย์แทน

(And Abijam slept with his fathers, and they buried him in the city of David. And Asa his son reigned   in his place. )

15:9 “ในปีที่ยี่สิบแห่งรัชกาลเยโรโบอัมพระราชาแห่งอิสราเอล อาสาได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระราชาแห่งยูดาห์

        (In the twentieth year of Jeroboam king of Israel, Asa began to reign over Judah, )

15:10 “และทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 41 ปี พระอัยกีของพระองค์มีพระนามว่ามาอาคาห์บุตรหญิงของอาบีชาโลม

       (and he reigned forty-one years in Jerusalem. His mother’s name was Maacah the daughter of  Abishalom.)

15:11 “อาสาทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ เหมือนอย่างดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์

        (And Asa did what was right in the eyes of the Lord, as David his father had done. )

15:12 “พระองค์ทรงกวาดล้างพวกเทวทาสเสียจากแผ่นดิน และรื้อถอนรูปเคารพทั้งสิ้น ซึ่งบรรพบุรุษของพระองค์ทำไว้

         (He put away the male cult prostitutes out of the land and removed all the idols that his fathers   had made.)

15:13 “และพระองค์ทรงถอดมาอาคาห์พระอัยกีจากตำแหน่งพระราชชนนี เพราะพระนางทำรูปเคารพน่าเกลียดน่าชังเพื่อ​พระอาเช-ราห์ และอาสาทรงทำลายรูปเคารพของพระนาง และทรงเผาเสียที่ลำธารขิดโรน

  (He also removed Maacah his mother from being queen mother because she had made an abominable image for Asherah. And Asa cut down her image and burned it at the brook Kidron. )

15:14 “แต่ปูชนียสถานสูงต่างๆ ยังไม่ได้ถูกกำจัด ถึงอย่างนั้น พระทัยของอาสาก็ภักดีต่อพระยาห์เวห์ตลอดรัชสมัยของ​พระองค์

  (But the high places were not taken away. Nevertheless, the heart of Asa was wholly true to the  Lord all his days. )

15:15 “พระองค์ทรงนำของที่พระราชบิดาของพระองค์ และของที่พระองค์เองทรงอุทิศถวาย เข้าไปในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ได้แก่ เงิน ทองคำ และเครื่องใช้ต่าง ๆ

  (And he brought into the house of the Lord the sacred gifts of his father and his own sacred  gifts, silver, and gold, and vessels. )

15:16 “มีสงครามระหว่างอาสากับบาอาชาพระราชาแห่งอิสราเอล ตลอดสมัยของพระองค์ทั้งสอง

         (And there was war between Asa and Baasha king of Israel all their days. )

15:17 “บาอาชา พระราชาแห่งอิสราเอลได้ทรงขึ้นมาต่อสู้กับยูดาห์ และได้สร้างเมืองรามาห์ เพื่อไม่ให้ใครเข้าไปเฝ้าหรือ​ออกมาจากอาสาพระราชาแห่งยูดาห์

    (Baasha king of Israel went up against Judah and built Ramah, that he might permit no one to go out or come in to Asa king of Judah. )

15:18 “แล้วอาสาทรงเอาเงินและทองคำทั้งหมด ซึ่งเหลืออยู่ในคลังแห่งพระนิเวศของพระยาห์เวห์และในคลังแห่งพระราช‍วังของพระราชา มอบไว้ในมือของข้าราชการของพระองค์ และกษัตริย์อาสาทรงใช้พวกเขาไปเฝ้าเบนฮาดัด​ พระราชโอรสของทับริมโมน ผู้เป็นพระราชโอรสของเฮซีโอนกษัตริย์แห่งซีเรีย ผู้ประทับในเมืองดามัสกัส ทูลว่า

(Then Asa took all the silver and the gold that were left in the treasures of the house of the Lord and the treasures of the king’s house and gave them into the hands of his servants. And King Asa sent them to Ben-hadad the son of Tabrimmon, the son of Hezion, king of Syria, who lived In Damascus, saying, )

