Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 5)

ผิดกลับถูก ถูกกลับผิด!

พระธรรม        2พงศ์กษัตริย์ 5:1-27

อ้างอิง               1พกษ.20:7;5:5,16,20-22,26;2พกษ.6:21-23,21;7:2;13:20;19:14;24:2

บทนำ           น่าแปลกใจที่บางครั้งคนบางคนที่เริ่มต้นประพฤติตัวไม่ถูกต้องกลับกลับใจและประพฤติตนเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ในขณะที่คน(ของพระจ้า)บางคนที่เริ่มต้นปรนนิบัติพระเจ้าประหนึ่งคนที่น่าเชื่อถือ แต่กลับปล่อยให้ความโลภหรือเนื้อหนังครอบงำความคิดจิตใจทำให้เสียคนในบั้นปลายและลูกหลานต้องได้รับทุกข์ภัยโดยไม่สมควร!

บทเรียน

5:1 “นาอามาน​ผู้​บัญชา​การ​กองทัพ​ของ​พระราชา​แห่ง​ซีเรีย เป็น​คน​สำคัญ​มาก​ของ​พระราชา เป็น​คน​มี​เกียรติ เพราะ‌ว่า​พระยาห์เวห์​ประทาน​ชัยชนะ​แก่​ซีเรีย​โดย​ท่าน​นี้ ท่าน​เป็น​นักรบ​กล้าหาญ​ด้วย แต่​ท่าน​เป็น​โรค​เรื้อน”

     ( Naaman, commander of the army of the king of Syria, was a great man with his master and in  high favor, because by him the Lord had given victory to Syria. He was a mighty man of valor, but

     he was a leper. )

5:2 “กอง​โจม​ตี​ของ​คน​ซีเรีย​ได้​ออก​ไป และ​ได้​จับ​เด็กหญิง​คน​หนึ่ง​จาก​แผ่นดิน​อิสราเอล และ​เธอ​มา​รับ​ใช้​ภรรยา​ของ​นาอามาน”

      (Now the Syrians on one of their raids had carried off a little girl from the land of Israel, and she  worked in the service of Naaman’s wife. )

5:3 “เธอ​ได้​เรียน​นาย​ผู้หญิง​ของ​เธอ​ว่า “เพียง​แค่​นาย​ผู้ชาย​ไป​อยู่​กับ​ผู้​เผย​พระวจนะ​ซึ่ง​อยู่​ใน​ สะมาเรีย แล้ว​ท่าน​จะ​ได้​รักษา​โรค​เรื้อน​ของ​เจ้านาย​เสีย​ให้​หาย”

     (She said to her mistress, “Would that my lord were with the prophet who is in Samaria! He would  cure him of his leprosy.” )

5:4 “นาอามาน​จึง​ไป​ทูล​เจ้านาย​ของ​ท่าน​ว่า สาวใช้​จาก​แผ่นดิน​อิสราเอล​พูด​ว่า​อย่างนั้น”

      (So Naaman went in and told his lord, “Thus and so spoke the girl from the land of Israel.” )

5:5 “พระราชา​แห่ง​ซีเรีย​ตรัส​ว่า “จง​ไป​เถิด เรา​จะ​ส่งสาร​ไป​ยัง​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล” แล้ว​ท่าน​ก็​ไป นำ​เงิน 10   ตะลันต์ ทองคำ 6,000 เชเขล และ​เสื้อ​เที่ยว​งาน 10 ชุด​ไป​ด้วย”

       (And the king of Syria said, “Go now, and I will send a letter to the king of Israel.” So he went,  taking with him ten talents of silver, six thousand shekels of gold, and ten changes of clothing. )

5:6 “และ​ท่าน​ก็​นำ​สาร​ไป​ยัง​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล มี​ใจความ​ว่า “เมื่อ​สาร​นี้​มา​ถึง​ท่าน ขอ​ท่าน​ทราบ​ด้วย​ว่า เรา​ส่ง​นาอามาน​ข้าราชการ​ของ​เรา​มา​ยัง​ท่าน เพื่อ​ให้​ท่าน​รักษา​เขา​ให้​หาย​จาก​โรค​เรื้อน

         (And he brought the letter to the king of Israel, which read, “When this letter reaches you, know  that I have sent to you Naaman my servant, that you may cure him of his leprosy.”)

5:7 “เมื่อ​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​ทรง​อ่าน​สาร​นั้น​แล้ว ก็​ฉีก​ฉลอง​พระองค์ ตรัส​ว่า “เรา​เป็น​พระเจ้า​ซึ่ง​จะ​ให้​ตาย​และ​ให้​มี​ชีวิต​หรือ? ชาย​คน​นี้​จึง​ส่ง​สาร​มา​ให้​เรา​รักษา​คน​หนึ่ง​ให้​หาย​จาก​โรค​เรื้อน คิด​ดู​ซิ​ว่า เขา​หา​เรื่อง​ทะเลาะ​กับเรา​อย่างไร

       (And when the king of Israel read the letter, he tore his clothes and said, “Am I God, to kill and to  make alive, that this man sends word to me to cure a man of his leprosy? Only consider, and see

         how he is seeking a quarrel with me.”)

5:8 “แต่​เมื่อ​เอลีชา​คน​ของ​พระเจ้า​ได้​ยิน​ว่า พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​ฉีก​ฉลอง​พระองค์ จึง​ใช้​คน​ไป​ทูล​พระราชา​ว่า “ทำไม​ฝ่า​พระบาท​จึง​ฉีก​ฉลอง​พระองค์? ให้​เขา​มา​หา​ข้า​พระบาท​เถิด แล้ว​เขา​จะ​รู้​ว่า มี​ผู้​เผย​พระวจนะ​คน​หนึ่ง​ใน​ อิสราเอล

       (But when Elisha the man of God heard that the king of Israel had torn his clothes, he sent to the  king, saying, “Why have you torn your clothes? Let him come now to me, that he may know that

              there is a prophet in Israel.” )

5:9 “นาอามาน​จึง​มา​พร้อม​กับ​บรรดา​ม้า​และ​รถรบ​ของ​ท่าน มา​หยุด​อยู่​ที่​ประตู​บ้าน​ของ​เอลีชา”

             (So Naaman came with his horses and chariots and stood at the door of Elisha’s house. )

5:10 “เอลีชา ​ก็​ส่ง​ผู้​สื่อสาร​มา​เรียน​ท่าน​ว่า “จง​ไป​ชำระ​ตัว​ใน​แม่น้ำ​จอร์แดน​เจ็ด​ครั้ง และ​เนื้อ​ของ​ท่าน​จะ​กลับคืน​ อย่าง​เดิม และ​ท่าน​จะ​สะอาด

            (And Elisha sent a messenger to him, saying, “Go and wash in the Jordan seven times, and your   flesh shall be restored, and you shall be clean.” )

5:11 “แต่​นาอามาน​โกรธ​และ​ไป​เสีย บ่น​ว่า “ดูสิ ข้า​คิด​ว่า​เขา​จะ​ออก​มา​หา​ข้า​แน่ๆ และ​มา​ยืน​อยู่ และ​ออก​พระนาม​ ของ​พระยาห์เวห์​พระเจ้า​ของ​เขา แล้ว​โบกมือ​เหนือ​ที่​นั้น ให้​โรค​เรื้อน​หาย”

            (But Naaman was angry and went away, saying, “Behold, I thought that he would surely come  out to me and stand and call upon the name of the Lord his God, and wave his hand over the

                place and cure the leper. )

5:12 “อาบานา ​และ​ฟารปาร์​แม่น้ำ​เมือง​ดามัสกัส ไม่​ดี​กว่า​บรรดา​ลำน้ำ​แห่ง​อิสราเอล​หรือ? ข้า​จะ​ชำระ​ตัว​ใน​แม่น้ำ​เหล่า​นั้น และ​จะ​สะอาด​ไม่ได้​หรือ?” ท่าน​จึง​หัน​หลัง​ไป​เสีย​ด้วย​ความ​เดือดดาล”

                (Are not Abana and Pharpar, the rivers of Damascus, better than all the waters of Israel? Could I not wash in them and be clean?” So he turned and went away in a rage. )

5:13 “แต่​พวก​ข้า​ราชการ​ของ​ท่าน​เข้า​มา​ใกล้ และ​ทัดทาน​ท่าน​ว่า “บิดา​ของ​ข้าพเจ้า ถ้า​ผู้​เผย​พระวจนะ​จะ​สั่ง​ให้​ท่าน​ทำ​สิ่ง​ใหญ่​อย่าง​หนึ่ง ท่าน​จะ​ไม่​ทำ​หรือ? ถ้า​เช่นนั้น​เมื่อ​ผู้​เผย​พระวจนะ​สั่ง​ท่าน​ว่า ‘จง​ไป​ล้าง และ​สะอาด​เถิด’ ท่าน​ยิ่ง​ควร​จะ​ทำ​สัก​เท่าไร?”

           (But his servants came near and said to him, “My father, it is a great word the prophet has  spoken to you; will you not do it? Has he actually said to you, ‘Wash, and be clean’?” )

5:14 “ท่าน​จึง​ลง​ไป​จุ่ม​ตัว​เจ็ด​ครั้ง​ใน​แม่น้ำ​จอร์แดน ตาม​ถ้อยคำ​ของ​คน​ของ​พระเจ้า และ​เนื้อ​ของ​ท่าน​ก็​กลับคืน​เป็น​ อย่าง​เนื้อ​ของ​เด็ก​เล็ก และ​ท่าน​ก็​สะอาด”

           (So he went down and dipped himself seven times in the Jordan, according to the word of the   man of God, and his flesh was restored like the flesh of a little child, and he was clean.)

5:15 “แล้ว​ท่าน​ก็​กลับ​มา​หา​คน​ของ​พระเจ้า ทั้ง​ตัว​ท่าน​และ​พรรคพวก​ของ​ท่าน และ​ท่าน​มา​ยืน​อยู่​ต่อ​หน้า​เอลีชา​และ​ กล่าว​ว่า “ดูสิ ข้าพเจ้า​รู้​แล้ว​ว่า​ไม่มี​พระเจ้า​อื่น​ใด ไม่​ว่า​ที่ไหน​ใน​โลก นอกจาก​ใน​อิสราเอล เพราะ​ฉะนั้น บัด​นี้​โปรด​รับ​ของ​กำนัล​จาก​ผู้​รับใช้​ของ​ท่าน​เถิด

        (Then he returned to the man of God, he and all his company, and he came and stood before   him. And he said, “Behold, I know that there is no God in all the earth but in Israel; so accept now  

               a present from your servant.” )

5:16 “แต่​เอลีชา​ตอบ​ว่า “พระยาห์เวห์​ซึ่ง​เรา​ปรนนิบัติ ทรง​พระชนม์​อยู่​แน่​ฉัน​ใด เรา​จะ​ไม่​รับ​อะไร​เลย​ฉัน​นั้น” และ​ท่าน​ก็​ได้​คะยั้น​คะยอ​ให้​รับ​ไว้ แต่​เอลีชา​ปฏิเสธ”

                 (But he said, “As the Lord lives, before whom I stand, I will receive none.” And he urged him to  take it, but he refused. )

5:17 “นาอามาน ​จึง​กล่าว​ว่า “หาก​ท่าน​ไม่​รับ ก็​โปรด​ให้​ดิน​ที่​ล่อ​สอง​ตัว​จะ​บรรทุก​ได้​แก่​ผู้​รับใช้​ของ​ท่าน​ เถิด เพราะ​ ตั้งแต่​นี้​ไป ผู้​รับใช้​ของ​ท่าน​จะ​ไม่​ถวาย​เครื่อง​บูชา​เผา​ทั้ง​ตัว​หรือ​เครื่อง​ สัตวบูชา​แด่​พระ​อื่น แต่​จะ​ถวาย​แด่​พระยาห์เวห์​เท่านั้น”

            (Then Naaman said, “If not, please let there be given to your servant two mule loads of earth, for  from now on your servant will not offer burnt offering or sacrifice to any god but the Lord. )

5:18 “ใน​เรื่อง​นี้ ขอ​พระยาห์เวห์​ทรง​ให้​อภัย​ผู้​รับใช้​ของ​ท่าน คือ​เมื่อ​พระ​ราชา​นาย​ของ​ข้าพเจ้า​เข้า​ไป​ใน​นิเวศ​ของ​พระริมโมน เพื่อ​จะ​นมัสการ​ที่​นั่น และ​ทรง​พิง​อยู่​ที่​มือ​ของ​ข้าพเจ้า และ​ข้าพเจ้า​จะ​ต้อง​โน้ม​ตัว​ลง​คำนับ​ใน​นิเวศ​ ของ​พระริมโมน เมื่อ​ข้าพเจ้า​โน้ม​ตัว​ลง​คำนับ​ใน​นิเวศ​ของ​พระริมโมน​นั้น ขอ​พระยาห์เวห์​ทรง​ให้​อภัย​ผู้​รับใช้​ของ​ท่าน​ใน​กรณี​นี้

     (In this matter may the Lord pardon your servant: when my master goes into the house of Rimmon  to worship there, leaning on my arm, and I bow myself in the house of Rimmon, when I bow      myself in the house of Rimmon, the Lord pardon your servant in this matter.” )

5:19 “เอลีชา​จึง​ตอบ​ท่าน​ว่า “จง​ไป​โดย​สวัสดิภาพ​เถิด” แต่​เมื่อ​นาอามาน​ออก​ไป​ได้​ไม่​ไกล​นัก”

       (He said to him, “Go in peace.” But when Naaman had gone from him a short distance, )

5:20 “เกหะซี ​คนใช้​ของ​เอลีชา​คน​ของ​พระเจ้า​คิด​ว่า “ดูสิ นาย​ของ​ข้า​ไม่​ยอม​รับ​ของ​จาก​มือ​ของ​นาอามาน​คน​ซีเรีย​ที่​ เขา​นำมา พระยาห์เวห์​ทรง​พระชนม์​อยู่​แน่​ฉัน​ใด ข้า​จะ​วิ่ง​ตาม​ไป​เอา​มา​จาก​เขา​บ้าง​ฉัน​นั้น

     (Gehazi, the servant of Elisha the man of God, said, “See, my master has spared this Naaman the  Syrian, in not accepting from his hand what he brought. As the Lord lives, I will run after him and   get something from him.” )

5:21 “เกหะซี ​จึง​ตาม​นาอามาน​ไป และ​เมื่อ​นาอามาน​แล​เห็น​คน​วิ่ง​ตาม​ท่าน​มา ท่าน​ก็​ลง​จาก​รถรบ​ต้อนรับ​เขา​พูด​ว่า  “ทุก​อย่าง​เรียบร้อย​ดี​หรือ?”

     (So Gehazi followed Naaman. And when Naaman saw someone running after him, he got down  from the chariot to meet him and said, “Is all well?” )

5:22 “เขา​ตอบ​ว่า “เรียบร้อย​ดี นาย​ข้า​ได้​ใช้​ข้า​มา เรียน​ว่า ‘ชายหนุ่ม​สอง​คน​ใน​กลุ่ม​ผู้​เผย​พระวจนะ​จาก​แดน​เทือกเขา​เอฟราอิม ​มา​หา​เรา โปรด​ให้​เงิน​พวกเขา​สัก​หนึ่ง​ตะลันต์ และ​เสื้อ​เที่ยว​งาน​สัก 2 ชุด’

      (And he said, “All is well. My master has sent me to say, ‘There have just now come to me from  the hill country of Ephraim two young men of the sons of the prophets. Please give them a talent       of silver and two changes of clothing.’” )

5:23 “และ​นาอามาน​กล่าว​ว่า “โปรด​รับ​ไป​สอง​ตะลันต์​ เถิด” ท่าน​ก็​เชิญชวน​เขา และ​เอา​เงิน​สอง​ตะลันต์​ใส่​ใน 2 กระสอบ​ผูก​ไว้​พร้อม​กับ​เสื้อ​เที่ยว​งาน 2 ตัว ให้​คนใช้​สอง​คน​แบก​ไป เขา​ก็​แบก​เดิน​ขึ้น​หน้า​เกหะซี​มา”

      (And Naaman said, “Be pleased to accept two talents.” And he urged him and tied up two talents   of silver in two bags, with two changes of clothing, and laid them on two of his servants. And           they carried them before Gehazi. )

5:24 “เมื่อ​เขา​ทั้งหลาย​มา​ถึง​ภูเขา เกหะซี​ก็​รับ​มา​จาก​มือ​ของ​เขา เอา​ไป​เก็บ​ไว้​ใน​บ้าน และ​ให้​คน​เหล่า​นั้น​กลับ เขา​ทั้งสอง​ก็​จาก​ไป”

      (And when he came to the hill, he took them from their hand and put them in the house, and he  sent the men away, and they departed. )

5:25 “เกหะซี ​ก็​เข้า​ไป​ยืน​อยู่​ต่อหน้า​นาย​ของ​ตน และ​เอลีชา​ถาม​เขา​ว่า “เกหะซี เจ้า​ไป​ไหน​มา?” เขา​ตอบ​ว่า “ผู้​รับใช้​ของ​ท่าน​ไม่ได้​ไป​ไหน

      (He went in and stood before his master, and Elisha said to him, “Where have you been,   Gehazi?” And he said, “Your servant went nowhere.” )

5:26 “แต่​ท่าน​กล่าว​กับ​เขา​ว่า “เมื่อ​ชาย​คน​นั้น​หันมา​จาก​รถรบ​ต้อนรับ​เจ้า​นั้น จิตใจ​ของ​เรา​ไม่ได้​ไป​กับ​เจ้า​หรือ? นี่​เป็น​เวลา​ควร​ที่​จะ​รับ​เงิน เสื้อผ้า สวน​มะกอก และ​สวน​องุ่น แกะ และ​วัว และ​คนใช้​ชายหญิง​หรือ?”

       (But he said to him, “Did not my heart go when the man turned from his chariot to meet you?   Was it a time to accept money and garments, olive orchards and vineyards, sheep and oxen,   male servants and female servants? )

5:27 “ฉะนั้น ​โรค​เรื้อน​ของ​นาอามาน​จะ​ติด​อยู่​กับ​เจ้า​และ​เชื้อสาย​ของ​เจ้า​ เป็น​นิตย์” เขา​ก็​ไป​จาก​หน้า​ท่าน​และ​เป็น​โรค​เรื้อน​ขาว​อย่าง​หิมะ”

       (Therefore the leprosy of Naaman shall cling to you and to your descendants forever.” So he went  out from his presence a leper, like snow.)

ข้อมูลมีประโยชน์

5:1       “พระราชาแห่งซีเรีย” (king of Syria) = กษัตริย์ของอารัม – ปฐก.10:22;2ซมอ.10:19

= น่าจะเป็นเบนฮาดัดที่ 2 (8:7;13:3;1พกษ.20:1)

“พระยาห์เวห์ประทานชัยชนะแก่ซีเรียโดยท่านนี้” (by him the Lord had given victory to Syria.)

= ชัยชนะของซีเรีย(อารัม) เหนืออัสซีเรียในควันหลงหลังสงครามคาร์คาร์ ในปี 853 ก.ค.ศ. หรือเป็นสงครามที่ไม่ได้มีการบันทึกไว้ (1พกษ.22:1)

= เพราะพระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้ปกครองเหนือทุกชนชาติ ไม่ใช่เฉพาะของอิสราเอลเท่านั้น (อสค. 30:24; มส.2:1-3;9:7)

“เป็นโรคเรื้อน” (was a leper) = โรคผิวหนัง ที่ไม่จำเป็นต้องหมายถึง โรคเรื้อนเท่านั้น (ข.3,6,7,11,27)

5:2       “กองโจมตีของซีเรีย” (the Syrians on one of their raids) = กองทหารซีเรีย  แม้อิสราเอลได้ทำสนธิสัญญาสันติภาพกับซีเรีย ในรัชกาลอาหับ (1พกษ.20:34) แต่ก็มีการกระทบกระทั่งเล็ก ๆน้อย ๆ ที่ชายแดนของทั้ง 2 ฝ่ายอยู่หลังสงครามแย่งชิงราโมทกิเลอาด ซึ่งเป็นเหตุให้อาหับถูกฆ่าตาย (1พกษ.22:4,35)

“เด็กหญิงคนหนึ่ง” (a little girl) = เชลยในดามัสกัสอย่างเด็กหญิงคนหนึ่งกลับรับรู้ถึงการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าท่ามกลางประชาชนของพระองค์ โดยเฉพาะเรื่องราวของเอลีชาและได้บอกเล่าเรื่องนี้ให้เจ้านายของเธอฟังอย่างปราศจากอคติ

5:3       “ผู้เผยพระวจนะซึ่งอยู่ในสะมาเรีย” (the prophet who is in Samaria!) = เอลีชาอาศัยอยู่ในสะมาเรีย (ข.29;2:25;6:19) ปท. ปฐก.20:7

5:5       “เราจะส่งสารไปยังพระราชาแห่งอิสราเอล” (I will send a letter to the king of Israel.) = การสู้รบที่ชายแดนไม่ได้ล้มล้างสัญญาสันติภาพระหว่างประเทศทั้ง 2  อย่างเป็นทางการ และกษัตริย์อิสราเอลในระหว่างนั้นคือ โยรัม (1:17;3:1;9:24)

“นำเงิน 10 ตะลันต์” (taking with him ten talents of silver) = หนักประมาณ 340 กิโลกรัม มูลค่าของเงินจำนวนนี้เปรียบได้กับราคาที่อมรีจ่ายเพื่อซื้อเนินเขาสะมาเรีย (1พกษ.16:24)

“ทองคำ 6000 เชเขล”  (six thousand shekels of gold) = หนัก 70 กิโลกรัม

“เสื้อเที่ยวงาน 10 ชุด” (ten changes of clothing)  -ปฐก.24:53;วนฉ.14:12;1ซมอ.9:7;2พกษ.5:22

5:6       “ให้ท่านรักษาเขาให้หายจากโรคเรื้อน” (that you may cure him of his leprosy.)  -เบนฮาดัดคิดเอาเองว่า ผู้เผยพระวจนะที่เด็กหญิงแนะนำมานั้นอยู่ในอำนาจของกษัตริย์โยรัม และคิดว่าเขาคงจะยอมช่วยเหลือหากได้ของขวัญจำนวนมากพอ

5:7       “เขาหาเรื่องทะเลาะกับเราอย่างไร”?( he is seeking a quarrel with me) = “เขาพยายามหาเหตุมารุกรานเรานั่นเอง”

โยรัมสรุปว่า เบนฮาดัดพยายามหาเรื่องเพื่อประกาศสงคราม โยรัมมองไม่เห็นการสถิตและการช่วยกู้ของพระเจ้าผ่านทางเอลีชา –1พกษ.20:7

5:8       “ทำไมฝ่าพระบาทจึงฉีกฉลองพระองค์”(Why have you torn your clothes?) = เอลีชาตำหนิที่โยรัมหวาดกลัวเกินเหตุ (1ซมอ.17:11) และการที่เขาไม่ปรึกษากับพระเจ้าผ่านผู้เผยพระวจนะของพระองค์ (3:13-14) นั้นเป็นตัวบ่งชี้ถึงความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างพระราชาและเอลีชาคนของพระเจ้า –1พกษ.22:7

5:9       “มาพร้อมกับบรรดาม้าและรถรบของท่าน” (came with his horses and chariots) = นาอามานนั่งรถม้าศึกมาหาเอลีชาที่บ้าน คิดทระนงว่าตนเป็นผู้มีอำนาจสั่งการผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าให้รักษาเขาได้

5:10     “จงไปชำระตัวของท่านในแม่น้ำจอร์แดนเจ็ดครั้ง” (Go and wash in the Jordan seven times)

–ยน.9:7;ปฐก.33:3;ลนต.14:7

= คำสั่งที่ต้องการให้นาอามานรู้ว่า การรักษาโรคที่จะเกิดขึ้นนี้ มาโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าแห่งอิสราเอลซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเราเชื่อฟังคำของผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น แม้ตัวผู้เผยพระวจนะไม่ใช่ผู้รักษา

-การชำระตัวเป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันในศาสนาต่าง ๆ ในแถบตะวันออก เพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์

            “เจ็ดครั้ง” = สัญลักษณ์ของความครบถ้วนบริสุทธิ์ เป็นการสำแดงให้เห็นว่า การชำระให้นาอามานหายโรค ไม่เกี่ยวข้องกับการล้างตัวในน้ำขุ่น ๆ  แต่เป็นการรักษาจากพระเจ้า (นักวิชาการบางคนตีความว่า นาอามานต้องผ่านแม่น้ำจอร์แดนเหมือนอิสราเอลเสียก่อนจึงจะได้รับการรักษาจากพระเจ้าแห่งอิสราเอล ) -ยชว.3:1-4:24;3:10

5:11     “โบกมือเหนือที่นั่น” (wave his hand over the place)  = นาอามานคาดหวังว่าผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าจะรักษาเขาด้วยการใช้เวทมนตร์วิเศษ –อพย.7:19

5:12     “อาบานาและฟารปาร์” (Abana and Pharpar)  = 2 แม่น้ำในเมืองดามัสกัส

-แม่น้ำอาบานานั้นชาวกรีกเรียกว่า “แม่น้ำทองคำ” (เชื่อกันว่าคือแม่น้ำบาราคา ในปัจจุบัน ที่ไหลจากเทือกเขาตรงข้ามกับเลบานอนและผ่านเมืองดามัสกัส

-ส่วนแม่น้ำ “ฟาร์ปาร์” อยู่ทางตะวันออกของภูเขาเฮอร์โมน และทางใต้ของดามัสกัส

“ไม่ดีกว่าบรรดาลำน้ำแห่งอิสราเอลหรือ” (better than all the waters of Israel?) –อสย.8:6

5:14     “เนื้อของท่านก็กลับคืนเป็นอย่างเนื้อของเด็กเล็กและท่านก็สะอาด” (flesh was restored like the flesh of a little child, and he was clean ) = เหมือนได้เกิดใหม่ทางกาย (ข.15) เมื่อนาอามานยอมเชื่อฟังตามพระวจนะของพระเจ้า(ผ่านคนของพระองค์)  เขาได้รับของขวัญแห่งพระคุณจากพระเจ้า

-นาอามานเป็นหมายสำคัญสำหรับอิสราเอลที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าที่เตือนสติพวกเขาว่า พวกเขาจะได้รับพระพรจากพระเจ้าก็ต่อเมื่อพวกเขาเชื่อฟังและดำเนินอยู่ในทางของพระเจ้า ด้วยความซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญา แล้วพระเจ้าจะยกชูพวกเขา (1พกษ.17:9-24;มธ.8:10-12;ลก.4:27)

5:15     “ไมมีพระเจ้าอื่นใด ไม่ว่าที่ไหนในโลกนอกจากในอิสราเอล”  (I know that there is no God in all the earth but in Israel) = คำสารภาพและคำประกาศของนาอามานที่นำความอับอายมาสู่อิสราเอล     ชนชาติของพระเจ้าแท้ ๆ ที่ยังลังเลระหว่างการติดตามพระบาอัล ทั้ง ๆ ที่พระเจ้าเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่ผู้เดียว  (1พกษ.18:21)

5:16     “เราจะไม่รับอะไรเลยฉันนั้น” (I will receive none) = เอลีชาไม่ได้แสวงทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อะไรจากการประกาศพระวจนะของพระเจ้า (มธ.10:8)

= ตระหนักว่า นาอามานได้รับการรักษาโดยพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของเอลีชา

5:17     “ให้ดินที่ล่อสองตัวจะบรรทุกได้” (please let there be given to your servant two mule loads of earth) = คนยุคโบราณโดยทั่วไปเข้าใจว่าจะสามารถนมัสการพระหรือเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง เฉพาะบนแผ่นดินของพระ(เจ้า)องค์นั้นเท่านั้น (ข.15) ด้วยเหตุนี้นาอามานจึงต้องการนำดินจากแผ่นดินอิสราเอลกลับไปด้วย เพื่อจะมีสถานที่นมัสการพระเจ้าในดามัสกัส

5:18     “นายของข้าพเจ้า” (my master) = เบนฮาดัดกษัตริย์แห่งซีเรีย (อารัม)

“พระริมโมน” (Rimmon ) = มีชื่อว่า “ฮาดัด” เช่นกัน (ในแถบคานาอันและแถบฟินิเซีย มีชื่อว่า พระบาอัล) พระของชาวอารัม(ซีเรีย)องค์นี้ เป็นเทพเจ้าแห่งพายุและสงคราม

