Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 12)

ฟื้นฟูพระวิหารและปุโรหิต

 

พระธรรม        2พงศ์กษัตริย์ 12:1-21

อ้างอิง             2พศด.21:16-17;24:1-14;2พกษ.8:12;11:2;14:5,19;15:10-14,25-30;21:23;22:4-7;25:18,25; 1พกษ.7:48-51;15:18,21

บทนำ           ในชีวิตของเราเป็นหนี้คนหลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ให้คำปรึกษาและนำเราไปในทางที่ดี แต่จงระวังในยามที่เราสิ้นคนดีที่คอยแนะนำตักเตือนเราให้เดินตามทางพระเจ้า เราอาจฟังคำปรึกษาหรือคำแนะนำทั้งของผู้อื่นและของตัวเองที่จะนำเราไปสู่บั้นปลายที่ไม่พึงประสงค์ก็เป็นได้!

บทเรียน

12:1 “ใน​ปี​ที่ 7 แห่ง​รัชกาล​เยฮู โยอาช​ ทรง​เป็น​กษัตริย์ และ​พระองค์​ทรง​ครองราชย์​ใน​กรุง​เยรูซาเล็ม 40 ปี พระมารดา​ของ​พระองค์​มี​พระนาม​ว่า ศิบียาห์​ชาว​เบเออร์เชบา”

   (In the seventh year of Jehu, Jehoash began to reign, and he reigned forty years in Jerusalem. His  mother’s name was Zibiah of Beersheba. )

12:2 “และ ​โยอาช​ทรง​ทำ​สิ่ง​ที่​ชอบธรรม​ใน​สายพระเนตร​ของ​พระยาห์เวห์ ตลอด​รัชกาล​ของ​พระองค์​ที่​เยโฮยาดา​ปุโรหิต​ได้​ แนะนำ​พระองค์”

       (And Jehoash did what was right in the eyes of the Lord all his days, because Jehoiada the priest  instructed him. )

12:3 “แต่​พวกเขา​ยัง​ไม่ได้​รื้อ​ปูชนียสถาน​สูง ประชาชน​ยัง​คง​ถวาย​สัตวบูชา​และ​เผา​เครื่อง​หอม​ใน​ปูชนียสถาน​สูง​เหล่า​นั้น”

        (Nevertheless, the high places were not taken away; the people continued to sacrifice and make offerings on the high places.)

12:4 “โยอาช​ตรัส​กับ​พวก​ปุโรหิต​ว่า “เงิน​ทั้งสิ้น​อัน​เป็น​ของ​ถวาย​ที่​บริสุทธิ์ ซึ่ง​นำ​เข้า​มา​ใน​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์ได้​แก่​เงิน​ที่​เรียก​จาก​แต่​ละ​คน คือ​เงิน​ที่​กำหนด​ให้​เสีย และ​เงิน​ทั้ง​สิ้น​ที่​ประชาชน​ถวาย​ด้วย​ความ​สมัคร​ใจ จะ​นำ​มา​ไว้​ใน​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์”

  (Jehoash said to the priests, “All the money of the holy things that is brought into the house of the Lord,  the money for which each man is assessed—the money from the assessment of persons— and the  money that a man’s heart prompts him to bring into the house of the Lord, )

12:5 “ให้​ปุโรหิต​แต่​ละ​คน​รับ​เงิน​นั้น​จาก​คน​ที่​รู้จัก​กัน ให้​พวกเขา​ซ่อม​พระนิเวศ​ตรง​ที่​ที่​เห็น​ว่า​ต้องการ​ซ่อมแซม”

      (let the priests take, each from his donor, and let them repair the house wherever any need of repairs is  discovered.” )

12:6 “ต่อ​มา​ใน​ปี​ที่ 23 แห่ง​รัชกาล​พระราชา​โยอาช พวก​ปุโรหิต​ไม่ได้​ซ่อมแซม​พระนิเวศ”

      (But by the twenty-third year of King Jehoash, the priests had made no repairs on the house. )

12:7 “เพราะ​ฉะนั้น พระราชา​โยอาช​จึง​ทรง​เรียก​ปุโรหิต​เยโฮยาดา และ​ปุโรหิต​อื่นๆ และ​ตรัส​กับ​พวก​เขา​ว่า “ทำไม​ท่าน​จึง​ไม่​ซ่อมแซม​พระนิเวศ? เพราะ​ฉะนั้น อย่า​รับ​เงิน​จาก​คน​ที่​ท่าน​รู้จัก​เพื่อ​ตัว​เอง​เลย แต่​ให้​ส่ง​ไป​เพื่อ​ซ่อมแซม​พระนิเวศ

      (Therefore King Jehoash summoned Jehoiada the priest and the other priests and said to them, “Why  are you not repairing the house? Now therefore take no more money from your donors, but hand it over for the repair of the house.” )

12:8 “พวก​ปุโรหิต​จึง​ตกลง​กัน​ว่า​จะ​ไม่​รับ​เงิน​จาก​ประชาชน​อีก และ​จะ​ไม่​ซ่อมแซม​พระนิเวศ”

       (So the priests agreed that they should take no more money from the people, and that they should not repair the house.)

12:9 “แล้ว​เยโฮยาดา​ปุโรหิต​นำ​หีบ​มา​ใบ​หนึ่ง เจาะ​รู​หนึ่ง​ที่​ฝาหีบ​นั้น และ​ตั้ง​ไว้​ข้าง​แท่น​บูชา​ด้าน​ขวา ทาง​คน​เข้า​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์ และ​ปุโรหิต​ผู้​เฝ้า​อยู่​ที่​ธรณี​ประตู ก็​นำ​เงิน​ทั้งหมด​ที่​ถูก​นำ​เข้า​มา​ใน​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์ ใส่​ไว้​ใน​หีบ​นั้น”

    (Then Jehoiada the priest took a chest and bored a hole in the lid of it and set it beside the altar on the right side as one entered the house of the Lord. And the priests who guarded the threshold put in it all the money that was brought into the house of the Lord. )

12:10 “และ​เมื่อ​เขา​เห็น​ว่า​มี​เงิน​ใน​หีบ​มาก​แล้ว ราชเลขา​และ​มหาปุโรหิต​จะ​ขึ้น​ไป​นับ​เงิน และ​เอา​เงิน​ที่​พบ​ใน​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์​นั้น​ใส่​ถุง​มัด​ไว้”

   (And whenever they saw that there was much money in the chest, the king’s secretary and the high  priest came up and they bagged and counted the money that was found in the house of the Lord. )

12:11 “แล้ว​พวกเขา​มอบ​เงิน​ที่​ชั่ง​แล้ว​นั้น​ไว้​ใน​มือ​ของ​คนงาน​ผู้​ดูแล​ พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์ แล้ว​เขา​จะ​จ่าย​ต่อ​ให้​แก่​ช่างไม้​และ​ช่าง​ก่อสร้าง ผู้​บูรณะ​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์”

  (Then they would give the money that was weighed out into the hands of the workmen who had  the oversight of the house of the Lord. And they paid it out to the carpenters and the builders who worked on the house of the Lord, )

12:12 “และ​ให้​แก่​ช่างก่อ​อิฐ​ถือ​ปูน และ​ช่าง​สกัดหิน ทั้ง​ซื้อ​ไม้​และ​หินสกัด​ที่​ใช้​ใน​การ​ซ่อมแซม​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์ และ​สำหรับ​ค่า​ใช้​จ่าย​อื่นๆ ทั้งหมด​ใน​งาน​ซ่อมแซม​พระนิเวศ”

   (and to the masons and the stonecutters, as well as to buy timber and quarried stone for making  repairs on the house of the Lord, and for any outlay for the repairs of the house.

12:13 “แต่​เงิน​ที่​นำ​เข้า​มา​ใน​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์​นั้น ไม่ได้​นำ​ไป​ใช้​ใน​การ​ทำ​ชามเงิน ตะไกร​ตัด​ไส้​ตะเกียง อ่าง แตร หรือ​ภาชนะ​ทองคำ​ใดๆ หรือ​ภาชนะ​เงิน​ของ​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์”

  (But there were not made for the house of the Lord basins of silver, snuffers, bowls, trumpets, or any  vessels of gold, or of silver, from the money that was brought into the house of the Lord, )

12:14 “เพราะ​เงิน​นั้น​พวกเขา​ให้​คนงาน​ที่​ทำงาน​ซ่อม​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์”

      (for that was given to the workmen who were repairing the house of the Lord with it. )

12:15 “และ​พวกเขา​ไม่ได้​ขอ​บัญชี​จาก​คน​ที่​พวกเขา​ใส่​เงิน​ไว้​ใน​มือ​ให้​ เอา​ไป​จ่าย​คนงาน เพราะ​เขา​ทั้งหลาย​ปฏิบัติ​งาน​ด้วย​ความ​ซื่อสัตย์”

       (And they did not ask for an accounting from the men into whose hand they delivered the money to pay  out to the workmen, for they dealt honestly. )

12:16 “เงิน​ที่​ได้​จาก​การ​ชด​ใช้​บาป และ​เงิน​ที่​ได้​จาก​การ​ลบ​ล้าง​บาป ไม่ได้​นำ​มา​ไว้​ใน​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์ เงิน​นั้น​เป็น​ของ​พวก​ปุโรหิต”

       (The money from the guilt offerings and the money from the sin offerings was not brought into the house of the Lord; it belonged to the priests.)

12:17 “เวลา​นั้น​ฮาซาเอล​พระราชา​แห่ง​ซีเรีย​ทรง​ยก​ขึ้น​ไป​รบ​กับ​เมือง​กัท และ​ยึด​เมือง​นั้น​ได้ แต่​เมื่อ​ฮาซาเอล​มุ่ง​พระพักตร์​จะ​ขึ้น​ไป​ตี​กรุง​เยรูซาเล็ม”

    (At that time Hazael king of Syria went up and fought against Gath and took it. But when Hazael set his face to go up against Jerusalem, )

12:18 “โยอาช​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์​ทรง​นำ​เอา​สิ่งของ​ศักดิ์สิทธิ์​ทั้งหมด​ที่​ เยโฮชาฟัท เยโฮรัม และ​อาหัสยาห์​บรรพบุรุษ​ของ​ พระองค์ ผู้​เป็น​กษัตริย์​แห่ง​ยูดาห์​ได้​ทรง​ถวาย​ไว้​นั้น และ​สิ่งของ​ศักดิ์สิทธิ์​ของ​พระองค์​เอง และ​ทองคำ​ทั้งหมด​ที่​พบ​ใน​คลัง​ของ​พระนิเวศ​พระยาห์เวห์​และ​ของ​ พระราชวัง​มา แล้ว​โยอาช​ทรง​ส่ง​สิ่ง​เหล่านี้​ไป​กำนัล​ฮาซาเอล​พระราชา​แห่ง​ ซีเรีย แล้ว​ฮาซาเอล​ก็​ทรง​ถอย​ทัพ​ไป​จาก​กรุง​เยรูซาเล็ม”

    (Jehoash king of Judah took all the sacred gifts that Jehoshaphat and Jehoram and Ahaziah his fathers, the kings of Judah, had dedicated, and his own sacred gifts, and all the gold that was found  in the treasuries of the house of the Lord and of the king’s house, and sent these to Hazael king of  Syria. Then Hazael went away from Jerusalem.)

12:19 “ส่วน​พระราชกิจ​อื่นๆ ของ​โยอาชและ​ทุก​สิ่ง​ที่​ทรง​กระทำได้​บันทึก​ใน​หนังสือ​พงศาวดาร​กษัตริย์​แห่ง​ยูดาห์​ไม่​ใช่​หรือ?”

(Now the rest of the acts of Joash and all that he did, are they not written in the Book of the Chronicles of the Kings of Judah? )

12:20 “พวกข้า​ราชการ​ของ​พระองค์​ลุกขึ้น​ก่อ​การ​กบฏ และ​ปลง​พระชนม์​โยอาช​เสีย​ใน​วัง​มิลโล ตาม​ทาง​ที่​ลง​ไป​ยัง​สิลลา”

       (His servants arose and made a conspiracy and struck down Joash in the house of Millo, on the way  that goes down to Silla. )

12:21 “พวก​นั้น​คือ​โยซาคาร์​บุตร​ชิเมอัท และ​เยโฮซาบาด​บุตร​โชเมอร์ พวก​ข้า​ราชการ​ของ​พระองค์​ได้​ประหาร​พระองค์ พระองค์​จึง​สิ้น​พระชนม์ และ​ทรง​ถูก​ฝัง​ไว้​กับ​บรรพบุรุษ​ใน​นคร​ดาวิด และ​อามาซิยาห์​พระราชโอรส​ของ​พระองค์​ได้​ขึ้น​ครองราชย์​แทน”

   (It was Jozacar the son of Shimeath and Jehozabad the son of Shomer, his servants, who struck  him  down, so that he died. And they buried him with his fathers in the city of David, and Amaziah his son reigned in his place.)

ข้อมูลมีประโยชน์

12:1     “ในปีที่ 7 แห่งรัชกาลเยฮู” (In the seventh year of Jehu) = ปี 835 ก.ค.ศ. (10:36)

“โยอาช” (Jehoash) – ในข้อนี้และในข้อ 18 ภาษาฮีบรู คือ “เยโฮอาช”

“40 ปี” (forty years) = ปี 835-796 ก.ค.ศ.

12:2     “…เยโฮยาดาปุโรหิตได้แนะนำพระองค์” (Jehoiada the priest instructed him.) = เยโฮยาดาได้ให้คำปรึกษาที่ดีในการปกครองประเทศต่อโยอาช น่าเสียดายที่ในบั้นปลายหลังจากเยโฮยาดาเสียชีวิต โยอาชหันหลังให้พระเจ้า (2พศด.24:14-27)

12:3     “…ไม่ได้ทำลายรื้อปูชนียสถานสูง” (the high places were not taken away)  = สถานที่ที่ใช้นมัสการพระเจ้า (ไม่ใช่พระต่างชาติ) –1พกษ.15:14  แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการนำธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ผิดเพี้ยนเข้ามาสู่การนมัสการพระเจ้าของชาวยูดาห์และอิสราเอล –1พกษ.3:2

12:4     “เงินทั้งสิ้นอันเป็นของถวาย…” (All the money of the holy things that is brought into the house of the Lord) = เงินถวายมาจาก 3 แหล่งใหญ่ ๆ คือ

  1. “เงินที่เรียกเก็บเป็นรายบุคคลจากการทำสำมะโนประชากร” เมื่ออายุ 20 ปี โดยที่ชาวอิสราเอลต้องลงทะเบียนเป็นทหารและถวายเงินครึ่งเชเขล (5:26) เพื่อใช้บำรุงพระวิหารส่วนกลาง (อพย.30:11-16;38:25-26)
  2. “เงินถวายตามคำปฏิญาณ” = มาจากคำปฏิญาณประเภทต่าง ๆ และมูลค่าเงินถวายมีระบุไว้ใน ลนต.27:1-25
  1. “เงินถวายตามความสมัครใจให้แก่พระวิหาร” –ลนต.22:18-23;ฉธบ.16:10

12:5     “คนที่รู้จักกัน” (from his donor) = “ผู้ดูแลรักษาเงิน”, เจ้าหน้าที่ของพระวิหารดูแลเรื่องเงินให้ปุโรหิต โดยดูแลเงินที่ได้จากเครื่องบูชาและเครื่องถวายของประชาชน

“ซ่อมพระวิหาร” (repair the house) = ให้ซ่อมแซมพระวิหารส่วนที่ชำรุดเสื่อมไปตามอายุ (การก่อสร้างพระวิหารเสร็จสิ้นไปแล้ว 124 ปี ก่อนโยอาชขึ้นครองราชย์ , ข.1;1พกษ.6:38) และวิหารยังถูกทิ้งร้างและนำไปใช้ผิด ๆ ในรัชกาลของอาธาลิยาห์ (2พศด.24:7)

12:6     “…ปีที่ 23 แห่งรัชกาลพระราชาโยอาช” (the twenty-third year of King Jehoash) = โยอาชอาจเริ่มวางแผนการฟื้นฟูพระวิหารมาก่อนหน้านี้ 2-3 ปี เวลานี้เขาอายุ 30 ปี จึงได้ใช้อำนาจในฐานะกษัตริย์ควบคุมการซ่อมแซมพระวิหารด้วยตัวเอง

12:7     “อย่ารับเงินจากคนที่ท่านรู้จักเพื่อตัวเองเลย” (no more money from your donors) = จะไม่นำเงินจากแหล่งต่าง ๆ ในข้อ 4 ให้แก่พวกปุโรหิตอีกต่อไป

12:8     “พวกปุโรหิตจึงตกลงกัน” (the priests agreed) = มีการประนีประนอมกันคือ ปุโรหิตจะไม่รับเงินจากประชาชนอีกต่อไป (แต่ก็ไม่ได้จ่ายเงินค่าซ่อมแซมพระวิหารจากเงินที่ได้รับไปแล้วคืนมา)

12:9     “ปุโรหิตผู้เฝ้าอยู่ที่ธรณีประตู” (And the priests who guarded the threshold) = ปุโรหิตระดับ 3 คน มีหน้าที่ป้องกันไม่ให้มีการเข้าสู่พระวิหารอย่างผิดบทบัญญัติ (25:18;ยรม.52:24)

“นำเงินทั้งหมดที่ถูกนำเข้ามาในพระนิเวศใส่ไว้ในหีบนั้น” (put in it all the money that was brought into the house of the Lord) = เมื่อประชาชนมั่นใจว่าเงินถวายจะนำไปใช้ในการบูรณะพระวิหาร พวกเขาก็ถวายมากขึ้น (มีการรื้อฟื้น/สืบทอดธรรมเนียนนี้ในรัชกาลของโยสิยาห์ ใน 22:3-7)

12:10   “ราชเลขา” (the king’s secretary) –2ซมอ.8:17; โยอาชจัดการให้คนของกษัตริย์มีอำนาจโดยตรงในการดูแลเรื่องการเงินของพระวิหาร

12:11   “คนงานผู้ดูแล” (the workmen who had the oversight) = ผู้ควบคุมการก่อสร้าง/ซ่อมแซม เป็นผู้ดูแลแทน งานทั้งหมดไม่ได้อยู่ในการดูแลของปุโรหิตอีกต่อไป

12:12   “ช่างสกัดหิน” (quarried stone) –2พกษ.22:5-6

12:13   “ภาชนะทองคำใดๆ หรือภาชนะเงินของพระวิหาร”( vessels of gold, or of silver, from the money that was brought into the house of the Lord) = ตอนแรกเงินทั้งหมดถูกกำหนดไว้สำหรับการบูรณะ พระวิหารเท่านั้น เมื่อการบูรณะเสร็จสิ้นแล้ว จึงมีการใช้เงินส่วนที่เหลือสำหรับภาชนะเงิน และทองในพระวิหาร –2พศด.24:14

12:16   “เงินที่ได้จากการชดใช้บาปและเงินที่ได้จากการลบล้างบาป” (The money from the guilt offerings and the money from the sin offerings) = เงินที่นำมาถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป (ลนต.5:16;6:5;กดว.5:7-10) ให้เป็นรายได้ของปุโรหิตไม่ต้องนำเข้าพระวิหาร

12:17   “เวลานั้น” (At that time)  = ครั้งนั้น , = เหตุการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายรัชกาลของโยอาช

-จาก 2 พศด.24:14-24 เปิดเผยให้เห็นชัดว่า การโจมตีของซีเรีย (อารัม) เกิดขึ้นเพราะโยอาชหันหลังให้กับพระเจ้า หลังจากที่เยโฮยาดาเสียชีวิตและการละทิ้งพระเจ้าของโยอาชถึงขีดสุด เมื่อเขาประหารชีวิตเศคาริยาห์ บุตรชายของเยโฮยาดา โดยการเอาหินขว้างจนตาย (2พศด.24:22)

“ฮาซาเอล” (Hazael)  -8:7-15;10:32-33;13:3,22

“เมืองกัท” (Gath) = เมืองสำคัญของฟิลิสเตีย (ยชว.13:3) ที่ดาวิดพิชิตมา (1พศด.18:1) และเป็นเมืองขึ้นในสมัยเรโหโบอัม (2พศด.11:8) ในช่วงปลายรัชกาลโยอาชแห่งยูดาห์ (ปี 835-796 ก.ค.ศ.) และในระหว่างรัชกาลเยโฮอาหาสแห่งอิสราเอล (ปี 814-798 ก.ค.ศ.) -13:3,7

-พวกซีเรีย มีอำนาจเหนืออิสราเอล จึงสามารถรุกคืบเข้าโจมตีฟิลิสเตียและยูดาห์ได้

“ไปตีกรุงเยรูซาเล็ม” (to go up against Jerusalem) –2พศด.24:23-24

12:18   “สิ่งของศักดิสิทธิ์…ทองคำทั้งหมด…ไปกำนัลฮาซาเอล” (took all the sacred gifts… all the gold… sent these to Hazael )  -หลายปีก่อน กษัตริย์อาสาเคยพยายามส่งบรรณาการไปเพื่อซื้อความช่วยเหลือจากพวกซีเรียเช่นกัน –1พกษ.15:18

12:19   “หนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์” (the Book of the Chronicles of the Kings of Judah)

–1พกษ.14:29;2พศด.22:10-24:27

12:20   “ก่อการกบฏและปลงพระชนม์โยอาช” (made a conspiracy and struck down Joash) = การรบครั้งนี้เป็นการตอบสนองที่โยอาชประหารเศคาริยาห์ บุตรเยโฮยาดา (2พศด.24:25)

“มิลโล” (Millo) –วนฉ.,1พกษ.11:27

-กษัตริย์โยอาชอาจประทับอยู่ที่นั่นเป็นการชั่วคราวในตอนถูกปลงพระชนม์ ในพงศาวดาร บันทึกว่าโยอาชถูกสังหารขณะบรรทมอยู่บนแท่น(2พศด.24:25)

12:21   “โยซาคาร์…เยโฮซาบาท” (Jozacar … Jehozabad ) = ทั้ง 2 มีมารดาเป็นชาวอัมโมน และโมอับ (2พศด.24:26) พวกเขาอาจเป็นทหารรับจ้างซึ่งเป็นผู้ปลงพระชนม์

“ถูกฝังไว้กับบรรพบุรุษ” (they buried him with his fathers ) –2พศด.24:25

“อามาซิยาห์” (Amaziah) = ราชโอรสขึ้นครองราชย์แทน -14:1-22

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยเห็น “บางคน” ที่เริ่มต้นชีวิตและการงานได้ดีเพราะมีคนบางคนหรือคนมากมายทุ่มเทเพื่อให้โอกาสนั้นแก่เขาบ้างหรือไม่? อย่างไร?
  2. คุณเคยเห็นคนบางคนได้ดีหรือไปได้ดีเพราะมีคนบางคนเป็นที่ปรึกษาที่ดียอดเยี่ยมให้บ้างหรือไม่? (แบ่งปัน) อย่างไร?
  3. คุณเคยทำดีหรือทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าแต่ว่าไม่ได้ทำดีนั้นให้สุด ๆ บ้างหรือไม่?  ในเรื่องอะไร? แล้วผลเป็นอย่างไร?
  4. คุณเคยทุ่มเทเพื่อให้ “บางคน” กระทำกิจบางอย่าง แต่สุดท้ายเขาไม่ทำตามความคาดหวังบ้างหรือไม่?  แล้วผลเป็นอย่างไร?
  5. หรือตรงกันข้ามกับในข้อที่แล้ว นั่นคือ เคยมีใครคาดหวังและทุ่มเทให้คุณกระทำบางสิ่งแต่สุดท้ายคุณทำให้เขาผิดหวังบ้างหรือไม่?  ทำไมและอย่างไร?
  6. คุณเคยปฏิรูปวิธีทำงานในที่ทำงานในองค์กรหรือในคริสตจักรของคุณเพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมาบ้างหรือไม่?  ในเรื่องอะไรและอย่างไร?
  7. คุณเคยเห็นคนบางคนที่เริ่มต้นมาดีและจบแบบไม่ดีหรือตายในตอนจบบ้างหรือไม่?  เป็นอย่างไร? ขอแบ่งปัน

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 11)

นางพญาครองแผ่นดิน!

พระธรรม        2พงศ์กษัตริย์ 11:1-21

อ้างอิง             1พกษ.1:32;3:3;7:15;16:32;1พกษ.14:27;2พกษ.8:18;9:23;10:25;11:19;12:1;16:32;18:40;23:3,20; 1พศด.9:25

บทนำ         ไม่ว่าหญิงหรือชาย หากมีอำนาจและใช้อำนาจนั้นเพื่อทำลายล้างผู้อื่น ในที่สุดอำนาจนั้นจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง และไม่ว่าสถานการณ์จะดูเลวร้ายสักเพียงใด ในที่สุดพระเจ้าก็จะเป็นผู้ที่ควบคุมสถานการณ์ และประทานผลลัพธ์ในบั้นปลายตามพระประสงค์ของพระองค์ในที่สุด!