15:19 “ขอให้มีสนธิสัญญาระหว่างข้าพเจ้ากับท่าน ดังที่มีอยู่ระหว่างพระราชบิดาของข้าพเจ้าและของท่าน นี่แน่ะข้าพเจ้า​ ส่งบรรณาการเป็นเงินและทองคำมายังท่าน ขอท่านจงไปยกเลิกสนธิสัญญาของท่านที่มีกับบาอาชาพระราชา แห่งอิสราเอลเสีย เพื่อเขาจะถอยทัพไปจากข้าพเจ้า

   (“Let there be a covenant between me and you, as there was between my father and your father.   Behold, I am sending to you a present of silver and gold. Go, break your covenant with Baasha  king of Israel, that he may withdraw from me.” )

15:20 “แล้วเบนฮาดัดก็ทรงฟังกษัตริย์อาสา และส่งบรรดาผู้บัญชาการกองทัพของพระองค์ไปสู้กับเมืองต่างๆ ของ​ อิสราเอล และเขาได้โจมตีเมืองอิโยน เมืองดาน เมืองอาเบลเบธมาอาคาห์ และดินแดนคินเนโรททั้งหมด และดิน แดนนัฟทาลีทั้งหมด

 (And Ben-hadad listened to King Asa and sent the commanders of his armies against the cities of Israel and conquered Ijon,Dan,Abel-beth-maacah, and all Chinneroth, with all the land of Naphtali.)

15:21 “เมื่อบาอาชาทรงทราบเรื่อง พระองค์ก็ทรงหยุดสร้างเมืองรามาห์ และพระองค์ประทับที่เมืองทีรซาห์

         (And when Baasha heard of it, he stopped building Ramah, and he lived in Tirzah.)

15:22 “แล้วกษัตริย์อาสาทรงประกาศไปทั่วยูดาห์ ไม่ยกเว้นใครเลย และเขาทั้งหลายขนหินของเมืองรามาห์และไม้ของ​เมืองนั้นซึ่งบาอาชาทรงใช้สร้างอยู่นั้น กษัตริย์อาสาก็ทรงเอามาสร้างเมืองเกบาแห่งเบนยามินและเมืองมิสปาห์

  (Then King Asa made a proclamation to all Judah, none was exempt, and they carried away the  stones of Ramah and its timber, with which Baasha had been building, and with them King Asa  built Geba of Benjamin and Mizpah. )

15:23 “พระราชกิจ อื่นๆ ทั้งหมดของอาสา รวมทั้งพระราชอำนาจทั้งสิ้นของพระองค์ และทุกสิ่งซึ่งทรงกระทำและเมือง​ต่างๆ ซึ่งพระองค์ทรงสร้าง ได้บันทึกไว้ในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? แต่เมื่อทรงพระชราแล้ว ก็เกิดพระโรคขึ้นที่พระบาท

  (Now the rest of all the acts of Asa, all his might, and all that he did, and the cities that he built, are they not written in the Book of the Chronicles of the Kings of Judah? But in his old age he was  diseased in his feet. )

15:24 “และอาสาก็ทรงล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์ และเขาฝังพระศพไว้กับบรรพบุรุษของพระองค์ในนคร​ดาวิดบรรพชนของพระองค์ และเยโฮชาฟัทพระราชโอรสของพระองค์ก็ขึ้นครองราชย์แทน

(And Asa slept with his fathers and was buried with his fathers in the city of David his father, and Jehoshaphat his son reigned in his place. )

15:25 “นาดับพระราชโอรสของเยโรโบอัม ทรงครองอิสราเอลในปีที่สองแห่งรัชกาลอาสาพระราชาแห่งยูดาห์ และทรง​ครองอิสราเอลสองปี

(Nadab the son of Jeroboam began to reign over Israel in the second year of Asa king of Judah,  and he reigned over Israel two years. )

15:26 “พระองค์ทรงทำชั่วในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ และทรงดำเนินในทางของพระราชบิดาของพระองค์และใน​บาปซึ่งทรงทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย

  (He did what was evil in the sight of the Lord and walked in the way of his father, and in his sin  which he made Israel to sin. )

15:27 “บาอาชาบุตรอาหิยาห์เชื้อสายของยิสสาคาร์คิดกบฏต่อพระองค์และบาอาชาประหารพระองค์เสียที่เมืองกิบเบโธน ซึ่งเป็นของฟีลิสเตีย เพราะนาดับและคนอิสราเอลทั้งสิ้นกำลังล้อมเมืองกิบเบโธนอยู่

(Baasha the son of Ahijah, of the house of Issachar, conspired against him. And Baasha struck him down at Gibbethon, which belonged to the Philistines, for Nadab and all Israel were laying siege to  Gibbethon. )

15:28 “ดังนั้นบาอาชาจึงฆ่าพระองค์เสียในปีที่สามแห่งรัชกาลอาสากษัตริย์แห่งยูดาห์ และขึ้นครองราชย์แทน

   (So Baasha killed him in the third year of Asa king of Judah and reigned in his place. )

15:29 “พอทรงเป็นกษัตริย์ ก็ประหารราชวงศ์ของเยโรโบอัมเสียสิ้น ไม่มีใครรอดมาได้สักคนเดียวเลย พระองค์ทรงทำลาย​เสียสิ้นตามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ ซึ่งตรัสโดยผู้รับใช้ของพระองค์คืออาหิยาห์ชาวชีโลห์

(And as soon as he was king, he killed all the house of Jeroboam. He left to the house of Jeroboam   not one that breathed, until he had destroyed it, according to the word of the Lord that he spoke by his servant Ahijah the Shilonite. )

15:30 “เป็นเพราะบาปต่างๆ ของเยโรโบอัมที่ได้ทรงกระทำ และซึ่งพระองค์ได้ทรงทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย และเพราะ​พระองค์ทรงทำให้พระยาห์เวห์พระเจ้าของอิสราเอลทรง พระพิโรธ

 (It was for the sins of Jeroboam that he sinned and that he made Israel to sin, and because of the  anger to which he provoked the Lord, the God of Israel. )

15:31 “ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของนาดับ และทุกสิ่งซึ่งทรงกระทำ ได้บันทึกในหนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่ใช่หรือ?”
(Now the rest of the acts of Nadab and all that he did, are they not written in the Book of the  Chronicles of the Kings of Israel?)

15:32 “มีสงครามระหว่างอาสากับบาอาชาพระราชาแห่งอิสราเอล ตลอดสมัยของทั้งสองพระองค์

           (And there was war between Asa and Baasha king of Israel all their days. )

15:33 “ในปีที่สามแห่งรัชกาลอาสาพระราชาแห่งยูดาห์ บาอาชาบุตรอาหิยาห์ทรงครองอิสราเอลทั้งหมดที่เมืองทีรซาห์ ​ เป็นเวลา 24 ปี”

   (In the third year of Asa king of Judah, Baasha the son of Ahijah began to reign over all Israel at Tirzah, and he reigned twenty-four years. )

15:34 “พระองค์ทรงทำชั่วในสายพระเนตรพระยาห์เวห์ และดำเนินในทางของเยโรโบอัม และในบาปของพระองค์ซึ่งทรงทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย

        (He did what was evil in the sight of the Lord and walked in the way of Jeroboam and in his sin  which he made Israel to sin. )

ข้อมูลมีประโยชน์

15:1     “อาบียัม”(Abijam) =เรียกอีกชื่อว่า “อาบียาห์” (14:1) ทั้งเรโหโบอัมและเยโรโบอัมต่างมีบุตรชื่อเดียวกันนี้

“ในปีที่ 18 แห่งรัชกาลเยโรโบอัม” (in the eighteenth year of King Jeroboam) = เป็นครั้งแรกใน 1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ ซึ่งมีการ เชื่อมโยงการครองราชย์ของกษัตริย์ฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ และจะมีการกล่าวถึงเช่นนี้ต่อไปอีกหลายครั้ง (ข.9,25,33;16:8,15,29)

