Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียน 2 พงศ์กษัตริย์ บทที่ 19

จะล่มจม!

พระธรรม        2พงศ์กษัตริย์ 19:1-37

อ้างอิง           อสย.37:1-13,14-20;21-38;2พศด.32:20-21

บทนำ           คนที่หมิ่นประมาทพระเจ้าด้วยคำพูดและการกระทำ จะล่มจม!

เพียงแต่ขึ้นอยู่กับเวลาที่พระเจ้าจะจัดการ หากเราอยู่ฝ่ายพระเจ้า เราก็ไม่เหลืออะไรให้กังวล มีแต่ต้องวางใจ และอดทนรอคอยเวลาของพระองค์เท่านั้น

บทเรียน

19:1 “ต่อ​มา​เมื่อ​กษัตริย์​เฮเซคียาห์​ทรง​ได้​ยิน ก็​ฉีก​ฉลอง​พระองค์ และ​เอา​ผ้า​กระสอบ​คลุม​พระองค์ แล้ว​เสด็จ​เข้า​ไป​ใน​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์”

(As soon as King Hezekiah heard it, he tore his clothes and covered himself with sackcloth and went into the house of the Lord. )

19:2 “และ​พระองค์​ทรง​ใช้​เอลียาคิม​เจ้า​กรมวัง เชบนาห์​ราชเลขา​และ​พวกปุโรหิต​อาวุโส​คลุม​ตัว​ด้วย​ผ้า​กระสอบไปหา​ผู้​เผย​พระวจนะ​อิสยาห์​บุตร​อามอส”

(And he sent Eliakim, who was over the household, and Shebna the secretary, and the senior priests, covered with sackcloth, to the prophet Isaiah the son of Amoz. )

19:3 “เขา​ทั้งหลาย​เรียน​ท่าน​ว่า “เฮเซคียาห์​ตรัส​ดังนี้​ว่า ‘วันนี้​เป็น​วัน​ทุกข์ใจ วัน​ถูก​ติเตียน​และ​อดสู เด็ก​ก็​ถึง​กำหนด​คลอด​แต่​ไม่มี​ กำลัง​เบ่ง​ให้​คลอด”

       (They said to him, “Thus says Hezekiah, This day is a day of distress, of rebuke, and of disgrace; children have come to the point of birth, and there is no strength to bring them forth. )

19:4 “บาง​ที​พระยาห์เวห์​พระเจ้า​ของ​ท่าน​ทรง​ได้ยิน​ถ้อยคำ​ทั้งสิ้น​ของ​ รับชาเคห์ ผู้​ที่​พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย​นาย​ของ​เขา​ได้​ส่ง​มา​เยาะเย้ย​ พระเจ้า​ผู้​ทรง​พระชนม์ และ​พระองค์​จะ​ทรง​ว่า​กล่าว​เขา​ด้วย​เรื่อง​ถ้อยคำ​ซึ่ง​พระยาห์เวห์พระเจ้า​ของ​ท่าน​ทรง​ได้​ ยิน เพราะ​ฉะนั้น​ขอ​ท่าน​อธิษฐาน​เพื่อ​คน​ที่​เหลือ​อยู่​นี้

       (It may be that the Lord your God heard all the words of the Rabshakeh, whom his master the king of  Assyria has sent to mock the living God, and will rebuke the words that the Lord your God has heard;   therefore lift up your prayer for the remnant that is left.” )

19:5 “เมื่อ​ข้าราชการ​ของ​กษัตริย์​เฮเซคียาห์​มา​ถึง​อิสยาห์”

       (When the servants of King Hezekiah came to Isaiah, )

19:6 “อิสยาห์​ก็​บอก​เขา​ทั้งหลาย​ว่า “จง​ทูล​นาย​ของ​ท่าน​เถิด​ว่า ‘พระยาห์เวห์​ตรัส​ดังนี้​ว่า อย่า​กลัว​เพราะ​ถ้อยคำ​ที่​เจ้า​ได้ยิน​นั้นซึ่ง​ข้าราชการ​ของ​พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย​ได้​หมิ่น​ประมาท​เรา”

       (Isaiah said to them, “Say to your master, ‘Thus says the Lord: Do not be afraid because of the words that  you have heard, with which the servants of the king of Assyria have reviled me. )

19:7 “ดูสิ เรา​จะ​บรรจุ​จิตใจ​อย่าง​หนึ่ง​ใน​เขา เพื่อ​เขา​จะ​ได้ยิน​ข่าวลือ​และ​กลับ​ไป​ยัง​แผ่นดิน​ของ​เขา และ​เรา​จะ​ให้​เขา​ล้มลง​ด้วย​ ดาบ​ใน​แผ่นดิน​ของ​เขา​เอง

       (Behold, I will put a spirit in him, so that he shall hear a rumor and return to his own land, and I will make  him fall by the sword in his own land.’”)

19:8 “รับชาเคห์​ได้​กลับ​ไป และ​พบ​พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย​กำลัง​สู้รบ​กับ​เมือง​ลิบนาห์ เพราะ​เขา​ได้ยิน​ว่า​พระราชา​เสด็จ​ออก​จาก​ เมือง​ลาคีช​แล้ว”

       (The Rabshakeh returned, and found the king of Assyria fighting against Libnah, for he heard that the king  had left Lachish. )

19:9 “และ​เมื่อ​พระราชา​ทรง​ได้​ยิน​พวก​เขา​กล่าว​ถึง​ทีรหะคาห์​พระราชา​แห่ง​ คูช​ว่า “ดูสิ เขา​ได้​ยก​ออกมา​สู้รบ​กับ​พระองค์​แล้ว” พระองค์​จึง​ส่ง​บรรดา​ผู้​สื่อสาร​ไป​เฝ้า​เฮเซคียาห์​อีก ตรัส​ว่า”

       (Now the king heard concerning Tirhakah king of Cush, “Behold, he has set out to fight against you.” So  he sent messengers again to Hezekiah, saying, )

19:10 “เจ้า​จง​พูด​กับ​เฮเซคียาห์​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์​ดังนี้​ว่า ‘อย่า​ให้​พระเจ้า​ของ​ท่าน​ซึ่ง​ท่าน​พึ่ง​นั้น​หลอก​ลวง​ท่าน​ว่า เยรูซาเล็ม​จะ​ไม่​ถูก​มอบ​ไว้​ใน​มือ​ของ​พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย’”

       (“Thus shall you speak to Hezekiah king of Judah: ‘Do not let your God in whom you trust deceive you by  promising that Jerusalem will not be given into the hand of the king of Assyria. )

19:11 “ดูสิท่าน​ได้ยิน​แล้ว​ว่า บรรดา​พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย​ได้​ทำ​อะไร​กับ​แผ่นดิน​ทั้งหมด​บ้าง คือ​ทำลาย​จน​สิ้น แล้ว​ท่าน​เอง​จะ​รอด​พ้น​หรือ?”

       (Behold, you have heard what the kings of Assyria have done to all lands, devoting them to destruction.    And shall you be delivered? )

19:12 “บรรดา​พระ​ของ​ประชาชาติ​ซึ่ง​บรรพบุรุษ​ของ​เรา​ได้​ทำลาย ได้​ช่วย​กู้​พวกเขา​ให้​พ้น​หรือ? คือ​ชนชาติ​โกซาน ฮาราน เรเซฟและ​ประชาชน​ของ​เอเดน​ซึ่ง​อยู่​ใน​เทลอัสสาร์”

         (Have the gods of the nations delivered them, the nations that my fathers destroyed, Gozan, Haran,   Rezeph, and the people of Eden who were in Telassar? )

19:13 “พระราชา​ของ​ฮามัท พระราชา​ของ​อารปัด พระราชา​ของ​เมือง​เสฟารวาอิม เฮนา​และ​อิฟวาห์​อยู่​ที่ไหน?’

         (Where is the king of Hamath, the king of Arpad, the king of the city of Sepharvaim, the king of Hena, or  the king of Ivvah?’”Hezekiah’s Prayer)

19:14 “เฮเซ‍‍ ยาห์​ทรง​รับ​จดหมาย​จาก​มือ​ของ​ผู้​สื่อสาร​และ​ทรง​อ่าน และ​เสด็จ​ขึ้น​ไป​ยัง​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์ และ​เฮเซคียาห์​ทรง​คลี่​จดหมาย​นั้น​ออก​เฉพาะ​พระพักตร์​พระยาห์เวห์”

         (Hezekiah received the letter from the hand of the messengers and read it; and Hezekiah went up to the  house of the Lord and spread it before the Lord. )

19:15 “และ​เฮเซคียาห์​ทรง​อธิษฐาน​เฉพาะ​พระพักตร์​พระยาห์เวห์​ว่า “ข้าแต่​พระยาห์เวห์​พระเจ้า​แห่ง​อิสราเอล ผู้​ประทับ​เหนือ​เหล่า​เครูบ พระองค์​แต่​องค์​เดียว​ทรง​เป็น​พระเจ้า​แห่ง​บรรดา​ราชอาณาจักร​ของ ​แผ่นดิน​โลก พระองค์​ได้​ทรง​สร้าง​ฟ้า​ สวรรค์​และ​แผ่นดิน​โลก”

       (And Hezekiah prayed before the Lord and said: “O Lord, the God of Israel, enthroned above the  cherubim, you are the God, you alone, of all the kingdoms of the earth; you have made heaven and earth.)

19:16 “ข้าแต่​พระยาห์เวห์ ขอ​ทรง​เงี่ย​พระกรรณ​สดับ ข้าแต่​พระยาห์เวห์ ขอ​เบิก​พระเนตร​มอง​ดู และ​ขอ​ทรง​ฟัง​ถ้อยคำ​ของ​เซน‍นาเคอริบ​ซึ่ง​เขา​ได้​ส่ง​มา​เย้ย​ พระเจ้า​ผู้​ทรง​พระชนม์”

       (Incline your ear, O Lord, and hear; open your eyes, O Lord, and see; and hear the words of Sennacherib,  which he has sent to mock the living God. )

19:17 “ข้าแต่​พระยาห์เวห์ เป็น​ความ​จริง​ที่​พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย​ได้​ทำ​ให้​ประชาชาติ​และ​แผ่นดิน​ของ​พวกเขา​ร้างเปล่า”

         (Truly, O Lord, the kings of Assyria have laid waste the nations and their lands )

19:18 “และ​ได้​เหวี่ยง​พระ​ของ​พวกเขา​ลง​ใน​กอง​ไฟ เพราะ​สิ่ง​เหล่า​นั้น​ไม่​ใช่​พระเจ้า เป็น​แต่​ผลงาน​ของ​มือ​มนุษย์ เป็น​ไม้​และ​หินเพราะ​ฉะนั้น​จึง​ถูก​ทำลาย”

         (and have cast their gods into the fire, for they were not gods, but the work of men’s hands, wood and  stone. Therefore they were destroyed. )

19:19 “ฉะนั้น​บัดนี้ ข้าแต่​พระยาห์เวห์ พระเจ้า​ของ​ข้า​พระองค์​ทั้งหลาย ขอ​ทรง​ช่วย​พวก​ข้า​พระองค์​ให้​พ้น​มือ​ของ​เขา เพื่อ​ราช‍อาณาจักร​ทั้งสิ้น​แห่ง​แผ่นดิน​โลก​จะ​ทราบ​ว่า พระองค์​คือ​พระยาห์เวห์ ทรง​เป็น​พระเจ้า​แต่​องค์​เดียว

         (So now, O Lord our God, save us, please, from his hand, that all the kingdoms of the earth may know   that you, O Lord, are God alone.”)

19:20 “แล้ว​อิสยาห์​บุตร​อามอส​ได้​ใช้​คน​ไป​เฝ้า​เฮเซคียาห์​ทูล​ว่า “พระยาห์เวห์​พระเจ้า​แห่ง​อิสราเอล​ตรัส​ดังนี้​ว่า ‘เรา​ได้ยิน​คำ​อธิษฐาน​ของ​เจ้า​เรื่อง​เซนนาเคอริบ พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย​แล้ว’”

       (Then Isaiah the son of Amoz sent to Hezekiah, saying, “Thus says the Lord, the God of Israel: Your   prayer to me about Sennacherib king of Assyria I have heard. )

19:21 “ต่อไป​นี้​เป็น​พระวจนะ​ที่​พระยาห์เวห์​ตรัส​เกี่ยวกับ​ท่าน​นั้น​ว่า ‘ธิดา​พรหมจารี​แห่ง​ศิโยน ดูถูก​เจ้า และ​เย้ย​เจ้าธิดา​แห่ง​เยรูซาเล็ม​สั่น​ศีรษะ​ตาม​หลัง​ใส่​เจ้า”

         (This is the word that the Lord has spoken concerning him:“She despises you, she scorns you—the virgin   daughter of Zion;she wags her head behind you—the daughter of Jerusalem.)

19:22 “เจ้า​เย้ย​และ​กล่าว​หยาบช้า​ต่อ​ผู้ใด? เจ้า​ขึ้น​เสียง​ของ​เจ้า​ต่อ​ผู้ใด? แล้ว​เบิ่ง​ตา​ของ​เจ้า​อย่าง​เย่อหยิ่ง​ต่อ​ผู้ใด? ต่อ​องค์​ บริสุทธิ์​แห่ง​อิสราเอล​น่ะ​ซิ”

         (“Whom have you mocked and reviled?Against whom have you raised your voiceand lifted your eyes to   the heights?Against the Holy One of Israel!)

19:23 “เจ้า​ได้​เย้ย​องค์​เจ้านาย​ด้วย​ผู้สื่อสาร​ของ​เจ้า และ​เจ้า​ได้​ว่า “ด้วย​รถรบ​มาก​มาย​ของ​ข้า ข้า​ได้​ขึ้น​ไป​ที่​สูง​ของ​ภูเขา ถึง​ที่​ไกล​สุด​ของ​เลบานอน ข้า​โค่น​ต้นสน​สีดาร์​ที่​สูง​ที่สุด​ของ​มัน​ลง ทั้ง​ต้นสน​สามใบ​ที่ดี​ที่สุด​ของ​มัน ข้า​เข้า​ไป​ยัง​ที่​พัก​ไกล​ลิบ​ที่สุด​ ของ​มัน ที่​ป่าไม้​ที่​ทึบ​ที่สุด​ของ​มัน”

       ( By your messengers you have mocked the Lord,and you have said, ‘With my many chariotsI have gone up the heights of the mountains,to the far recesses of Lebanon;I felled its tallest cedars,its choicest  cypresses;I entered its farthest lodging place,its most fruitful forest.)

19:24 “ข้า​ขุด​บ่อ และ​ดื่ม​น้ำ​ใน​ดินแดน​ต่างด้าว ข้า​เอา​ฝ่าเท้า​ของ​ข้า ทำ​ให้​ธารน้ำ​ทั้งสิ้น​ของ​อียิปต์​แห้ง​ไป

         (I dug wellsand drank foreign waters,and I dried up with the sole of my footall the streams of Egypt.’)

19:25 “‘เจ้า ​ไม่ได้ยิน​หรือ? เรา​ได้​จัด​ไว้​นาน​แล้ว เรา​ได้​กะ​แผนงาน​ไว้​แต่​ดึก​ดำบรรพ์ ณบัดนี้​เรา​ให้​เป็น​ไป​แล้ว คือ​เจ้า​จะ​ทำ​เมือง​ ที่​มี​ป้อม​ให้​พัง​ลง ให้​เป็น​กอง​สิ่ง​ปรัก​หัก​พัง”

         (“Have you not heardthat I determined it long ago?I planned from days of old what now I bring to  pass,that you should turn fortified cities into heaps of ruins, )

19:26 “ส่วน​ชาว​เมือง​นั้น​ก็​หมด​อำนาจ ตก​ตลึง​และ​อับอาย กลาย​เป็น​เหมือน​ต้นไม้​ที่​ทุ่งนา และ​เหมือน​หญ้า​อ่อน เหมือน​หญ้า​บน​หลังคา​เรือน แห้ง​ไป​ก่อน​ที่​จะ​งอกงาม”

    (while their inhabitants, shorn of strength,are dismayed and confounded,and have become like plants of  the field and like tender grass,like grass on the housetops,blighted before it is grown.)

19:27 “‘แต่​เรา​ได้​รู้จัก​การ​ที่​เจ้า​นั่งลง การ​ที่​เจ้า​ออก​ไป​และ​การ​ที่​เจ้า​เข้า​มา และ​การ​เกรี้ยวกราด​ของ​เจ้า​ต่อ​เรา”

         (“But I know your sitting down and your going out and coming in,and your raging against me.)

19:28 “เพราะ ​การ​เกรี้ยวกราด​ของ​เจ้า​ต่อ​เรา และ​ความ​จองหอง​ของ​เจ้า​ได้​มา​เข้า​หู​ของ​เรา ฉะนั้น​เรา​จะ​เอา​ขอ​ของ​เรา​เกี่ยว​จมูก​เจ้า และ​เอา​บังเหียน​ของ​เรา​ใส่​ปาก​เจ้า แล้ว​เรา​จะ​หัน​เจ้า​กลับ​ไป​ตาม​ทาง ซึ่ง​เจ้า​มา​นั้น”

         (Because you have raged against me and your complacency has come into my ears,I will put my hook in  your nose and my bit in your mouth,and I will turn you back on the way by which you came.)

19:29 “‘และ​นี่​จะ​เป็น​หมายสำคัญ​แก่​เจ้า คือ ปี​นี้​เจ้า​จะ​กิน​สิ่ง​ที่​งอกขึ้น​เอง และ​ใน​ปี​ที่​สอง​สิ่ง​ที่​ผลิ​จาก​เดิม แล้ว​ใน​ปี​ที่​สาม​จง​หว่าน​และ​เกี่ยว​และ​ทำ​สวนองุ่น และ​กิน​ผล​ของ​มัน”

         (“And this shall be the sign for you: this year eat what grows of itself, and in the second year what  springs of the same. Then in the third year sow and reap and plant vineyards, and eat their fruit. )

19:30 “คน​ที่​เหลือ​อยู่​แห่ง​เชื้อ​วงศ์​ของ​ยูดาห์​จะ​หยั่ง​ราก​ลง​ล่าง และ​เกิดผล​ขึ้น​บน”

         (And the surviving remnant of the house of Judah shall again take root downward and bear fruit upward. )

19:31 “เพราะ​คน​ที่​รอด​จะ​ออก​จาก​เยรูซาเล็ม และ​คน​ที่​เหลือ​อยู่​จะ​ออก​จาก​ภูเขา​ศิโยน ความ​กระตือรือร้น​ของ​พระยาห์เวห์​จะ​ทำ​ การ​นี้’”

         (For out of Jerusalem shall go a remnant, and out of Mount Zion a band of survivors. The zeal of the Lord  will do this.)

19:32 “เพราะ​ฉะนั้น พระยาห์เวห์​ตรัส​เกี่ยว​กับ​พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย​ดังนี้​ว่า ‘เขา​จะ​ไม่​เข้า​ใน​เมือง​นี้ หรือ​ยิง​ลูกธนู​ไป​ที่นั่น หรือ​ถือ​โล่​เข้า​มา​หน้า​เมือง หรือ​สร้าง​เชิงเทิน​สู้​มัน”

         (“Therefore thus says the Lord concerning the king of Assyria: He shall not come into this city or shoot an  arrow there, or come before it with a shield or cast up a siege mound against it. )

19:33 “เขา​มา​ทาง​ไหน เขา​จะ​กลับ​ไป​ทาง​นั้น เขา​จะ​ไม่​เข้า​เมือง​นี้ พระยาห์เวห์​ตรัส​ดังนี้​แหละ”

         (By the way that he came, by the same he shall return, and he shall not come into this city, declares the   Lord. )

19:34 “เพราะ​เรา​จะ​ป้องกัน​เมือง​นี้​ไว้​ให้​รอด เพื่อ​เห็นแก่​เรา​เอง และ​เห็นแก่​ดาวิด​ผู้​รับใช้​ของ​เรา

         (For I will defend this city to save it, for my own sake and for the sake of my servant David.”)

19:35 “และ​อยู่​มา​ใน​คืน​นั้น ทูต​ของ​พระยาห์เวห์​ได้​ออก​ไป และ​ได้​ประหาร​คน​ใน​ค่าย​อัสซีเรีย​เสีย 185,000 คน และ​เมื่อ​คน​ลุก ขึ้น​ใน​เวลา​เช้ามืด ดูสิ พวก​เขา​ทั้งหมด​กลาย​เป็น​ศพ.

         (And that night the angel of the Lord went out and struck down 185,000 in the camp of the Assyrians. And  when people arose early in the morning, behold, these were all dead bodies. )

19:36 “ดังนั้น​เซนนาเคอริบ​พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย​จึง​ยก​กลับ​ไป และ​อยู่​ใน​กรุง​นีนะเวห์”

         (Then Sennacherib king of Assyria departed and went home and lived at Nineveh. )

19:37 “และ​อยู่​มา​เมื่อ​ท่าน​นมัสการ​ใน​นิเวศ​ของ​พระนิสโรค​ พระ​ของ​ท่าน อัดรัมเมเลค​และ​ชาเรเซอร์ พระราชโอรส​ของ​ท่าน​ก็​ประหาร​ท่าน​ด้วย​ดาบ และ​หนี​ไป​ยัง​แผ่นดิน​อารารัต และ​เอสารฮัดโดน​พระราชโอรส​ของ​ท่าน​ก็​ขึ้น​ครองราชย์​แทน”

         (And as he was worshiping in the house of Nisroch his god, Adrammelech and Sharezer, his sons, struck  him down with the sword and escaped into the land of Ararat. And Esarhaddon his son reigned in his  place.)

 ข้อมูลมีประโยชน์

19:1     “ผ้ากระสอบ” (sackcloth) –6:30

19:2     “เจ้ากรมวัง” (the household) –1พกษ.4:6

“ราชเลขา” (the secretary) –2ซมอ.8:17

“ปุโรหิตอาวุโส” (the senior priests) = อาจเป็นสมาชิกสูงอายุในตระกูลปุโรหิต (ยรม.19:1)

-วิกฤติครั้งนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นกับกรุงเยรูซาเล็มเท่านั้น แต่เกี่ยวพันกับพระวิหารด้วย

“ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์” (the prophet Isaiah) = การกล่าวอ้างถึงอิสยาห์เป็นครั้งแรกในพระธรรมพงศ์กษัตริย์ ทั้ง ๆ ที่อิสยาห์ได้รับใช้กระทำพันธกิจมาตั้งแต่ในสมัยกษัตริย์อุสซียาห์ , โยธาม และอาหัสมาแล้ว (อสย.1:1)

19:3     “เด็กก็ถึงกำหนดคลอด แต่ไม่มีกำลังเบ่งให้คลอด” (hildren have come to the point of birth, and there is no strength to bring them forth) = ภาพเปรียบของภัยคุกคามที่กำลังเกิดขึ้นกับเมืองนั้นถึงจุดวิกฤติแล้ว

19:4    “พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์” (the living God) = ตรงข้ามกับพระเทียมเท็จใน 18:33-35

ปท. การเย้ยหยันพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ และทรงพระชนม์ ใน 1ซมอ.17:26,36,45

“ขอท่านอธิษฐานเผื่อคนที่เหลืออยู่” (prayer for the remnant) = การอธิษฐานร้องทูลเป็นพันธกิจที่สำคัญของผู้เผยพระวจนะ

ตย. การร้องทูลของโมเสสและซามูเอล ใน อพย.32:31-32;33:12-17;กดว.14:13-19;1ซมอ.7:8-9; 12:19,23;สดด.99:6;ยรม.15:1

“คนที่เหลืออยู่” (that is left) = พวกที่หลงเหลืออยู่ในยูดาห์ หลังจากที่เซนนาเคอริบยึดครองเมืองหลายเมือง และกวาดต้อนคนไปเป็นจำนวนมาก (18:13, ปท. อสย.10:23-32)

หลักฐานทางโบราณคดีเปิดเผยว่า มีชาวอิสราเอลจำนวนมากที่หนีจากแผ่นดินเหนือ (อิสราเอล) ซึ่งถูกอัสซีเรียรุกรานไปตั้งรกรากในยูดาห์ ดังนั้น ยูดาห์จึงกลายเป็นชนชาติของชนอิสราเอลทั้งหมดที่เหลืออยู่

19:7     “เราจะบรรจุจิตใจอย่างหนึ่งในเขา” ( I will put a spirit in him) = พระเจ้าจะบรรจุวิญญาณของความไม่มั่นคงและความกลัวลงไปในพวกเขา

“ข่าวลือ” (a rumor) =

  1. อาจเป็นรายงานที่กล่าวถึงคำท้าทายเซนนาเคอริบ จากทีรหะคาห์ แห่งอิยิปต์ (ข.9) หรือ
  2. เป็นข่าวคราว /ข่าวลือหรือข้อมูลที่น่าตกใจเกี่ยวกับบ้านเกิดเมืองนอนของเซนนาเคอริบเอง

“เราจะให้เขาล้มลงด้วยดาบในแผ่นดินของเขาเอง” ( I will make him fall by the sword in his own land.) = การลอบปลงพระชนม์เซนนาเคอริบ ในภายหลังอันเป็นผลมาจากการที่เขาดูหมิ่นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ (ข.37)

19:8     “ลิบนาห์” (Libnah) –8:22

19:9     “ทีรหะคาห์” (Tirhakah) –อสย.37:9

19:12   “โกซาน” (Gozan) -17:6

“ฮาราน” (Haran) –ปฐก 11:31

“เรเซฟ” (Rezeph) = ตั้งอยู่ทางใต้ของแม่น้ำยูเฟรติส และทางตะวันออกเฉียงเหนือของฮามัท

“เอเดน” (Eden) = บริเวณริมแม่น้ำยูเฟรติสทางตอนใต้ของฮาราน (อสค.27:23;อมส.1:5) แต่ไม่ใช่สวนเอเดนในปฐมกาล

= เมืองนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอัสซีเรียในรัชกาลของซัลมาเนเสอร์ ที่ 3 ในปี 855 ก.ค.ศ.