ส่วน “ริมโมน” หมายความว่า “ผู้ควบคุมสายฟ้า” บางทีก็ใช้สองชื่อนี้รวมกัน

5:19     “จงไปโดยสวัสดิภาพเถิด” (Go in peace) = เอลีชาไม่ได้ตอบคำถามเรื่องจิตสำนึกผิดชอบของนาอามานตรง ๆ  (ข.18) แค่แนะนำให้เขาทำตามการทรงนำและพระคุณของพระเจ้า เมื่อเขากลับสูสภาพแวดล้อมของศาสนาอื่น ๆ และในหน้าที่รับผิดชอบของตน

5:20     “พระยาห์เวห์ทรงพระชนน์อยู่แน่ฉันใด” (As the Lord lives) = สำนวนที่ใช้ในการสาบาน (1ซมอ.14:39,45)

5:22    “ชายหนุ่ม 2 คน” (two young men) = ผู้เผยพระวจนะ 2 คน (2:3)

“เงินสองตะลันต์ใส่ 2 กระสองผูกไว้กับเสื้อเที่ยวงาน 2 ตัว” (talent of silver and two changes of clothing)= เงินประมาณ 34 กิโลกรัม เกหะซีหลอกนาอามานเพื่อเอาทรัพย์สมบัติ ทำให้ภาพลักษณ์ของ   เอลีชาผู้เผยพระวจนะไม่ต่างจากผู้เผยพระวจนะของพระเทียมเท็จ และผู้ทำนายนอกรีตที่เห็นแก่ตัว

5:24     “บ้าน” (the house  ) = บ้านของเอลีชา (ข.9)

5:26     “นี่เป็นเวลาควรที่จะรับเงิน เสื้อผ้า สวนมะกอก…หรือ?” (Was it a time to accept money and garments, olive orchards) = เกหะซีจงใจใช้พระคุณของพระเจ้าที่ประทานให้แก่คนอื่นมาหาทรัพย์สมบัติเพื่อตัวเอง เท่ากับเป็นการขายพระคุณของพระเจ้า (2คร.2:17)

“เงิน” = เงินน้ำหนักต่าง ๆ กัน ไม่ใช่เหรียญที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นภายหลัง

“เสื้อผ้า….คนใช้ชายหญิง” (male servants and female servants) = ชี้ให้เห็นว่า เกหะซีมีแผนคิดไว้แล้วว่า จะเอาเงินไปทำอะไร (ข.5)

5:27     “โรคเรื้อน…จะติดอยู่กับเจ้าและเชื้อสายของเจ้าเป็นนิตย์” (Therefore the leprosy ……….shall cling to you and to your descendants forever.        ) = บทลงโทษผู้ละเมิดบทบัญญัติที่ตกทอดไปถึงลูกหลาน ใน อพย.20:5;ยชว.7:24; “ขาวอย่างหิมะ”(like snow) –อพย.4:6

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณตระหนักหรือไม่ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของคนทั้งโลก ไม่ใช่เฉพาะของพวกคริสเตียนเท่านั้น? ความเข้าใจนี้สอนอะไรคุณบ้าง?
  2. คุณตระหนักหรือไม่ว่า แม้ว่าคุณจะมีฐานะต่ำต้อย แต่คุณก็สามารถรับใช้พระเจ้าได้ (เหมือนอย่างเด็กหญิงที่เป็นทาส ในเรื่องนี้)? เวลานี้คุณกำลังถวายเกียรติและรับใช้พระเจ้าในเรื่องอะไรบ้าง?
  3. คุณเคยออกอาการ “กระต่ายตื่นตูม” หรือ “ตีตนไปก่อนไข้” บ้างหรือไม่? (ที่คุณรู้สึกว่าคุณไม่น่าออกอาการอย่างนั้นเลย)ในเรื่องอะไร เป็นอย่างไร?  แล้วคุณแก้ไขอย่างไร?
  4. คุณเคยทำตัวหยิ่งทระนงโดยไม่จำเป็นจน(เกือบ) เป็นเหตุที่ทำให้เสียเรื่องบ้างหรือไม่?  อย่างไร? (แบ่งปัน) แล้วตอนหลังเป็นอย่างไร?
  5. คุณเคยขอพระเจ้าช่วยคุณผ่านคนของพระเจ้าในเรื่องใดบ้าง? แล้วผลเป็นอย่างไร?
  6. คุณเคยรู้สึกหงุดหงิดใจกับคำแนะนำของใครบางคน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่แนะนำคุณให้ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า) บ้างหรือไม่?  เรื่องอะไร? แล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไร?
  7. เคยมีประสบการณ์ใดกับพระเจ้าที่ทำให้คุณถ่อมใจลงได้และคุณรู้สึกขอบคุณพระเจ้าเพราะเหตุการณ์นั้นๆ? (แบ่งปัน)
  8. คุณเคยประสบกับสถานการณ์หรือสภาวะที่อึดอัดหรือทำอะไรไม่ถูก แต่สุดท้ายผ่านพ้นไปได้ โดยการช่วยเหลือหรือทรงนำของพระเจ้าบ้างหรือไม่?  อย่างไร?
  9. คุณเคยรับผลร้ายเพราะความโลภของคุณบ้างหรือไม่? หรือคุณเคยเห็นใครบางคนโลภและต้องรับการลงโทษจากพระเจ้าบ้างหรือไม่?  อย่างไร?

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 4)

4 อัศจรรย์!

พระธรรม        2พงศ์กษัตริย์ 4:1-44

อ้างอิง          1พกษ.12:22;17:12,20-21,18:20,46;2พกษ.2:1;4:21.32;8:1,5

บทนำ          พระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้ทรงมีธรรมชาติแตกต่างจากธรรมชาติของมนุษย์ การกระทำสิ่งที่เกินกว่ามนุษย์ปกติจะกระทำได้ เราเรียกว่าการอัศจรรย์  แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว สิ่งที่เรียกว่าการอัศจรรย์ของมนุษย์นั้น แท้จริงเป็นเรื่องธรรมดาของพระองค์ทั้งสิ้น!

บทเรียน

4:1 “ภรรยาของ​คน​หนึ่ง​ใน​พวก​ผู้​เผย​พระวจนะ​ร้อง​ทุกข์​ต่อ​เอลีชา​ว่า “ผู้​รับใช้​ของ​ท่าน คือ​สามี​ของ​ดิฉัน​เสีย​ชีวิต​แล้วและ​ท่านทราบ​อยู่​แล้ว​ว่า​ผู้​รับใช้​ของ​ท่าน​เกรงกลัว​พระยาห์เวห์ แต่​เจ้าหนี้​ได้​มา​เพื่อ​จะ​เอา​ลูก​สอง​คน​ของ​ดิฉัน​ไป​เป็น​ทาส​ของ​เขา

      (Now the wife of one of the sons of the prophets cried to Elisha, “Your servant my husband is dead, and  you know that your servant feared the Lord, but the creditor has come to take my two children to be his  slaves.” )

4:2 “แล้ว​เอลีชา​ตอบ​นาง​ว่า “บอก​เรา​ซิ​ว่า จะ​ให้​เรา​ทำ​อะไร? เธอ​มี​อะไร​อยู่​ใน​บ้าน​บ้าง?” นาง​ตอบ​ว่า “สาวใช้​ของ​ ท่าน​ไม่มี​อะไร​ใน​บ้าน นอกจาก​น้ำมัน​ขวด​หนึ่ง

      (And Elisha said to her, “What shall I do for you? Tell me; what have you in the house?” And she said,  “Your servant has nothing in the house except a jar of oil.” )

4:3 “แล้ว​ท่าน​กล่าว​ว่า “เธอ​จง​ออก​ไป​นอก​บ้าน ขอ​ยืม​ภาชนะ​เปล่า​จาก​เพื่อนบ้าน​ทุก​คน อย่า​เอา​มา​น้อย”

(Then he said, “Go outside, borrow vessels from all your neighbors, empty vessels and not too few.)

4:4 “แล้ว​จง​เข้า​บ้าน ปิด​ประตู​ขัง​ตัว​เอง​และ​ลูกชาย​ไว้ แล้ว​เท​น้ำมัน​ใส่​ภาชนะ​เหล่านี้​ทั้งหมด เมื่อ​ใบ​หนึ่งๆ เต็ม​แล้ว​ก็​ตั้ง​ไว้​ต่าง​หาก

     (Then go in and shut the door behind yourself and your sons and pour into all these vessels. And when  one is full, set it aside.” )

4:5 “นาง​ก็​ไป​จาก​ท่าน และ​ปิด​ประตู​ขัง​ตัว​เอง​กับ​บุตร​ของ​นาง​ไว้ บุตร​ส่ง​ภาชนะ​ให้​นาง และ​นาง​ก็​เท​น้ำมัน”

      (So she went from him and shut the door behind herself and her sons. And as she poured they brought  the vessels to her. )

4:6 “เมื่อ​ภาชนะ​เต็ม​หมด​แล้ว​นาง​จึง​บอก​บุตร​ว่า “เอา​ภาชนะ​อีก​ใบ​หนึ่ง​มา​ให้​แม่” แต่​เขา​ตอบ​นาง​ว่า “ไม่มี​แล้ว” แล้ว​น้ำมัน​ก็​หยุด​ไหล”

      (When the vessels were full, she said to her son, “Bring me another vessel.” And he said to her, “There  is not another.” Then the oil stopped flowing. )

4:7 “นาง​ก็​ไป​เรียน​ให้​คน​ของ​พระเจ้า​ทราบ และ​ท่าน​บอก​ว่า “จง​ไป​ขาย​น้ำมัน แล้ว​เอา​เงิน​ชำระ​หนี้​ของ​เธอ ส่วน​ที่​เหลือ​นั้น​ เธอ​กับ​ลูกๆ จง​ใช้​เลี้ยง​ชีวิต

      (She came and told the man of God, and he said, “Go, sell the oil and pay your debts, and you and  your sons can live on the rest.”)

4:8 “วันหนึ่ง​เอลีชา​ผ่าน​ไป​ยัง​เมือง​ชูเนม ที่​ซึ่ง​หญิง​มั่งมี​คน​หนึ่ง​อาศัย​อยู่ และ​นาง​ได้​ชวน​ท่าน​รับประทาน​อาหาร ฉะนั้น​เมื่อ​ ท่าน​ผ่าน​ไป​ทาง​นั้น​เมื่อไร ท่าน​ก็​แวะ​เข้า​ไป​รับประทาน​อาหาร​ที่​นั่น”

        (One day Elisha went on to Shunem, where a wealthy woman lived, who urged him to eat some food. So whenever he passed that way, he would turn in there to eat food. )

4:9 “และ​นาง​บอก​สามี​ของ​นาง​ว่า “ดูสิ ดิฉัน​เห็น​ว่า​ชาย​คน​นี้​ที่​เดิน​ผ่าน​บ้าน​เรา​บ่อยๆ นั้น​เป็น​คน​บริสุทธิ์​ของ​พระเจ้า”

     (And she said to her husband, “Behold now, I know that this is a holy man of God who is continually passing our way. )

4:10 “ขอ​ให้​เรา​ทำ​ห้องเล็ก​ไว้​บน​ดาดฟ้า​สำหรับ​ท่าน วาง​เตียงนอน โต๊ะ เก้าอี้ และ​ตะเกียง​ไว้​ให้​ท่าน เพื่อ​ว่า​เมื่อ​ท่าน​มา​หา​เรา ท่าน​จะ​ได้​เข้า​ไป​พัก​ใน​ห้อง​นั้น

        (Let us make a small room on the roof with walls and put there for him a bed, a table, a chair, and a  lamp, so that whenever he comes to us, he can go in there.”)

4:11 “วัน​หนึ่ง​ท่าน​มา​ที่นั่น แวะ​ขึ้น​ไป​ห้อง​นั้น และ​นอน​อยู่​ที่นั่น”

        (One day he came there, and he turned into the chamber and rested there. )

4:12 “ท่าน​จึง​บอก​เกหะซี​คนใช้​ของ​ท่าน​ว่า “ไป​เรียก​หญิง​ชาวชูเนม​คน​นี้​มา” เมื่อ​เขา​เรียก​นาง นาง​ก็​มา​ยืน​อยู่​ต่อ​หน้า​ท่าน”

           (And he said to Gehazi his servant, “Call this Shunammite.” When he had called her, she stood before   him. )

4:13 “ท่าน​จึง​บอก​แก่​เกหะซี​ว่า “จง​บอก​นาง​ว่า ดูซิ เธอ​ลำบาก​มากมาย​อย่างนี้​เพื่อ​เรา จะ​ให้​เรา​ทำ​อะไร​เพื่อ​เธอ​บ้าง? มี​ อะไร​จะ​ให้​ทูล​พระราชา​เพื่อ​เธอ​หรือ​ไม่? หรือ​จะ​ให้​พูด​อะไร​กับ​ผู้​บัญชา​การ​กองทัพ?”นาง​ตอบ​ว่า“ดิฉัน​อยู่​ใน​หมู่​พี่น้อง​

      ของ​ดิฉัน​ค่ะ

        (And he said to him, “Say now to her, ‘See, you have taken all this trouble for us; what is to be done for   you? Would you have a word spoken on your behalf to the king or to the commander of the army?’” She  answered, “I dwell among my own people.” )

4:14 “และ​ท่าน​กล่าว​ว่า “ถ้า​อย่างนั้น​จะ​ให้​ทำ​อะไร​เพื่อ​นาง?” เกหะซี​ตอบ​ว่า “แท้จริง​นาง​ไม่มี​บุตรชาย​และ​สามี​ของ​นาง​ก็​ แก่​แล้ว

        (And he said, “What then is to be done for her?” Gehazi answered, “Well, she has no son, and her  husband is old.” )

4:15 “ท่าน​จึง​บอก​ว่า “ไป​เรียก​นาง​มา” และ​เมื่อ​เขา​ไป​เรียก​นาง นาง​ก็​มา​ยืน​อยู่​ที่​ประตู”

                  (He said, “Call her.” And when he had called her, she stood in the doorway. )

4:16 “ท่าน​กล่าว​ว่า “เมื่อ​ถึง​เวลา​นี้​ใน​ปี​หน้า เธอ​จะ​ได้​อุ้ม​บุตรชาย​คน​หนึ่ง” และ​นาง​ตอบ​ว่า “คน​ของ​พระเจ้า เจ้านาย​ของ​ดิฉัน อย่า​หลอก​สาวใช้​ของ​ท่าน​เลย

          (And he said, “At this season, about this time next year, you shall embrace a son.” And she said,   “No, my lord, O man of God; do not lie to your servant.” )

4:17 “แต่​หญิง​นั้น​ก็​ตั้ง​ครรภ์​และ​คลอด​บุตรชาย​คน​หนึ่ง เมื่อ​ถึง​เวลา​นั้น​ใน​ปี​ต่อ​มา​ตาม​ที่​เอลีชา​บอก​นาง”

         (But the woman conceived, and she bore a son about that time the following spring, as Elisha had   said to her.)

4:18 “เมื่อ​เด็ก​นั้น​โต​ขึ้น วัน​หนึ่ง​เขา​ออก​ไป​หา​บิดา​ของ​เขา​ใน​หมู่​คน​เกี่ยว​ข้าว”

           (When the child had grown, he went out one day to his father among the reapers. )

4:19 “เขา​บอก​บิดา​ว่า “โอย หัว​ของ​ฉัน หัว​ของ​ฉัน” บิดา​จึง​สั่ง​คนใช้​ว่า “อุ้ม​เขา​ไป​หา​แม่”

                (And he said to his father, “Oh, my head, my head!” The father said to his servant, “Carry him to his   mother.” )

4:20 “เมื่อ​คน​ใช้​อุ้ม​เขา​มา​ให้​มารดา เด็ก​นั้น​ก็​นั่ง​อยู่​บน​ตัก​มารดา​จน​เที่ยงวัน แล้ว​ก็​สิ้น​ชีวิต”

                (And when he had lifted him and brought him to his mother, the child sat on her lap till noon, and   then he died.)

4:21 “นาง​จึง​อุ้ม​เขา​ขึ้น​ไป​วาง​ไว้​บน​ที่นอน​ของ​คน​ของ​พระเจ้า และ​ปิด​ประตู​เสีย แล้ว​ไป​ข้างนอก”

                (And she went up and laid him on the bed of the man of God and shut the door behind him and went  out. )

4:22 “นาง​ก็​ไป​เรียก​สามี​ของ​นาง​กล่าว​ว่า “ขอ​ส่ง​คนใช้​คน​หนึ่ง​กับ​ลา​ตัว​หนึ่ง​มา​ให้​ฉัน เพื่อ​ฉัน​จะ​รีบ​ไป​หา​คน​ของ​พระเจ้า  และ​กลับ​มา​อีก

                 (Then she called to her husband and said, “Send me one of the servants and one of the donkeys, that I   may quickly go to the man of God and come back again.”)

4:23 “และ​เขา​ถาม​ว่า “วันนี้​จะ​ไป​หา​ท่าน​ทำไม? มัน​ไม่​ใช่​วัน​ต้น​เดือน​หรือ​วัน​สะบาโต” นาง​ตอบ​ว่า “ไม่​เป็น​ไร”

                (And he said, “Why will you go to him today? It is neither new moon nor Sabbath.” She said, “All is well.”)

4:24 “แล้ว​นาง​ผูก​อาน​ลา​และ​สั่ง​คนใช้​ว่า “จง​เร่ง​ลา​ไป​เร็วๆ อย่า​ชะลอ​ฝีเท้า นอกจาก​ฉัน​สั่ง

                 (Then she saddled the donkey, and she said to her servant, “Urge the animal on; do not slacken   the pace for me unless I tell you.”)

4:25 “แล้ว​นาง​ก็​ออก​เดิน​ทาง และ​มา​ถึง​คน​ของ​พระเจ้า​ที่​ภูเขา​คารเมล เมื่อ​คน​ของ​พระเจ้า​เห็น​นาง​มา ท่าน​ก็​พูด​กับ​เกหะซี​คนใช้​ของ​ท่าน​ว่า “ดู​แน่ะ หญิง​ชาว​ชูเนม​มา​ข้าง​โน้น”

                 (So she set out and came to the man of God at Mount Carmel.)When the man of God saw her   coming, he said to Gehazi his servant, “Look, there is the Shunammite. )

4:26 “จง​รีบ​ไป​รับ​นาง และ​ถาม​นาง​ว่า ‘เธอ​สบาย​ดี​หรือ? สามี​ของ​เธอ​สบาย​ดี​หรือ? เด็ก​สบาย​ดี​หรือ?’” นาง​ตอบ​ว่า   “สบาย​ดี​ค่ะ”

                  (Run at once to meet her and say to her, ‘Is all well with you? Is all well with your husband? Is all   well with the child?’” And she answered, “All is well.” )

4:27 “เมื่อ​นาง​มา​พบ​คน​ของ​พระเจ้า​ที่​ภูเขา​แล้ว นาง​ก็​เข้า​ไป​กอด​เท้า​ของ​ท่าน เกหะซี​จึง​เข้า​มา​จะ​จับ​นาง​ออก​ไป แต่​คน​ของ​พระเจ้า​กล่าว​ว่า “ปล่อย​นาง​เถอะ เพราะ​นาง​มี​ความ​ระทม​ขม​ขื่น และ​พระยาห์เวห์​ทรง​ปิด​เรื่องนี้​ไว้​จาก​เรา ไม่​ทรง​แจ้ง​

      ให้​เรา​ทราบ

     (And when she came to the mountain to the man of God, she caught hold of his feet. And Gehazi came to push her away. But the man of God said, “Leave her alone, for she is in bitter distress, and the Lord  has hidden it from me and has not told me.” )

4:28 “แล้ว​นาง​จึง​เรียน​ว่า “ดิฉัน​ขอ​ลูก​จาก​เจ้านาย​ของ​ดิฉัน​หรือ? ดิฉัน​ไม่ได้​เรียน​หรือ​ว่า อย่า​หลอก​ดิฉัน​เลย?”

                (Then she said, “Did I ask my lord for a son? Did I not say, ‘Do not deceive me?’” )

4:29 “ท่าน​จึง​สั่ง​เกหะซี​ว่า “คาด​เอว​ของ​เจ้า แล้ว​ถือ​ไม้เท้า​ของ​เรา​ไว้​ใน​มือ​ของ​เจ้า และ​ไป​เถอะ ถ้า​เจ้า​พบ​ใคร อย่า​ทักทาย​เขา และ​ถ้า​ใคร​ทักทาย​เจ้า ก็​อย่า​ตอบ และ​จง​วาง​ไม้เท้า​ของ​เรา​บน​หน้า​ของ​เด็ก​นั้น

       (He said to Gehazi, “Tie up your garment and take my staff in your hand and go. If you meet anyone, do  not greet him, and if anyone greets you, do not reply. And lay my staff on the face of the child.” )

4:30 “แล้ว​มารดา​ของ​เด็ก​นั้น​เรียน​ว่า “พระยาห์เวห์​ทรง​พระชนม์​อยู่​และ​ตัว​ท่าน​เอง​มี​ชีวิต​อยู่​แน่​ฉัน​ ใด ดิฉัน​จะ​ไม่​ไป​จาก​ท่าน​ฉัน​นั้น” ดังนั้น​ท่าน​จึง​ลุกขึ้น​ตาม​นาง​ไป”

                (Then the mother of the child said, “As the Lord lives and as you yourself live, I will not leave you.” So he  arose and followed her. )

4:31 “เกหะซี ​ได้​ล่วงหน้า​ไป​ก่อน และ​วาง​ไม้เท้า​บน​หน้า​ของ​เด็ก​นั้น แต่​ไม่มี​เสียง​หรือ​อาการ​บ่ง​บอก​ว่า​มี​ชีวิต เขา​จึง​ลับ​มา​พบ​ท่าน​และ​เรียน​ท่าน​ว่า “เด็ก​นั้น​ยัง​ไม่​ตื่น”

       (Gehazi went on ahead and laid the staff on the face of the child, but there was no sound or sign of life. Therefore he returned to meet him and told him, “The child has not awakened.”)

4:32 “เมื่อ​เอลีชา​เข้า​บ้าน ท่าน​เห็น​เด็ก​นอน​ตาย​อยู่​บน​ที่นอน​ของ​ท่าน”

                  (When Elisha came into the house, he saw the child lying dead on his bed. )

4:33 “ท่าน​จึง​เข้า​ไป​ข้างใน แล้ว​ปิด​ประตู​อยู่​กับ​เด็ก​นั้น​สอง​ต่อ​สอง และ​ได้​อธิษฐาน​ต่อ​พระยาห์เวห์”

                   (So he went in and shut the door behind the two of them and prayed to the Lord. )

4:34 “แล้ว​ท่าน​ขึ้น​ไป​นอน​ทับ​เด็ก ให้​ปาก​ทับ​ปาก ตา​ทับ​ตา และ​มือ​ทับ​มือ เมื่อ​ท่าน​เหยียด​ตัว​ของ​ท่าน​บน​เขา เนื้อ​ตัว​ของ​เด็ก​นั้น​ก็​อุ่น​ขึ้น​มา”

     (Then he went up and lay on the child, putting his mouth on his mouth, his eyes on his eyes, and his  hands on his hands. And as he stretched himself upon him, the flesh of the child became warm. )

4:35 “ท่าน​ก็​เดิน​ไป​มา​ใน​บ้าน​ครั้ง​หนึ่ง แล้ว​ขึ้น​ไป​เหยียด​ตัว​ของ​ท่าน​บน​เขา​อีก เด็ก​นั้น​ก็​จาม 7 ครั้ง และ​เด็ก​นั้น​ก็​ลืม​ตา​ของ​ตน”

       (Then he got up again and walked once back and forth in the house, and went up and stretched himself upon him. The child sneezed seven times, and the child opened his eyes. )

4:36 “แล้ว​ท่าน​ก็​เรียก​เกหะซี​มา​สั่ง​ว่า “ไป​เรียก​หญิง​ชาว​ชูเนม​คนนี้​มา” เขา​จึง​ไป​เรียก​นาง และ​เมื่อ​นาง​มา​ถึง​ท่าน​แล้ว ท่าน​กล่าว​ว่า “จง​อุ้ม​ลูก​ของ​เธอ​ขึ้น​เถิด”

                 (Then he summoned Gehazi and said, “Call this Shunammite.” So he called her. And when she came to  him, he said, “Pick up your son.” )

4:37 “นาง​จึง​เข้า​มา​ทรุด​ตัว​ลง​ที่​เท้า​ของ​ท่าน​กราบลง​ถึง​ดิน แล้ว​นาง​ก็​อุ้ม​บุตร​ของ​นาง​ขึ้น​และ​ออก​ไป​ข้างนอก”

                 (She came and fell at his feet, bowing to the ground. Then she picked up her son and went out.)

4:38 “เมื่อ​เอลีชา​กลับ​มา​ที่​กิลกาล แผ่นดิน​เกิด​กันดาร​อาหาร และ​เมื่อ​พวก​ผู้​เผย​พระวจนะ​นั่ง​อยู่​ต่อ​หน้า​ท่าน ท่าน​ก็​บอก​คนใช้​ของ​ท่าน​ว่า “จง​ตั้ง​หม้อ​ใบ​ใหญ่​และ​ต้ม​อาหาร​ให้​พวก​ผู้​เผย​พระวจนะ

                (And Elisha came again to Gilgal when there was a famine in the land. And as the sons of the prophets  were sitting before him, he said to his servant, “Set on the large pot, and boil stew for  the sons of the  prophets.” )

4:39 “คน​หนึ่ง​ออก​ไป​เก็บ​ผัก​ที่​ทุ่งนา และ​พบ​ไม้เถาป่า​เถา​หนึ่ง เขา​เด็ด​น้ำเต้าป่า​จาก​เถา​นั้น​จน​เต็ม​ตัก กลับ​มา​หั่น​ใส่​ใน​หม้อ​ต้ม​อาหาร​โดย​ไม่​ทราบ​ว่า​เป็น​ผล​อะไร”

  ( One of them went out into the field to gather herbs, and found a wild vine and gathered from it  his lap   full of wild gourds, and came and cut them up into the pot of stew, not knowing what they were.)

4:40 “แล้ว​พวก​เขา​ตัก​ออก​ให้​คน​เหล่า​นั้น​กิน ขณะ​กำลัง​กิน​อาหาร​อยู่​นั้น เขา​ร้อง​ขึ้น​ว่า “โอ คน​ของ​พระเจ้า มี​ความ​ตาย​อยู่​ใน​หม้อ​นั้น” และ​เขา​ก็​กิน​กัน​ต่อ​ไป​ไม่ได้”

      (And they poured out some for the men to eat. But while they were eating of the stew, they cried out, “O  man of God, there is death in the pot!” And they could not eat it. )

4:41 “แต่​ท่าน​สั่ง​ว่า “จง​เอา​แป้ง​มา” แล้ว​ท่าน​ก็​ใส่​แป้ง​ลง​ใน​หม้อ และ​บอก​ว่า “จง​ตัก​ออก​ให้​คน​เหล่า​นั้น​กิน” และ​ไม่มี​อัน‍ตราย​อยู่​ใน​หม้อ​นั้น”

                (He said, “Then bring flour.” And he threw it into the pot and said, “Pour some out for the men, that they  may eat.” And there was no harm in the pot.)

4:42 “มีชาย​คน​หนึ่ง​มา​จาก​บาอัลชาลิชาห์ เขา​นำ​ของ​มา​ให้​คน​ของ​พระเจ้า​มี​ขนมปัง​เป็น​พืช​ผลแรก​คือ ขนม​บาร์เลย์ 20 ก้อน และ​รวงข้าว​ใหม่​ใส่​กระสอบ​ของ​เขา​มา และ​เอลีชา​กล่าว​ว่า “จง​ให้​คน​เหล่า​นั้น​กิน”

 (A man came from Baal-shalishah, bringing the man of God bread of the firstfruits, twenty loaves of  barley and fresh ears of grain in his sack. And Elisha said, “Give to the men, that they may eat” )

4:43 “แต่​คนใช้​ของ​ท่าน​ตอบ​ว่า “ข้าพเจ้า​จะ​ตั้ง​อาหาร​เพียง​เท่า​นี้​ให้​คน 100 คน​กิน​กัน​ได้​อย่างไร?” ท่าน​จึง​สั่ง​ซ้ำ​ว่า “จง​ให้​คน​เหล่า​นั้น​กิน​เถิด เพราะ​พระยาห์เวห์​ตรัส​ดังนี้​ว่า ‘เขา​ทั้งหลาย​จะ​กิน​และ​ยัง​เหลือ​อีก

       (But his servant said, “How can I set this before a hundred men?” So he repeated, “Give them to the  men, that they may eat, for thus says the Lord, ‘They shall eat and have some left.’” )

4:44 “เขา​จึง​ตั้ง​อาหาร​ไว้​ต่อ​หน้า​เขา​ทั้งหลาย พวก​เขา​ได้​กิน และ​ยัง​เหลือ​อยู่​จริง​ตาม​พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์”

                (So he set it before them. And they ate and had some left, according to the word of the Lord.)