15:2     “3 ปี” (three years) = 913-910 ก.ค.ศ  “มาอาคาห์บุตรหญิงของอาบีซาโลม” (   Maacah the daughter of Abishalom)  – ใน 2พศด.13:2 บอกว่า มารดาของอาบียาห์ เป็นบุตรสาวของอุรีเอลแห่งกิเบอาห์

-เป็นไปได้ว่า แท้จริงมาอาคาห์ เป็นหลานสาวของอับซาโลม และเป็นบุตรสาวที่เกิดจากการแต่งงานของทามาร์ (2ซมอ.14:27) และอุรีเอล – แม่ของอับซาโลมก็มีชื่อ มาอาคาห์ เช่นกัน (2ซมอ.3:3)

15:3     “บาปทุกอย่างของพระราชบิดา” (all the sins that his father   )  -14:22-24

“ไม่ภักดีต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์” ( not wholly true to the Lord his God) = ไม่เหมือนดาวิดที่แม้จะทำบาปร้ายแรง แต่จิตใจของพระองค์ไม่เคยหันเหจากการนมัสการพระเจ้าไปนมัสการพระใด ๆ

15:4     “ประทีปอันหนึ่งแก่อาบียัมในกรุงเยรูซาเล็ม”  (  a lamp in Jerusalem) -11:36

15:7     “พระราชกิจอื่น ๆ ของอาบียัม” (The rest of the acts of Abijam            ) –2พศด.13

“หนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์”( the Book of the Chronicles of the Kings of Judah) -14:29

“สงครามระหว่างอาบียัมและเยโรโบอัม” (war between Abijam and Jeroboam  ) –ปท. ข้อ 6;14:30;2พศด.13

-จะเห็นได้ชัดว่า ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีที่เรื้อรังได้ปะทุกลายเป็นสงครามสู้รบกันอย่างจริงจัง โดยอาบียาห์ได้พิชิตเยโรโบอัม และยึดเมืองไปหลายเมือง รวมถึงเบธเอลด้วย (2พศด.13:19)

15:8     “อาบียัมก็ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ” (Abijam slept with his fathers) -1:21

15:9     “ปีที่ยี่สิบแห่งรัชกาลเยโรโบอัม” (In the twentieth year of Jeroboam) = 910 ก.ค.ศ. (14:20)

15:10   “(อาสา)ครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 41 ปี” (he reigned forty-one years in Jerusalem) =910-869 ก.ค.ศ

“พระอัยกี…มีพระนามว่า มาอาคาห์บุตรหญิงของอาบีซาโลม” (His mother’s name was Maacah the daughter of Abishalom) = เสด็จย่าของพระองค์คือ มาอาคาห์ (ข.2)

15:12   “เทวทาส” (the male cult prostitutes) = โสเภณีชายประจำเทวสถาน (14:24)

“รื้อถอนรูปเคารพทิ้งสิ้น” (removed all the idols) -14:23;ลนต.26:30

15:13   “ถอดมาอาคาห์ พระอัยกีจากตำแหน่งพระราชชนนี” (removed Maacah his mother from being queen mother) = ถอดเสด็จย่า

–2พศด.14:1-15:16 ได้บรรยายความคืบหน้าการปฏิรูปของอาสาหลายปี อาสาทำลายรูปเคารพและแท่นบูชาต่างชาติ ตั้งแต่ช่วงต้นรัชกาล (2พศด.14:2-3)

จากนั้นหลังมีชัยต่อเศราห์ชาวคูช (2พศด.14:8-15) และหลังจากการประชุมเพื่อฟื้นฟูพันธสัญญาในเยรูซาเล็ม ในปี 15 ของรัชกาล (2พศด.15:10) พระองค์ปลดย่าเนื่องจากนับถือรูปเคารพ (2พศด.15:16)

“พระนางทำรูปเคารพน่าเกลียดน่าชังเพื่อพระอาเชราห์” (she had made an abominable image for Asherah) = สร้างเสาเจ้าแม่อาเซราห์อันน่ารังเกียจ -14:15

-มาอาคาห์คงตั้งใจทำเช่นนี้เพื่อประชดประชันการปฏิรูปของอาสา

15:14   “แต่ปูชนียสถานสูงต่าง ๆ ยังไม่ได้ถูกกำจัด” (But the high places were not taken away) –2พศด.