บทเรียน

11:1 “เมื่อ​อาธาลิยาห์​พระราชมารดา​ของ​อาหัสยาห์ ทรง​เห็น​ว่า​พระราชโอรส​ของ​พระนาง​สิ้น​พระชนม์ พระนาง​ก็​ ทรง​ตั้ง​ต้น​ทำลาย​เชื้อ​พระวงศ์​ทั้งสิ้น”

       (Now when Athaliah the mother of Ahaziah saw that her son was dead, she arose and destroyed   all the royal family. )

11:2 “แต่​เยโฮเชบา​พระราชธิดา​ของ​กษัตริย์​เยโฮรัม พระน้องนาง​ของ​อาหัสยาห์ ได้​ลักลอบ​นำ​โยอาช​พระราชโอรส​ ของ​อาหัสยาห์ ไป​จาก​ท่ามกลาง​บรรดา​พระราชโอรส​ของ​พระราชา ซึ่ง​ต้อง​ถูก​ประหาร และ​พระนาง​ก็​เก็บ​พระราชโอรส​และ​พระ​พี่เลี้ยง​ไว้​ใน​ห้อง​นอน ดังนั้น​พวกเขา​ซ่อน​พระราชโอรส​เสีย​จาก​อาธาลิยาห์ พระราชโอรส​จึง​ม่​ถูก​ประหาร​ชีวิต”

    (But Jehosheba, the daughter of King Joram, sister of Ahaziah, took Joash the son of Ahaziah  and stole him away from among the king’s sons who were being put to death, and she put him

       and his nurse in a bedroom. Thus they hid him from Athaliah, so that he was not put to death.)

11:3 “และ​พระราชโอรส​อยู่​กับ​พระพี่​เลี้ยง​ใน​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์ และ​ซ่อน​ตัว​อยู่ 6 ปี ใน​ขณะ​ที่​อาธาลิยาห์​ทรง​ครอง​แผ่นดิน”

        (And he remained with her six years, hidden in the house of the Lord, while Athaliah reigned  over the land.)

11:4 “แต่​ใน​ปี​ที่ 7 เยโฮยาดา​ได้​ใช้​คน​ไป​ตาม​บรรดา​นายร้อย​ของ​พวก​คารี และ​ของ​พวก​ทหาร​รักษา​พระองค์​ให้​มา​หา​ท่าน​ใน​พระนิเวศ​ของ​พระยา ห์เวห์ และ​ท่าน​ได้​ทำ​พันธสัญญา​กับ​เขา​ทั้งหลาย และ​ให้​พวก​เขา​สาบาน​ใน​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์ และ​ท่าน​ได้​นำ​พระ​โอรส​ของ​พระราชา​มา​ให้​เขา​เห็น”

   (But in the seventh year Jehoiada sent and brought the captains of the Carites and of the  guards, and had them come to him in the house of the Lord. And he made a covenant with them  and put them under oath in the house of the Lord, and he showed them the king’s son. )

11:5 “และ​ท่าน​กำชับ​เขา​ทั้งหลาย​ว่า นี่​เป็น​สิ่ง​ที่​ท่าน​ทั้งหลาย​พึง​ทำ​คือ ผู้​เข้า​เวร​วัน​สะบาโต​กลุ่ม​หนึ่ง​ให้​เป็น​ผู้​เฝ้า​พระราชวัง”

        (And he commanded them, “This is the thing that you shall do: one third of you, those who  come off duty on the Sabbath and guard the king’s house )

11:6 “(อีก ​กลุ่ม​หนึ่ง​ให้​ประจำ​อยู่​ที่​ประตู​สูร และ​อีก​กลุ่ม​หนึ่ง​ให้​ประจำ​อยู่​ที่​ประตู​ข้างหลัง​ทหาร​รักษา​ พระองค์) ให้​ เฝ้า​พระราชวัง​เพื่อ​ป้อง​กัน​รักษา

                 (another third being at the gate Sur and a third at the gate behind the guards) shall guard the   palace. )

11:7 “ส่วน​ท่าน​ทั้งหลาย​อีก​สอง​พวก คือ​ผู้​ที่​ออก​เวร​วัน​สะบาโต ให้​เฝ้า​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์​รอบ​พระราชา”

       (And the two divisions of you, which come on duty in force on the Sabbath and guard the house  of the Lord on behalf of the king, )

11:8 “ท่าน​ทั้งหลาย​จง​ล้อม​พระราชา​ไว้​โดย​รอบ แต่ละ​คน​มี​อาวุธ​ใน​มือ ผู้​ที่​เข้า​ใกล้​แถว​จะ​ต้อง​ถูก​ประหาร จง​อยู่​กับ​ พระราชา​เมื่อ​พระองค์​เสด็จ​ออก​และ​เสด็จ​เข้า

      (shall surround the king, each with his weapons in his hand. And whoever approaches the ranks  is to be put to death. Be with the king when he goes out and when he comes in.”)

11:9 “บรรดา​นายร้อย​ก็​ได้​ทำ​ทุก​สิ่ง​ตาม​ที่​เยโฮยาดา​ปุโรหิต​สั่ง​ไว้ ต่าง​ก็​นำ​คน​ของ​ตน​ที่​จะ​เข้าเวร​วัน​สะบาโต พร้อม​ กับ​คน​ที่​จะ​ออก​เวร​วัน​สะบาโต​นั้น​มา​หา​เยโฮยาดา​ปุโรหิต”

      (The captains did according to all that Jehoiada the priest commanded, and they each brought  his men who were to go off duty on the Sabbath, with those who were to come on duty on the      Sabbath, and came to Jehoiada the priest. )

11:10 “และ​ปุโรหิต​ก็​มอบ​หอก​และ​โล่​ซึ่ง​เป็น​ของ​กษัตริย์​ดาวิด​นั้น ที่​อยู่​ใน​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์​แก่​บรรดา​นายร้อย”

        (And the priest gave to the captains the spears and shields that had been King David’s, which  were in the house of the Lord. )

11:11 “และ​ทหาร​รักษา​พระองค์​แต่​ละ​คน​ยืน​ประจำ​อยู่ มี​อาวุธ​ใน​มือ ตั้งแต่​ด้าน​ขวา​ของ​พระ​นิเวศ​ไป​ถึง​ด้าน​ซ้าย​ ของ​พระ​นิเวศ บริเวณ​แท่น​บูชา​และ​พระนิเวศ​ล้อม​รอบ​พระราชา”

     (And the guards stood, every man with his weapons in his hand, from the south side of the  house to the north side of the house, around the altar and the house on behalf of the king. )

11:12 “ท่าน​ก็​นำ​โอรส​ของ​พระราชา​ออกมา​และ​สวม​มงกุฎ​ให้ แล้ว​มอบ​พระโอวาท​ให้ และ​เขา​ทั้งหลาย​ตั้ง​พระ​โอรส​ให้​เป็น​กษัตริย์ และ​ได้​เจิม​พระองค์ แล้วเขา​ทั้งหลาย​ก็​ตบ​มือ​ร้อง​ว่า “ขอ​พระราชา​ทรง​พระเจริญ

    (Then he brought out the king’s son and put the crown on him and gave him the testimony.   And they proclaimed him king and anointed him, and they clapped their hands and said, “Long         live the king!”)

11:13 “มื่อ​อาธาลิยาห์​ทรง​ได้​ยิน​เสียง​ทหาร​รักษา​พระองค์​และ​เสียง​ ประชาชน ก็​เสด็จ​เข้า​ไป​หา​ประชาชน​ที่​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์”

     (When Athaliah heard the noise of the guard and of the people, she went into the house of the  Lord to the people. )

11:14 “เมื่อ​พระนาง​ทอดพระเนตร และ​ดู​สิ พระราชา​ทรง​ยืน​อยู่​ข้าง​เสา ตาม​ธรรมเนียม มี​บรรดา​เจ้า​นาย​และ​พลแตร​อยู่​ข้าง​พระราชา ประชาชน​ทั้งสิ้น​ใน​แผ่นดิน​ก็​เปรมปรีดิ์​และ​เป่า​แตร พระนาง​อาธาลิยาห์​ก็​ฉีก​ฉลอง​พระองค์​แล้ว​ทรง​ร้อง​ว่า “กบฏ กบฏ”

    (And when she looked, there was the king standing by the pillar, according to the custom, and  the captains and the trumpeters beside the king, and all the people of the land rejoicing and         blowing trumpets. And Athaliah tore her clothes and cried, “Treason! Treason!” )

11:15 “แล้ว​เยโฮยาดา​ปุโรหิต​ก็​สั่ง​พวก​นาย​ร้อย​ที่​ได้​รับ​การ​ตั้ง​ให้​ ควบคุม​กองทัพ​ว่า “จง​คุม​นาง​ออก​มา​ระหว่าง​แถว​ทหาร ใคร​ติดตาม​นาง​ไป​ก็​จง​ประหาร​เสีย​ด้วย​ดาบ” เพราะ​ปุโรหิต​กล่าว​ว่า “อย่า​ให้​นาง​ถูก​ประหาร​ใน​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์

    (Then Jehoiada the priest commanded the captains who were set over the army, “Bring her out  between the ranks, and put to death with the sword anyone who follows her.” For the priest         said, “Let her not be put to death in the house of the Lord.” )

11:16 “เขา​ทั้งหลาย​จึง​จับ​พระนาง และ​พระนาง​ก็​เสด็จ​ไป​ตาม​ทาง​ที่​ม้า​เข้า​พระราชวัง และ​ถูก​ประหาร​เสีย​ที่นั่น”

   (So they laid hands on her; and she went through the horses’ entrance to the king’s house, and  there she was put to death.)

11:17 “เยโฮยาดา ​ได้​ทำ​พันธสัญญา​ระหว่าง​พระยาห์เวห์​กับ​พระราชา​และ​ประชาชน ว่า​พวกเขา​จะ​เป็น​ประชากร​ของ​พระยาห์เวห์ และ​ท่าน​ยัง​ทำ​พันธสัญญา​ระหว่าง​พระราชา​กับ​ประชาชน​ด้วย

   (And Jehoiada made a covenant between the Lord and the king and people, that they should  be the Lord’s people, and also between the king and the people. )

11:18 “แล้ว​ประชาชน​หมด​ทั้ง​แผ่นดิน​ก็​เข้า​ไป​ใน​นิเวศ​ของ​พระบาอัล และ​พัง​นิเวศ​เสีย พวกเขา​ทำลาย​แท่น​บูชา​และ​รูปเคารพ​ของ​พระบาอัล​แตก​ยับ​เยิน และ​ได้​ประหาร​มัทตาน​ปุโรหิต​ของ​พระบาอัล​เสีย​ที่​หน้า​แท่น​บูชา และ​ เยโฮยาดา​วาง​ยาม​ไว้​ดู​แล​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์”

  (Then all the people of the land went to the house of Baal and tore it down; his altars and his  images they broke in pieces, and they killed Mattan the priest of Baal before the altars. And the      priest posted watchmen over the house of the Lord. )

11:19 “และ ​ท่าน​ได้​พา​พวก​นาย​ร้อย พวก​คารี พวก​ทหาร​รักษา​พระองค์ และ​ประชาชน​ทั้งสิ้น​แห่ง​แผ่นดิน แล้ว​เขา​ทั้งหลาย​ได้​เชิญ​พระราชา​เสด็จ​ลง​มา​จาก​พระนิเวศ​ของ​ พระยาห์เวห์ ไป​ตาม​ทาง​ประตู​ทหาร​รักษา​พระองค์​ จน​ถึง​พระราชวัง และ​พระองค์​ก็​ประทับ​บน​บัลลังก์​ของ​พระราชา”

  (And he took the captains, the Carites, the guards, and all the people of the land, and they  brought the king down from the house of the Lord, marching through the gate of the guards to  the king’s house. And he took his seat on the throne of the kings.)

11:20 “ประชาชน​ทั้ง​สิ้น​แห่ง​แผ่นดิน​ก็​เปรมปรีดิ์​และ​บ้าน​เมือง​ก็​สงบ หลังจาก​ประหาร​อาธาลิยาห์​ด้วย​ดาบ​แล้ว​ที่​พระราชวัง”

    (So all the people of the land rejoiced, and the city was quiet after Athaliah had been put to  death with the sword at the king’s house.)

11:21 “เมื่อ​โยอาช​ทรง​เป็น​กษัตริย์​นั้น มี​พระชนมายุ 7 พรรษา”

        (Jehoash was seven years old when he began to reign.)

 ข้อมูลมีประโยชน์

11:1     “อาธาลิยาห์”( Athaliah ) –8:18

อาธาลิยาห์ เป็นธิดาองค์หนึ่งของกษัตริย์อาหับ อภิเษกกับเยโฮรัม(หรือโยรัม) แห่งยูดาห์ พระนางมีอิทธิพลเหนือเยโฮรัมเหมือนที่เยเซเบลมีอิทธิพลเหนืออาหับ (1พกษ.16:31;18:4;19:1-2;2พศด.21:6)

“ตั้งต้นทำลายเชื้อพระวงศ์ทั้งสิ้น” (arose and destroyed all the royal family.) = สังหารเชื้อพระวงศ์ทั้งหมด เพื่อพระนางจะได้ขึ้นครองบัลลังก์

-จริง ๆ แล้วเชื้อพระวงศ์ของยูดาห์เหลือไม่มากแล้ว เยโฮรัมเคยประหารพี่น้องในตอนที่สืบทอดบัลลังก์ต่อจากเยโฮชาฟัท (2พศด.21:4)  และเยฮูก็ได้ประหารเชื้อพระวงศ์ยูดาห์อีก 42  คน ซึ่งอาจรวมถึงหลานชายจากบรรดาพี่น้องของเยโฮรัม (10:12-14;2พศด.22:8-9) และพี่น้องของอาหัสยาห์ก็ถูกสังหารโดยชาวอาหรับที่มาปล้นสะดม (2พศด.11:1) เป็นไปได้ว่า อาธิลายาห์ มุ่งเน้นที่จะสังหารบุตรของอาหัสยาห์คือหลานของตนเอง

-อาหัสยาห์เสียชีวิตด้วยวัยเพียง 22 ปี (8:26) แต่พระเจ้าทรงมีแผนการช่วยกู้ผ่านพระเมสิยาห์ตาม       พระสัญญาต่อดาวิด (2ซมอ.11:11,16;1พกษ.8:25)

11:2     “เยโฮเชบา” (Jehosheba) = ธิดาของกษัตริย์เยโฮรัมน้องสาวของอาหัสยาห์ และเป็นไปได้ว่า พระนางจะเป็นธิดาของเยโฮรัมที่เกิดจากภรรยาคนอื่นที่ไม่ใช่อาธาลิยาห์ จึงเป็นน้องสาวต่างมารดาของอาหัสยาห์

-เยโฮเชบาแต่งงานกับเยโฮยาดา (2พศด.22:11)

“โยอาช” (Joash) = เด็กอายุไม่ถึง 1 ขวบ และยังไม่ได้หย่านม (ข.3,21) –2พกษ.12:1

“จึงไม่ถูกประหารชีวิต” (so that he was not put to death) –วนฉ.9:5

11:4     “ในปีที่ 7” ( in the seventh year ) = ปีที่เจ็ดในรัชกาลของอาธาลิยาห์

          “นายร้อยของพวกคารีและของพวกทหารรักษาพระองค์” ( the captains of the Carites and of the guards) –ใน 2พศด.23:1, ระบุชื่อผู้บัญชาการกองร้อย 5 คน

“พวกคารี”( Carites) = ทหารรับจ้างจากคาเรียในเอเชียน้อยซึ่งทำหน้าที่เป็นองครักษ์ –2พกษ.11:19

“ในพระนิเวศน์ของพระยาห์เวห์” ( in the house of the Lord) –ใน 2พศด.23:2 –ระบุว่า เผ่าเลวีและผู้นำครอบครัวต่าง ๆ ในยูดาห์ ก็ร่วมแผนการนี้ด้วย

11:5     “เข้าเวรวันสะบาโต” (come off duty on the Sabbath) –1พศด.9:25

“ผู้เฝ้าพระราชวัง” (guard the king’s house ) –1พกษ.14:27

11:10   “มอบหอกและโล่ซึ่งเป็นของกษัตริย์ดาวิด” (spears and shields that had been King David’s)         –ดาวิดได้ยึดโล่ทองคำมาหลังจากทำสงครามกับฮาดัดเอเซอร์ และนำมาถวายพระเจ้า (2ซมอ.8:7-11)

-ในครั้งที่กษัตริย์ชิชักแห่งอียิปต์มาปล้นสะดมพระวิหารและพระราชวังในสมัยของเรโหโบอัม ดูเหมือนว่าโล่เหล่านี้ถูกซ่อนไว้จึงไม่ถูกปล้นไป (1พกษ.14:26)

11:12   “พระโอวาท” (the testimony) = หนังสือพันธสัญญาที่อาจหมายถึง

  1. พระบัญญัติ 10 ประการ
  2. พันธสัญญาซีนายทั้งหมด
  3. หนังสือที่ระบุหน้าที่ของกษัตริย์ตามพระบัญญัติ (ฉธบ.11:14-20;1ซมอ.10:25;อพย.25:16; 2พกษ.23:3)

“เจิมพระองค์” (anointed him) –1ซมอ.2:10;9:16;1พกษ.1:39

“ตบมือ” (clapped their hands) –สดด.47:1;98:8;อสย.55:12

“ขอพระราชาทรงพระเจริญ” (“Long live the king!”) –สดด.62:4;1ซมอ.10:24;  11:14

“ข้างเสา” (the pillar) = น่าจะเป็นเสาทองสัมฤทธิ์ 1ใน 2 ต้นที่มุขหน้าวิหารที่มีชื่อว่า ยาคีนและโบอาส (23:3;1พกษ.7:15-22;2พศด.23:13)

“ประชาชนทั้งสิ้น” (all the people)= เป็นไปได้ว่า เยโฮยาดาเลือกก่อกบฎในวันสะบาโตระหว่างเทศกาลสำคัญทางศาสนาซึ่งมีประชาชนที่ภักดีต่อพระเจ้าเดินทางมาที่เยรูซาเล็มเป็นจำนวนมาก

“เปาแตร” (trumpeters) –1พกษ.1:39

“ฉีกฉลองพระองค์” (tore her clothes) –ปฐก.37:29

“กบฏ กบฏ” (“Treason! Treason!”) –2พกษ.9:23

11:15   “อย่าให้นางถูกประหารในพระนิเวศของพระยาห์เวห์” (“Let her not be put to death in the house of the Lord.”)  = เพื่อไม่ให้พระวิหารเป็นมลทิน (อพย.21:14) –1พกษ.2:30

11:16   “ทางที่ม้าเข้าพระราชวัง” (went through the horses’ entrance to the king’s house) –นหม.3:28;  ยรม.31:40

“ถูกประหารเสียที่นั่น”  ( put to death) –ปฐก.4:14

11:17   “ทำพันธสัญญาระหว่างพระยาห์เวห์ กับพระราชาและประชาชน” ( made a covenant between the Lord and the king and people) = การฟื้นฟูพันธสัญญาซีนายซึ่งทำให้อิสราเอลเป็นชนชาติของ

พระเจ้า (อพย.19:5-6;ฉธบ.4:20)  ปท.อพย.24:8;2พศด.15:12;23:3;29:10;34:31;อสร.10:3

= เป็นเวลาหลายปีที่ทั้งราชวงศ์และประชาชนยูดาห์ละทิ้งพระเจ้า ทำให้ต้องรื้อฟื้นพันธสัญญาที่จะจงรักภักดีต่อพระเจ้าขึ้นอีกครั้ง (1ซมอ.11:14-15;12:14-15;24-25)

-และทั้งกษัตริย์และประชาชนได้รับการเตือนให้ตระหนักถึงความรับผิดชอบและหน้าที่ของกษัตริย์และประชาชนตามพันธสัญญาของพระเจ้า (1ซมอ.10:25;2ซมอ.5:3)

11:18   “พังนิเวศ” (tore it down) = รื้อทำลายวิหาร –1พกษ.16:31

“ทำลายแท่นบูชา” (his images they broke in pieces) = ทุบทำลาย –ฉธบ.12:3

          “รูปเคารพ” (house of Baal) = เทวรูปหรือเสาหิน (1พกษ.14:23) ปท. 1พกษ.14:15

         “ประหารมัทตานปุโรหิตของพระบาอัล” (they killed Mattan the priest of Baal) –1พกษ.18:40; 2พกษ.10:25;

คำถามนำอภิปราย

  1.  คุณเคยเห็นผู้ใดพยายามจะสร้างความมั่นคงให้แก่ตัวเอง โดยการทำลายล้างคนที่คิดว่าจะเป็นอุปสรรคขวางกั้นของตัวเขาหรือเธอบ้างหรือไม่?   ผลเป็นอย่างไร?
  2. คุณเคยมีส่วนช่วย “บุคคล” ใดที่ช่วยตัวเองไม่ได้ให้รอดจากการปองร้ายบ้างหรือไม่? อย่างไร? และนานแค่ไหน?
  3. คุณเคยต้องหลบซ่อน หรือปิดบังบางสิ่งหรือบางเรื่องไว้เป็นเวลานานมากกว่าจะถึงเวลาที่พร้อมเปิดเผยบ้างหรือไม่? อย่างไร? (แบ่งปัน)
  4. คุณเคยลอบวางแผนเพื่อกอบกู้บางสิ่งบางอย่างที่เสี่ยงเป็นอย่างยิ่งบ้างหรือไม่? และผลเป็นอย่างไร (แบ่งปัน)
  5. คุณเคยถูกกล่าวหาว่าเป็น “กบฏ” หรือ “ผู้ต่อต้าน” (สร้างปัญหา) บ้างหรือไม่?   เรื่องอะไร (แบ่งปัน)?
  6. คุณเคยเผชิญ “สตรีที่โหดร้าย” อย่าง “อาธาลิยาห์” หรือ “เยเซเบล” บ้างหรือไม่ในชีวิตของคุณ แล้วคุณรับมืออย่างไร?
  7. คุณเคยทำหรือรื้อฟื้นพันธสัญญากับพระเจ้าในชีวิตของคุณหรือกับคริสตจักรของคุณบ้างหรือไม่?  อย่างไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2 พงศ์กษัตริย์ บทเรียนที่ 10

การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

 พระธรรม        2พงษ์กษัตริย์ 10:1-36

อ้างอิง           1พกษ.2:19;12:30;15:31;16:32;13:32;18:19;19:17;2พกษ.21:1,21,29;8:24-29;9:7-10;10:5, 11-14;11:18;13:25;2พศด.2:25;22:8

บทนำ           ความ ชั่วร้ายของผู้มีอำนาจปกครองและเกมแย่งชิงอำนาจได้ทำร้ายและเข่นฆ่าผู้ บริสุทธิ์มากมายมาตลอดประวัติศาสตร์  และประวัติศาสตร์ก็ยังคงซ้ำรอยอยู่เสมอ เพราะเเมื่อกำจัดทรราชย์หนึ่งลงไปก็มักปรากฎทรราชย์ใหม่ที่เลวร้ายมากกว่า เดิมปรากฎให้เห็นอยู่เสมอมา

บทเรียน

10:1 “อาหับ​มี​โอรส 70 องค์​ใน​กรุง​สะมาเรีย เยฮู​จึง​ทรง​พระอักษร​ส่ง​ไป​สะมาเรีย ถึง​บรรดา​ผู้​ปกครอง​เมือง​ยิสเรเอลพวก​ผู้‌้ใหญ่ และ​บรรดา​พี่เลี้ยง​ของ​โอรส​ของ​อาหับ​ว่า”

        (Now Ahab had seventy sons in Samaria. So Jehu wrote letters and sent them to Samaria, to the  rulers of the city, to the elders, and to the guardians of the sons of Ahab, saying, )

10:2 “ใน​เมื่อ​บรรดา​โอรส​ของ​นาย​ของ​พวกท่าน​อยู่​กับ​ท่าน และ​ท่าน​มี​รถรบ​กับ​ม้า และ​เมือง​ที่​มี​ป้อม และ​อาวุธ พอ​จดหมาย​นี้​มา​ถึง​ท่าน”

         (“Now then, as soon as this letter comes to you, seeing your master’s sons are with you, and there are   with you chariots and horses, fortified cities also, and weapons, )

10:3 “จง​คัด​เลือก​โอรส​นาย​ของ​ท่าน​องค์​ที่ดี​ที่สุด และ​เหมาะ​สม​ที่สุด แล้ว​ตั้ง​องค์​นั้น​ไว้​บน​บัลลังก์​ของ​พระราชบิดาและ​จง​สู้รบ​เพื่อ​ราชวงศ์​นาย​ของ​ท่าน

       (select the best and fittest of your master’s sons and set him on his father’s throne and fight for your  master’s house.” )

10:4 “แต่​พวกเขา​กลัว​มาก และ​พูด​ว่า “ดูสิ พระราชา​สอง​พระองค์​ยัง​ทรง​ต้านทาน​เยฮู​ไม่ได้ แล้ว​เรา​จะ​ต้านทาน​ได้​อย่างไร?”