ข้อมูลมีประโยชน์

4:1       “ผู้เผยพระวจนะ” (the prophets) –2:3;1พกษ.20:35

“เอาลูกสองคนของดิฉันไปเป็นทาส” (take my two children to be his slaves) = การเป็นทาสแรงงานเพื่อชดใช้หนี้เป็นสิ่งที่ได้รับอนุญาตในกฎหมายของโมเสส (อพย.21:1-2;ลนต.25:39-41;ฉธบ.15:1-11) แต่มักถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด (นหม.5:5,8;อมส.2:6;8:6) แม้ว่ากฎหมายจะจำกัดระยะเวลาการเป็นทาสและให้ปฏิบัติต่อทาสนี้เหมือนคนงานที่ได้รับค่าจ้างด้วย

4:4       “ปิดประตู”  (shut the door) = การสำแดงพระเมตตากรุณาของพระเจ้าต่อหญิงม่ายนี้เป็นการส่วนตัว (สดด.68:5)

4:5       “นางก็ไปจากท่าน และปิดประตูขังตัวเอง…” (So she went from him and shut the door behind herself …)

= หญิงม่ายผู้นี้ไม่รีรอที่จะตอบสนองต่อคำสั่งของผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า ด้วยความเชื่อ และการเชื่อฟัง

4:8       “ชูเนม” (Shunem ) –1พกษ.13

4:9       “คนบริสุทธิ์ของพระเจ้า” (a holy man of God)   = หญิงมั่งมีคนนี้ตระหนักว่า เอลีชาเป็นคนที่พระเจ้าแยกไว้เพื่อทำราชกิจพิเศษของพระเจ้า (อพย.3:5)  น่าสนใจที่ไม่มีการใช้คำว่า “บริสุทธิ์” กับผู้เผยพระจนะในกรณีอื่น ๆ

4:10     “เมื่อท่านมาหาเรา ท่านจะได้เข้าไปพักในห้องนั้น” (so that whenever he comes to us, he can go in there.) = หญิงมั่งมีผู้นี้แสดงความเอื้อเฟื้อและช่วยสนับสนุนในการประกาศพระวจนะของพระเจ้าให้ดำเนินต่อไปผ่านทางเอลีชา

4:12     “เกหะซี” (Gehazi) = ผู้รับใช้ของเอลีชา หรือเป็นผู้ที่ติดตามเอลีชาเหมือนที่เอลีชาติดตามเอลียาห์  เพียงแต่ลักษณะนิสัยของทั้ง 2 แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง (5:19-27;6:15) ,นี่เป็นครั้งแรกที่เอ่ยถึงชื่อเกหะซีนี้

4:13     “ดิฉันอยู่ในหมู่พี่น้องของดิฉันค่ะ” (I dwell among my own people.) = หญิงชูเนมผู้มั่งมีนี้ไม่ขาดสิ่งใดเลย เธอรู้สึกมั่นคง และพอใจในครอบครัวและชุมชนของเธอ เธอไม่มีความจำเป็นหรือความปรารถนาที่ต้องการขอความช่วยเหลือใดๆ จากเจ้าหน้าที่ระดับสูง

4:14     “แท้จริงนางไม่มีบุตรชายและสามีของเธอก็แก่แล้ว” (Well, she has no son, and her husband is old.) = ความผิดหวังอย่างมากของเธอที่ไม่มีผู้สืบสกุลและทรัพย์สินที่ดินสิ่งของต่าง ๆ จะตกไปเป็นของผู้อื่นหมด และเธออาจยังอายุไม่มากจึงเป็นการเสี่ยงที่เธอจะตกเป็นม่ายนานหลายปี โดยไม่มีใครดูแลหรือปกป้อง เพราะสำหรับแม่ม่ายนั้นต้องมีบุตรหลาน(ผู้ชาย) เป็นที่พึ่งได้ในยามแก่เฒ่า (8:1-6;1พกษ.17:22)

4:16     “เมื่อถึงเวลานี้ในปีหน้า…”( about this time next year) –ปฐก.17:21;18:14

“เจ้านายของดิฉัน อย่าหลอกลวงสาวใช้ของท่านเลย” (No, my lord, O man of God; do not lie to your servant) =แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาอย่างแรงกล้าของเธอที่ต้องการมีบุตรชายและกลัวความผิดหวัง

4:17     “…ตามที่เอลีชาบอกนาง” (as Elisha had said to her.) = คำพูดของเอลีชาได้รับการยืนยันว่าเชื่อถือได้ และการที่เธอให้กำเนิดบุตรชายก็เป็นผลมาจากการที่พระเจ้าทรงแทรกแซงเพื่อเธอโดยเฉพาะ

4:20     “…แล้วก็สิ้นชีวิต” (then he died.) = เด็กชายที่ถือว่าเป็นหลักฐานแห่งพระคุณของพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์กลับถูกพรากจากไปจากหญิงชาวชูเนมผู้นี้ นับเป็นการทดสอบความเชื่อที่หนักหน่วง

4:21     “นางจึงอุ้มเขาขึ้นไปวางไว้บนที่นอนของคนของพระเจ้า” (she went up and laid him on the bed of the man of God)  = ปฏิกิริยาของเธอต่อสิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นถึงความเชื่อที่มั่นคงของเธอที่มีต่อพระเจ้า

(และคนของพระเจ้า) ในท่ามกลางสถานการณ์ที่ดูเลวร้าย  และในเวลานี้เธอยังไม่ต้องการให้คนอื่น ๆ ในบ้านรู้ว่าเด็กตาย เธอต้องการให้พระเจ้ารักษาเด็กให้มีชีวิตอีกครั้ง

4:23     “วันนี้จะไปหาท่านทำไม?” (Why will you go to him today?) =แสดงว่ามีการพบปะกันกับผู้เผยพระวจนะเอลีชาอยู่แล้ว การไปหาเอลีชาจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่ครั้งนี้จังหวะเวลาที่จะไปต่างหากที่ไม่ปกติ

4:26     “สบายดีค่ะ” (All is well. ) =เธอตั้งใจไม่บอกใครถึงความทุกข์ร้อนในใจของเธอ นอกจากผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า

4:28     “ดิฉันไม่ได้เรียนหรือว่า อย่าหลอกดิฉันเลย” (Did I not say, ‘Do not deceive me?) = เคยบอกเอลีชาแล้วว่าอย่าให้ความหวังแก่เธอเลย เธอกำลังปล้ำสู้กับคำถามว่า เหตุใดพระเจ้าจึงพรากเอาสิ่งที่เธอได้รับมาด้วยพระคุณของพระองค์ไปจากเธอ และนำเอาความน่าเชื่อถือในพระวจนะของพระเจ้ากลับคืนไป

4:29     “จงวางไม้เท้าของเราบนหน้าของเด็กนั้น” (lay my staff on the face of the child.) =เอลีชาคาดหวังให้พระเจ้าจะคืนชีวิตให้แก่เด็กนั้นเมื่อนำไม้เท้าไปวาง แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม้เท่านั้นวิเศษ มีอำนาจ

เวทมนตร์ แต่เขาถือว่า เป็นตัวแทนของตัวเอลีชาและเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของพระเจ้า (2:8;อพย.14:16;กจ.19:12)

4:30     “ดิฉันจะไม่ไปจากท่านฉันนั้น” (I will not leave you. I will not leave you.) = หญิงชาวชูเนมไม่เชื่อว่าจะสำเร็จในมือของเกหะซีจึงยืนกรานให้เอลีชาไปกับเธอ

4:33     “ปิดประตูอยู่กับเด็กนั้นสองต่อสอง และได้อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์” (shut the door behind the two of them and prayed to the Lord) = เอลีชากำลังทำแบบเดียวกับที่เอลียาห์ทำเมื่อหลายปีก่อน

(1พกษ.17:20-22)

-เอลีชาอธิษฐานต่อพระเจ้าก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อขอให้เด็กฟื้นชีวิต เป็นการยืนยันว่า สิ่งที่เขาทำหลังจากนั้นไม่ได้อาศัยเวทนมตร์อะไร นอกจากพึ่งฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

4:34     “เหยียดตัวของท่านบนเขาอีก”( as he stretched himself upon him) –1พกษ.17:21, เอลีชาอาจคุ้นเคยกับวิธีที่เอลียาห์กระทำก่อนหน้านี้

4:37     “ทรุดตัวลงที่เท้าของท่านกราบลงถึงดิน” (she picked up her son and went out.  ) = หญิงชูเนมนี้รับรู้ด้วยความซาบซึ้งใจว่าพระเจ้าโปรดปรานเธอเป็นพิเศษ เพราะเอลีชา แม้เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา แค่อวัจนภาษาของเธอก็สื่อออกมาแล้วอย่างชัดเจนสอดคล้องกับคำพูดของแม่ม่ายที่ศารฟัท (1พกษ.17:24)

4:38     “กิลกาล” (Gilgal) –2:1

“แผ่นดินเกิดกันดารอาหาร” (there was a famine in the land) =อาจเป็นการกันดารอาหารครั้งเดียวกับที่กล่าวใน 8:1 ซึ่งเป็นคำสาปแช่งตามพันธสัญญา (ลนต.26:19-20,26;ฉธบ.28:18,23-24,1พกษ.8:36-37)

= เป็นหลักฐานว่า พระเจ้าทรงพระพิโรธต่อประชาชนของพระเจ้าที่ไม่เชื่อฟังเงื่อนไขของพันธสัญญา

4:41     “แป้ง” ( flour) = ตัวแป้งไม่ได้ทำให้พิษหายไป (2:21) แต่เป็นเพียงวิธีการที่พระเจ้าใช้เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญา –ในขณะที่คนอื่น ๆ ต้องทนทุกข์ตามคำสาปของพันธสัญญา

4:42     “รวงข้าวใหม่” (fresh ears of grain) =แทนที่จะนำผลแรกจากการเก็บเกี่ยว (ลนต.2:14;23:15-17; ฉธบ.18:3-5) ไปให้นักบวชต่างศาสนาที่เบธเอลและดาน (1พกษ.12:28-31) -ประชาชนที่เคารพศรัทธาในพระเจ้าในอิสราเอลอาจนำเครื่องถวายบูชาเหล่านี้ไปให้เอลีชา และผู้เกี่ยวข้องใช้ยังชีพ (ข.23)

-พวกเขาอาจจะพึ่งพาเอลีชามากกว่ากษัตริย์และนักบวชที่ละทิ้งพระเจ้าในฐานะที่เอลีชาเป็นตัวแทนที่แท้จริงของพระเจ้าตามพันธสัญญา

4:43     “ท่านจึงสั่งซ้ำว่า” (So he repeated) = ขนมปังเพิ่มทวีคูณขึ้นตามพระวจนะของพระเจ้าผ่านทางเอลีชา โดยปราศจากสื่อกลางอื่น ๆ (ข.41;2:20;มก.6:34-43)

 คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยประสบเคราะห์กรรมใดในชีวิตที่ทำให้คุณเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสบ้างหรือไม่?  ในเรื่องใด? อย่างไร?
  2. พระเจ้าทรงช่วยคุณในสถานการณ์ดังกล่าวผ่านใคร? อย่างไรบ้าง?
  3. คุณเคยแสดงความเมตตา “คนของพระเจ้า” บ้างหรือไม่?  กับใคร? ในเรื่องอะไรบ้าง?
  4. คุณเคยมีประสบการณ์กับการ “ช่วยเหลือ” อย่างอัศจรรย์จากพระเจ้าหรือไม่? และอย่างไรบ้าง? แบ่งปัน
  5. คุณเคยสิ้นหวังในกรณีใดบ้าง? และพระเจ้ากลับช่วยกู้ให้คุณรอดพ้นจากสภาพนั้นมาได้อย่างไร?
  6. คุณเคยมีประสบการณ์กับการเลี้ยงดูของพระเจ้าในชีวิตของคุณที่เกินความคาดคิดอย่างไรบ้าง?
  7. คุณเคยมีประสบการณ์กับ “ความจริง” จากพระวจนะของพระเจ้าในเรื่องอะไรที่ประทับใจของคุณมากที่สุด? ทำไม?
  8. คุณได้รับบทเรียนอะไรเป็นพิเศษจากพระธรรมในตอนนี้

ศจ.ธงชัย ประดับชานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 3)

เสียงเพลงในหุบเขา

พระธรรม          2พงศ์กษัตริย์ 3:1-27    

อ้างอิง            1พกษ.12:28-32;15:26;16:30-32;19:16;22:4-5,47;2พกษ.1:1,17;16:3;20:10;21:6

บทนำ            เราจะทำอะไรควรปรึกษาพระเจ้าก่อนที่จะลงมือทำไปแล้วเกิดปัญหาค่อยมาขอคำปรึกษาจากพระเจ้า เช่นเดียวกัน อย่าให้เราสร้างปัญหาโดยไม่จำเป็น เพราะจะทำให้คนมากมายต้องเดือดร้อนไปกับเรา

บทเรียน

3:1 “โยรัม​ พระราชโอรส​ของ​อาหับ​ทรง​ครอง​อิสราเอล​ใน​กรุง​สะมาเรีย ใน​ปี​ที่ 18 ของ​รัชกาล​เยโฮชาฟัท​พระราชา​ แห่ง​ยูดาห์ และ​ทรง​ครองราชย์​อยู่ 12 ปี”

     (In the eighteenth year of Jehoshaphat king of Judah, Jehoram the son of Ahab became king over  Israel in Samaria, and he reigned twelve years. )

3:2 “โยรัม ​ทรง​ทำ​สิ่ง​ชั่วร้าย​ใน​สายพระเนตร​ของ​พระยาห์เวห์ แต่​ไม่​ทรง​เหมือน​พระราช​บิดา​และ​พระราชมารดา​ของ​พระองค์ พระองค์​ทรง​รื้อ​เสา​ศักดิ์สิทธิ์​ของ​พระบาอัล ซึ่ง​พระราช​บิดา​ของ​พระองค์​ทรง​ทำ​ไว้”

                (He did what was evil in the sight of the Lord, though not like his father and mother, for he put  away the pillar of Baal that his father had made. )

3:3 “แม้​กระนั้น พระองค์​ยัง​ทรง​เกาะ​ติด​อยู่​กับ​บาป​ทั้งหลาย​ของ​เยโรโบอัม​บุตร​ เนบัท ผู้​ได้​นำ​ให้​อิสราเอล​ทำ​บาป​ด้วย โยรัม​ไม่ได้​ทรง​หัน​จาก​บาป​นั้น”

     (Nevertheless, he clung to the sin of Jeroboam the son of Nebat, which he made Israel to sin; he  did not depart from it.)

3:4 “เมชา​พระราชา​แห่ง​โมอับ​ทรง​เป็น​ผู้​เพาะ​พันธุ์​แกะ และ​พระองค์​ต้อง​ถวาย​ลูกแกะ 100,000 ตัว และ​ขน​แกะผู้    100,000 ตัว​แก่​พระราชา​อิสราเอล”

                (Now Mesha king of Moab was a sheep breeder, and he had to deliver to the king of Israel   100,000 lambs and the wool of 100,000 rams. )

3:5 “ต่อมา​เมื่อ​อาหับ​สิ้น​พระชนม์​แล้ว พระราชา​แห่ง​โมอับ​ก็​กบฏ​ต่อ​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล”

               (But when Ahab died, the king of Moab rebelled against the king of Israel. )

3:6 “กษัตริย์​โยรัม​จึง​ทรง​ออก​จาก​กรุง​สะมาเรีย​ใน​ครั้ง​นั้น และ​ทรง​ระดม​พล​คน​อิสราเอล​ทั้งสิ้น”

               (So King Jehoram marched out of Samaria at that time and mustered all Israel. )

3:7 “พระองค์​ทรง​ส่งสาร​ไป​ยัง​เยโฮชาฟัท พระราชา​แห่ง​ยูดาห์​ว่า “พระราชา​แห่ง​โมอับ​ได้​กบฏ​ต่อ​ข้าพเจ้า ท่าน​จะ​ไป​รบ​กับ​โมอับ​พร้อม​กับ​ข้าพเจ้า​หรือ​ไม่?” และ​พระองค์​ตรัส​ตอบ​ว่า “ข้าพเจ้า​จะ​ไป ข้าพเจ้า​ก็​เป็น​เหมือน​ที่​ท่าน​เป็น  และ​ประชาชน​ของ​ข้าพเจ้า​ก็​เป็น​เหมือน​ประชาชน​ของ​ท่าน ม้า​ของ​ข้าพเจ้า​ก็​เป็น​เหมือน​ม้า​ของ​ท่าน

       (And he went and sent word to Jehoshaphat king of Judah, “The king of Moab has rebelled   against me. Will you go with me to battle against Moab?” And he said, “I will go. I am as you are,

               my people as your people, my horses as your horses.” )

3:8 “แล้ว​ตรัส​ต่อ​ไป​ว่า “พวกเรา​จะ​ยก​ขึ้น​ไป​ทาง​ไหน?” โยรัม​ตรัส​ตอบ​ว่า “ไป​ทาง​ถิ่น​ทุรกันดาร​เอโดม

               (Then he said, “By which way shall we march?” Jehoram answered, “By the way of the wilderness  of Edom.”

3:9 “พระราชา ​แห่ง​อิสราเอล​จึง​เสด็จ​ไป​พร้อม​กับ​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์ และ​พระราชา​แห่ง​เอโดม และ​เมื่อ​ทั้ง​สาม​กษัตริย์​เสด็จ​อ้อม​ไป​ได้​เจ็ด​วัน​แล้ว ก็​หา​น้ำ​ให้​กองทัพ​และ​ให้​สัตว์​ที่​มา​ด้วย​ไม่ได้”

           (So the king of Israel went with the king of Judah and the king of Edom. And when they had  made a circuitous march of seven days, there was no water for the army or for the animals that

                 followed them. )

3:10 “แล้ว​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​จึง​ตรัส​ว่า “อนิจจา​เอ๋ย พระยาห์เวห์​ทรง​เรียก​สาม​กษัตริย์​นี้​มา​เพื่อ​จะ​มอบ​ไว้​ใน​มือ​ของ​ โมอับ

                (Then the king of Israel said, “Alas! The Lord has called these three kings to give them into the hand of Moab.” )

3:11 “แต่​เยโฮชาฟัท​ตรัส​ว่า “ที่นี่​ไม่มี​ผู้​เผย​พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์ เพื่อ​เรา​จะ​ให้​เขา​ทูลถาม​พระยาห์เวห์​หรือ?”แล้ว​ข้าราชการ​คน​หนึ่ง​ของ​พระราชา​อิสราเอล​ทูล​ว่า “เอลีชา​บุตร​ชาฟัท​อยู่​ที่นี่ พ่ะ​ย่ะ​ค่ะ เขา​เคย​เป็น​คน​รับ​ใช้​ ของ​เอลียาห์

        (And Jehoshaphat said, “Is there no prophet of the Lord here, through whom we may inquire of  the Lord?” Then one of the king of Israel’s servants answered, “Elisha the son of Shaphat is here,   who poured water on the hands of Elijah.” )

3:12 “และ​เยโฮชาฟัท​ตรัส​ว่า “พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์​อยู่​กับ​เขา” พระราชา​แห่ง​อิสราเอล เยโฮชาฟัท และ​พระราชา​แห่ง​เอโดม​จึง​เสด็จ​ลง​ไป​หา​ท่าน”

                 (And Jehoshaphat said, “The word of the Lord is with him.” So the king of Israel and  Jehoshaphat and the king of Edom went down to him.)

3:13 “เอลีชา ​ทูล​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​ว่า “ข้า​พระบาท​มี​อะไร​เกี่ยว​ข้อง​กับ​ฝ่าพระบาท​หรือ? เชิญ​เสด็จ​ไป​หา​ผู้​เผย​พระวจนะ​ของ​เสด็จพ่อ​และ​เสด็จแม่​ของ​ ฝ่าพระบาท​เถิด” แต่​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​ตรัส​กับ​ท่าน​ว่า “ไม่​ไป

      เพราะ​พระยาห์เวห์​ทรง​เรียก​กษัตริย์​ทั้ง​สาม​นี้​มา​เพื่อ​มอบ​ไว้​ใน​ มือ​ของ​โมอับ

     (And Elisha said to the king of Israel, “What have I to do with you? Go to the prophets of your   father and to the prophets of your mother.” But the king of Israel said to him, “No; it is the Lord

    who has called these three kings to give them into the hand of Moab.” )

3:14 “แล้ว​เอลีชา​ทูล​ว่า “พระยาห์เวห์​จอม​ทัพ​ซึ่ง​ข้า​พระบาท​ปรนนิบัติ ทรง​พระชนม์​อยู่​แน่​ฉัน​ใด ถ้า​ข้า​พระบาท​ไม่ได้​เคารพ​นับ​ถือ​เยโฮชาฟัท​พระราชา​แห่ง​ยูดา ห์​แล้ว ข้า​พระบาท​จะ​ไม่​มอง​หรือ​แล​ดู​พระองค์​เลย”

                (And Elisha said, “As the Lord of hosts lives, before whom I stand, were it not that I have regard   for Jehoshaphat the king of Judah, I would neither look at you nor see you. )

3:15 “เวลา​นี้ ขอ​ทรง​นำ​ผู้​เล่น​เครื่อง​สาย​มา​ให้​ข้า​พระบาท​สัก​คน​หนึ่ง” เมื่อ​ผู้เล่น​เครื่อง​สาย​บรรเลง​แล้ว ฤทธานุภาพ​ของ​พระยาห์เวห์​ก็​มา​เหนือ​ท่าน”

                 (But now bring me a musician.” And when the musician played, the hand of the Lord came upon  him. )

3:16 “และ​ท่าน​ทูล​ว่า “พระยาห์เวห์​ตรัส​ดังนี้​ว่า ‘ทำ​หุบเขา​นี้​ให้​เต็ม​ไป​ด้วย​สระ’”

           (And he said, “Thus says the Lord, ‘I will make this dry streambed full of pools.’ )

3:17 “เพราะ ​พระยาห์เวห์​ตรัส​ดังนี้​ว่า ‘เจ้า​ทั้งหลาย​จะ​ไม่​เห็น​ลม​หรือ​ฝน แต่​หุบเขา​นั้น​จะ​เต็ม​ไป​ด้วย​น้ำ เพื่อ​เจ้า​จะ​ได้​ดื่ม ทั้ง​เจ้า​เอง ฝูง​ปศุสัตว์​ของ​เจ้า และ​สัตว์​ใช้​งาน​ของ​เจ้า’”

            (For thus says the Lord, ‘You shall not see wind or rain, but that streambed shall be filled with   water, so that you shall drink, you, your livestock, and your animals.’ )

3:18 “เรื่อง​อย่างนี้​เป็น​เรื่อง​เล็ก​น้อย​ใน​สายพระเนตร​ของ​พระยาห์เวห์ และ​พระองค์​จะ​ทรง​มอบ​คน​โมอับ​ไว้​ใน​มือ​ของ​พวกเจ้า​ด้วย”

               (This is a light thing in the sight of the Lord. He will also give the Moabites into your hand, )

3:19 “พวกเจ้า​จะ​โจมตี​เมือง​ที่​มี​ป้อม​ทุก​เมือง และ​เมือง​เอก​ทุก​เมือง และ​จะ​โค่น​ต้นไม้​ดี​ทุก​ต้น และ​จะ​อุด​น้ำพุ​ทุก​แห่ง​เสีย และ​ทำ​ไร่นา​ดี​ทุก​แปลง​ให้​เสีย​ไป​ด้วย​หิน

                (and you shall attack every fortified city and every choice city, and shall fell every good tree and  stop up all springs of water and ruin every good piece of land with stones.” )

3:20 “ต่อมา​พอ​รุ่งเช้า​ประมาณ​เวลา​ถวาย​เครื่อง​บูชา นี่แน่ะ มี​น้ำ​มา​ทาง​เมือง​เอโดม​จน​แผ่นดิน​เต็ม​ไป​ด้วย​น้ำ”

        (The next morning, about the time of offering the sacrifice, behold, water came from the direction   of Edom, till the country was filled with water.)

3:21 “และ​เมื่อ​คน​โมอับ​ทั้งหมด​ได้​ยิน​ว่า​บรรดา​พระราชา​ยก​ขึ้น​มา​รบ​กับ​ ตน พวก​เขา​ก็​รวบ​รวม​ทุก​คน​ที่​สวม​เกราะ​ได้​ ทั้ง​หนุ่ม​และ​แก่ และ​ให้​ไป​ตั้ง​รับ​ที่​พรมแดน”

        (When all the Moabites heard that the kings had come up to fight against them, all who were able  to put on armor, from the youngest to the oldest, were called out and were drawn up at the

               border. )

3:22 “เมื่อ​พวกเขา​ตื่น​ขึ้น​ตอน​เช้า​ตรู่ ดวง​อาทิตย์​ส่องแสง​อยู่​บน​น้ำ คน​โมอับ​เห็น​น้ำ​ที่​อยู่​ตรงข้าม​กับ​ตน​แดง​เหมือน​ เลือด”

          (And when they rose early in the morning and the sun shone on the water, the Moabites saw the  water opposite them as red as blood. )

3:23 “พวกเขา​พูด​ว่า “นี่​เป็น​เลือด บรรดา​พระราชา​สู้รบ​กัน​แน่ๆ และ​ฆ่า​กัน​เอง โมอับ​เอ๋ย เวลา​นี้​มา​เถิด มา​ริบ​เอา​ข้าวของ​ของ​เขา

         (And they said, “This is blood; the kings have surely fought together and struck one another  down. Now then, Moab, to the spoil!” )

3:24 “แต่​เมื่อ​คน​โมอับ​มา​ถึง​ค่าย​อิสราเอล คน​อิสราเอล​ก็​ลุกขึ้น​ต่อสู้​กับ​พวก​เขา​จน​เขา​ทั้งหลาย​หนี​ไป แล้ว​คน​อิสราเอล​รุก​หน้า​เข้า​ไป​ใน​แผ่นดิน​ได้​ฆ่าฟัน​คน​โมอับ”

         (But when they came to the camp of Israel, the Israelites rose and struck the Moabites, till they   fled before them. And they went forward, striking the Moabites as they went. )

3:25 “พวกเขา ​ได้​ทลาย​เมือง​ต่างๆ และ​แต่​ละ​คน​โยน​หิน​เข้า​ไป​ใน​ไร่นา​ที่​ดี​ทุก​แปลง เขา​อุด​น้ำพุ​เสีย​ทุก​แห่ง และ​โค่น​ต้นไม้​ดีๆ เสีย​หมด จน​ที่​สุด​ก็​เหลือ​แต่​เมือง​คีร์หะเรเซท​เท่า​นั้น บรรดา​นักสลิง​ได้​ล้อม​เมือง​ไว้​และ​โจมตี​ได้”

      (And they overthrew the cities, and on every good piece of land every man threw a stone until it  was covered. They stopped every spring of water and felled all the good trees, till only its stones    were left in Kir-hareseth, and the slingers surrounded and attacked it.)

3:26 “เมื่อ​พระราชา​แห่ง​โมอับ​ทรง​เห็น​ว่า​จะ​สู้​ไม่ได้ ก็​ทรง​พา​พลดาบ 700 คน​ตีฝ่า​ออก​มา​ทาง​ด้าน​พระราชา​แห่ง​เอโดม แต่​ออก​มา​ไม่ได้”

     (When the king of Moab saw that the battle was going against him, he took with him 700  swordsmen to break through, opposite the king of Edom, but they could not. )

3:27 “แล้ว​พระองค์​ทรง​นำ​พระราชโอรส​หัวปี ผู้​ควร​จะ​ขึ้น​ครอง​ราชย์​แทน​นั้น ถวาย​เป็น​เครื่อง​บูชา​เผา​ทั้ง​ตัว​ที่​บน​กำแพง และ​มี​พระพิโรธ​ใหญ่​ยิ่ง​ต่อ​พวก​อิสราเอล เขา​ทั้งหลาย​ก็​ยก​ถอย​ไป​จาก​พระองค์​และ​กลับ​บ้านเมือง​ของ​ ตน”

       (Then he took his oldest son who was to reign in his place and offered him for a burnt offering  on the wall. And there came great wrath against Israel. And they withdrew from him and returned

      to their own land.)