15:17- อ้างถึงสถานบูชาบนที่สูงที่ใช้ในการ (3:2), ใน 2พศด.14:3 อาสารื้อสถานบูชาบนที่สูงซึ่งเป็นศูนย์กลางการนมัสการพระต่างชาติของคนคานาอัน (2พศด.17:6;20:33)     วลีดังกล่าวนี้ยังถูกกล่าวถึงในสมัยของกษัตริย์ยูดาห์อีก 5 องค์ คือในสมัยของ

  1. เยโฮยาฟัท (22:43) ;2. โยอาช (2พกษ.12:3); 3. อามาชิยาห์ (2พกษ.14:4); 4. อาซาริยาห์ (2พกษ.15:4) ; 5. โยธาม (2พกษ.15:35)

15:15   “เงิน ทองคำ และเครื่องใช้ต่าง ๆ” (silver, and gold, and vessels) = ส่วนใหญคือทรัพย์สินที่อาบิยาห์ยึดมาได้จากการทำสงครามกับเยโรโบอัม (2พศด.13) และจากเศราห์ชาวคูช (2พศด.14:8-15)

15:16   “มีสงครามระหว่างอาสากับบาอาชา พระราชาแห่งอิสราเอลตลอดสมัยของพระองค์ทั้งสอง”

(was war between Asa and Baasha king of Israel all their days.)

–อ้างอิงถึงความเป็นปรปักษ์ต่อกันที่มีมาตั้งแต่ก่อนจะแบ่งแยกอาณาจักร (ข.7,12:24;2พศด.15:19)

15:17   “สร้างเมืองรามาห์” (built Ramah) = สร้างป้อมปราการที่เมืองรามาห์ บาอาชาได้ชิง ดินแดนที่อาบียาห์แย่งไปจากเยโรโบอัมกลับมา (ข.7;2พศด.13:19) เนื่องจากรามาห์อยู่ทางใต้ของเบธเอลและประมาณ 8 กม.เหนือเยรูซาเล็ม

“เพื่อไม่ให้ใครเข้าไปเฝ้าหรือออกมาจากอาสาพระราชายูดาห์” (permit no one to go out or come in to Asa king of Judah   ) = ปิดทางเข้าออกสู่เขตแดนของกษัตริย์อาสา (2พศด.15:9-10)

15:18   “เอาเงินและทองคำทั้งหมด” (all the silver and the gold) = ที่เหลือจากการที่ชิชักแห่งอียิปต์ปล้น

สะดมจากเยรูซาเล็ม  (14:25)

15:19   “ขอให้มีสนธิสัญญาระหว่างข้าพระเจ้ากับท่าน ดังที่มีอยู่ระหว่างพระราชบิดาของข้าพเจ้าและของท่าน“ (be a covenant between me and you, as there was between my father and your father)

= ขอให้เราเป็นพันธมิตรกันเหมือนพระราชบิดาของเราทั้งสอง

= การอ้างถึงการเป็นพันธมิตรของอาบียาห์และทับริมโมน แห่งอารัมที่ไม่เคยกล่าวถึงก่อนหน้านี้ เมื่อทับริมโมนเสียชีวิต บาอาชาประสบความสำเร็จในการผูกมิตรไมตรีกับเบนฮาดัดผู้สืบทอด อาสาเห็นว่าไม่มีทางชนะบาอาชาได้ หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากอารัม แม้ท่านจะทำสำเร็จ แต่ฮานานีผู้ทำนายก็ตำหนิว่า เป็นการกระทำที่โง่เขลา และปฏิเสธพระเจ้า (2พศด.16:7-10) ในการเชื่อวางใจให้พระองค์ปกป้องและคุ้มครอง (1ซมอ.17:11) ต่อมาอาหัสก็จะทำตามอย่างอาสาโดยขอความช่วยเหลือจากอัสซีเรีย เมื่อถูกอิสราเอลและอารัมโจมตี (2พกษ.16:5-9;อสย.7)