19:13   “ฮามัท…อิฟวาห์” (Hamath … Ivvah) –17:24

19:14   “จดหมาย” ( the letter) =สาส์น (2พศด.32:17)

19:15   “ผู้ประทับเหนือเหล่าเครูบ” ( enthroned above the cherubim) –อพย.25:18;1ซมอ.4:4

“พระองค์แต่องค์เดียวทรงเป็นพระเจ้า” (you are the God, you alone) –ข.19;ฉธบ.4:35,39; 2พกษ.18:33-35;อสย.43:11

19:18   “เป็นผลงานของมือมนุษย์” (the work of men’s hands) = เป็นสิ่งดูโง่เขลาและไร้ประโยชน์ในการกราบไหว้รูปเคารพเหล่านั้น –สดด.115:3-8;135:15-18;อสย.2:20;40:19-20;41:7;44:9-20

19:19   “เพื่อราชอาณาจักรทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินโลกจะทราบว่า…” (that all the kingdoms of the earth may know that…) = เฮเซคียาห์ เล็งเห็นว่าชื่อเสียงของพระเจ้านั้นเป็นหลักประกันสำคัญในสวัสดิภาพของชนชาติแห่งพันธสัญญาของพระองค์ –1ซมอ.12:22;ยชว.7:9;2ซมอ.7:23;สดด.23:3;อสค.5:13

19:20   “เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้า” (Your prayer to me) = ในตอนนี้เฮเซคียาห์ ไม่ได้เรียกร้องถ้อยคำอะไรจากอิสยาห์ (ปท.ข.2) –1พกษ.9:3

19:21-28 = ความหยิ่งผยองของอัสซีเรียและการเยาะเย้ยพระเจ้า กับชนชาติอิสราเอล เป็นเหตุให้พวกเขาได้รับการประกาศการพิพากษาอย่างเย้ยหยัน (สดด.2) อัสซีเรียหยิ่งผยองด้วยความเข้าใจแบบผิด ๆ (อสย.10:5-34)

19:21   “ธิดาพรหมจารีแห่งศิโยน…ธิดาแห่งเยรูซาเล็ม” (the virgin daughter of Zion…the daughter of Jerusalem) –ในบทกวีฮีบรู มีหลักว่า เมื่อเวลากล่าวถึงเมืองหลวง ประเทศ หรือชนชาติ จะแสดงลักษณะบุคคลเป็นเพศหญิง

19:22   “องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล” (the Holy One of Israel) = พระลักษณะของพระเจ้าแห่งอิสราเอลซึ่งโดดเด่นในอิสยาห์ (ลนต.11:44;อสย.1:4)

19:23   “เลบานอน…ต้นส้นสีดาห์ที่สูงที่สุด” (Lebanon… tallest cedars) –1พกษ.5:6

19:24   “ทำให้ธารน้ำทั้งสิ้นของอียิปต์แห้งไป” (all the streams of Egypt.) = คำโอ้อวดล่วงหน้าทั้ง ๆ ที่ยังไม่เคยได้ชัยต่ออียิปต์เลย

19:25   “เราได้จัดไว้นานแล้ว… ณ บัดนี้ เราให้เป็นไปแล้ว”(t I determined it long ago?…what now I bring to pass            ) = เราได้บัญชาไว้…บัดนี้เราก็ทำให้เป็นไปตามนั้น

= พระเจ้าแห่งอิสราเอลเป็นพระเจ้าผู้ครอบครองเหนือชนทุกชาติและประวัติศาสตร์

-อัสซีเรียเชื่อว่าพวกเขาได้รับชัยชนะเพราะความเก่งกล้าเกรียงไกรทางการทหารของพวกเขาเอง แต่อิสยาห์กล่าวว่า พระเจ้าเป็นเพียงผู้เดียวที่กำหนดชัยชนะเหล่านี้ (อสย.10:5-19;อสค.30:24-26)

19:28   “เราจะเอาขอเราเกี่ยวจมูกเจ้า“ (I will put my hook in your nose) = ที่ยอดเสาโอเบลิสก์ของอัสซีเรีย มีภาพกษัตริย์อัสซีเรีย (อาจเป็นเอสารฮัดโดน ผู้ครองราชย์ 681-669 ก.ค.ศ.) ถือเชือกเกี่ยวจมูกศัตรู 4 คน

-ในที่นี้ อิสยาห์สื่อว่าเป็นสิ่งเดียวกันที่จะเกิดกับเซนนาเคอริบ (อสย.37:29;อสค.38:4;อมส.4:2)

19:29   “ปีนี้เจ้าจะกินสิ่งที่งอกขึ้นเอง” ( this year eat what grows of itself) = ดูเหมือนเซนนาเคอริบ จะทำลายหรือริบพืชผลทั้งหมดซึ่งหว่านในฤดูใบไม้ร่วงของปีที่ผ่านมา ประชาชนจะมีเพียงพืชชุดที่ 2 ซึ่งงอกจากเมล็ดพันธุ์ที่หลงเหลือจากการเก็บเกี่ยวในปีก่อน (ลนต.25:5)

ดังนั้น เซนนาเคอริบ คงมาถึงยูดาห์ในเดือนมีนาคม หรือเมษายน ในช่วงการเก็บเกี่ยว

“ในปีที่สองสิ่งที่ผลิจากเดิม” (in the second year what springs of the same) = ปีที่ 2 ก็จะกินพืชพันธุ์ที่ออกผลตามมา
= เซนานาเคอริบ จะจากไปในปลายฤดูใบไม้ร่วง (ตุลาคม) ซึ่งสายเกินกว่าที่จะปลูกพืชพันธุ์ใหม่สำหรับปีถัดไป

-ในยูดาห์ พืชจะหว่านกันในเดือนกันยายน – ตุลาคม

“ในปีที่ 3 จงหว่านและเกี่ยว” (in the third year sow and reap) = หว่านและเกี่ยวเก็บผลได้ตามเวลาปกติในปีถัดไป ปีที่ 3 น่าจะหมายถึงปีที่ 3 ของการเก็บเกี่ยวซึ่งได้รับความเสียหายจากพวกอัสซีเรีย

19:30-31 “คนที่เหลืออยู่…” (the surviving) ข.4

= ดูการเปรียบเทียบของคนที่เหลืออยู่ “หยิบมือหนึ่ง” กับผู้ที่จะมีส่วนในแผนการช่วยกู้ของพระเจ้าในอนาคต (อสย.11:11,6;28:5;มคา.4:7;รม.11:5)

19:32   “เขาจะไม่เข้าในเมืองนี้” (He shall not come into this city) = เซนนาเคอริบ ที่เวลานั้นอยู่ที่ ลิบนาห์     (ข.8;8:22) ไม่สามารถทำตามคำที่ขู่ต่อเยรูซาเล็มได้ (18:13)

19:34   “…เห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา” (… my servant David) 1พกษ.11:13

19:35   “ทูตของพระยาห์เวห์” (angel of the Lord) –ปฐก.16:7

“185,000 คน” (185,000           ) –อสย.37:36

19:36   “กรุงนีนะเวห์” ( Nineveh)= เมืองหลวงของมหาอำนาจอัสซีเรีย

19:37   “อัดรัมเมเลคและชาเรเซอร์” (Adrammelech and Sharezer) = ราชโอรสของเซนนาเคอริบ

-บันทึกโบราณเปิดเผยว่า เซนนาเคอริบ ถูกสังหารในปีที่ 23 ของรัชกาลของเขา

“เอสารฮัดโดน” (Esarhaddon) = โอรสของเซนนาเคอริบ ขึ้นครองราชย์แทน (681-669 ก.ค.ศ.)

-ในประวัติศาสตร์อัสซีเรียจารึกว่า บรรดาบุตรของเซนนาเคอริบ ต่างแก่งแย่งอำนาจและสิทธิ์ในการสืบทอดบัลลังก์ การแต่งตั้งเอสารฮัดโดน เป็นรัชทายาทอาจทำให้อัดรัมเมเลคและชาเรเซอร์ ก่อการกบฎแต่ไม่สำเร็จ

 

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยทุกข์ระทมใจอย่างหนักในชีวิตบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร? แล้วคุณทำอย่างไร?
  2. ในยามที่คุณเผชิญกับภาวะวิกฤตชีวิตเช่นนั้น ใครคือบุคคลที่คุณคิดถึงหรือเข้าหาเป็นคนแรก? ทำไม? และขอให้เขาทำอะไร?
  3. คุณคิดว่า “การอธิษฐาน” มีความสำคัญอย่างไรต่อสถานการณ์ยากลำบากในชีวิตของคุณ? คุณเคยมีประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือนที่เกี่ยวข้องกับการอธิษฐานบ้างหรือไม่? อย่างไร?
  4. พระเจ้าเคยช่วยคุณผ่านเหตุการณ์ร้าย ๆ บ้างหรือไม่? พระองค์ทรงกระทำอะไร และอย่างไร?
  5. คุณเคยเจ็บปวดเพราะคำสบประมาทหรือคำเยาะเย้ย ถากถางให้อับอายอย่างมากที่สุดหรือไม่? โดยใคร และอย่างไร? แล้วคุณรับมืออย่างไร?
  6. การที่คุณรู้ว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้กำหนดและวางแผนทุกอย่างไว้ล่วงหน้าแล้ว ส่งผลอะไรต่อจิตใจ การงาน และชีวิตของคุณบ้าง?
  7. คุณเคยเห็นหรือประสบการณ์กับการที่พระเจ้าจัดการกับศัตรูของคุณ(ที่ลบหลู่พระเจ้า) บ้างหรือไม่? อย่างไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2 พงศ์กษัตริย์ บทเรียนที่ 18

เฮเซคียาห์ VS เซนนาเคอริบ

พระธรรม        2พงศกษัตริย์ 18:1-37

อ้างอิง          2พศด.29:1-2;31:1;32:1-19;อสย.36:1-22;กดว.21:9

บทนำ

ชีวิตของเราอาจเผชิญการท้าทายและการทดสอบอยู่เบื้องหน้า เราต้องพิสูจน์ว่าเราเป็นฝ่ายพระเจ้าโดยการเชื่อฟังและทำตามพระประสงค์ของพระองค์ แม้จะดูยากลำบากและสวนกระแสอยู่ก็ตาม

มีทุกอย่างโดยปราศจากพระเจ้านั้นคือ ความเข้มแข็งปลอม แต่การมีน้อยและมีพระเจ้าอยู่ด้วย คือความเข้มแข้งที่แท้จริง!

บทเรียน

18:1 “ต่อ​มา​ใน​ปี​ที่ 3 แห่ง​รัชกาล​โฮเชยา​บุตร​ยาเอลาห์ พระราชา​แห่ง​อิสราเอล เฮเซคียาห์​พระราชโอรส​ของ​อาหัส​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์​ได้​ขึ้น​ ครองราชย์”

(In the third year of Hoshea son of Elah, king of Israel, Hezekiah the son of Ahaz, king of Judah, began  to reign. )

   18:2 “เมื่อ​ทรง​เป็น​กษัตริย์​นั้น พระองค์​มี​พระชนมายุ 25 พรรษา และ​ทรง​ครองราชย์​ใน​กรุง​เยรูซาเล็ม 29 ปี พระมารดา​ของ​พระองค์​มี​พระนาม​ว่า อาบี​บุตร​หญิง​ของ​เศคาริยาห์”

       (He was twenty-five years old when he began to reign, and he reigned twenty-nine years in Jerusalem.   His mother’s name was Abi the daughter of Zechariah.)

18:3 “และ​พระองค์​ทรง​ทำ​สิ่ง​ที่​ชอบ​ธรรม​ใน​สายพระเนตร​ของ​พระยาห์เวห์ ตาม​ทุก​อย่าง​ที่​ดาวิด​บรรพบุรุษ​ของ​พระองค์​ทรง​ กระทำ”

       (And he did what was right in the eyes of the Lord, according to all that David his father had done. )

18:4 “พระองค์​ทรง​รื้อ​ปูชนียสถาน​สูง​ทิ้ง​ไป ทรง​ทำลาย​เสา​ศักดิ์สิทธิ์​ลง​เป็น​ชิ้นๆ ทรง​โค่น​เสา​อาเช-ราห์​ลง​เสีย และ​ทรง​ทุบ​งู​ทอง​สัมฤทธิ์​ซึ่ง​โมเสส​สร้าง​ขึ้น​นั้น​เสีย เพราะว่า​คน​อิสราเอล​ได้​เผา​เครื่อง​หอม​ให้​แก่​งู​นั้น​จน​ถึง​วัน​เหล่านั้น เขา​เรียก​งู​ นั้น​ว่า เนหุชทาน”

       (He removed the high places and broke the pillars and cut down the Asherah. And he broke in pieces  the bronze serpent that Moses had made, for until those days the people of Israel had made offerings  to it (it was called Nehushtan) )

18:5 “พระองค์ ​วางพระทัย​ใน​พระยาห์เวห์​พระเจ้า​แห่ง​อิสราเอล เพราะ​ฉะนั้น​ใน​บรรดา​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์​ต่อ​จาก​พระองค์​มา หรือ​ใน​บรรดา​ผู้​อยู่​ก่อน​พระองค์ ไม่มี​ผู้​ใด​เหมือน​พระองค์”

         (He trusted in the Lord, the God of Israel, so that there was none like him among all the kings of Judah after him, nor among those who were before him. )

18:6 “เพราะว่า ​พระองค์​ทรง​ยึด​พระยาห์เวห์​อย่าง​มั่น​คง พระองค์​ไม่​ทรง​หัน​จาก​การ​ติดตาม​พระเจ้า​เลย แต่​ได้​รักษา​พระบัญญัติ​ซึ่ง​พระยาห์เวห์​ทรง​บัญชา​โมเสส”

       (For he held fast to the Lord. He did not depart from following him, but kept the commandments that the  Lord commanded Moses. )

18:7 “และ​พระยาห์เวห์​สถิต​กับ​พระองค์ พระองค์​ทรง​ประสบ​ความ​สำเร็จ​ใน​ทุก​สิ่ง​ที่​ทรง​กระทำ พระองค์​ทรง​กบฏ​ต่อ​พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย และ​ไม่​ยอม​ปรนนิบัติ​ท่าน”

       (And the Lord was with him; wherever he went out, he prospered. He rebelled against the king of Assyria and  would not serve him. )

18:8 “พระองค์​ทรง​โจมตี​คน​ฟีลิสเตีย​ไกล​ไป​จน​ถึง​เมือง​กาซา​และ​ชาย​แดน​เมือง​นั้น ตั้งแต่​ที่​ที่​มี​หอ​สังเกต​การณ์​จน​ถึง​เมือง​ที่​มี​ป้อม” (He struck down the Philistines as far as Gaza and its territory, from watchtower to fortified city.)

18:9 “ต่อ​มา​ใน​ปี​ที่ 4 แห่ง​รัชกาล​กษัตริย์​เฮเซคียาห์ ซึ่ง​เป็น​ปี​ที่ 7 แห่ง​รัชกาล​โฮเชยา​บุตร​เอลาห์ พระราชา​แห่ง​อิสราเอล  แชลมาเนเสอร์​พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย​ได้​ทรง​ยก​ขึ้น​มา​รบ​กับ​ สะมาเรีย และ​ล้อม​เมือง​ไว้”

       (In the fourth year of King Hezekiah, which was the seventh year of Hoshea son of Elah, king of Israel,  Shalmaneser king of Assyria came up against Samaria and besieged it, )

18:10 “และ​เมื่อ​สิ้น 3 ปี​พวกเขา​ก็​ยึด​เมือง​นั้น​ได้ ใน​ปี​ที่ 6 แห่ง​รัชกาล​เฮเซคียาห์ ซึ่ง​เป็น​ปี​ที่ 9 แห่ง​รัชกาล​โฮเชยา​พระราชา​ แห่ง​อิสราเอล กรุง​สะมาเรีย​ก็​ถูก​ยึด​ไป”

       (and at the end of three years he took it. In the sixth year of Hezekiah, which was the ninth year of Hoshea king of Israel, Samaria was taken. )

18:11 “พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย​ได้​กวาด​ต้อน​คน​อิสราเอล​ไป​ยัง​อัสซีเรีย ไป​ไว้​ที่​ฮาลาห์ และ​ข้าง​แม่น้ำ​ฮาโบร์​แห่ง​เมือง​โกซาน และ​ใน​เมือง​ต่างๆ ของ​คน​มีเดีย”

         (The king of Assyria carried the Israelites away to Assyria and put them in Halah, and on the Habor,   the river of Gozan, and in the cities of the Medes, )

18:12 “เพราะ ​พวกเขา​ไม่​เชื่อฟัง​พระสุร​เสียง​ของ​พระยาห์เวห์​พระเจ้า​ของ​ตน แต่​ได้​ทำ​ผิด​ต่อ​พันธสัญญา​ของ​พระองค์ คือ​ทำ​ผิด​ต่อ​ ทุก​อย่าง​ซึ่ง​โมเสส​ผู้​รับใช้​ของ​พระยาห์เวห์​ได้​ สั่ง​ไว้ และ​เขา​ทั้งหลาย​ไม่​ฟัง ไม่​ทำ​ตาม”        

         (because they did not obey the voice of the Lord their God but transgressed his covenant, even all that  Moses the servant of the Lord commanded. They neither listened nor obeyed.)

18:13 “ใน​ปี​ที่ 14 แห่ง​รัชกาล​กษัตริย์​เฮเซคียาห์ เซนนาเคอริบ​พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย​ได้​ทรง​ยก​ขึ้น​มา​ต่อสู้​ บรรดาเมือง​ที่​มี​ป้อม​ของ​ ยูดาห์ และ​ยึด​ได้”

             (In the fourteenth year of King Hezekiah, Sennacherib king of Assyria came up against all the fortified  cities of Judah and took them. )

18:14 “และ​เฮเซคียาห์​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์​ทรง​ใช้​คน​ไป​ทูล​พระราชา​แห่ง​ อัสซีเรีย​ที่​เมือง​ลาคีช​ว่า “ข้าพเจ้า​ได้​ทำ​ผิดขอ​ท่าน​ถอน​ทัพ​ไป​จาก​ข้าพเจ้า ท่าน​จะ​ปรับ​เท่าไร? ข้าพเจ้า​จะ​ยอม​ทั้งสิ้น” และ​พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย​ได้​เรียกร้อง​เอา​จาก​เฮเซคียาห์​เป็น​เงิน 300 ตะลันต์ และ​ทองคำ 30 ตะลันต์”

(And Hezekiah king of Judah sent to the king of Assyria at Lachish, saying, “I have done wrong; withdraw from me. Whatever you impose on me I will bear.” And the king of Assyria required of Hezekiah king of Judah three hundred talents of silver and thirty talents of gold. )

18:15 “และ​เฮเซคียาห์​ได้​มอบ​เงิน​ทั้งหมด​ซึ่ง​มี​อยู่​ใน​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์ และ​ใน​คลัง​ของ​พระราชวัง”

         (And Hezekiah gave him all the silver that was found in the house of the Lord and in the treasuries of  the king’s house. )

18:16 “ใน​ครั้ง​นั้น เฮเซคียาห์​ทรง​ลอก​ทองคำ​จาก​ประตู​ทั้งหลาย​ของ​พระนิเวศ​ของ​ พระยาห์เวห์ และ​จาก​เสา​ประตู​ซึ่ง​เฮเซคียาห์​  พระราชา​แห่ง​ยูดาห์​ทรง​บุ​ไว้ และ​ทรง​มอบ​แก่​พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย”

         (At that time Hezekiah stripped the gold from the doors of the temple of the Lord and from the doorposts  that Hezekiah king of Judah had overlaid and gave it to the king of Assyria. )

18:17 “และ​พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย​มี​รับสั่ง​ให้​ผู้​มี​ตำแหน่ง​ทารทาน รับสารีส และ​รับชาเคห์ กับ​กองทัพ​ใหญ่​ออก​จาก​เมือง​ลาคีช​ไป​เข้า​เฝ้า​กษัตริย์​เฮเซคียาห์ที่​กรุง​เยรูซาเล็ม พวกเขา​ก็​ขึ้น​ไป​ยัง​กรุง​เยรูซาเล็ม เมื่อ​ขึ้น​มา​ก็​ตั้ง​ทัพ​อยู่​ที่​ทาง​ราง​ระบายน้ำ​สระ​ บน ซึ่ง​อยู่​ที่​ถนน​ลาน​ซักฟอก”

         (And the king of Assyria sent the Tartan, the Rab-saris, and the Rabshakeh with a great army from Lachish  to King Hezekiah at Jerusalem. And they went up and came to Jerusalem. When they arrived, they came and stood by the conduit of the upper pool, which is on the highway to the Washer’s Field. )

18:18 “และ​เมื่อ​พวกเขา​เรียก​หา​พระราชา เอลียาคิม​บุตร​ฮิลคียาห์​เจ้า​กรมวัง เชบนาห์​ราชเลขา​และ​โยอาห์​บุตร​ของ​อาสาฟ​เจ้ากรม​ สารบรรณ​ได้​ออก​ มา​พบ​พวกเขา”

         (And when they called for the king, there came out to them Eliakim the son of Hilkiah, who was over the household, and Shebnah the secretary, and Joah the son of Asaph, the recorder.)

18:19 “และ​รับชาเคห์​พูด​กับ​พวกเขา​ว่า “จง​บอก​เฮเซคียาห์​ว่า ‘พระมหาราชา​คือ​พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย​ตรัส​ดังนี้​ว่า เจ้า​วางใจ​ใน​อะไร?”

         (And the Rabshakeh said to them, “Say to Hezekiah, ‘Thus says the great king, the king of Assyria: On what   do you rest this trust of yours? )

18:20 “เจ้า​คิด​ว่า​เพียงแต่​ถ้อยคำ​ก็​เป็น​ยุทธศาสตร์​และ​แสนยานุภาพ​หรือ? เดี๋ยวนี้​เจ้า​พึ่ง​ใคร เจ้า​จึง​ได้​กบฏ​ต่อ​เรา?”

         (Do you think that mere words are strategy and power for war? In whom do you now trust, that you have  rebelled against me? )

18:21 “นี่แน่ะเดี๋ยวนี้​เจ้า​พึ่ง​ไม้เท้า​อ้อ​ที่​เดาะ​คือ อียิปต์ ซึ่ง​จะ​ตำ​มือ​คน​ที่​ใช้​ไม้เท้า​นั้น​ค้ำยัน ฟาโรห์​พระราชา​แห่ง​อียิปต์​เป็น​เช่นนี้​ต่อ​ทุก​คน​ที่​พึ่ง​เขา”

         (Behold, you are trusting now in Egypt, that broken reed of a staff, which will pierce the hand of any man  who leans on it. Such is Pharaoh king of Egypt to all who trust in him. )

18:22 “แต่​ถ้า​เจ้า​ทั้งหลาย​จะ​บอก​ข้า​ว่า “เรา​พึ่ง​พระยาห์เวห์​พระเจ้า​ของ​เรา” ก็​ปูชนียสถาน​สูง​และ​แท่น​บูชา​ของ​พระ​เจ้า​นั้น​ไม่​ใช่​หรือ? ที่​เฮเซคียาห์​รื้อ​ทิ้ง​เสีย​และ​กล่าว​กับ​ยูดาห์ และ​เยรูซาเล็ม​ว่า “ท่าน​ทั้งหลาย​จง​นมัสการ​ที่​หน้า​แท่น​บูชา​นี้​ใน​กรุง​เยรูซาเล็ม ​เถิด

   (But if you say to me, “We trust in the Lord our God,” is it not he whose high places and altars Hezekiah  has removed, saying to Judah and to Jerusalem, “You shall worship before this altar in Jerusalem”? )

18:23 “มา​เถิด​มา​พนัน​กับ​พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย​นาย​ของ​ข้า แล้ว​ข้า​จะ​ให้​ม้า 2,000 ตัว​แก่​เจ้า ถ้า​เจ้า​หา​คน​ขี่​ม้า​เหล่านั้น​ได้”

         (Come now, make a wager with my master the king of Assyria: I will give you two thousand horses, if you   are able on your part to set riders on them. )

18:24 “เจ้า​จะ​ขับไล่​นายกอง​แต่​เพียง​คน​เดียว​ใน​หมู่​ข้า​ราชการ​ผู้​น้อย​ ที่สุด​ของ​นาย​ข้า​ได้​อย่างไร? แต่​เจ้า​ยัง​พึ่ง​อียิปต์​เรื่อง​รถรบ​และ​ทหารม้า”

         (How then can you repulse a single captain among the least of my master’s servants, when you trust  in Egypt for chariots and for horsemen? )

18:25 “ยิ่งกว่า​นั้น​อีก ข้า​มา​ต่อสู้​สถานที่​นี้​เพื่อ​ทำลาย​เสีย​โดย​ปราศจาก​พระยาห์เวห์​หรือ? พระยาห์เวห์​ตรัส​กับ​ข้า​ว่า จง​ขึ้น​ไป​ต่อสู้​กับ​แผ่นดิน​นี้​และ​ทำลาย​เสีย

         (Moreover, is it without the Lord that I have come up against this place to destroy it? The Lord said to me, Go up against this land, and destroy it.’”)

18:26 “แล้ว​เอลียาคิม​บุตร​ฮิลคียาห์​และ​เชบนาห์​และ​โยอาห์​เรียน​รับชาเคห์​ว่า“ขอ​พูด​กับ​ผู้​รับใช้​ของ​ท่าน​ด้วย​ภาษา​อาราเมค​เถิด เพราะ​เรา​เข้าใจ​ภาษา​นั้น อย่า​พูด​กับ​เรา​ด้วย​ภาษา​ยูดาห์​ให้​เข้า​หู​ประชาชน​ผู้​อยู่​บน​ กำแพง​นั้น​เลย

    (Then Eliakim the son of Hilkiah, and Shebnah, and Joah, said to the Rabshakeh, “Please speak to your  servants in Aramaic, for we understand it. Do not speak to us in the language of Judah within the hearing of  the people who are on the wall.” )

18:27 “แต่​รับชาเคห์​พูด​กับ​เขา​ทั้งหลาย​ว่า “นาย​ของ​ข้า​ใช้​ให้​มา​พูด​ถ้อยคำ​เหล่านี้​แก่​นาย​ของ​เจ้า และ​แก่​เจ้า​เท่า​นั้น​หรือ? ไม่​ใช่​ให้​ พูด​กับ​คน​ที่​นั่ง​อยู่​บน​กำแพง ผู้​ที่​จะ​ต้อง​กิน​ขี้​และ​กิน​เยี่ยว​ของ​เขา​พร้อม​กับ​เจ้า​ด้วย​ หรือ?”

   (But the Rabshakeh said to them, “Has my master sent me to speak these words to your master and to   you, and not to the men sitting on the wall, who are doomed with you to eat their own dung and to  drink their own urine?”)

18:28 “แล้ว​รับชาเคห์​ยืน​ตะโกน​เสียงดัง​เป็น​ภาษา​ยูดาห์​ว่า “จง​ฟัง​พระวจนะ​ของ​พระมหาราชา คือ​พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย”

          (Then the Rabshakeh stood and called out in a loud voice in the language of Judah: “Hear the word of  the great king, the king of Assyria! )

18:29 “พระราชา​ตรัส​ดังนี้​ว่า ‘อย่า​ให้​เฮเซคียาห์​หลอกลวง​เจ้า​ทั้งหลาย เพราะ​เขา​จะ​ไม่​สามารถ​ช่วย​เจ้า​จาก​มือ​ของ​ข้า”

         (Thus says the king: ‘Do not let Hezekiah deceive you, for he will not be able to deliver you out of my hand.)

18:30 “อย่า​ให้​เฮเซคียาห์​ทำ​ให้​เจ้า​พึ่ง​พระยาห์เวห์​โดย​กล่าว​ว่า ‘พระยาห์เวห์​จะ​ทรง​ช่วย​เรา​แน่ และ​จะ​ไม่​ทรง​มอบ​เมือง​นี้​ไว้​ใน​มือ​ของ​พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย’”

           (Do not let Hezekiah make you trust in the Lord by saying, The Lord will surely deliver us, and this city  will not be given into the hand of the king of Assyria.’)

18:31 “อย่า ​ฟัง​เฮเซคียาห์ เพราะ​พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย​ตรัส​ดังนี้​ว่า ‘จง​มี​สัมพันธ​ไมตรี​กับ​เรา และ​ออก​มา​หา​เราแล้ว​เจ้า​แต่​  ละ​คน​จะ​ได้​กิน​จาก​เถาองุ่น​ของ​ตน และ​จาก​ต้น​มะเดื่อ​ของ​ตน และ​จะ​ได้​ดื่ม​น้ำ​จาก​บ่อน้ำ​ของ​ตน”

           (Do not listen to Hezekiah, for thus says the king of Assyria: ‘Make your peace with me and come out to me. Then each one of you will eat of his own vine, and each one of his own fig tree, and each one of you will drink the water of his own cistern, )

18:32 “จน​เรา​จะ​มา​นำ​เจ้า​ไป​ยัง​แผ่นดิน​ที่​เหมือน​แผ่นดิน​ของ​เจ้า​เอง เป็น​แผ่นดิน​ที่​มี​ข้าว​และ​เหล้า​องุ่น เป็น​แผ่นดิน​ที่​มี​ขนม‌ ปัง​และ​สวน​องุ่น แผ่นดิน​ที่​มี​น้ำมัน​มะกอก​และ​น้ำผึ้ง เพื่อ​เจ้า​ทั้งหลาย​จะ​มี​ชีวิต​อยู่​และ​ไม่​ตาย อย่า​ฟัง​เฮเซคียาห์​เมื่อ​เขา​ล่อ​ชวน​เจ้า​โดย​กล่าว​ว่า พระยาห์เวห์​จะ​ทรง​ช่วย​เรา”

   (until I come and take you away to a land like your own land, a land of grain and wine, a land of bread and  vineyards, a land of olive trees and honey, that you may live, and not die. And do not listen to Hezekiah   when he misleads you by saying, “The Lord will deliver us.” )

18:33 “มี​พระ​องค์​ไหน​ของ​ประชาชาติ​เคย​ช่วย​กู้​แผ่นดิน​ของ​ตน​ให้​พ้น​จาก​พระหัตถ์​ของ​พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย​ได้?”