 ข้อมูลมีประโยชน์

  3:1       “โยรัม” (Jehoram) หรืออีกชื่อว่า เยโฮรัม  = โอรสของอาหับ

“ทรงครองอิสราเอล” (over Israel) = ขึ้นเป็นกษัตริย์ในปีที่ 18 ของรัชกาลของเยโฮชาฟัท พระราชาของยูดาห์ –1:17

“ครองราชย์อยู่ 12 ปี” (twelve years) = ปี 852 -841 ก.ค.ศ

3:2       “แต่ไม่ทรงเหมือนพระราชบิดา และพระราชมารดา”  (  not like his father and mother) = ทำชั่วยังไม่ถึงขนาดที่อาหับและเยเซเบลได้กระทำ (1พกษ.16:30-34;1พกษ.18:4;19:1-2;21:7-15)

“รื้อเสาศักดิ์สิทธิ์ของพระบาอัล” (put away the pillar of Baal) = เสาที่อาหับได้สร้างไว้เป็นตัวแทนของพระบาอัล (1พกษ.14:23) เพื่อเยเซเบล (1พกษ.16:32-33)     (ต่อมาหินนี้ถูกนำกลับมาตั้งที่เดิมในภายหลัง)

3:3       “บาปทั้งหมายของเยโรโบอัม” ( sin of Jeroboam) = บาปที่นำคนอิสราเอลให้ทำบาปตามและทิ้ง     พระเจ้า –1พกษ.14:16

3:4       “เมชาพระราชาแห่งโมอับ” (Mesha king of Moab)  -เป็นกษัตริย์แห่งโมอับที่บันทึกว่า ในรัชกาล “บุตร” ของอมรีหรือแท้จริงหมายถึง “หลาน” คือโยรัม ไม่ใช่อาหับ และอ้างว่า โมอับสามารถปลดปล่อยดินแดนแถบเมเคบาจากการควบคุมของอิสราเอลได้    (1:1)

“ลูกแกะ 100,000 ตัว และขนแกะผู้ 100,000 ตัว” (100,000 lambs and the wool of 100,000 rams)      = บรรณาการประจำปีจำนวนมหาศาลที่เมชาแห่งโมอับต้องส่งให้กับอิสราเอลในฐานะเมืองขึ้น(อสย.16:1)

3:5       “กบฏต่อพระราชาแห่งอิสราเอล” (rebelled against the king of Israel) = เมื่ออาหับสิ้นพระชนม์พระราชาแห่งโมอับกบฏต่ออิสราเอล

3:7       “ท่านจะไปรบกับโมอับพร้อมกับข้าพเจ้าหรือไม่?” (Will you go with me to battle against Moab?) = โยรัมปรารถนาที่จะโจมตีโมอับตลบหลัง (ข.8) แต่กองทัพของเขาต้องผ่านยูดาห์

“ข้าพเจ้าจะไป”  (I will go) –เยโฮชาฟัทตอบรับที่จะร่วมมือกับโยรัมทั้ง ๆ ที่ท่านถูกผู้เผยพระวจนะของ   พระเจ้ากล่าวโทษมาแล้ว (1พกษ.22:4) เมื่อคราวเป็นพันธมิตรกับอิสราเอล ทั้งในสมัยของอาหับ (2พศด.18:1;19:1-2) และสมัยของอาหัสยาห์ (2พศด.20:35-37)

-แต่เยโฮชาฟัทก็ยังกลับตกลงร่วมมือกับโยรัมอีก ท่านคงกังวลว่า โมอับกำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ (2พศด.20) และอาจคิดว่า โยรัมนั้นชั่วร้ายน้อยกว่ากษัตริย์อิสราเอลที่ผ่านมา (ข.2)

3:8       “ไปทางถิ่นทุรกันดารเอโดม” (By the way of the wilderness of Edom.) = หากใช้เส้นทางนี้กองทัพอิสราเอลและยูดาห์ต้องเดินทางอ้อมลงไปทางใต้ของทะเลตายเพื่อหลีกเลี่ยงป้อมปราการด่านหน้าทางตอนเหนือของโมอับ และไม่ต้องเสี่ยงต่อการถูกโจมตีด้านหลังของซีเรีย (อารัม) และเอโดมซึ่งเป็นเมืองขึ้นของยูดาห์  ในขณะนั้นคงจำต้องให้อิสราเอลเคลื่อนทัพผ่านเขตแดนของตน

3:9       “พระราชาแห่งเอโดม” (            king of Edom) = แท้จริงเป็นผู้สำเร็จราชการที่เยโฮชาฟัทแต่งตั้ง (8:20;1พกษ.22:47)

3:11     “ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์…หรือ?” (Is there no prophet of the Lord here,…?)

– 1พกษ.22:7, หลังจากแผนการของกษัตริย์ทั้ง 3 ล้มเหลว พวกเขาจึงหันมาแสวงหา(พระวจนะของ) พระเจ้า (ข.12)

“เอลีชาบุตรชาฟัทอยู่ที่นี่” (Elisha the son of Shaphat is here) -เอลีชาอาจเดินทางร่วมกับกองทัพนี้ในฐานะที่เป็นตัวแทนของเอลียาห์ (ผู้ชรา) เอลียาห์ส่งจดหมายไปถึงเยโฮรัมบุตรเยโฮชาฟัท หลังจากบิดาของท่านเสียชีวิตใน –2พศด.21:12-15

3:13     “เชิญเสด็จไปหาผู้เผยพระวจนะของเสด็จพ่อเสด็จแม่ของฝ่าพระบาทเถิด” (Go to the prophets of your father and to the prophets of your mother.) –1พกษ.22:6

3:14     “ถ้าข้าพระบาทไม่ได้เคารพนับถือเยโฮชาฟัท พระราชาแห่งยูดาห์แล้ว ข้าพระบาทจะไม่มองหรือแลดูพระองค์เลย”(were it not that I have regard for Jehoshaphat the king of Judah, I would neither look at you nor see you) = โยรัมได้รับพระพรแห่งพระวจนะของพระเจ้าเพียงเพราะเขาเกี่ยวข้องกับเยโฮชาฟัท

3:15     “ขอทรงนำผู้เล่นเครื่องสายมาให้ข้าพระบาทสักคนหนึ่ง” (bring me a musician   ) =  “ให้ไปหานักเล่นพิษมาคนหนึ่ง” เพื่อเตรียมใจและสภาพแวดล้อมให้พร้อมรับฟังพระวจนะของพระเจ้า

“ฤทธานุภาพของพระยาห์เวห์”( the hand of the Lord) = พระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า (อสค.1:3; ยรม.15:17)

3:16     “ทำหุบเขานี้ให้เต็มไปด้วยสระ” (make this valley full of ditches) = กองทัพอิสราเอลตั้งค่ายอยู่ในหุบเขากว้าง (อาราบาห์) ระหว่างที่ราบสูงโมอับทางตะวันออกและที่ราบสูงยูดาห์ทางตะวันตกอยู่ทางใต้ของทะเลตาย

3:17     “หุบเขานั้นจะเต็มไปด้วยน้ำ”( valley shall be filled with water ) = พระวจนะของพระเจ้าประกอบไปด้วยคำสั่งและพระสัญญาที่พระเจ้าประทานให้แก่ชนชาติของพระองค์ด้วยพระเมตตา ซึ่งพวกเขาต้องตอบสนองด้วยความเชื่อและการเชื่อฟัง (ข.16)

3:19     “จะโค่น…จะอุด…” (shall fell … and stop up…) = กองทัพของทั้ง 2 จะทำลายล้างโมอับที่กบฏ

3:20     “ประมาณเวลาถวายเครื่องบูชา” (the meat offering was offered) –อพย.29:38-39;กดว.28:3-4

“มีน้ำมาทางเมืองเอโดม” (there came water by the way of Edom) = น้ำท่วมฉับพลันบนภูเขาเอโดมที่อยู่ไกลออกไป ทำให้น้ำไหลขึ้นไปทางเหนือผ่านหุบเขากว้าง(พื้นที่แห้ง) เพื่อลงสู่ทะเลตาย (ข.16)

3:23     “บรรดาพระราชาสู้รบกันแน่ ๆ ” (the kings have surely fought together) = ชาวโมอับคิดไปเองว่าคงเกิดความขัดแย้งในท่ามกลางพันธมิตรจนสู้รบฆ่ากันเลือดนองแผ่นดินเพราะพวกเขาเคยมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกันมาก่อน

3:25     “เมืองคีร์หะเรเซท” (Kir-hareseth) = เมืองหลวงของโมอับ (อสย.16:7,11;ยรม.48:31,36)

= เมืองเครากในปัจจุบันตั้งอยู่ประมาณ  18 กิโลเมตรทางตะวันออกของทะเลตาย และประมาณ 24 กิโลเมตรทางใต้ของแม่น้ำอารโนน

3:26     “ตีฝ่าออกมาทางด้านพระราชาแห่งเอโดม” (to break through  opposite the king of Edom) =กษัตริย์ โมอับพยายามเอาตัวรอดโดยมุ่งฝ่าเอโดม แต่ไปไม่รอด

3:27     “ถวายเป็นเครื่องบูชาเผาทั้งตัวที่บนกำแพง” (offered him for a burnt offering on the wall)              = กษัตริย์เมชานำบุตรชายหัวปีซึ่งเป็นรัชทายาทไปบูชายัญ (16:3;ยรม.7:31) มาถวายแด่พระเคโมช       (1พกษ.11:7;กดว.21:29;ยรม.48:46) เพื่อขอให้มาช่วยเหลือ

“มีพระพิโรธใหญ่ยิ่งต่อพวกอิสราเอล” (there came great wrath against Israel) = ในบางฉบับแปลว่า “พวกเขาคั่งแค้นอิสราเอลยิ่งนัก” = ดังนั้น ในตอนนี้ไม่น่าจะเกี่ยวกับพระเคโมช เพราะไม่ใช่พระเจ้าที่แท้จริง (1พกษ.11:7) และไม่น่าจะเกี่ยวกับพระเจ้าแท้ (พระยาห์เวห์) เพราะพระองค์คงไม่กระทำสิ่งใดในนามของพระเคโมช หลังจากที่มีการบูชายัญถวายเช่นนั้น (2พกษ.16:3;17:17;21:6)  แต่น่าจะมาจากความโกรธแค้นของประชาชน (5:11;13:19) ที่ถูกปลุกเร้าให้ลุกขึ้นมาต่อสู้แบบถวายหัวจนนำชัยชนะกลับมาให้พวกเขาเอง

คำถามนำอภิปราย

  1.  เวลานี้มีสิ่งใดบ้างที่คุณกำลังกระทำอยู่ที่พระเจ้าถือว่าเป็นสิ่งที่ “ชั่ว” ในสายพระเนตรของพระองค์? หรือเป็นสิ่งที่คนในคริสตจักรกำลังกระทำอยู่?  คุณจะจัดการกับมันอย่างไร? ทำไม?
  2. คุณเคยก่อการกบฎหรือต่อต้านบุคคลใดหรือองค์กรใดบ้างหรือไม่?  ในเรื่องอะไรและทำไม?
  3. เคยมีใครก่อการต่อต้าน(กบฏ)ต่อคุณ  คริสตจักรหรือองค์กรที่คุณดูแลอยู่บ้างหรือไม่?  ผลเป็นอย่างไร?
  4. เคยมีใครชวนคุณร่วมมือหรือเป็นพันธมิตรกับเขา ในการจัดการ/เล่นงานกับคนอื่นบ้างหรือไม่?  เรื่องอะไร?  แล้วคุณร่วมมือหรือไม่ ผลเป็นอย่างไร?
  5. คุณเคยกระทำอะไร (เรื่องสำคัญ) ไปโดยไม่ปรึกษาพระเจ้าบ้างหรือไม่?  แล้วผลเป็นอย่างไร?
  6. คุณเคยปรึกษากับคนของพระเจ้าหรือพระวจนะของพระเจ้าก่อนรับปากหรือลงมือปฏิบัติกิจใด ๆ ที่ทำให้คุณมั่นใจก่อนที่คุณจะ

1)      รับปากกระทำ หรือ

2)      กล้าปฏิเสธไม่กระทำบ้างหรือไม่?  อย่างไร? และผลที่เกิดเป็นอย่างไรบ้าง?

7. คุณเคยมีประสบการณ์กับการทรงนำหรือการช่วยเหลือจากพระเจ้าที่เหนือธรรมชาติบ้างหรือไม่?  เรื่องอะไร? และอย่างไร?

8. คุณเคยเป็น “ปากเสียง”ของพระเจ้าในการประกาศและนำคนให้ปฏิบัติตามพระประสงค์/พระวจนะของพระองค์บ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? และอย่างไร?

9. คุณเคยสูญเสียความสำเร็จหรือชัยชนะไปในตอนบั้นปลายบ้างหรือไม่?  เรื่องอะไร? และอย่างไร?  และมีบทเรียนอะไรสอนใจคุณบ้าง?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 2)

อ้ายหัวล้าน!

 

พระธรรม        2พงศ์กษัตริย์ 2:1-25

อ้างอิง               ฉธบ.21:17;2พกษ.13:14

บทนำ                ทุกคนมีวาระของตนเองในชีวิต รวมทั้งวาระสุดท้าย! หากวันนี้ถึงกำหนดวาระที่คุณต้องจากโลกนี้ไป คุณจะรู้สึกเสียใจหรือไม่? ทำไม?  คุณได้มอบสิ่งใดที่ล้ำค่าแก่โลกนี้บ้าง?

บทเรียน

2:1 “ต่อ​มา​เมื่อ​ถึง​เวลา​ที่​พระยาห์เวห์​จะ​ทรง​รับ​เอลียาห์​ไป​ยัง​ฟ้า​ สวรรค์​ด้วย​พายุ เอลียาห์​และ​เอลีชา​กำลัง​เดิน​ทาง​จาก​กิลกาล”

      (Now when the Lord was about to take Elijah up to heaven by a whirlwind, Elijah and Elisha were on their way from Gilgal.)

2:2 “เอลียาห์​พูด​กับ​เอลีชา​ว่า “จง​คอย​อยู่​ที่นี่ เพราะ​พระยาห์เวห์​ทรง​ใช้​เรา​ไป​เบธเอล”แต่​เอลีชา​ตอบ​ว่า“พระยาห์เวห์​ ทรง​พระชนม์​อยู่​และ​ท่าน​เอง​มี​ชีวิต​อยู่​แน่​ฉัน​ใด ข้าพเจ้า​จะ​ไม่​ไป​จาก​ท่าน​ฉัน​นั้น” ดังนั้น​เขา​ทั้งสอง​ก็​ลง​ไป​ เบธเอล”

  (And Elijah said to Elisha, “Please stay here, for the Lord has sent me as far as Bethel.” But  Elisha said, “As the Lord lives, and as you yourself live, I will not leave you.” So they went down  to Bethel.)

2:3 “และ​เหล่า​ผู้​เผย​พระวจนะ​ผู้​อยู่​ใน​เบธเอล​ได้​ออก​มา​หา​เอลีชาและ​บอก​ท่าน​ว่า“ท่าน​ทราบ​ไหม​ว่า วันนี้​พระยาห์‍เวห์​จะ​ทรง​รับ​อาจารย์​ของ​ท่าน​ไป​จาก​ท่าน?” ท่าน​ตอบ​ว่า “ข้าพเจ้า​ทราบ​แล้ว เงียบๆ ไว้

    (And the sons of the prophets who were in Bethel came out to Elisha and said to him, “Do you  know that today the Lord will take away your master from over you?” And he said, “Yes, I know it;  keep quiet.”)

2:4 “เอลียาห์​พูด​กับ​ท่าน​ว่า “เอลีชา จง​คอย​อยู่​ที่นี่ เพราะ​พระยาห์เวห์​ทรง​ใช้​เรา​ไป​เมือง​เยรีโค” แต่​ท่าน​ตอบ​ว่า “พระยาห์เวห์​ทรง​พระชนม์​อยู่​และ​ท่าน​เอง​มี​ชีวิต​อยู่​แน่​ฉัน​ใด ข้าพเจ้า​จะ​ไม่​ไป​จาก​ท่าน​ฉัน​นั้น” ดังนั้น​เขา​ทั้งสอง​ ก็​มา​ยัง​เมือง​เยรีโค”

     (Elijah said to him, “Elisha, please stay here, for the Lord has sent me to Jericho.” But he said, “As  the Lord lives, and as you yourself live, I will not leave you.” So they came to Jericho. )

2:5 “และ​เหล่า​ผู้​เผย​พระวจนะ​ผู้​อยู่​ใน​เมือง​เยรีโค​เข้า​มา​ใกล้​เอลีชา ​และ​พูด​กับ​ท่าน​ว่า “ท่าน​ทราบ​ไหม​ว่า วันนี้​ พระยาห์เวห์​จะ​ทรง​รับ​อาจารย์​ของ​ท่าน​ไป​จาก​ท่าน?” ท่าน​ตอบ​ว่า “ข้าพเจ้า​ทราบ​แล้ว เงียบๆ ไว้

    (The sons of the prophets who were at Jericho drew near to Elisha and said to him, “Do you know  that today the Lord will take away your master from over you?” And he answered, “Yes, I know it;  keep quiet.”)

2:6 “เอลียาห์​พูด​กับ​ท่าน​ว่า “จง​คอย​อยู่​ที่นี่ เพราะ​พระยาห์เวห์​ทรง​ใช้​เรา​ไป​ที่​แม่น้ำ​จอร์แดน” แต่​ท่าน​ตอบ​ว่า  “พระยาห์เวห์​ทรง​พระชนม์​อยู่​และ​ท่าน​เอง​มี​ชีวิต​อยู่​แน่​ฉัน​ใด ข้าพเจ้า​จะ​ไม่​ละทิ้ง​ท่าน​ฉัน​นั้น” แล้ว​เขา​ทั้งสอง​ก็​เดิน​ต่อไป”

   (Then Elijah said to him, “Please stay here, for the Lord has sent me to the Jordan.” But he said,   “As the Lord lives, and as you yourself live, I will not leave you.” So the two of them went on. )

2:7 “คน 50 คน​จาก​กลุ่ม​ผู้​เผย​พระวจนะ​ก็​ไป​ด้วย​เช่น​กัน และ​ยืน​อยู่​ไกล​ออก​ไป ส่วน​ท่าน​ทั้งสอง​ยืน​อยู่​ริม​แม่น้ำ​จอร์แดน”

  (Fifty men of the sons of the prophets also went and stood at some distance from them, as they  both were standing by the Jordan. )

2:8 “แล้ว​เอลียาห์​เอา​เสื้อ​คลุม​ของ​ท่าน​ม้วน​เข้า​แล้ว​ฟาด​ลง​ที่​น้ำ​นั้น น้ำ​ก็​แยก​ออก​ไป​สอง​ข้าง ท่าน​ทั้งสอง​ก็​เดิน​ข้าม​ไป​บน​ดินแห้ง”

   (Then Elijah took his cloak and rolled it up and struck the water, and the water was parted to the  one side and to the other, till the two of them could go over on dry ground.)

2:9 “เมื่อ​ข้าม​ไป​แล้ว เอลียาห์​พูด​กับ​เอลีชา​ว่า “ท่าน​อยาก​ให้​เรา​ทำ​อะไร​ให้ ก็​จง​ขอ​เถิด ก่อน​ที่​เรา​จะ​ถูก​รับ​ไป​จาก​ท่าน” และ​เอลีชา​ตอบ​ว่า “โปรด​ให้​ข้าพเจ้า​ได้​รับ​ฤทธิ์เดช​ของ​ท่าน​สอง​ส่วน

  (When they had crossed, Elijah said to Elisha, “Ask what I shall do for you, before I am taken  from you.” And Elisha said, “Please let there be a double portion of your spirit on me.” )

2:10 “และ​เอลียาห์​ตอบ​ว่า “ท่าน​ขอ​สิ่ง​ที่​ยาก​นัก แต่​ถ้า​ท่าน​เห็น​เรา​ถูก​รับ​ไป​จาก​ท่าน ท่าน​ก็​จะ​ได้​อย่าง​นั้น แต่​ถ้า​ท่าน​ไม่​เห็นท่าน​ก็​จะ​ไม่ได้

  (And he said, “You have asked a hard thing; yet, if you see me as I am being taken from you, it shall be so for you, but if you do not see me, it shall not be so.”)

2:11 “เมื่อ​ท่าน​ทั้งสอง​ยัง​เดิน​สนทนา​กัน​ต่อไป ดูสิ รถรบ​เพลิง​คัน​หนึ่ง​และ​พวก​ม้าเพลิง​ได้​แยก​เขา​ทั้งสอง​ออก​จาก​กัน และ​เอลียาห์​ได้​ขึ้น​ไป​สวรรค์​์โดย​พายุ”

  (And as they still went on and talked, behold, chariots of fire and horses of fire separated the two  of them. And Elijah went up by a whirlwind into heaven. )

2:12 “เอลีชา​เห็น และ​ร้อง​ว่า “พ่อ​ของ​ข้า พ่อ​ของ​ข้า รถรบ​แห่ง​อิสราเอล และ​ทหารม้า​ประจำ​รถ” และ​ท่าน​ก็​ไม่ได้​เห็น​เอลียาห์​อีก​เลย แล้ว​ท่าน​จับ​เสื้อ​ของ​ตน​ฉีก​ออก​เป็น​สอง​ท่อน”

   (And Elisha saw it and he cried, “My father, my father! The chariots of Israel and its horsemen!”   And he saw him no more.Then he took hold of his own clothes and tore them in two pieces.)

2:13 “เอลีชา​ก็​หยิบ​เสื้อคลุม​ของ​เอลียาห์ ที่​ตก​ลง​มา​จาก​เอลียาห์​นั้น และ​กลับ​ไป​ยืน​อยู่​ที่​ฝั่ง​แม่น้ำ​จอร์แดน”

      (And he took up the cloak of Elijah that had fallen from him and went back and stood on the bank  of the Jordan. )

2:14 “แล้ว​ท่าน​ก็​เอา​เสื้อคลุม​ของ​เอลียาห์​ที่​ตก​ลง​มา​นั้น ฟาด​ลง​ที่​น้ำ กล่าว​ว่า “พระยาห์เวห์​พระเจ้า​ของ​เอลียาห์​ สถิต​ที่​ใด?” และ​เมื่อ​ท่าน​ฟาด​ลง​ที่​น้ำ น้ำ​ก็​แยก​ออก​ไป​สอง​ข้าง และ​เอลีชา​ก็​เดิน​ข้าม​ไป”

   (Then he took the cloak of Elijah that had fallen from him and struck the water, saying, “Where is  the Lord, the God of Elijah?” And when he had struck the water, the water was parted to the one  side and to the other, and Elisha went over.)

2:15 “เมื่อ​เหล่า​ผู้​เผย​พระวจนะ​ที่​อยู่​เมือง​เยรีโค​เห็น​ท่าน​อยู่​แต่​ไกล เขา​ทั้งหลาย​พูด​ว่า “ฤทธิ์​เดช​ของ​เอลียาห์​อยู่​กับ​เอลีชา” และ​เขา​ทั้งหลาย​มา​พบ​ท่าน แล้ว​โน้ม​ตัว​ลง​ถึง​ดิน​คำ​นับ​ท่าน”

 (Now when the sons of the prophets who were at Jericho saw him opposite them, they said, “The spirit of Elijah rests on Elisha.” And they came to meet him and bowed to the ground before him.)

2:16 “เขา​ทั้งหลาย​พูด​กับ​ท่าน​ว่า “มี​ชาย​ฉกรรจ์ 50 คน​อยู่​กับ​ผู้รับใช้​ของ​ท่าน โปรด​ให้​พวกเขา​ไป​เสาะ​หา​อาจารย์​ของ​ท่าน บางที​พระวิญญาณ​ของ​พระยาห์เวห์​ได้​รับ​ท่าน​ไป​แล้ว​เหวี่ยง​ท่าน​ ลง​มา​ที่​ภูเขา​ลูก​หนึ่ง​หรือ​หุบเขา​แห่ง​หนึ่ง” และ​ท่าน​ว่า “อย่า​ใช้​พวกเขา​ไป​เลย

  (And they said to him, “Behold now, there are with your servants fifty strong men. Please let them   go and seek your master. It may be that the Spirit of the Lord has caught him up and cast him   upon some mountain or into some valley.” And he said, “You shall not send.” )

2:17 “แต่​เมื่อ​พวกเขา​รบเร้า​ท่าน​จน​ท่าน​ละอาย แล้ว​ท่าน​จึง​พูด​ว่า “ใช้​ไป​ซี” เพราะ​ฉะนั้น เขา​จึง​ใช้​ห้าสิบ​คน​ไป พวก‌เขา​เสาะหา​เอลียาห์​อยู่​สาม​วัน​แต่​ไม่​พบ​ท่าน”

    (But when they urged him till he was ashamed, he said, “Send.” They sent therefore fifty men.   And for three days they sought him but did not find him. )

2:18 “พวกเขา ​ก็​กลับ​มา​หา​เอลีชา ขณะ​ที่​ท่าน​พัก​อยู่​ที่​เมือง​เยรีโค และ​ท่าน​พูด​กับ​พวกเขา​ว่า “เรา​บอก​พวกท่าน​ แล้ว​ไม่​ใช่​หรือ​ว่า อย่า​ไป​เลย

     (And they came back to him while he was staying at Jericho, and he said to them, “Did I not say to you, ‘Do not go’?”)

2:19 “ผู้​คน​ใน​เมือง​นั้น​ พูด​กับ​เอลีชา​ว่า “ดูสิ ทำเล​เมือง​นี้​ร่มรื่น​ดี เหมือน​อย่าง​ที่​เจ้านาย​ของ​ข้าพเจ้า​ได้​เห็น​แล้ว แต่​น้ำ​ไม่​ดี​และ​แผ่นดิน​นั้น​ก็​ไม่​เกิด​ผล​”

  (Now the men of the city said to Elisha, “Behold, the situation of this city is pleasant, as my lord  sees, but the water is bad, and the land is unfruitful.” )

2:20 “ท่าน​พูด​ว่า “จง​เอา​ชาม​ใหม่​มา​ใบ​หนึ่ง ใส่​เกลือ​ใน​นั้น” แล้ว​เขา​ทั้งหลาย​ก็​หา​มา​ให้”

        (He said, “Bring me a new bowl, and put salt in it.” So they brought it to him. )

2:21 “แล้ว​ท่าน​ก็​ไป​ที่​น้ำพุ โยน​เกลือ​ลง​ใน​นั้น​และ​กล่าว​ว่า “พระยาห์เวห์​ตรัส​ดังนี้​ว่า เรา​ทำ​น้ำ​นี้​ให้​ดี​แล้ว ตั้งแต่​นี้​ไป​ จะ​ไม่มี​ความ​ตาย​หรือ​การ​ไม่​เกิด​ผล​เพราะ​น้ำ​นี้​อีก

     (Then he went to the spring of water and threw salt in it and said, “Thus says the Lord, I have  healed this water; from now on neither death nor miscarriage shall come from it.” )

2:22 “ดังนั้น น้ำ​นั้น​จึง​ดี​มา​จน​ถึง​ทุก​วันนี้ ตาม​ถ้อยคำ​ที่​เอลีชา​กล่าว​นั้น”

    (So the water has been healed to this day, according to the word that Elisha spoke.)

2:23 “ท่าน​ได้​ขึ้น​ไป​จาก​ที่นั่น​ถึง​เมือง​เบธเอล และ​ขณะ​ขึ้น​ไป​ตาม​ทาง มี​กลุ่ม​เด็กชาย​เล็กๆ ​ออก​มา​จาก​เมือง​ล้อเลียน​ท่าน​ว่า “อ้าย​หัวล้าน ไป​ให้​พ้น อ้าย​หัวล้าน ไป​ให้​พ้น

     (He went up from there to Bethel, and while he was going up on the way, some small boys came  out of the city and jeered at him, saying, “Go up, you baldhead! Go up, you baldhead!” )

2:24 “ท่าน​ก็​หันมา​เห็น​พวกเขา จึง​แช่ง​พวกเขา​ใน​พระนาม​พระยาห์เวห์ และ​หมี​ตัวเมีย​สอง​ตัว​ออก​มา​จาก​ป่า ฉีก​เด็ก​พวก​นั้น​เสีย 42 คน

     (And he turned around, and when he saw them, he cursed them in the name of the Lord.  And  two she-bears came out of the woods and tore forty-two of the boys. )

2:25 “จาก​ที่นั่น​ท่าน​ขึ้น​ไป​ถึง​ภูเขา​คารเมล และ​จาก​ที่นั่น​ท่าน​ก็​กลับ​มา​ยัง​กรุง​สะมาเรีย”

           (From there he went on to Mount Carmel, and from there he returned to Samaria.)