        (But they were exceedingly afraid and said, “Behold, the two kings could not stand before him.    How then can we stand?” )

10:5 “ดังนั้น ​ผู้​ดูแล​พระราชวัง ผู้​ดูแล​เมือง พวก​ผู้ใหญ่​และ​พวก​พี่เลี้ยง ส่ง​สาร​ไป​ถึง​เยฮู​ว่า “พวก​ข้า​พระบาท​เป็น​ผู้​รับใช้​ของ​ฝ่า​พระบาท และ​จะ​ทำ​ทุก​อย่าง​ที่​ฝ่า​พระบาท​ตรัสสั่ง พวกข้า​พระบาท​จะ​ไม่​ตั้ง​ผู้ใด​เป็น​กษัตริย์ ขอ​ทรง​ทำ​ตาม​ที่​ทรง​       เห็น​ว่า​ดี​เถิด

  (So he who was over the palace, and he who was over the city, together with the elders and the  guardians, sent to Jehu, saying, “We are your servants, and we will do all that you tell us. We will not   make anyone king. Do whatever is good in your eyes.” )

10:6 “แล้ว​พระองค์​ทรง​พระอักษร​เป็น​ฉบับ​ที่​สอง​ถึง​พวกเขา​ว่า “พรุ่งนี้​เวลา​นี้ ถ้า​ท่าน​ทั้งหลาย​อยู่​ฝ่าย​เรา และ​พร้อม​จะ​เชื่อฟัง​เรา จง​นำ​ศีรษะ​ของ​บรรดา​โอรส​นาย​ของ​ท่าน​มา​หา​เรา​ที่​ยิสเรเอล” บรรดา​โอรส 70 องค์​ของ​พระ​ราชา​อยู่​กับ​คน‌       ใหญ่​คนโต​ใน​เมือง ผู้​ได้​ชุบเลี้ยง​พวกเขา​มา”

    (Then he wrote to them a second letter, saying, “If you are on my side, and if you are ready to obey me,  take the heads of your master’s sons and come to me at Jezreel tomorrow at this time.” Now the king’s   sons, seventy persons, were with the great men of the city, who were bringing them up. )

10:7 “ต่อ​มา​เมื่อ​จดหมาย​มา​ถึง​พวก​เขา เขา​ก็​จับ​โอรส​ของ​พระราชา​ทั้ง 70 องค์​ประหาร​เสีย แล้ว​เอา​ศีรษะ​ใส่​ตะกร้า​ส่ง​ไป​ให้​พระองค์​ที่​ยิสเรเอล”

   (And as soon as the letter came to them, they took the king’s sons and slaughtered them, seventy  persons, and put their heads in baskets and sent them to him at Jezreel. )

10:8 “เมื่อ​ผู้​สื่อสาร​มา​ทูล​พระองค์​ว่า “พวกเขา​นำ​ศีรษะ​โอรส​ของ​กษัตริย์​มา​แล้ว พ่ะย่ะค่ะ” พระองค์​ตรัส​ว่า “จง​กอง​ไว้​เป็น​ สอง​กอง​ตรง​ทางเข้า​ประตู​เมือง​จน​ถึง​รุ่งเช้า

     (When the messenger came and told him, “They have brought the heads of the king’s sons,” he said,  “Lay them in two heaps at the entrance of the gate until the morning.” )

10:9 “พอ​รุ่งเช้า​พระองค์​เสด็จ​ออก​ไป ทรง​ยืน และ​ตรัส​กับ​ประชาชน​ทั้งปวง​ว่า “ท่าน​ทั้งหลาย​เป็น​ผู้​ไร้​ความ​ผิด ส่วน​เรา​ได้​ กบฏ​ต่อ​นาย​ของ​เรา​และ​ประหาร​พระองค์​เสีย แต่​ใคร​เล่า​ที่​ฆ่า​คน​เหล่านี้?”

   (Then in the morning, when he went out, he stood and said to all the people,“You are innocent. It was I  who conspired against my master and killed him, but who struck down all these? )

10:10 “จง​ทราบ​เถิด​ว่า พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์ ซึ่ง​พระยาห์เวห์​ตรัส​เกี่ยวกับ​ราชวงศ์​ของ​อาหับ​จะ​ไม่​ตก​ดิน​แต่​อย่างใด​ เลย เพราะ​พระยาห์เวห์​ทรง​ทำ​ตาม​ที่​ตรัส​ทาง​เอลียาห์​ผู้​รับใช้​ของ​ พระองค์

    (Know then that there shall fall to the earth nothing of the word of the Lord, which the Lord spoke  concerning the house of Ahab, for the Lord has done what he said by his servant Elijah.”)

10:11 “เยฮู​ทรง​ประหาร​ทุก​คน​ที่​เหลือ​อยู่​ใน​ราชวงศ์​ของ​อาหับ​ใน​เมือง​ยิสเรเอล อีก​ทั้ง​คนใหญ่​คนโต​ทุก​คน​ของ​พระองค์  สหาย​สนิท​ของ​พระองค์ และ​ปุโรหิต​ของ​พระองค์ จน​ไม่​เหลือ​รอด​ชีวิต​สัก​คน​เดียว​เลย”

     (So Jehu struck down all who remained of the house of Ahab in Jezreel, all his great men and his    close friends and his priests, until he left him none remaining.)

10:12 “แล้ว​เยฮู​ทรง​ลุกขึ้น​เสด็จ​ออก​ไป​ยัง​สะมาเรีย ใน​ระหว่าง​ทาง พระองค์​ประทับ​ที่​เบธเอเขด​หมู่บ้าน​ของ​ผู้​เลี้ยงแกะ”

     (Then he set out and went to Samaria. On the way, when he was at Beth-eked of the Shepherds,)

10:13 “เยฮู​ทรง​พบ​พระญาติ​ของ​อาหัสยาห์​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์ และ​พระองค์​ตรัส​ถาม​ว่า “พวกท่าน​เป็น​ใคร?” พวกเขา​ทูล​ ตอบ​ว่า “พวกเรา​เป็น​ญาติ​ของ​อาหัสยาห์ และ​ลง​มา​เยี่ยม​บรรดา​โอรส​ของ​กษัตริย์​และ​ของ​พระราชชนนี

      (Jehu met the relatives of Ahaziah king of Judah, and he said, “Who are you?” And they answered,  “We are the relatives of Ahaziah, and we came down to visit the royal princes and the sons of the  queen mother.” )

10:14 “พระองค์ ​รับสั่ง​ว่า “จับ​พวกเขา​ทั้ง​เป็น” เขา​ทั้งหลาย​ก็​จับ​คน​เหล่านั้น​ทั้ง​เป็น และ​ประหาร​ทั้ง 42 คน​ที่​บ่อเบธเอเขด  ไม่​เหลือ​ไว้​สัก​คน​เดียว”

   (He said, “Take them alive.” And they took them alive and slaughtered them at the pit of Beth- eked, forty-two persons, and he spared none of them.)

10:15 “และ​เมื่อ​พระองค์​เสด็จ​จาก​ที่นั่น ก็​ทรง​พบ​เยโฮนาดับ​บุตร​เรคาบ​มา​หา​พระองค์ พระองค์​ทรง​ต้อนรับ​เขา และ​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “จิตใจ​ของ​ท่าน​ซื่อตรง​ต่อ​จิตใจ​ของ​เรา อย่าง​ที่​จิตใจ​ของ​เรา​ซื่อตรง​ต่อ​จิตใจ​ของ​ท่าน​หรือ?” เยโฮนาดับ​ทูล​ว่า   “ซื่อตรง พ่ะ​ย่ะ​ค่ะ” เยฮู​ตรัส​ว่า “ถ้า​ซื่อตรง​ก็​ยื่น​มือ​มา​ให้​เรา” เขา​จึง​ยื่น​มือ​ของ​เขา และ​เยฮู​ก็​ทรง​ดึง​เขา​ขึ้น​มา​บน​รถรบ”

    (And when he departed from there, he met Jehonadab the son of Rechab coming to meet him. And he  greeted him and said to him, “Is your heart true to my heart as mine is to yours?” And Jehonadab  answered, “It is.” Jehu said, “If it is, give me your hand.” So he gave him his hand. And Jehu took him   up with him into the chariot. )

10:16 “พระองค์​ตรัส​ว่า “มา​กับ​เรา​เถิด และ​ดู​ความ​กระตือ​รือร้น​ของ​เรา​เพื่อ​พระยาห์เวห์” พระองค์​จึง​ให้​เขา​นั่ง​รถรบ  ของ​พระองค์​ไป”

           (And he said, “Come with me, and see my zeal for the Lord.” So he had him ride in his chariot.)

10:17 “เมื่อ​มา​ถึง​สะมาเรีย พระองค์​ทรง​ประหาร​ทุก​คน​ใน​ราชวงศ์​ของ​อาหับ​ที่​เหลือ​อยู่​ใน​ สะมาเรีย​จน​หมด ตาม​พระวจนะ​ ของ​พระยาห์เวห์​ซึ่ง​ตรัส​กับ​เอลียาห์”

   (And when he came to Samaria, he struck down all who remained to Ahab in Samaria, till he had wiped  them out, according to the word of the Lord that he spoke to Elijah.)

10:18 “แล้ว​เยฮู​ทรง​เรียก​ประชุม​ประชาชน​ทั้ง​หมด และ​ตรัส​กับ​เขา​ทั้งหลาย​ว่า “อาหับ​ปรนนิบัติ​พระบาอัล​นิดหน่อยแต่​เยฮู​ จะ​ปรนนิบัติ​พระองค์​มาก​กว่า”

(Then Jehu assembled all the people and said to them, “Ahab served Baal a little, but Jehu will serve him much. )

10:19 “ฉะนั้น ​จง​เรียก​ผู้​เผย​พระวจนะ​ของ​พระบาอัล​มา​ให้​หมด ทั้ง​ผู้​นมัสการ​และ​ปุโรหิต​ทั้งหมด​ของ​พระ​บาอัล อย่า​ให้​ใคร​ ขาด​ไป​เลย เพราะ​เรา​จะ​มี​การ​ถวาย​สัตวบูชา​ครั้ง​ใหญ่​แก่​พระบาอัล ใคร​ขาด​ก็​จะ​ไม่​ให้​มี​ชีวิต​อยู่” แต่​เยฮู​ทรง​ทำ​เป็น​         อุบาย​เพื่อ​จะ​ทำลาย​ผู้​นมัสการ​พระบาอัล”

  (Now therefore call to me all the prophets of Baal, all his worshipers and all his priests. Let none be   missing, for I have a great sacrifice to offer to Baal. Whoever is missing shall not live.” But Jehu did it  with cunning in order to destroy the worshipers of Baal. )

10:20 “และ​เยฮู​ตรัส​ว่า “จง​จัด​ประชุม​เพื่อ​นมัสการ​พระบาอัล” เขา​ก็​ป่าว​ร้องเรียก​ประชุม​ดัง​กล่าว”

        (And Jehu ordered, “Sanctify a solemn assembly for Baal.” So they proclaimed it. )

10:21 “และ​เยฮู​ทรง​ส่ง​ข่าว​ไป​ทั่ว​อิสราเอล ผู้​นมัสการ​พระบาอัล​ก็​มา​ทั้งหมด จึง​ไม่มี​เหลือ​สัก​คน​หนึ่ง​ที่​ไม่ได้​มา และ​เขา​ทั้งหลาย​ก็​เข้า​ไป​ใน​นิเวศ​ของ​พระบาอัล แล้ว​นิเวศ​ของ​พระบาอัล​ก็​เต็ม​แน่น​ขนัด​จาก​ข้าง​หนึ่ง​ถึง​อีก​ข้าง​หนึ่ง”

        (And Jehu sent throughout all Israel, and all the worshipers of Baal came, so that there was not a man left who did not come. And they entered the house of Baal, and the house of Baal was filled from one  end to the other. )

10:22 “เยฮู​ตรัสสั่ง​ผู้​ดูแล​ตู้​เสื้อ​ว่า “จง​เอา​เสื้อ​สำหรับ​ผู้​นมัสการ​พระบาอัล​ออก​มา” เขา​ก็​เอา​เสื้อ​ออก​มา​ให้​เขา​ทั้งหลาย”

   (He said to him who was in charge of the wardrobe, “Bring out the vestments for all the worshipers of   Baal.” So he brought out the vestments for them. )

10:23 “แล้ว​เยฮู​เสด็จ​เข้า​ไป​ใน​นิเวศ​ของ​พระบาอัล พร้อม​กับ​เยโฮนาดับ​บุตร​เรคาบ พระองค์​ตรัส​กับ​ผู้​นมัสการ​พระบาอัล​ว่า  “จง​ค้น​ดู ดู​ให้​ดี​ว่า​ไม่มี​ผู้​รับใช้​ของ​พระยาห์เวห์​อยู่​กับ​พวก​ท่าน ให้​มี​แต่​ผู้​นมัสการ​พระบาอัล​เท่านั้น

 (Then Jehu went into the house of Baal with Jehonadab the son of Rechab, and he said to the  worshipers of Baal, “Search, and see that there is no servant of the Lord here among you, but             only the worshipers of Baal.” )

10:24 “แล้ว​เขา​ทั้งหลาย​เข้า​ไป​ถวาย​เครื่อง​สัตวบูชา​และ​เครื่อง​บูชา​เผา​ทั้ง​ ตัว เยฮู​ทรง​วาง​คน 80 คน​ไว้​ภายนอก และ​ตรัส​ว่า “คน​ไหน​ปล่อย​ให้​คน​หนึ่ง​คน​ใด​ซึ่ง​เรา​มอบ​ไว้​ใน​มือ​พวกเจ้า​หนี​ รอด​ไป​ได้ เขา​ต้อง​เสีย​ชีวิต​ของ​เขา​แทน

    (Then they went in to offer sacrifices and burnt offerings. Now Jehu had stationed eighty men outside  and said,“The man who allows any of those whom I give into your hands to escape shall forfeit his life.)

10:25 “ต่อมา​เมื่อ​เสร็จ​การ​ถวาย​เครื่อง​บูชา​เผา​ทั้ง​ตัว เยฮู​รับสั่ง​แก่​ทหาร​รักษา​พระองค์​และ​พวก​นายทหาร​ว่า “จง​เข้า​ไป​ฆ่า​พวก​เขา​เสีย อย่า​ให้​รอด​สัก​คน​เดียว” เมื่อ​ฆ่า​เขา​ทั้งหลาย​ด้วย​คม​ดาบ​แล้ว ทหาร​รักษา​พระองค์​และ​พวก​นายทหาร​ก็​โยน​ศพ​ออก​ไป​ข้างนอก แล้ว​ก็​เข้า​ไป​ที่​แท่นบูชา​ใน​นิเวศ​พระบาอัล”

      (So as soon as he had made an end of offering the burnt offering, Jehu said to the guard and to the   officers, “Go in and strike them down; let not a man escape.” So when they put them to the sword, the  guard and the officers cast them out and went into the inner room of the house of Baal, )

10:26 “และ​นำ​เอา​เสา​ศักดิ์สิทธิ์​แห่ง​นิเวศ​ของ​พระบาอัล​ออก​มา​เผา​เสีย”

             (and they brought out the pillar that was in the house of Baal and burned it.)

10:27 “อีก​ทั้ง​ทลาย​เสา​ศักดิ์สิทธิ์​ของ​พระบาอัล และ​ทลาย​นิเวศ​ของ​พระบาอัล แล้ว​ทำ​ให้​เป็น​ส้วม​จน​ทุก​วันนี้”

        (And they demolished the pillar of Baal, and demolished the house of Baal, and made it a latrine to   this day.)

10:28 “ดังนั้น​เยฮู​ทรง​กวาด​ล้าง​พระบาอัล​ออก​จาก​อิสราเอล”

        (Thus Jehu wiped out Baal from Israel.)

10:29 “แต่​เยฮู​ไม่ได้​ทรง​หัน​จาก​บาป​ของ​เยโรโบอัม​บุตร​เนบัท ผู้​ได้​นำ​อิสราเอล​ให้​ทำ​บาป​ด้วย คือ​ลูก​วัว​ทองคำ​ซึ่ง​อยู่​   ใน​เมือง​เบธเอล​และ​ใน​เมือง​ดาน”

    (But Jehu did not turn aside from the sins of Jeroboam the son of Nebat, which he made Israel to  sin—that is, the golden calves that were in Bethel and in Dan. )

10:30 “พระยาห์เวห์​ตรัส​กับ​เยฮู​ว่า “เพราะ​เจ้า​ได้​ทำ​ดี​โดย​ทำ​สิ่ง​ที่​ชอบ​ใน​สายตา​ของ​เรา และ​ได้​ทำ​ต่อ​ราชวงศ์​อาหับ​ตาม​ทุก​อย่าง​ที่​อยู่​ใน​ใจ​ของ​เรา เชื้อสาย​ของ​เจ้า​สี่​ชั่ว​อายุ​คน​จะ​ได้​นั่ง​บน​บัลลังก์​ของ​ อิสราเอล

 (And the Lord said to Jehu, “Because you have done well in carrying out what is right in my eyes, and  have done to the house of Ahab according to all that was in my heart, your sons of the fourth    generation shall sit on the throne of Israel.” )

10:31 “แต่เยฮู​ไม่​ทรง​ระมัดระวัง​ที่​จะ​ดำเนิน​ตาม​ธรรมบัญญัติ​ของ​พระยา ห์เวห์​พระเจ้า​แห่ง​อิสราเอล​ด้วย​สุด​พระทัย​ของ​พระองค์ พระองค์​ไม่ได้​ทรง​หัน​จาก​บาป​ของ​เยโรโบอัม ผู้​นำ​อิสราเอล​ให้​ทำ​บาป​ด้วย”

    (But Jehu was not careful to walk in the law of the Lord, the God of Israel, with all his heart. He did not   turn from the sins of Jeroboam, which he made Israel to sin.)

10:32 “ใน​สมัย​นั้น พระยาห์เวห์​ทรง​เริ่ม​ตัด​ดิน​แดน​ของ​อิสราเอล​ออก ส่วน​ฮาซาเอล​ก็​รบ​ชนะ​ทั่ว​ดินแดน​อิสราเอล”

    (In those days the Lord began to cut off parts of Israel. Hazael defeated them throughout the territory  of Israel: )

10:33 “ตั้งแต่​แม่น้ำ​จอร์แดน​ฟาก​ตะวันออก ทั่ว​แผ่นดิน​กิเลอาด คนกาด คน​รูเบน และ​คน​มนัสเสห์ ตั้งแต่​อาโรเออร์ ซึ่ง​อยู่​ข้าง​ที่​ลุ่ม​แม่น้ำ​อารโนน คือ​กิเลอาด​และ​บาชาน”

        (from the Jordan eastward, all the land of Gilead, the Gadites, and the Reubenites, and the  Manassites, from Aroer, which is by the Valley of the Arnon, that is, Gilead and Bashan. )

10:34 “ส่วน​พระราชกิจ​อื่นๆ ของ​เยฮู และ​ทุก​สิ่ง​ที่​ทรง​กระทำ และ​พระราช​อำนาจ​ทั้งสิ้น​ของ​พระองค์ ได้​บันทึก​ไว้​ใน​หนังสือ​พงศาวดาร​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​ไม่​ใช่​ หรือ?”

       (Now the rest of the acts of Jehu and all that he did, and all his might, are they not written in  the Book of the Chronicles of the Kings of Israel?)

10:35 “เยฮู​จึง​ทรง​ล่วงหลับ​ไป​อยู่​กับ​บรรพบุรุษ และ​เขา​ก็​ฝัง​พระองค์​ไว้​ใน​กรุง​สะมาเรีย และ​เยโฮอาหาส​พระราชโอรส​ของ​พระองค์​ได้​ขึ้น​ครองราชย์​แทน”

       (So Jehu slept with his fathers, and they buried him in Samaria. And Jehoahaz his son reigned in his place.)

10:36 “เวลา​ที่​เยฮู​ทรง​ครอง​อิสราเอล​ใน​สะมาเรีย​นั้น​คือ 28 ปี”

      (The time that Jehu reigned over Israel in Samaria was twenty-eight years.)

 ข้อมูลมีประโยชน์

10:1     “โอรส 70 องค์” (seventy sons in Samaria) = รวมทั้งบุตรชายและหลานชายของอาหับ

“สะมาเรีย” (Samaria) –เยฮูต้องเผชิญกับปัญหาใหญ่ในการยึดป้อมปราการของสะมาเรียที่โจมตีได้ยาก (1พกษ.16:24) และต้องทำลายราชวงศ์ของอาหับให้หมดสิ้น

“บรรดาผู้ปกครองเมือง” (to the rulers of the city) = เจ้าหน้าที่กษัตริย์แต่งตั้งขึ้น (1พกษ.4:1-6)

“พวกผู้ใหญ่” (to the elders) = ผู้อาวุโส ผู้นำท้องถิ่น ตามตำแหน่งในเผ่าและในครอบครัว (อพย.3:16; 2ซมอ.3:17)

“บรรดาพี่เลี้ยงของโอรส” (to the guardians of the sons   ) = องครักษ์ของเหล่าเชื้อพระวงศ์ของอาหับ

= ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลและเลี้ยงดูลูกหลานในราชวงศ์ของกษัตริย์ (อาหับ)

10:3     “จงสู้รบเพื่อราชวงศ์นายของท่าน” ( fight for your master’s house.) = กลยุทธของเยฮูคือ โน้มน้าวให้

ผู้นำของสะมาเรียยอมจำนนต่อเขา โดยขู่ให้ออกมาเผชิญหน้ากับเขาทางทหาร

10:4     “แต่พวกเขากลัวมาก” ( But they were exceedingly afraid) = พวกเขาหวาดหวั่นขวัญผวา

“พระราชาสองพระองค์” ( two kings) = โยรัมและอาหัสยาห์ (9:24,27)

10:5     “ผู้ดูแลพระราชวัง” (who was over the palace) = เจ้ากรมวัง – 1พกษ.4:6   “ผู้ดูแลเมือง” ( who was over the city) = เจ้ากรมเมือง

= เจ้าหน้าที่ซึ่งกษัตริย์แต่งตั้งให้มีหน้าที่ควบคุมกองทหารประจำเมืองหลวง

10:6     “จงนำศีรษะของบรรดาโอรสนายของท่านมาหาเราที่ยิสเรเอล” ( take the heads of your master’s sons and come to me at Jezreel) = แท้จริงแล้วภาษาที่ใช้ในตอนนี้เป็นคำสั่งที่กำกวม มีความหมายว่า “จงนำศีรษะเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่เป็นชายของเจ้านายของท่านมาให้เรา” = เยฮูจงใจให้ภาษาเหล่านี้เพราะอาจหมายรวมถึงคนสำคัญในบรรดาลูกหลาน 70 คนของอาหับ เช่น องค์รัชทายาท หรือคนอื่น ๆ ที่มีตำแหน่งหรือความสามารถเป็นพิเศษ หรือหมายถึงลูกหลานทั้ง 70 คนโดยตรงก็ได้

10:7     “เขาจับโอรสของพระราชาทั้ง 70 องค์ประหารเสีย” ( they took the king’s sons and slaughtered them, seventy persons)=เหล่าผู้นำในเมืองสะมาเรียทำตามคำสั่งในสารตรงตามตัวอักษร ดังที่เยฮูหวังไว้ “เอาศีรษะใส่ตะกร้าส่งไปให้พระองค์ที่ยิสเรเอล” (put their heads in baskets and sent them to him at Jezreel.) = พวกเขาไม่ได้นำศีรษะไปให้ด้วยตัวเอง (ตามคำสั่งในข้อ 6) อาจเพราะกลัวตาย

10:8     “จงกองไว้เป็นสองกองตรงทางเข้าประตูเมือง” (Lay them in two heaps at the entrance of the gate)

= ขั้นตอนอันน่าสยดสยองนี้เลียนแบบมาจากธรรมเนียมอันป่าเถื่อนของผู้ปกครองชาว อัสซีเรียผู้โหดร้ายที่มีนามว่า อาชูร์บานิปาล กับชัลมาเนเสอร์ที่ 3

10:9     “…แต่ใครเล่าที่ฆ่าคนเหล่านี้” (but who struck down all these?) = เยฮูยอมรับอย่างเปิดเผยว่า เขาเป็นคนโค่นล้มและฆ่าโยรัม แต่เขาปฏิเสธว่า เขาไม่ได้ฆ่าลูกหลานทั้ง 70 คนของอาหับและกล่าวโทษผู้นำในเมืองสะมาเรีย (ทั้ง ๆ ที่เกิดมาจากคำพูดอันกำกวมของเขา) ว่า เป็นผู้กระทำ