         (Has any of the gods of the nations ever delivered his land out of the hand of the king of Assyria? )

18:34 “พระ​ของ​เมือง​ฮามัท​และ​เมือง​อารปัด​อยู่​ที่ไหน? พระ​ของ​เมือง​เสฟารวาอิม เฮนา​และ​อิฟวาห์​อยู่​ที่ไหน? พระ​เหล่า​นี้​ได้​ช่วย​กู้​ สะมาเรีย​จาก​มือ​ของ​เรา​หรือ?”

            (Where are the gods of Hamath and Arpad? Where are the gods of Sepharvaim, Hena, and Ivvah? Have  they delivered Samaria out of my hand? )

   18:35 “พระ​องค์​ไหน​ใน​บรรดา​พระ​ทั้งหมด​ของ​ประเทศ​ทั้งหลาย ได้​ช่วย​กู้​ประเทศ​ของ​ตน​จาก​มือ​ของ​เรา​หรือ? พระยาห์เวห์​จะ​ช่วย​กู้​เยรูซาเล็ม​จาก​มือ​ของ​เรา​ได้​หรือ?’

         (Who among all the gods of the lands have delivered their lands out of my hand, that the Lord should deliver Jerusalem out of my hand?’”)

18:36 “แต่​ประชาชน​นิ่ง​ไม่​ตอบ​เขา​สัก​คำ​เดียว เพราะ​พระบัญชา​ของ​พระราชา​มี​ว่า “อย่า​ตอบ​เขา”

       (But the people were silent and answered him not a word, for the king’s command was,“Do not answer him.”)

18:37 “แล้ว​เอลียาคิม​บุตร​ฮิลคียา​เจ้า​กรมวัง และ​เชบนาห์​ราชเลขา และ​โยอาห์​บุตร​อาสาฟ​เจ้ากรม​สารบรรณ ได้​เข้า​เฝ้า​เฮเซคียาห์​ ด้วย​เสื้อผ้า​ฉีก​ขาด และ​กราบทูล​ถ้อยคำ​ของ​รับชาเคห์”

   (Then Eliakim the son of Hilkiah, who was over the household, and Shebna the secretary, and Joah the son of Asaph, the recorder, came to Hezekiah with their clothes torn and told him the words of the   Rabshakeh.)

 ข้อมูลมีประโยชน์

 

18:1     “ในปีที่ 3 แห่งรัชกาลโฮเชยา” ( In the third year of Hoshea) -729 ก.ค.ศ. (17:1)

“เฮเซคียาห์พระราชโอราชโอรสของอาหัส” (Hezekiah the son of Ahaz) = เฮเซคียาห์ร่วมสำเร็จราชการกับอาหัสผู้เป็นบิดาตั้งแต่ปี 729-715 ก.ค.ศ. (16:2;อสย.36:1)

= ในปี 1998 มีการค้นพบรอยประทับดินเหนียวซึ่งเป็นรอยจากตราประทับหลวง อ่านได้ใจความว่า  “ของเฮเซคียาห์ (บุตรของ) อาหัสกษัตริย์แห่งยูดาห์”

= เป็นเพียง 1 ใน 2 ตราประทับ (ตราหลวง) ของราชวงศ์ยูดาห์ที่มีการค้นพบ (14:22)

18:2     “ทรงครองราชย์” (to reign) = ครองราชย์เพียงผู้เดียว 29 ปี (715-686 ก.ค.ศ.)

-รายละเอียดอยู่ใน 2พศด.29-32;อสย.36-39, สิ่งแรก ๆ ที่เฮเซคียาห์ทำคือ เขาเปิดพระวิหารอีกครั้ง ซึ่งอาหัสบิดาของเขาปิดไว้ก่อนหน้านี้ (16:19;2พศด.29:3)

18:3     “สิ่งที่ชอบธรรม” (was right) = ถูกต้อง

-เฮเซคียาห์เป็นกษัตริย์หนึ่งในไม่กี่องค์ที่ถูกเปรียบเทียบกับดาวิดในการทำสิ่งที่ดีหรือชอบธรรม คนอื่นๆ ที่มีคุณลักษณะนี้คือ อาสา (1พกษ.15:11), เยโฮชาฟัท (1พกษ.22:43); และโยสิยาห์ (2พกษ.22:2)

แต่ทั้งเยโฮชาฟัทและอาสาไม่ได้ทำเหมือนกัน คือ พวกเขาไม่ได้ทำลายปูชนียสถานสูง(1พกษ.15:14;22:43)

18:4     “ทรงรื้อปูชนียสถานสูงทิ้งไป” (removed the high places) –เฮเซคียาห์ไม่ใช่กษัตริย์องค์แรกที่รื้อทลายสถานบูชาบนที่สูง (1พกษ.3:2;15:14) แต่เป็นองค์แรกที่ทำลายสถานบูชาบนที่สูงที่ใช้นมัสการพระเจ้า (12:3;14:4;15:4,35;17:9;1พกษ.22:43) ที่แม้แต่กษัตริย์เซนนาเคอริบแห่งอัสซีเรียยังรู้ข่าว (ข.22)

“เสาศักดิ์สิทธิ์” (the pillars) -3:2;10:26-27;17:10;1พกษ.14:23

“เสาอาเซราห์” (the Asherah)= เสาที่บูชาเจ้าแม่อาเซราห์ (13:6;17:10,16;1พกษ.16:23;1พกษ.14:15)

“คนอิสราเอลได้เผาเครื่องหอมให้แก่งูนั้น” (Israel had made offerings to it) = งูทองสัมฤทธิ์ไม่ใช่วัตถุมงคลที่ประชาชนนมัสการมาตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมานับจากที่อิสราเอลเป็นชนชาติ แต่งูนี้กลายมาเป็นรูปเคารพในรัชกาลของอาหัสบิดาของเฮเซคียาห์ (บทที่ 16) การนมัสการงู ในรูปแบบต่าง ๆ หาพบได้ทั่วไปในแถบตะวันออกใกล้โบราณ (กดว.21:8-9)

18:5     “ไม่มีผู้ใดเหมือนพระองค์”(so that there was none like him) = เปรียบเทียบข้อนี้กับใน 23:25 จะพบว่าเอกลักษณ์ของเฮเซคียาห์อยู่ที่การวางใจพระเจ้า และของโยสิยาห์ คือ การทำตามบทบัญญัติของโมเสสอย่างเคร่งครัด

18:7     “กบฏต่อพระราชาแห่งอัสซีเรีย” (rebelled against the king of Assyria) = แข็งเมือง ยูดาห์กลายเป็นเมืองขึ้นของอัสซีเรียในรัชกาลของอาหัส (16:7) อย่างน้อยก็ทำให้ยูดาห์ต้องยอมรับเทพเจ้าของอัสซีเรียด้วย และเฮเซคียาห์ดำเนินนโยบายที่ตรงข้ามกับอาหัสบิดาและไม่ยอมอยู่ภายใต้อำนาจของอัสซีเรีย  เป็นไปได้ว่า หลังจากปี 705 ก.ค.ศ. หรือไม่นานหลังเซนนาเคอริบขึ้นครองบัลลังก์อัสซีเรียแทนซาร์กอนที่ 2 เฮเซคียาห์ก็เลิกส่งบรรณาการประจำปีให้อัสซีเรีย

18:8     “โจมตีคนฟิลิสเตีย” ( struck down the Philistines) = พิชิตชาวฟิลิสเตีย เป็นสภาพที่พลิกผันกับรัชกาลอาหัส ซึ่งฟิลิสเตียยืดเมืองของยูดาห์ในแดนเทือกเขาและเนเกบ (2พกศ.28:18)

-ในเวลานี้ เฮเซคียาห์ สามารถมีชัยเหนือฟิลิสเตียใต้อีกครั้ง และอาจเกลี้ยกล่อมให้ฟิลิสเตียร่วมมือในการต่อต้านอัสซีเรีย

-ในจดหมายเหตุฉบับหนึ่งเซนนาเคอริบ เล่าว่า เขาได้บังคับให้เฮเซคียห์ปล่อยตัว Padi กษัตริย์เมืองเอโครน ของฟิลิสเตีย

-เหตุการณ์นี้สัมพันธ์กับการศึกของเซนนาเคอริบ ในปี 701 ก.ค.ศ.

18:9     “ในปีที่ 4 แห่งรัชกาลกษัตริย์เฮเซคียาห์” (In the fourth year of King Hezekiah) = 725 ก.ค.ศ.

= ปีที่ 4 ที่เฮเซคียาห์ สำเร็จราชการร่วมกับอาหัส (ข.1;17:1), “แชลมาเนเสอร์” (Shalmaneser) -17:3

18:12   “ทำผิดต่อพันธสัญญาของพระองค์” (transgressed his covenant) = ละเมิดต่อพันธสัญญาทั้งสิ้นของพระเจ้า (17:7-23)

18:13   “ปีที่ 14” (the fourteenth) = ปี 701 ก.ค.ศ. = ที่เฮเซคียาห์ ครองราชย์เพียงผู้เดียว

“เซนนาเคอริบ” (Sennacherib) = สอดคล้องกับการบันทึกของเซนนาเคอริบ เกี่ยวกับการออกรบกับฟีนิเซีย ยูดาห์ และอียิปต์ ในปี 701

“มาต่อสู้บรรดาเมืองที่มีป้อมของยูดาห์และยึดได้” (came up against all the fortified cities of Judah and took them) = จดหมายเหตุของเซนนาเคอริบ อ้างว่าเขาได้ยึดเมืองป้อมของเฮเซคียาห์ ไป 46 แห่ง พร้อมกับหมู่บ้านอีกจำนวนมาก และได้กวาดต้อนเชลยไป 200,150 คน โดยกล่าวว่า เฮเซคียาห์เป็นนักโทษในเยรูซาเล็มในวังของเขาเอง เหมือนนกในกรงแต่ไม่ได้ระบุว่า ตนได้ยึดครองเยรูซาเล็ม

18:14   “เมืองลาคีช” (Lachish) -14:19;อสย.36:2

“เงิน 300 ตะลันต์ และทองคำ 30 ตะลันต์” (three hundred talents of silver and thirty talents of gold) –เฮเซคียาห์ต้องจ่ายบรรณาการให้แก่เซนนาเคอริบ คือ ทองคำ 30 ตะลันต์ ส่วนเงินนั้นไม่ตรงกัน ในพระคัมภีร์บอกว่า 300 ตะลันต์ แต่เซนนาเคอริบ อ้างว่าได้รับ 800 ตะลันต์

18:15   “เงินทั้งหมดซึ่งมีอยู่ในพระนิเวศน์ และในคลังของพระราชวัง” (all the silver that was found in the house of the Lordand in the treasuries of the king’s house) -12:10,18;14:14;16:8;1พกษ.7:51;

14:26;15:18;18:17-19:37,อสย.36-37;2พศด.32

18:17   “ทางรางระบายน้ำ ….ถนนลานซักฟอก” (the conduit of the upper pool…highway to the Washer’s Field) –อสย.7:3 , -อัสซีเรียเรียกร้องให้ยูดาห์ยอมแพ้ในสถานที่เดียวกันที่อิสยาห์ได้เตือนอาหัสให้วางใจในพระเจ้า แทนที่จะวางใจพันธมิตรกับอัสซีเรีย ว่าจะช่วยให้รอดพ้นจากการคุกคามของซีเรีย และอิสราเอลอาณาจักรเหนือ (16:5-10;อสย.7:1-17)

18.18   “เจ้ากรมวัง” (the household) –1พกษ.4:6; “ราชเลขา” (the secretary) –2ซมอ.8:17

“เจ้ากรมสารบรรณ” (the recorder) หรืออาลักษณ์หลวง –2ซมอ.8:16

18:19   “พระมหาราชา” (the great king) หรือ “กษัตราธิราช” =คำแสดงตำแหน่งที่มักใช้กับกษัตริย์อัสซีเรีย และบางครั้งก็ใช้กับพระเจ้า (สดด.47:2;48:2;95:3;มลค.1:14;มธ.5:35)

“ตรัส” (Thus says) = ถ้อยคำที่เป็นสงครามเชิงจิตวิทยา และการข่มขู่ ซึ่งเรียบเรียงมาอย่างดีเพื่อทำลายขวัญกำลังใจของผู้อยู่อาศัยในเยรูซาเล็ม (ข.26-27)

18:21   “เจ้าพึ่งไม้เท้าอ้อที่เคาะ คือ อิยิปต์” (ou are trusting now in Egypt) -19:9;อสย.30:1-5;31:1-3

18:22   “ก็ปูชนียสถานสูง และแท่นบูชาของพระเจ้า ไม่ใช่หรือ? ที่เฮเซคียาห์ รื้อทิ้งเสีย” (is it not he whose high places and altars Hezekiah has removed) = พวกอัสซีเรียวางแผนอุบายเพื่อให้เฮเซคียาห์ และประชาชนแตกแยกกัน โดยพยายามจุดประเด็นความขุ่นเคืองที่ประชาชนมีต่อการปฏิรูปของเฮเซคียาห์ และการรื้อทำลายสถานบูชาบนที่สูง (ข.4)

18:23   “ถ้าเจ้าหาคนขี่ม้าเหล่านั้นได้” (if you are able on your part to set riders on them) = คำถากถางของพวกอัสซีเรียเยาะเย้ยว่า กองกำลังทหารของยูดาห์อ่อนแอมากจนไม่สามารถใช้ประโยชน์จากข้อเสนอนี้ได้เลย (ไม่ปรากฏว่า ยูดาห์เคยใช้พลม้าในการรบหรือไม่? )

18:26   ”ภาษาอาราเมค” (Aramaic) = เป็นภาษาระหว่างประเทศในแถบตะวันออกใกล้ ใช้เป็นภาษาในการค้าและการฑูต

-ในตอนนี้ทหารอัสซีเรียกลับพูดภาษาฮีบรูพื้นเมืองของยูดาห์ได้อย่างน่าประหลดใจ (2พศด.32:18)

18:27   “คนที่นั่งอยู่บนกำแพง” (the men sitting on the wall) = ยุทธศาสตร์ของพวกอัสซีเรียคือ พูดให้ประชาชนได้ยินเพื่อให้เสียกำลังใจและกบฎต่อเฮเซคียาห์

“ต้องกินขี้และกินเยี่ยวของเขา” ( to eat their own dung and to drink their own urine) = ภาพที่พรรณนาถึงความทุกข์ยากลำบากที่จะเกิดขึ้นเมื่อเมืองถูกล้อมไว้นาน

18:28   “จงฟังพระวจนะของพระมหาราชา” (Hear the word of the great king) คำตรัสของกษัตริย์แห่งอัสซีเรียที่พูดกับประชาชนยูดาห์โดยตรง แทนที่จะพูดกับข้าราชการของเฮเซคียาห์ เช่นเดียวกับในข้อ 19-27

18:29   “อย่าให้เฮเซคียาห์หลอกลวงเจ้าทั้งหลาย” (Do not let Hezekiah deceive you) = คำยุยงประชาชนให้กบฎต่อกษัตริย์เฮเซคียาห์ ที่มีถึง 3 ครั้ง (ข้อนี้และในข้อ 30-31)

18:30   “จะไม่ทรงมอบเมืองนี้ไว้ในมือของพระราชาแห่งอัสซีเรีย” ( this city will not be given into the hand of the king of Assyria) = ถ้อยคำที่เฮเซคียาห์ซึ่งพูดไว้ตามพระสัญญาที่พระเจ้าประทานให้แก่เขา (20;6;อสย.38:6)

18:31   “จะได้กินจากเถาองุ่นของตนและจากต้นมะเดื่อของตนและได้ดื่มน้ำจากบ่อน้ำของตน” (will eat of his own vine, and each one of his own fig tree, and each one of you will drink the water of his own cistern) = ภาพของช่วงเวลาสงบสุขและเจริญรุ่งเรือง (1พกษ.4:25;มคา.4:4;ศคย.3:10)

18:32   “จนเราจะมานำเจ้าไปยังแผ่นดินที่เหมือนแผ่นดินของเจ้าเอง” (I come and take you away to a land like your own land) = สุดท้ายของการยอมจำนนก็คือ ถูกกวาดต้อนไปอยู่ที่อื่น แต่เซนนาเคอริบวาดภาพให้ดูสวยงาม

          “เพื่อเจ้าทั้งหลายจะมีชีวิตอยู่และไม่ตาย” ( that you may live, and not die) = จงเลือกที่จะอยู่ดีกว่าตาย ทางเลือกของประชาชนยูดาห์มี 2 ทางคือ

  1. วางใจในพระเจ้ากับเฮเซคียาห์ แล้วตาย
  2. วางใจในอัสซีเรียและมีความสุขสงบกับความเจริญก้าวหน้า

ซึ่งทางเลือกที่ 2 นี้ขัดแย้งกับที่โมเสสได้ให้กับชาวอิสราเอลใน ฉธบ.30:15-20

18:33   “มีพระองค์ไหนของประชาชาติเคยช่วยกู้แผ่นดินของตนให้พ้นจากพระหัตถ์ของพระราชาแห่ง   อัสซีเรียได้?”(Has any of the gods of the nations ever delivered his land out of the hand of the king of Assyria?) = พวกอัสซีเรียยกย่องตัวเองว่าเข้มแข็งที่สุด

18:34   “เมืองฮามัท” (Hamath) –14:25;17:24

“เมืองอารปัด” (Arpad) = เมืองที่ตั้งอยู่ใกล้เมืองฮามัท และถูกอัสซีเรียยึดไปในปี 40 ก.ค.ศ. (19:13; อสย.10:9;ยรม.49:23), “อิฟวาห์” (Ivvah  ) -17:27

18:35   “พระยาเวห์ จะช่วยกู้เยรูซาเล็มจากมือของเราได้หรือ?” (Lord should deliver Jerusalem out of my hand?) = พวกเขากำลังหมิ่นว่าพระเจ้าผู้เที่ยงแท้และทรงพระชนม์อยู่ไม่ต่างอะไรจากพระจอมปลอมทั้งหลายของชนชาติต่าง ๆ ที่อัสซีเรียพิชิตมา –ฉธบ.32:21;2พกษ.19:4,6;2พศด.32:13-19;อสย.10:9-11

18:36   “อย่าตอบเขา” (Do not answer him) = ความพยายามของอัสซีเรียล้มเหลว เพราะประชาชนเชื่อฟัง   พระบัญชาของกษัตริย์เฮเซคียาห์ไม่ให้ตอบโต้ใดๆ

18:37   “เสื้อผ้าฉีกขาด” (clothes torn) = แสดงถึงความสะเทือนอารมณ์ (6:30;1พกษ.21:27) ในกรณีนี้อาจจะเกิดขึ้น

  1. การที่พวกอัสซีเรียเหยียดหยามพระเจ้า (19:4,6;มธ.26:65;มก.14:63-64)
  2. การที่พวกอัสซีเรียเหยียดหยามองค์กษัตริย์เฮเซคียาห์ และชาวยูดาห์

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยกระทำอะไรบ้างที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้าที่คุณภูมิใจมากที่สุดในชีวิต? (แบ่งปัน)
  2. คุณเคยมีประสบการณ์อะไรบ้างกับการวางใจพระเจ้าที่คุณรู้สึกตื่นเต้นหรือประทับใจมากที่สุดเท่าที่เคยประสบมา? แล้วผลเป็นอย่างไร?
  3. ชีวิตของคุณยึดมั่น และติดตามพระเจ้าอย่างคงเส้นคงวา เสมอต้นเสมอปลายหรือไม่? (แบ่งปัน)
  4. คุณเคยแข็งขืนหรือต่อต้านกับการทดลองหรืออุปสรรคปัญหาที่โถมเข้าใส่ในชีวิตและมีชัยชนะบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร และอย่างไร?
  5. คุณเคยเห็นคนที่บอกว่าเชื่อพระเจ้าแต่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าแล้วถูกลงโทษหนัก ๆ แบบเห็นชัด ๆ บ้างหรือไม่? อย่างไร?
  6. คุณเคยถูกเหยียดหยามหรือสบประมาทอย่างรุนแรงบ้างหรือไม่? เรื่องราวเป็นอย่างไร? แล้วเกิดอะไรขึ้น?
  7. คุณเคยถูกคนอื่นกล่าวหยาบหยามต่อพระเจ้าต่อหน้าคุณบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร แล้วคุณทำอะไรบ้าง?
  8. คุณเคยมีประสบการณ์กับการต้องนิ่งต่อการสบประมาทหรือเยาะเย้ยโดยที่ไม่ตอบโต้สักคำเดียวบ้างหรือไม่? ขอแบ่งปัน และผลลัพธ์เป็นอย่างไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2 พงศ์กษัตริย์ บทเรียนที่ 17

สิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน

พระธรรม 2พงศ์กษัตริย์ 17:1-41
อ้างอิง                         1พกษ.7:23-39;12:28;14:23;อสย.14:26;2พศด.4:2-6;ฉธบ.18:10;5:9;6:13;ปฐก.32:28;35:10;อพย.20:5
บทนำ                          แปลกที่คนเรามักไม่ยอมเรียนรู้บทเรียนจากประวัติศาสตร์ วงล้อแห่งความเจ็บปวดจากอดีตจึงหมุนกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า!
คนของพระเจ้าที่ไม่ถ่อมใจเรียนรู้จักราชาธิปไตยของพระเจ้า จะต้องได้รับผลเสีย จนอาจสิ้นชาติสิ้นแผ่นดินสิ้นกษัตริย์
บทเรียน