ข้อมูลมีประโยชน์

2:1       “กิลกาล” (Gilgal) = น่าจะเป็นกิลกาลที่อยู่ประมาณ 3 กิโลเมตรเหนือเบธเอล

2:2       “ข้าพเจ้าจะไม่ไปจากท่าน” (I will not leave you  ) = เอลีชาตระหนักว่า พันธกิจของเอลียาห์ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว และเอลียาห์กำลังจะจากไป (ข.5) เอลีชาจึงตั้งใจที่จะอยู่กับเอลียาห์จนกระทั่งพระเจ้าทรงรับเอลียาห์ไป

-เอลีชาจึงทุ่มเทให้เอลียาห์และพันธกิจของเอลียาห์อย่างเต็มที่ (ข.9;1พกษ.19:21)

2:3       “เหล่าผู้เผยพระวจนะ” (the sons of the prophets)  แปลตรงตัว “บรรดาบุตรผู้เผยพระวจนะ” (1พกษ.20:35) –ในสมัยของเอลียาห์และเอลีชา มีกลุ่มผู้เผยพระวจนะเช่นนี้ในเบธเอล (ข.3) ในเยรีโค (ข.5) และในกิลกาล (4:38)

-เอลียาห์เดินทางตามคำสั่งของพระเจ้าไปยังกิลกาล (ข.1)  เบธเอล (ข.2) และเยรีโค (ข.4) เพื่อพบกับบรรดาผู้เผยพระวจนะเหล่านี้เป็นครั้งสุดท้าย

2:7       “คน 50 คน” (Fifty men) –ก่อนหน้าอาหัสยาห์บัญชาทหาร 50 คนไปหาเพื่อจัดการกับเอลียาห์  (1พกษ.1:9,11,13)  มี 50 คนที่ตามหาเอลียาห์ (1พกษ.2:16-17) (เปรียบเทียบกับผู้เผยพระวจนะแอบซ่อนในถ้ำ ๆ ละ 50 คน ในสมัยที่เยเชเบลไล่ล่า) แต่กลุ่ม 50 คน ในตอนนี้มาเป็นสักขีพยานในการข้ามแม่น้ำอย่างอัศจรรย์ของเอลียาห์และเอลีชา

2:8       “เอลียาห์เอาเสื้อคลุมของท่านม้วนเข้าแล้วฟาดลงที่น้ำนั้น” (Then Elijah took his cloak and rolled it up and struck the water) = เหมือนที่โมเสสใช้ไม้เท้าเพื่อทำให้น้ำแยกออกและชาวอิสราเอลเดินข้ามทะเลแดงไป        (อพย.14:16,21,26)

2:9       “โปรดให้ข้าพเจ้าได้รับฤทธิ์เดชของท่านสองส่วน” (Please let there be a double portion of your spirit on me) = เอลีชาไม่ได้ขอทำพันธกิจที่ใหญ่กว่าเอลียาห์เป็น 2 เท่า แต่สำนวนนี้มีความหมายตามกฎหมายการสืบทอดมรดกที่กำหนดให้บุตรหัวปีได้รับมรดกจากบิดาเป็น 2 เท่าของน้องคนอื่น ๆ          (ฉธบ.21:17)

= ในที่นี้หมายความว่า เอลีชาต้องการสืบทอดพันธกิจของเอลียาห์

2:10     “ท่านขอสิ่งที่ยากนัก” (You have asked a hard thing) = แม้ว่าก่อนหน้านี้เอลียาห์ได้รับคำบัญชาให้ตั้งเอลีชาเป็นผู้สืบทอด (1พกษ.19:16, 16-21)  แต่ท่านก็ทราบว่าเรื่องนี้อยู่กับพระประสงค์ของพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว ตัวท่านเองจะสัญญาให้อะไรแก่ใครตามใจไม่ได้เลย

“แต่ถ้าท่านเห็นเราถูกรับไปจากท่าน ท่านก็จะได้อย่างนั้น” (if you see me as I am being taken from you) = เอลียาห์ขอให้พระเจ้าเป็นผู้ตอบคำขอของเอลีชา

2:11     “รถรบเพลิงคันหนึ่ง” (chariots of fire) = บรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้ามีส่วนร่วมและสนับสนุนพันธกิจของเอลียาห์ ดังที่สนับสนุนโมเสส (อพย.15:1-10) ตลอดมา และขณะนี้เอลียาห์กำลังจะจากไป เอลีชาจึงได้รับอนุญาตให้มองเห็นได้ (6:17)

“เอลียาห์ได้ขึ้นไปสวรรค์โดยพายุ” (Elijah went up by a whirlwind into heaven.) = เอลียาห์ได้ถูกรับขึ้นไปสู่สวรรค์โดยไม่ตายเช่นเดียวกับเอโนค (ปฐก.5:24)

= เอลียาห์ถูกรับขึ้นไปในขณะที่อยู่นอกดินแดนแห่งพันธสัญญาเหมือนโมเสส (ฉธบ.34:4-6)

2:12     “รถรบแห่งอิสราเอลและทหารม้าประจำรถ” (The chariots of Israel and its horsemen) = เอลีชาประกาศว่า เอลียาห์คือสัญลักษณ์ของพลังแห่งอำนาจที่แท้จริงของอิสราเอล

-พวกเขาทิ้งพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าทิ้งพวกเขา (13:14)

“จับเสื้อของตนฉีกออกเป็นสองท่อน” (took hold of his own clothes and tore them in two pieces) –ปฐก.44:13

= เครื่องหมายของความทุกข์ใจและเศร้าโศกเสียใจ (ปฐก.37:29;37:34)
2:13     “เอลีชาก็หยิบเสื้อคลุมของเอลียาห์” (he took up the cloak of Elijah) –ข.-8, การเป็นเจ้าของเสื้อคลุมของเอลียาห์เป็นสัญลักษณ์ว่า เอลีชาเป็นผู้สืบทอดพันธกิจของเอลียาห์ (1พกษ.19:19)

2:14     “เอาเสื้อคุลมของเอลียาห์…ฟาดลงที่น้ำ…น้ำแยกออกไปสองข้าง” (took the cloak of Elijah …struck the water, … water was parted to the one side and to the other)  = พระเจ้ารับรองเอลีชาในฐานะผู้สืบทอดพันธกิจของเอลียาห์ และได้สำแดงว่าฤทธิ์เดชของพระเจ้าที่เคยอยู่กับเอลียาห์ในการกระทำพันธกิจบัดนี้สถิตอยู่กับเอลีชาด้วย

“เอลีชาก็เดินข้ามไป” (Elisha went over) = เหมือนกับตอนโยชูวาเดินข้ามแม่น้ำจอร์แดนในที่นี้ บัดนี้เอลีชาเป็นดุจ “โยชูวา” ของเอลียาห์

“เอลีชา” มีความหมายว่า “พระเจ้าทรงช่วย” และ “โยชูวา” หมายความว่า “พระยาห์เวห์ทรงช่วย”

2:15     “โน้มตัวลงถึงดินคำนับท่าน” (bowed to the ground before him ) = บ่งบอกว่า พวกเขายอมรับเอลีชาในการสืบทอดพันธกิจต่อจากเอลียาห์

= ประกาศว่าเอลีชาเป็นตัวแทนของพระเจ้าในดินแดน และในสมัยราชวงศ์ที่ละทิ้งพระเจ้าอย่างเป็นทางการแล้ว

2:16     “บางทีพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ได้รับท่านไปแล้วเหวี่ยงท่านลงมาที่ภูเขา” (It may be that the Spirit of the Lord has caught him up and cast him upon some mountain) = โอบาดีห์ก็เคยแสดงความเชื่อเช่นนี้เมื่อหลายปีก่อน (1พกษ.18:12)
“อย่าใช้พวกเขาไปเลย” (You shall not send) = รู้ว่าส่งไปก็ไร้ประโยชน์

2:17     “จนท่านละอาย” (he was ashamed) = จนขัดไม่ได้ เป็นคำภาษาฮีบรูคำเดียวกับใน วนฉ.3:25 ที่หมายถึง “จนรู้สึกวุ่นวายใจ”

-เอลีชาถูกผู้เผยพระวจนะกดดันจนต้องส่งคนออกไปตามหาเอลียาห์

“ใช้ไปซี” (Send) = จะไปก็ไป เมื่อพวกผู้เผยพระวจนะไม่ยอมฟังคำของเอลีชา ท่านก็อนุญาตให้พวกเขาไปหาเพื่อยืนยันสิทธิอำนาจและความจริงในคำพูดของท่าน

2:19     “แต่น้ำไม่ดีและแผ่นดินนั้นก็ไม่เกิดผล” (but the water is bad, and the land is unfruitful.) = ผู้ที่อาศัยอยู่ในเยรีโคกำลังประสบผลตามคำสาปแช่งในพันธสัญญา

-เปรียบเทียบความแตกต่างใน ฉธบ.28:15-18;อพย.23:25-26;ลนต.26:9;ฉธบ.28:1-4;1พกษ.16:34;

ยชว.6:26

2:20     “ชามใหม่” (new bowl) = เป็นเครื่องหมายว่า สิ่งที่จะนำมารับใช้พระเจ้าจะต้องไม่ใช่สิ่งที่เป็นมลทินจากการใช้มาก่อนหน้านี้ (ลนต.1:3,10;กดว.19:2;ฉธบ.21:3;1ซมอ.6:7)

“ใส่เกลือในนั้น” (put salt in it) = ใช้เกลือเป็นสัญลักษณ์ของความซื่อสัตย์ของพระเจ้าตามพระสัญญา (กดว.18:19;2พศด.13:5)

= เกลือเป็นส่วนประกอบหนึ่งของเครื่องหอมพิเศษที่ใช้ในสถานนมัสการ (อพย.30:35) อาจเป็นเกลือที่ใช้ในอาหารสำหรับถวายบูชา มักใช้ควบคู่กับการทำพันธสัญญา (ปฐก.31:54;อพย.24:5-11;สดด.50:5)

2:21     “เราทำน้ำนี้ให้ดีแล้ว” (I have healed this water) =สั่งทำให้น้ำมีสภาพดีไม่ใช่เกลือ แต่ผู้ที่ทำให้น้ำหายจากสภาพไม่ดี คือ พระเจ้า

= นี่คือพันธกิจแรกของเอลีชาเป็นสัญลักษณ์ประกาศแก่ประชาชนว่า ถึงแม้พวกเขาจะไม่เชื่อฟัง แต่พระเจ้ายังทรงเมตตา และยื่นมือช่วยเหลือพวกเขาด้วยพระคุณ (13:23)

2:23     “อ้ายหัวล้าน ไปให้พ้น” (Go up, you baldhead!) = อาการหัวล้านเป็นสิ่งที่ไม่พบบ่อยนักในชนชาติยิวยุคโบราณ เพราะการมีผมหนา ยาว และแข็งแรงเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแรงและความมีพลัง (2ซมอ.14:26) = คำเรียกเอลีชาว่า “อ้ายหัวล้าน” จึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงการดูหมิ่นเหยียดหยามตัวแทนของพระเจ้า และมองว่าผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าไม่มีน้ำยาหรืออำนาจใด ๆ

“ไปให้พ้น” (Go up) = อาจเป็นคำล้อเลียนให้เอลีชาไปสวรรค์เหมือนเอลียาห์หรือเป็นการต่อต้านไม่ให้เอลีชาสืบสานงานต่อจากเอลียาห์ ในการต่อต้านราชวงศ์ที่ละทิ้งพระเจ้า เพราะเบธเอลเป็นศูนย์กลางทางศาสนาของบรรดากษัตริย์แห่งอาณาจักรเหนือ (1พกษ.12:29;อมส.7:13)

2:24     “จึงแช่งพวกเขาในพระนามพระยาห์เวห์” (he cursed them in the name of the Lord) = คำสาปแช่งคล้ายคำสาปแช่งในพันธสัญญา (ลนต.26:21-22) เป็นการเตือนว่าชนชาตินี้จะถูกพิพากษา หากว่าพวกเขายังไม่กลับใจ (2พศด.36:16)

สิ่งที่เอลีชาทำในช่วงต้นพันธกิจของท่าน จึงเป็นการประกาศถึง

  1. พระพรตามพันธสัญญาของพระเจ้าสำหรับผู้ที่แสวงหาพระองค์ (2:19-22)
  2. คำสาปแช่งตามพันธสัญญาสำหรับผู้ที่หันหลังต่อสู้พระองค์ (1พกษ.19:17)

คำถามนำอภิปราย

  1. ทุกคนมีเวลาที่จะถูกรับไป(จากโลกนี้) หากวันนี้ถึงกำหนดที่คุณต้องจากไป คุณจะรู้สึกอย่างไร? ทำไม?
  2. หากคุณรู้ว่าคุณกำลังจะถูกรับไปเร็ว ๆ นี้ คุณจะปรับเปลี่ยนอะไรในชีวิตของคุณบ้าง? อย่างไร? และทำไม?
  3. คุณเคยอยู่ใกล้ชิดผู้รับใช้พระเจ้าคนใดที่คุณไม่อยากห่างไกลจากบุคคลนั้น? ทำไม? ทั้ง ๆ ที่คุณถูกห้ามไม่ให้ติดตามไป?
  4. หากเป็นไปได้ คุณอยากได้อะไรจากคนของพระเจ้า(หรือผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า) ? ทำไมต้องการเช่นนั้น?
  5. คุณเคยรู้สึกเสียใจกับการจากไปของ “บุคคลใด” มากที่สุด? (โดยเฉพาะอย่าง์ยิ่งผู้รับใช้ของพระเจ้า) ทำไม?
  6. คุณมีประสบการณ์อะไรกับฤทธิ์เดชของพระเจ้าที่สำแดงผ่านชีวิตของคุณบ้าง? เรื่องอะไร? อย่างไร และผลที่เกิดขึ้นคืออะไร?
  7. คุณเคยเป็นผู้นำ(หรือขึ้นมาเป็นผู้นำ)แล้ว(ผู้นำ)คนอื่น ๆ ไม่ยอมเชื่อฟังคุณบ้างหรือไม่? แล้วคุณทำอย่างไร?
  8. คุณเคยเห็นพระเจ้าทรงแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงอะไรหรือใครอย่างอัศจรรย์บ้าง? คุณมีส่วนอะไรในการเปลี่ยนแปลงนั้นบ้าง? อย่างไร?
  9. คุณเคยนำการสาปแช่งของพระเจ้าไปถึงผู้ใดบ้าง? อย่างไร?  และทำไม?
  10. คุณเคยเห็นการลงโทษของพระเจ้าต่อคนที่ดูหมิ่นผู้รับใช้ของพระเจ้าบ้างหรือไม่? อย่างไร?

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 1)

อย่าลบหลู่พระเจ้าและคนของพระองค์!

พระธรรม        2พงศ์กษัตริย์ 1:1-18

อ้างอิง              2พกษ.1:2-6,11,15-16;3:1-5;4:38;6:14;8:16;9:16,21,17:1;18:7,38;1พกษ.19:11,16-21

บทนำ           กษัตริย์อาหัสยาห์ ขึ้นครองราชย์ไม่นานก็จบชีวิตลง เพราะไม่ยำเกรงพระเจ้า ไม่ใส่ใจพระวจนะของพระองค์ และไม่ให้เกียรติต่อคนของพระองค์ อย่าให้เรานำเอาภัยพิบัติมาสู่ตนเองและคนที่อยู่ใต้การดูแลของเรา เพราะความดื้อรั้นทรนงของตัวเราเองเลย!

บทเรียน

1:1 “ภายหลัง​อาหับ​สิ้น​พระชนม์​แล้ว โมอับ​ก็​กบฏ​ต่อ​อิสราเอล”

      (After the death of Ahab, Moab rebelled against Israel.)

1:2 “ส่วน​อาหัสยาห์​ทรง​ตก​ลง​มา​จาก​ช่อง​หน้าต่าง​ตาข่าย​ที่​ห้อง​ชั้นบน​ของ​พระองค์​ใน​กรุง​สะมาเรีย และ​ประชวร จึง​ทรง​ใช้​บรรดา​ผู้​สื่อสาร​ไป รับสั่ง​ว่า “จง​ไป​ถาม​พระบาอัลเซบูบ พระ​แห่ง​เอโครน​ว่า​เรา​จะ​หาย​จาก​ความ​เจ็บ​ป่วย​นี้​หรือ​ไม่?”

     (Now Ahaziah fell through the lattice in his upper chamber in Samaria, and lay sick; so he sent  messengers, telling them, “Go, inquire of Baal-zebub, the god of Ekron, whether I shall recover  from this sickness.” )

1:3 “แต่​ทูต​ของ​พระยาห์เวห์​พูด​กับ​เอลียาห์​ชาว​ทิชบี​ว่า “จง​ลุกขึ้น​ไป​พบ​บรรดา​ผู้​สื่อสาร​ของ​พระราชา​แห่ง​สะมาเรีย  และ​จง​พูด​กับ​เขา​ทั้งหลาย​ว่า ‘เพราะ​ไม่มี​พระเจ้า​ใน​อิสราเอล​แล้ว​หรือ? ท่าน​จึง​ไป​ถาม​พระบาอัลเซบูบ พระ​แห่ง​เอโครน’”

     (But the angel of the Lord said to Elijah the Tishbite, “Arise, go up to meet the messengers of the king of Samaria, and say to them, ‘Is it because there is no God in Israel that you are going to inquire of Baal-zebub, the god of Ekron? )

1:4 “เพราะ ​ฉะนั้น​พระยาห์เวห์​ตรัส​ดังนี้​ว่า ‘เจ้า​จะ​ไม่ได้​ลุก​ขึ้น​จาก​ที่นอน​ของ​เจ้า แต่​เจ้า​จะ​ต้อง​ตาย​แน่” แล้ว​เอลียาห์​ก็​ไป”

    (Now therefore thus says the Lord, You shall not come down from the bed to which you have gone up, but you shall surely die.’” So Elijah went.)

1:5 “ผู้​สื่อสาร​นั้น​ก็​กลับ​มา​เฝ้า​พระราชา พระองค์​ตรัส​ถาม​เขา​ทั้งหลาย​ว่า “ทำไม​พวก​เจ้า​จึง​พา​กัน​กลับ​มา?”

     (The messengers returned to the king, and he said to them, “Why have you returned?” )

1:6 “พวกเขา ​ทูล​พระองค์​ว่า “มี​ชาย​คน​หนึ่ง​ขึ้น​มา​พบ​กับ​พวก​ข้า​พระบาท และ​พูด​กับ​พวก​ข้า​พระบาท​ว่า ‘จง​กลับ​ไป​หา​พระราชา​ผู้​ทรง​ใช้​ท่าน​มา และ​ทูล​พระองค์​ว่า พระยาห์เวห์​ตรัส​ดังนี้​ว่า เพราะ​ไม่มี​พระเจ้า​ใน​อิสราเอล​แล้ว​หรือ? เจ้า​จึง​ใช้​คน​ไป​ถาม​พระบาอัล​เซบูบ​พระแห่ง​เอโครน เพราะ​ฉะนั้น​เจ้า​จะ​ไม่ได้​ลุก​ขึ้น​จาก​ที่นอน​ของ​เจ้า แต่​เจ้า​จะ​ต้อง​ตาย​แน่

    (And they said to him, “There came a man to meet us, and said to us, ‘Go back to the king  who  sent you, and say to him, Thus says the Lord, Is it because there is no God in Israel that you are  sending to inquire of Baal-zebub, the god of Ekron? Therefore you shall not come down from the bed to which you have gone up, but you shall surely die.’” )

1:7 “พระองค์​ตรัส​ถาม​เขา​ทั้งหลาย​ว่า “คน​ที่​ขึ้น​มา​พบ​เจ้า​และ​บอก​สิ่ง​เหล่านี้​แก่​เจ้า​นั้น​มี​ลักษณะ​อย่างไร?”

   (He said to them, “What kind of man was he who came to meet you and told you these things?” )

1:8 “เขา​ทั้งหลาย​ทูล​ตอบ​พระองค์​ว่า “ท่าน​มี​ขนดก​และ​มี​สายหนัง​คาด​เอว​ของ​ท่าน” และ​พระองค์​ตรัส​ว่า “เป็น​เอลียาห์​ชาว​ทิชบี

     (They answered him, “He wore a garment of hair, with a belt of leather about his waist.” And he said, “It is Elijah the Tishbite.”)

1:9 “แล้ว​พระราชา​ก็​รับสั่ง​ให้​นาย​กอง​ กับ​ทหาร 50 นาย​ไป​หา​เอลียาห์ เขา​ได้​ขึ้น​ไป​หา​ท่าน นี่แน่ะ ท่าน​นั่ง​อยู่​บน​ยอด​เขา​และ​นาย​กอง​กล่าว​แก่​ท่าน​ว่า “ท่าน​คน​ของ​พระเจ้า พระราชา​ตรัส​ดังนี้​ว่า ‘ลง​มา’

    (Then the king sent to him a captain of fifty men with his fifty. He went up to Elijah, who was  sitting on the top of a hill, and said to him, “O man of God, the king says, ‘Come down.’” )

1:10 “แต่​เอลียาห์​ตอบ​นาย​กอง​ว่า “ถ้า​เรา​เป็น​คน​ของ​พระเจ้า ก็​ขอ​ให้​ไฟ​ลง​มา​จาก​ฟ้า​สวรรค์​เผา​ผลาญ​ท่าน และ​คน​ทั้ง​ห้าสิบ​ของ​ท่าน​เถิด” แล้ว​ไฟ​ก็​ลง​มา​จาก​ฟ้า​สวรรค์ และ​เผา​ผลาญ​เขา​กับ​คน​ทั้ง​ห้าสิบ​ของ​เขา​เสีย”

   (But Elijah answered the captain of fifty, “If I am a man of God, let fire come down from heaven  and consume you and your fifty.” Then fire came down from heaven and consumed him and his  fifty.)

1:11 “แล้ว​พระราชา​รับสั่ง​ให้​นาย​กอง​อีก​คน​หนึ่ง​กับ​ทหาร 50 นาย​ของ​เขา และ​เขา​ก็​กล่าว​แก่​ท่าน​ว่า “ท่าน​คน​ของ​พระเจ้า พระราชา​ตรัส​ดังนี้​ว่า ‘ลง​มา​เร็วๆ’

    (Again the king sent to him another captain of fifty men with his fifty. And he answered and said to him, “O man of God, this is the king’s order, ‘Come down quickly!’” )

1:12 “แต่​เอลียาห์​ตอบ​ว่า “ถ้า​เรา​เป็น​คน​ของ​พระเจ้า ก็​ขอ​ให้​ไฟ​ลง​มา​จาก​ฟ้า​สวรรค์​เผาผลาญ​ท่าน และ​คน​ทั้ง​ห้าสิบ​ของ​ท่าน​เถิด” และ​ไฟ​ของ​พระเจ้า​ลง​มา​จาก​ฟ้า​สวรรค์ และ​เผา​ผลาญ​เขา​กับ​คน​ทั้ง​ห้าสิบ​ของ​เขา​เสีย”

    (But Elijah answered them, “If I am a man of God, let fire come down from heaven and consume  you and your fifty.” Then the fire of God came down from heaven and consumed him and his  fifty.)

1:13 “แล้ว​พระราชา​รับสั่ง​ให้​นาย​กอง​คน​ที่​สาม​ไป​พร้อม​กับ​ทหาร 50 นาย​ของ​เขา และ​นาย​กอง​คน​ที่​สาม​ก็​ขึ้น​ไป  และ​คุกเข่า​ต่อ​หน้า​เอลียาห์ และ​วิงวอน​ท่าน​ว่า “ท่าน​คน​ของ​พระเจ้า ขอ​ให้​ชีวิต​ของ​ข้าพเจ้า​และ​ชีวิต​ของ​ผู้​รับ‌ใช้​ของ​ท่าน​อีก 50 คน​นี้​เป็น​สิ่ง​ประเสริฐ​ใน​สายตา​ของ​ท่าน”

   (Again the king sent the captain of a third fifty with his fifty. And the third captain of fifty went up  and came and fell on his knees before Elijah and entreated him, “O man of God, please let my  life, and the life of these fifty servants of yours, be precious in your sight. )

1:14 “นี่แน่ะ ไฟ​ลง​มา​จาก​ฟ้า​สวรรค์ และ​ได้​เผา​ผลาญ​นาย​กอง​สอง​คน​ก่อน​เสีย พร้อม​ทั้ง​ทหาร 50 นาย​ของ​เขา​ด้วย แต่​บัดนี้​ขอ​ให้​ชีวิต​ของ​ข้าพเจ้า​เป็น​สิ่ง​ประเสริฐ​ใน​สายตา​ของ ​ท่าน

   (Behold, fire came down from heaven and consumed the two former captains of fifty men with  their fifties, but now let my life be precious in your sight.” )

1:15 “แล้ว​ทูต​ของ​พระยาห์เวห์​กล่าว​แก่​เอลียาห์​ว่า “จง​ลง​ไป​กับ​เขา​เถิด อย่า​กลัว​เขา​เลย” ท่าน​ก็​ลุกขึ้น​ลง​ไป​กับ​เขา เข้า​เฝ้า​พระราชา”

   (Then the angel of the Lord said to Elijah, “Go down with him; do not be afraid of him.” So he  arose and went down with him to the king )

1:16 “และ​ทูล​พระองค์​ว่า “พระยาห์เวห์​ตรัส​ดังนี้​ว่า ‘เพราะ​เจ้า​ได้​ส่ง​ผู้​สื่อสาร​ไป​ถาม​พระบาอัลเซบูบ พระ​แห่ง​เอโครน เนื่อง​จาก​ไม่มี​พระเจ้า​ใน​อิสราเอล​ให้​ทูล​ถาม​พระวจนะ​ของ​ พระองค์​อย่าง​นั้น​หรือ? เพราะ​ฉะนั้น เจ้า​จะ​ไม่‌ได้​ลุก​ขึ้น​จาก​ที่นอน แต่​เจ้า​จะ​ต้อง​ตาย​แน่

    (and said to him, “Thus says the Lord, ‘Because you have sent messengers to inquire of Baal-zebub, the god of Ekron—is it because there is no God in Israel to inquire of his word?—   therefore  you shall not come down from the bed to which you have gone up, but you shall surely  die.’”)

1:17 “ดังนั้น​อาหัสยาห์​ก็​สิ้น​พระชนม์ ตาม​พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์​ซึ่ง​เอลียาห์​กล่าว​นั้น และ​โยรัม​ ได้​ขึ้น​ครอง‌ราชย์​แทน ใน​ปี​ที่ 2 แห่ง​รัชกาล​เยโฮรัม พระราชโอรส​ของ​เยโฮชาฟัท​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์ เพราะ​อาหัสยาห์​ไม่มี​โอรส”

    (So he died according to the word of the Lord that Elijah had spoken. Jehoram became king in  his place in the second year of Jehoram the son of Jehoshaphat, king of Judah, because Ahaziah  had no son. )

1:18 “ส่วน​พระราช​กิจ​อื่นๆ นอก​นั้น​ของ​อาหัสยาห์ ซึ่ง​พระองค์​ทรง​กระทำ ได้​บันทึก​ไว้​ใน​หนังสือ​พงศาวดาร​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​ไม่​ใช่​ หรือ?”

     (Now the rest of the acts of Ahaziah that he did, are they not written in the Book of the Chronicles  of the Kings of Israel?)