10:10   “เพราะพระยาห์เวห์ทรงทำตามที่ตรัสทางเอลียาห์ผู้รับใช้ของพระองค์” (the Lord has done what he said by his servant Elijah.) = เยฮูสื่อเป็นนัยว่า พระเจ้าเป็นผู้กำหนดให้เป็นไปตามที่เกิดขึ้นผ่านทางเอลียาห์  ใน 1พกษ.21:20-24,29

10:11   “เยฮูทรงประหารทุกคนที่เหลืออยู่ในราชวงศ์ของอาหับ…อีกทั้งคนใหญ่คนโตทุกคนของพระองค์…จนไม่เหลือรอดชีวิตสักคนเดียวเลย” (Jehu struck down all who remained of the house of Ahab … all his great men and his close friends … until he left him none remaining.) = เยฮูกระทำเกินกว่าที่รับมอบหมาย (9:7;ฮชย.1:4) โดยอ้างนามพระเจ้าและทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวด้วยเหตุผลทางการเมืองล้วน ๆ (ปท.9:25)

10:13   “พวกเราเป็นญาติของอาหัสยาห์” ( the relatives of Ahaziah) = เชื้อพระวงศ์ของอาหัสยาห์ (2พศด.21:17) ใน 2พศด.21:17 กล่าวถึงพระราชวงศ์ของกษัตริย์และราชมารดา

=บรรดาสมาชิกในราชวงศ์จำนวน 42 คน จากยูดาห์ที่ไม่ได้ข่าวเรื่องการตายของโยรัมและเยเซเบล ถูกเยฮูสั่งประหารทั้งหมด

10:15   “เยโฮนาดับ บุตรเรคาบ” (Jehonadab the son of Rechab) = เป็นผู้นำกลุ่มอนุรักษ์นิยมในชาวอิสราเอลที่ ต่อต้านการนมัสการพระบาอัล และต่อต้านธรรมเนียมปฏิบัติอื่นๆ ในสังคมเกษตรแบบตั้งรกรากมั่นคงรวมทั้งการสร้างบ้านเรือน การหว่านเมล็ดพืช และการใช้ไวน์ พวกสาวกของเขาถือปฏิบัติตามแนวทางนี้ต่อไปอีกมากกว่า 20 ปี ภายใต้นามที่ถูกเรียกว่า “คนตระกูลเรคาบ” (Recabites) –ยรม.35:6-10

10:16   “จึงให้เขานั่งรถรบของพระองค์ไป” (ride in his chariot.) = การแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเยฮูกับเยโฮนาดับต่อหน้าบรรดาประชาชน และเป็นการช่วยรับรองเยฮูในท่ามกลางประชาชนที่ห่างไกลว่า เยฮูเป็นผู้ติดตามพระเจ้า

10:18   “อาหับปรนนิบัติพระบาอัลนิดหน่อย แต่เยฮูจะปรนนิบัติพระองค์มากกว่า” (Ahab served Baal a little, but Jehu will serve him much) = แผนการล่อพวกบูชาพระบาอัลทั้งหมดให้มาติดกับและฆ่าเสียจนหมดสิ้น (10:19.21.25)

10:26   “นำเอาเสาศักดิ์สิทธิ์แห่งนิเวศของพระบาอัลออกมาเผาเสีย” (brought out the pillar that was in the house of Baal and burned it.) = อาจเป็นเสาเจ้าแม่อาเชราห์ (1พกษ.14:15) ซึ่งมักอยู่คู่กับหินศักดิ์สิทธิ์ (1พกษ.16:32-33)

10:27   “เสาศักดิ์สิทธิ์ของพระบาอัล” (the pillar of Baal   ) = หินศักดิ์สิทธิ์ –1พกษ.14:15; ปท.2พกษ.8:22

10:29   “บาปของเยโรโบอัม” (sins of Jeroboam ) –1พกษ.12:26-32;13:33-34;14:16 =เยฮูทำบาปและชักนำอิสราเอลให้ทำบาปตาม

10:31   “เยฮูไม่ทรงระมัดระวังที่จะดำเนินตามธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์” (Jehu was not careful to walk in the law of the Lord) = ไม่ได้ใส่ใจที่จะทำตามพระบัญญัติหรือหันจากบาป –ฉธบ.4:9;สภษ.4:23

10:32   “ตัดดินแดน” (cut off parts of Israel) –2พกษ.13:25;สดด.107:39

“ฮาซาเอล” (Hazael) –1พกษ.19:17

10:33   “อาโรเออร์” ( Aroer) –กดว.32:34;ฉธบ.2:26;วนฉ.11:26;อสย.17:2

“ที่ลุ่มแม่น้ำอารโนน”( Arnon) –กดว.21:13

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยถูกกดดันจนเกิดความตระหนกกลัวจนทำอะไรไม่ถูกบ้างหรือไม่?  เรื่องราวเป็นอย่างไร?
  2. คุณเคยกระทำบางสิ่งที่ผิดพลาดหรือทำผิดศีลธรรมเพราะความกลัว (อันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง)บ้างหรือไม่?  เรื่องอะไรและผลเป็นอย่างไร?
  3. คุณมีใครที่ซื่อตรงต่อคุณที่คุณวางใจได้บ้าง?  ทำไมคุณจึงวางใจเขาได้? ในเรื่องอะไร? และมากแค่ไหน?
  4. คุณเคยวางแผนจัดการกับผู้ใดหรือกลุ่มใด โดยที่อีกฝ่ายไม่ทันรู้ตัวบ้างหรือไม่?  ในเรื่องอะไรและอย่างไร? หรือกลับกัน คือคุณเคยถูกเล่นงานเพราะแผนการของคนอื่นบ้างหรือไม่?  ในเรื่องอะไร? และอย่างไร?
  5. คุณเคยกระทำอะไรที่เกินหน้าที่หรือเกินคำสั่ง(ของใคร?) บ้างหรือไม่?  ในเรื่องอะไร? แล้วผลออกมาเป็นอย่างไร?
  6. คุณเคยพบกับคนที่ทำสิ่งดีดังที่พระเจ้าทรงประสงค์ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำสิ่งที่เลวร้ายเกินกว่าที่พระเจ้าจะรับได้บ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไรและอย่างไร?
  7. คุณเคย “ดำเนินชีวิตอย่างไม่ระมัดระวัง” หรือ “ไม่ใส่ใจในพระบัญญัติของพระเจ้า” ในเรื่องใดบ้างหรือไม่?  แล้วเกิดอะไร(เสียหาย) ขึ้นกับคุณตามมาบ้าง?  (หรือคุณเคยเห็นผู้ใดที่กระทำเช่นนั้น?)

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2 พงศ์กษัตริย์ บทเรียนที่ 9

ฆ่า…ฆ่า…ฆ่า

พระธรรม            2พงศ์กษัตริย์ 9:1-37

อ้างอิง 2พศด.22:7-9;1พกษ.19:16;21:19-23

บทนำ                 ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ในที่สุดคนนั้นก็ต้องรับผลกรรมที่ตนเองกระทำ!  แม้ว่าการลงโทษจะมาถึงช้า แต่การพิพากษานั้นจะมาถึงคนที่สมควรได้รับโทษนั้นอย่างแน่นอน ความตายคือสิ่งที่จะตามมาถึงทุกคนที่ทำบาปชั่วต่อพระพักตร์พระเจ้า!

บทเรียน

9:1 “แล้วเอ‍ลี‍ชาผู้เผยพระวจนะได้เรียกคนหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะ และพูดกับเขาว่า “จงคาดเอวของเจ้าไว้ ถือน้ำมันขวดนี้ไปที่รา‍โมท‍กิ‍เล‍อาด”

(Then Elisha the prophet called one of the sons of the prophets and said to him, “Tie up your garments, and take this flask of oil in your hand, and go to Ramoth-gilead. )

9:2 “และเมื่อเจ้าถึงที่นั่นแล้ว จงมองหาเย‍ฮูบุตรเย‍โฮ‍ชา‍ฟัท บุตรนิม‍ซี จงเข้าไปหาและให้เขาลุกขึ้นจากหมู่พี่น้องและนำเขาเข้าไปในห้องชั้นใน”

(And when you arrive, look there for Jehu the son of Jehoshaphat, son of Nimshi. And goin and have him rise from among his fellows, and lead him to an inner chamber. )

9:3 “แล้วจงเอาน้ำมันในขวดเทลงบนศีรษะของเขา และกล่าวว่า ‘พระยาห์‍เวห์ตรัสดังนี้ว่า เราเจิมตั้งเจ้าให้เป็นกษัตริย์เหนืออิส‍รา‍เอล’ แล้วจงเปิดประ‍ตูออกหนีไป อย่ารอช้าอยู่”

(Then take the flask of oil and pour it on his head and say, ‘Thus says the Lord, I anoint you king over Israel.’ Then open the door and flee; do not linger.”)

9:4 “คนหนุ่มนั้นคือคนหนุ่มที่เป็นผู้เผยพระวจนะ จึงไปยังรา‍โมท‍กิ‍เล‍อาด”

(So the young man, the servant of the prophet, went to Ramoth-gilead.)

9:5 “และเมื่อเขามาถึง ดูสิ บรร‍ดาผู้บังคับบัญ‍ชาทหารกำ‍ลังประ‍ชุมกันอยู่ และเขากล่าวว่า “ท่านผู้บัญ‍ชาการ ข้าพ‍เจ้านำข่าวมาถึงท่าน” และเย‍ฮูพูดว่า “มาถึงใครในพวกเรา?” และเขาตอบว่า “ท่านผู้บัญ‍ชาการ มาถึงท่าน”

(And when he came, behold, the commanders of the army were in council. And he said, “I have a word for you, O commander.” And Jehu said, “To which of us all?” And he said, “To you, O commander.” )

9:6 “ท่านก็ลุกขึ้นเข้าไปในบ้าน และคนหนุ่มนั้นก็เทน้ำมันบนศีรษะของท่าน กล่าวกับท่านว่า “พระยาห์‍เวห์พระเจ้าแห่งอิส‍รา‍เอลตรัสดังนี้ว่า เราเจิมตั้งเจ้าไว้เป็นกษัตริย์เหนือประ‍ชากรของพระยาห์‍เวห์ คือเหนืออิส‍รา‍เอล”

(So he arose and went into the house. And the young man poured the oil on his head, saying to him, “Thus says the Lord, the God of Israel, I anoint you king over the people of the Lord, over Israel. )

9:7 “และเจ้าจงโค่นราช‍วงศ์ของอา‍หับนายของเจ้า เพื่อเราจะเอาโทษเย‍เซ‍เบล เพราะโล‍หิตของบรร‍ดาผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของเรา และเพราะโล‍หิตของผู้รับใช้ทั้งสิ้นของพระยาห์‍เวห์”

(And you shall strike down the house of Ahab your master, so that I may avenge on Jezebel the blood of my servants the prophets, and the blood of all the servants of the Lord. )

9:8 “เพราะว่า ราช‍วงศ์อา‍หับทั้งหมดจะต้องพินาศ และเราจะกำ‍จัดผู้ชายทุกคนเสียจากอา‍หับ ไม่ว่าทาสหรือไทในอิส‍รา‍เอล”

(For the whole house of Ahab shall perish, and I will cut off from Ahab every male, bond or free, in Israel. )

9:9 “และเราจะทำให้ราช‍วงศ์ของอา‍หับเป็นเหมือนราช‍วงศ์ของเย‍โร‍โบ‍อัม บุตรเน‍บัท และเหมือนราช‍วงศ์ของบา‍อา‍ชาบุตรอา‍หิ‍ยาห์”

(And I will make the house of Ahab like the house of Jeroboam the son of Nebat, and like the house of Baasha the son of Ahijah.)

9:10 “พวกสุนัขจะกินเย‍เซ‍เบลในเขตยิส‍เร‍เอล และจะไม่มีใครฝังศพนาง” แล้วเขาก็เปิดประ‍ตูหนีไป”

(And the dogs shall eat Jezebel in the territory of Jezreel, and none shall bury her.” Then he opened the door and fled.)

9:11 “เมื่อเย‍ฮูออกมาพบพวกข้าราช‍การของเจ้านายของท่าน พวกเขาพูดกับท่านว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือ? ทำไมคนบ้าคนนี้จึงมาหาท่าน?” ท่านพูดกับเขาทั้งหลายว่า “พวกท่านรู้จักชายคนนั้นและการพูดมากของเขาแล้ว”

(When Jehu came out to the servants of his master, they said to him, “Is all well? Why did this mad fellow come to you?” And he said to them, “You know the fellow and his talk.” )

9:12 “แต่เขาทั้งหลายพูดว่า “นั่นไม่จริง บอกพวกเรามาเถิด” และท่านตอบว่า “เขาพูดอย่างนี้กับข้าพ‍เจ้าว่า‘พระยาห์‍เวห์ตรัสดังนี้ว่า เราเจิมตั้งเจ้าให้เป็นกษัตริย์เหนืออิส‍รา‍เอล’ ”

(And they said, “That is not true; tell us now.” And he said, “Thus and so he spoke to me, saying, ‘Thus says the Lord, I anoint you king over Israel.’” )

9:13 แล้วพวกเขาแต่ละคนก็รีบเอาเสื้อผ้าของตนปูรองท่านที่ขั้นบัน‍ได แล้วเป่าเขาสัตว์ และป่าวร้องว่า “เย‍ฮูเป็นกษัตริย์”

(Then in haste every man of them took his garment and put it under him on the bare steps, and they blew the trumpet and proclaimed, “Jehu is king.” Jehu Assassinates Joram and Ahaziah)

9:14 “ดังนั้น เย‍ฮูบุตรเย‍โฮ‍ชา‍ฟัท บุตรนิม‍ซีได้ร่วมกับคนอื่น คิดกบฏต่อโย‍รัม (ก่อนหน้านี้โย‍รัมกับอิส‍รา‍เอลทั้งสิ้นยังรัก‍ษาเมืองรา‍โมท กิ‍เล‍อาดไว้จากฮา‍ซา‍เอลกษัตริย์แห่งซี‍เรีย”

(Thus Jehu the son of Jehoshaphat the son of Nimshi conspired against Joram. (Now Joram with all Israel had been on guard at Ramoth-gilead against Hazael king of Syria, )

9:15 “แต่พระราชาโย‍รัมทรงกลับไปรัก‍ษาตัวที่ยิส‍เร‍เอล เพราะบาดแผลที่คนซี‍เรียทำร้ายพระองค์ เมื่อทรงสู้รบกับฮา‍ซา‍เอลพระราชาแห่งซี‍เรีย) เย‍ฮูจึงกล่าวว่า “ถ้านี่เป็นความประ‍สงค์ของท่านทั้งหลาย ก็อย่าให้คนหนึ่งคนใดเล็ดลอดออกจากเมืองไปบอกข่าวที่ ยิส‍เร‍เอล”

(but King Joram had returned to be healed in Jezreel of the wounds that the Syrians had given him, when he fought with Hazael king of Syria.) So Jehu said, “If this is your decision, then let no one slip out of the city to go and tell the news in Jezreel.” )

9:16 “แล้วเย‍ฮูขึ้นรถรบเสด็จไปยังยิส‍เร‍เอล เพราะโย‍รัมบรร‍ทมที่นั่น และอา‍หัส‍ยาห์พระราชาแห่งยู‍ดาห์ได้เสด็จลงมาเยี่ยมโย‍รัม”

(Then Jehu mounted his chariot and went to Jezreel, for Joram lay there. And Ahaziah king of Judah had come down to visit Joram.)

9:17 “ทหารยาม ยืนอยู่บนหอคอยที่ยิส‍เร‍เอล เขามองเห็นพวกของเย‍ฮูมาจึงว่า “ข้าพ‍เจ้าเห็นคนพวกหนึ่ง” โย‍รัมตรัสว่า “จงใช้พลม้าคนหนึ่งไปพบพวกเขาและให้ถามเขาว่า ‘มาอย่างสันติหรือ?’ ”

(Now the watchman was standing on the tower in Jezreel, and he saw the company of Jehu as he came and said, “I see a company.” And Joram said, “Take a horseman and send to meet them, and let him say, ‘Is it peace?’” )

9:18 “พลม้าจึงขึ้นม้าไปพบท่านและพูดว่า “พระราชาตรัสดังนี้ว่า ‘มาอย่างสันติหรือ?’ ”และเย‍ฮูตอบว่า “ท่านเกี่ยวข้องอะไรกับสันติจงเลี้ยวกลับตามเรามา”และทหารยามก็รายงานว่า“ผู้สื่อสารไปถึงพวกเขาแล้ว แต่ไม่กลับมา”

(So a man on horseback went to meet him and said, “Thus says the king, ‘Is it peace?’” And Jehu said, “What do you have to do with peace? Turn around and ride behind me.” And the watchman reported, saying, “The messenger reached them, but he is not coming back.” )

9:19 “พระองค์จึงรับสั่งใช้พลม้าคนที่สองออกไป คนนั้นมาถึงพวกเขาแล้วก็พูดว่า “พระราชาตรัสดังนี้ว่า ‘มาอย่างสันติหรือ?’ ” และเย‍ฮูตรัสตอบว่า “ท่านเกี่ยวข้องอะไรกับสันติ? จงเลี้ยวกลับตามเรามา”

(Then he sent out a second horseman, who came to them and said, “Thus the king has said, ‘Is it peace?’”And Jehu answered, “What do you have to do with peace? Turn around and ride behind me.” )

9:20 “ทหารยาม ก็รายงานอีกว่า “เขาไปถึงแล้ว แต่ไม่กลับมา และการขับรถม้านั้นก็เหมือนกับการขับรถม้าของเย‍ฮูบุตรนิม‍ซี เพราะเขาขับอย่างบ้าคลั่ง”

(Again the watchman reported, “He reached them, but he is not coming back. And the driving is like the driving of Jehu the son of Nimshi, for he drives furiously.”)

9:21 “โย‍รัมตรัสว่า “จงเตรียมพร้อม” และเขาก็จัดรถรบของพระองค์ให้พร้อมไว้ แล้วโย‍รัมพระราชาแห่งอิส‍รา‍เอล และอา‍หัส‍ยาห์พระราชาแห่งยู‍ดาห์ก็เสด็จออกไป ต่างก็ทรงรถรบของตนเอง ทรงออกไปปะทะกับเย‍ฮู มาพบกันเข้า ณ ที่ดินแปลงของนา‍โบทชาวยิส‍เร‍เอล”

(Joram said, “Make ready.” And they made ready his chariot. Then Joram king of Israel and Ahaziah king of Judah set out, each in his chariot, and went to meet Jehu, and met him at the property of Naboth the Jezreelite. )

9:22 “ต่อมาเมื่อโย‍รัมทอดพระ‍เนตรเย‍ฮูแล้ว จึงตรัสว่า “เย‍ฮู มาอย่างสันติหรือ?” เย‍ฮูทูลตอบว่า “จะสันติได้อย่างไร? เมื่อการเล่นชู้และวิท‍ยาคมของเย‍เซ‍เบลมารดาของท่านยังมี อยู่มากเช่นนี้”

(And when Joram saw Jehu, he said, “Is it peace, Jehu?” He answered, “What peace can there be, so long as the whorings and the sorceries of your mother Jezebel are so many?” )

9:23 “แล้วโย‍รัมทรงชักบัง‍เหียนหันกลับหนีไป พลางรับสั่งกับอา‍หัส‍ยาห์ว่า “อา‍หัส‍ยาห์ นั่นพวกกบฏ”

(Then Joram reined about and fled, saying to Ahaziah, “Treachery, O Ahaziah!” )

9:24 “และเย‍ฮูก็โก่งธนูด้วยสุดกำ‍ลัง ยิงถูกโย‍รัมระหว่างพระอังสาทั้งสอง ลูกธนูจึงแทงทะลุพระหทัย พระองค์ก็ทรงล้มลงในรถรบ”

(And Jehu drew his bow with his full strength, and shot Joram between the shoulders, so that the arrow pierced his heart, and he sank in his chariot. )

9:25 “เย‍ฮูพูดกับบิด‍คาร์ นายทหารผู้ช่วยว่า “จงยกศพเขาขึ้น และโยนทิ้งลงไปในที่ดินแปลงของนา‍โบทชาวยิส‍เร‍เอล จำได้ไหม? เมื่อเรากับท่านขี่ม้าเคียงกันมาตามอา‍หับบิดาของเขาไป พระยาห์‍เวห์ทรงกล่าวโทษเขา”

(Jehu said to Bidkar his aide, “Take him up and throw him on the plot of ground belonging to Naboth the Jezreelite. For remember, when you and I rode side by side behind Ahab his father, how the Lord made this pronouncement against him: )

9:26 “พระยาห์‍เวห์ตรัสว่า ‘เราเห็นโล‍หิตของนา‍โบท และโล‍หิตของลูกหลานของเขาเมื่อวานนี้แน่ทีเดียว พระยาห์‍เวห์ตรัสว่า เราจะตอบสนองเจ้าบนที่ดินแปลงนี้แหละ ฉะ‍นั้นจงยกเขาขึ้นทิ้งไว้บนที่ดินแปลงนี้แหละตามพระวจนะของพระยาห์‍เวห์”

(‘As surely as I saw yesterday the blood of Naboth and the blood of his sons—declares the Lord—I will repay you on this plot of ground.’ Now therefore take him up and throw him on the plot of ground, in accordance with the word of the Lord.”)

9:27 “เมื่ออา‍หัส‍ยาห์พระราชาแห่งยู‍ดาห์ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ทรงหนีไปทางเมืองเบธ‍ฮัก‍กาน และเย‍ฮูก็ติดตามพระองค์ไป กล่าวว่า “จงยิงเขาในรถรบด้วย” และเขาทั้งหลายได้ยิงพระองค์ตรงทางขึ้นไปตำ‍บลกูร ซึ่งอยู่ใกล้อิบ‍เล‍อัม และพระองค์ทรงหนีไปถึงเมืองเม‍กิด‍โด และสิ้นพระชนม์ที่นั่น”

(When Ahaziah the king of Judah saw this, he fled in the direction of Beth-haggan. And Jehu pursued him and said, “Shoot him also.” And they shot him in the chariot at the ascent of Gur, which is by Ibleam. And he fled to Megiddo and died there. )

9:28 “ข้าราช‍การของพระองค์ก็บรร‍ทุกพระศพใส่รถรบไปยังกรุงเย‍รู‍ซา‍ เล็ม และฝังไว้ในอุ‍โมงค์ฝังศพของพระองค์กับบรรพ‍บุรุษในนครดา‍วิด”

(His servants carried him in a chariot to Jerusalem, and buried him in his tomb with his fathers in the city of David.)

9:29 “ในปีที่ 11 แห่งรัช‍กาลโย‍รัมพระราช‍โอรสของอา‍หับ อา‍หัส‍ยาห์ทรงครองยู‍ดาห์”

(In the eleventh year of Joram the son of Ahab, Ahaziah began to reign over Judah. Jehu Executes Jezebel)

9:30 “เมื่อเย‍ฮูมาถึงเมืองยิส‍เร‍เอล เย‍เซ‍เบลทรงทราบเรื่อง ก็ทรงเขียนตาและแต่งพระเกศา และทอดพระเนตรทางหน้าต่าง”

(When Jehu came to Jezreel, Jezebel heard of it. And she painted her eyes and adorned her head and looked out of the window. )

9:31 “เมื่อเย‍ฮูผ่านเข้าประ‍ตูวังมา พระนางตรัสว่า “เจ้าผู้ฆ่านายของเจ้าอย่างเจ้าศิม‍รี มาอย่างสันติหรือ?”