17:1 “ในปีที่ 12 แห่งรัช‍กาลอา‍หัสพระ‌ราชาแห่งยู‍ดาห์ โฮ‍เช‍ยาบุตรเอ‍ลาห์ได้ขึ้นครองราชย์ในกรุงสะ‍มา‍เรีย และทรงครองอิส‍รา‍เอลอยู่ 9 ปี”
(In the twelfth year of Ahaz king of Judah, Hoshea the son of Elah began to reign in Samaria over Israel, and he reigned nine years.)
17:2 “และพระ‌องค์ทรงทำสิ่งชั่ว‌ร้ายในสาย‌พระ‌เนตรของพระ‌ยาห์‍เวห์ แต่ก็ไม่เหมือนกับบรร‍ดาพระ‌ราชาแห่งอิส‍รา‍เอลที่อยู่ก่อนพระ‌องค์”
(And he did what was evil in the sight of the Lord, yet not as the kings of Israel who were before him.)
17:3 “แชล‍มา‍เน‍เสอร์พระ‌ราชาแห่งอัส‍ซี‍เรียได้ทรงยกทัพมารบกับ พระ‌องค์ และโฮ‍เช‍ยาทรงยอมเป็นเมือง‌ขึ้นและถวายเครื่องบรร‍ณาการ”
(Against him came up Shalmaneser king of Assyria. And Hoshea became his vassal and paid him tribute.)
17:4 “แต่พระ‌ราชาแห่งอัส‍ซี‍เรียทรงพบว่าโฮ‍เช‍ยาเป็นกบฏ เพราะโฮ‍เช‍ยาทรงใช้ผู้สื่อ‌สารไปยังโสพระ‌ราชาแห่งอี‍ยิปต์ และไม่ยอมถวายเครื่องบรร‍ณาการแก่พระ‌ราชาแห่งอัส‍ซี‍เรีย อย่างที่ทรงเคยทำมาทุกปี เพราะฉะ‍นั้นพระ‌ราชาแห่งอัส‍ซี‍เรียจึงขังพระ‌องค์ไว้ และจำพระ‌องค์ไว้ในคุก”
(But the king of Assyria found treachery in Hoshea, for he had sent messengers to So, king of Egypt, and offered no tribute to the king of Assyria, as he had done year by year. Therefore the king of Assyria shut him up and bound him in prison. )
17:5 “แล้วพระ‌ราชาแห่งอัส‍ซี‍เรียก็ทรงบุกเข้าทั่วแผ่น‌ดิน และขึ้นมายังกรุงสะ‍มา‍เรียและทรงล้อมเมืองไว้ 3 ปี”
(Then the king of Assyria invaded all the land and came to Samaria, and for three years he besieged it.)
17:6 “ในปีที่ 9 แห่งรัช‍กาลโฮ‍เช‍ยา พระ‌ราชาแห่งอัส‍ซี‍เรียยึดกรุงสะ‍มา‍เรียได้ พระ‌องค์ทรงกวาด‌ต้อนคนอิส‍รา‍เอลไปยังอัส‍ซี‍เรีย และให้พวก‌เขาอยู่ที่ฮา‍ลาห์ และข้างแม่‌น้ำฮา‍โบร์แห่งเมืองโก‍ซาน และในเมืองต่างๆ ของคนมีเดีย”
(In the ninth year of Hoshea, the king of Assyria captured Samaria, and he carried the Israelites away to Assyria and placed them in Halah, and on the Habor, the river of Gozan, and in the cities of the Medes.)
17:7 “ที่เป็นอย่าง‌นั้น ก็เพราะคนอิส‍รา‍เอลได้ทำบาปต่อพระ‌ยาห์‍เวห์พระ‌เจ้าของตน ผู้ทรงนำพวกเขาออก‌จากแผ่น‌ดินอี‍ยิปต์ จากพระ‌หัตถ์ของฟา‍โรห์กษัตริย์แห่งอี‍ยิปต์ และเพราะพวก‌เขาได้นมัส‍การพระอื่นๆ”
(And this occurred because the people of Israel had sinned against the Lord their God, who had brought them up out of the land of Egypt from under the hand of Pharaoh king of Egypt, and had feared other gods)
17:8 “และได้ดำ‍เนินตามธรรม‍เนียมปฏิ‍บัติของประ‍ชา‌ชาติ ซึ่งพระ‌ยาห์‍เวห์ทรงขับ‌ไล่ไปเสียให้พ้น‌หน้าคนอิส‍รา‍เอล และตามกฎ‌เกณฑ์ที่บรร‍ดาพระ‌ราชาแห่งอิส‍รา‍เอลทรงนำเข้ามา”
(and walked in the customs of the nations whom the Lord drove out before the people of Israel, and in the customs that the kings of Israel had practiced. )
17:9 “และคนอิส‍รา‍เอลได้ทำสิ่งที่ไม่ชอบต่อพระ‌ยาห์‍เวห์พระ‌เจ้าของตน อย่างลับๆ เขาทั้ง‌หลายได้สร้างปูช‍นีย‍สถานสูงสำ‍หรับตนทั่วบ้านทั่วเมือง ตั้ง‌แต่ที่ที่มีหอสังเกตการณ์ จนถึงเมืองที่มีป้อม”
(And the people of Israel did secretly against the Lord their God things that were not right. They built for themselves high places in all their towns, from watchtower to fortified city.)
17:10 “พวก‌เขาได้ตั้งเสาศักดิ์‌สิทธิ์และเสาอา‍เช-ราห์บนเนิน‌เขาสูงทุกแห่ง และใต้ต้น‌ไม้เขียวสดทุกต้น”
(They set up for themselves pillars and Asherim on every high hill and under every green tree, )
17:11 “ณ ที่‌นั่น พวก‌เขาได้เผาเครื่องหอมบนปูชนีย‍สถานสูงทุกที่ ตามอย่างประ‍ชา‌ชาติซึ่งพระ‌ยาห์‍เวห์ทรงกวาดไปเสียต่อหน้า พวก‌เขา และเขาทั้ง‌หลายได้ทำสิ่งชั่ว ทำให้พระ‌ยาห์‍เวห์ทรงพระ‌พิโรธ”
(and there they made offerings on all the high places, as the nations did whom the Lord carried away before them.  And they did wicked things, provoking the Lord to anger, )
17:12 “เขาทั้ง‌หลายปรน‍นิบัติรูปเคา‍รพ ซึ่งพระ‌ยาห์‍เวห์ได้ตรัสแก่เขาแล้วว่า “เจ้าอย่าทำอย่าง‌นี้”
(and they served idols, of which the Lord had said to them, “You shall not do this.” )
17:13 “พระ‌ยาห์‍เวห์ยังทรงตัก‌เตือนอิส‍รา‍เอลและยู‍ดาห์ ทางผู้เผยวจนะทุกคนและผู้ทำ‍นายทุกคนว่า “จงหันจากทางชั่วทั้ง‌หลายของเจ้า และรัก‍ษาพระ‌บัญ‍ญัติของเราและกฎ‌เกณฑ์ของเรา ตามธรรมบัญ‍ญัติทั้ง‌สิ้นซึ่งเราได้บัญ‍ชาแก่บรรพ‍บุรุษของเจ้า และซึ่งเราได้ส่งมายังเจ้าทางผู้เผยพระ‌วจนะผู้รับ‌ใช้ของ เรา”
(Yet the Lord warned Israel and Judah by every prophet and every seer, saying, “Turn from your evil ways and keep my commandments and my statutes, in accordance with all the Law that I commanded your fathers, and that I sent  to you by my servants the prophets.”)
17:14 “แต่พวก‌เขาไม่ฟังและดื้อ‌ดึงเหมือนอย่างบรรพ‍บุรุษของพวก‌เขา ผู้ไม่เชื่อ‌ถือพระ‌ยาห์‍เวห์พระ‌เจ้าของเขา”
(But they would not listen, but were stubborn, as their fathers had been, who did not believe in the Lord their God. )
17:15 “เขาได้ปฏิ‍เสธกฎ‌เกณฑ์และพันธ‍สัญญาของพระ‌องค์ ซึ่งทรงทำกับบรรพ‍บุรุษของเขา รวมทั้งพระ‌ดำรัสเตือนซึ่งประ‍ทานแก่เขา เขาทั้ง‌หลายติด‌ตามสิ่งไร้ค่าและกลายเป็นสิ่งไร้ค่าไป และเขาทำตามประ‍ชา‌ชาติที่อยู่รอบๆ ซึ่งพระ‌ยาห์‍เวห์ทรงห้ามเขาทำตาม”
(They despised his statutes and his covenant that he made with their fathers and the warnings that he gave them.  They went after false idols and became false, and they followed the nations that were around them, concerning whom the Lord had commanded them that they should not do like them. )
17:16 “และเขาทั้ง‌หลายได้ละ‌ทิ้งพระ‌บัญ‍ญัติทั้ง‌สิ้นของพระ‌ยาห์‍เวห์ พระ‌เจ้าของตน และได้หล่อรูปเคา‍รพสำ‍หรับตนเป็นลูก‌วัวสองตัว และเขาได้สร้างเสาอา‍เช-ราห์ และโน้มตัวลงกราบบรร‍ดาบริ‍วารของฟ้าสวรรค์ และปรน‍นิบัติพระ‌บา‍อัล”
(And they abandoned all the commandments of the Lord their God, and made for themselves metal images of two calves; and they made an Asherah and worshiped all the host of heaven and served Baal. )
17:17 “เขาทั้ง‌หลายได้ให้บุตรชายหญิงของเขาลุยไฟ และเขาได้ทำนายโชคชะตาและทำเวท‍มนตร์ ทั้งขายตัว‌เองไปทำสิ่งชั่ว‌ร้ายในสาย‌ พระ‌เนตรของพระ‌ยาห์‍เวห์ ทำให้พระ‌องค์ทรงพระ‌พิโรธ”
(And they burned their sons and their daughters as offerings and used divination and omens and sold themselves to do evil in the sight of the Lord, provoking him to anger. )
17:18 “เพราะฉะ‍นั้น พระ‌ยาห์‍เวห์ทรงพระ‌พิโรธต่ออิส‍รา‍เอลยิ่งนัก และทรงให้พวก‌เขาออกไปพ้นพระ‌พักตร์ของพระ‌องค์ ไม่‌มีใครเหลืออยู่นอก‌จากเผ่ายู‍ดาห์เท่า‌นั้น”
(Therefore the Lord was very angry with Israel and removed them out of his sight. None was left but the tribe of  Judah only.)
17:19 “ยู‍ดาห์ไม่‌ได้รัก‍ษาพระ‌บัญ‍ญัติของพระ‌ยาห์‍เวห์พระ‌เจ้าของเขาด้วย แต่ดำ‍เนินตามกฎ‌เกณฑ์ของอิส‍รา‍เอลที่ได้ทำกัน”
(Judah also did not keep the commandments of the Lord their God, but walked in the customs that Israel had introduced.)
17:20 “และพระ‌ยาห์‍เวห์ทรงปฏิ‍เสธเชื้อ‌สายทั้ง‌สิ้นของอิส‍รา‍เอล และทรงให้เขาทั้ง‌หลายทนทุกข์ และมอบเขาไว้ในมือของผู้ปล้น จนกว่า พระ‌องค์ได้ทรงเหวี่ยงเขาไปพ้นพระ‌พักตร์ของพระ‌องค์”
(And the Lord rejected all the descendants of Israel and afflicted them and gave them into the hand of plunderers, until he had cast them out of his sight.)
17:21 “เพราะพระ‌องค์ทรงฉีกอิส‍รา‍เอลจากราช‍วงศ์ของดา‍วิด และพวก‌เขาได้ตั้งเย‍โร‍โบ‍อัมบุตรเน‍บัทให้เป็นพระ‌ราชา และเย‍โร‍โบ‍อัมทรงชัก‌นำอิส‍รา‍เอลไปจากการติดตามพระ‌ยาห์‍เวห์ และนำให้พวก‌เขาทำบาปอย่างใหญ่หลวง”
(When he had torn Israel from the house of David, they made Jeroboam the son of Nebat king. And Jeroboam drove Israel from following the Lord and made them commit great sin. )
17:22 “คนอิส‍รา‍เอลได้ดำ‍เนินในบาปทั้ง‌สิ้น ซึ่งเย‍โร‍โบ‍อัมได้ทรงกระ‍ทำ เขาทั้ง‌หลายไม่‌ได้หันจากบาปเหล่า‌นั้นเลย”
(The people of Israel walked in all the sins that Jeroboam did. They did not depart from them,
17:23 “จนพระ‌ยาห์‍เวห์ทรงให้อิส‍รา‍เอลออกไปพ้นพระ‌พักตร์ของพระ‌องค์ ตามที่ตรัสทางบรร‍ดาผู้เผยพระ‌วจนะผู้รับ‌ใช้ของพระ‌องค์อิส‍รา‍เอล จึงถูกกวาดจากแผ่น‌ดินของตนไปเป็นเชลยในอัส‍ซี‍เรีย จนทุกวัน‌นี้”
(until the Lord removed Israel out of his sight, as he had spoken by all his servants the prophets. So Israel was exiled from their own land to Assyria until this day.)
17:24 “พระ‌ราชาแห่งอัส‍ซี‍เรียทรงนำประ‍ชา‌ชนมาจากบา‍บิ‍โลน คูธาห์ อัฟ‍วา ฮา‍มัท เส‍ฟาร‍วา‍อิม และให้พวก‌เขาอา‍ศัยอยู่ในเมืองต่างๆ ของ สะ‍มา‍เรียแทนประ‍ชา‌ชนอิส‍รา‍เอล พวก‌เขาก็เข้าถือกรรม‍สิทธิ์สะ‍มา‍เรีย และอา‍ศัยอยู่ในเมืองเหล่านั้น”
(And the king of Assyria brought people from Babylon, Cuthah, Avva, Hamath, and Sepharvaim, and placed them in the cities of Samaria instead of the people of Israel. And they took possession of Samaria and lived in its cities. )
17:25 “และตั้ง‌แต่แรกที่พวก‌เขามาอา‍ศัยอยู่ที่‌นั่น เขาก็ไม่‌ได้ยำ‍เกรงพระ‌ยาห์‍เวห์ ฉะ‍นั้นพระ‌ยาห์‍เวห์จึงทรงให้สิงโตมาท่าม‌กลางเขา พวกมันฆ่าบางคนในพวก‌เขา”
(And at the beginning of their dwelling there, they did not fear the Lord. Therefore the Lord sent lions among them,  which killed some of them. )
17:26 “เพราะฉะ‍นั้นมีผู้ไปทูลพระ‌ราชาแห่งอัส‍ซี‍เรียว่า “ประ‍ชา‌ชาติซึ่งฝ่าพระ‌บาททรงพาไปอยู่ในเมืองต่างๆ ของสะ‍มา‍เรียนั้น ไม่รู้ธรรม‍เนียมของพระของแผ่น‌ดินนั้น ฉะ‍นั้นพระจึงให้สิงโตมาท่าม‌กลางเขา และดู‌สิ พวกมันได้ฆ่าพวก‌เขาเสีย เพราะเขาไม่รู้ธรรมเนียมของพระ‌ของแผ่น‌ดินนั้น”
(So the king of Assyria was told, “The nations that you have carried away and placed in the cities of Samaria do not know the law of the god of the land. Therefore he has sent lions among them, and behold, they are killing them, because they do not know the law of the god of the land.” )
17:27 “แล้วพระ‌ราชาแห่งอัส‍ซี‍เรียจึงบัญ‍ชาว่า “จงนำคนหนึ่งในพวกปุ‍โร‍หิตที่พวก‌เจ้ากวาดต้อนมาจากที่นั่น ไปที่‌นั่น จงให้เขาไปอยู่ที่‌นั่น และให้สั่ง‌สอนธรรมเนียมของพระ‌ของแผ่น‌ดินนั้น”
(Then the king of Assyria commanded, “Send there one of the priests whom you carried away from there, and let  him go and dwell there and teach them the law of the god of the land.” )
17:28 “ฉะ‍นั้นคนหนึ่งในพวกปุ‍โร‍หิตที่พวก‌เขากวาดมาจากสะ‍มา‍เรีย จึงไปอา‍ศัยอยู่ที่เมืองเบธ‍เอลและสั่ง‌สอนเขาทั้ง‌หลายว่า เขาจะต้องยำ‍เกรงพระ‌ยาห์‍เวห์อย่าง‌ไร”
(So one of the priests whom they had carried away from Samaria came and lived in Bethel and taught them how they should fear the Lord.)
17:29 “แต่ว่าประ‍ชา‌ชาติทั้งสิ้นยังสร้างรูปพระ‌ของตน‌เอง และตั้งไว้ในนิเวศแห่งปูช‍นีย‍สถานสูงซึ่งชาวสะ‍มา‍เรียได้ สร้างไว้ในเมืองต่างๆ ที่ประ‍ชา‌ชาติทั้งสิ้นอา‍ศัยอยู่”
(But every nation still made gods of its own and put them in the shrines of the high places that the Samaritans had made, every nation in the cities in which they lived. )
17:30 “ชาวบา‍บิ‍โลนสร้างพระ‌สุค‍คท‍เบ‍โนท ชาวคูทสร้างพระ‌เนอร์‍กัล ชาวฮา‍มัทสร้างพระ‌อา‍ชิ‍มา”
(The men of Babylon made Succoth-benoth, the men of Cuth made Nergal, the men of Hamath made Ashima, )
17:31 “ชาวอัฟ‍วาสร้างพระ‌นิบ‍หัสและพระ‌ทาร‍ทัก ชาวเส‍ฟาร‍วา‍อิมเผาเด็กของตนในไฟถวายพระ‌อัด‍รัม‍เม‍เลคและพระ‌อา‍นัม‍เม‍เลค ซึ่งเป็นพระ‌ของเมืองเส‍ฟาร‍วา‍อิม”
(and the Avvites made Nibhaz and Tartak; and the Sepharvites burned their children in the fire to Adrammelech and Anammelech, the gods of Sepharvaim. )
17:32 “ประ‍ชา‌ชาติ เหล่านี้นมัส‍การพระ‌ยาห์‍เวห์ด้วย แต่ได้ตั้งปุ‍โร‍หิตแห่งปูชนีย‍สถานสูงจากท่ามกลางพวกเขา ให้ทำหน้า‌ที่เพื่อพวกเขาในนิเวศแห่งปูชนีย‍สถานสูง”
(They also feared the Lord and appointed from among themselves all sorts of people as priests of the high places, who sacrificed for them in the shrines of the high places. )
17:33 “เขาจึงยำเกรงพระ‌ยาห์‍เวห์ แต่ก็ปรน‍นิบัติบรร‍ดาพระ‌ของเขาเองด้วย ตามธรรม‍เนียมของบรร‍ดาประ‍ชา‌ชาติที่พวก‌อัส‍ซี‍เรียกวาดเขามา จากที่นั้น”
(So they feared the Lord but also served their own gods, after the manner of the nations from among whom they had been carried away.)
17:34 “ทุกวัน‌นี้เขาก็ทำตามธรรม‍เนียมเดิม เขาทั้ง‌หลายไม่ยำ‍เกรงพระ‌ยาห์‍เวห์ ไม่ทำตามกฎ‌เกณฑ์ หรือกฎ‌หมาย หรือธรรมบัญญัติ หรือพระ‌บัญ‍ญัติ ซึ่งพระ‌ยาห์‍เวห์ทรงบัญ‍ชาแก่ลูกหลานของยา‍โคบ ผู้ที่พระ‌องค์ประ‍ทานนามให้ว่าอิส‍รา‍เอล”
(To this day they do according to the former manner. They do not fear the Lord, and they do not follow the statutes or the rules or the law or the commandment that the Lord commanded the children of Jacob, whom he named Israel. )
17:35 “พระ‌ยาห์‍เวห์ทรงทำพันธ‍สัญญากับเขาทั้ง‌หลายและบัญ‍ชาเขาว่า “อย่ายำ‍เกรงพระอื่นๆ หรือกราบนมัส‍การ พระ‌นั้น หรือ ปรน‍นิบัติ หรือถวายสัตว‌บูชาแก่พระ‌นั้น”
(The Lord made a covenant with them and commanded them, “You shall not fear other gods or bow yourselves to them or serve them or sacrifice to them, )
17:36 “แต่เจ้าจงยำ‍เกรงพระ‌ยาห์‍เวห์ ผู้นำเจ้าออกจากแผ่น‌ดินอี‍ยิปต์ด้วยฤท‍ธา‍นุ‍ภาพยิ่ง‌ใหญ่ และด้วยพระ‌กรที่เหยียดออก เจ้าจงนมัส‍การพระ‌องค์ และจงถวายสัตว‍บูชาแด่พระ‌องค์”
(but you shall fear the Lord, who brought you out of the land of Egypt with great power and with an outstretched  arm. You shall bow yourselves to him, and to him you shall sacrifice. )
17:37 “และกฎ‌เกณฑ์ กฎ‌หมาย และธรรมบัญญัติ และพระ‌บัญ‍ญัติซึ่งพระ‌องค์ทรงจา‍รึกสำหรับพวก‌เจ้า เจ้าจงระวังที่จะทำตามเสมอ เจ้าอย่ายำ‍เกรงพระอื่นเลย”
(And the statutes and the rules and the law and the commandment that he wrote for you, you shall always be careful to do. You shall not fear other gods, )
17:38 “เจ้าอย่าลืมพันธ‍สัญญาที่เราได้ทำไว้กับเจ้า และอย่ายำ‍เกรงพระอื่นเลย”
(and you shall not forget the covenant that I have made with you. You shall not fear other gods)
17:39 “แต่เจ้าทั้ง‌หลายจงยำ‍เกรงพระ‌ยาห์‍เวห์พระ‌เจ้าของเจ้า และพระ‌องค์จะทรงช่วยกู้เจ้าให้พ้นมือศัตรูทั้ง‌สิ้นของเจ้า”
(but you shall fear the Lord your God, and he will deliver you out of the hand of all your enemies.)
17:40 “พวก‌เขาไม่‌ได้ฟัง แต่ยังทำตามธรรม‍เนียมเดิมของตน”
(However, they would not listen, but they did according to their former manner.)
17:41 “ดัง‌นั้นประ‍ชา‌ชาติเหล่า‌นี้จึงยำเกรงพระ‌ยาห์‍เวห์ และปรน‍นิบัติรูป‌เคา‍รพสลักของพวก‌เขาด้วย ลูกของพวก‌ เขาก็เช่นเดียวกัน หลานของพวก‌เขาก็เช่นเดียวกัน บรรพ‍บุรุษของพวก‌เขาทำอย่าง‌ไร พวก‌เขาก็ทำอย่าง‌นั้นจนทุกวัน‌นี้”
(So these nations feared the Lord and also served their carved images. Their children did likewise, and their children’s children—as their fathers did, so they do to this day.)

ข้อมูลมีประโยชน์
17:1 “ในปีที่ 12 แห่งรัชกาลอาหัส” ( In the twelfth year of Ahaz) = 732 ก.ค.ศ. โดยถือว่า อาหัสร่วมสำเร็จราชกาลกับอาซาริยาห์ ในปี 744/743 (16:1-2)
“ครองอิสราเอลอยู่ 9 ปี” (reigned nine years) = 732-722 ก.ค.ศ.
17:3 “แชลมาเนเสอร์” (Shalmaneser) = กษัตริย์ของอัสซีเรีย = โฮเชยากษัตริย์อิสราเอลยอมเป็นเมืองขึ้นของแชลมาเนเสอร์
-โฮเชยาได้อำนาจมาจากการกบฏ และปลงพระชนม์กษัตริย์เปคาห์ (15:30) โดยยอมเป็นเมืองขึ้นต่อ
อัสซีเรียในรัชกาลทิกลัทปิเลเสอร์ที่ 3 และแชลมาเนเสอร์ที่ 5 สืบทอดบังลังก์แทนในปี 727-722 ก.ค.ศ.
17:5 “3 ปี” ( three years) -725-722 ก.ค.ศ. ในเวลานั้น สะมาเรียเป็นเมืองป้อมปราการที่แข็งแกร่ง ยึดได้ยาก (1พกษ.16:24)
17:6 “ปีที่ 9 แห่งรัชกาลโฮเชยา” (the ninth year of Hoshea) = 722 ก.ค.ศ.
“พระราชาแห่งอัสซีเรียยึดกรุงสะมาเรียได้” (the king of Assyria captured Samaria ) = ในฤดูหนาว (ธ.ค.) ของปี 722-721
แชลมาเนเสอร์ที่ 5 เสียชีวิต (อาจถูกปลงพระชนม์) และบัลลังก์ถูกชิง โดยซาร์กอน ที่ 2 (721-705)
-จดหมายเหตุของซาร์กอน อ้างอิงถึงการยึดสะมาเรียว่า เกิดในสมัยของตน (แต่ก็เป็นเพียงการเก็บตก)
“กวาดต้อนคนอิสราเอลไปยังอัสซีเรีย” (carried the Israelites away to Assyria) = เพราะว่าอิสราเอลปฏิเสธที่จะเชื่อฟังทำตามเงื่อนไขของพันธสัญญา พระเจ้าจึงพิพากษาพวกเขาตามที่อาหิยาห์ประกาศไว้ในรัชกาลของเยโรโบอัมที่ 1 กษัตริย์องค์แรกของอาณาจักรเหนือ (1พกษ.14:15)
ในจดหมายเหตุของซาร์กอนที่ 2 อ้างว่า เขาต้อนคนอิสราเอล 27290 คน ออกไปจากนั้นเขาย้ายชนชาติอื่นเข้าไปอาศัยในเมืองร้างของอาณาจักรเหนือ (ข.24)
“ข้ามแม่น้ำฮาโบร์แห่งเมืองโกชาน” ( on the Habor, the river of Gozan ) = โกชานเป็นเมืองหลวงภูมิภาคของอัสซีเรียซึ่งตั้งอยู่บนสาขา(แม่น้ำฮาโบร์)ของแม่น้ำยูเฟรติส
“ในเมืองต่าง ๆ ของคนมีเดีย” (in the cities of the Medes) = เมืองที่ตั้งอยู่ตอนใต้ของทะเลแคสเบียน และทางตะวันออกเฉียงเหนือของแม่น้ำไทกรีส
17:7-23 = เพราะอิสราเอลไม่เชื่อฟังทำตามที่กำหนดไว้ในพันธสัญญา พระเจ้าจึงให้คำสาปที่โมเสสแจ้งไว้กับชนชาติอิสราเอลทราบตั้งแต่ก่อนพวกเขาเข้าคานาอันได้เกิดขึ้น (ฉธบ.28:49-68;32:1-47)
17:7 “ทรงนำพวกเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์” (brought them up out of the land of Egypt ) = การกอบกู้จากอียิปต์เป็นการกอบกู้ที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของอิสราอล โดยพระคุณของพระเจ้า (อพย.20:2;ฉธบ.5:15;26:8;ยชว.24:5-7;17;วนฉ.10:11;1ซมอ.12:6;นหม.9:9-13;มคา.6:4)
“นมัสการพระอื่น ๆ” ( feared other gods) = ละเมิดพันธสัญญาของพระเจ้า –ข.35; ฉธบ.5:7;6:14;ยชว.24:14-16,20;ยรม.1:16;2:5-6;25:6;35:15
17:8 “ตามธรรมเนียมปฏิบัติของประชาชาติ” (walked in the customs of the nations ) –ฉธบ.18:9; วนฉ.2:12-13
“ตามกฎเกณฑ์ที่บรรดาพระราชาแห่งอิสราเอลทรงนำเข้ามา” (in the customs that the kings of Israel had practiced) –ดังในกรณี เยฮู (10:31) ; เยโรโบอัมที่ 2 (14:24), เยโรโบอัมที่ 1 (1พกษ.12:28-33), อมรี (16:25-26) , อาหับ (16:30-34)
17:9 “ปูชนียสถานสูงสำหรับตนทั่วบ้านทั่วเมือง” (built for themselves high places in all their towns) -14:4;15:4,35;16:4;1พกษ.3:2;15:14
17:10 “เสาศักดิ์สิทธิ์” (set up for themselves pillars) = หินศักดิ์สิทธิ์ –1พกษ.14:15,23
“เสาอาเชราห์” (Asherim) -1พกษ.14:15
“เนินเขาสูงทุกแห่ง และได้ต้นไม้เขียวสดทุกวัน” (every high hill and under every green tree)
-16:4;1พกษ.14:23;ยรม.2:20;3:6,13;17:2
17:11 “ทำสิ่งชั่ว” (did wicked things) = อาจหมายถึงโสเภณีในพิธีกรรมต่าง ๆ (1พกษ.14:24;ฮชย.4:13-14)
17:12 “เจ้าอย่าทำอย่างนี้” ( You shall not do this) –ลนต.26:30;อพย.23:13;ลนต.26:1;ฉธบ.5:6-10
17:13 “ทรงตักเตือนอิสราเอลและยูดาห์” ( the Lord warned Israel and Judah) = พระเจ้าตักเตือนพวกเขา
ผ่านทางผู้เผยพระวจนะและผู้ทำนาย แต่ประชาชนกลับไม่แยแส และเพิกเฉยในการละเมิดข้อกำหนดในพันธสัญญาที่พระเจ้าส่งมาให้พวกเขา (1พกษ.13:1-3;14:6-16;วนฉ.6:8-10;1ซมอ.3:19-21, ปท.1ซมอ.9:9)
17:14 “ดื้อดึง” (were stubborn) = แปลตามตัวก็คือ “คอแข็ง” เป็นภาพเปรียบเทียบกับวัวที่ไม่ยอมอยู่ใต้แอก (ฉธบ.10:16;ยรม.2:20;7:26;17:23;19:15;ฮชย.4:16)
17:15 “ติดตามสิ่งไร้ค่า” ( went after false idols) = ติดตามรูปเคารพ –ฉธบ.32:21;ยรม.2:5;8:19;10:8;
14:22;51:18
17:16 “ลูกวัวสองตัว” ( two calves) = รูปเคารพเป็นรูปวัวทองคำ 2 ตัวที่เบธเอลและดาน (1พกษ.12:28-30)
“บรรดาบริวารของฟ้าสวรรค์” (all the host of heaven) = ดวงดาวต่าง ๆ ในฟากฟ้า
= อิสราเอลถูกห้ามไม่ให้นมัสการดวงดาวเหมือนชนชาติเพื่อนบ้าน (ที่ไม่เชื่อพระเจ้า) –ฉธบ.4:19;17:3
-ผู้เผยพระวจนะอาโมสกล่าวเป็นนัยถึงการปฏิบัติเช่นนี้ในอาณาจักรเหนือในรัชกาลเยโรโบอัมที่ 2 (อมส.5:26)
-ต่อมาการปฏิบัติเช่นนี้ก็แพร่ลงสู่อาณาจักรใต้ ในรัชกาลมนัสเสห์ (21;3,5) และถูกขจัดไปในสมัยที่
โยสิยาห์ปฏิรูปศาสนา (23:4-5;12;อสค.8:16)
17:17 “ให้บุตรชายหญิงของเขาลุยไฟ” (burned their sons and their daughters) -16:3
“ทำนายโชคชะตาและทำเวทมนตร์” (used divination and omens) =ไสยศาสตร์และเวทมนตร์คาถาเป็นสิ่งที่ถูกห้ามไว้ในพันธสัญญาของโมเสส (16:15;ลนต.19:26;ฉธบ.18:10)
17:18 “ให้พวกเขาออกไปพ้นพระพักตร์” (removed them out of his sight) –16:15;ลนต.19:26;ฉธบ.18:10
= ถูกเนรเทศออกจากอาณาจักรเหนือ (ข.6;23:27)
“นอกจากเผ่ายูดาห์เท่านั้น” (the tribe of Judah only) = อาณาจักรใต้ประกอบด้วยเผ่าสิเมโอน และเบนยามินบางส่วนด้วย แต่ยูดาห์เป็นเผ่าเดียวที่ยังอยู่ครบบริบูรณ์ (1พกษ.11:31-32;2พกษ.19:4)
17:20 “มอบเขาไว้ในมือของผู้ปล้น” (gave them into the hand of plunderers) -10:32-33;13:3,20:24:2; 2พศด.21:16;28:18;อมส.1:13
17:21 “ฉีกอิสราเอลจากราชวงศ์ของดาวิด” (had torn Israel from the house of David) –1พกษ.11:11, 31;12:24
-พระเจ้าเป็นผู้อนุญาตให้มีการแบ่งแยกอาณาจักรเพื่อเป็นการลงโทษชนชาตินี้เพราะบาปของพวกเขา“นำให้พวกเขาทำบาปอย่างใหญ่หลวง” (made them commit great sin) –1พกษ.12:26-32;13:33-34; ปฐก.20:9
17:23 “ตามที่ตรัสทางบรรดาผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์” (he had spoken by all his servants the
prophets.) –1พกษ.14:15-16;ฮยช.10:1-7;11:5;อมส.5:27
17:24 “พระราชาแห่งอัสซีเรีย” ( king of Assyria) = ส่วนใหญ่แล้วเป็นซาร์กอน ที่ 2 (721-705 ก.ค.ศ) แม้ว่ากษัตริย์อัสซีเรียองค์หลัง ๆ รวมถึง เอสารฮัดโดน (681-669) และอาชูร์บานิปาล (669-627) จะโยกย้ายคนต่างชาติเข้ามาในสะมาเรียเพิ่มเติมอีก (อสร.4:2,9-10)
“คูธาห์” (Cuthah) = อยู่ห่างจากบาบิโลนขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ราว 13 กิโลเมตร ถูกบีบบังคับให้อยู่ใต้อำนาจของซาร์กอนที่ 2 ในปี 709 ก.ค.ศ.
“อัฟวา” (Avva) – น่าจะเป็นที่เดียวกับอิฟวาห์ (18:34;19:13) น่าจะอยู่ในอารัม (ซีเรีย)
“ฮามัท” (Hamath) = อยู่ริมแม่น้ำโอรอนเทส (14:25;18:34;อสค.47:15)
ในปี 720 ก.ค.ศ. ซาร์กอนที่ 2 ได้เปลี่ยนฮามัทเป็นภูมิภาคหนึ่งของอัสซีเรีย
“สะมาเรีย” (Samaria) = ในที่นี้หมายถึง อาณาจักรเหนือทั้งหมด (1พกษ.13:32)
17:25 “ไม่ได้ยำเกรงพระยาห์เวห์” (did not fear the Lord) = ไม่ได้นมัสการพระเจ้า พวกเขานมัสการ พระประจำชาติของพวกเขาเอง
“ทรงให้สิงโตมาท่ามกลางเขา” (sent lions among them) = สิงโตมีอยู่ในคานาอันมาตลอด
(1พกษ.13:24;20:36;วนฉ.14:5;1ซมอ.17:34;อมส.3:12)
-หลังจากเกิดความวุ่นวายปั่นป่วนและประชากรลดลงอย่างรวดเร็ว เพราะขัดแย้งกับอัสซีเรีย สิงโตก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น (อพย.23:29)
-ผู้ที่อาศัยอยู่ในดินแดนนี้ และผู้เขียนพระธรรมตอนนี้มองว่า นี่เป็นการลงโทษจากพระเจ้า (ลนต.26:21-22)
17:26 “ไม่รู้ธรรมเนียมของพระของแผ่นดินนั้น” (not know the law of the god of the land) = เชื่อกันว่า พระประจำชาติแต่ละองค์ จะเรียกร้องพิธีกรรมพิเศษที่แตกต่างกันไป ซึ่งถ้าละเมิดหรือเพิกเฉยก็จะนำภัยพิบัติมาสู่ดินแดนนั้น
17:27 “นำคนหนึ่งในพวกปุโรหิต” (Send there one of the priests) =อาจเป็นระบบปุโรหิตที่เยโรโบอัมที่ 1 แต่งตั้งขึ้นในอาณาจักรเหนือ (1พกษ.12:31)
17:28 “มาอยู่ที่เบธเอล” (lived in Bethel ) = เบธเอลยังเป็นศูนย์กลางการนมัสการที่ละทิ้งพระเจ้าในอาณาจักรเหนือ ตั้งแต่สมัยเยโรโบอัมที่ 1 (1พกษ.12:28-30)
17:29 “ชาวสะมาเรีย” ( Samaritans) = คนเชื้อชาติผสมซึ่งอยู่ในเขตแดนเดิมของอาณาจักรเหนือ คนเชื้อชาติผสมนี้เป็นที่รู้จักกันในนามสะมาเรีย ภายหลังชาวสะมาเรียเลิกนมัสการรูปเคารพตามเชื้อชาติดั้งเดิม (ที่นับถือพระหลายองค์) แล้วหันมาปฏิบัติตามคำสอนของโมเสส (ซึ่งนับถือพระเจ้าองค์เดียว)
-พระเยซูเคยเป็นพยานกับหญิงชาวสะมาเรีย (ยน.4:4-26) และมีชาวสะมาเรียจำนวนมากกลับใจเมื่อฟิลิปมาประกาศ (กจ.8:4-25)
17:32 “ได้ตั้งปุโรหิต” ( sorts of people as priests) –1พกษ.12:31
17:33 “ยำเกรงพระยาห์เวห์ แต่ก็ปรนนิบัติบรรดาพระของเขาเองด้วย” (feared the Lord but also served their own gods ) = ศาสนาแบบผสม
17:34 “ทุกวันนี้” ( this day) = จวบจนถึงเวลาที่เขียนพระธรรม 1 และ 2 พงศ์กษัตริย์
17:35 “อย่ายำเกรงพระอื่น ๆ” (not fear other gods) = อย่านมัสการพระอื่นใด แต่ให้นมัสการพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว (อพย.20:5;ฉธบ.5:9;ปท.มธ.22:38)
= ทำให้อิสราเอลแตกต่างจากชนชาติอื่น ๆ
17:36 “ผู้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์” (who brought you out of the land of Egypt) = การช่วยกู้จากอียิปต์ เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ทำให้เราควรมีใจกตัญญูภักดีต่อพระองค์ผู้เดียว
17:39 “ช่วยกู้เจ้าให้พ้นมือศัตรูทั้งสิ้นของเจ้า” ( will deliver you out of the hand of all your enemies)
–อพย.23:22;ฉธบ.20:1-4;23:14