ข้อมูลมีประโยชน์

1:1       “ภายหลังอาหับสิ้นพระชนม์แล้ว” (After the death of Ahab) –1พกษ.22:37, ปท. ยชว.1:1;วนฉ.1:1;   2ซมอ.1:1

“โมอับ” (Moab) = เป็นเมืองขึ้นในรัชกาลของดาวิด (2ซมอ.8:2) เมื่อเผ่าอิสราเอลทางเหนือและเผ่าที่อยู่อีกฟากของแม่น้าจอร์แดนกบฎต่อยูดาห์ และแต่งตั้งเยโรโบอัมเป็นกษัตริย์ การครอบครองโมอับอาจเปลี่ยนมือไปอยู่ในการดูแลของอาณาจักรเหนือ

-โมอับสามารถปลดปล่อยดินแดนแถบเมเดบาจากการควบคุมของอิสราเอล

1:2       “บาอัลเซบูบ” (Baal-zebub) –วนฉ.10:6 , ชาวซีเรียมีพระต่าง ๆ –หัวหน้าของพระเหล่านั้นคือ พระฮาดัด (บาอัล) ,พระโมท พระอานาท และพระริมโมน

ชาวคานาอันก็นมัสการพระกลุ่มเดียวกับพวกไซดอน(ชาวฟินิเซีย)มีพระบาอัลเป็นเทพเจ้าและมีพระตามท้องถิ่นต่าง ๆ อีก (วนฉ.2:11)

“พระบาอัล” แปลว่า “เจ้านาย” เชื่อกันว่าเป็นลูกชายของพระดาโกนหรือลูกชายของพระเอล ในซีเรีย (อารัม) เรียกว่า “พระฮาดัด และในบาบิโลนเรียกว่า “พระอาดัด”   เชื่อกันว่า สามารถอวยพรให้มีลูกดก ให้ฝนที่ให้ชีวิตแก่แผ่นดิน มักจะยืนอยู่บนหลังวัว เป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ และความแข็งแรง (1พกษ 12:28) มีรถศึกเป็นเมฆฝน มีเสียงเป็นฟ้าผ่า ถือสายฟ้าเป็นหอกและธนู

-การบูชาพระบาอัลทำโดยการร่วมประเวณีและการสังเวยเด็ก (ยรม.19:5)

-ในพระคัมภีร์เล่าเรื่องของเอลียาห์และเอลีชาที่ต่อต้านลัทธิบูชาพระบาอัลทั้งทางตรงและทางอ้อม (1พกษ.17-2พกษ.13) และในพระคัมภีร์เดิมตอนอื่น ๆ (สดด.29:3-9;68:1-4,32-34;93:1-5;97:1-5;ยรม.10:12-16;14:22;ฮชย.2:8,16-17;อมส.5:8)

-“พระอัชโทเรท” = เทพีทั้งหมดซึ่งรวมพระอัชโทเรท (เมียของพระบาอัล) ,เจ้าแม่    อาเชราห์ (เมียของพระเอล หัวหน้าเทพเจ้าของชาวคานาอัน)

-โดยที่อัชโทเรทมีความเกี่ยวข้องกับดาวศุกร์ และเป็นเทพีงามแห่งสงครามและความอุดมสมบูรณ์

-ในบาบิโลนเรียกอีกชื่อว่า “เทพีอิชทาร์”

-ในซีเรีย(อารัม) เรียกว่า “อัซทาร์ท”

-ในกรีกเรียกว่า “อัสทาร์เท” (หรืออะโฟรไดท์)

-ในโรม เรียกว่า “วีนัส”

-การนมัสการอัทโทเรทนั้น เต็มไปด้วยกามตัณหา (1พกษ.14:24;2พกษ.23:7)

“เอโครน” (Ekron) = เมืองที่อยู่ทางเหนือสุดในบรรดาเมืองทั้ง 5 ของฟิลิสเตีย (ยชว.13:3;1ซมอ.5:10)

“เราจะหายจากความเจ็บป่วยนี้หรือไม่?” (I shall recover from this sickness) = อาหัสยาห์ คงเกรงว่า อาการบาดเจ็บจะร้ายแรงถึงชีวิต จึงหันไปหาพระต่างชาติเพื่อรู้อนาคต ไม่ใช่การรักษา

1:3       “ทูตของพระยาห์เวห์” (angel of the Lord) –1พกษ.19:7;ปฐก.16:7

-ปกติพระเจ้าจะตรัสโดยตรงในจิตสำนึกของผู้เผยพระวจนะ (1พกษ.17:2,8;18:1;19:9;21:17)

-อาจต้องการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างผู้สื่อสารของอาหัสยาห์ และผู้สื่อสาร (ทูต)ของพระเจ้า

“เอลียาห์” (Elijah) –1พกษ.17:1

“พระราชาแห่งสะมาเรีย” (the king of Samaria) –1พกษ.21:1

1:4       “แต่เจ้าจะต้องตายแน่” (you shall surely die) –อาหัสยาห์ได้รับนิมิตหรือคำตอบที่เขาต้องการจาก      พระเจ้า ไม่ใช่จากบาอัลเชบูบ

1:5       “ทำไมพวกเจ้าจึงพากันกลับมา?” (Why have you returned?) = อาหัสยาห์ รู้ว่าผู้ส่งสารไม่สามารถเดินทางไปกลับเอโครนได้เร็วขนาดนี้

1:8       “ท่านมีขนดก” ( He wore a garment of hair) = แปลได้อีกอย่างว่า “ท่านสวมเสื้อผ้าที่ทำด้วยขนสัตว์”

= เสื้อคลุมขนสัตว์ของเอลียาห์ (1พกษ.19:19)  คงทำจากขนแกะหรือขนอูฐ คาดเอวด้วยสายหนังแบบ

ง่าย ๆ (มธ.3:4) ซึ่งแตกต่างจากผ้าลินินเนื้อดี ยรม.13:1)  ของคนที่ร่ำรวยอย่างกษัตริย์และชนชั้นสูง         (มธ.11:7-8;ลก.7:24-25)

“เป็นเอลียาห์ชาวทิชบี” (It is Elijah the Tishbite.) = อาหัสยาห์คุ้นเคยกับรูปลักษณ์ของเอลียาห์เป็นอย่างดี เพราะเอลียาห์เคยผชิญหน้ากับอาหับผู้เป็นบิดาของเขาหลายครั้ง

1:9       “นายกองทัพทหาร 50 นาย” (captain of fifty men with his fifty) = คนในสมัยนั้นเชื่อว่า อำนาจ        เวทมนตร์หรือคำสาปแช่งสามารถหักล้างได้ หากบังคับให้ผู้สาปแช่งถอนคำพูดหรือฆ่าผู้แช่งให้ตาย อาหัสยาห์อาจมีความคิดในทำนองนี้ จึงอาจคิดจับหรือฆ่าเอลียาห์

“ท่านคนของพระเจ้า…ลงมา” (O man of God… Come down) = กษัตริย์อาหัสยาห์พยายามให้          เอลียาห์ผู้เผยพระวจนะ(ของพระเจ้า)อยู่ใต้อำนาจของเขา การกระทำเช่นนี้เป็นการละเมิดพันธสัญญาเกี่ยวกับกษัตริย์ของอิสราเอล ซึ่งความประพฤติของกษัตริย์ต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบและสิทธิอำนาจของพระวจนะของพระเจ้าที่ตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า ร(1ซมอ.10:25;12:23)

1:10     “ไฟก็ลงมาจากฟ้าสวรรค์ และเผาผลาญเขากับคนทั้งห้าสิบของเขาเสีย” (Then fire came down from heaven and consumed him and his fifty) –1พกษ.18:38;ปท.กับโมเสส –ลนต.10:2;กดว.16:35

-อาหัสยาห์ต้องรู้ว่า เขาเป็นกษัตริย์ที่เป็นตัวแทนภายใต้สิทธิอำนาจและการปกครองของพระเจ้า เขาต้องไม่ใช้อำนาจอย่างทรราชเหมือนบรรดากษัตริย์ต่างชาติ (1ซมอ.12:14-15)

-ที่ภูเขาคารเมลพระเจ้าเคยรับรองผู้เผยพระวจนะเอลียาห์ด้วยไฟจากฟ้าสวรรค์ไปแล้ว (1พกษ.18:38-39) และทรงยืนยันต่ออาหัสยาห์อีกครั้ง

1:11     “พระราชารับสั่งให้นายกองอีกคนหนึ่งกับทหาร 50 นายของเขา” ( the king sent to him another captain of fifty men with his fifty) = อาหัสยาห์ ปฏิเสธที่จะยอมจำนนต่อพระวจนะของ(คนของ)พระเจ้าทั้ง ๆ ที่พระเจ้าสำแดงฤทิ์เดชของพระองค์ให้เห็นชัดเจนแล้ว

1:13     “…พระราชารับสั่งให้นายกองคนที่สามไปพร้อมกับทหาร 50 นายของเขา” (…the king sent the captain of a third fifty with his fifty.) = อาหัสยาห์ยังดื้อรั้นไม่ยอมจำนนต่อพระเจ้าอีก

“คุกเข่าต่อหน้าเอลียาห์” (fell on his knees before Elijah) –นายทหารคนที่ 3 ตระหนักว่า เอลียาห์เป็นผู้กล่าวพระวจนะของพระเจ้า และตรัสว่า ตัวเองต้องตายจึงคุกเข่าด้วยความถ่อมตัวถ่อมใจขอร้องเอลียาห์

1:15     “จงลงไปกับเขาเถิด อย่ากลัวเขาเลย” (Go down with him ;do not be afraid of him) –ข.3;อสย. 51:12;57:11;ยรม.1:17;อสค.2:6

1:17     “อาหัสยาห์ก็สิ้นพระชนม์ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์” (he died according to the word of the Lord ) = สุดท้ายอาหัสยาห์ก็ถูกพิพากษาลงโทษ เพราะหันเหไปจากพระเจ้า ไปหาพระต่างชาติ และยืนยันว่า พระวจนของพระเจ้านั้นเชื่อถือได้ และทรงอำนาจมากยิ่งกว่าอำนาจของกษัตริย์ (และพระใด ๆ)

“โยรัม” (Jehoram) = น้องชายของอาหัสยาห์ (3:1;1พกษ.22:51)  ขึ้นครองราชย์แทน

“ในปีที่ 2 แห่งรัชกาลเยโฮรัมพระราชโอรสของเยโฮชาฟัทพระราชาแห่งยูดาห์” (in the second year of Jehoram the son of Jehoshaphat, king of Judah)

-รัชกาลของเยโฮรัม ทับซ้อนกับเยโฮชาฟัท บิดาตั้งแต่ปี 853-848 ก.ค.ศ. เยโฮรัมสำเร็จราชการร่วมกับบิดามาจนถึงเวลาที่ได้ครองราชย์เพียงผู้เดียวในปี 848 ก.ค.ศ. (2พกษ.8:16)

1:18     “หนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอล” (the Book of the Chronicles of the Kings of Israel?)

–1พกษ.14:19

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยประสบกับอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยแบบร้ายแรงบ้างหรือไม่?  เกิดขึ้นได้อย่างไร? คุณเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นั้นบ้าง?
  2. เมื่อคุณมีปัญหาหรือยู่ในสภาพที่ออกอาการสาหัส คุณคิดถึงใครหรืออะไรก่อน ?  ทำไม?
  3. คุณแก้ปัญหาหรืออาการของคุณอย่างไร?? ถวายเกียรติแด่พระเจ้าหรือไม่?
  4. ในยามที่คุณประสบปัญหา คุณเคยมองข้ามพระเจ้าหรือพระวจนะของพระองค์หรือผู้เผยพระวจนะ(ผู้รับใช้)ของพระองค์บ้างหรือไม่?  คุณทำอะไรให้พระเจ้าไม่พอพระทัยหรือไม่?  ทำไม?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 26)

บทสุดท้ายใน 1 พงศ์กษัตริย์

 

พระธรรม        1พงศ์กษัตริย์ 22:1-53

อ้างอิง              1พกษ.8:61;9:26;14:12;15:26;13:18;20:30;21:19,25;22:13,24;2พกษ.3:7-11;5:8;9:24;1พศด.16:10; 2พศด.9:17;17:3;35:23

บทนำ               เราควรเชื่อฟังกระทำตามพระทัยของพระเจ้ามากกว่าตามใจของผู้หนึ่งผู้ใด (ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรหรือหุ้นส่วนของเรา) เพราะหากว่าเราไม่สำนึกตัว แต่ก้าวเดินตามความคิดหรือข้อเสนอของผู้หนึ่งผู้ใดที่ไม่ได้เดินตามพระทัยของพระเจ้า ผลเสียและผลร้ายก็อาจจะเกิดขึ้นกับเราและทุกคนที่อยู่กับเรา!

บทเรียน

22:1 “ซีเรีย​กับ​อิสราเอล​ไม่มี​สงคราม​กัน​อยู่ 3 ปี”

  (For three years Syria and Israel continued without war. )

22:2 “แต่​ใน​ปี​ที่​สาม เยโฮชาฟัท​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์​เสด็จ​ลง​ไป​เฝ้า​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล”

  (But in the third year Jehoshaphat the king of Judah came down to the king of Israel. )

22:3 “และ​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​ตรัส​ถาม​พวก​ข้า​ราชการ​ของ​พระองค์​ว่า “ท่าน​ทราบ​หรือ​ไม่​ว่า ราโมทกิเลอาด​เป็น​ของ​พวกเรา และ​พวกเรา​ ยัง​จะ​นิ่ง​อยู่ ไม่​ยึด​คืน​จาก​มือ​ของ​กษัตริย์​แห่ง​ซีเรีย​หรือ?”

  (And the king of Israel said to his servants, “Do you know that Ramoth-gilead belongs to us, and we keep quiet and do  not take it out of the hand of the king of Syria?”)

22:4 “และ​พระองค์​ตรัส​กับ​เยโฮชาฟัท​ว่า “ท่าน​จะ​ยก​ไป​ทำ​ศึก​ที่​ราโมทกิเลอาด​กับ​ข้าพเจ้า​หรือ​ไม่?” และ​เยโฮชาฟัท​ตรัส​ตอบ​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​ว่า“ข้าพเจ้า​กับ​ท่าน​เป็น​เหมือน​คน​เดียว​กันประชาชน​ของ​ข้าพเจ้า​ก็​เป็น​ประชาชน​ของ​ท่าน ม้า​ของ​ข้าพเจ้า​ก็​เป็น​ม้า​ของ​ท่าน

  (And he said to Jehoshaphat, “Will you go with me to battle at Ramoth-gilead?” And Jehoshaphat said to the king of Israel, “I am as you are, my people as your people, my horses as your horses.” )

22:5 “และ​เยโฮชาฟัท​ตรัส​กับ​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​ว่า “ขอ​ทูล​ถาม​พระดำรัส​ของ​พระยาห์เวห์​ก่อน

  (And Jehoshaphat said to the king of Israel, “Inquire first for the word of the Lord.” )

22:6 “แล้ว​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​ก็​ทรง​เรียก​ประชุม​พวก​ผู้​เผย​พระวจนะ​ ประมาณ 400 คน ตรัส​กับ​พวกเขา​ว่า“ควร​ที่​เรา​จะ​ไป​ตี​ราโมทกิเลอาด​หรือไม่? หรือ​เรา​ควร​ล้มเลิก?”และ​เขา​ทั้งหลาย​ทูล​ตอบ​ว่า“ขอ​เชิญ​เสด็จ​ขึ้น​ไป​เถิด เพราะ​พระเจ้า​จะ​ทรง​มอบ​ไว้​ใน​พระหัตถ์​ของ​พระราชา

(Then the king of Israel gathered the prophets together, about four hundred men, and said to them, “Shall I go to battle against Ramoth-gilead, or shall I refrain?”And they said,”Go up, for the Lord will give it into the hand of the king.” )

22:7 “แต่​เยโฮชาฟัท​ตรัส​ว่า “ที่​นี่​ไม่มี​ผู้​เผย​พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์​อีก​แล้ว​หรือ ที่​เรา​จะ​ถาม​ได้?”

  (But Jehoshaphat said, “Is there not here another prophet of the Lord of whom we may inquire?”)

22:8 “และ​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​ตรัส​กับ​เยโฮชาฟัท​ว่า “ยัง​มี​ชาย​อีก​คน​หนึ่ง​ซึ่ง​เรา​จะให้​ทูล​ถาม​พระยาห์เวห์​ได้ คือ​มีคายาห์​บุตร​อิมลาห์แต่​เรา​เอง​เกลียด​ชัง​เขา เพราะ​เขา​พยากรณ์​แต่​เรื่อง​ร้าย ไม่​เคย​พยากรณ์​เรื่อง​ดี​เกี่ยวกับ​เรา​เลย” แต่​เยโฮชาฟัท​ตรัส​ว่า “ขอ​พระราชา​อย่า​ตรัส​อย่าง​นั้น​เลย

 (And the king of Israel said to Jehoshaphat,”There is yet one man by whom we may inquire of the Lord, Micaiah the son of Imlah, but I hate him, for he never prophesies good concerning me, but evil.” And Jehoshaphat said, “Let not the king say so.” )

22:9 “แล้ว​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​จึง​เรียก​มหาดเล็ก​คน​หนึ่ง และ​ตรัส​สั่ง​ว่า “จง​รีบ​ไป​พา​มีคายาห์​บุตร​อิมลาห์​มา

  (Then the king of Israel summoned an officer and said, “Bring quickly Micaiah the son of Imlah.” )

22:10 “พระราชา ​แห่ง​อิสราเอล​และ​เยโฮชาฟัท​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์​ต่าง​ประทับ​บน​ พระที่นั่ง ทรง​ฉลอง​พระองค์​เยี่ยง​กษัตริย์ ณลาน​นวดข้าวตรง​ทาง​เข้า​ประตู​เมือง​สะมาเรีย และ​ผู้​เผย​พระวจนะ​ทั้งหมด​ก็​พยากรณ์​เฉพาะ​พระพักตร์​ทั้ง​สองพระองค์”

 (Now the king of Israel and Jehoshaphat the king of Judah were sitting on their thrones, arrayedin their robes, at the threshing floor at the entrance of the gate of Samaria, and all the prophets were prophesying before  them. )

22:11 “และ​เศเดคียาห์​บุตร​เคนาอะนาห์​จึง​ทำ​เขา​สัตว์​ด้วย​เหล็ก แล้ว​พูด​ว่า “พระยาห์เวห์​ตรัส​ดังนี้​ว่า ‘ด้วย​สิ่ง​เหล่านี้ เจ้า​จะ​ผลัก​คน​ซีเรีย​ไป​จน​พวก​เขา​ย่อย​ยับ’”

(And Zedekiah the son of Chenaanah made for himself horns of iron and said, “Thus says the Lord, “With these you shall  push the Syrians until they are destroyed.” )

22:12 “และ​ผู้​เผย​พระวจนะ​ทั้งหมด​ก็​พยากรณ์​อย่าง​นั้น​ทูล​ว่า “ขอ​เสด็จ​ไป​ราโมทกิเลอาด​เถิด และ​มี​ชัยชนะ เพราะ​พระยาห์เวห์​จะ​ทรง​มอบ​เมือง​นั้น​ไว้​ใน​พระหัตถ์​ของ​พระราชา

(And all the prophets prophesied so and said, “Go up to Ramoth-gilead and triumph; the Lord will give it into the hand  of the king.” )

22:13 “และ​ผู้​สื่อสาร​ที่​ไป​เรียก​มีคายาห์​ได้​บอก​ท่าน​ว่า “นี่แน่ะ ถ้อยคำ​ของ​บรรดา​ผู้​เผย​พระวจนะ​ก็​พูด​สิ่ง​ที่​เป็น​มงคล​แก่​พระราชา​เป็น​เสียง​เดียว​กันขอ​ให้​ถ้อยคำ​ของ​ท่าน​เหมือน​อย่าง​ถ้อยคำ​ของ​คน​หนึ่ง​ใน​พวก​นั้นและ​พูด​แต่​สิ่ง​ที่​เป็น​มงคล

   (And the messenger who went to summon Micaiah said to him, “Behold, the words of the prophets with one accord  are favorable to the king. Let your word be like the word of one of them, and speak favorably.”

22:14 “แต่​มีคายาห์​ตอบ​ว่า “พระยาห์เวห์​ทรง​พระชนม์​อยู่​อย่างไร พระยาห์เวห์​ตรัส​กับ​ข้าพเจ้า​อย่างไร ข้าพเจ้า​จะ​พูด​อย่าง​นั้น

    (But Micaiah said, “As the Lord lives, what the Lord says to me, that I will speak.” )

22:15 “และ​เมื่อ​ท่าน​มา​เฝ้า​พระราชา พระราชา​ตรัส​ถาม​ท่าน​ว่า “มีคายาห์ ควร​ที่​พวกเรา​จะ​ไป​ตี​ราโมทกิเลอาด​หรือ​ไม่?หรือ​พวกเรา​ควร​ล้มเลิก?” และ​ท่าน​ทูล​ตอบ​พระองค์​ว่า “ขอ​เชิญ​เสด็จ​ขึ้น​ไป และ​มี​ชัยชนะ พระยาห์เวห์​จะ​ทรง​มอบ​ไว้​ใน​พระหัตถ์​ของพระราชา

   (And when he had come to the king, the king said to him, “Micaiah, shall we go to Ramoth-gilead to battle, or shall we refrain?” And he answered him, “Go up and triumph; the Lord will give it into the hand of the king.”)

22:16 “แต่​พระราชา​ตรัส​กับ​ท่าน​ว่า “เรา​ได้​ให้​เจ้า​ปฏิญาณ​กี่​ครั้ง​แล้ว​ว่า เจ้า​จะ​พูด​กับ​เรา​แต่​ความ​จริง​ใน​พระนาม​ของ​พระยาห์เวห์

  (But the king said to him, “How many times shall I make you swear that you speak to me nothing but the truth in the name of the Lord?” )

22:17 “และ​ท่าน​ก็​ทูล​ว่า “ข้า​พระบาท​ได้​เห็น​คน​อิสราเอล​ทั้งหมด​กระจัด​กระจาย​อยู่​บน​ภูเขาเหมือน​แกะ​ที่​ไม่มี​ผู้เลี้ยงและ​พระยาห์เวห์​ตรัส​ว่า  ‘คน​เหล่านี้​ไม่มี​นาย ให้​พวกเขา​ต่าง​กลับ​ไป​ยัง​บ้าน​ของ​ตน​โดย​สวัสดิภาพ​เถิด’”

  (And he said, “I saw all Israel scattered on the mountains, as sheep that have no shepherd. And the Lord said, “These  have no master; let each return to his home in peace.” )

22:18 “พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​จึง​ตรัส​กับ​เยโฮชาฟัท​ว่า “เรา​บอก​ท่าน​แล้ว​ไม่​ใช่​หรือ​ว่า เขา​จะ​ไม่​พยากรณ์​เรื่อง​ดี​เกี่ยว​กับ​เรา​เลย มี​แต่​เรื่อง​ร้าย​เท่านั้น?”

  (And the king of Israel said to Jehoshaphat,”Did I not tell you that he would not prophesy good concerning me, but  evil?” )

22:19 “และ​มีคายาห์​ทูล​ว่า “ฉะนั้น ขอ​ทรง​ฟัง​พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์ ข้า​พระบาท​ได้​เห็น​พระยาห์เวห์​ประทับ​บน​พระที่นั่ง​ของ​พระองค์และ​บริวาร​ทั้งหมด​แห่ง​ฟ้า​สวรรค์​ยืน​ข้างๆ พระองค์ ทั้ง​ทาง​ข้าง​ขวา​และ​ข้าง​ซ้าย​พระหัตถ์”

 (And Micaiah said, “Therefore hear the word of the Lord: I saw the Lord sitting on his throne, and all the host of  heaven standing beside him on his right hand and on his left; )

22:20 “และ​พระยาห์เวห์​ตรัส​ว่า ‘ใคร​จะ​ชักนำ​อาหับ​ให้​ขึ้น​ไป และ​ล้ม​ลง​ที่​ราโมทกิเลอาด?’ บ้าง​ก็​ทูล​อย่างนี้ บ้าง​ก็​ทูล​อย่างนั้น”

   (and the Lord said, “Who will entice Ahab, that he may go up and fall at Ramoth-gilead?” And one said one thing, and  another said another.)

22:21 “แล้ว​มี​วิญญาณ​หนึ่ง​ออก​มา​ยืน​เฉพาะ​พระพักตร์​พระยาห์เวห์ ทูล​ว่า ‘ข้า​พระองค์​เอง​จะ​ชักนำ​เขา’ และ​พระยาห์เวห์​ตรัส​กับ​มัน​ว่า จะ​ทำ​อย่างไร?’”

  (Then a spirit came forward and stood before the Lord, saying, “I will entice him.”)

22:22 “และ​มัน​ทูล​ว่า ‘ข้า​พระองค์​จะ​ออก​ไป และ​จะ​เป็น​วิญญาณ​มุสา​อยู่​ใน​ปาก​ของ​ผู้​เผย​พระวจนะ​ทุก​คน​ของ​ เขา’ และ​พระองค์​ตรัส​ว่า‘เจ้า​ไป​ชักนำ​เขา​ได้ และ​เจ้า​จะ​ทำ​สำเร็จ จง​ไป​ทำ​ตาม​นั้น​เถิด’”

   (And the Lord said to him, “By what means?” And he said, “I will go out, and will be a lying spirit in the mouth of all his  prophets.” And he said, “You are to entice him, and you shall succeed;go out and do so.” )

22:23 “ฉะนั้นดูสิพระยาห์เวห์​ทรง​ใส่​วิญญาณ​มุสา​ใน​ปาก​ของ​ผู้​เผย​พระวจนะ​ทั้งหมด​ นี้​ของ​ฝ่า​พระบาทพระยาห์เวห์​ได้​ตรัส​เรื่อง​ร้าย​เกี่ยวกับ​ฝ่า​พระบาท

  (Now therefore behold, the Lord has put a lying spirit in the mouth of all these your prophets; the Lord has declared disaster for you.” )

22:24 “แล้ว​เศเดคียาห์​บุตร​เคนาอะนาห์​เข้า​มา​ใกล้และ​ตบ​แก้ม​มีคายาห์​พูด​ว่า“พระวิญญาณ​ของ​พระยาห์เวห์​ไป​จาก​ข้า​พูด​กับ​เจ้า​ได้​อย่างไร?”