(And as Jehu entered the gate, she said, “Is it peace, you Zimri, murderer of your master?” )

9:32 “แล้วเย‍ฮูแหงนหน้าไปที่หน้าต่างกล่าวว่า “ใครอยู่ฝ่ายเรา? ใครบ้าง?” มีขันทีสองสามคนชะโงกหน้าต่างออกมาดูเขา”

(And he lifted up his face to the window and said, “Who is on my side? Who?” Two or three eunuchs looked out at him. )

9:33 “เยฮูก็กล่าวว่า “โยนนางลงมา” พวกเขาจึงโยนพระนางลงมา และโล‍หิตของพระนางก็กระ‍เด็นติดผนังกำ‍แพงและติดพวกม้าที่ ย่ำไปบนพระนาง”

(He said, “Throw her down.” So they threw her down. And some of her blood spattered on the wall and on the horses, and they trampled on her. )

9:34 “แล้วเยฮูเข้าไป รับประ‍ทานและดื่ม แล้วกล่าวว่า “จัดการกับหญิงที่ถูกสาปคนนี้ เอาไปฝังเสีย เพราะนางเป็นธิดาของพระราชา”

(Then he went in and ate and drank. And he said, “See now to this cursed woman and bury her, for she is a king’s daughter.” )

9:35 “แต่เมื่อเขาจะไปฝังศพพระนาง พวกเขาก็พบแต่กระ‍โหลกพระเศียร พระบาทและฝ่าพระหัตถ์ของพระนาง”

(But when they went to bury her, they found no more of her than the skull and the feet and the palms of her hands. )

9:36 “เมื่อพวกเขากลับมาเรียนเยฮู ท่านก็กล่าวว่า “นี่เป็นไปตามพระวจนะของพระยาห์‍เวห์ ซึ่งตรัสทางเอ‍ลี‍ยาห์ชาวทิช‍บีผู้รับใช้ของพระองค์ว่า สุนัขจะกินเนื้อของเย‍เซ‍เบลในเขตยิส‍เร‍เอล”

(When they came back and told him, he said, “This is the word of the Lord, which he spoke by his servant Elijah the Tishbite: ‘In the territory of Jezreel the dogs shall eat the flesh of Jezebel, )

9:37 “และศพของเย‍เซ‍เบลจะเป็นเหมือนมูลสัตว์บนพื้นทุ่งในเขตยิส‍เร‍เอล เพื่อจะไม่มีใครกล่าวว่า ‘นี่คือ เย‍เซ‍เบล’ ”

(and the corpse of Jezebel shall be as dung on the face of the field in the territory of Jezreelthat no one can say, This is Jezebel.’”)

ข้อมูลมีประโยชน์

9:1 “ผู้เผยพระวจนะ” ( the prophet) -2:3;1ซมอ.10:5 –ถูกส่งไปเจิมตั้งกษัตริย์องค์ใหม่ของอิสราเอล

9:3 “เราเจิมตั้งเจ้าให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล” (I anoint you king over Israel) –1ซมอ.2:10;9:16;

1พกษ.19:169 = การเจิมนี้เกิดขึ้นที่ราโมทกิเลอาด ที่เดียวกับที่กองทัพอิสราเอลตั้งทัพเผชิญหน้ากับซีเรีย

“แล้วจงเปิดประตูออกหนีไปอย่ารอช้าอยู่” (Then open the door and flee; do not linger) = เมื่อเสร็จหน้าที่แล้วพระเจ้ากำชับให้รีบจากที่นั่นไปให้เร็วที่สุด อย่าชักช้า แล้วพระเจ้าจะจัดการที่เหลือเอง แล้วผู้เผยพระวจนะคนนี้ก็ทำตามคำสั่งจริงๆ (9:10)

9:7 “แล้วเจ้าจงโค่นราชวงศ์ของอาหับนายของเจ้า” (And you shall strike down the house of Ahab your master) = เยฮูรับทราบว่าพระเจ้าแต่งตั้งเขาไว้เป็นตัวแทนที่จะนำการพิพากษามาตามที่เอ ลียาห์ได้ประกาศไว้เมื่อหลายปีก่อนเกี่ยวกับราชวงศ์อาหับ (ข.25-26;1พกษ.21:21-24)

“โลหิตของบรรดาผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของเรา” (the blood of my servants the prophets) = ผู้เผย

พระ วจนะซึ่งถูกเยเซเบลสังหาร (1พกษ.18:4;21:13) , คำสั่งของพระเจ้าในตอนนี้มี 2 ประการที่ให้เยฮูกระทำคือ 1. กำจัดราชวงศ์ที่ชั่วร้ายของอาหับ 2. แก้แค้นแทนคนซื่อสัตย์ภักดีต่อพระเจ้าที่ถูกฆ่าตาย

9:8 “ไม่ว่าทาสหรือไท” (bond or free) –1พกษ.14:10

9:9 “เหมือนราชวงศ์ของเยโรโบอัม” (like the house of Jeroboam ) –1พกษ.14:7-11;15:27-30

“เหมือนราชวงศ์ของบาอาชาบุตรอาหิยาห์” ( like the house of Baasha the son of Ahijah)

–1พกษ.16:1-4,8-12 – เอลีชากล่าวเช่นนี้กับอาหับเมื่อหลายปีก่อน (1พกษ.21:21-24)

9:11 “คนบ้าคนนี้” (mad fellow) = คำหยาบคายที่แสดงให้เห็นว่าบรรดาทหารของอาณาจักรเหนือมีท่าทีเหยียดหยาม สมาชิกของผู้เผยพระวจนะ –1ซมอ.21:13-15

= เปิดเผยถึงสภาพจิตวิญญาณที่ต่ำของพวกทหารเหล่านี้

9:13 “เยฮูเป็นกษัตริย์” (Jehu is king) = เมื่อเยฮูเปิดเผยว่าเกิดอะไรขึ้น พวกทหารเป่าเขาสัตว์ (ทรัมเปต) ประกาศต่อทั้งกองทัพว่า เยฮูคือกษัตริย์องค์ใหม่ของอิสราเอล

9:14 “โยรัม” (Joram) = โยรัมยังคงรักษาตัวอยู่ที่ยิสเรเอลเนื่องจากบาดแผลในสงครามกับพวกซีเรียที่ ราโมทกิเลอาด (8:28-29;9:14)

9:15 “ยิสเรเอล” (Jezreel) –ห่างจากราโมทกิเลอาท ประมาณ 72 กิโลเมตร โยรัมอาจมีพระราชวังฤดูร้อนอยู่ที่นั่น (1พกษ.21:1)

“ก็อย่าให้คนหนึ่งคนใดเล็ดลอดออกจากเมืองไปบอกข่าวที่ยิสเรเอล” (then let no one slip out of the city to go and tell the news in Jezreel) = เพื่อให้การกบฏของเยฮูสำเร็จโดยไม่ต้องมีสงครามกลางเมือง การโจมตีโยรัมโดยไม่ให้รู้ตัวเป็นสิ่งที่สำคัญมาก -เยฮูส่งกลุ่มคนที่คัดสรรไปยิสเรเอล

(ปท.2พศด.22:7)

9:16 “อาหัสยาห์พระราชาแห่งยูดาห์ได้เสด็จลงมาเยี่ยมโยรัม” (Ahaziah king of Judah had come down

to visit Joram) -8:29)

9:21 “ณ ที่ดินแปลงของนาโบทชาวยิสเรเอล” (at the property of Naboth the Jezreelite)

–1พกษ.21:2-3,13,19

9:22 “การเล่นชู้และวิทยาคมของเยเซเบลมารดาของท่าน” (the sorceries of your mother Jezebel)

= การกระทำเช่นนั้นมีโทษถึงตาย (ฉธบ.13;18:10-12)

9:24 “ยิงถูกโยรัมระหว่างพระอังสา” (shot Joram between the shoulders) = เยฮูยิงธนูเข้าบ่าและทะลุหัวใจของโยรัม

9:25 “นายทหารผู้ช่วย” (Bidkar his aide) = พลรถรบ –1พกษ.22:34

9:26 “ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์” (in accordance with the word of the Lord) = เยฮูเห็นว่าพระเจ้าให้ตนอยู่ในฐานะที่จะทำให้สำเร็จตามคำพยากรณ์ของเอลียาห์เมื่อหลายปีก่อน (1พกษ.21:18-24)

-แม้ ว่าเลือดของอาหับไม่ได้หลั่งลงบนที่นาของนาโบท (1พกษ.21:29) แต่เยฮูเห็นว่าการตายของโยรัมทำให้คำพยากรณ์ของเอลียาห์เป็นจริง (1พกษ.21:19-24)

9:27 “หนีไปถึงเมืองเมกิดโดนและสิ้นพระชนม์ที่นั่น” ( he fled to Megiddo and died there) = อาจเป็นประเด็นสงสัยว่า เยฮูทำถูกต้องหรือไม่ที่ฆ่าล้างราชวงศ์ของอาหับ (ฮชย.1:4) ไปจนถึงลูกหลานราชวงศ์

ดาวิดซึ่งเป็นเชื้อสายของอาธาลิยาห์ บุตรสาวของอาหับ (8:18.26) –ใน 2พศด.22:8-9, มีรายละเอียดของการตายของอาหัสยาห์ และถูกนำศพไปฝังที่เยรูซาเล็ม (ข.28, ปท.2พศด.22:9)

9:31 “เจ้าผู้ฆ่านายของเจ้าอย่างเจ้าศิมรี” (you Zimri, murderer of your master) = เยเซเบลเสียดสีอย่างขม ขื่น โดยเรียกเยฮูว่า ศิมรี ซึ่งเมื่อราว 45 ปี ศิมรีได้ลอบปลงประชนม์เพื่อชิงบัลลังก์จากเอลาห์และได้ทำลายราชวงศ์บาอาชา ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม เขาปกครองอยู่เพียง 7 วันก่อนที่อมรีจะยึดอำนาจ (1พกษ.16:8-20)

9:36 “นี่เป็นไปตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ ซึ่งตรัสทางเอลียาห์” (This is the word of the Lord, which he spoke by his servant Elijah)= ลักษณะการตายของเยเซเบลได้ยืนยันความจริงตามพระวจนะของพระเจ้าคือพระวจนะเที่เยเชเบลปฏิเสธมาตลอดชีวิต (1พกษ.21:23)

คำถามนำอภิปราย

1. คุณเคยได้รับคำสั่งของพระเจ้าให้กระทำบางสิ่งบางอย่างที่คุณไม่เข้าใจหรือเสี่ยงอันตรายมากบ้างหรือไม่? (แบ่งปัน)

2. คุณเคยอยู่ในสภาวะที่จำเป็นต้องเลือกระหว่าง “สิ่งที่เลว” กับ “สิ่งที่เลวน้อยกว่า” บ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร และคุณทำอย่างไร?

3. คุณเคยเห็นพระเจ้าทรงใช้ “คนชั่ว” จัดการกับ “คนชั่ว(กว่า)” บ้างหรือไม่? อย่างไร? เรื่องนั้นมีบทเรียนอะไรต่อคุณเป็นพิเศษ?

4. คุณเชื่อหรือไม่ว่า พระเจ้าทรงสามารถบันดาลให้เกิดขึ้นจริงตามที่พระองค์ตรัสไว้ล่วงหน้า แม้ว่าอาจจะเนิ่นนานกว่าที่เราคิดก็ตาม? เรื่องอะไร? กับใคร? และอย่างไร?

5. คุณเคยประสบภัยโดยไม่รู้ตัวเพราะว่าคบหาคนผิดบ้างหรือไม่? อย่างไร? หรือคุณเคยเห็นผู้ใดประสบภัยเช่นนั้นเพราะคบค้าสมาคมผิดคนหรือไม่?

6. จุดจบในชีวิตของ “เยเซเบล” “โยรัม” และ “อาหัสยาห์” มีบทเรียนอะไรสอนคุณเป็นพิเศษบ้าง?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2 พงศ์กษัตริย์ บทเรียนที่ 8

ความซื่อสัตย์ของพระเจ้า!

พระธรรม        2พงศ์กษัตริย์ 8:1-29

อ้างอิง          2พกษ.1:17;4:8-37;6:24;8:18;9:1-4,29;10:13;15:16;19:8;2พศด.21:1-4
บทนำ           แม้มนุษย์จะทำตัวไม่ดี แต่พระเจ้าก็ยังคงซื่อตรงและซื่อสัตย์ในพันธสัญญาของพระองค์ที่มีต่อคนไม่ดีอย่างเราอยู่เสมอ ตราบเท่าที่เรายังตั้งใจที่จะเชื่อฟังทำตามพระเจ้าให้มากขึ้นอย่างจริงจังมากกว่าที่ผ่านมา!

บทเรียน

8:1 “เอลีชา​บอก​หญิง​คน​ที่​ท่าน​ได้​ให้​บุตร​ของ​นาง​กลับ​คืน​ชีวิตว่า “เจ้า​จง​ลุกขึ้น​และ​ออก​ไป​พร้อม​กับ​ครอบครัว ไป​อยู่​ใน​ที่​ที่​เจ้า​จะ​อยู่​ได้ เพราะ​พระยาห์เวห์​ทรง​เรียก​ให้​เกิด​การ​กันดาร​อาหาร และ​แผ่นดิน​นี้​จะ​กันดาร​อาหาร​อยู่​เจ็ด​ปี

    (Now Elisha had said to the woman whose son he had restored to life, “Arise, and depart with your  household, and sojourn wherever you can, for the Lord has called for a famine, and it will come  upon the land for seven years.” )

8:2 “หญิง​คน​นั้น​ก็​ลุกขึ้น​ทำ​ตาม​ถ้อยคำ​ของ​คน​ของ​พระเจ้า นาง​กับ​ครอบ​ครัว​ไป​อยู่​ใน​แผ่นดิน​ฟีลิสเตีย​เจ็ด​ปี”

(So the woman arose and did according to the word of the man of God. She went with her household and sojourned in the land of the Philistines seven years. )

8:3 “เมื่อ​สิ้น​เจ็ด​ปี​แล้ว หญิง​คน​นั้น​ก็​กลับ​มา​จาก​แผ่นดิน​ฟีลิสเตีย และ​ได้​ออก​ไป​ทูล​อุทธรณ์​ต่อ​พระราชา​เพื่อ​ขอ​บ้านและ​ที่ดิน​ของ​ นาง​คืน”

     (And at the end of the seven years, when the woman returned from the land of the Philistines, she  went to appeal to the king for her house and her land. )

8:4 “พระราชา​กำลัง​ตรัส​กับ​เกหะซี​ผู้​รับใช้​ของ​คน​ของ​พระเจ้า​ว่า “จง​บอก​เรา​ถึง​สิ่ง​ยิ่ง​ใหญ่​ทุก​อย่าง​ที่​เอลีชา​ได้​ทำ

     (Now the king was talking with Gehazi the servant of the man of God, saying, “Tell me all the  great things that Elisha has done.” )

8:5 “เมื่อ​เขา​กำลัง​ทูล​กษัตริย์​เรื่อง​ที่​เอลีชา​ชุบ​ชีวิต​คน​ตาย นี่แน่ะ ผู้หญิง​คน​ที่​ท่าน​ได้​ชุบ​ชีวิต​บุตร​ของ​นาง​ได้​มา​ร้อง​ อุทธรณ์​ต่อ​พระราชาเพื่อ​ขอ​บ้าน​และ​ที่ดิน​ของ​นาง​คืน และ​เกหะซี​ทูล​ว่า “ข้าแต่​พระราชา​เจ้านาย​ของ​ข้า​พระบาท นี่​เป็น​หญิง​คน​นั้น และ​นี่​เป็น​บุตร​ของ​นาง​ที่​เอลีชา​ได้​ชุบ​ชีวิต

  (And while he was telling the king how Elisha had restored the dead to life, behold, the woman    whose son he had restored to life appealed to the king for her house and her land. And Gehazi

   said, “My lord, O king, here is the woman, and here is her son whom Elisha restored to life.” )

8:6 “พระราชา​ตรัส​ถาม​หญิง​นั้น นาง​ก็​ทูล​เรื่อง​ถวาย​พระองค์ พระราชา​จึง​ทรง​ตั้ง​ข้า​ราชการ​คน​หนึ่ง​ให้​นาง และ​รับ‌สั่ง​ว่า “จง​จัด​การ​คืน​ทุก​สิ่ง​ที่​เป็น​ของ​นาง พร้อม​ทั้ง​พืชผล​ทั้งหมด​ของ​นา​นั้น ตั้งแต่​วัน​ที่​นาง​ออก​จาก​แผ่นดิน​มา​จน​ถึง​เวลา​นี้

     (And when the king asked the woman, she told him. So the king appointed an official for her,   saying, “Restore all that was hers, together with all the produce of the fields from the day that she      left the land until now.”)

8:7 “แล้ว​เอลีชา​มา​ยัง​กรุง​ดามัสกัส เบนฮาดัด​พระราชา​แห่ง​ซีเรีย​ประชวร และ​มี​คน​ทูล​พระองค์​ว่า “คน​ของ​พระเจ้า​มา​ที่นี่

     (Now Elisha came to Damascus. Ben-hadad the king of Syria was sick. And when it was told him, “The man of God has come here,” )

8:8 “พระราชา​ตรัส​กับ​ฮาซาเอล​ว่า “จง​นำ​ของ​กำนัล​ไป​พบ​คน​ของ​พระเจ้า ให้​ทูลถาม​พระยาห์เวห์​โดย​ท่าน​ว่า ‘เรา​จะ​หาย​ป่วย​ไหม?’

       (the king said to Hazael, “Take a present with you and go to meet the man of God, and inquire of   the Lord through him, saying, ‘Shall I recover from this sickness?’” )

8:9 “ฮาซาเอล​จึง​ไป​พบ​ท่าน นำ​ของ​กำนัล​ติด​มือ​ไป​ด้วย คือ​ของ​ดี​ทุก​อย่าง​จาก​กรุง​ดามัสกัส บรรทุก​หลัง​อูฐ 40 ตัว  เมื่อ​เขา​มา​ยืน​อยู่​ต่อ​หน้า​ท่าน เขา​กล่าว​ว่า “ลูก​ของ​ท่าน​คือ​เบนฮาดัด​พระราชา​แห่ง​ซีเรีย ทรง​ใช้​ข้าพเจ้า​มา​หา​ท่าน​กล่าว​ว่า ‘เรา​จะ​หาย​ป่วย​ไหม?’

    (So Hazael went to meet him, and took a present with him, all kinds of goods of Damascus, forty  camels’ loads. When he came and stood before him, he said, “Your son Ben-hadad king of Syria

    has sent me to you, saying, ‘Shall I recover from this sickness?’” )

8:10 “และ​เอลีชา​ตอบ​เขา​ว่า “จง​ไป​ทูล​พระราชา​ว่า ‘พระองค์​จะ​หาย​ประชวร​แน่’ แต่​พระยาห์เวห์​ทรง​สำแดง​แก่​ข้าพเจ้า​ว่า พระองค์​จะ​สิ้นพระชนม์​แน่

       (And Elisha said to him, “Go, say to him, ‘You shall certainly recover,’ but the Lord has shown   me that he shall certainly die.” )

8:11 “และ​ท่าน​ก็​เพ่งดู​ตัว​เขา​จน​เขา​อาย และ​คน​ของ​พระเจ้า​ก็​ร้องไห้”

        (And he fixed his gaze and stared at him, until he was embarrassed. And the man of God wept )

8:12 “และ​ฮาซาเอล​ถาม​ว่า “ทำไม​เจ้านาย​ของ​ข้าพเจ้า​จึง​ร้องไห้?” ท่าน​ตอบ​ว่า “เพราะ​ข้าพเจ้า​ทราบ​ถึง​เหตุ​ร้าย​ที่​ท่าน​จะ​ทำ​ต่อ​คน​อิสราเอล ท่าน​จะ​เอา​ไฟ​เผา​ป้อม​ปราการ​ของ​เขา และ​จะ​ฆ่า​คน​หนุ่ม​ด้วย​ดาบ และ​จับ​เด็ก​เล็ก​ฟาด​จน​แหลก และ​ผ่า​ท้อง​หญิง​มี​ครรภ์​เสีย

       (And Hazael said, “Why does my lord weep?” He answered, “Because I know the evil that you             will do to the people of Israel. You will set on fire their fortresses, and you will kill their young   men with the sword and dash in pieces their little ones and rip open their pregnant women.” )

8:13 “และ​ฮาซาเอล​ตอบ​ว่า “ผู้​รับใช้​ของ​ท่าน​ผู้​เป็น​เพียง​สุนัข เป็น​ใคร​เล่า​ที่​จะ​ทำ​สิ่ง​ใหญ่​นี้?” เอลีชา​ตอบ​ว่า   “พระยาห์เวห์​ทรง​สำแดง​แก่​ข้าพเจ้า​ว่า ท่าน​จะ​เป็น​กษัตริย์​ครอบครอง​ซีเรีย

        (And Hazael said, “What is your servant, who is but a dog, that he should do this great thing?”    Elisha answered, “The Lord has shown me that you are to be king over Syria.” )

8:14 “เขา​ก็​ไป​จาก​เอลีชา​มา​ยัง​นาย​ของ​ตน และ​นาย​ถาม​เขา​ว่า “เอลีชา​พูด​อย่างไร​กับ​เจ้า​บ้าง?” และ​เขา​ทูล​ตอบ​ว่า  “เขา​บอก​ว่า​ฝ่า​พระบาท​จะ​หาย​ประชวร​แน่

       (Then he departed from Elisha and came to his master, who said to him, “What did Elisha say to   you?” And he answered, “He told me that you would certainly recover.” )

8:15 “และ​ใน​วัน​รุ่งขึ้น เขา​ก็​เอา​ผ้า​ปู​ที่นอน​จุ่ม​น้ำ​คลุม​พระพักตร์​พระองค์​จน​สิ้น​ พระชนม์ และ​ฮาซาเอล​ก็​ขึ้น​ครองราชย์​แทน”

      (But the next day he took the bed cloth and dipped it in water and spread it over his face, till he  died. And Hazael became king in his place.)

8:16 “ใน​ปี​ที่ 5 ของ​รัชกาล​โยรัม พระราชโอรส​ของ​อาหับ​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล เยโฮรัม​พระราชโอรส​ของ​เยโฮชา‍ฟัท​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์​ได้​ขึ้น​ ครองราชย์”

       (In the fifth year of Joram the son of Ahab, king of Israel, when Jehoshaphat was king of Judah,   Jehoram the son of Jehoshaphat, king of Judah, began to reign. )

8:17 “พระองค์​มี​พระชนมายุ 32 พรรษา​เมื่อ​ทรง​เป็น​กษัตริย์ และ​พระองค์​ทรง​ครองราชย์​ใน​กรุง​เยรูซาเล็ม 8 ปี”

      (He was thirty-two years old when he became king, and he reigned eight years in Jerusalem. )

8:18 “และ​พระองค์​ทรง​ดำเนิน​ตาม​ทาง​ของ​บรรดา​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล ตาม​อย่าง​ราชวงศ์​อาหับ​ได้​ทำ เพราะว่า​ พระราชธิดา​ของ​อาหับ​เป็น​มเหสี​ของ​พระองค์ และ​พระองค์​ทรง​ทำ​สิ่ง​ชั่วร้าย​ใน​สายพระเนตร​ของ​พระยาห์เวห์”

     (And he walked in the way of the kings of Israel, as the house of Ahab had done, for the daughter   of Ahab was his wife. And he did what was evil in the sight of the Lord. )

8:19 “อย่างไร​ก็​ดี พระยาห์เวห์​ไม่ได้​ตั้ง​พระทัย​ทำลาย​ยูดาห์ เพราะ​ทรง​เห็นแก่​ดาวิด​ผู้​รับใช้​ของ​พระองค์ เหตุ​ที่​พระ‌องค์​ได้​ตรัส​สัญญา​ว่า จะ​ประทาน​ประทีป​แก่​ดาวิด แก่​เชื้อสาย​ของ​ท่าน​เป็น​นิตย์”

       (Yet the Lord was not willing to destroy Judah, for the sake of David his servant, since he  promised to give a lamp to him and to his sons forever.)

8:20 “ใน​รัชกาล​ของ​เยโฮรัม เอโดม​ได้​กบฏ ไม่​ยอม​อยู่​ใต้​การ​ปกครอง​ของ​ยูดาห์ และ​ตั้ง​กษัตริย์​ขึ้น​เหนือ​ตน”

        (In his days Edom revolted from the rule of Judah and set up a king of their own. )

8:21 “ดังนั้น​เยโฮรัม​ จึง​เสด็จ​ข้าม​ไป​ยัง​เมือง​ศาอีร์​พร้อมกับ​รถ​รบ​ทั้งสิ้น พอ​กลางคืน​ก็​ทรง​ตั้ง​ต้น​ตี​ฝ่า​คน​เอโดม ซึ่ง​มา​ ล้อม​พระองค์​และ​บรรดา​แม่​ทัพ​รถ​รบ แล้ว​กองทัพ​ของ​พระองค์​ได้​หนี​กลับ​บ้าน”

        (Then Joram passed over to Zair with all his chariots and rose by night, and he and his chariot   commanders struck the Edomites who had surrounded him, but his army fled home. )

8:22 “เอโดม​จึง​ได้​กบฏ ไม่​ยอม​อยู่​ใต้​การ​ปกครอง​ของ​ยูดาห์​จน​ทุก​วันนี้ แล้ว​ลิบนาห์​ก็​ได้​กบฏ​ใน​เวลา​เดียว​กัน”

        (So Edom revolted from the rule of Judah to this day. Then Libnah revolted at the same time. )

8:23 “ส่วน​พระราชกิจ​อื่นๆ ของ​เยโฮรัม และ​ทุก​สิ่ง​ที่​ทรง​กระทำ ได้​บันทึก​ไว้​ใน​หนังสือ​พงศาวดาร​กษัตริย์​แห่ง​ยูดาห์​ ไม่​ใช่​ หรือ?”