คำถามนำอภิปราย
1. คุณเคยเห็นใคร (โดยเฉพาะผู้นำ) ทำชั่ว จนคุณรู้สึกรังเกียจบ้างไหม? เขาทำอะไร?
2. คุณเคยเห็นคนทำชั่วได้รับการลงโทษหรือผลร้ายกลับคืนสู่ตัวพวกเขาบ้างหรือไม่? อย่างไร?
3. คุณเองเคยได้รับผลเสียหรือการลงโทษจากพระเจ้าเพราะบาปบางอย่างในชีวิตของคุณเองบ้างหรือไม่? อย่างไร?
4. คุณเคยไม่ยอมฟังหรือดื้อดึงต่อพระเจ้าในเรื่องอะไรที่เป็นการทำตามแบบอย่างของคนอื่นหรือที่พระเจ้าห้ามไว้ชัดเจน? แล้วผลเป็นอย่างไร?
5. คุณเคยรู้สึกเหมือนถูกพระเจ้าทอดทิ้งบ้างหรือไม่? เมื่อไร? และอย่างไร?
6. คุณเคยเห็นพระเจ้าส่ง “คนของพระองค์” มาสอนทางของพระเจ้าให้แก่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอย่างเหลือเชื่อบ้างหรือไม่? อย่างไร? (แบ่งปัน)
7. คุณเคยพบกันชุมชนหรือกลุ่มคนที่ยึดถือขนบธรรมเนียมอย่างเหนียวแน่นและไม่ยอมต้อนรับพระเยซูคริสต์บ้าง
หรือไม่? แล้วผลเป็นอย่างไร? คุณจะมีส่วนช่วยพวกเขาอย่างไรบ้าง?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2 พงศ์กษัตริย์ 16 (บทเรียนที่ 16)

ประกาศ – ชั้นเรียนพระคัมภีร์วันพฤหัสฯที่ 29 พฤษภาคม ขอปรับเวลาดังนี้

06.45-07.15   นมัสการ และอธิษฐาน

07.15-08.15    ชั้นเรียนพระคัมภีร์ 2พงศ์กษัตริย์ บทที่ 25

 

ผู้นำซึ่งไร้จุดยืน!

พระธรรม        2พงศ์กษัตริย์ 16:1-20

อ้างอิง           2พศด.28:1-27;4:1;ฉธบ.12:31;อสย.7:1;อพย.27:1-2

บทนำ           คนบางคนเป็นผู้นำ แต่เพื่อความอยู่รอดสามารถกระทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ตนอยู่ในตำแหน่งต่อไป โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของส่วนรวมหรือแม้แต่เกียรติและศักดิ์ศรี ยอมขายหรือสละได้หมดทุกอย่าง แม้แต่ความเชื่อศรัทธาในองค์พระผู้เป็นเจ้า คุณเองล่ะ เป็นคนเช่นนั้นหรือไม่?

บทเรียน

16:1 “ใน​ปี​ที่ 17 แห่ง​รัชกาล​เปคาห์​บุตร​เรมาลิยาห์ อาหัส​พระราชโอรส​ของ​โยธาม​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์​ได้​ขึ้น​ครองราชย์”

       (In the seventeenth year of Pekah the son of Remaliah, Ahaz the son of Jotham, king of Judah,  began to reign.)

16:2 “เมื่อ​อาหัส​ทรง​เป็น​กษัตริย์​นั้น มี​พระชนมายุ 20 พรรษา และ​พระองค์​ทรง​ครองราชย์​ใน​กรุง​เยรูซาเล็ม 16 ปี   และ​พระองค์​ไม่​ทรง​ทำ​สิ่ง​ที่​ชอบธรรม​ใน​สายพระเนตร​ของ​พระยา ห์เวห์​พระเจ้า​ของ​พระองค์ ไม่​เหมือน​อย่าง​ดาวิด​บรรพบุรุษ​ของ​พระองค์”

  (Ahaz was twenty years old when he began to reign, and he reigned sixteen years in Jerusalem.    And he did not do what was right in the eyes of the Lord his God, as his father David had done,)

16:3 “แต่​ทรง​ดำเนิน​ตาม​ทาง​ของ​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล ถึง​กับ​ทรง​ให้​พระราชโอรส​ของ​พระองค์​ลุย​ไฟ ตาม​การ​กระทำ​อัน​น่า​เกลียด​น่า​ชัง​ของ​ประชาชาติ​ทั้งหลาย ซึ่ง​พระยาห์เวห์​ทรง​ขับไล่​ไป​ให้​พ้น​หน้า​คน​อิสราเอล”

   (but he walked in the way of the kings of Israel. He even burned his son as an offering,  according to the despicable practices of the nations whom the Lord drove out before the people  of Israel.)

16:4 “อาหัส​ทรง​ถวาย​สัตวบูชา และ​เผา​เครื่อง​หอม​ที่​ปูชนียสถาน​สูง และ​บน​เนิน​เขา​รวม​ทั้ง​ใต้​ต้นไม้​เขียว​สด​ทุก​ต้น”

          (And he sacrificed and made offerings on the high places and on the hills and under every   green tree.)

16:5 “แล้ว​เรซีน พระราชา​แห่ง​ซีเรีย​กับ​เปคาห์​บุตร​เรมาลิยาห์ พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​ทรง​ยก​ขึ้น​มา​ทำ​สงคราม​กับ​ กรุง​เยรูซา เล็ม และ​ได้​ล้อม​อาหัส​ไว้​แต่​ไม่​ทรง​สามารถ​เอา​ชัยชนะ​ได้”

      (Then Rezin king of Syria and Pekah the son of Remaliah, king of Israel, came up to wage war   on Jerusalem, and they besieged Ahaz but could not conquer him. )

16:6 “เวลา​นั้น​เรซีน​พระราชา​แห่ง​ซีเรีย​ตี​เมือง​เอลัท​คืน​ให้​ซีเรีย และ​ทรง​ขับไล่​ประชาชน​ยูดาห์​ออก​จาก​เอลัท แล้ว​คน​ซีเรีย​มา​ที่​เอลัท​และ​อยู่​ที่นั่น​จน​ทุก​วันนี้”

     (At that time Rezin the king of Syria recovered Elath for Syria and drove the men of Judah from   Elath, and the Edomites came to Elath, where they dwell to this day.)

16:7 “อาหัส​จึง​ทรง​ส่ง​คณะ​ทูต​ไป​เฝ้า​ทิกลัทปิเลเสอร์​พระราชา​แห่ง​ อัสซีเรีย ให้​กราบ​ทูล​ว่า “ข้าพเจ้า​เป็น​คน​รับใช้​ ของ​ท่าน และ​เป็น​บุตร​ของ​ท่าน ขอ​เสด็จ​ขึ้น​มา​ช่วย​ข้าพเจ้า​ให้​พ้น​จาก​มือ​ของ​พระราชา​แห่ง​ ซีเรีย และ​จาก​มือ​ของ​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล ผู้​ลุกขึ้น​ต่อสู้​ข้าพเจ้า

   (So Ahaz sent messengers to Tiglath-pileser king of Assyria, saying, “I am your servant and your  son. Come up and rescue me from the hand of the king of Syria and from the hand of the king of Israel, who are attacking me.” )

16:8 “อาหัส​ทรง​นำ​เงิน​และ​ทองคำ​ซึ่ง​พบ​ใน​พระนิเวศ​แห่ง​พระยาห์เวห์ และ​ใน​คลัง​สำนัก​พระราชวัง และ​ส่ง​ไป​เป็น​เครื่อง​บรรณาการ​แก่​พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย”

           (Ahaz also took the silver and gold that was found in the house of the Lord and in the treasures  of the king’s house and sent a present to the king of Assyria. )

16:9 “พระราชา ​แห่ง​อัสซีเรีย​ก็​ทรง​ฟัง​อาหัส พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย​ก็​ทรง​ยก​ทัพ​ขึ้น​ไป​ยัง​กรุง​ดามัสกัส​และ​ ยึด​ได้ ทั้ง​กวาด​ต้อน​ประชาชน​เมือง​นั้น​ไป​เป็น​เชลย​ยัง​เมือง​คีร์ และ​ทรง​ประหาร​เรซีน​เสีย”

          (And the king of Assyria listened to him. The king of Assyria marched up against Damascus and took it, carrying its people captive to Kir, and he killed Rezin.)

16:10 “เมื่อ​กษัตริย์​อาหัส​เสด็จ​ไป​กรุง​ดามัสกัส​เพื่อ​พบ​ทิกลัทปิเลเสอร์​ กษัตริย์​แห่ง​อัสซีเรีย พระองค์​ทรง​เห็น​แท่น​บูชา​ที่​อยู่​ใน​ดามัสกัส และ​กษัตริย์​อาหัส​ทรง​ส่ง​แบบ​จำ​ลอง​แท่น​บูชา​ไป​ยัง​อุรียาห์​ ปุโรหิต พร้อมทั้ง​แบบแปลน​ของ​แท่น​นั้น​ตาม​ลักษณะ​การ​สร้างอย่าง​ละเอียด”

    (When King Ahaz went to Damascus to meet Tiglath-pileser king of Assyria, he saw the altar  that was at Damascus. And King Ahaz sent to Uriah the priest a model of the altar, and its      pattern, exact in all its details.)

16:11 “แล้ว​อุรียาห์​ปุโรหิต​ก็​สร้าง​แท่น​บูชา​นั้น ตาม​แบบ​ทุก​อย่าง​ที่​กษัตริย์​อาหัส​ได้​ส่ง​มา​จาก​ดามัสกัส ดังนั้น​อุรียาห์​  ปุโรหิต​จึง​ทำ​แท่น​บูชา​ขึ้น​ก่อน​ที่​กษัตริย์​ อาหัส​เสด็จ​กลับ​มา​จาก​ดามัสกัส”

       (And Uriah the priest built the altar; in accordance with all that King Ahaz had sent from  Damascus, so Uriah the priest made it, before King Ahaz arrived from Damascus.)

16:12 “และ​เมื่อ​พระราชา​เสด็จ​กลับ​จาก​ดามัสกัส พระราชา​ทรง​เห็น​แท่น​บูชา แล้ว​พระราชา​ทรง​เข้า​มา​ใกล้​แท่น​บูชา   และ​ถวาย​เครื่องบูชา​บน​แท่น​นั้น”

         (And when the king came from Damascus, the king viewed the altar. Then the king drew near   to the altar and went up on it )

16:13 “และ​ทรง​เผา​เครื่อง​บูชา​เผา​ทั้ง​ตัว และ​ธัญบูชา​และ​ทรง​เท​เครื่อง​ดื่มบูชา และ​ทรง​พรมเลือด​แห่ง​เครื่อง​ศานติ‌   บูชา​ของ​พระองค์​ลง​บน​แท่น​นั้น”

        (and burned his burnt offering and his grain offering and poured his drink offering and threw the blood of his peace offerings on the altar.)

16:14 “และ​พระองค์​ทรง​ย้าย​แท่น​บูชา​ทอง​สัมฤทธิ์ ซึ่ง​อยู่​เฉพาะ​พระพักตร์​พระยาห์เวห์ ออก​เสีย​จาก​ข้าง​หน้า​พระนิเวศ บริเวณ​ระหว่าง​แท่น​บูชา​ใหม่​กับ​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์ และ​ตั้ง​ไว้​ทาง​ด้าน​เหนือ​ของ​แท่น​บูชา​นั้น”

   (And the bronze altar that was before the Lord he removed from the front of the house, from the place between his altar and the house of the Lord, and put it on the north side of his altar.)

16:15 “และ​กษัตริย์​อาหัส​ทรง​บัญชา​อุรียาห์​ปุโรหิต​ว่า “บน​แท่น​ใหญ่​นี้ ท่าน​จง​เผา​เครื่อง​บูชา​เผา​ทั้ง​ตัว​ตอนเช้า และ​  ธัญบูชา​ตอนเย็น และ​เครื่อง​บูชา​เผา​ทั้ง​ตัว​ของ​พระราชา และ​เครื่อง​ธัญบูชา​ของ​พระองค์ พร้อมกับ​เครื่อง​บูชา​เผา​ทั้ง​ตัว​ของ​ประชาชน​ทั้งหมด​ใน​แผ่นดิน รวม​ทั้ง​ธัญบูชา และ​เครื่อง​ดื่มบูชา​ของ​เขา​ทั้งหลาย และ​จง​พรมเลือด​ทั้งหมด​ของ​เครื่อง​บูชา​เผา​ทั้ง​ตัว​และ​ของ​เครื่อง​ สัตวบูชา​บน​แท่น​นั้น แต่​แท่น​บูชา​ทอง​สัมฤทธิ์​ให้​เป็น​ที่​ที่​เรา​จะ​ทูลถาม​พระเจ้า

    (And King Ahaz commanded Uriah the priest, saying, “On the great altar burn the morning burnt   offering and the evening grain offering and the king’s burnt offering and his grain offering, with   the burnt offering of all the people of the land, and their grain offering and their drink offering.  And throw on it all the blood of the burnt offering and all the blood of the sacrifice, but the     bronze altar shall be for me to inquire by.” )

16:16 “อุรียาห์​ปุโรหิต​ทำ​ทุก​อย่าง​ตาม​พระบัญชา​ของ​กษัตริย์​อาหัส”

          (Uriah the priest did all this, as King Ahaz commanded.)

16:17 “และ​กษัตริย์​อาหัส​ทรง​ตัด​แผง​แท่น​นั้น​ออก และ​ทรง​ยก​ขัน​ออก​ไป​จาก​แท่น​เสีย และ​พระองค์​ทรง​เอา​อ่าง​สาคร​ลง​มา​จาก​วัว​ทอง​สัมฤทธิ์​ที่​รอง​อยู่​นั้น ทรง​วางไว้​บน​พื้นหิน”

                 (And King Ahaz cut off the frames of the stands and removed the basin from them, and he took

                 down the sea from off the bronze oxen that were under it and put it on a stone pedestal. )

16:18 “ส่วน​ศาลา​วัน​สะบาโต​ซึ่ง​พวกเขาสร้าง​ไว้​ใน​พระนิเวศ และ​ทางเข้า​ชั้นนอก​สำหรับ​พระราชา​นั้น พระองค์​ทรง​ย้าย​จาก​พระ​นิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์ เพราะ​เห็นแก่​พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย”

   (And the covered way for the Sabbath that had been built inside the house and the outer  entrance for the king he caused to go around the house of the Lord, because of the king of  Assyria.)

16:19 “ส่วน​พระราชกิจ​อื่นๆ ของ​อาหัส​ที่​ทรง​กระทำ ได้​บันทึก​ไว้​ใน​หนังสือ​พงศาวดาร​กษัตริย์​แห่ง​ยูดาห์​ไม่​ใช่​หรือ?”

    (Now the rest of the acts of Ahaz that he did, are they not written in the Book of the Chronicles  of the Kings of Judah? )

16:20 “และ​อาหัส​ทรง​ล่วงหลับ​ไป​อยู่​กับ​บรรพบุรุษ และ​ทรง​ถูก​ฝัง​ไว้​กับ​บรรพบุรุษ​ใน​นคร​ดาวิด และ​เฮเซคียาห์​ พระราชโอรส​ของ​พระองค์​ได้​ขึ้น​ครองราชย์​แทน”

    (And Ahaz slept with his fathers and was buried with his fathers in the city of David, and  Hezekiah his son reigned in his place.)

ข้อมูลมีประโยชน์

16:1     “ในปีที่ 17 แห่งรัชกาลเปคาห์” (In the seventeenth year of Pekah) = ปี 735 ก.ค.ศ. –(15:27)

“อาหัสพระราชโอรสของโยธาม” (Ahaz the son of Jotham) –รัชกาลของอาหัสซ้อนทับกับโยธาม (ราชบิดา) โดยอาหัสเริ่มเป็นผู้นำในตอนต้นปี 735 ก.ค.ศ. (15:33,37;17:1)

-ในปี 1996 มีการค้นพบตราประทับบนดินเหนียวสลักว่า “เป็นของอาหัสบุตรของโยธามกษัตริย์แห่ง ยูดาห์” เขียนเป็นภาษาฮีบรูโบราณในยุคที่มี 2 อาณาจักร และเป็นตราประทับดั้งเดิมชิ้นแรกที่เชื่อมโยงได้กับกษัตริย์ยูดาห์

16:2     “มีพระชนมายุ 20 พรรษา” (was twenty years old ) = อาจเป็นอายุของอาหัสในตอนขึ้นเป็นผู้นำในการสำเร็จราชการร่วมกับโยธาม บิดาของเขาในปี 735 ก.ค.ศ.

“16 ปี”(sixteen years)=ช่วงเวลาที่อาหัสครองราชย์หลังจากโยธามเสียชีวิต(732-715 ก.ค.ศ.) – 15:30,33

“ไม่ทรงทำสิ่งที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์” (did not do what was right in the eyes of the Lord his God) –1พกษ.14:8

= อาหัสไม่ได้รับคำชมเชยแม้แต่นิดเหมือนอย่างที่อามาซิยาห์ (14:3), อาซาริยาห์ (15:3) และโยธาม (15:34) ก่อนหน้านี้เคยได้รับ

16:3     “ดำเนินตามทางของพระราชาแห่งอิสราเอล” (he walked in the way of the kings of Israel) = นมัสการพระบาอัลตามอย่างอาหับ (1พกษ.16:31-33;2พศด.28:2)

“ทรงให้พระราชโอรสของพระองค์ลุยไฟ” (He even burned his son as an offering) = นำโอรสมาบูชายัญ ซึ่งเป็นสิ่งที่โมเสสเคยห้ามไว้ก่อนแล้ว (ลนต.18:21;ฉธบ.18:10)

แต่ทุกครอบครัวในอิสาเอลต้องถวายบุตรหัวปีให้แก่พระเจ้าและไถ่คืนด้วยการชำระเงิน 5 เชเขลให้กับปุโรหิต (อพย.13:1,11-13;กดว.18:16; ปท.3:27;17:17;21:6;23:10;2พศด.28:3;ยรม.7:31;32:35

16:4     “ปูชนียสถานสูง” (the high places) -15:4,30;1พกษ.15:14

= สถานที่บูชาบนที่สูงเหล่านี้มาจากการนมัสการพระบาอัลของคนต่างชาติ และถูกใช้เป็นที่นมัสการ       พระบาอัลและพระเจ้าด้วย

“ใต้ต้นไม้เขียวสดทุกต้น” (under every green tree) = คนในคานาอันก่อนชาวอิสราเอล มองดูต้นไม้ใหญ่เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์เป็นเทวสถาน แม้โมเสสจะห้าม (17:10;1พกษ.14:23;  ฉธบ.12:2;ยรม.2:20;3:6;17:2;อสค.6:13;20:28;ฮชย.4:13-14)

16:5     “เรซีน พระราชาแห่งซีเรีย” ( Then Rezin king of Syria) 2พกษ.15:37

“ไม่ทรงสามารถเอาชัยชนะได้” (could not conquer him) –เรซีน แห่งซีเรียและเปคาห์แห่งอิสราเอลยกทัพมารบกับยูดาห์ แต่เอาชนะไม่ได้ –2พศด.28:5-21;อสย.7:1-17

= ต้องการบีบยูดาห์ให้ร่วมเป็นพันธมิตรในการสู้รบกับอัสซีเรีย แต่พระเจ้าทรงช่วยกอบกู้ยูดาห์แม้ว่าอาหัสจะยังทำสิ่งที่ชั่วร้ายเพราะเห็นแก่พันธสัญญาที่มีต่อดาวิด (1พกษ.11:36;2ซมอ.7:13;อสย.7:3-7,14)

16:6     “ตีเมืองเอลัทคืนให้ซีเรีย” (recovered Elath for Syria) –อาซาริยาห์เป็นผู้บูรณะเมืองเอลัท และยึดคืนมาเป็นของยูดาห์ (14:22) หลังจากอามาซิยาห์(บิดา) ได้ตั้งต้นไว้ในการยึดครองเอโดม (14:7) แต่เวลานี้ซีเรียยึดคืน

“คนซีเรียมาที่เอลัท และอยู่ที่นั่นจนทุกวันนี้” (the Edomites came to Elath, where they dwell to this day.) –2พศด.28:17 –ในบางฉบับบอกว่าเป็นชาวเอโดม (ฟิลิสเตีย) ฉวยโอกาสแก้แค้นและเข้าไปอยู่ในเอลัท (2พศด.26:5-7;28:18)

16:7     “ทิกัลปิเลเสอร์ พระราชาแห่งอัสซีเรีย” (Tiglath-pileser king of Assyria) -15:19,29

“ข้าพเจ้าเป็นคนรับใช้ของท่าน” (I am your servant) = อาหัสเลือกจะทำให้ยูดาห์อยู่รอดโดยทำ     สนธิสัญญากับอัสซีเรีย แทนที่จะเชื่อฟังและพึ่งวางใจในพระเจ้า และพระสัญญาของพระองค์ (อพย.23:22;อสย.7:10-16)

16:8     “นำเงินและทองคำซึ่งพบในพระนิเวศแห่งพระยาห์เวห์” (the silver and gold that was found in the house of the Lord ) = สมบัติในพระวิหารน่าจะมีเพิ่มขึ้นจากเดิมระดับหนึ่งโดยโยธาม (12:18;14:14)

-ในบันทึกของทิกลัทปิเลเสอร์ มีรายนามของบรรดาผู้นำ(รวมทั้ง จากฟิลิสเตีย, อัมโมน, โมอับ และเอโดม) มีชื่อ “เยโฮอาหาสแห่งยูดาห์” หรือ อาหัส อยู่ด้วย ซึ่งนำเครื่องบรรณาการมาถวายให้ในปี 734 ก.ค.ศ.

16:9     “ยกทัพขึ้นไปยังกรุงดามัสกัสและยึดได้” (marched up against Damascus and took it)  –ทิกลัทปิเลเสอร์ที่ 3 ได้ยกทัพโจมตีและทำลายดามัสกัสในปี 732 ก.ค.ศ.