15:20   “นัฟทาลี” (Naphtali) = เมืองที่เบนฮาดัดพิชิตซึ่งมีความสำคัญเป็นพิเศษเพราะเส้นทางการค้าหลัก ๆ จากดามัสกัสไปยังไทระทางด้านตะวันตกและไปที่ราบชายฝั่งและอียิปต์ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ ผ่านที่ราบยิสราเอลนั้น มาตัดกันในบริเวณนี้

-ต่อมาภายหลังพื้นที่นี้ถูกทิกลักปิเลเซอร์ที่ 3 แห่งอัสซีเรียยึดครอง (2พกษ.15:29)

15:21   “เมืองทีรซาร์” (Tirzah) -14:17

15:22   “ประกาศไปทั่วยูดาห์ไม่ยกเว้นใครเลย” (proclamation to all Judah, none was exempt  )

= เกณฑ์ทุกคนในยูดาห์ เป็นพฤติกรรมของอาสาที่คล้ายๆ กับที่ซาโลมอนเกณฑ์แรงงาน (5:13-14;11:28)

“เกบา…มิสปาห์” (Geba of Benjamin and Mizpah) = อาสาสร้างป้อมชายแดนไว้ 2 ป้อมเพื่อป้องกันไม่ให้บาอาชาขยายเขตแดนมาทางใต้  เกบาอยู่ทางตะวันออกของรามาห์ และมิสปาห์ อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของรามาห์

15:23   “พระราชกิจอื่น ๆ ทั้งหมดของอาสา” (all the acts of Asa) 2พศด.14:2-16:14

“ทรงประชวร…พระโรคขึ้นที่พระบาท” (he was diseased in his feet.) –2พศด.16:12

15:24   “เยโฮชาฟัทพระราชโอกาสของพระองค์ขึ้นครองราชย์แทน” (ehoshaphat his son reigned in his place.) -22:41-50;2พศด.17:1-21:1

15:25   “ปีที่สอง” (second year ) – ดูข้อ 1, ปีที่ 2 ของรัชกาลอาสาแห่งยูดาห์ตรงกับปีที่ 22 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของ   เยโรโบอัมแห่งอิสราเอล (ข.9,14:20)

“สองปี” (two years) = ปี 909-908 ก.ค.ศ.

15:26   “ในบาปซึ่งทรงทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย” (his sin which he made Israel to sin) -14:16

แม้อาบียาห์แห่งยูดาห์จะครอบครองเบธเอล ในช่วงรัชกาลของเยโรโบอัม (ข.7) แต่เป็นไปได้ว่าการนมัสการพระต่างชาติที่เยโรโบอัมได้เริ่มต้นไว้ยังคงดำเนินต่อไปในที่อื่นๆ จนกะะทั่งบาอาชายึดเบธเอลกลับคืนไปได้

15:27   “เมืองกิเบโธน” (Gibbethon) = เมืองที่ตั้งอยู่ระหว่างเยรูซาเล็มและยัฟฟา (คงห่างจากเกเซอร์ไปทางตะวันตกเพียงไม่กี่กิโลเมตร ในเขตแดนที่ดั้งเดิมถูกจัดสรรให้แก่เผ่าดาน (ยชว.19:43-45)

-เมืองคนเลวีเมืองนี้(ยชว.21:23) คงจะตกเป็นของฟิลิสเตียในช่วงที่ฟิลิสเตียขยายอาณาจักรในยุคผู้วินิจฉัย