          (Now the rest of the acts of Joram, and all that he did, are they not written in the Book of the  Chronicles of the Kings of Judah? )

8:24 “เยโฮรัม​จึง​ทรง​ล่วงหลับ​ไป​อยู่​กับ​บรรพบุรุษ และ​เขา​ฝัง​ไว้​กับ​บรรพบุรุษ​ใน​นคร​ดาวิด และ​อาหัสยาห์​พระราช‍โอรส​ของ​พระองค์​ได้​ขึ้น​ครองราชย์​แทน”

         (So Joram slept with his fathers and was buried with his fathers in the city of David, and   Ahaziah his son reigned in his place.)

8:25 “ใน​ปี​ที่ 12 แห่ง​รัชกาล​โยรัม​พระราชโอรส​ของ​อาหับ​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล อาหัสยาห์​พระราชโอรส​ของ​  เยโฮรัม​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์​ได้​ขึ้น​ ครองราชย์”

          (In the twelfth year of Joram the son of Ahab, king of Israel, Ahaziah the son of Jehoram, king of  Judah, began to reign. )

8:26 “เมื่อ​อาหัสยาห์​ทรง​เป็น​กษัตริย์​นั้น พระองค์​มี​พระชนมายุ 22 พรรษา และ​ทรง​ครองราชย์​ใน​กรุง​เยรูซาเล็ม 1   ปี พระราชมารดา​ของ​พระองค์​มี​พระนาม​ว่า​อาธาลิยาห์ พระนาง​เป็น​พระราช​นัดดา​ของ​อม-รี​พระราชา​แห่ง​ อิสราเอล”

      (Ahaziah was twenty-two years old when he began to reign, and he reigned one year in  Jerusalem. His mother’s name was Athaliah; she was a granddaughter of Omri king of Israel. )

8:27 “พระองค์ ​ทรง​ดำเนิน​ใน​ทาง​ของ​ราชวงศ์​อาหับ​ด้วย และ​ทรง​ทำ​สิ่ง​ชั่วร้าย​ใน​สายพระเนตร​ของ​พระยาห์เวห์ ดังที่​ราชวงศ์​ของ​อาหับ​ได้​ทรง​กระทำ เพราะ​เป็น​พระราช​บุตร​เขย​ใน​ราชวงศ์​ของ​อาหับ”

       (He also walked in the way of the house of Ahab and did what was evil in the sight of the Lord,   as the house of Ahab had done, for he was son-in-law to the house of Ahab.)

8:28 “พระองค์​เสด็จ​ไป​กับ​โยรัม​พระราชโอรส​ของ​อาหับ เพื่อ​ทำ​สงคราม​กับ​ฮาซาเอล​พระราชา​แห่ง​ซีเรีย​ที่​ราโมทกิเลอาด และ​คน​ซีเรีย​ทำ​ให้​โยรัม​บาดเจ็บ”

       (He went with Joram the son of Ahab to make war against Hazael king of Syria at Ramoth-gilead,   and the Syrians wounded Joram. )

8:29 “และ​พระราชา​โยรัม​ทรง​กลับ​มา​รักษา​พระองค์​ที่​ยิสเรเอล ให้​หาย​บาดเจ็บ​จาก​ที่​คน​ซีเรีย​ได้​ทำ​แก่​พระองค์​ที่​รามาห์ เมื่อ​ทรง​สู้​กับ​ฮาซาเอล​พระราชา​แห่ง​ซีเรีย และ​อาหัสยาห์​พระราชโอรส​ของ​เยโฮรัม​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์ ได้​เสด็จ​ลง​ไป​หา​โยรัม​พระราชโอรส​ของ​อาหับ​ใน​เมือง​ยิสเรเอล เพราะ​โยรัม​ประชวร”

      (And King Joram returned to be healed in Jezreel of the wounds that the Syrians had given him   at Ramah, when he fought against Hazael king of Syria. And Ahaziah the son of Jehoram king of    Judah went down to see Joram the son of Ahab in Jezreel, because he was sick.)

ข้อมูลมีประโยชน์

8:1       “หญิงคนที่ท่านได้ให้บุตรของนางกลับคืนชีวิต” (the woman whose son he had restored to life ) –2พกษ.4:8-37

         “พระยาห์เวห์ทรงเรียกให้เกิดการกันดารอาหาร” (the Lord has called for a famine)  = การกันดารจะเป็นคำสาปตามพันธสัญญาที่เกิดจากบาปของชาวอิสราเอล (ฝ่ายเหนือ) (4:38) –ลนต.26:26; ฉธบ.28:22;นรธ.1:1

         “แผ่นดินนี้จะกันดารอาหารอยู่เจ็ดปี” (and it will come upon the land for seven years) = ไม่ปรากฏชัดว่าเกิดขึ้นก่อนหรือหลังจากที่ซีเรียมาโจมตีสะมาเรีย (4:38;6:24-7:20) –ปฐก.12:10

8:2       “หญิงคนนั้นก็ลุกขึ้นทำตาม”(the woman arose and did according to the word of the man of God)      = คำสั่งของเอลีชาช่วยหญิงที่รักพระเจ้าคนหนึ่งและครอบครัวให้หลีกหนีพ้นภัยจากการกันดารอาหารได้

8:3       “ไปทูลอุทรณ์ต่อพระราชา” (she went to appeal to the king) –ในอิสราเอล ชาวอิสราเอลและผู้อาศัยในแผ่นดินสามารถยื่นคำร้องต่อกษัตริย์ได้โดยตรง (2ซมอ.15:2)  ดังกรณีหญิงโสเภณี 2 คน เข้าเฝ้ากษัตริย์ใน      1พกษ.3:16  โดยไม่ต้องผ่านเจ้าหน้าที่ระดับล่าง (ฉธบ.16:18)

“ขอบ้านและที่ดินของนางคืน” (for her house and her land) =หญิงคนนี้ไปถวายฏีกาขอรับบ้านและที่ดินของนางกลับคืน เพราะอาจมีคนไปอาศัยอยู่ในที่ดินของเธออย่างผิดกฎหมายในระหว่างที่เธอไม่อยู่หรืออาจถูกยึดไปเป็นทรัพย์สินของกษัตริย์ เนื่องจากถูกทิ้งร้าง

8:4       “จงบอกเราถึงสิ่งยิ่งใหญ่ทุกอย่างที่เอลีชาได้ทำ”(Tell me all the great things that Elisha has done)  -การที่กษัตริย์ไม่คุ้นเคยกับพันธกิจของเอลีชา นี้ ทำให้นักวิชาการตีความว่า นี่อาจบ่งบอกว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงต้นรัชกาลของเยฮูมากกว่าจะเป็นรัชกาลของโยรัม ผู้ซึ่งได้พบเอลีชาหลายครั้ง (3:13-14;5:7-10;       6:10-23;6:24-7:20;2พกษ.5:7)

8:5       “ผู้หญิงคนที่ท่านได้ชุบชีวิตบุตรของนาง” (the woman whose son he had restored to life) –2พกษ.4:35

8:6       “จงจัดการคืนทุกสิ่งที่เป็นของนาง” (Restore all that was hers) = หญิงม่ายและบุตรชายในเรื่องนี้เป็นตัวอย่างของชีวิตที่ได้รับการเลี้ยงดู และการอวยพรจากพระเจ้า เพราะเชื่อฟังพระดำรัสของพระเจ้า (ผ่านทางผู้เผยพระวจนะ)

8:7       “แล้วเอลีชามายังกรุงดามัสกัส” (Now Elisha came to Damascus) –2ซมอ.8:8

= ถึงเวลาที่เอลีชาต้องทำหน้าที่ 1 ใน 3 เรื่อง ที่แต่เดิมมอบหมายให้เอลียาห์ ที่ภูเขาโฮเรบ(1พกษ.19:15-16) จดหมายเหตุของอัสซีเรีย ชัลมาเนเสอร์ที่ 3 ได้บันทึกถึงชัยชนะของอัสซีเรีย เหนือเบนฮาดัด (ฮาดัดเอเซอร์) แห่งดามัสกัสในปี 846 ก.ค.ศ. และฮาชาเอลแห่งดามัสกัสในปี 842 ก.ค.ศ.

-เอลีชาน่าจะเดินทางไปดามัสกัสประมาณ 843 ก.ค.ศ. –2พกษ.6:24

8:8       “ตรัสกับฮาซาเอล” (the king said to Hazael)  -1พกษ.19:15

          “จงนำของกำนัลไปพบคนของพระเจ้า” (Take a present with you and go to meet the man of God) –ปฐก.32:20;1ซมอ.9:7

“ให้ทูลถามพระยาห์เวห์โดยท่านว่า”(inquire of the Lord through him, saying) = เหตุการณ์ที่แปลก (กลับกันใน 1:1-4) ที่กษัตริย์ต่างชาติอย่างเบนฮาดัดกลับส่งคนไปขอคำพยากรณ์จากพระเจ้าแห่งอิสราเอลผ่านคนของพระองค์อย่างเอลีชา “เรา​จะ​หาย​ป่วย​ไหม?“  (Shall I recover from this sickness?) = คำถามเหมือนกับที่อาหัสยาห์เคยถาม      ใน 1:2

8:9       “ของดี ๆ ทุกอย่างจากกรุงดามัสกัสบรรทุกหลังอูฐ 40 ตัว”(all kinds of goods of Damascus, forty camels’ loads) = ดามัสกัสเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่าง อียิปต์ เอเชียน้อย และเมโสโปเตเมีย

= ดูเหมือนว่า เบนฮาดัดคิดว่า การมอบของกำนัลให้เอลีชามาก ๆ จะช่วยทำให้ผลการทำนายออกมาในทางดี (ปท. ของกำนัลของนาอามานใน 5:5)

“ลูกของท่านคือเบนฮาดัด” (Your son Ben-hadad) = กษัตริย์เบนฮาดัดใช้สรรพนามเรียกเอลีชาเป็นดุจบิดา เท่ากับยอมรับว่า เอลีชานั้นเหนือกว่าตัวของท่านผู้เป็นกษัตริย์ (6:21;1ซมอ.25:8)

8:10     “พระองค์จะหายประชวรแน่” (You shall certainly recover) = ให้ความมั่นใจว่าอาการป่วยของกษัตริย์เบนฮาดัดไม่หนักหนาจนถึงขั้นเสียชีวิต

“พระองค์จะสิ้นพระชนม์แน่”(he shall certainly die)= แต่เบนฮาดัดจะตาย(ในมือของฮาเซเอล)   (ข้อ 14-15)

8:12     “เหตุร้ายที่ท่านจะทำต่อคนอิสราเอล”( Because I know the evil that you will do to the people of Israel) = พระเจ้าให้เอลีชาเห็นภาพชัดเจนว่า การพิพากษาของพระเจ้าที่มาเหนืออิสราเอลนั้นรุนแรงมากสักเพียงใด (9:14-16;10:32;12:17-18;13:3,22) ที่จะเกิดจากมือของฮาซาเอล

“ผ่าท้องหญิงมีครรภ์เสีย” (rip open their pregnant women) = สิ่งเลวร้ายที่กองทัพของผู้มีชัยชนะมักกระทำต่อผู้แพ้ (15:16;ฮชย.13:16;อมส.1:13) = การกระทำโหดร้ายเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีเด็กผู้ชายเกิดขึ้นมา ในดินแดนที่พ่ายแพ้ และคนที่เหลืออยู่จะไม่ลุกขึ้นมาแย่งดินแดนคืน

= เอลีชาไม่ได้กล่าวสนับสนุนการกระทำเช่นนั้น เพียงแต่บรรยายให้เห็นว่า ฮาซาเอลจะ.โจมตีอย่างไรในอนาคต –ปฐก.34:29;สดด.137:9;อสย.13:16;นฮม.3:10;ลก.19:44

8:13     “ผู้รับใช้ของท่านเป็นเพียงสุนัข เป็นใครเล่าที่จะทำสิ่งใหญ่นี้?“  (What is your servant, who is but a dog, that he should do this great thing?) –สำเนาที่เปรียบตัวเองเป็นสุนัขนี้ แสดงถึงความอ่อนน้อม ถ่อมตน –2ซมอ.9:8 หรือแสดงความรังเกียจตัวเอง

ตัวอย่างดาวิดเคยกล่าวกับซาอูลโดยเปรียบตัวเองเป็นดุจ “สุนัขตาย”  (1ซมอ.24:14) เตือนแนะนำกษัตริย์ซาอูลอย่าให้ความสนใจคนไร้ค่าอย่างตัวท่าน

-การใช้คำนี้ของดาวิดนับว่าน่ายกย่อง (2ซมอ.7:18;1ซมอ.18:18)

แต่เมื่อคนอื่นใช้หรือใช้กับคนอื่น อาจมีความหมายถึง “คนโง่” ที่แช่งสาปดูหมิ่น หรือต่อต้านผู้ที่พระเจ้าเจิมไว้ตัวอย่าง โกลิอัท (1ซมอ.17:43;25:3)

-ในตอนนี้ ฮาซาเอลไม่ได้แสดงอาการรังเกียจพฤติกรรมที่รุนแรงตามที่พรรณา แต่มองไม่เห็นว่าตนเองจะมีอำนาจใดกระทำให้สำเร็จตามสิ่งเหล่านั้นได้

“ท่านจะเป็นกษัตริย์ครอบครองซีเรีย” (you are to be king over Syria) = คำพยากรณ์ของเอลีชาที่บ่งบอกว่า ฮาซาเอลจะได้เป็นผู้ปกครองซีเรียคนต่อไปโดยไม่ได้เป็นผู้สืบทอดที่ถูกต้องของเบนฮาดัด

-ในศิลาจารึกของอัสซีเรีย เรียกฮาซาเอลว่า “บุตรของคนไม่สำคัญ” (หรือสามัญชน) ซึ่งแย่งบัลลังก์ไป

8:15     “สิ้นพระชนม์” ( till he died) = การที่ฮาซาเอลจะได้เป็นกษัตริย์นั้นไม่ได้เป็นการพยากรณ์ของเอลีชาที่รับรองว่าการที่ฮาซาเอลลอบปลงพระชนม์กษัตริย์เบนฮาดัดเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่การกระทำของฮาซาเอลเกิดจากพฤติกรรมบาปของตัวและใจบาปของเขาเอง (อสย.10:5-19) เขาตั้งชื่อบุตรชายผู้สืบทอดว่าเบนฮาดัด (13:24)

8:16     “ในปีที่ 5 ของรัชกาลโยรัม” (In the fifth year of Joram) = ปี 848  ก.ค.ศ  เยโฮรัม(โยรัม) สำเร็จราชการร่วมกับบิดามาตั้งแต่ปี 853 ก.ค.ศ (1:17) แต่เวลานี้ได้ครองราชย์แค่เพียงผู้เดียว

8:17     “ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 8 ปี” (he reigned eight years in Jerusalem) = ช่วงเวลาที่โยรัมครองราชย์อยู่เพียงผู้เดียวตั้งแต่ปี 848 -841 ก.ค.ศ

8:18     “ตามอย่างราชวงศ์อาหับได้ทำ” (as the house of Ahab had done) = โยรัมนำการนมัสการพระบาอัลเข้าไปในยูดาห์เช่นเดียวกับที่อาหับได้กระทำในอิสราเอล (ฝ่ายเหนือ -3:1-2)

“เพราะว่าพระราชธิดาของอาหับเป็นมเหสีของพระองค์” ( for the daughter of Ahab was his wife)

–ภรรยาของโยรัมคือ อาธาริยาห์บุตรสาวของอาหับ แต่อาจไม่ได้เกิดจากเยเซเบล (ข.26;2พศด.18:1)

อาธาริยาห์มีอิทธิพลเหนือโยรัม คล้ายกับกรณีที่เยเซเบลมีอิทธิพลเหนืออาหับ (1พกษ.16:31;18:4;19:1-2;2พศด.21:6)

8:19     “จะประทานประทีปแก่ดาวิด” (for the sake of David) –1พกษ.11:36;สดด.132:17

= พระเจ้าทรงละเว้นยูดาห์ และราชวงศ์ในยูดาห์ ให้รอดพ้นจากการพิพากษาที่พระองค์ส่งมาเหนือราชวงศ์ของอาหับ เพราะพันธสัญญาที่พระเจ้ากระทำไว้กับดาวิด (2ซมอ.7:16,27;2พศด.21:7)

8:20     “ตั้งแต่กษัตริย์ขึ้นเหนือตน” (set up a king of their own) = ก่อนหน้านี้เอโดมเป็นเมืองขึ้นของยูดาห์และปกครองโดยผู้สำเร็จราชการ (3:9;1พศด.22:47)

8:22     “จนทุกวันนี้” (this day)  -ภายหลังเอโดมพ่ายแพ้อย่างราบคาบต่ออามาซิยาห์ แห่งยูดาห์ (14:7) และ

รัชทายาทคือ อาซาริยาห์ก็ได้ครอบครองเส้นทางการค้าไปยังเอลัท ผ่านเขตแดนของเอโดม   (14:22;2พศด.26:2)

“ลิบนาห์” (Then Libnah)  -ลิบนาห์ตั้งอยู่บนบริเวณชายแดนฟิลิสเตียใกล้ ๆ ลาคีช (19:8) เป็นไปได้ว่า การกบฎของลิบนาห์นั้นสัมพันธ์กับการกบฎของฟิลิสเตีย และอาหรับ ที่บรรยายไว้ใน 2พศด.21:16-17

8:23     “ส่วนพระราชกิจอื่น ๆ ของเยโฮรัม” (the rest of the acts of Joram )-2พศด.21:4-20

“หนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์” (the Book of the Chronicles of the Kings of Judah) –1พกษ.14:29

8:24     “ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ” (slept with his fathers) 1พกษ.1:21;2พศด.21:20

8:25     “ในปีที่ 12 แห่งรัชกาลโยรัม” (In the twelfth year of Joram) –ปี 841 ก.ค.ศ.

-ใน 9:29  ปีแรกของรัชกาลโยรัมนั้น นับเป็นปีขึ้นครองราชย์ และปีที่ 2 ถือว่าเป็นปีแรกของรัชกาล แต่ในที่นี้นับปีที่ขึ้นครองราชย์เป็นปีแรกของรัชกาล

8:26     “มีพระชนมายุ 22 พรรษา” (was twenty-two years old) –2พศด.22:2

8:27     “ดำเนินไปกับโยรัมพระราชโอกาสของอาหับ”( walked in the way of the house of Ahab)  –2พศด.22:3-5

8:28    “เสด็จไปกับโยรัมพระราชโอรสของอาหับเพื่อทำสงครามกับฮาซาเอล” (He went with Joram the son of Ahab to make war against Hazael) = เช่นเดียวกับที่เยโฮชาฟัทเข้าร่วมกับอาหับในการต่อสู้กับซีเรียที่    ราโมทกิเลอาด (1พกษ.22) และอาหับพบกับความตาย (1พกษ.22:37)  = ในตอนนี้อาหัสยาห์ก็ได้ร่วมกับโยรัม ญาติฝ่ายแม่ในการกระทำในลักษณะที่คล้าย ๆ กัน ครั้งนี้  ผลคือ โยรัมได้รับบาดเจ็บ และขณะที่กำลังพักฟื้นที่ยิสเรเอล (1พกษ.21:1) ทั้งโยรัมและอาหัสยาห์หลานชายก็ถูกเยฮูสังหาร(9:14-28)

 คำถามนำอภิปราย

  1.   แม้ว่าชีวิตของคุณอาจจะเคยได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้ามาแล้ว แต่คุณก็อาจเผชิญกับปัญหาใหม่ ๆ ขึ้นอีกได้ คุณเคยประสบกับเหตุการณ์ในทำนองที่กล่าวมาหรือไม่? แล้วคุณฟันฝ่ามันออกมาได้อย่างไร?
  2. คุณเคยมีประสบการณ์อะไรกับพระคุณและความสัตย์ซื่อของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของคุณ? (แบ่งปัน)
  3. เคยมีผู้ที่ไม่เชื่อพระเจ้ามาขอความช่วยเหลืออะไรจากคุณในฐานะที่เป็นผู้เชื่อพระเจ้าบ้างหรือไม่?  ในเรื่องอะไร? และคุณช่วยเขาหรือไม่?  อย่างไร?
  4. คุณเคยคิดหรือหวังว่าจะได้ข่าวดี แต่กลับได้ยินข่าวร้ายแทนบ้างหรือไม่?  เรื่องราวเป็นอย่างไร? แบ่งปัน
  5. คุณเคยร้องไห้ทุกข์ใจเพราะได้รับรู้หรือได้เห็นโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นแล้วหรือกำลังเกิดอยู่ หรือกำลังจะเกิดขึ้น (ในอนาคตอันใกล้) บ้างหรือไม่? และคุณรับมืออย่างไร?
  6. คุณเคยเห็นคนที่ดูเหมือน “เล็กน้อย” หรือ “ดูไม่สำคัญ”  แต่ภายหลังกลับมีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวง และสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงบ้างหรือไม่? อย่างไร?
  7. คุณเคยได้รับการคุ้มครองจากพระเจ้าเพียงเพราะว่า พระเจ้าพอพระทัยในคนที่มาก่อนหน้าคุณซึ่งพระเจ้าทรงสัญญากับเขาว่า จะคุ้มครองพวกเขาและผู้ที่สืบต่อจากพวกเขาบ้างหรือไม่? อย่างไร?(หรือกลับกัน)

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2 พงศ์กษัตริย์ บทเรียนที่ 7

เราทำไม่ถูกเสียแล้ว วันนี้เป็นวันข่าวดี!

พระธรรม        2พงศ์กษัตริย์ 7:1-20

อ้างอิง           ปฐก.7:11;สดด.78:23;ลนต.13:45-46;2พกษ.5:18;7:16-19;กดว.5:1-4

บทนำ           ไม่ว่าในยามปกติหรือในท่ามกลางวิกฤติ พระเจ้าทรงสถิตกับเราอยู่เสมอ เพียงแต่ในยามที่เราจนหนทาง พระเจ้าทรงมีโอกาสสำแดงฤทธิ์เดชของพระองค์ด้วยความรักเมตตามากขึ้น แล้วเราล่ะ มีใจเมตตาผู้อื่นบ้างหรือไม่?

บทเรียน

7:1 “แต่​เอลีชา​ทูล​ว่า “ขอ​ฟัง​พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์​ตรัส​ดังนี้​ว่า พรุ่งนี้​ประมาณ​เวลา​นี้ แป้ง​อย่าง​ดี​ถัง​หนึ่ง​เขา​จะ​ขาย​กัน​หนึ่ง​เชเขล และ​ข้าว​บาร์เลย์​สอง​ถัง​หนึ่ง​เชเขล​ที่​ประตู​เมือง​สะมาเรีย

      (But Elisha said, “Hear the word of the Lord: thus says the Lord, Tomorrow about this time a seah  of fine flour shall be sold for a shekel, and two seahs of barley for a shekel, at the gate of

     Samaria.” )

7:2 “แล้ว​นายทหาร​คน​สนิท​ของ​พระราชา​ตอบ​คน​ของ​พระเจ้า​ว่า “ถ้าแม้​พระยาห์เวห์​ทรง​สร้าง​หน้าต่าง​ใน​ฟ้า​สวรรค์   สิ่ง​นี้​จะ​เกิด​ขึ้น​ได้​หรือ?” แต่​เอลีชา​บอก​ว่า “ดูสิ ท่าน​จะ​เห็น​กับ​ตา​ของ​ท่าน​เอง แต่​จะ​ไม่ได้​กิน

     (Then the captain on whose hand the king leaned said to the man of God, “If the Lord himself  should make windows in heaven, could this thing be?” But he said, “You shall see it with your own

     eyes, but you shall not eat of it.”)

7:3 “มี​คน​โรคเรื้อน​สี่​คน​อยู่​ที่​ทางเข้า​ประตู​เมือง พวกเขา​พูด​กัน​ว่า “เรา​จะ​นั่ง​ที่นี่​จน​ตาย​ทำไม​เล่า?”