-ดูคำพยากรณ์ใน อสย.7:16;อมส.1:3-5

“กวาดต้อนประชาชนเมืองนั้นไปเป็นเชลยยังเมืองคีร์” (carrying its people captive to Kir)

=ชาวซีเรีย(อารัม)ถูกส่งกลับไปยังที่ๆ พวกเขาจากมา(อมส.9:7)เป็นไปตามคำพยากรณ์ของอาโมส(อมส.1:5)

16:10   “…กษัตริย์อาหัสเสด็จไปกรุงดามัสกัสเพื่อพบทิกลัทปีเลเสอร์กษัตริย์แห่งอัสซีเรีย” (King Ahaz went to Damascus to meet Tiglath-pileser king of Assyria)

= เขาไปในฐานะกษัตริย์เมืองขึ้น เพื่อแสดงความขอบคุณและความจงรักภักดีต่อกษัตริย์อัสซีเรียที่ปราบซีเรียให้

“แท่นบูชาที่อยู่ในดามัสกัส” (the altar that was at Damascus)= อาจเป็นของเทพเจ้าริมโมน (5:15;2พศด.28:23) และอาจเป็นแท่นบูชาหลวงของทิกลัทปีเลเสอร์

16:13   “เครื่องบูชาเผาทั้งตัวและธัญบูชา…เครื่องดื่มบูชา …เครื่องศานติบูชา” (burned his burnt offering and his grain offering… drink offering … peace offerings on the altar)

= เครื่องบูชาทั้งหมดนี้เป็นเครื่องบูชาที่ใช้ในการถวายพระวิหาร ยกเว้นเครื่องดื่มบูชา (1พกษ.8:64)

16:14   “ด้านเหนือของแท่นบูชานั้น”( the north side of his altar) = อาหัสย้ายแท่นบูชาทองสัมฤทธิ์จากตำแหน่งที่มีเกียรติหน้าพระวิหารไปวางข้างแท่นบูชาหินแท่นใหม่

16:15   “บนแท่นใหญ่นี้” (On the great altar ) = บนแท่นบูชาใหม่

-แม้ว่าพระเจ้าจะส่งไฟจากสวรรค์ลงมาชำระแท่นบูชาทองสัมฤทธิ์ เพื่อการนมัสการพระองค์ในคราวซาโลมอนมอบถวายพระวิหารแล้วก็ตาม (2พศด.7:1) แต่ตอนนี้ อาหัสได้แทนที่แท่นบูชาเดิม ด้วยแท่นบูชาที่สร้างตามแบบอย่างของชาวต่างชาติจากดามัสกัส

-แม้ว่าแท่นบูชาทองสัมฤทธิ์เดิมจะมีขนาดใหญ่ (2พศด.4:1) แต่แท่นใหม่นี้ใหญ่กว่าอีก

“เครื่องบูชาเผาทั้งตัวตอนเช้า” ( the morning burnt offering) -3:20;อพย.29:38-39;กดว.28:3-4

          “ธัญบูชาตอนเย็น” (the evening grain offering) –1พกษ.18:27

          “เครื่องบูชาเผาทั้งตัวของพระราชา และเครื่องธัญบูชาของพระองค์” ( the king’s burnt offering and his grain offering) = ไม่มีการอ้างอิงถึงการถวายบูชาพิเศษของกษัตริย์ในที่อื่นๆ ในพระคัมภีร์เดิม

(โดยอาจมีข้อยกเว้นในภาพการถวายเครื่องบูชาของเจ้านายในอนาคตที่เอเสเคียล บรรยายไว้–อสค.46:12)

        “ให้เป็นที่ที่เราจะทูลถามพระเจ้า” (shall be for me to inquire by) = หาลางบอกเหตุ โดยดูจากเครื่องในสัตว์ที่ถูกเผาถวายบูชาเป็นวิธีปฏิบัติที่พบกันทั่วไปในงานเขียนแถบตะวันออกใกล้

-ในที่นี้อาหัสบ่งบอกเจตนาที่จะใช้วิธีการทำนายโชคชะตาแบบชาวอัสซีเรียเพื่อขอคำแนะนำจากพระเจ้า

16:17   “ทรงตัดแผงแท่นนั้นออก และทรงยกขันออกไปจากแท่นเสีย” ( King Ahaz cut off the frames of the stands and removed the basin from them) = ย้ายแผงด้านข้างของแท่น เคลื่อนที่ทองสัมฤทธิ์และ

ย้ายขันบรรจุน้ำออกไป –1พกษ.7:27-39

            “เอาอ่างสาครลงมาจากวัวทองสัมฤทธิ์ที่รองอยู่นั้น” (took down the sea from off the bronze oxen that were under it) –1พกษ.7:23-26

            –อาจเป็นเพราะต้องนำทองสัมฤทธิ์ไปเป็นเครื่องบรรณาการสำหรับทิกลัทปิเลเสอร์ที่ 3

16:18   “ทางเข้าชั้นนอกสำหรับพระราชานั้นพระองค์ทรงย้าย…เพราะเห็นแก่พระราชาแห่งอัสซีเรีย”

( the outer entrance for the king he caused to go around the house of the Lord, because of the king of Assyria)= เพื่อเอาใจกษัตริย์อัสซีเรียในฐานะเมืองขึ้น อาหัสอาจถูกบังคับหรือบีบให้ต้องสละสัญลักษณ์บางอย่างที่แสดงอำนาจของกษัตริย์

16:19   “ส่วนพระราชกิจอื่น ๆ ของอาหัสที่ทรงกระทำ” (rest of the acts of Ahaz that he did) –2พศด.28    รวมทั้งที่อาหัสปิดประตูพระวิหาร (2พศด.28:24)

16:20   “ทรงล่วงหลับไป” ( Ahaz slept) –1พกษ.1:21;2พศด.28:27

“เฮเซคียาห์พระราชโอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์แทน” (Hezekiah his son reigned in his place) 2พกษ.18:1-20:21

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยเห็นคนที่ดำรงตำแหน่งผู้นำ(ผู้ปกครอง/หัวหน้า) แต่ไม่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องคู่ควรกับตำแหน่งบ้างหรือไม่? เขาคือใคร? และทำอะไรยาวนานแค่ไหน?
  2. สิ่งที่บุคคลคนนั้นกระทำได้ส่งผลกระทบอะไรต่อส่วนรวม(ประเทศชาติ/องค์กร) บ้าง? และอย่างไร?
  3. คุณเคยวิตกกังวลหรือหวาดกลัวกับภัยคุกคามบางอย่างจนต้องยอมสวามิภักดิ์ต่อผู้ใดบ้างหรือไม่? ทำไมจึงเลือกกระทำเช่นนั้น? (หรือคุณเคยเห็นผู้ใดกระทำเช่นนั้น?)
  4. คุณเคยเลือกข้างบ้างหรือไม่? คุณเลือกใคร? และทำไมคุณจึงเลือกเช่นนั้น? ผลที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร? (คุณคิดว่าคุณเลือกถูกข้างหรือไม่? ) ทำไม?
  5. คุณเคยลอกเลียนแบบผู้ใดบ้าง? ในเรื่องอะไร? และทำไมคุณจึงทำเช่นนั้น? และส่งผลดีผลเสียอย่างไรต่อการกระทำเช่นนั้น ?
  6. คุณเคยกระทำสิ่งใดที่แสดงออกถึงการไม่ให้เกียรติพระเจ้าและขาดความเชื่อศรัทธาในพระเจ้ามากที่สุด? ผลที่ตามเป็นอย่างไร?
  7. คุณเคยเอาใจผู้ใดจนออกหน้าบ้างหรือไม่? กับใคร? ในเรื่องอะไร? หรือคุณเห็นใครบางคนทำเช่นนั้นบ้าง? แล้วคุณรู้สึกอย่างไร?
  8. คุณเคยกระทำทุกสิ่งเพื่อความอยู่รอด รวมทั้งการละทิ้งพระเจ้าบ้างหรือไม่? (แบ่งปัน) แล้วผลที่ตามมาคืออะไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 15)

สารพัดกษัตริย์

พระธรรม        2พงศ์กษัตริย์ 15:1-38

อ้างอิง           1พกษ.4:24;13:32;14:8;15:20-31;2พกษ.8:12;10:39;12:18-20,5-7;14:21;15:1-5,32,16:7;17:1-6; 1พศด.5:6,26;2พศด.27:1;28:6,20

บทนำ           กษัตริย์หรือผู้ปกครองประเทศมีทั้งดี และไม่ดี ผู้ใดทำหน้าที่ได้ดีตามพระประสงค์ของพระเจ้า พระองค์ก็ทรงอวยพร  ผู้ใดกระทำสิ่งเลวร้ายก็จะได้รับคำสาปแช่งเป็นการตอบสนอง ซึ่งจะส่งผลกระทบในทางเลวร้ายต่อทุกคนในครอบครัวด้วย ดังนั้นไม่ว่าเราจะทำหน้าที่อะไรขอให้เรากระทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้าเสมอไป !

บทเรียน

15:1 “ใน​ปี​ที่ 27 แห่ง​รัชกาล​เยโรโบอัม พระราชา​แห่ง​อิสราเอล อาซาริยาห์​พระราชโอรส​ของ​อามาซิยาห์ พระราชา​แห่ง​ยูดาห์​ได้​ ขึ้น​ครองราชย์”

        (In the twenty-seventh year of Jeroboam king of Israel, Azariah the son of Amaziah, king of Judah, began  to reign. )

15:2 “เมื่อ​พระองค์​ทรง​เป็น​กษัตริย์​นั้น​มี​พระชนมายุ 16 พรรษา และ​พระองค์​ทรง​ครองราชย์​ใน​กรุง​เยรูซาเล็ม 52 ปี พระราช มารดา​ของ​พระองค์​มี​พระนาม​ว่า เยโคลียาห์​ชาว​เยรูซาเล็ม”

              (He was sixteen years old when he began to reign, and he reigned fifty-two years in Jerusalem. His  mother’s name was Jecoliah of Jerusalem. )

15:3 “พระองค์​ทรง​ทำ​สิ่ง​ชอบ​ธรรม​ใน​สายพระเนตร​ของ​พระยาห์เวห์ เหมือน​ทุก​อย่าง​ที่​อามาซิยาห์​พระราชบิดา​ของ​พระองค์​ทรง​กระทำ”

      (And he did what was right in the eyes of the Lord, according to all that his father Amaziah had   done.)

15:4 “เว้นแต่​ปูชนียสถาน​สูง​ยัง​ไม่​ถูก​กำจัด​เสีย ประชาชน​ยัง​ถวาย​สัตวบูชา​และ​เผา​เครื่อง​หอม​บน​ปูชนียสถาน​สูง​เหล่า​นั้น”

             (Nevertheless, the high places were not taken away. The people still sacrificed and made  offerings on the  high places.)

15:5 “และ​พระยาห์เวห์​ทรง​ลงโทษ​พระราชา พระองค์​ก็​ทรง​เป็น​โรคเรื้อน​จน​ถึง​วัน​สิ้นพระชนม์ และ​พระองค์​ประทับ​ใน​วัง​ต่างหาก  และ​โยธาม​พระราชโอรส​ของ​พระราชา​ทรง​ดู​แล​ควบคุม​สำนัก​ พระราชวัง และ​ทรง​ปกครอง​ประชาชน​ของ​แผ่นดิน”

   (And the Lord touched the king, so that he was a leper to the day of his death, and he lived in a separate  house. And Jotham the king’s son was over the household, governing the people of the land. )

15:6 “ส่วน​พระราชกิจ​อื่นๆ ของ​อาซาริยาห์​และ​ทุก​สิ่ง​ที่​ทรง​กระทำ ได้​บันทึก​ไว้​ใน​หนังสือ​พงศาวดาร​กษัตริย์​แห่ง​ยูดาห์​ไม่​ใช่​ หรือ?”

       (Now the rest of the acts of Azariah, and all that he did, are they not written in the Book of the  Chronicles of the Kings of Judah? )

15:7 “และ​อาซาริยาห์​ทรง​ล่วงหลับ​ไป​อยู่​กับ​บรรพบุรุษ และ​พวกเขา​ก็​ฝัง​พระศพ​ไว้​กับ​บรรพบุรุษใน​นคร​ดาวิด และ​โยธาม​  พระราชโอรส​ของ​พระองค์​ได้​ขึ้น​ครอง​ราชย์​แทน”

            (And Azariah slept with his fathers, and they buried him with his fathers in the city of David, and Jotham his  son reigned in his place.)

15:8 “ใน​ปี​ที่ 38 แห่ง​รัชกาล​อาซาริยาห์​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์ เศคาริยาห์​พระราชโอรส​ของ​เยโรโบอัม​ทรง​ครอง​อิสราเอล​ใน​กรุง​ สะมาเรีย 6 เดือน”

       (In the thirty-eighth year of Azariah king of Judah, Zechariah the son of Jeroboam reigned over Israel in Samaria six months. )

15:9 “และ​ทรง​ทำ​สิ่ง​ชั่วร้าย​ใน​สาย​พระเนตร​ของ​พระยาห์เวห์ ดังที่​บรรพบุรุษ​ของ​พระองค์​ทรง​กระทำ พระองค์​ไม่ได้​ทรง​หัน​จาก​บาป​ทั้งหลาย​ของ​เยโรโบอัม​บุตร​เนบัท ผู้​ได้​นำ​อิสราเอล​ให้​ทำ​บาป​ด้วย”

   (And he did what was evil in the sight of the Lord, as his fathers had done. He did not depart from the  sins of Jeroboam the son of Nebat, which he made Israel to sin. )

15:10 “ชัลลูม ​บุตร​ยาเบช​ก่อ​การ​กบฏ​ต่อ​พระองค์ โค่น​พระองค์​ลง​ต่อ​หน้า​ประชาชน​และ​ประหาร​พระองค์​เสีย และ​ได้​ขึ้น​ครองราชย์​แทน”

(Shallum the son of Jabesh conspired against him and struck him down at Ibleam and put him to death and reigned in his place. )

15:11 “ส่วน​พระราชกิจ​อื่นๆ ของ​เศคาริยาห์ นี่แน่ะ ได้​บันทึก​ไว้​ใน​หนังสือ​พงศาวดาร​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล”

   (Now the rest of the deeds of Zechariah, behold, they are written in the Book of the Chronicles of the  Kings of Israel. )

15:12 “(เหตุ​การณ์​นี้​เป็น​ไป​ตาม​พระวจนะ​ที่​พระยาห์เวห์​ตรัส​แก่​เยฮู​ว่า “เชื้อสาย​ของ​เจ้า​จะ​นั่ง​บน​บัลลังก์​ของ​อิสราเอล​ถึง​สี่​ชั่ว​อายุ​คน” และ​ก็​เป็น​ดังนั้น)”

 (This was the promise of the Lord that he gave to Jehu, “Your sons shall sit on the throne of Israel to the  fourth generation.” And so it came to pass.))

15:13 “ชัลลูม​บุตร​ยาเบช​ได้​ขึ้น​ครอง​ราชย์​ใน​ปี​ที่ 39 แห่ง​รัชกาล​อุสซียาห์​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์ และ​พระองค์​ทรง​ครอง​ราชย์​ใน สะมาเรีย​หนึ่ง​เดือน”

(Shallum the son of Jabesh began to reign in the thirty-ninth year of Uzziah king of Judah, and he reigned one month in Samaria. )

15:14 “แล้ว​เมนาเฮม​บุตร​กา​ดี​ได้​ขึ้น​มา​จาก​เมือง​ทีรซาห์​ไป​ยัง​กรุง​ สะมาเรีย ท่าน​ได้​โค่น​ล้ม​ชัลลูม​บุตร​ยาเบช​ใน​สะมาเรีย และ​ ประหาร​พระองค์​เสีย และ​ได้​ขึ้น​ครองราชย์​แทน”

(Then Menahem the son of Gadi came up from Tirzah and came to Samaria, and he struck down  Shallum the son of Jabesh in Samaria and put him to death and reigned in his place. )

15:15 “ส่วน​พระราชกิจ​อื่นๆ ของ​ชัลลูม และ​การ​กบฏ​ที่​พระองค์​ทรง​ทำ นี่แน่ะ ได้​บันทึก​ไว้​ใน​หนังสือ​พงศาวดาร​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล”

   (Now the rest of the deeds of Shallum, and the conspiracy that he made, behold, they are  written in the   Book of the Chronicles of the Kings of Israel. )

15:16 “ใน​เวลา​นั้น เมนาเฮม​โจม​ตี​ทิฟสาห์ และ​ทุก​คน​ที่​อยู่​ใน​เมือง​นั้น​และ​ชาย​แดน​ของ​เมือง​นั้น​ตั้งแต่​ทีรซาห์​ไป เพราะ​เขา​ไม่​เปิด​ประตู​เมือง​ให้​ท่าน ท่าน​โจม​ตี​เมือง​นั้น และ​ผ่า​ท้อง​หญิง​มี​ครรภ์​ของ​เมือง​นั้น​ทุก​คน”

 (At that time Menahem sacked Tiphsah and all who were in it and its territory from Tirzah on,  because they did not open it to him. Therefore he sacked it, and he ripped open all the women        in it who were pregnant.)

15:17 “ใน​ปี​ที่ 39 แห่ง​รัชกาล​อาซาริยาห์​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์ เมนาเฮม​บุตร​กาดี​ทรง​ครอง​อิสราเอล​ใน​กรุง​สะมาเรีย 10 ปี”

         (In the thirty-ninth year of Azariah king of Judah, Menahem the son of Gadi began to reign over Israel,  and he reigned ten years in Samaria. )

15:18 “พระองค์ ​ทรง​ทำ​สิ่ง​ชั่วร้าย​ใน​สายพระเนตร​ของ​พระยาห์เวห์ และ​ตลอด​รัชกาล​ของ​พระองค์​ก็​ไม่ได้​ทรง​หัน​ จาก​บาป​ทั้งหลาย​ของ​ เยโรโบอัม​บุตร​เนบัท ผู้​ได้​นำ​อิสราเอล​ให้​ทำ​บาป​ด้วย”

          (And he did what was evil in the sight of the Lord. He did not depart all his days from all the sins of  Jeroboam the son of Nebat, which he made Israel to sin. )

15:19 “ทิกลัทปิเลเสอร์​พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย​ได้​ยก​ขึ้น​มา​ต่อสู้​แผ่นดิน​นั้น และ​เมนาเฮม​ได้​ถวาย​เงิน 1,000 ตะลันต์​ แก่​ทิกลัทปิเลเสอร์ เพื่อ​ให้​พระองค์​ช่วย​ให้​ท่าน​กุม​อาณาจักร​ไว้​ได้”

         (Pul the king of Assyria came against the land, and Menahem gave Pul a thousand talents of silver, that  he might help him to confirm his hold on the royal power. )

15:20 “เมนาเฮม​ได้​รีด​เงิน​จาก​อิสราเอล​คือ จาก​คน​มั่งมี​ทุก​คน คน​ละ 50 เชเขล เพื่อ​ถวาย​พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย ดังนั้น​พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย​จึง​ยก​ทัพ​กลับ และ​ไม่ได้​ทรง​ยับยั้ง​อยู่​ใน​แผ่นดิน​นั้น”

  (Menahem exacted the money from Israel, that is, from all the wealthy men, fifty shekels of silver from  every man, to give to the king of Assyria. So the king of Assyria turned back and did not stay there in the land.)

15:21 “ส่วน​พระราชกิจ​อื่นๆ ของ​เมนาเฮม และ​ทุกสิ่ง​ที่​ทรง​กระทำ ได้​บันทึก​ไว้​ใน​หนังสือ​พงศาวดาร​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​ไม่​ใช่​ หรือ?”

         (Now the rest of the deeds of Menahem and all that he did, are they not written in the Book of  the   Chronicles of the Kings of Israel? )

15:22 “และ​เมนาเฮม​ทรง​ล่วงหลับ​ไป​อยู่​กับ​บรรพบุรุษ และ​เปคาหิยาห์​พระราชโอรส​ได้​ขึ้น​ครองราชย์​แทน”

           (And Menahem slept with his fathers, and Pekahiah his son reigned in his place.)

15.23 “ใน​ปี​ที่ 50 แห่ง​รัชกาล​อาซาริยาห์​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์ เปคาหิยาห์​พระราชโอรส​ของ​เมนาเฮม​ทรง​ครอง​อิสราเอล​ใน​กรุง​ สะมาเรีย 2 ปี”

         (In the fiftieth year of Azariah king of Judah, Pekahiah the son of Menahem began to reign over Israel in   Samaria, and he reigned two years. )

15:24 “และ​พระองค์​ทรง​ทำ​สิ่ง​ชั่วร้าย​ใน​สายพระเนตร​ของ​พระยาห์เวห์ พระองค์​ไม่ได้​ทรง​หัน​จาก​บาป​ทั้งหลาย​ของ​เยโรโบอัม​  บุตร​เนบัท ผู้​ได้​นำ​อิสราเอล​ให้​ทำ​บาป​ด้วย”

         (And he did what was evil in the sight of the Lord. He did not turn away from the sins of Jeroboam the   son of Nebat, which he made Israel to sin. )

15:25 “และ​เปคาห์​บุตร​เรมาลิยาห์ แม่ทัพ​ของ​พระองค์​ได้​ก่อ​การ​กบฏ​ต่อ​พระองค์ และ​ได้​ประหาร​พระองค์​ใน​กรุง​สะมาเรีย​ใน​ ป้อม​ของ​พระราชวัง พร้อม​กับ​อารโกบ​และ​อารีเอห์ และ​มี​คน​กิเลอาด 50 คน​ร่วม​กัน​คิด​กบฏ​กับ​ท่าน ท่าน​ได้​ประหาร​       พระองค์​และ​ได้​ขึ้น​ครอง​ราชย์​แทน”

   (And Pekah the son of Remaliah, his captain, conspired against him with fifty men of the people of Gilead,  and struck him down in Samaria, in the citadel of the king’s house with Argob and Arieh; he put him to  death and reigned in his place. )

15:26 “ส่วน​พระราชกิจ​อื่นๆ ของ​เปคาหิยาห์ และ​ทุก​สิ่ง​ที่​ทรง​กระทำ นี่แน่ะ มี​บันทึก​ใน​หนังสือ​พงศาวดาร​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล”

        (Now the rest of the deeds of Pekahiah and all that he did, behold, they are written in the Book of the   Chronicles of the Kings of Israel.)

15:27 “ใน​ปี​ที่ 52 แห่ง​รัชกาล​อาซาริยาห์​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์ เปคาห์​บุตร​เรมาลิยาห์​ทรง​ครอง​อิสราเอล​ใน​สะมาเรีย 20 ปี”

      (In the fifty-second year of Azariah king of Judah, Pekah the son of Remaliah began to reign over Israel in  Samaria, and he reigned twenty years. )

15:28 “พระองค์​ทรง​ทำ​สิ่ง​ชั่วร้าย​ใน​สายพระเนตร​ของ​พระยาห์เวห์ พระองค์​ไม่ได้​ทรง​หัน​จาก​บาป​ทั้งหลาย​ของ​เยโรโบอัม​บุตร​ เนบัท ผู้​ได้​นำ​อิสราเอล​ให้​ทำ​บาป​ด้วย”

          (And he did what was evil in the sight of the Lord. He did not depart from the sins of Jeroboam the son  of Nebat, which he made Israel to sin.)

15:29 “ใน​รัชกาล​ของ​เปคาห์​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล ทิกลัทปิเลเสอร์​พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย​ทรง​ยก​มา​ยึด​เมือง​อิโยนอาเบลเบธมาอาคาห์ ยาโนอาห์ คาเดช ฮาโซร์ กิเลอาด กาลิลี แผ่นดิน​นัฟทาลี​ทั้งหมด และ​ทรง​กวาด​ ต้อน​ประชาชน​ไป​เป็น​เชลย​ยัง​ อัสซีเรีย”

  (In the days of Pekah king of Israel, Tiglath-pileser king of Assyria came and captured Ijon, Abel-beth- maacah, Janoah, Kedesh, Hazor, Gilead, and Galilee, all the land of Naphtali, and he carried the people  captive to Assyria. )

15:30 “แล้ว​โฮเชยา​บุตร​เอลาห์​ได้​ร่วม​กัน​คิด​กบฏ​ต่อ​เปคาห์​บุตร​เรมาลิยาห์ และ​โค่น​พระองค์​ลง และ​ประหาร​พระองค์​เสีย และ​ ขึ้น​ครองราชย์​แทน​ใน​ปี​ที่ 20 แห่ง​รัชกาล​โยธาม​พระราชโอรส​ของ​อุสซียาห์”

     (Then Hoshea the son of Elah made a conspiracy against Pekah the son of Remaliah and struck him  down and put him to death and reigned in his place, in the twentieth year of Jotham the son of Uzziah. )

15:31 “ส่วน​พระราชกิจ​อื่นๆ ของ​เปคาห์​และ​ทุก​สิ่ง​ที่​ทรง​กระทำ นี่แน่ะ มี​บันทึก​ใน​หนังสือ​พงศาวดาร​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล”

          (Now the rest of the acts of Pekah and all that he did, behold, they are written in the Book of the  Chronicles of the Kings of Israel.)

15:32 “ใน​ปี​ที่ 2 แห่ง​รัชกาล​เปคาห์​บุตร​เรมาลิยาห์ พระราชา​แห่ง​อิสราเอล โยธาม​พระราชโอรส​ของ​อาซาริยาห์​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์ ได้​ขึ้น​ครองราชย์

          (In the second year of Pekah the son of Remaliah, king of Israel, Jotham the son of Uzziah, king of  Judah, began to reign. )

      15:33 “เมื่อ​พระองค์​ทรง​เป็น​กษัตริย์​นั้น​มี​พระชนมายุ 25 พรรษา และ​พระองค์​ทรง​ครองราชย์​ใน​กรุง​เยรูซาเล็ม 16 ปีพระมารดา​ของ​พระองค์​มี​พระนาม​ว่า เยรูชา​บุตร​หญิง​ของ​ศาโดก”

         (He was twenty-five years old when he began to reign, and he reigned sixteen years in Jerusalem. His      mother’s name was Jerusha the daughter of Zadok.)

     15:34 “และ​พระองค์​ทรง​ทำ​สิ่ง​ที่​ถูก​ต้อง​ใน​สายพระเนตร​ของ​พระยาห์เวห์ ตาม​ทุก​อย่าง​ที่​อาซาริยาห์​พระราชบิดา​ ของ​พระองค์​ทรง​กระทำ”

         (And he did what was right in the eyes of the Lord, according to all that his father Uzziah had done.)

15:35 “เว้นแต่​ปูชนียสถาน​สูง​ยัง​ไม่ได้​ถูก​กำจัด​เสีย ประชาชน​ยัง​ถวาย​สัตวบูชา​และ​เผา​เครื่อง​หอม​บน​ปูชนียสถาน​สูง​ เหล่านั้น พระองค์​ทรง​สร้าง​ประตู​บน​ของ​พระนิเวศ​แห่ง​พระยาห์เวห์”

     (Nevertheless, the high places were not removed. The people still sacrificed and made offerings on the high places. He built the upper gate of the house of the Lord. )

15:36 “ส่วน​พระราชกิจ​อื่นๆ ของ​โยธาม และ​ทุก​สิ่ง​ที่​ทรง​กระทำ ได้​บันทึก​ไว้​ใน​หนังสือ​พงศาวดาร​กษัตริย์​แห่ง​ยูดาห์​ไม่​ใช่​ หรือ?”

         (Now the rest of the acts of Jotham and all that he did, are they not written in the Book of the Chronicles  of the Kings of Judah? )

15:37 “ใน​เวลา​นั้น​พระยาห์เวห์​ได้​ทรง​ใช้​เรซีน พระราชา​แห่ง​ซีเรีย และ​เปคาห์​บุตร​เรมาลิยาห์​ให้​มา​สู้​กับ​ยูดาห์”

          (In those days the Lord began to send Rezin the king of Syria and Pekah the son of Remaliah against   Judah. )

15:38 “โยธาม​ทรง​ล่วงหลับ​ไป​อยู่​กับ​บรรพบุรุษ และ​ทรง​ถูก​ฝัง​ไว้​กับ​บรรพบุรุษ​ใน​นคร​ดาวิด ผู้​เป็น​บรรพบุรุษ​ของ​พระองค์ แล้ว​อาหัส​พระราชโอรส​ของ​พระองค์​ได้​ขึ้น​ครองราชย์​แทน”

         (Jotham slept with his fathers and was buried with his fathers in the city of David his father, and Ahaz his   son reigned in his place.)

ข้อมูลมีประโยชน์

15:1     “ปีที่ 27 แห่งรัชกาลเยโรโบอัม” ( In the twenty-seventh year of Jeroboam) = ปี 767 ก.ค.ศ. (คำนวณจากเวลาที่เยโรโบอัมที่ 2 เริ่มสำเร็จราชการร่วมกับเยโฮอาช ในปี 793 ก.ค.ศ. (14:23)

“อาซาริยาห์” (   Azariah            ) –2พกษ.14:21;15:32

“ได้ขึ้นครองราชย์” (began to reign)  = เริ่มครองราชย์โดยลำพัง หลังจากสำเร็จราชการร่วมกับอามาซิยาห์   ผู้เป็นบิดา 24 ปี (ข.2;14:2,21) (ปีที่ครองราชย์จริงน้อยกว่าปีที่เป็นทางการ 1 ปี)

15:2     “ครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 52 ปี” (reigned fifty-two years in Jerusalem) =  792-740 ก.ค.ศ. (โดยครองราชย์ร่วมกับอามาซิยาห์ ในปี 792-767)

15:3    “เหมือนทุกอย่างที่อามาซิยาห์….ทรงกระทำ” (according to all that his father Amaziah had done) -14:3

15:4     “เว้นแต่ปูชนียสถานสูงยังไม่ถูกกำจัดเสีย” (Nevertheless, the high places were not taken away)   -14:4;1พกษ.15:14

15:5     “เป็นโรคเรื้อนจนถึงวันสิ้นพระชนม์” (he was a leper to the day of his death) = อาซาริยาห์ ถูกลงโทษที่เข้าไปเผาเครื่องหอมในพระวิหารซึ่งเป็นหน้าที่ของปุโรหิต (2พศด.26:16-21; ปท.ลนต.13:46)

“โยธาม….ทรงดูแลควบคุมสำนักพระราชวัง…ปกครองประชาชนของแผ่นดิน” (Jotham  was over the household, governing the people of the land) =สำเร็จราชการแทนบิดาตลอดช่วงชีวิตที่เหลือของอาซาริยาห์   (ปี   750-740 ก.ค.ศ)

15:6     “ส่วนพระราชกิจอื่นๆ ของอาซาริยาห์” (the rest of the acts of Azariah) –2พศด.26:1-15

15:8     “ในปีที่ 38 แห่งรัชกาลอาซาริยาห” (In the thirty-eighth year of Azariah ) = ปี 753 ก.ค.ศ.