15:28   “ปีที่สามแห่งรัชกาลอาสา” (the third year of Asa) = ปี 908 ก.ค.ศ. บาอาชาน่าจะเป็นแม่ทัพในกองทัพของนาดับ และได้รับการสนับสนุนจากกองทัพให้ก่อการยึดบัลลังก์

15:29   “ตามพระดำรัสของพระยาห์เวห์” (the word of the Lord ) = ตามที่พระเจ้าตรัสผ่านทางอาหิยาห์ใน 14:10-11

15:30   “บาปต่าง ๆ ของเยโรโบอัมที่ได้ทรงกระทำ” (sins of Jeroboam that he sinned  )= บาปของเยโรโบอัมเป็นที่เกลียดชังของพระเจ้า เพราะไม่เพียงแค่ท่านกระทำ แต่ยังนำคนอื่นให้กระทำตามด้วย (14:16)

15:32   “มีสงครามระหว่างอาสากับบาอาชา…ตลอดสมัยของทั้งสองพระองค์” (was war between Asa and Baasha king of Israel all their days.) = การล่มสลายของราชวงศ์เยโรโบอัม ไม่ได้ช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 อาณาจักรดีขึ้น

15:33   “ในปีที่สามแห่งรัชกาลอาสา” (In the third year of Asa) = ปี 908  ก.ค.ศ.

          “เป็นเวลา 24 ปี” (twenty-four years) = ปี 908-886 ก.ค.ศ.

ปีครองรายช์อย่างเป็นทางการนั้นนับเป็น 24 ปี แม้ว่าจริง ๆ แล้วจะครองเพียง 23 ปี (16:8)

15:34   “ในบาปของพระองค์ ซึ่งทรงทำให้อิสราเอลทำบาปด้วย” (in his sin which he made Israel to sin.)

-14:16 = คำตัดสินว่า การครองราชย์ของบาอาชา ไม่ได้ดีไปกว่าการครองราชย์ของนาดับก่อนหน้านี้เลย (ข.26)

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยรู้สึกผิดหวังกับการที่ผู้ปกครองหรือผู้นำประเทศกระทำผิดบาปบ้างหรือไม่?  ในสมัยของใครในช่วงใด? และเรื่องอะไร?
  2. คุณรู้สึกเบื่อหน่ายกับการขัดแย้งหรือการต่อสู้กันเองระหว่างคนในชาติหรือไม่? โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเหตุการณ์อะไร? และสิ่งนี้สอนอะไรคุณบ้าง?
  3. มีเหตุการณ์ใดบ้างที่เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้คุณชื่นใจจากการกระทำของผู้ปกครอง(รัฐบาล/สถาบันกษัตริย์)? ในเรื่องอะไร? ทำไมจึงทำให้รู้สึกพึงพอใจ?
  4. มีเหตุการณ์ใดที่คุณภาคภูมิใจกับความกล้าหาญในการจัดการหรือกำจัดบุคคล(ผู้มีอำนาจ/อิทธิพลสูง) หรือสิ่งที่น่ารังเกียจในแผ่นดินไทย?  ใครเป็นผู้กระทำ และกระทำต่อผู้ใด? ในเรื่องอะไร? ผลที่เกิดขึ้นคืออะไร?
  5. มีเหตุการณ์ใดบ้างที่ประเทศไทยต้องจ่ายราคาสูงจากการเป็นพันธมิตรกับบางประเทศเพื่อรักษาเสถียรภาพของประเทศ? คุณคิดว่าคุ้มหรือไม่?   ทำไม?
  6. มีบาปอะไรบ้างที่คนไทยทำต่อเนื่องกันมาอย่างยาวนานที่นำภัยและปัญหามาสู่ประเทศชาติของเรา? และเราควรจะมีส่วนร่วมแก้ไขหรือกำจัดบาปเหล่านั้นได้อย่างไรบ้าง?
  7. คุณได้เห็นหรือได้รับบทเรียนอะไรเป็นพิเศษจากพระธรรมในตอนนี้ (15:1-34)?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์