      (Now there were four men who were lepers at the entrance to the gate. And they said to one  another, “Why are we sitting here until we die? )

7:4 “ถ้า​เรา​พูด​ว่า ‘ให้​เรา​เข้า​ไป​ใน​เมือง’ การ​กันดาร​อาหาร​ก็​อยู่​ใน​เมือง และ​เรา​ก็​จะ​ตาย​ที่นั่น และ​ถ้า​เรา​นั่ง​ที่นี่​เรา​ก็​ตาย​เหมือน​กัน ฉะนั้น​จง​มา​เถิด ให้​เรา​เข้า​ไป​ใน​ค่าย​ของ​คน​ซีเรีย ถ้า​เขา​ไว้​ชีวิต​ของ​เรา เรา​ก็​จะ​รอด​ตาย ถ้า​เขา​ฆ่า​เรา ก็​ได้​แต่​ตาย​เท่านั้น​เอง

      (If we say, ‘Let us enter the city,’ the famine is in the city, and we shall die there. And if we sit here,   we die also. So now come, let us go over to the camp of the Syrians. If they spare our lives we shall  live, and if they kill us we shall but die.” )

7:5 “ดังนั้น ​พวก​เขา​จึง​ลุกขึ้น​ใน​เวลา​โพล้เพล้ เพื่อ​จะ​ไป​ยัง​ค่าย​ของ​คน​ซีเรีย แต่​เมื่อ​เขา​มา​ถึง​ริม​ค่าย​ของ​คน​ซีเรีย​แล้ว      ดูสิ ไม่มี​ใคร​ที่นั่น​สัก​คน”

     (So they arose at twilight to go to the camp of the Syrians. But when they came to the edge of the camp of the Syrians, behold, there was no one there. )

7:6 “เพราะ​องค์​เจ้านาย​ ได้​ทรง​ทำ​ให้​กองทัพ​ของ​คน​ซีเรีย​ได้​ยิน​เสียง​รถรบ เสียง​ม้า และ​เสียง​กองทัพ​ใหญ่ เขา​จึง​พูด​กัน​ว่า “ดูสิ พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​ได้​จ้าง​บรรดา​พระราชา​แห่ง​คน​ฮิตไทต์ และ​บรรดา​พระราชา​แห่ง​อียิปต์​มา​รบ​กับ​เรา​แล้ว

      (For the Lord had made the army of the Syrians hear the sound of chariots and of horses, the sound of a great army, so that they said to one another, “Behold, the king of Israel has hired      against us the kings of the Hittites and the kings of Egypt to come against us.” )

7:7 “เขา​จึง​ลุกขึ้น​หนี​ไป​ใน​เวลา​โพล้เพล้ และ​ทิ้ง​เต็นท์ ม้า และ​ลา​ของ​เขา ทิ้ง​ค่าย​ไว้​อย่าง​นั้น​เอง และ​หนี​เอา​ชีวิต​รอด”

                (So they fled away in the twilight and abandoned their tents, their horses, and their donkeys,   leaving the camp as it was, and fled for their lives. )

7:8 “เมื่อ​คน​โรคเรื้อน​เหล่านี้​มา​ถึง​ริม​ค่าย เขา​ก็​เข้า​ไป​ใน​เต็นท์​หนึ่ง กิน​และ​ดื่ม และ​ขน​เงิน ทองคำ และ​เสื้อผ้า​จาก​ที่​นั่น​เอา​ไป​ซ่อน​ไว้ แล้ว​เขา​ก็​กลับ​มา​เข้า​ไป​ใน​อีก​เต็นท์​หนึ่ง ขน​เอา​ข้าวของ​ออก​ไป​จาก​ที่นั่น​ด้วย​เอา​ไป​ซ่อน​ไว้”

         (And when these lepers came to the edge of the camp, they went into a tent and ate and drank,  and they carried off silver and gold and clothing and went and hid them. Then they came back

               and entered another tent and carried off things from it and went and hid them.)

7:9 “แล้ว​เขา​พูด​กัน​ว่า “เรา​ทำ​ไม่​ถูก​เสีย​แล้ว วันนี้​เป็น​วัน​ข่าวดี ถ้า​เรา​นิ่ง​อยู่ และ​คอย​จน​แสงอรุณ​ขึ้น โทษ​จะ​ตก​อยู่​ กับ​เรา เพราะ​ฉะนั้น มา​เถิด ให้​เรา​ไป​บอก​สำนัก​พระราชวัง

      (Then they said to one another, “We are not doing right. This day is a day of good news. If we are  silent and wait until the morning light, punishment will overtake us. Now therefore come; let us go   and tell the king’s household.” )

7:10 “พวกเขา​จึง​มา​เรียก​นายประตู​เมือง และ​บอก​เรื่องราว​แก่​เขา​ทั้งหลาย​ว่า “เรา​ได้​ไป​ค่าย​ของ​คน​ซีเรีย และ​ดูสิ  เรา​ไม่​เห็น​ใคร​และ​ไม่ได้​ยิน​เสียง​ใคร​ที่นั่น มี​แต่​ม้า​ผูก​อยู่ และ​ลา​ผูก​อยู่ และ​เต็นท์​ตั้ง​อยู่​อย่างนั้น​เอง

      (So they came and called to the gatekeepers of the city and told them, “We came to the camp of   the Syrians, and behold, there was no one to be seen or heard there, nothing but the horses tied     and the donkeys tied and the tents as they were.” )

7:11 “แล้ว​บรรดา​นายประตู​ก็​ตะโกน​บอก​ไป และ​พวกเขา​ก็​บอก​กัน​ไป​ถึง​สำนัก​พระราชวัง”

        (Then the gatekeepers called out, and it was told within the king’s household. )

7:12 “พระราชา​ตื่น​บรรทม​ตอน​กลางคืน และ​ตรัส​กับ​ข้า​ราชการ​ว่า “เรา​จะ​บอก​ให้​ว่า​คน​ซีเรีย​เตรียม​สู้รบ​กับ​เรา​อย่างไร? เขา​ทั้งหลาย​รู้​ว่า​เรา​หิว เขา​จึง​ออก​นอก​ค่าย​ไป​ซ่อน​ตัว​ที่​กลางทุ่ง​คิด​ว่า ‘เมื่อ​อิสราเอล​ออก​จาก​เมือง เรา​จะ​ จับ​เขา​ทั้ง​เป็น แล้ว​จะ​เข้า​ไป​ใน​เมือง

    (And the king rose in the night and said to his servants, “I will tell you what the Syrians have done       to us. They know that we are hungry. Therefore they have gone out of the camp to hide                themselves in the open country, thinking, ‘When they come out of the city, we shall take them   alive and get into the city.’” )

7:13 “และ​ข้าราชการ​คน​หนึ่ง​ทูล​ว่า “ขอ​รับสั่ง​ให้​คน​เอา​ม้า​ที่​เหลือ​อยู่​ใน​เมือง​สัก​ห้า​ตัว แล้ว​ส่ง​ออก​ไป​และ​สังเกต​ดู นี่ แน่ะ บางที​ม้า​เหล่านั้น​จะ​ยัง​เป็น​อยู่​อย่าง​คน​อิสราเอล​ที่​เหลือ​ อยู่​ใน​เมือง หรือ​จะ​เป็น​อย่าง​คน​อิสราเอล​ที่​ได้​ พินาศ​แล้ว​ก็​ช่างเถิด

   (And one of his servants said, “Let some men take five of the remaining horses, seeing that   those who are left here will fare like the whole multitude of Israel who have already perished. Let         us send and see.” )

7:14 “พวกเขา​จึง​เอา​รถรบ​สอง​คัน​พร้อม​กับ​ม้า และ​พระราชา​ทรง​ส่ง​ให้​ไป​ติดตาม​กองทัพ​ของ​คน​ซีเรีย ตรัส​ว่า “จง​ไปดู

                 (So they took two horsemen, and the king sent them after the army of the Syrians, saying, “Go  and see.” )

7:15 “เขา​ทั้งหลาย​จึง​ติดตาม​ไป​จน​ถึง​แม่น้ำ​จอร์แดน และ​นี่แน่ะ ตลอด​ทาง​มี​เสื้อผ้า​และ​เครื่องใช้​ซึ่ง​คน​ซีเรีย​ทิ้ง เมื่อ​ เขา​รีบ​หนี​ไป ผู้​สื่อสาร​ก็​กลับ​มา​ทูล​กษัตริย์”

        (So they went after them as far as the Jordan, and behold, all the way was littered with garments   and equipment that the Syrians had thrown away in their haste. And the messengers returned  and told the king.)

7:16 “แล้ว​ประชาชน​ก็​ยก​ออก​ไป​ปล้น​ค่าย​ของ​คน​ซีเรีย แป้ง​อย่าง​ดี​จึง​ขาย​กัน​ถัง​ละ​เชเขล และ​ข้าว​บาร์เลย์​สอง​ถัง​  หนึ่ง​เชเขล ตาม​พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์”

        (Then the people went out and plundered the camp of the Syrians. So a seah of fine flour was  sold for a shekel, and two seahs of barley for a shekel, according to the word of the Lord. )

7:17 “ส่วน​พระราชา​ทรง​แต่งตั้ง​นายทหาร​คน​สนิท​ให้​ไป​เฝ้า​ดูแล​ประตู​เมือง และ​ประชาชน​ก็​เหยียบ​ไป​บน​เขา​ตรง​ ประตู เขา​จึง​สิ้น​ชีวิต​ตาม​ที่​คน​ของ​พระเจ้า​ได้​กล่าว​ไว้ เมื่อ​พระราชา​เสด็จ​ลง​มา​หา​ท่าน”

        (Now the king had appointed the captain on whose hand he leaned to have charge of the gate.  And the people trampled him in the gate, so that he died, as the man of God had said when the      king came down to him. )

7:18 “และ​เป็น​ไป​ตาม​ที่​คน​ของ​พระเจ้า​ทูล​พระราชา​ว่า “ข้าวบาร์เลย์​สอง​ถัง​จะ​ขาย​หนึ่ง​เชเขล และ​แป้ง​อย่าง​ดี​หนึ่ง​  ถัง​หนึ่ง​เชเขล ประมาณ​เวลา​นี้​ใน​วัน​พรุ่งนี้​ที่​ประตู​เมือง​สะมาเรีย

       (For when the man of God had said to the king, “Two seahs of barley shall be sold for a shekel,    and a seah of fine flour for a shekel, about this time tomorrow in the gate of Samaria,” )

7:19 “และ​นายทหาร​คน​สนิท​ก็​ได้​ตอบ​คน​ของ​พระเจ้า​ว่า “ถ้า​แม้​พระยาห์เวห์​ทรง​สร้าง​หน้าต่าง​ใน​ฟ้า​สวรรค์ สิ่ง​นี้​จะ​เกิด​ขึ้น​ได้​หรือ?” และ​ท่าน​ได้​ตอบ​ว่า “ดูสิ ท่าน​จะ​เห็น​กับ​ตา​ของ​ท่าน​เอง แต่​จะ​ไม่ได้​กิน

        (the captain had answered the man of God, “If the Lord himself should make windows in heaven,  could such a thing be?” And he had said, “You shall see it with your own eyes, but you shall not  eat of it.”)

7:20 “และ​มัน​ก็​เกิด​ขึ้น​จริง​กับ​ตัว​เขา เพราะ​ประชาชน​เหยียบ​เขา​จน​ตาย​ที่​ประตู​เมือง”

        (And so it happened to him, for the people trampled him in the gate and he died.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

7:1       “แป้งอย่างดีถังหนึ่ง” (fine flour)

1 ถัง = 7.3 ลิตร, ดู ข้อ 16,18 (ภาษาฮีบรูคือ ซีห์)

“ขายกันหนึ่งเชเขล” (sold for a shekel) = 1 เชเขล คือเงินหนักประมาณ 11.5 กรัม มีค่าเท่ากับค่าแรง    สี่วัน (เช่นเดียวกับข้อ 16 และ 18)

= ข้าวบาร์เลย์สองถังหนึ่งเชเขล

= ค่าแป้งขึ้นเป็นประมาณ 2 เท่าของราคาปกติ แต่ยังดีกว่าราคาที่เฟ้อสูงขึ้น เพราะการกันดารอาหาร     –2พกษ.7:16

7:2       “นายทหารคนสนิท” (the captain on whose hand the king leaned) = นายทหารที่ติดตามกษัตริย์ –2พกษ.5:18

“สร้างหน้าต่างในฟ้าสวรรค์” (make windows in heaven) –ข้อ 19; ปฐก.8:2;อสย.24:18

= ทรงเปิดฟ้าสวรรค์ (ปฐก.7:11;2พกษ.7:19;สดด.78:23;มลค.7:17)

7:3       “คนโรคเรื้อน” ( who were lepers) –ลนต.13:45-46;กดว.5:1-4

           “ทางเข้าประตูเมือง” (at the entrance to the gate) = กฎบัญญัติในเบญจบรรณห้ามคนที่เป็นโรคผิวหนังอาศัยอยู่ในชุมชน (ลนต.13:46;กดว.5:2-3)

7:6       “ได้ยินเสียงรถรบ….” ( the sound of a great army) = พระเจ้าทรงบันดาลให้กองทัพของซีเรียได้ยินเสียงต่าง ๆ เช่น เสียงม้าศึก, เสียงควบม้าและเสียงกองทัพใหญ่ – 2ซมอ.5:24;อพย.14:24;อสค.1:24

           “ได้จ้าง” (hired against ) –2ซมอ.10:6;ยรม.46:21

          “คนฮิตไทต์” (the Hittites) = เมืองอิสระเล็ก ๆ ที่ปกครองโดยราชวงศ์ที่สืบเชื้อสายมาจากชาวฮิตไทต์ซึ่งรวมตัวกันอยู่ทางตอนเหนือของซีเรีย หลังจากที่อาณาจักรล่มสลายประมาณปี 1200 ก.ค.ศ. –กดว.13:29

7:7       “ลุกขึ้นหนี” (fled away) = เตลิดหนี – วนจ.7:21;สดด.48:4-6;สภษ.28:1;อสย.30:17

7:8       “คนโรคเรื้อน” ( lepers) –อสย.33:23;35:6

7:9       “โทษจะตกอยู่กับเรา” (  punishment will overtake us.) = พวกเขาทำดีเพราะกลัวถูกลงโทษหากไม่กระทำและแม้เป็นแรงจูงใจที่ต่ำ แต่ก็ยังมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของพวกเขา

7:12     “เราจะบอกให้ว่า คนซีเรียเตรียมสู้รบกับเราอย่างไร?” (I will tell you what the Syrians have done to us) = เราจะบอกพวกท่านว่า นี่เป็นแผนของพวกซีเรีย

= ความไม่เชื่อของโยรัม ทำให้เขาสรุปเอาเองว่า รายงานของคนโรคเรื้อนนั้นเป็นแผนกลยุทธในการทำสงครามของพวกซีเรียมากกว่าที่จะเชื่อว่า นี่เป็นหลักฐานว่า คำพยากรณ์ของเอลีชาเกิดขึ้นจริง (7:1)

        “ไปซ่อนตัวที่กลางทุ่ง” ( hide themselves in the open country,  ) – ยชว.8:4

7:15     “เมื่อเขารีบหนีไป” (in their haste) = รีบหนีเตลิดอย่างชุลมุน –โยบ 27:22

7:16-20 “ตามพระวจนะของพระยาเวห์ …เป็นไปตามที่คนของพระเจ้าทูลพระราชา…มันก็เกิดขึ้นจริงกับตัวเขา” (according to the word of the Lord. …For when the man of God had said to the king, …And so it happened to him,)  = การเน้นให้เห็นว่าคำพยากรณ์ของเอลีชานั้นเชื่อถือได้เพื่อสำเร็จตามคำพยากรณ์ พวกอิสราเอลก็ได้รับการเตือนย้ำว่า การช่วยกู้พวกเขาจากศัตรูนั้นเป็นของขวัญมาจากพระเจ้าอันเป็นพระคุณ  แม้ว่าพวกเขาจะปฏิเสธพระเจ้าและยั่วยุพระองค์ให้ทรงพิโรธเสมอมา

7:16     “ยกออกไปปล้นค่าย” (went out and plundered the camp) = กูรกันออกไปยึดข้าวของ  –อสย.33:4,23

“หนึ่งเชเขล” (a shekel, ) –2พกษ.7:1

7:17    “ประชาชนเก็เหยียบไปบนเขาตรงประตู เขาจึงสิ้นชีวิต” (the people trampled him in the gate, so that he died) –2พกษ.7:2

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่มีทางออกบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร? และคุณรับมือกับมันอย่างไร?
  2. คุณเคยได้รับความช่วยเหลือให้พ้นวิกฤติอะไรบ้าง  ที่คุณไม่มีวันลืมตลอดชีวิต? ใครเป็นผู้ช่วยเหลือคุณ? และอย่างไร?
  3. คุณได้รับบทเรียนอะไรบ้างจากวิกฤติชีวิตในครั้งนั้น? และได้เปลี่ยนแปลงอะไรในตัวของคุณบ้าง?
  4. คุณเคยมีประสบการณ์กับการช่วยเหลือของพระเจ้าในเรื่องใดในชีวิตที่คุณประทับใจมากที่สุด? ผ่านผู้ใด? และอย่างไร?
  5. ในชีวิตของคุณ คุณเคยช่วยผู้ใดให้รอดทางด้าน   1)      กาย หรือ  2)  จิตวิญญาณ บ้าง?  (แบ่งปัน)
  6. คุณเคยมีความระแวงมากเกินไป จนไม่กล้าทำอะไรหรือทำอะไรผิดพลาดบ้างหรือไม่?  เรื่องอะไร และอย่างไร ผลที่ตามมาคืออะไร?
  7. คุณเคยมีประสบการณ์กับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วภายในข้ามคืนบ้างหรือไม่? ในเรื่องใด?  และส่งผลกระทบอะไรตามมาบ้าง? พระเจ้าสอนอะไรคุณเป็นพิเศษสำหรับเหตุการณ์นั้น ๆ ?

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 6)

เอลีชาและการอัศจรรย์

 พระธรรม        2พงศ์กษัตริย์ 6:1-33

อ้างอิง           1พกษ.15:18;18;4:2พกษ.1:9;2:11-12;6:9-12,31;8:7;5:2,13;18:37

บทนำ

ทั้ง ๆ ที่คนของพระเจ้าเป็นตัวแทนของพระเจ้า กระทำการในนามของพระองค์ แต่ก็ยังถูกเล่นงานโดยบุคคลที่สมควรจะยืนอยู่เคียงข้างคนของพระเจ้า และยอมฟังพระบัญชาของพระเจ้า นั่นคือกษัตริย์ของแผ่นดิน เวลานี้ คุณกำลังกระทำอย่างเดียวกันหรือไม่?

บทเรียน

6:1 “พวก​ผู้​เผย​พระวจนะ​กล่าว​กับ​เอลีชา​ว่า “ดูซิ สถานที่​ที่​พวกเรา​อยู่​กับ​ท่าน​นั้น​ก็​เล็ก​เกินไป”

      (Now the sons of the prophets said to Elisha, “See, the place where we dwell under your charge  is too small for us. )

6:2 “ขอ​ให้​พวกเรา​ไป​ที่​แม่น้ำ​จอร์แดน ต่าง​คน​ต่าง​เอา​ไม้​ท่อน​หนึ่ง​มา​สร้าง​เป็น​ที่​อาศัย​ที่นั่น” และ​ท่าน​ตอบ​ว่า “ไป​ เถอะ

      (Let us go to the Jordan and each of us get there a log, and let us make a place for us to dwell  there.” And he answered, “Go.” )

6:3 “แล้ว​คน​หนึ่ง​กล่าว​ว่า “ขอ​ท่าน​โปรด​ไป​กับ​ผู้​รับใช้​ของ​ท่าน​ด้วย” และ​ท่าน​ก็​ตอบ​ว่า “เรา​จะ​ไป”

               (Then one of them said, “Be pleased to go with your servants.” And he answered, “I will go.” )

6:4 “ท่าน​ก็​ไป​กับ​เขา​ทั้งหลาย และ​เมื่อ​เขา​มา​ถึง​แม่น้ำ​จอร์แดน เขา​ก็​ตัด​ต้นไม้”

               (So he went with them. And when they came to the Jordan, they cut down trees. )

6:5 “ขณะ​ที่​คน​หนึ่ง​กำลัง​โค่น​ต้นไม้​อยู่ หัวขวาน​ของ​เขา​ตก​ลง​ไป​ใน​น้ำ และ​เขา​ร้อง​ขึ้น​ว่า “แย่​แล้ว นาย​ข้า ขวาน​นั้น​ ข้า​ขอ​ยืม​เขา​มา

                (But as one was felling a log, his axe head fell into the water, and he cried out, “Alas, my master!    It was borrowed.” )

6:6 “แล้ว​คน​ของ​พระเจ้า​ถาม​ว่า “ขวาน​นั้น​ตก​ที่​ไหน?” เมื่อ​เขา​ชี้​ที่​ให้​ท่าน​แล้ว ท่าน​ก็​ตัด​ไม้​อัน​หนึ่ง​ทิ้ง​ลง​ไป​ที่นั่น ทำ​ให้​ขวาน​เหล็ก​นั้น​ลอย​ขึ้น​มา”

               (Then the man of God said, “Where did it fall?” When he showed him the place, he cut off a stick  and threw it in there and made the iron float. )

6:7 “และ​ท่าน​บอก​ว่า “หยิบ​ขึ้น​มา​ซิ” เขา​ก็​เอื้อม​มือ​ไป​หยิบ​ขึ้น​มาคน​ซีเรีย​พ่าย​แพ้​เอลีชา”

                (And he said, “Take it up.” So he reached out his hand and took it. Horses and Chariots of Fire)

6:8 “พระราชา​แห่ง​ซีเรีย​รบ​กับ​อิสราเอล พระองค์​ทรง​ปรึกษา​กับ​ข้า​ราชการ​ของ​พระองค์​ว่า “เรา​จะ​ตั้ง​ค่าย​ของ​เรา​ที่นั่น”

               (Once when the king of Syria was warring against Israel, he took counsel with his servants, saying, “At such and such a place shall be my camp.” )

6:9 “แต่​คน​ของ​พระเจ้า​ส่ง​ข่าว​ไป​ยัง​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​ว่า ‘ขอ​พระองค์​ทรง​ระวัง อย่า​ผ่าน​มา​ทาง​นั้น เพราะ​คน​ซีเรีย​กำลัง​ยก​ลง​ไป​ที่นั่น

                (But the man of God sent word to the king of Israel, “Beware that you do not pass this place, for  the Syrians are going down there.” )

6:10 “และ​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​ทรง​ใช้​ให้​ไป​ยัง​สถานที่​ซึ่ง​คน​ของ​ พระเจ้า​บอก ท่าน​เคย​เตือน​พระองค์​ดังนี้​แหละ   พระองค์​จึง​ทรง​ระวัง​ตัว​ได้​ที่นั่น​ไม่​ใช่​เพียง​ครั้ง​สอง​ครั้ง”

                 (And the king of Israel sent to the place about which the man of God told him. Thus he used to  warn him, so that he saved himself there more than once or twice.)

6:11 “พระทัย ​ของ​พระราชา​แห่ง​ซีเรีย​ก็​เดือดดาล​เพราะ​เรื่อง​นี้ จึง​ทรง​เรียก​ข้า​ราชการ​มา​ตรัส​ว่า “พวก​ท่าน​จะ​ไม่​บอก​ เรา​หรือ​ว่า คน​ไหน​ใน​พวก​เรา​ที่​อยู่​ฝ่าย​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล?”

                 (And the mind of the king of Syria was greatly troubled because of this thing, and he called his   servants and said to them, “Will you not show me who of us is for the king of Israel?” )

6:12 “ข้าราชการ ​คน​หนึ่ง​ของ​พระองค์​ทูล​ว่า “ข้าแต่​พระราชา เจ้านาย​ของ​ข้า​พระบาท ไม่มี​ใคร พ่ะ​ย่ะ​ค่ะ แต่​เอลีชา​ ผู้​เผย​พระวจนะ​ซึ่ง​อยู่​ใน​อิสราเอล เขา​ได้​ทูล​ถ้อยคำ ซึ่ง​พระองค์​ตรัส​ใน​ห้อง​บรรทม​ของ​พระองค์​แก่​พระราชา​แห่งอิสราเอล

                (And one of his servants said, “None, my lord, O king; but Elisha, the prophet who is in Israel,   tells the king of Israel the words that you speak in your bedroom.” )

6:13 “พระราชา ​แห่ง​ซีเรีย​จึง​ตรัส​ว่า “จง​ไป​หา​ดู​ว่า​เขา​อยู่​ที่ไหน เพื่อ​เรา​จะ​ใช้​คน​ไป​จับ​เขา​มา” มี​คน​ทูล​พระองค์​ว่า  “ดูสิ เขา​อยู่​ใน​โดธาน

                 (And he said, “Go and see where he is, that I may send and seize him.” It was told him, “Behold,  he is in Dothan.” )

6:14 “พระองค์​จึง​ทรง​ส่ง​ม้า รถรบ และ​กองทัพ​ใหญ่​ไป​ที่​นั่น พวก​เขา​ไป​กัน​ใน​เวลา​กลางคืน และ​ล้อม​เมือง​นั้น​ไว้”

                 (So he sent there horses and chariots and a great army, and they came by night and  surrounded the city.)