   (Then Zedekiah the son of Chenaanah came near and struck Micaiah on the cheek and said, “How did the Spirit of the  Lord go from me to speak to you?” )

22:25 “และ​มีคายาห์​ตอบ​ว่า “นี่แน่ะ เจ้า​จะ​เห็น​ใน​วัน​นั้น เมื่อ​เจ้า​เข้า​ไป​ซ่อน​ตัวใน​ห้อง​ชั้น​ใน

   (And Micaiah said, “Behold, you shall see on that day when you go into an inner chamber to hide yourself.” )

22:26 “และ​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​ตรัส​ว่า “จง​จับ​มีคายาห์​แล้ว​ส่ง​เขา​กลับ​ไป​ให้​อาโมน​ผู้​ว่า​ราชการ​เมือง ​และ​โยอาช​พระราชโอรส”

    (And the king of Israel said, “Seize Micaiah, and take him back to Amon the governor of the city and to Joash the king’s son,)

22:27 “และ​บอก​ว่า‘พระราชา​ตรัส​ดัง​นี้​ว่า“เอา​คน​นี้​ไป​จำคุก​ไว้ ให้​อาหาร​กับ​น้ำ​อย่าง​จำกัด จน​กว่า​เรา​จะ​มา​โดย​สวัสดิภาพ””

     (and say,”Thus says the king, “Put this fellow in prison and feed him meager rations of bread and water, until I come in peace.”” )

22:28 “และ​มีคายาห์​ทูล​ว่า “ถ้า​ฝ่า​พระบาท​เสด็จ​กลับ​มา​โดย​สวัสดิภาพ​ได้​จริงๆ พระยาห์เวห์​ก็​ไม่ได้​ตรัส​ผ่าน​ข้า​พระบาท” และ​ท่าน​กล่าว​ว่า  “ประชาชน​ทั้งสิ้น​เอ๋ย จง​ฟัง​เถิด

   (And Micaiah said, “If you return in peace, the Lord has not spoken by me.” And he said, “Hear, all you peoples!” )

22:29 “พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​กับ​เยโฮชาฟัท พระราชา​แห่ง​ยูดาห์​จึง​เสด็จ​ขึ้น​ไป​ยัง​ราโมทกิเลอาด”

   (So the king of Israel and Jehoshaphat the king of Judah went up to Ramoth-gilead. )

22:30 “และ​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​ตรัส​กับ​เยโฮชาฟัท​ว่า “เรา​จะ​ปลอม​ตัว​เข้า​ทำ​ศึก แต่​ท่าน​จง​สวม​เครื่องทรง​ของ​ท่าน” และ​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​ก็​ทรง​ปลอม​พระองค์​เข้า​ทำ​ศึก”

  (And the king of Israel said to Jehoshaphat, “I will disguise myself and go into battle, but you wear your robes.”  And the king of Israel disguised himself and went into battle. )

22:31 “พระราชา ​แห่ง​ซีเรีย​ทรง​บัญชา​บรรดา​แม่ทัพ​รถรบ​ของพระองค์​ทั้ง 32 คน​ว่า “อย่า​รบ​กับ​ทหาร​ใหญ่​น้อย แต่​มุ่ง​เฉพาะ​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล

  (Now the king of Syria had commanded the thirty-two captains of his chariots, “Fight with neither small nor great,  but only with the king of Israel.” )

22:32 “เมื่อ​บรรดา​แม่ทัพ​รถรบ​เห็น​เยโฮชาฟัท เขา​ทั้งหลาย​ก็​ว่า “เป็น​พระราชา​อิสราเอล​แน่​แล้ว” พวกเขา​จึง​หัน​ไป​สู้​รบ​กับ​พระองค์ และ​เยโฮชาฟัท​ทรง​ร้อง​ขึ้น”

  (And when the captains of the chariots saw Jehoshaphat, they said, “It is surely the king of Israel.” So they turned to fight against him. And Jehoshaphat cried out. )

22:33 “เมื่อ​บรรดา​แม่​ทัพ​รถรบ​เห็น​ว่า​ไม่​ใช่​พระราชา​อิสราเอล ก็​หัน​รถ​กลับ ไม่​ไล่​ตาม​พระองค์”

   (And when the captains of the chariots saw that it was not the king of Israel, they turned back from pursuing him. )

22:34 “แต่​มี​ชาย​คน​หนึ่ง​โก่ง​ธนู​ยิง​สุ่ม​ไป​ถูก​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​เข้า ระหว่าง​เกล็ดเกราะ​และ​แผ่น​บัง​พระอุระ พระองค์​จึง​รับสั่ง​คน​ขับ​รถรบ​ว่า   “หัน​กลับ​เถอะ พา​เรา​ออก​จาก​การ​รบ เพราะ​เรา​บาดเจ็บ​แล้ว

    (But a certain man drew his bow at random and struck the king of Israel between the scale armor and the breastplate.   Therefore he said to the driver of his chariot, “Turn around and carry me out of the battle, for I am wounded.” )

22:35 “วัน​นั้น​การ​รบ​ก็​ดุเดือด​ขึ้น เขา​ก็​พยุง​พระราชา​ขึ้น​ใน​รถ​รบ ให้​หัน​พระพักตร์​ไป​ทาง​พวก​ซีเรีย จน​เวลา​เย็น​พระองค์​ก็​สิ้น​พระชนม์ และ​พระ​โลหิต​ที่​บาดแผล​ก็​ไหล​ออก​นอง​ทั่ว​ท้อง​รถรบ”

   (And the battle continued that day, and the king was propped up in his chariot facing the Syrians, until at evening  he died. And the blood of the wound flowed into the bottom of the chariot. )

22:36 “ประมาณ​เวลา​ดวง​อาทิตย์​ตก มี​เสียง​ร้อง​ทั่ว​กองทัพ​ว่า “ให้​ทุก​คน​กลับ​ไป​เมือง​ของ​ตัว และ​ภูมิ​ลำเนา​ของ​ตัว

   (And about sunset a cry went through the army, “Every man to his city, and every man to his country!”)

22:37 “เมื่อ​พระราชา​สิ้น​พระชนม์​แล้ว เขา​ก็​นำ​มา​ยัง​กรุง​สะมาเรีย และ​เขา​ฝัง​พระราชา​ใน​กรุง​สะมาเรีย”

   (So the king died, and was brought to Samaria. And they buried the king in Samaria. )

22:38 “เขา​ล้าง​รถรบ​ที่​สระน้ำ​แห่ง​สะมาเรีย ที่ที่​พวก​หญิง​โสเภณี​ลง​อาบน้ำ​และ​แล้ว​พวก​สุนัข​ก็​เลีย​โลหิต​ของ​พระองค์ ตาม​พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์ซึ่ง​ได้​ตรัส​ไว้”

   (And they washed the chariot by the pool of Samaria, and the dogs licked up his blood, and the prostitutes washed themselves in it, according to the word of the Lord that he had spoken. )

22:39 “ส่วน​พระราชกิจ​อื่นๆ ของ​อาหับ และ​ทุก​สิ่ง​ที่​ทรง​กระทำ และ​พระราชวัง​งา​ช้าง​ซึ่ง​ทรง​สร้าง​ไว้ ตลอด​จน​เมือง​ทั้งหมด​ที่​ทรง​สร้าง ได้​บันทึก​ใน​หนังสือ​พงศาวดาร​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​ไม่​ใช่​ หรือ?”

 (Now the rest of the acts of Ahab and all that he did, and the ivory house that he built and all the cities that he built,  are they not written in the Book of the Chronicles of the Kings of Israel? )

22:40 “อาหับ​ทรง​ล่วงหลับ​ไป​อยู่​กับ​บรรพบุรุษ​ของ​พระองค์ แล้ว​อาหัสยาห์​พระราชโอรส​ของ​พระองค์​ก็​ขึ้น​ครองราชย์​แทน”

    (So Ahab slept with his fathers, and Ahaziah his son reigned in his place. )

22:41 “เยโฮชาฟัท​พระราชโอรส​ของ​อาสา​ทรง​ครอง​ยูดาห์ ใน​ปี​ที่​สี่​แห่ง​รัชกาล​อาหับ​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล”

    (Jehoshaphat the son of Asa began to reign over Judah in the fourth year of Ahab king of Israel.)

22:42 “เยโฮชาฟัท​มี​พระชนม์​ชน​มายุ 35 พรรษา​เมื่อ​ทรง​เป็น​กษัตริย์ และ​พระองค์​ทรง​ครองราชย์​ใน​กรุง​เยรูซาเล็ม 25 “ปีพระราชมารดา​ของ​พระองค์​มี​พระนาม​ว่า อาซูบาห์ บุตรหญิงของ​ชิลหิ”

   (Jehoshaphat was thirty-five years old when he began to reign, and he reigned twenty-five years in Jerusalem. His mother’s name was Azubah the daughter of Shilhi. )

22:43 “พระองค์​ทรง​ดำเนิน​ตาม​ทาง​ทั้งสิ้น​ของ​อาสา​พระราชบิดา​ของ​พระองค์ และ​ไม่ได้​ทรง​หันเห​จาก​ทาง​นั้น ทรง​ทำ​สิ่ง​ที่​ถูกต้อง​ใน​สาย พระเนตร​ของ​พระยาห์เวห์ แต่​ปูชนียสถาน​สูง​ต่างๆ นั้น​ยัง​ไม่ได้​รื้อ​ลง ประชาชน​ยัง​คง​ถวาย​เครื่อง​สัตวบูชา และ​เผา​เครื่อง​หอม​อยู่​ บน​ปูชนียสถาน​สูง​ต่างๆ นั้น”

    (He walked in all the way of Asa his father. He did not turn aside from it, doing what was right in the sight of the Lord.Yet the high places were not taken away,and the people still sacrificed and made offerings on the high places. )

22:44 “เยโฮชาฟัท​ทรง​ทำ​ไมตรี​กับ​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​ด้วย”

   (Jehoshaphat also made peace with the king of Israel. )

22:45 “ส่วน​พระราชกิจ​อื่นๆ ของ​เยโฮชาฟัท และ​พระราชอำนาจ​ที่​ทรง​สำแดง และ​สงคราม​ที่​ทรง​กระทำ ได้​บันทึก​ไว้​ใน​หนังสือ​พงศาวดาร​ กษัตริย์ แห่ง​ยูดาห์​ไม่​ใช่​หรือ?”

    (Now the rest of the acts of Jehoshaphat, and his might that he showed, and how he warred, are they not  written in the Book of the Chronicles of the Kings of Judah? )

22:46 “ส่วน​เทวทาส​ที่​เหลือ​อยู่​คือ ผู้​ที่​ยัง​เหลือ​ใน​สมัย​ของ​อาสา​พระราชบิดา​นั้น พระองค์​ก็​ทรง​กำจัด​เสีย​จาก​แผ่นดิน”

 (And from the land he exterminated the remnant of the male cult prostitutes who remained in the days of his father Asa.)

22:47 “ไม่มี​พระราชา​ใน​เอโดม แต่​มี​ผู้​สำเร็จ​ราชการ​แผ่นดิน​ปกครอง​แทน”

    (There was no king in Edom; a deputy was king. )

22:48 “เยโฮชาฟัท​ทรง​ต่อ​เรือ​ทารชิช​หลาย​ลำ เพื่อ​ไป​ขน​ทองคำ​จาก​โอฟีร์ แต่​ไป​ไม่​ถึง เพราะ​เรือ​แตก​เสีย​ที่​เอซีโอนเกเบอร์”

    (Jehoshaphat made ships of Tarshish to go to Ophir for gold, but they did not go, for the ships were wrecked at Ezion-geber. )

22:49 “แล้ว​อาหัสยาห์​พระราชโอรส​ของ​อาหับ​ตรัส​กับ​เยโฮชาฟัท​ว่า “ขอ​ให้​ข้า​ราชการ​ของ​ข้าพเจ้า​นั่ง​เรือ​ไป​กับ​ข้า​ราชการ​ของ​ท่าน”  แต่​เยโฮชาฟัท​ไม่​ทรง​ยินยอม”

   (Then Ahaziah the son of Ahab said to Jehoshaphat, “Let my servants go with your servants in the ships,” but  Jehoshaphat was not willing. )

22:50 “เยโฮชาฟัท​ทรง​ล่วงหลับ​ไป​อยู่​กับ​บรรพบุรุษ​ของ​พระองค์ และ​เขา​ฝัง​พระศพ​ไว้​กับ​บรรพบุรุษ​ใน​นคร​ดาวิด​บรรพบุรุษ​ของ​พระองค์  และ​เยโฮรัม​พระราชโอรส​ก็​ขึ้น​ครองราชย์​แทน”

   (And Jehoshaphat slept with his fathers and was buried with his fathers in the city of David his father, and Jehoram his son reigned in his place. )

22:51 “อาหัสยาห์​พระราชโอรส​ของ​อาหับ​ทรง​ครอง​อิสราเอล​ใน​กรุง​สะมาเรีย ใน​ปี​ที่​สิบ​เจ็ด​แห่ง​รัชกาล​เยโฮชาฟัท​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์  และ​ทรง​ครอง​อิสราเอล 2 ปี”

   (Ahaziah the son of Ahab began to reign over Israel in Samaria in the seventeenth year of Jehoshaphat king of Judah,   and he reigned two years over Israel. )

22:52 “พระองค์​ทรง​ทำ​สิ่ง​ชั่วใน​สายพระเนตร​ของ​พระยาห์เวห์ และ​ทรง​ดำเนิน​ใน​ทาง​ของ​พระราชบิดา​ของ​พระองค์และ​ใน​ทาง​ของ​พระมารดา​ของ​พระองค์ และ​ใน​ทาง​ของ​เยโรโบอัม​บุตร​เนบัท ผู้​ได้​นำ​อิสราเอล​ให้​ทำ​บาป​ด้วย”

  (He did what was evil in the sight of the Lord and walked in the way of his father and in the way of his  mother and in  the way of Jeroboam the son of Nebat, who made Israel to sin. )

22:53 “พระองค์​ทรง​ปรนนิบัติ​พระบาอัล และ​นมัสการ​พระ​นั้น และ​ทำ​ให้​พระยาห์เวห์​พระเจ้า​แห่ง​อิสราเอล​ทรง​พระ​พิโรธ โดย​ทำ​ตาม​ทุก​อย่าง​ที่​พระราชบิดา​ของ​พระองค์​ทรง​กระทำ​แล้ว​นั้น”

  (He served Baal and worshiped him and provoked the Lord, the God of Israel, to anger in every way that his father had  done. )

ข้อมูลมีประโยชน์

22:1     “ซีเรียกับอิสราเอลไม่มีสงครามกันอยู่ 3 ปี” (For three years Syria and Israel continued without war.)

= ว่างเว้นสงครามประมาณ 3 ปี (20:1)  -ในจดหมายเหตุของอัสซีเรีย (ชัลมาเนเซอร์ที่ 3, 859-824 ก.ค.ศ) บันทึกว่า อาหับชาวอิสราเอล และฮาดัด เอเซอร์ (เบนฮาดัด) แห่งดามัสกัสได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับกษัตริย์ 12 องค์ ต่อสู้กองทัพอัสซีเรียที่คาร์คาร์ (บริเวณแม่น้ำโอรอนเทส) ในปี 853 ก.ค.ศ.

-ในจดหมายเหตุนั้นบันทึกว่า อาหับส่งรถรบ 2,000 คันและทหารราบ 10,000 คน เข้าร่วม (แต่คำกล่าวอ้างนั้นดูเกินจริง เพราะอัสซีเรียถอยทัพและไม่ได้รุกรานทางตะวันตกอีกจน 4-5 ปี หลังจากนั้น)

22:2     “เยโฮชาฟัทพระราชาแห่งยูดาห์…ไปเฝ้าพระราชาแห่งอิสราเอล” (Jehoshaphat the king of Judah came down to the king of Israel.) = อาจเพื่อแสดงความยินดีที่พันธมิตรฝั่งตะวันตกประสบความสำเร็จในการต่อสู้กับอัสซีเรีย (ข.1,2พศด.18:2)

22:3     “ราโมทกิเลอาด” (Ramoth-gilead)= ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำยารมัคอีกฝากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน เป็นเมืองของอิสราเอลมาตั้งแต่สมัยของโมเสส (4:13;ฉธบ.4:43;ยชว.20:3)

“เป็นของพวกเรา” (belongs to us)  -อิสราเอลสามารถอ้างสิทธิ์ในราโมทกิเลอาดได้ตามข้อตกลงกับเบนฮาดัดเมื่อไม่กี่ปีก่อน (20:34)  แต่ดูเหมือนเบนฮาดัดจะไม่ได้รักษาสัญญาที่ให้ไว้

22:4     “พระองค์ตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า” (And he said to Jehoshaphat, )= อาหับตรัสขอเยโฮชาฟัทให้ไปร่วมรบเพื่อให้มั่นใจว่าจะชนะ ,   “เยโฮชาฟัท” มีความหมายว่า “พระยาห์เวห์ทรงพิพากษาตัดสิน”

-อาหับเพิ่งเป็นพันธมิตรกับพวกซีเรีย(อารัม) ในการต่อสู้กับพวกอัสซีเรีย แต่เมื่อหมดภัยจากอัสซีเรียแล้วอาหับกลับฉวยโอกาสยึดราโมทกิเลอาดคืนมาจากซีเรีย

“ข้าพเจ้ากับท่านเป็นเหมือนคนเดียวกัน” (I am as you are) = เยโฮชาฟัทมีนโยบายเป็นพันธมิตรกับอาหับ (อิสราเอลทางเหนือ) ซึ่งแตกต่างจากอาสาผู้เป็นบิดาซึ่งเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับซีเรียเพื่อต่อสู้กับบาอาชาพระราชาแห่งอิสราเอลทางเหนือ (15:17-23)

-ต่อมาภายหลังเยโฮชาฟัท ถูกกล่าวโทษโดยผู้เผยพระวจนะเยฮู(2พศด.19:2) เพราะเรื่องนี้

22:5     “ขอทูลถามพระดำรัสของพระยาห์เวห์ก่อน” (Inquire first for the word of the Lord) –เยโฮชาฟัทลังเลที่จะดำเนินการตามแผนโดยไม่มีหลักประกันว่าพระเจ้าทรงเห็นชอบ (1ซมอ.23:1-4;2ซมอ.2:1)

22:6     “ผู้เผยพระวจนะ” (the prophets) –ในที่นี้ผู้เผยพระวจนะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการนมัสการรูปเคารพที่เบธเอล (12:28-29)และมีหน้าที่กล่าวคำตามที่กษัตริย์พอใจ (อมส.7:10-13)

22:7     “ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะของพระยาห์เวห์อีกแล้วหรือ?” (Is there not here another prophet of the Lord of whom we may inquire? )

= เยโฮชาฟัทเห็นว่าผู้เผยพระวจนะ 400 คนนี้ เชื่อถือไม่ได้ (อสค.13:2-3) และขอปรึกษาผู้เผยพระวจนะที่แท้จริงของพระเจ้า

22:8     “ไม่เคยพยากรณ์เรื่องดีเกี่ยวกับเราเลย” (never prophesies good concerning me) = อาหับตัดสินผู้เผยพระวจนะ โดยวัดจากถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะนั้นว่า น่าฟังหรือเข้าหูหรือไม่? (18:17;21:20)

22:10   “ลานนวดข้าว” (threshing floor ) = ภาพที่ผู้เขียนเสียดสีการวางแผนของกษัตริย์อาหับ และเยโฮชาฟัทที่ประทับ ณ ลานนวดข้าว ซึ่งฟ่อนข้าวถูกบด (มคา.4:12) และฝัดร่อน (ยรม.15:7) (ฉธบ.21:19;นรธ.4:1,11) ที่เปรียบกับภาพของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์กำลังประทับอยู่บนบัลลังก์ของพระองค์ เพื่อจัดการกับอาหับ ในข้อ 19-23

22:11   “เศเดคียาห์” (Zedekiah ) = เป็นตัวแทนของผู้เผยพระวจนะ 400 คน

“ทำเขาสัตว์ด้วยเหล็ก” ( horns of iron) = สัญลักษณ์แห่งกำลังอำนาจ ( ฉธบ.33:17)

22:13   “ขอให้ถ้อยคำของท่านเหมือนอย่างถ้อยคำของคนหนึ่งในพวกนั้น” (       Let your word be like the word of one of them)

=คำแนะนำที่สะท้อนให้เห็นมุมมองของผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นที่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเป็นหลัก

22:15   “เรา” (we)  -คำว่า “เรา” ในข้อ 6 เป็นเอกพจน์ แต่ “เรา” ในข้อนี้เป็นพหูพจน์ ในตอนนี้รวมเอาเยโฮชาฟัทเข้าไปด้วยเพื่อหวังการตอบสนองที่ดี

“ขอเชิญเสด็จขึ้นไปและมีชัยชนะ” (Go up and triumph ) = มีคายาห์เหน็บแนมอาหับ โดยเลียนแบบการประจบสอพลอของบรรดาผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จทั้ง 400 คนนั้น (ข.12)

22:16   “เจ้าจะพูดกับเราแต่ความจริงในพระนามของพระยาห์เวห์” (you speak to me nothing but the truth in the name of the Lord?)

= มีคายาห์แสดงความไม่ใส่ใจออกมาอย่างโจ่งแจ้งจนอาหับสังเกตได้และกำชับให้ท่านบอกความจริงออกมา

22:17   “…เหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง…คนเหล่านี้ไม่มีนาย” (as sheep that have no shepherd… These have no master) –มีคาห์ใช้ภาพของแกะและคนเลี้ยงแกะ (กดว.27:16-17;ศคย.13:7;มธ.9:36;26:31)

-กล่าวถึงความตายของอาหับในการสู้รบที่จะมาถึง

22:19   “…ได้เห็นพระยาห์เวห์” (…I saw the Lord) =ผู้เผยพระวจนะที่แท้จริงในที่นี้ได้รับการเปิดเผยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในสวรรค์ เขาจึงสามารถประกาศได้ด้วยความสัตย์จริงว่า พระเจ้าประสงค์จะทำสิ่งใด (อสย.6:1;ยรม.23:16-22)

= ทำให้เห็นความจริงอย่างชัดเจนว่า ฤทธิ์อำนาจที่แท้จริงอยู่ที่ใด และแสดงถึงความโง่เขลาจากการอวดอ้างของมนุษย์(อย่างอาหับ)

22:23   “พระยาห์เวห์ทรงใส่วิญญาณมุสาในปากของผู้เผยพระวจนะทั้งหมดนี้” (the Lord has put a lying spirit in the mouth of all these your prophets) = พระเจ้ามอบผู้เผยพระวจนะ 400 คนให้อยู่ใต้อำนาจของคำโกหก เพราะพวกเขาไม่รักความจริงและเลือกที่จะพูดคำโกหกนั้นด้วยความตั้งใจของตัวเอง  (ยรม.14:4;23:16,26;อสค.13:2-3ก;2ซมอ.24:1;2ธส.2:9-12 ; ปท.1พกษ.2:11)

= อาหับพอใจใช้ชีวิตอยู่กับคำโกหก และเกลียดผู้เผยพระวจนะที่กล่าวความจริง จึงเหมาะที่ถูกพระเจ้านำไปสู่การประหาร เพราะคำโกหกที่เขาพร้อมจะเชื่อ (กดว.11:18-20;สดด.18:25-26;อสค.14:9)

22:24   “พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ไปจากข้าพูดกับเจ้าได้อย่างไร”( the Spirit of the Lord go from me to speak to you?)

= คำถามที่เหน็บแนมของเศเดคียาห์ ได้ชี้ให้เห็นว่าผู้เผยพระวจนะทุกคนในพวกเขาล้วนโกหกพอ ๆ กัน

22:25   “เข้าไปซ่อนตัวในห้องชั้นใน” (you go into an inner chamber to hide yourself.) = การที่สามารถบอก ถึงสถานที่ที่เศเดคียห์จะหนีไปหลบซ่อนตัว (ปท.20:30)เป็นการพิสูจน์ถึงสิทธิอำนาจของมีคายาห์ ในการเผยพระวจนะของพระเจ้า

22:26   “พระราชโอรส” (the king’s son ) คำว่า “พระราชโอรส” หรือ “บุตรของเรา” ในที่นี้อาจหมายถึงเจ้าหน้าที่ในพระราชวัง (ยรม.36:26)

22:27   “พระราชาตรัสดังนี้ว่า” (Thus says the king ) = อาหับออกคำสั่งต่อต้านผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า เพราะเขาเชื่อคำพูด(เท็จ) ที่ประกาศยืนยันโดยผู้เผยพระวจนะที่เขาจ้างไว้ (ข.11)

22:30   “พระราชาแห่งอิสราเอลตรัส”(the king of Israel said     )=อาหับยังคิดว่าตัวเองควบคุมสถานการณ์ ได้

“เราจะปลอมตัวเข้าทำศึก” (I will disguise myself and go into battle) = อาหับคิดว่าวิธีนี้จะหันเหความสนใจ

ไปจากตัวเขา และลดโอกาสคำทำนายของมีคายาห์ที่จะเป็นจริงได้

= พระราชาผู้รักคำมุสาคิดว่าตัวเองจะสามารถหนีความจริงได้ด้วยการใช้ชีวิตและวิถีที่หลอกลวง

22:31   “แต่มุ่งเฉพาะพระราชาแห่งอิสราเอล” (but only with the king of Israel) = ในสมัยก่อนหากว่าฆ่าผู้นำหรือจับผู้นำได้ กองทัพก็จะสลายตัวไปเอง (ปท. ข.35-36)

22:34   “โก่งธนูยิงสุ่มไปถูกพระราชาแห่งอิสราเอลเข้า” (drew his bow at random and struck the king of Israel)

= ผู้ที่ยิงคือพระเจ้าแห่งสวรรค์

“คนขับรถรบ” (driver of his chariot) = ปกติบนรถรบมักจะมี 2 คนคือ ทหารที่ต่อสู้และพลขับ บางครั้งก็มี 3 คน แต่คนที่ 3 มักจะเป็นเจ้าหน้าที่ซึ่งบัญชาหน่วยรถรบ (9:22;2พกษ.9:25;อพย.14:7;15:4)

22:35   “จนเวลาเย็นพระองค์ก็สิ้นพระชนม์” (evening he died  )= สำเร็จจริงตามคำพยากรณ์ของมีคายาห์ (ข้อ 17,28)

22:38   “ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งได้ตรัสไว้” (according to the word of the Lord that he had spoken )

= คำพยากรณ์ของเอลียาห์ที่เกี่ยวกับการตายของอาหับก็เป็นจริงส่วนหนึ่ง (21:19)

22:39   “พระราชวังงาช้างซึ่งทรงสร้างไว้” (the ivory house that he built )= มีการขุดซากเมืองสะมาเรียพบการฝังงาช้างในซากอาคารบางแห่ง(ที่อยู่ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ในประวัติศาสตร์อิสราเอล)

-การใช้งาช้างบ่งบอกถึงความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจในรัชกาลอาหับ

“เมืองทั้งหมดที่ทรงสร้าง”(all the cities that he built) = เมืองต่าง ๆ ที่เสริมปราการ ต่อมานักโบราณคดีได้พบหลักฐานว่า อาหับเสริมปราการที่เมกิดโดและฮาโชร์

“บันทึกในพงศาวดาร” (written in the Book of the Chronicles) -14:19

22:40   “ล่วงหลับไป”  ( slept) -1:21 “อาหัสยาห์พระราชโอรส” (Ahaziah his son) = อาหัสยาห์ขึ้นครองราชย์แทนอาหับ (51-53;2พกษ.1)

22:41   “เยโฮชาฟัท” (Jehoshaphat) = ขึ้นครองราชย์ในยูดาห์ตรงกับปีที่ 4 ของรัชกาลกษัตริย์อาหับ (อ้างอิงถึงจุดเริ่มต้นการครองราชย์เพียงคนเดียวของเยโฮชาฟัท ในปี 869 ก.ค.ศ)

22:42   “ครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 25 ปี”  (reigned twenty-five years in Jerusalem)= ปี 872-848 ก.ค.ศ.ระยะเวลาครองราชย์ทั้งหมดของเยโฮชาฟัทเริ่มตั้งแต่ปีที่ 39  ของกษัตริย์อาสาซึ่งท่านได้ปกครองร่วมกับบิดา (15:10;2พศด.16:12)

22:43   “แต่ปูชนียสถานสูงต่าง ๆ นั้นยังไม่ได้รื้อลง” (Yet the high places were not taken away)

= ยังไม่ได้ทำลายสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลาย (3:2;15:14)

22:44   “พระราชา” (the king) = หมายถึง กษัตริย์โดยรวมคือ ทั้งอาหับ อาหัสยาห์ และโยรัม ซึ่งทั้งหมดปกครองอาณาจักรเหนือในช่วงที่เยโฮชาฟัทปกครองอาณาจักรใต้ (ข.4)

22:45   “สงครามที่ทรงกระทำ” (how he warred) = วีรกรรมในการสงคราม (2พกษ.3; 2พศด.17:11;20)

“หนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์”(the Book of the Chronicles of the Kings of Judah?) -14:29

22:46   “เทวทาส” (the male cult prostitutes) = โสเภณีชายในเทวสถาน -14:24

22:47   “ไม่มีพระราชาในเอโดม”(no king in Edom)= ถือว่า เอโดมเป็นเมืองขึ้นของยูดาห์(2ซมอ.8:14;2พกษ.8:20)

22:48   “โอฟีร์” (Ophir) -9:29 , “เรือแตกเสียที่เอซีโอนเกเบอร์” (or the ships were wrecked at Ezion-geber) -9:28;

พระเจ้าพิพากษาเยโฮชา ฟัทโดยทำให้กองเรือพาณิชย์ของท่านพินาศลง เพราะท่านเป็นพันธมิตรกับอาหัสยาห์พระราชาอิสราเอล(ทางเหลือ) –2พศด.20:35-37

22:50   “ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์” (slept with his fathers) -1:2

“เยโฮรัมพระราชโอรสขึ้นครองราชย์แทน” –ดูเรื่องรัชกาลเยโฮรัมได้ใน 2พกษ.8:16-24;2พศด.21

22:51   “ในปีที่สิบเจ็ดแห่งรัชกาลเยโฮชาฟัท” (in the seventeenth year of Jehoshaphat king)

= ปี 853 ก.ค.ศ. (ข.41-42) ,   “2 ปี” (two years) –ปี 853-852 ก.ค.ศ. (2 พกษ.1:17)

22:52   “ในทางของพระราชบิดาของพระองค์และในทางของพระมารดาของพระองค์” (in the way of his father and in the way of his mother) -16:30-33;  “ในทางของเยโรโบอัม” (in the way of Jeroboam) –12:28-33

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยถูกชวนให้กระทำบางอย่าง(ที่เป็นเรื่องสำคัญและเกี่ยวพันกับคนจำนวนมาก) และคุณรับปากกระทำโดยไม่ได้ปรึกษาพระเจ้า บ้างหรือไม่? อย่างไร?
  2. คุณเคยปรึกษาหรือรับคำแนะนำจากคนที่คุณคิดว่าเป็นตัวแทนของพระเจ้าแต่แท้จริงไม่ใช่บ้างหรือไม่? ผลลัพธ์เป็นอย่างไร?
  3. หากคุณต้องการขอคำปรึกษาหรือคำยืนยันในเรื่องน้ำพระทัยของพระเจ้าก่อนตัดสินใจ คุณจะไปหาใครที่คุณแน่ใจว่าเขาเป็นผู้แทนของพระเจ้าจริง ๆ ? ทำไมจึงมั่นใจเช่นนั้น?
  4. คุณกล้ายืนยันในการพูดหรือกล่าวความจริงตามพระวจนะของพระเจ้า ทั้ง ๆ ที่คนรอบตัวของคุณล้วนกล่าวตรงข้ามกับ

พระวจนะเหล่านั้นอยู่ และคนส่วนใหญ่ก็กำลังเชื่อคำพูดเหล่านั้นอยู่? ทำไม?