15:9     “บาปทั้งสิ้นของเยโรโบอัม” ( the sins of Jeroboam)  -1พกษ.12:26-32;13:33-34;14:16

15:12   “เหตุการณ์นี้เป็นไปตามพระวจนะที่พระยาห์เวห์ตรัส” (This was the promise of the Lord)

= ความตกต่ำของราชวงศ์เยฮูทำให้การเมืองในอาณาจักรเหนือตกอยู่ในภาวะไร้เสถียรภาพ (ฮชย.1:4)

กษัตริย์ 5 องค์ที่เหลือของอาณาจักรเหนือล้วนถูกปลงพระชนม์ ยกเว้น เมนาเฮม ที่ครองราชย์อยู่ 10 ปี  และโฮเชยาที่ถูกคุมขังโดย อัสซีเรีย

-อาณาจักรเหนือตกต่ำและล่มสลายลงอย่างรวดเร็ว หลังจากยุคของเยโรโบอัมที่ 2

15:13   “ปีที่ 39 แห่งรัชกาลอุสซียาห์” (  in the thirty-ninth year of Uzziah) = 752 ก.ค.ศ.

“อุสซียาห์”  เป็นอีกชื่อหนึ่งของ อาซาริยาห์ (14:21)

15:14   “เมนาเฮม” (Menahem)  = คงเป็นผู้บัญชาการกองทหารรักษาการณ์ที่ ทีรซาห์ (ซึ่งเป็นอดีตเมืองหลวงของอาณาจักรเหนือ – 1พกษ.14:17;15:21,33)

15:16  “ทิฟสาห์” (Tiphsah) –มีเมืองที่ชื่อเดียวกันนี้ และตั้งอยู่ทางเหนือของฮามัท (14:21) บนแม่น้ำยูเฟรติส (1พกษ.4:24) แต่ไม่น่าจะเป็นเมืองเดียวกัน (นักวิชาการบางคนเลือกอ่านชื่อเมืองนี้ว่า “ทัปปูวาห์”  ตามฉบับเซปตัวจิ้น ซึ่งหมายถึงเมืองที่ตั้งอยู่ตรงเขตแดนระหว่างเอฟราอิมและมนัสเสห์-(ยชว.16:8;17:7-8)

15:17   “ในปีที่ 39 แห่งรัชกาลอาซาริยาห์” (In the thirty-ninth year of Azariah) = 752 ก.ค.ศ.

“10 ปี” ( ten years) = 752 – 742 ก.ค.ศ.

15:19   “ทิกลัทปิเลเสอร์” (Pul   ) –ในภาษาฮีบรูใช้คำว่า “ปูล” ที่เป็นชื่อภาษาบาบิโลน (1พศด.5:26) ของกษัตริย์อัสซีเรีย ที่มีนามว่า ทิกลัทปิเลเสอร์ ที่ 3  (745-727 ก.ค.ศ.)

“ยกขึ้นมาต่อสู้” (came against ) = รุกราน

-ในจดหมายเหตุของทิกลัทปิเลเสอร์  ที่ 3 แห่งอัสซีเรีย ระบุว่า เขาเคลื่อนทัพมาทางทิศตะวันตกในปี 743 ก.ค.ศ และรับบรรณาการจากที่ต่าง ๆ อาทิ คารเคมิช, ฮามัท, ไทระ, ไบบลอส, ดามัสกัส และเมนาเฮม แห่งอิสราเอล

“1000 ตะลันต์” = ประมาณ 34 ตัน ถือว่าเป็นเงินก้อนใหญ่

“เพื่อให้พระองค์ช่วยให้ท่านกุมอาณาจักรไว้ได้” (that he might help him to confirm his hold on the royal power.) = ให้สามารถครอบครอง/ปกครองอาณาจักรได้มั่นคง เพราะว่า เมนาเฮมแย่งชิงบัลลังก์มาจึงรู้สึกไม่มั่นคง เกรงว่า คนที่ต่อต้านการปกครองของเขาอาจติดตามเปคาห์ ซึ่งเลือกเป็นพันธมิตรกับซีเรีย เพื่อต่อต้านการรุกรานของอัสซีเรีย (ข.27)

-ผู้เผยพระวจนะโฮเชยา ประณามนโยบายการขอความช่วยเหลือจากอัสซีเรีย และพยากรณ์ว่า การทำเช่นนั้นจะล้มเหลว (ฮชย.5:13-15)

15:20   “50 เชเขล” ( fifty shekels) = ต้องใช้รายได้ของคนประมาณ 60,000 คน เพื่อให้ได้เงินบรรณาการ 1,000ตะลันต์ และเป็นตัวชี้ให้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรเหนือในช่วงรัชกาลเยโรโบอัมที่ 2

15:23   “ปีที่ 50 แห่งรัชกาลอาซาริยาห์” ( the fiftieth year of Azariah) = ปี 742 ก.ค.ศ.

“2 ปี” ( two years) = ปี 742-740 ก.ค.ศ.

15:25   “เปคาห์” (Pekah) = แม่ทัพหรือผู้บัญชาการซึ่งมียศสูงสุดในอีกฟากของแม่น้ำจอร์แดน

คิดกบฏ” (conspired against) = เปคาห์ สมคบกับชาวเกลิอาด 50 คน  ก่อการกบฏและสังหาร

เปคาหิยาห์ อาจมีปัญหามาจากนโยบายต่างประเทศ – เปคาริยาห์ดำเนินตามนโยบายของเมนาเฮมบิดา ในการเป็นพันธมิตรกับอัสซีเรีย (ข.20) แต่เปคาห์ต้องการเป็นพันธมิตรกับซีเรีย (16:1-9;อสย.7:1-2,4-6)

15:27   “ปีที่ 52 แห่งรัชกาลอาซาริยาห์” (In the fifty-second year of Azariah) = ปี 740 ก.ค.ศ

“ 20 ปี” ( twenty years) = ปี 752 – 732 ก.ค.ศ. –สันนิฐานว่า เปคาห์อาจตั้งรัฐบาลคู่แข่งในอีกฟากหนึ่ง ของแม่น้ำจอร์แดน เมื่อตอนเมนาเฮมประหารชัลลูม (ข.17,19,25) และจำนวนปีครองราชย์ที่ระบุในที่นี้ได้รวมช่วงเวลาที่เป็นรัฐบาลคู่แข่งด้วย

15:29   “ทิกลัทปิเลเสอร์” (Tiglath-pileser) –ข.19;16:5-9;2พศด.28:16-21;อสย.7:17

“อิโยน อาเบลเบธมาอาคาห์…นัฟทาลี” (Ijon, Abel-beth-maacah…Naphtali) = กว่า 150 ปีก่อน

เบนฮาดัดที่ 1 แห่งดามัสกัส ได้ชิงดินแดนเดียวกันนี้จากอาณาจักรเหนือ ตามคำขอร้องของกษัตริย์ยูดาห์ (1พกษ.15:19-20)

“กวาดต้อนประชาชนไปเป็นเชลยยังอัสซีเรีย” (he carried the people captive to Assyria)

–1พศด.5:26 –ชาวอิสราเอลถูกเนรเทศไปจากบ้านเกิดเมืองนอนสำเร็จตามคำสาปแช่งของพันธสัญญา (10:32)

15:30   “โฮเชยา…กบฏต่อเปคาห์ บุตรเรมาลิยาห์ และโค่นพระองค์ลงและประหารพระองค์เสีย”

(Hoshea …made a conspiracy against Pekah the son of Remaliah and struck him down and put him to death)

-โฮเชยาน่าจะเป็นผู้สนับสนุนการร่วมมือกับอัสซีเรีย ในจดหมายเหตุฉบับหนึ่งของทิกลัทปิเลเสอร์ที่ 3 อ้างว่า เขาแต่งตั้งโฮเชยาให้ครองบัลลังก์อิสราเอล และได้รับบรรณาการเป็นทอง 100 ตะลันต์และเงิน 1000 ตะลันต์

“ในปีที่ 20 แห่งรัชกาลโยธาม”( in the twentieth year of Jotham            ) = ปี 732 ก.ค.ศ. –โยธามโอรสของอาซาริยาห์  -แท้จริงแล้วน่าจะเป็นปีที่ 19 (ปท. ข.32-33)

15:32   “ในปีที่ 2 แห่งรัชกาลเปคาห์” (In the second year of Pekah) = 750 ก.ค.ศ. (ข.7)

15:33   “16 ปี”  (sixteen years) = ปี 750-735 ก.ค.ศ. = โยธามสำเร็จราชการร่วมกับบิดาในช่วง 750-740 ก.ค.ศ. (ข.5) รัชกาลโยธามสิ้นสุดลงในปี 735 ก.ค.ศ. และอาหัสบุตรชายขึ้นครองราชย์แทน แต่โยธามยังคงมีชีวิตอยู่อย่างน้อยจนถึงปี 732 (ข.30,37)

15:34   “อาซาริยาห์” (Uzziah)  -ในภาษาฮีบรูใช้คำว่า “อุสซียาห์” (ข.3;2พศด.27:2)

15:35   “ปูชนียสถานสูงยังไม่ได้ถูกกำจัด” ( the high places were not removed  ) –ข.4;1พกษ.15:14

          “ประตูบนของพระนิเวศ” (the upper gate of the house of the Lord.) –2พศด.23:20;ยรม.20:2; อสค.9:2,  ปท.2พศด.27:1-6

15:37   -มีการทับซ้อนกันของรัชกาลโยธามและอาหัส (ข.33) -ใน 16:5-12 และ 2พศด.28:5-21;อสย.7:1-17 ล้วนระบุว่า เรซีน และเปคาห์ยกทีมมาในรัชกาลของอาหัส

คำถามนำอภิปราย

  1.  คุณสามารถสรุป “นิยามชีวิต” ของคุณว่า ได้ “ทำสิ่งชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า” มาตลอดชีวิตของคุณหรือไม่?  ทำไมคุณคิดเช่นนั้น?
  2. มีอะไรบ้างที่เป็นสิ่งที่คุณมองข้ามในชีวิตของคุณ ที่สงผลกระทบในเชิงลบต่อชีวิตและการงานของคุณในภายหลัง? แล้วคุณจัดการกับมันอย่างไร?
  3. มีบาปอะไรบ้างที่คุณตั้งใจทำ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า? แล้วมีผลอะไรเกิดขึ้นบ้าง?
  4. คุณเคยพบ/ประสบหรือเผชิญกับเหตุการณ์ที่โหดร้ายหรือโหดเหี้ยมมากที่สุดในชีวิตบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? และเกิดขึ้นได้อย่างไร?
  5. คุณเคยยอมจำนนต่อสิ่งใดหรือคนใดและต้องชดใช้ความเสียหายอย่างมากมายบ้างหรือไม่?
  6. คุณเคยพบใครที่ทำบาปและยังชักชวนผู้อื่นให้ทำบาปบ้างหรือไม่? แล้วผลที่ตามมาคืออะไร?
  7. คุณเคยประสบกับการสูญเสียที่ใหญ่หรือมากที่สุดในชีวิตหรือไม่?  เรื่องอะไร? อย่างไรและทำไม?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 14)

แกว่งเท้าหาเสี้ยน

 พระธรรม      2พงศ์กษัตริย์ 14:1-29

อ้างอิง             1พศด.5:17;2พศด.25:1-26:2;26:9,16,23;32:25;33:14;36:19;1พกษ.3:1;9:26;13:12;15:30;22:36; 2พกษ.9:28;12:3-20;13:4,13;15:1;21:24

บทนำ             คนบางคนอยู่ดีไม่ว่าดี เมื่อได้ดีหรือประสบความสำเร็จบางอย่างหรือคิดว่าตนเองเก่งหรือดีกว่าคนอื่นก็    ผยองลืมตัว และแล้วก็นำเอาความทุกข์เจ็บปวดมาสู่ตนเองและคนรอบตัวอย่างไม่ควรเลย!  คุณเคยเป็นคนเช่นนี้หรือไม่?

บทเรียน

14:1 “ใน​ปี​ที่ 2 แห่ง​รัชกาล​เยโฮอาช​ พระราชโอรส​ของ​เยโฮอาหาส​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล อามาซิยาห์​พระราชโอรส​ของ​โยอาช​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์ ได้​ขึ้น​ครองราชย์”

        (In the second year of Joash the son of Joahaz, king of Israel, Amaziah the son of Joash, king  of Judah, began to reign. )

14:2 “เมื่อ​พระองค์​ทรง​เป็น​กษัตริย์​นั้น พระองค์​มี​พระชนมายุ 25 พรรษา และ​พระองค์​ทรง​ครองราชย์​ใน​กรุง​ เยรูซาเล็ม 29 ปี พระมารดา​ของ​พระองค์​มี​พระนาม​ว่า เยโฮอัดดาน​ชาว​เยรูซาเล็ม”

                  (He was twenty-five years old when he began to reign, and he reigned twenty-nine years in   Jerusalem. His mother’s name was Jehoaddin of Jerusalem. )

14:3 “และ​พระองค์​ทรง​ทำ​สิ่ง​ที่​ชอบ​ธรรม​ใน​สายพระเนตร​ของ​พระยาห์เวห์ แต่​ยัง​ไม่​เหมือน​กับ​ดาวิด​บรรพบุรุษ​ของ​พระองค์ พระองค์​ทรง​ทำ​ตาม​ทุก​สิ่ง​ซึ่ง​โยอาช​พระราชบิดา​ของ​พระองค์​ได้​ ทรง​กระทำ”

                 (And he did what was right in the eyes of the Lord, yet not like David his father. He did in all  things as Joash his father had done. )

14:4 “แต่​ปูชนียสถาน​สูง​เหล่านั้น​ยัง​ไม่ได้​ทรง​รื้อ​เสีย ประชาชน​ยัง​คง​ถวาย​สัตวบูชา และ​เผา​เครื่อง​หอม​บน​ปูชนีย‍ สถาน​สูง​เหล่านั้น”

                 (But the high places were not removed; the people still sacrificed and made offerings on the  high places.)

14:5 “และ​ต่อ​มา​เมื่อ​ราชอาณาจักร​อยู่​ใน​พระหัตถ์​ของ​พระองค์​อย่าง​ มั่นคง​แล้ว พระองค์​ก็​ทรง​ประหาร​พวก​ข้า​ราช‍การ​ที่​ปลง​พระชนม์​พระราชบิดา​ ของ​พระองค์”

                (And as soon as the royal power was firmly in his hand, he struck down his servants who had  struck down the king his father. )

14:6 “แต่​พระองค์​ไม่ได้​ทรง​ประหาร​ลูก​หลาน​ของ​ผู้​ที่​ปลง​พระชนม์​นั้น ตาม​ที่​ได้​บันทึก​ไว้​ใน​หนังสือ​ธรรม​บัญญัติ​ของ​โมเสส ซึ่ง​พระยาห์เวห์​ทรง​บัญชา​ว่า “อย่า​ประหาร​บิดา​เพราะ​การ​กระทำ​ของ​ลูก​หลาน หรือ​อย่า​ประหาร​ลูก​ หลาน​เพราะ​การ​กระทำ​ของ​บิดา แต่​ละคน​ต้อง​ถูก​ประหาร​เพราะ​บาป​ของ​ตน​เอง

       (But he did not put to death the children of the murderers, according to what is written in the  Book of the Law of Moses, where the Lord commanded, “Fathers shall not be put to death  because of their children, nor shall children be put to death because of their fathers. But each  one shall die for his own sin.”

14:7 “พระองค์​ทรง​ประหาร​คน​เอโดม 10,000 คน​ใน​หุบเขา​เกลือ และ​ยึด​เมือง​เส-ลา​ด้วย​การ​สงคราม​และ​เรียก​เมือง​ นั้น​ว่า โยกเธเอล ซึ่ง​เป็น​ชื่อ​มา​ถึง​ทุก​วันนี้”

       (He struck down ten thousand Edomites in the Valley of Salt and took Sela by storm, and called it  Joktheel, which is its name to this day.)

14:8 “แล้ว​อามาซิยาห์​ทรง​ส่ง​คณะ​ทูต​ไป​เฝ้า​เยโฮอาช โอรส​ของ​เยโฮอาหาส​โอรส​ของ​เยฮู พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​ทูล​ว่า “มา​เถิด ขอ​ให้​เรา​เผชิญ​หน้า​กัน”

      (Then Amaziah sent messengers to Jehoash the son of Jehoahaz, son of Jehu, king of Israel,  saying, “Come, let us look one another in the face.” )

14:9 “และ​เยโฮอาช​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​ทรง​ส่ง​ข่าว​ไป​ยัง​อามาซิยาห์​ พระราชา​แห่ง​ยูดาห์​ว่า “ต้น​หนาม​ใน​เลบา‍นอน​ส่ง​ข่าว​ไป​หา​ต้น​สน​สีดาร์​ใน​เลบานอน​ว่า ‘จง​ยก​ลูกสาว​ของ​เจ้า​ให้​เป็น​ภรรยา​ลูกชาย​ของ​เรา’ และ​สัตว์​ป่า​ตัว​หนึ่ง​ซึ่ง​อยู่​ใน​เลบานอน​ผ่าน​มา และ​ย่ำ​ต้น​หนาม​ลง​เสีย”

       (And Jehoash king of Israel sent word to Amaziah king of Judah, “A thistle on Lebanon sent to a  cedar on Lebanon, saying, ‘Give your daughter to my son for a wife,’ and a wild beast of              Lebanon passed by and trampled down the thistle. )

14:10 “จริง​อยู่​ท่าน​ได้​โจมตี​เอโดม และ​จิตใจ​ของ​ท่าน​ก็​ทำ​ให้​ท่าน​ผยอง​ขึ้น จง​พอใจ​ใน​ศักดิ์ศรี​ของ​ท่าน​เถิด และ​จง​อยู่​กับ​บ้าน​ของ​ตน เพราะ​ทำไม​ท่าน​จึง​เร้าใจ​ตน​เอง​ให้​ต่อสู้​และ​ล้ม​ลง ทั้ง​ท่าน​และ​ยูดาห์​ด้วย?”

   (You have indeed struck down Edom,and your heart has lifted you up. Be content with yourglory,   and stay at home, for why should you provoke trouble so that you fall, you and Judah with you?”)

14:11 “แต่​อามาซิยาห์​ไม่​ทรง​ฟัง​เยโฮอาช​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล จึง​ทรง​ขึ้น​ไป และ​พระองค์​กับ​อามาซิยาห์​พระราชา​  แห่ง​ยูดาห์​ก็​ทรง​เผชิญ​หน้า​ กัน​ที่​เมือง​เบธเชเมช​ซึ่ง​เป็น​ของ​ยูดาห์”

      (But Amaziah would not listen. So Jehoash king of Israel went up, and he and Amaziah king of    Judah faced one another in battle at Beth-shemesh, which belongs to Judah. )

14:12 “และ​ยูดาห์​ก็​พ่ายแพ้​อิสราเอล และ​แต่ละ​คน​ก็​หนี​กลับ​ไป​บ้าน​ของ​ตน”

                 (And Judah was defeated by Israel, and every man fled to his home. )

14:13 “เยโฮอาช​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​ก็​ทรง​จับ​อามาซิยาห์ พระราชา​แห่ง​ยูดาห์​โอรส​ของ​โยอาช โอรส​ของ​อาหัสยาห์​ได้​ที่​เมือง​เบธเชเมช และ​ได้​เสด็จ​เข้า​กรุง​เยรูซาเล็ม และ​ทรง​พัง​กำแพง​เยรูซาเล็ม​ลง​ประมาณ 200 เมตร ตั้งแต่​ประตู​เอฟราอิม​จน​ถึง​ประตู​มุม”

     (And Jehoash king of Israel captured Amaziah king of Judah, the son of Jehoash, son of   Ahaziah, at Beth-shemesh, and came to Jerusalem and broke down the wall of Jerusalem for  four hundred cubits, from the Ephraim Gate to the Corner Gate. )

14:14 “และ​พระองค์​ทรง​ริบ​ทองคำ​และ​เงิน​ทั้งหมด และ​ของใช้​ทั้งหมด ที่​พบ​ใน​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์ และ​ใน​คลัง​ของ​พระราชวัง พร้อม​จับ​ตัว​ประกัน​ด้วย และ​พระองค์​เสด็จ​กลับ​ไป​ยัง​กรุง​สะมาเรีย”

    (And he seized all the gold and silver, and all the vessels that were found in the house of the  Lord and in the treasuries of the king’s house, also hostages, and he returned to Samaria.)

14:15 “ส่วน​พระราชกิจ​อื่นๆ ของ​เยโฮอาช​ที่​ทรง​กระทำ ทั้ง​พระราช​อำนาจ​ของ​พระองค์ และ​การ​สู้รบ​กับ​อามาซิยาห์พระราชา​แห่ง​ยูดาห์​นั้น ได้​บันทึก​ไว้​ใน​หนังสือ​พงศาวดาร​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​ไม่​ใช่หรือ?”

    (Now the rest of the acts of Jehoash that he did, and his might, and how he fought with  Amaziah king of Judah, are they not written in the Book of the Chronicles of the Kings of Israel?)

14:16 “เยโฮอาช​ทรง​ล่วงหลับ​ไป​อยู่​กับ​บรรพบุรุษ และ​ทรง​ถูก​ฝัง​ไว้​ใน​กรุง​สะมาเรีย​กับ​บรรดา​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล และ​เยโรโบอัม​พระราชโอรส​ของ​พระองค์​ได้​ขึ้น​ครองราชย์​แทน”

    (And Jehoash slept with his fathers and was buried in Samaria with the kings of Israel, and Jeroboam his son reigned in his place.)

14:17 “อามาซิยาห์​พระราชโอรส​ของ​โยอาช​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์​ทรง​พระชนม์​อยู่​อีก 15 ปี หลังจาก​เยโฮอาช​พระราช‍โอรส​ของ​เยโฮอาหาส​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​สิ้น​พระชนม์”

                  (Amaziah the son of Joash, king of Judah, lived fifteen years after the death of Jehoash son of         Jehoahaz, king of Israel. )

14:18 “ส่วน​พระราชกิจ​อื่นๆ ของ​อามาซิยาห์ ได้​บันทึก​ไว้​ใน​หนังสือ​พงศาวดาร​กษัตริย์​แห่ง​ยูดาห์​ไม่​ใช่​หรือ?”

                   (Now the rest of the deeds of Amaziah, are they not written in the Book of the Chronicles of the     Kings of Judah? )

14:19 “พวกเขา​ได้​ร่วม​กัน​กบฏ​ต่อ​พระองค์​ใน​กรุง​เยรูซาเล็ม และ​พระองค์​ทรง​หนี​ไป​ยัง​เมือง​ลาคีช แต่​เขา​ทั้งหลาย​ส่ง​คน​ตาม​พระองค์​ไป​ที่​เมือง​ลาคีช และ​ประหาร​พระองค์​ที่นั่น”

                  (And they made a conspiracy against him in Jerusalem, and he fled to Lachish. But they sent    after him to Lachish and put him to death there. )

14:20 “และ​พวกเขา​นำ​พระศพ​บรรทุก​ม้า​กลับ​มา และ​ฝัง​ไว้​กับ​บรรพบุรุษ​ใน​กรุง​เยรูซาเล็ม คือนคร​ดาวิด”

                 (And they brought him on horses; and he was buried in Jerusalem with his fathers in the city of David. )

14:21 “และ​ประชาชน​ทั้งหมด​ของ​ยูดาห์​ก็​ตั้ง​อาซาริยาห์ ซึ่ง​มี​พระชนมายุ 16 พรรษา ให้​เป็น​กษัตริย์​แทน​อามาซิยาห์​  พระราชบิดา​ของ​พระองค์”

                 (And all the people of Judah took Azariah, who was sixteen years old, and made him king  instead of his father Amaziah. )

14:22 “พระองค์​ทรง​สร้าง​เมือง​เอลัท​และ​ให้​กลับ​มา​ขึ้น​กับ​ยูดาห์ หลังจาก​ที่​พระราชา​อามาซิยาห์​ทรง​ล่วงหลับ​ไป​อยู่​กับ​บรรพบุรุษเยโรโบอัม​ที่ 2 ทรง​ครอง​อิสราเอล”

             (He built Elath and restored it to Judah, after the king slept with his fathers.)

14:23 “ใน​ปี​ที่ 15 แห่ง​รัชกาล​อามาซิยาห์ พระราชโอรส​ของ​โยอาช​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์ เยโรโบอัม​พระราชโอรส​ของ​เยโฮอาช​แห่ง​อิสราเอล​ทรง​ครองราชย์​ใน​กรุง​สะมาเรีย​อยู่ 41 ปี”

            (In the fifteenth year of Amaziah the son of Joash, king of Judah, Jeroboam the son of Joash,  king of Israel, began to reign in Samaria, and he reigned forty-one years. )

14:24 “พระองค์ทรง​ทำ​สิ่ง​ชั่วร้าย​ใน​สายพระเนตร​ของ​พระยาห์เวห์ พระองค์​ไม่​ทรง​หัน​จาก​บาป​ทั้งสิ้น​ของ​เยโรโบอัม​บุตร​เนบัท ผู้​ได้​นำ​อิสราเอล​ให้​ทำ​บาป​ด้วย”

                 (And he did what was evil in the sight of the Lord. He did not depart from all the sins of  Jeroboam the son of Nebat, which he made Israel to sin. )

14:25 “พระองค์​ทรง​ตี​เอา​ดินแดน​อิสราเอล​คืน​มา ตั้งแต่​ทางเข้า​เมือง​ฮามัท ไกล​ไป​จน​ถึง​ทะเล​แห่ง​อาราบาห์ ตาม​พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์​พระเจ้า​แห่ง​อิสราเอล ซึ่ง​ตรัส​โดย​ผู้รับใช้​ของ​พระองค์ คือ​โยนาห์​บุตร​อามิททัย​ผู้​ เผย​พระวจนะ​ผู้​มา​จาก​กัธเฮเฟอร์”

        (He restored the border of Israel from Lebo-hamath as far as the Sea of the Arabah, according  to the word of the Lord, the God of Israel, which he spoke by his servant Jonah the son of        Amittai, the prophet, who was from Gath-hepher. )

14:26 “เพราะ​พระยาห์เวห์​ทอดพระเนตร​เห็น​ว่า ความ​ทุกข์​ของ​อิสราเอล​นั้น​ขมขื่น​นัก เพราะ​ไม่มี​ใคร​เหลือ ไม่​ว่า​ ทาส​หรือ​ไท ไม่มี​ใคร​ช่วย​อิสราเอล”

                  (For the Lord saw that the affliction of Israel was very bitter, for there was none left, bond or    free, and there was none to help Israel. )

14:27 “พระยาห์เวห์​ไม่ได้​ตรัส​ว่า จะ​ลบ​นาม​อิสราเอล​จาก​ใต้​ฟ้า​สวรรค์ แต่​พระองค์​ทรง​ช่วย​เขา​โดย​พระหัตถ์​ของ​เยโรโบอัม​พระราชโอรส​ ของ​เยโฮอาช”

        (But the Lord had not said that he would blot out the name of Israel from under heaven, so he  saved them by the hand of Jeroboam the son of Joash.)