6:15 “เมื่อ​ผู้​รับใช้​ของ​คน​ของ​พระเจ้า​ตื่น​ขึ้น​เวลา​เช้าตรู่ และ​ออก​ไป นี่แน่ะ กองทัพ​พร้อม​กับ​ม้า​และ​รถรบ​ก็​ล้อม​เมือง​ไว้ และ​คนใช้​นั้น​บอก​ท่าน​ว่า “แย่​แล้ว นาย​ข้า เรา​จะ​ทำ​อย่างไร​ดี?”

       (When the servant of the man of God rose early in the morning and went out, behold, an army  with horses and chariots was all around the city. And the servant said, “Alas, my master! What

                 shall we do?” )

6:16 “ท่าน​ตอบ​ว่า “อย่า​กลัว​เลย เพราะ​ฝ่าย​เรา​มี​มาก​กว่า​ฝ่าย​เขา”

                (He said, “Do not be afraid, for those who are with us are more than those who are with them.”)

6:17 “แล้ว​เอลีชา​ก็​อธิษฐาน​ว่า “ข้าแต่​พระยาห์เวห์ ขอ​ทรง​เปิด​ตา​ของ​เขา​เพื่อ​เขา​จะ​ได้​เห็น” และ​พระยาห์เวห์​ทรง​เปิด​ตา​ของ​ชายหนุ่ม​คน​นั้น และ​เขา​ก็​มอง​และ​เห็น​ภูเขา​เต็ม​ไป​ด้วย​ม้า และ​รถรบ​เพลิง​รอบ​เอลีชา”

      (Then Elisha prayed and said, “O Lord, please open his eyes that he may see.” So the Lord  opened the eyes of the young man, and he saw, and behold, the mountain was full of horses   and chariots of fire all around Elisha. )

6:18 “และ​เมื่อ​คน​ซีเรีย​ลง​มา​รบ​กับ​ท่าน เอลีชา​ก็​อธิษฐาน​ต่อ​พระยาห์เวห์​ว่า “ขอ​ทรง​ให้​คน​เหล่านี้​ตาบอด” พระองค์​จึง​ทรง​ให้​เขา​ทั้งหลาย​ตาบอด​ไป​ตาม​คำ​อธิษฐาน​ของ​ เอลีชา”

       (And when the Syrians came down against him, Elisha prayed to the Lord and said, “Please  strike this people with blindness.” So he struck them with blindness in accordance with the prayer of Elisha.)

6:19 “และ​เอลีชา​บอก​คน​เหล่านั้น​ว่า “ไม่​ใช่​ทาง​นี้ และ​ไม่​ใช่​เมือง​นี้ จง​ตาม​ข้า​มา และ​ข้า​จะ​พา​ไป​ยัง​คน​นั้น​ซึ่ง​พวกท่าน​แสวง​หา” และ​ท่าน​ก็​พา​เขา​ไป​กรุง​สะมาเรีย”

     (And Elisha said to them, “This is not the way, and this is not the city. Follow me, and I will bring  you to the man whom you seek.” And he led them to Samaria.)

6:20 “ต่อ​มา​พอ​เข้า​ไป​ใน​กรุง​สะมาเรีย เอลีชา​ก็​ทูล​ว่า “ข้าแต่​พระยาห์เวห์ ขอ​ทรง​เปิด​ตา​ของ​คน​เหล่านี้​เพื่อ​เขา​จะ​ เห็น​ได้” พระยาห์เวห์​จึง​ทรง​เปิด​ตา​ของ​พวก​เขา​และ​เขา​ก็​เห็น และ​นี่แน่ะ เขา​มา​อยู่​กลาง​กรุง​สะมาเรีย”

     (As soon as they entered Samaria, Elisha said, “O Lord, open the eyes of these men, that they  may see.” So the Lord opened their eyes and they saw, and behold, they were in the midst of                Samaria. )

6:21 “และ​เมื่อ​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​เห็น​พวกเขา จึง​ตรัส​แก่​เอลีชา​ว่า “บิดา​ของ​เรา จะ​ให้​เรา​ฆ่า​เขา​เสีย​หรือ? จะ​ให้เรา​ฆ่า​เขา​เสีย​หรือ?”

     (As soon as the king of Israel saw them, he said to Elisha, “My father, shall I strike them down?   Shall I strike them down?” )

6:22 “ท่าน​ทูล​ตอบ​ว่า “ขอ​ฝ่า​พระบาท​อย่า​ทรง​ประหาร​เขา​เสีย ฝ่า​พระบาท​ไม่ได้​จับ​คน​พวก​นี้​มา​ด้วย​ดาบ และ​ธนู แล้ว​ฝ่า​พระบาท​จะ​ประหาร​พวกเขา​หรือ? ขอ​ทรง​จัด​อาหาร​และ​น้ำ​ให้​เขา​รับประทาน​และ​ดื่ม แล้ว​ปล่อย​ให้​เขา​ไป​หา​เจ้านาย​ของ​เขา​เถิด

     (He answered, “You shall not strike them down. Would you strike down those whom you have taken captive with your sword and with your bow? Set bread and water before them, that they        may eat and drink and go to their master.” )

6:23 “พระองค์ ​จึง​ทรง​จัด​การ​เลี้ยง​ใหญ่​ให้​เขา และ​เมื่อ​เขา​ได้​กิน​และ​ดื่ม​แล้ว​ก็​ทรง​ปล่อย​เขา​ไป และ​เขา​ทั้งหลาย​ได้​กลับ​ไป​หา​เจ้านาย​ของ​ตน และ​พวก​ซีเรีย​ไม่ได้​มา​ปล้น​ใน​แผ่นดิน​อิสราเอล​อีก​เลยเบนฮาดัด​ล้อม​กรุง​สะมาเรีย”

   So he prepared for them a great feast, and when they had eaten and drunk, he sent them away,   and they went to their master. And the Syrians did not come again on raids into the land of       Israel. Ben-hadad’s Siege of Samaria)

6:24 “ต่อ​มา​ภายหลัง เบนฮาดัด​พระราชา​แห่ง​ซีเรีย​ทรง​จัด​กองทัพ​ทั้งสิ้น​ของ​พระองค์ แล้ว​ได้​เสด็จ​ขึ้น​ไป​ล้อม​กรุง​สะมาเรีย”

                 (Afterward Ben-hadad king of Syria mustered his entire army and went up and besieged  Samaria. )

6:25 “มี​การ​กันดาร​อาหาร​อย่าง​หนัก​ใน​สะมาเรีย ขณะ​เมื่อ​เขา​ล้อม​อยู่​จน​หัว​ลา​ตัว​หนึ่ง​เขา​ขาย​กัน เป็น​เงิน 80  เชเขล และ​แห้ว​ครึ่ง​ลิตร​เป็น​เงิน 5 เชเขล”

     (And there was a great famine in Samaria, as they besieged it, until a donkey’s head was sold  for eighty shekels of silver, and the fourth part of a kab of dove’s dung for five shekels of silver. )

6:26 “ขณะ​ที่​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​ทรง​ผ่าน​ไป​บน​กำแพง มี​ผู้หญิง​คน​หนึ่ง​ร้องทูล​พระองค์​ว่า “ข้าแต่​พระราชา เจ้านาย​ของ​ข้า​พระบาท ขอ​ทรง​ช่วย​เถิด

      (Now as the king of Israel was passing by on the wall, a woman cried out to him, saying, “Help,  my lord, O king!” )

6:27 “พระองค์​ตรัส​ว่า “ถ้า​พระยาห์เวห์​ไม่​ทรง​ช่วย​เจ้า เรา​จะ​เอา​ความ​ช่วยเหลือ​จาก​ที่ไหน​มา​ให้​เจ้า? จาก​ลาน​นวดข้าว​หรือ​จาก​บ่อ​ย่ำ​องุ่น​หรือ?”

       (And he said, “If the Lord will not help you, how shall I help you? From the threshing floor, or  from the winepress?” )

6:28 “แต่​พระราชา​ตรัส​ถาม​นาง​ว่า “เจ้า​มี​เรื่อง​อะไร?” นาง​ทูล​ตอบ​ว่า “หญิง​คน​นี้​บอก​ข้า​พระบาท​ว่า ‘เอา​ลูก​ของ​เจ้า​มา​ให้​พวก​เรา​กิน​วันนี้​เถิด และ​พวก​เรา​จะ​กิน​ลูก​ของ​ฉัน​วัน​พรุ่งนี้’”

      (And the king asked her, “What is your trouble?” She answered, “This woman said to me, ‘Give  your son, that we may eat him today, and we will eat my son tomorrow.’ )

6:29 “เรา​จึง​ต้ม​ลูก​ของ​ข้า​พระบาท​และ​กิน และ​รุ่งขึ้น​ข้า​พระบาท​ก็​พูด​กับ​นาง​ว่า ‘เอา​ลูก​ของ​เจ้า​มา เพื่อ​พวก​เรา​จะ​กิน​กัน และ​นาง​ก็​ซ่อน​ลูก​ของ​นาง​เสีย

       (So we boiled my son and ate him. And on the next day I said to her, ‘Give your son, that we   may eat him.’ But she has hidden her son.” )

6:30 “และ​เมื่อ​พระราชา​ทรง​ได้ยิน​ถ้อยคำ​ของ​หญิง​นั้น พระองค์​ก็​ฉีก​ฉลอง​พระองค์ (พระองค์​กำลัง​ทรงดำเนิน​อยู่​บน​กำแพง) ประชาชน​ก็​มอง​และ​เห็น​พระองค์​ทรง​ฉลอง​พระองค์​ผ้ากระสอบ​อยู่​แนบ​เนื้อ”

      (When the king heard the words of the woman, he tore his clothes—now he was passing by on  the wall—and the people looked, and behold, he had sackcloth beneath on his body— )

6:31 “และ​พระองค์​ตรัส​ว่า “ถ้า​ศีรษะ​ของ​เอลีชา​บุตร​ชาฟัท​ยัง​อยู่​บน​บ่า​ของ​เขา​ใน​วันนี้ ก็​ขอ​พระเจ้า​ทรง​ลงโทษ​เรา​และ​ยิ่ง​หนัก​กว่า

                 (and he said, “May God do so to me and more also, if the head of Elisha the son of Shaphat  remains on his shoulders today.”)

6:32 “แต่​เอลีชา​นั่ง​อยู่​ใน​บ้าน​ของ​ท่าน และ​พวก​ผู้ใหญ่​ก็​นั่ง​อยู่​ด้วย พระราชา​ทรง​ใช้​คน​จาก​ราชสำนัก แต่ก่อน​ที่​ผู้​สื่อ สาร​จะ​มา​ถึง เอลีชา​ก็​พูด​กับ​พวก​ผู้ใหญ่​ว่า “ท่าน​ทั้งหลาย​เห็น​หรือ​ไม่​ว่า ฆาตกร​คน​นี้​ใช้​คน​มา​เอา​ศีรษะ​ของ​เรา ดูสิ เมื่อ​ผู้​สื่อสาร​มา จง​ปิด​ประตู และ​ยึด​ประตู​ให้​แน่น กัน​เขา​ไว้ เสียง​เท้า​ของ​นาย​ของ​เขา​ตาม​เขา​มา​ไม่ใช่​หรือ?”

  (Elisha was sitting in his house, and the elders were sitting with him. Now the king had dispatched a man from his presence, but before the messenger arrived Elisha said to the elders,  “Do you see how this murderer has sent to take off my head? Look, when the messenger comes,   shut the door and hold the door fast against him. Is not the sound of his master’s feet behind  him?” )

6:33 “ขณะ​ที่​ท่าน​ยัง​พูด​กับ​เขา​ทั้งหลาย​อยู่ ดูสิ พระราชา​เสด็จ​ลง​มา​หา​ท่าน​และ​ตรัส​ว่า “เหตุร้าย​นี้​มา​จาก​พระยาห์เวห์ ข้าพเจ้า​จะ​รอคอย​พระยาห์เวห์​อีก​ทำไม?”

     (And while he was still speaking with them, the messenger came down to him and said, “This  trouble is from the Lord! Why should I wait for the Lord any longer?”)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

6:1       “พวกผู้เผยพระวจนะ” ( the prophets    ) -2:3;1ซมอ.10:5

6:2       “มาสร้างเป็นที่อาศัย” (make a place) = คำภาษาฮีบรูวลีนี้สามารถแปลได้ว่า “สถานที่ให้เรานั่ง”อาจหมายถึงห้องประชุมในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง

-นักวิชาการบางคนคิดว่า ผู้เผยพระวจนะอาศัยอยู่รวมกันในบ้านหลังเดียว แต่ใน 4:1-7 สื่อเป็นนัย ๆ ว่า สมาชิกกลุ่มของผู้เผยพระวจนะ อาศัยอยู่แยกกัน (1ซมอ.19:18)

6:5       “ขวานนั้นข้ายืมเขามา” (It was borrowed) = เวลานั้นหัวขวานเหล็กเป็นเครื่องมือที่มีราคาแพงเกินกว่าที่สมาชิกในกลุ่มผู้เผยพระวจนะจะซื้อมาเอง ถ้าทำหายไปผู้ที่ยืมมาจะต้องทำงานชดใช้มูลค่าขวานนั้น ถ้าไม่มีจ่ายอาจต้องทำงานหนักเพื่อชดใช้หนี้ในฐานะทาส

6:6       “ท่านก็ตัดไม้อันหนึ่งทิ้งลงไปที่นั่น ทำให้ขวานเหล็กนั้นลอยขึ้นมา” (he cut off a stick and threw it in there and made the iron float.)= แสดงถึงความห่วงใยในสวัสดิภาพของบรรดาคนที่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้า

6:8       “พระราชาแห่งซีเรีย” (   king of Syria     ) = น่าจะเป็น “เบนฮาดัดที่ 2” (5:1)

          “รบกับอิสราเอล” (warring against Israel,) = การรบตามแนวชายแดนมากกว่าจะเป็นการสงครามเต็มรูปแบบ (ข.23;5:2) –ตัวบ่งชี้ว่า อิสราเอลอ่อนแอในขณะที่ซีเรีย(หรืออารัม) เข้มแข็งกว่า ดูได้จากการที่ซีเรียสามารถส่งกองทหารไปยังโดธาน (ห่างจากสะมาเรียไปทางเหนือประมาณ 18 กิโลเมตรเท่านั้น) โดยไม่ลำบาก (ข.13-14)

6:9       “คนของพระเจ้า” (man of God  )  = เอลีชา (ข.)

“พระราชาแห่งอิสราเอล” (king of Israel) = โยรัม (1:17;3:1;9:24)

6:11     “พวกท่านจะไม่บอกเราหรือว่าคนไหนในพวกเราที่อยู่ฝ่ายพระราชาแห่งอิสราเอล?” (     Will you not how me who of us is for the king of Israel?) = พระราชาแห่งซีเรียถามหาว่าใครเป็นสายให้แก่พวกอิสราเอล เพราะมีหลักฐานให้ประจักษ์หลายครั้งว่า อิสราเอลรู้แผนการทางทหารของซีเรียเบนฮาดัด 2  จึงระแวงสงสัยว่า จะมีคนทรยศอยู่ในหมู่ข้าราชการระดับสูงของตนเอง

6:13     “เพื่อเราจะใช้คนไปจับเขามา” (seize him) = เบนฮาดัด คิดจะกำจัดเอลีชาเพื่อไม่ให้สื่อสารกับกษัตริย์อิสราเอล โดยการรับตัวท่านไป

“โดธาน” (Dothan) = อยู่บนเนินเขาเกือบกึ่งกลางระหว่างอิสราเอลและสะมาเรีย (1:2;3:1;8:29; 9:15;10:1;1พกษ.21:1)

6:16     “อย่ากลัวเลย เพราะฝ่ายเรามีมากกว่าฝ่ายเขา” (Do not be afraid, for those who are with us are more than those who are with them.) = เอลีชารู้ว่า เหล่าทูตสวรรค์ที่มองไม่เห็นนั้นมีจำนวนและกำลังเข้มแข็งมากกว่าที่กองทัพซีเรียจะเปรียบได้ (2พศด.32:7-8;สดด.34:7;1ยน.4:4)

6:17     “และเห็นภูเขาเต็มไปด้วยม้า และรถรบเพลิงรอบเอลีชา” (he saw, and behold, the mountain was full of horses and chariots of fire all around Elisha) = คำอธิษฐานของเอลีชาทำให้คนรับใช้หนุ่มได้เห็นกองกำลังหรือกองทัพทูตสวรรค์ที่ชุมนุมรอบเอลีชา (ปฐก.32:1-2;สดด.34:7;91:11-12;มธ.18:10;26:53; 2พกษ.2:11)

6:18     “ขอทรงให้คนเหล่านั้นตาบอด”(Please strike this people with blindness)= เอลีชาขอให้ทหารซีเรีย  ตาบอดและมองอะไรไม่เห็น (ปฐก.19:11)

6:19     “ไม่ใช่ทางนี้ และไม่ใช่เมืองนี้ จงตามข้ามา” (This is not the way, and this is not the city. Follow me) = พวกทหารซีเรียเชื่อว่า พวกเขาจะถูกพาไปยังเมืองที่พบเอลีชาได้ และเอลีชาไม่ได้โกหก เพราะท่านพาพวกเขาไปสะมาเรีย เมืองหลวงที่เป็นป้อมปราการของอาณาจักรเหนือ (อพย.1:19-20;ยชว.2:6;1ซมอ.16:1-2)

6:20     “เขาอยู่กลางกรุงสะมาเรีย” (they were in the midst of Samaria  )= ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่กระทำกิจเพื่อเอลีชาทำให้กองทหารซีเรียที่ต้องการมาจับกุมเอลีชากลับถูกจับเสียเอง

6:22     “ขอฝ่าพระบาทอย่าประหารเขาเสีย” (You shall not strike them down) = ทหารเหล่านี้ถูกจับกุมด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้า ไม่ใช่เพราะความเก่งของโยรัม แต่พระเจ้าสำแดงให้ทั้งโยรัมและทหาร รวมทั้งประชาชนตระหนักว่า ความมั่นคงปลอดภัยของอิสราเอลนั้นแท้จริงขึ้นอยู่กับพระเจ้า ไม่ใช่อยู่ที่อำนาจหรือกลยุทธทางทหาร

6:23     “พวกซีเรียไม่ได้มาปล้นในแผ่นดินอิสราเอลอีกเลย” (Syrians did not come again)  ข.8;5:2    ทำให้อย่างน้อยชาวซีเรียได้ตระเหนักว่า ไร้ประโยชน์ที่จะต่อกรกับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าไปชั่วระยะหนึ่ง

6:24    “เบนฮาดัด” (Ben-hadad) = เคยมาล้อมเมืองสะมาเรียครั้งก่อน (13:3;1พกษ.20:1) เหตุการณ์โจมตีน่าจะเกิดขึ้นในราว 850 ก.ค.ศ.

6:25     “หัวลาตัวหนึ่ง” (donkey’s head ) = ตามบทบัญญัติ ลาเป็นสัตว์มลทิน และห้ามรับประทาน (ลนต.11:2-7;ฉธบ.14:4-8)

แต่การกันดารอาหารที่รุนแรงทำให้ชาวเมืองสะมาเรียไม่เพียงยกเลิกกฎบัญญัติข้อนี้ แต่ยังยอมจ่ายราคาแพงสำหรับสิ่งที่กินแทบไม่ได้นี้ “เงิน 80 เชเขล” (eighty shekels of silver) –ใน 5:5 ก็เคยกล่าวถึงเงินหนัก 10 ตะลันต์หรือ 340 กิโลกรัม และทองคำ 6000 เชเขล หรือราว 70 กิโลกรัม

เงิน 1 เชเขล = หนักราว ๆ 11.5 กรัม (7:1,16,18) (หรือค่าแรง 4 วัน)

6:27     “ถ้าพระยาห์เวห์ไม่ทรงช่วยเจ้า เราจะเอาความช่วยเหลือมาจากที่ไหนมาให้เจ้า?” (If the Lord will not help you, how shall I help you?) = โยรัมเข้าใจถูกต้องว่า ตัวของเขาไม่สามารถช่วยเหลือหญิงคนนี้ หากพระเจ้าไม่ช่วยเหลืออิสราเอล แต่เขาสื่อในทำนองว่า พระเจ้าเป็นผู้ทำให้เหตุการณ์เกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่เกิดจากการไม่เชื่อฟังพระเจ้าและการกราบไหว้รูปเคารพของพวกอิสราเอลเอง

6:28     “และพวกเราจะกินลูกของฉันวันพรุ่งนี้” (Give your son, that we may eat him today) = ความบาปของกษัตริย์และประชาชนมีมากจนพวกเขาต้องเผชิญกับคำสาปแช่งตามพันธสัญญาใน  ลนต.26:29; ฉธบ.28:53,57(พคค.4:10)

6:30     “พระองค์ก็ฉีกฉลองพระองค์” ( he tore his clothes) = น่าจะเป็นเพราะโกรธเอลีชา และพระเจ้า (ข.31) มากกว่ากลับใจใหม่และเสียใจต่อบาปที่ก่อให้เกิดคำสาปตามพันธสัญญา

“ฉลองพระองค์ผ้ากระสอบ” (sackcloth beneath on his body) = ผ้าเนื้อหยาบที่มักสวมเพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงการไว้ทุกข์(ปฐก.37:34;วว.11:3)

6:31     “ก็ขอพระเจ้าทรงลงโทษเราและยิ่งหนักกว่า” (May God do so to me and more also) = ขอให้พระเจ้าจัดการกับเราอย่างหนักที่สุด = สำนวนในการสาปแช่ง (1ซมอ.3:17)

“ถ้าศีรษะของเอลีชาบุตรชาฟัทยังอยู่บนบ่าของเขาในวันนี้” (if the head of Elisha the son of Shaphat remains on his shoulders today.) =โยรัมโทษว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานั้น เป็นผลมากจากเอลีชา เปรียบได้กับท่าทีของอาหับที่มีต่อเอลียาห์ (1พกษ.18:10,16-17;21:20)

6:32     “พวกผู้ใหญ่”( elders) = ผู้อาวุโสหรือผู้นำของเมือง (อพย.3:16;2ซมอ.3:17)

= พวกเขาอยู่ฝ่ายเอลีชามากกว่าอยู่ฝ่ายกษัตริย์โยรัม

6:33     “เหตุร้ายนี้มาจากพระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าจะรอคอยพระยาห์เวห์อีกทำไม?” (This trouble is from the Lord! Why should I wait for the Lord any longer?) = โยรัมรู้สึกไม่พอใจเอลีชา และรู้สึกว่าพระเจ้าทอดทิ้ง และโทษว่า พระเจ้าเป็นต้นเหตุของภัยพิบัติในเมือง

คำถามนำอภิปราย

  1.  คุณเคยประสบปัญหากับความคับแคบของสถานที่ ๆ ที่คุณอยู่อาศัยหรือใช้เป็นที่ประชุมบ้างหรือไม่? แล้วคุณแก้ปัญหาอย่างไร?
  2. คุณเคยมีปัญหากับการสูญเสียสิ่งของหรืออุปกรณ์บางอย่าง(ที่ไม่ใช่ของคุณ) ที่คุณเองรับผิดชอบไม่ไหวบ้างหรือไม่?  เรื่องอะไร? แล้วคุณแก้ปัญหาอย่างไร? หรือพระเจ้าช่วยเหลือคุณอย่างไร?
  3. คุณเคยได้รับคำเตือนจากพระเจ้าผ่านคนของพระเจ้าบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร? แล้วคุณเชื่อฟังหรือไม่? ทำไม?แล้วเกิดอะไรขึ้นตามมา?
  4. คุณเคยปอคิดแผนการที่ไม่ดีที่จะกระทำ แต่ดูเหมือนว่า แผนเหล่านั้นไม่ประสบความสำเร็จจนคุณระแวงว่ามีคนบางคนในพวกคุณเป็นสายให้กับคนที่คุณต้องการเล่นงานบ้างหรือไม่?  แบ่งปัน
  5. คุณเคยคิดปองร้ายต่อผู้รับใช้พระเจ้า(หรือคนของพระเจ้า) และลงมือเล่นงานเขาบ้างหรือไม่? อย่างไร? แล้วผลเป็นอย่างไร?
  6. พระเจ้าเคยเปิดตาของคุณให้เห็นกองกำลังหรือสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้บ้างหรือมไ?  อย่างไร?
  7. คุณเคยชนะความชั่วด้วยความดีมีน้ำใจต่อคนที่คิดร้ายต่อคุณบ้างหรือไม่?  เรื่องอะไร?  และอย่างไร?
  8. คุณเคยประสบสภาวะยากลำบากจนคิดหรือกระทำการใดที่ไร้มนุษยธรรม โดยไม่ละอายเพื่อเอาตัวรอด แล้วยังต่อว่าพระเจ้าหรือไม่? อย่างไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์