5. คุณเคยรู้สึกหงุดหงิดและโกรธใครบางคนที่ไม่พูดหรือสนองตอบต่อความคิดหรือความต้องการ(ที่ไม่ค่อยถูกต้อง) ของคุณบ้างหรือไม่?  แล้วคุณทำอย่างไร?  ทำไมทำเช่นนั้น? ผลที่ตามมาเป็นอย่างไร?

6. คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อรู้ว่า พระเจ้าทรงทราบทุกอย่างและพระองค์กำลังบัญชาให้เหล่าทูตของพระองค์เตรียมตัวดำเนินการตามพระประสงค์เหล่านั้น (กับตัวคุณและคนที่เกี่ยวข้อง)?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1 และ 2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 25)

เลือดหลั่งโลมปฐพี

 พระธรรม        1พงศ์กษัตริย์ 21:1-29

อ้างอิง              1พกษ.16:3;18:17;20:43;22:38;12:30;14:9-11;2พกษ.9:10,34-36;21-26;10:6-10;17:17;22:20

บทนำ           อย่าให้ความโลภ ความหยิ่งยโส หรือความหลงในอำนาจก่อเกิดบาปที่นำเอาความหายนะมาสู่ทุกคน รวมทั้งตัวของคุณ และลูกหลานของคุณ เหมือนดังที่เกิดขึ้นกับอาหับและเยเซเบลเลย!

บทเรียน

21:1 “และ​ต่อ​มา​หลัง​จาก​เหตุการณ์​เหล่านี้ นาโบท​ชาว​ยิสเรเอล​มี​สวน​องุ่น​อยู่​ใน​ยิสเรเอล ข้าง​พระราชวัง​ของ​อาหับ​ พระราชา​แห่ง​สะมาเรีย”

       (Now Naboth the Jezreelite had a vineyard in Jezreel, beside the palace of Ahab king of Samaria. )

21:2 “อาหับ​ตรัส​กับ​นาโบท​ว่า “จง​ให้​สวน​องุ่น​ของ​เจ้า​แก่​เรา​เถิด เพื่อ​เรา​จะ​ได้​ทำ​สวน​ผัก เพราะ​อยู่​ใกล้​วัง​ของ​เรา เรา​จะ​ให้​สวน​องุ่น​ที่​ดี​กว่า​เพื่อ​แลก​สวน​นี้ หรือ​ถ้า​เจ้า​เห็น​ชอบ เรา​จะ​ให้​เงิน​สมกับ​ราคา​สวน​นั้น

      (And after this Ahab said to Naboth, “Give me your vineyard, that I may have it for a vegetable garden,  because it is near my house, and I will give you a better vineyard for it; or, if it seems good to you, I will  give you its value in money.”)

21:3 “แต่​นาโบท​ทูล​อาหับ​ว่า “โดย​พระยาห์เวห์ ขอ​ให้​เรื่อง​นี้​ห่าง​จาก​ข้า​พระบาท​เถิด คือ​ที่​จะ​ยก​มรดก​ของ​บรรพบุรุษ​ให้​แก่​ฝ่า​พระบาท

       (But Naboth said to Ahab, “The Lord forbid that I should give you the inheritance of my fathers.”)

21:4 “อาหับ​จึง​เสด็จ​เข้า​ใน​วัง​ด้วย​อารมณ์​ขุ่น​มัว​และ​กลัดกลุ้ม​ยิ่ง​นัก ด้วย​เรื่อง​ที่​นาโบท​ชาว​ยิสเรเอล​ทูล​ตอบ​พระองค์ เพราะ​เขา​ได้​กล่าว​ว่า “ข้า​พระบาท​จะ​ไม่​ให้​มรดก​แห่ง​บรรพบุรุษ​ของ​ข้า​พระบาท​แก่​ฝ่า​ พระบาท” และ​พระองค์​ก็​เอน​พระกาย​ลง​บน​พระแท่น เบือน​พระพักตร์ ไม่​เสวย​อาหาร”

      (And Ahab went into his house vexed and sullen because of what Naboth the Jezreelite had said to him,  for he had said, “I will not give you the inheritance of my fathers.” And he lay down on his bed and  turned away his face and would eat no food. )

21:5 “แต่​เยเซเบล​มเหสี​ของ​พระองค์​เข้า​มา​เฝ้า​พระองค์ ทูล​ถาม​พระองค์​ว่า “ทำไม​จิต​ใจ​ของ​ฝ่า​พระบาท​จึง​กลัดกลุ้ม​จน​ไม่​เสวย​อาหาร?”

      (But Jezebel his wife came to him and said to him, “Why is your spirit so vexed that you eat no food?”

21:6 “และ​พระองค์​ตรัส​ตอบ​พระนาง​ว่า “เพราะ​เรา​ได้​พูด​กับ​นาโบท​ชาว​ยิสเรเอล​ว่า ‘จง​ขาย​สวน​องุ่น​ของ​เจ้า​ให้​เรา หรือ​มิฉะนั้น​ถ้า​เจ้า​พอใจ เรา​จะ​ให้​สวน​องุ่น​อีก​แห่ง​หนึ่ง​แก่​เจ้า​เพื่อ​แลก​กัน’ แต่​เขา​ตอบ​ว่า ‘ข้า​พระบาท​จะ​ไม่​ให้​สวน​องุ่น​ของ​ข้า​พระบาท​แก่​ฝ่า​พระบาท’”

      (And he said to her, “Because I spoke to Naboth the Jezreelite and said to him, “Give me your vineyard  for money, or else, if it please you, I will give you another vineyard for it.” And he answered, “I will not give you my vineyard.”)

21:7 “และ​เยเซเบล​มเหสี​ของ​พระองค์​ทูล​พระองค์​ว่า “ฝ่า​พระบาท​เป็น​ผู้​ครอบครอง​อิสราเอล​อยู่​หรือ เพคะ? เชิญ​เสด็จ​ลุกขึ้น​เสวย​อาหาร​เถิด และ​ให้​พระทัย​ของ​ฝ่า​พระบาท​ร่าเริง หม่อมฉัน​จะ​มอบ​สวน​องุ่น​ของ​นาโบท​ชาว​ยิสเรเอล​ให้​แก่​ฝ่า​พระบาท​เอง

    (And Jezebel his wife said to him, “Do you now govern Israel? Arise and eat bread and let your heart be cheerful; I will give you the vineyard of Naboth the Jezreelite.”)

21:8 “พระนาง​จึง​ทรง​พระอักษร​ใน​พระนาม​ของ​อาหับ ประทับ​ตรา​ของ​พระองค์ ส่ง​ไป​ยัง​ผู้ใหญ่​และ​เจ้านาย​ผู้​อยู่​ใน​เมือง​กับ​นาโบท”

(So she wrote letters in Ahab’s name and sealed them with his seal, and she sent the letters to the elders and the leaders who lived with Naboth in his city. )

21:9 “พระนาง​ทรง​พระอักษร​ว่า “จง​ประกาศ​ให้​ถือ​อด​อาหาร และ​ให้​นาโบท​นั่ง​ใน​ที่​นั่ง​อัน​มี​เกียรติ​ท่ามกลาง​ประชาชน”

      (And she wrote in the letters, “Proclaim a fast, and set Naboth at the head of the people. )

21:10 “และ​ให้​คน​อันธพาล​สอง​คน​นั่ง​ตรงข้าม​กับ​เขา ให้​ฟ้อง​เขา​ว่า ‘เจ้า​ได้​แช่ง​พระเจ้า​และ​พระราชา’ แล้ว​พา​เขา​ออก​ไป​ และ​เอา​หิน​ขว้าง​เสีย​ให้​ตาย

       (And set two worthless men opposite him, and let them bring a charge against him, saying, “You have  cursed God and the king.” Then take him out and stone him to death.” )

21:11 “และ​คน​ของ​เมือง​นั้น คือ​ผู้ใหญ่​และ​เจ้านาย​ผู้​อาศัย​อยู่​ใน​เมือง​นั้น ได้​ทำ​ตาม​ที่​เยเซเบล​มี​พระอักษร​สั่ง​ไป​ถึง​พวกเขา ตาม​ที่​ปรากฏ​ใน​ลาย​พระหัตถ์​ซึ่ง​พระนาง​ทรง​มี​ไป​ถึง​พวกเขา​นั้น”

   (And the men of his city, the elders and the leaders who lived in his city, did as Jezebel had sent word  to them. As it was written in the letters that she had sent to them, )

21:12 “พวกเขา​ได้​ประกาศ​ให้​ถือ​อด​อาหาร และ​ได้​ให้​นาโบท​นั่ง​ใน​ที่นั่ง​อัน​มี​เกียรติ​ท่ามกลาง​ประชาชน”

       (they proclaimed a fast and set Naboth at the head of the people. )

21:13 “และ​คน​อันธพาล​สอง​คน​นั้น​ก็​เข้า​มา นั่ง​อยู่​ตรงข้าม​กับ​เขา และ​คน​ถ่อย​นั้น​ได้​ฟ้อง​นาโบท​ต่อ​หน้า​ประชาชน​กล่าว​ว่า “นาโบท​ได้​แช่ง​พระเจ้า​และ​พระราชา” เขา​ทั้งหลาย​จึง​พา​นาโบท​ออก​ไป​นอก​เมือง และ​เอา​หิน​ขว้าง​เขา​จน​ตาย”

     (And the two worthless men came in and sat opposite him. And the worthless men brought a charge   against Naboth in the presence of the people, saying, “Naboth cursed God and the king.” So they took   him outside the city and stoned him to death with stones.)

21:14 “แล้ว​พวกเขา​ก็​ส่ง​ข่าว​ไป​ทูล​เยเซเบล​ว่า “นาโบท​ถูก​หิน​ขว้าง​ตาย​แล้ว

     (Then they sent to Jezebel, saying, “Naboth has been stoned; he is dead.” )

21:15 “พอ​เยเซเบล​ทรง​ได้ยิน​ว่า นาโบท​ถูก​หิน​ขว้าง​ตาย​แล้ว เยเซเบล​จึง​ทูล​อาหับ​ว่า “ขอ​เชิญ​เสด็จ​ไป​ยึด​สวน​ของ​นาโบท​ชาว​ยิสเรเอล ซึ่ง​เขา​ได้​ปฏิเสธ​ไม่​ขาย​แก่​พระองค์ เพราะว่า​นาโบท​ไม่มี​ชีวิต​อยู่ เขา​ตาย​แล้ว

     (As soon as Jezebel heard that Naboth had been stoned and was dead, Jezebel said to Ahab, “Arise,   take possession of the vineyard of Naboth the Jezreelite, which he refused to give you for money, for  Naboth is not alive, but dead.” )

21:16 “และ​ต่อ​มา​พอ​อาหับ​ได้ยิน​ว่า​นาโบท​ตาย​แล้ว อาหับ​ก็​ทรง​ลุกขึ้น ลง​ไป​ยัง​สวน​องุ่น​ของ​นาโบท​ชาว​ยิสเรเอล​เพื่อ​ยึด​ถือ​เป็น​กรรมสิทธิ์”

      (And as soon as Ahab heard that Naboth was dead, Ahab arose to go down to the vineyard of Naboth   the Jezreelite, to take possession of it. )

21:17 “แล้ว​พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์​มา​ถึง​เอลียาห์​ชาว​ทิชบี​ว่า”

         (Then the word of the Lord came to Elijah the Tishbite, saying, )

21:18 “จง​ลุกขึ้น​ไป​พบ​อาหับ​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล ผู้​อยู่​ใน​กรุง​สะมาเรีย ดูสิ เขา​อยู่​ใน​สวน​ของ​นาโบท​ที่​เขา​ลง​ไป​ยึด​เอา​ เป็น​กรรมสิทธิ์”

      (“Arise, go down to meet Ahab king of Israel, who is in Samaria; behold, he is in the vineyard of  Naboth, where he has gone to take possession.)

21:19 “เจ้า​จง​พูด​กับ​เขา​ว่า ‘พระยาห์เวห์​ตรัส​ดังนี้​ว่า “เจ้า​ได้​ฆ่า​และ​ได้​ยึด​ถือ​เอา​เป็น​กรรมสิทธิ์​ด้วย​หรือ?”’ และ​เจ้า​จง​พูด​กับ​เขา​ว่า ‘พระเจ้า​ตรัส​ดังนี้​ว่า “ใน​ที่​ที่​สุนัข​เลีย​โลหิต​ของ​นาโบท สุนัข​จะ​เลีย​โลหิต​ของ​เจ้า​ด้วย”’”

    (And you shall say to him, “Thus says the Lord, “Have you killed and also taken possession?” And you  shall say to him, “Thus says the Lord: “In the place where dogs licked up the blood of Naboth shall  dogs lick your own blood.”” )

21:20 “อาหับ​ตรัส​กับ​เอลียาห์​ว่า “โอ ศัตรู​ของ​เรา เจ้า​พบ​เรา​เข้า​แล้ว​หรือ?” ท่าน​ทูล​ตอบ​ว่า “ข้า​พระบาท​พบ​ฝ่า​พระบาท​เข้า​แล้ว เพราะ​ว่า​ฝ่า​พระบาท​ยอม​ขาย​พระองค์​เข้า​ทำ​สิ่ง​ชั่ว​ใน​สายพระเนตร ​พระยาห์เวห์

      (Ahab said to Elijah, “Have you found me, O my enemy?” He answered, “I have found you, because  you have sold yourself to do what is evil in the sight of the Lord. )

21:21 “นี่แน่ะเรา​จะ​นำ​เหตุ​ร้าย​มา​เหนือ​เจ้า เรา​จะ​กวาด​เจ้า​ออก​ไป​เสีย​ให้​สิ้น และ​จะ​กำจัด​ผู้ชาย​ทุก​คน​เสีย​จาก​อาหับ​ใน​อิสราเอล ไม่​ว่า​ทาส​หรือ​ไท”

   (Behold, I will bring disaster upon you. I will utterly burn you up, and will cut off from Ahab every male, bond or free, in Israel.)

21:22 “และ​เรา​จะ​ทำ​ให้​ราชวงศ์​ของ​เจ้า​เหมือน​ราชวงศ์​ของ​เยโรโบอัม​บุตร​ เนบัท และ​เหมือน​ราชวงศ์​ของ​บาอาชา​บุตร​อาหิยาห์ เพราะ​เจ้า​ทำ​ให้​เรา​โกรธ และ​เพราะ​เจ้า​ทำ​ให้​อิสราเอล​ทำ​บาป​ด้วย”

  (And I will make your house like the house of Jeroboam the son of Nebat, and like the house of  Baasha the son of Ahijah, for the anger to which you have provoked me, and because you have  made Israel to sin.)

21:23 “และ​ส่วน​เยเซเบล พระยาห์เวห์​ตรัส​ว่า ‘สุนัข​จะ​กิน​เยเซเบล​ภายใน​เขต​ยิสเรเอล’”

   (And of Jezebel the Lord also said, “The dogs shall eat Jezebel within the walls of Jezreel.”)

21:24 “คนใด​ใน​วงศ์​อาหับ​ที่​ตาย​ใน​เมือง สุนัข​จะ​กิน และ​คนใด​ใน​วงศ์​ของ​เขา​ตาย​ใน​ทุ่งนา นก​ใน​อากาศ​จะ​กิน

(Anyone belonging to Ahab who dies in the city the dogs shall eat, and anyone of his who dies in the open country the birds of the heavens shall eat.” )

21:25 “ไม่มี​ใคร​ได้​ขาย​ตนเอง เพื่อ​ทำ​สิ่ง​ชั่ว​ใน​สายพระเนตร​พระยาห์เวห์​อย่าง​อาหับ ผู้​ที่​เยเซเบล​มเหสี​ได้​ยุยง”

         (There was none who sold himself to do what was evil in the sight of the Lord like Ahab, whom  Jezebel his wife incited.)

21:26 “พระองค์​ทรง​ทำ​สิ่ง​ที่​น่า​เกลียด​ชัง​ยิ่ง​นัก คือ​ดำเนิน​ตาม​รูปเคารพ ตาม​ธรรมเนียม​ทุก​อย่าง​ของ​คน​อาโมไรต์ ผู้​ที่​พระยาห์เวห์​ทรง​เหวี่ยง​ออก​ไป​ให้​พ้น​หน้า​คน​อิสราเอล”

    (He acted very abominably in going after idols, as the Amorites had done, whom the Lord cast out before the people of Israel.)

21:27 “และ​ต่อ​มา​เมื่อ​อาหับ​ทรง​ได้ยิน​พระวจนะ​เหล่านี้ พระองค์​ก็​ฉีก​ฉลอง​พระองค์ ทรง​สวม​ผ้า​กระสอบ ถือ​อด​อาหาร  บรรทม​ใน​ผ้า​กระสอบ และ​ทรง​ดำเนิน​ไป​มา​ด้วย​ความ​สำนึก​ผิด”

(And when Ahab heard those words, he tore his clothes and put sackcloth on his flesh and fasted and lay in sackcloth and went about dejectedly.)

21:28 “และ​พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์​มา​ยัง​เอลียาห์​ชาว​ทิชบี​ว่า”

        (And the word of the Lord came to Elijah the Tishbite, saying, )

21:29 “เจ้า​ได้​เห็น​อาหับ​ถ่อม​ตัว​ลง​ต่อ​หน้า​เรา​แล้ว​หรือ? เพราะ​เขา​ได้​ถ่อม​ตัว​ลง​ต่อ​เรา เรา​จะ​ไม่​นำ​เหตุ​ร้าย​มา​ใน​สมัย​ของ​เขา แต่​เรา​จะ​นำ​เหตุ​ร้าย​มา​เหนือ​ราชวงศ์​ของ​เขา​ใน​สมัย​บุตร​ของ​เขา

         (“Have you seen how Ahab has humbled himself before me? Because he has humbled himself before  me, I will not bring the disaster in his days; but in his son’s days I will bring the disaster upon his  house.” )

ข้อมูลมีประโยชน์

21:1     “นาโบท” (Naboth) = เป็นชาวยิสเรเอลมีสวนองุ่นอยู่ข้างพระราชวังของอาหับ (2พกษ.9:21)

“พระราชวังของอาหับ” (the palace of Ahab) = อาหับมีวังนอกเหนือจากวังหลวงในกรุงสะมาเรียด้วย  (18:45;2พกษ.9:30)

    “สะมาเรีย” (Samaria) = เป็นทั้งชื่อเมืองหลวงและนามของอาณาจักรเหนือทั้งหมด (16:24)

21:2     “จงให้สวนองุ่นของเจ้าแก่เราเถิด” (Give me your vineyard) = อาหับมีอำนาจที่ถูกจำกัดโดยบทบัญญัติ (ฉธบ.17:14-20;1ซมอ.10:25) ไม่อาจยึดที่ดินที่มีเจ้าของได้ (แตกต่างจากธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติของกษัตริย์ในคานาอัน) –1ซมอ.8:9-17

21:3     “โดยพระยาห์เวห์ขอให้เรื่องนี้ห่างจากข้าพระองค์เถิด” (The Lord forbid that) = การยกที่ดิน(สวน) ให้กษัตริย์อาหับเป็นเรื่องที่ยากสำหรับนาโบท เพราะพื้นฐานความเชื่อที่ว่า ที่ดินเป็นของพระเจ้าที่ประทานให้ประชากรอิสราเอลแต่ละครอบครัว ประดุจสัญญาเช่าที่ทุกตระกูลต้องรักษาไว้ด้วยความหวงแหน ในฐานะมรดกประจำตระกูล

21:7     “ฝ่าพระบาทเป็นผู้ครอบครองอิสราเอลอยู่หรือเพคะ?” (Do you now govern Israel?) = เยเซเบลกล่าวเสียดสีอาหับเพราะเธอคุ้นเคยกับธรรมเนียมกษัตริย์ฟินีเซียและคานาอันที่ใช้อำนาจเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง (1ซมอ.12:3-4)

21:9     “จงประกาศให้ถืออดอาหาร” (Proclaim a fast) = เยเซเบลพยายามสร้างเหตุการณ์ว่า ประชาชนจะประสบภัยพิบัติ และจะหลีกเลี่ยงได้หากว่า พวกเขาถ่อมใจลงต่อพระพักตร์ของพระเจ้า และกำจัดคนทำบาปซึ่งนำการพิพากษามาสู่พวกเขา (ปท.วนฉ.20:26;1ซมอ.7:5-6;2พศด.20:2-4)

21:10   “อันธพาล” (worthless men) = คนชั่ว –ฉธบ.13:13

“สองคน” (two) = จำนวนคนที่จะเป็นพยานได้สำหรับความผิดที่มีโทษถึงตาย ตามกฎหมาย(กฎบัญญัติของโมเสส ใน กดว.35:30;ฉธบ.17:6;19:15;  “ฟ้อง” (charge against) = ปรักปรำ

= แผนการที่วางไว้ให้ดูเสมือนว่าเป็นกระบวนการที่ชอบธรรมทางกฎหมาย (อพย.20:16;23:7;ลนต.19:16)

“เจ้าได้แช่งพระเจ้าและพระราชา” (You have cursed God and the king.) = ความผิดของการทำตามคำกล่าวหานี้คือ การลงโทษด้วยการเอาหินขว้างจนตาย (ลนต.24:15-16)

21:13   “นอกเมือง” (outside the city) = ตามกฎบัญญัติของโมเสส (ลนต.24:14;กดว.15:35-36) –นาโบทถูกเอาหินขว้างในที่ดินของตนเอง (ปท. ข้อ 19 กับ 2พกษ.9:21,26)

-บรรดาบุตรชายของนาโบทก็ถูกเอาหินขว้างตายไปพร้อมกัน (2พกษ.9:26-ปท.กรณีของอาคาน ใน ยชว.7:24-25) เพื่อกำจัดทายาทด้วย

21:19   “เจ้าได้ฆ่าและได้ยึดถือเอาเป็นกรรมสิทธิ์ด้วยหรือ?” (Have you killed and also taken possession?) = การที่อาหับยอมทำตามแผนของเยเซเบลก็เท่ากับว่า เขามีความผิดฐานฆ่าคนและลักทรัพทย์ด้วย

“ในที่ที่สุนัขเลียโลหิตของนาโบท สุนัขจะเลียโลหิตของเจ้าด้วย”( In the place where dogs licked up the blood of Naboth shall dogs lick your own blood.) = การกลับใจในเวลาต่อมาของอาหับทำให้คำพยากรณ์บางส่วนถูกเลื่อนออกไปจนถึงสมัยของโยรัม บุตรชายของเขาที่ถูกทิ้งศพ ณ จุดดังกล่าวแทน (2พกษ.9:25-26)แต่สุนัขได้เลียโลหิตของอาหับใน 2พกษ.22:38 หลังจากที่เขาตายในการสู้รบที่ราโมทกิ-   เลอาด (22:29-37) และศพถูกนำกลับมายังสะมาเรีย และสุนัขได้เลียเลือดที่ถูกล้างออกจากรถศึกของเขา

21:21   “ไม่ว่าทาสหรือไท” (bond or free) -14:10

21:22   “เหมือนราชวงศ์ของเยโรโบอัม” (like the house of Jeroboam) –14:10;15:28-30

“เหมือนราชวงศ์ของบาอาชา” (  like the house of Baasha) -16:3-4,11-13

21:24   “คนใดในวงศ์อาหับที่ตายในเมือง สุนัขจะกินและคนใดในราชวงศ์ของเขาตายในทุ่งนา นกในอากาศจะกิน” (Anyone belonging to Ahab who dies in the city the dogs shall eat, and anyone of his who dies in the open country the birds of the heavens shall eat.) -14:11;16:4, เป็นคำสาปแช่งตามพันธสัญญาใน ฉธบ.28:26(เปรียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกหลานเพศชายในพงศ์พันธุ์ของเยโรโบอัม ที่ไม่มีผู้ใดได้รับการฝังศพอย่างมีเกียรติเลย)

21:25   “ผู้ที่เยเซเบลมเหสีได้ยุยง” (whom Jezebel his wife incited.) = ผู้ที่กระทำตามการชักนำของเยเซเบลมเหสี (16:31;18:4;19:1-2;21:7)

21:26   “ดำเนินตามรูปเคารพ” (in going after idols) –ลนต.26:30

          “คนอาโมไรต์” (Amorites)  = ในที่นี้หมายถึงคนทั้งหมดในคานาอันก่อนที่อิสราเอลจะเข้ามา (ปฐก.15:16 ฉธบ.1:7)

21:27   “สวมผ้ากระสอบ” (put sackcloth) –ปฐก.37”34

21:29   “เพราะเขาได้ถ่อมตัวลงต่อเรา เราจะไม่นำเหตุร้ายมาในสมัยของเขา…”( he has humbled himself before me, I will not bring the disaster in his days) –ยนา.3:10

= การพิพากษาเลื่อนออกไปถึงในสมัยลูกของเขา (ข.19) แต่โทษไม่ได้ลดลง

คำถามนำอภิปราย

1. เคยมีคนที่ปรารถนาจะได้(หรือซื้อ) “ทรัพย์สิน” ของคุณ แต่คุณไม่ยินยอมบ้างหรือไม่?  เรื่องราวเป็นอย่างไร และเกิดอะไรขึ้น?

2.คุณเคยหงุดหงิดหรือโกรธกริ้วผู้ใดด้วยความไม่พอใจที่ขัดใจคุณ ไม่ยอมให้ไม่ยอมขายหรือไม่ยอมทำตามในสิ่งที่คุณขอหรือต้องการบ้างหรือไม่?  เรื่องอะไร? และทำไม?

3. คุณเคยผิดหวังและยอมรับคำแนะนำหรือคำปรึกษาและกระทำตามเพื่อที่จะได้อย่างที่คุณต้องการ โดยไม่คำนึงถึงวิธีการบ้างหรือไม่?  ผลเป็นอย่างไร?

4. คุณเคยเป็นธุระในการดำเนินการเพื่อให้ได้มาตามประสงค์แทนผู้อื่น โดยใช้กลวิธีที่แยบยลในการสร้างความชอบธรรม (แต่ไม่ชอบธรรม) ให้กับสิ่งที่ทำบ้างหรือไม่?  อย่างไร และผลเป็นอย่างไร?

5. คุณเคยเห็นผู้ใดร่วมมือสมคบกับผู้อื่น (โดยเฉพาะผู้มีอิทธิพลอำนาจ)ในการวางแผนเล่นงานผู้อื่น (ผู้บริสุทธิ์) บ้างหรือไม่? ผลลัพธ์คืออะไร? (และคุณเคยร่วมมือกับผู้ใดทำเช่นนั้นบ้างหรือไม่?)

6. คุณเคยได้มาหรือยึดครองในทรัพย์สิ่งของที่ไม่ใช่ของคุณด้วยวิธีการอันไม่พึงประสงค์บ้างหรือไม่? แล้วผลที่ตามมาเป็นอย่างไร? มีผลเสียอะไรตามมาบ้างหรือไม่? และคุณสำนึกผิดบ้างหรือไม่?

7. คุณเคยเห็น “ผลกรรม” สนองบุคคลใดที่กระทำ “กรรมชั่ว” ต่อผู้อื่นบ้างหรือไม่?  (แบ่งปัน)

8. หากคนบาปหรือคนทำผิดกลับใจจะสายเกินแก้หรือสายเกินไปหรือไม่?  อย่างไร?

9. บทเรียนวันนี้สอนอะไรคุณเป็นพิเศษ

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์