14:28 “ส่วน​พระราชกิจ​อื่นๆ ของ​เยโรโบอัม และ​ทุก​สิ่ง​ที่​ทรง​กระทำ และ​พระราชอำนาจ​ของ​พระองค์ การ​สู้รบ​ของ​พระองค์ และ​เรื่อง​ที่​ทรง​ตี​เอา​กรุง​ดามัสกัส​และ​เมือง​ฮามัท ซึ่ง​เคย​เป็น​ของ​ยูดาห์​คืน​แก่​อิสราเอล ได้​บันทึก​ไว้​ใน​หนังสือ​พงศาวดาร​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​ไม่​ใช่​หรือ?”
        (Now the rest of the acts of Jeroboam and all that he did, and his might, how he fought, and  how he restored Damascus and Hamath to Judah in Israel, are they not written in the Book of  the Chronicles of the Kings of Israel? )

14:29 “และ​เยโรโบอัม​ทรง​ล่วงหลับ​ไป​อยู่​กับ​บรรพบุรุษ คือ​บรรดา​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล แล้ว​เศคาริยาห์​พระราช‍โอรส​ของ​พระองค์​ได้​ขึ้น​ครองราชย์​แทน”

         (And Jeroboam slept with his fathers, the kings of Israel, and Zechariah his son reigned in his  place.)

ข้อมูลมีประโยชน์

14:1     “ในปีที่ 2 แห่งรัชกาลเยโฮอาช” (In the second year of Joash ) –ข.23,27

= ในภาษาฮีบรูมีอีกชื่อว่า “โยอาช” (Joash)

“ปีที่ 2” = 796 ก.ค.ศ. (13:10)

14:2     “29 ปี” ( twenty-nine years ) = 796-767 ก.ค.ศ

โดยปกครองแผ่นดินร่วมกับอาซาริยาห์ ผู้เป็นบุตรราว 24 ปี  (ข.21;15:1-2)

14:.3    “ยังไม่เหมือนกับดาวิด” (yet not like David) = อามาซิยาห์ไม่ตัดขาดจากการนมัสการพระต่างชาติอย่างสิ้นเชิง (2พกศ.25:14-16) เขายังจงรักภักดีต่อพระเจ้าน้อยกว่าอาสาและเยโฮชาฟัท ก่อนหน้านี้

(1พกษ.15:11,14;22:43;1พกษ.9:4;11:4)

14:4     “…ยังไม่ได้ทรงรื้อเสีย” (were not removed) = ไม่ทำลายปูชนียสถานสูงทั้งหลาย (1พกษ.15:14)

14:7     “ประหารคนเอโดม 10,000 คน” (struck down ten thousand Edomites ) = อามาซิยาห์ทำให้ยูดาห์กลับมามีอำนาจเหนือดินแดนเอโดมได้ชั่วคราว (2พกศ.28:17) ซึ่งสูญเสียไปในรัชกาลเยโฮรัม (8:20-22)

“หุบเขาเกลือ” (Valley of Salt ) = สมรภูมิเดียวกับที่ดาวิดพิชิตชาวเอโดม (2ซมอ.8:13;1พศด.8:12;สดด.60) โดยทั่วไปเชื่อว่า คืออาราบาห์ ซึ่งอยู่ทางใต้ติดกับทะเลตาย

“เมืองเส-ลา” ( Sela) = มีความหมายว่า “หิน” มักสื่อถึงป้อมปราการของเอโดมที่รู้จักในชื่อเปตราในปัจจุบัน (เปตรา ในภาษากรีกมีความหมายว่า หิน –วนฉ.1:36;อสย.16:1;42:11;อบด.3

“มาถึงทุกวันนี้” (to this day) = ถึงเวลาที่เขียนเรื่องราวในรัชกาลอามาซิยาห์ ซึ่งผู้เขียนใช้อ้างอิง (1พกษ.8:8)

14:8     “มาเถิด ขอให้เราเผชิญหน้ากัน” (Come, let us look one another in the face) = เป็นคำท้าทายเท่ากับการประกาศสงคราม อาจจะมีสาเหตุต่าง ๆ นานา อาทิ  เยโฮอาช ปฏิเสธที่จะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับอามาซิยาห์ผ่านการแต่งงาน (ข.9) ปท.2พศด.25:10,13

14:9     “ทรงส่งข่าวไปยังอามาซิยาห์” (sent word to Amaziah) = เยโฮอาชตอบอามาซิยาห์โดยใช้คำอุปมา (วนฉ.9:8-15) โดยเปรียบตัวเขาเองเป็นต้นสนที่แข็งแกร่ง และอามาซิยาห์เป็นเพียงต้นหนามเล็ก ๆ ที่เขาสามารถบดขยี้ได้ด้วยเท้า

14:11   “แต่อามาซิยาห์ไม่ทรงฟัง” (But Amaziah would not listen) –2พศด.25:20

“เมืองเบธเชเมช” (Beth-shemesh) = อยู่ประมาณ 24 กม. ทางตะวันตกของเยรูซาเล็ม (ยชว.15:10;1ซมอ.6:9)

14:13   “ทรงจับอามาซิยาห์” (captured Amaziah) = อาจเป็นไปได้ว่า อามาซิยาห์ ถูกจับตัวไปคุมขังที่อาณาจักรเหนือในฐานะนักโทษ จนกระทั่งได้รับการปล่อยตัวกลับยูดาห์ หลังจากที่เยโฮอาชสิ้นชีวิต (ข.15-16,21)

“ตั้งแต่ประตูเอฟราอิมจนถึงประตูมุม” (from the Ephraim Gate to the Corner Gate) –ยรม.31:38;ศคย.14:10

“ประตูมุม” = มุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกำแพงรอบเยรูซาเล็ม ส่วนประตู “เอฟราอิม” อยู่ทางเหนือของเยรูซาเล็ม (นหม.12:39) ห่างจากประตูมุมประมาณ 183 เมตร

-กำแพงเยรูซาเล็มฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือนี้เป็นจุดที่ถูกโจมตีได้ง่ายที่สุด

14:14   “ทองคำและเงินทั้งหมดและของใช้ทั้งหมดที่พบในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และในคลังของพระราชวัง”( the gold and silver, and all the vessels that were found in the house of the Lord and in the treasuries of the king’s house) = ทรัพย์สินในครั้งนี้ที่ถูกริบ/ปล้นไป คือ ทรัพย์สินที่เหลือจากที่ก่อนหน้านี้โยอาชนำไปเป็นเครื่องบรรณาการแก่อาซาเอล แห่งดามัสกัสไปแล้ว (12:17-18)

“จับตัวประกันด้วย” (also hostages) = อาจเพื่อใช้จ่ายเป็นเครื่องบรรณาการเพิ่มเติมเพราะที่ถูกยึดไปนั้นน้อยไป

14:16   “ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ”( slept with his fathers)  -13:12-13;1พกษ.1:21

14:17   “ทรงพระชนม์อยู่อีก 15 ปี หลังจากเยโฮอาชพระราชโอรสของเยโฮหาสสิ้นพระชนม์” ( lived fifteen years after the death of Jehoash son of Jehoahaz, king of Israel) –เยโฮอาชเสียชีวิตในปี 782 ก.ค.ศ และอามาซิยาห์เสียชีวิตในปี 767 ก.ค.ศ.

14:19   “ร่วมกันกบฏต่อพระองค์” (they made a conspiracy against him) = คิดร้ายหมายปลงพระชนม์กษัตริย์อามาซิยาห์ –2พศด.25:17  ,ผู้เขียนโยงว่า นี่เกิดจากการที่อามาซิยาห์หันหลังให้กับพระเจ้า

“เมืองลาคีช” (Lachish) = เมืองป้อมปราการทางตอนใต้ของยูดาห์ห่างจากเฮโบรนไปทางตะวันตกประมาณ 24 กิโลเมตร (ปัจจุบันคือ Tell – ed- Duweir) –18:14;2พศด.11:9)

14:21   “ประชาชนทั้งหมดก็ตั้งอาซาริยาห์” (all the people of Judah took Azariah) = อาจตั้งแต่ตอนอามาซิยาห์ถูกจับไปคุมขัง โดยเยโฮอาช (ข.13)หรือในตอนนี้ หากเป็นตามข้อสันนิษฐานแรกแสดงว่า รัชกาลของอาซาริยาห์ทับซ้อนกับอามาซิยาห์ ผู้เป็นบิดายาวนานพอสมควร (ข.2;15:2)

14:22   “สร้างเมืองเอลัท และให้กลับมาขึ้นกับยูดาห์”( built Elath and restored it to Judah) = อาซาริยาห์ สืบทอดอำนาจเหนือเอโดมต่อจากที่บิดาได้ตั้งต้นไว้ (ข.7) และได้ชิงเมืองท่าสำคัญบนอ่าวอคาบากลับมาอีกครั้ง(1พกษ.9:26)

-มีการขุดพบตราหลวงที่สลักว่า “ของโยธาม” (15:32) ในพื้นที่ใกล้เมืองเอลัทโบราณ นับเป็นหลักฐานว่ายูดาห์มีอิทธิพลที่นั่นในช่วงเวลาดังกล่าว

14:23   “ในปีที่ 15 แห่งรัชกาลอามาซิยาห์” (In the fifteenth year of Amaziah) = ปี 782 ก.ค.ศ. (ข.2) ตอนนี้

เยโรโบอัม (ที่ 2 ) เริ่มครองราชย์เพียงผู้เดียว หลังจากที่ได้สำเร็จราชการร่วมกับเยโฮอาชผู้เป็นบิดา 41 ปี (ปี 793-753, ซึ่งรวมเวลาสำเร็จราชการร่วมกับบิดาด้วย)

14:24   “บาปทั้งสิ้นของเยโรโบอัม” (all the sins of Jeroboam) –1พกษ.12:26-32;13:33-34;14:16;อมส.3:13-14;4:4-5;5:4-6;7:10-14

14:25   “ทางเข้าเมืองฮามัท” (from Lebo-hamath) = เยโรโบอัมที่ 2 สามารถปลดปล่อยอาณาจักรเหนือจากการกดขี่ข่มเหง โดยน้ำมือของฮาซาเอลและเบนฮาดัดได้ (10:32;12:17;13:3,22,25) นอกจากนี้ยังได้ขยายอำนาจทางการเมืองของอิสราเอลเหนือชาวอารัม(ซีเรีย) แห่งดามัสกัส ซึ่งเป็นสิ่งที่เยโฮอาชราชบิดาของเขาได้ตั้งต้นไว้ (13:25)  การที่อัสซีเรียกดดันชาวซีเรีย รวมทั้งโจมตีดามัสกัน โดยชัลมาเนเสอร์ที่ 4 ในปี 773 ก.ค.ศ. และอาชูร์คานที่ 3 ในปีที่ 772 ก.ค.ศ. ทำให้พวกซีเรีย (อารัม) อ่อนแอลง จนเยโรโบอัมที่ 2 เป็นฝ่ายได้เปรียบ

“ทะเลแห่งอาราบาห์” (Sea of the Arabah) –อมส.6:4 =  พรมแดนฝั่งใต้ของอาณาจักรเยโรโบอัม 2 ในอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดนคือ “หุบเขาอารายาห์” ซึ่งน่าจะเป็นหุบเขาเกลือ (ข.7)

-ถ้าใช่ แสดงว่า เยโรโบอัมสามารถพิชิตโมอับและอัมโมนได้ด้วย

“โยนาห์” (Jonah)  = ไม่ปรากฏเรื่องนี้อยู่ในพระธรรมโยนาห์ แต่การกล่าวถึงผู้เผยพระวจนะคนนี้ทำให้เรารู้เวลาที่โยนาห์กระทำพันธกิจ

“กัธเฮเฟอร์” (Gath-hepher)= อยู่ในเขตเผ่าเศบูลุน ทางตะวันออกเฉียงเหนือของนาซาเร็ธ (ยชว.19:13)

14:26   “ความทุกข์…ขมขื่นนัก” (the affliction ….. very bitter) = ทุกข์ลำเค็ญ โดยน้ำมือของชาวซีเรีย (อารัม) (10:32-33;13:3-7), ชาวโมอับ (13:20), ชาวอัมโมน (อมส.1:13)

“ไม่ว่าทาสหรือไท” (bond or free) –1พกษ.14:10

14:27   “ไม่ได้ตรัส” (not said) = บาปของอิสราเอลเองยังไม่ถึงที่สุด พระเจ้าทรงเมตตาได้ยืดเวลาแห่งพระคุณออกไปเพื่อให้โอกาสชาวอิสราเอลกลับใจ (13:23) แต่หากพวกเขายังละทิ้งพระเจ้า การพิพากษาก็จะมาถึงอย่างแน่นอน (อมส.4:2-3;6:14)

“ทรงช่วยเขาโดยพระหัตถ์ของเยโรโบอัม” (so he saved them by the hand of Jeroboam) = พระเจ้าใช้เยโรโบอัมที่ 2 ช่วยชาวอิสราเอล (13:5)

14:28   “พระราชกิจอื่น ๆ” (the rest) = พระราชกิจทั้งปวงในรัชกาลของเยโรโบอัม ทำให้อาณาจักรเหนือเจริญรุ่งเรืองทางด้านวัตถุมากกว่าครั้งใด ตั้งแต่สมัยของดาวิดและซาโลมอน แต่น่าเสียดายที่ในช่วงเวลาดังกล่าว ศาสนาเป็นเพียงแค่พิธีกรรม ประชาชนทิ้งพระเจ้า และสังคมไร้ความยุติธรรม (ดูพระธรรมอาโมสและโฮเชยา ซึ่งทั้ง 2 เผยพระวจนะในยุคของเยโรโบอัมที่ 2)

14:29  “ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ” (slept with his fathers) –1พกษ.1:21

“เศคาริยาห์ พระราชโอรส…ขึ้นครองราชย์แทน”(Zechariah his son reigned in his place.)–15:8-12

คำถามนำอภิปราย

1. ในชีวิตของคุณ คุณได้กระทำเรื่องอะไรที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้า ที่คุณภูมิใจมากที่สุด? อย่างไร?

2. ใครเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตของคุณบ้าง?

1.1)      ในอดีตคือ ………………………………………………………………………………………………………………

เป็นแบบอย่างในเรื่องอะไร?…………………………………………………………………………………………

1.2)      ในปัจจุบันคือ ………………………………………………………………………………………………………….

เป็นแบบอย่างในเรื่องอะไร?…………………………………………………………………………………………

3.คุณเคยมีเรื่องเคืองแค้นในใจที่รอจังหวะตอบโต้และแก้แค้นบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร? และอย่างไร? คุณคิดว่าคุณกระทำเกินเลยไปบ้างหรือไม่?  ทำไม? และอย่างไร?

4.คุณเคยกระทำสิ่งใดที่รุนแรง แต่มีสติยับยั้งได้ไม่ให้ทำเกินควร (ตามคำสอนในพระคัมภีร์)บ้างหรือไม่ที่คุณรู้สึกขอบคุณพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง?

5. คุณเคยประสบความสำเร็จจนฮึกเหิมผยองเกินตัวและก่อเกิดผลเสียหรือผลร้ายตามมาบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร? อย่างไร?

6. คุณเคยหรือเคยเห็นผู้ใดในคริสตจักรหรือในครอบครัวประสบความเสียหายแบบ “แกว่งเท้าหาเสี้ยน” บ้างหรือไม่? (แบ่งปัน) และอย่างไร?

7. คุณเคยได้รับความเจ็บปวดเพราะไม่ฟังคำเตือนบ้างหรือไม่?  ในเรื่องอะไร? และอย่างไร?

8. คุณเคยเห็นความหายนะเพราะผู้นำหรือผู้ปกครองไม่ได้เลิกกระทำบาปหรือกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระเจ้าบ้างหรือไม่?  อย่างไร?

9.คุณเคยได้รับการช่วยเหลือให้พ้นจากความทุกข์ลำเค็ญเพราะคนบางคนที่พระเจ้าส่งมาช่วยหรือไม่? เขาเป็นใคร? และอย่างไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2 พงศ์กษัตริย์ (บทเรียนที่ 13)

กษัตริย์ผู้ละทิ้งโอกาสสำคัญ!

 พระธรรม        2พงศ์กษัตริย์ 13:1-25

อ้างอิง            1พกษ.10:26;12:26-33;15:31;16:33;19:17;2พกษ.2:12;5:2;10:32-33;13:3,24-25;14:15,23;17:18; 24:3,20

บทนำ           น่าเสียใจที่หลายคนเชื่อพระเจ้า แต่ไม่เต็มที่และน่าเสียดายที่หลายคนทิ้งโอกาสแห่งชัยชนะที่พระเจ้าพร้อมจะประทานให้ เพราะเขาไม่กระตือรือร้นในการกระทำตามพระบัญชาของพระองค์

คุณเป็นหนึ่งในคนประเภทนี้หรือไม่?

บทเรียน

13:1 “ใน ​ปี​ที่ 23 แห่ง​รัชกาล​โยอาช พระราชโอรส​ของ​อาหัสยาห์​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์ เยโฮอาหาส​พระราชโอรส​ของ​ เยฮู​ทรง​ครอง​อิสราเอล​ใน​กรุง​ สะมาเรีย​อยู่ 17 ปี”

        (In the twenty-third year of Joash the son of Ahaziah, king of Judah, Jehoahaz the son of Jehu   began to reign over Israel in Samaria, and he reigned seventeen years. )

13:2 “พระองค์ ​ทรง​ทำ​สิ่ง​ชั่วร้าย​ใน​สายพระเนตร​ของ​พระยาห์เวห์ และ​ทำ​ตาม​บาป​ทั้งหลาย​ของ​เยโรโบอัม​บุตร​ เนบัท ผู้​ได้​นำ​อิสราเอล​ให้​ทำ​บาป​ด้วย พระองค์​ไม่ได้​ทรง​หัน​จาก​บาป​นั้น”

        (He did what was evil in the sight of the Lord and followed the sins of Jeroboam the son of   Nebat, which he made Israel to sin; he did not depart from them. )

13:3 “และ​พระพิโรธ​ของ​พระยาห์เวห์​ก็​พลุ่ง​ขึ้น​ต่อ​อิสราเอล และ​พระองค์​ทรง​มอบ​เขา​ทั้งหลาย​ไว้​ใน​มือ​ของ​ฮาซาเอล​ พระราชา​ แห่ง​ซีเรีย และ​ใน​มือ​ของ​เบนฮาดัด​โอรส​ของ​ฮาซาเอล​อยู่​เนืองๆ”

       (And the anger of the Lord was kindled against Israel, and he gave them continually into the  hand of Hazael king of Syria and into the hand of Ben-hadad the son of Hazael. )

13:4 “แล้ว​เยโฮอาหาส​ได้​วิงวอน​พระยาห์เวห์ และ​พระยาห์เวห์​ทรง​ฟัง​ท่าน เพราะ​พระองค์​ทรง​เห็น​การ​กด​ขี่​อิสราเอล  คือ​ที่​พระราชา​แห่ง​ซีเรีย​กด​ขี่​พวกเขา​อย่างไร”

       (Then Jehoahaz sought the favor of the Lord, and the Lord listened to him, for he saw the oppression of Israel, how the king of Syria oppressed them. )

13:5 “(เพราะ ​ฉะนั้น พระยาห์เวห์​ประทาน​ผู้ช่วย​ผู้หนึ่ง​แก่​อิสราเอล พวกเขา​จึง​รอดพ้น​จาก​มือ​คน​ซีเรีย และ​คน​ อิสราเอล​ก็​ได้​อาศัย​อยู่​ใน​บ้าน​ของ​ตน​อย่าง​เดิม”

       (Therefore the Lord gave Israel a savior, so that they escaped from the hand of the Syrians, and   the people of Israel lived in their homes as formerly. )

13:6 “ถึง​กระนั้น​พวกเขา​ก็​ไม่ได้​หัน​จาก​บาป​ของ​ราชวงศ์​เยโรโบอัม ซึ่ง​พระองค์​ทรง​กระทำ​ให้​อิสราเอล​ทำ​ด้วย แต่​ดำ‍เนิน​ใน​บาป​นั้น และ​พระอาเช-ราห์​ก็​ยัง​คง​อยู่​ใน​สะมาเรีย​ด้วย)”

       (Nevertheless, they did not depart from the sins of the house of Jeroboam, which he made Israel   to sin, but walked in them; and the Asherah also remained in Samaria.)

13:7 “เพราะ ​ไม่ได้​เหลือ​กองทัพ​ไว้​ให้​เยโฮอาหาส​เกิน​กว่า​ทหาร​ม้า 50 คน และ​รถรบ 10 คัน​และ​ทหาร​ราบ 10,000  คน เพราะ​พระราชา​แห่ง​ซีเรีย​ได้​ทำลาย​เขา​ทั้งหลาย​เสีย ให้​เป็น​อย่าง​ละออง​เวลา​นวดข้าว”

      (For there was not left to Jehoahaz an army of more than fifty horsemen and ten chariots and ten  thousand footmen, for the king of Syria had destroyed them and made them like the dust at

      threshing. )

13:8 “ส่วน​พระราชกิจ​อื่นๆ ของ​เยโฮอาหาส และ​ทุก​สิ่ง​ที่​ทรง​กระทำ และ​พระราชอำนาจ​ของ​พระองค์ ได้​บันทึก​ไว้​ใน​ หนังสือ​พงศาวดาร​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​ไม่​ใช่​ หรือ?”

      (Now the rest of the acts of Jehoahaz and all that he did, and his might, are they not written in  the Book of the Chronicles of the Kings of Israel? )

13:9 “และ​เยโฮอาหาส​ทรง​ล่วงหลับ​ไป​อยู่​กับ​บรรพบุรุษ และ​เขา​ฝัง​พระองค์​ไว้​ใน​สะมาเรีย และ​เยโฮอาช​พระราชโอรส​ของ​พระองค์​ได้​ขึ้น​ครองราชย์​แทน”

       (So Jehoahaz slept with his fathers, and they buried him in Samaria, and Joash his son reigned  in his place.)

13:10 “ใน​ปี​ที่ 37 แห่ง​รัชกาล​โยอาช​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์ เยโฮอาช​พระราชโอรส​ของ​เยโฮอาหาส​ได้​ทรง​ครอง​อิสราเอล​ใน​ สะมาเรีย 16 ปี”

      (In the thirty-seventh year of Joash king of Judah, Jehoash the son of Jehoahaz began to reign  over Israel in Samaria, and he reigned sixteen years. )

13:11 “พระองค์ ​ทรง​ทำ​สิ่ง​ชั่วร้าย​ใน​สายพระเนตร​ของ​พระยาห์เวห์ พระองค์​ไม่ได้​ทรง​หัน​จาก​บาป​ทั้งสิ้น​ของ​เยโร​โบ‍อัม​บุตร​เนบัท ผู้​ได้​นำ​อิสราเอล​ให้​ทำ​บาป​ด้วย แต่​ทรง​ดำเนิน​ใน​บาป​นั้น”

       (He also did what was evil in the sight of the Lord. He did not depart from all the sins of  Jeroboam the son of Nebat, which he made Israel to sin, but he walked in them. )

13:12 “ส่วน​พระราชกิจ​อื่นๆ ของ​เยโฮอาช และ​ทุก​สิ่ง​ที่​ทรง​กระทำ และ​พระราช​อำนาจ​ซึ่ง​พระองค์​ทรง​สู้รบ​กับ​ อามาซิยาห์​พระราชา​ แห่ง​ยูดาห์ ได้​บันทึก​ไว้​ใน​หนังสือ​พงศาวดาร​กษัตริย์​แห่ง​อิสราเอล​ไม่​ใช่หรือ?”

     (Now the rest of the acts of Joash and all that he did, and the might with which he fought   against Amaziah king of Judah, are they not written in the Book of the Chronicles of the Kings  of Israel? )

13:13 “เยโฮอาช​จึง​ทรง​ล่วงหลับ​ไป​อยู่​กับ​บรรพบุรุษ และ​เยโรโบอัม​ประทับ​บน​พระ​ที่นั่ง​ของ​พระองค์ และ​เขา​ฝัง​พระ‌ศพ​เยโฮอาช​ไว้​ใน​สะมาเรีย​กับ​บรรดา​พระราชา​แห่ง​ อิสราเอล”

                 (So Joash slept with his fathers, and Jeroboam sat on his throne. And Joash was buried in    Samaria with the kings of Israel.)

13:14 “เมื่อ​เอลีชา​ล้ม​ป่วย​ด้วย​โรค​ที่​จะ​ต้อง​สิ้น​ชีวิต เยโฮอาช​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​ได้​เสด็จ​ลง​ไป​หา​ท่าน และ​ทรง​ กันแสง​ต่อ​หน้า​ท่าน ตรัส​ว่า “พ่อ​ของ​ข้า พ่อ​ของ​ข้า รถรบ​แห่ง​อิสราเอล และ​ทหารม้า​ประจำ​รถ

       (Now when Elisha had fallen sick with the illness of which he was to die, Joash king of Israel went  down to him and wept before him, crying, “My father, my father! The chariots of Israel and its  horsemen!” )

13:15 “และ​เอลีชา​ทูล​พระองค์​ว่า “ขอ​ทรง​เอา​คันธนู​และ​ลูกธนู​มา” พระองค์​จึง​ทรง​เอา​คันธนู​และ​ลูกธนู​มา”

                 (And Elisha said to him, “Take a bow and arrows.” So he took a bow and arrows. )

13:16 “แล้ว​ท่าน​ทูล​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​ว่า “ขอ​ทรง​เหนี่ยว​คันธนู” และ​พระองค์​ทรง​เหนี่ยว​ด้วย​พระหัตถ์ และ​ เอลีชา​เอา​มือ​ของ​ตน​วาง​บน​พระหัตถ์​ของ​พระราชา”

                (Then he said to the king of Israel, “Draw the bow,” and he drew it. And Elisha laid his hands on  the king’s hands.)

13:17 “และ​ท่าน​ทูล​ว่า “ขอ​ทรง​เปิด​หน้าต่าง​ด้าน​ตะวันออก” และ​พระองค์​ทรง​เปิด​แล้ว เอลีชา​ทูล​ว่า “ขอ​ทรง​ยิง”  และ​พระองค์​ก็​ทรง​ยิง​และ​ท่าน​ทูล​ว่า “ลูกธนู​ชัยชนะ​ของ​พระยาห์เวห์ ลูกธนู​ชัยชนะ​เหนือ​ซีเรีย เพราะ​ฝ่า​พระ‌ บาท​จะ​ทรง​ต่อสู้​กับ​คน​ซีเรีย​ที่​อาเฟก จน​กว่า​จะ​ทรง​ทำ​ให้​เขา​สิ้น​ไป

    (And he said, “Open the window eastward,” and he opened it. Then Elisha said, “Shoot,” and he  shot. And he said, “The Lord’s arrow of victory, the arrow of victory over Syria! For you shall fight   the Syrians in Aphek until you have made an end of them.” )

13:18 “และ​ท่าน​ทูล​ว่า “ขอ​ทรง​หยิบ​ลูกธนู​เหล่านั้น” และ​พระองค์​ก็​ทรง​หยิบ และ​ท่าน​ทูล​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​ว่า  “เอา​ลูกธนู​ตี​พื้นดิน” และ​พระองค์​ทรง​ตี​สาม​ครั้ง แล้ว​ทรง​หยุด​เสีย”

        (And he said, “Take the arrows,” and he took them. And he said to the king of Israel,   “Strike the ground with them.” And he struck three times and stopped. )

13:19 “แล้ว​คน​ของ​พระเจ้า​ก็​โกรธ​พระองค์ และ​ทูล​ว่า “ฝ่า​พระบาท​ควร​จะ​ตี​สัก​ห้า​หรือ​หก​ครั้ง แล้ว​ฝ่า​พระบาท​จะ​ได้​ ตี​ซีเรีย​จน​กว่า​จะ​ทรง​ทำ​ให้​เขา​สิ้น​ไป แต่​บัดนี้​ฝ่า​พระบาท​จะ​ตี​ซีเรีย​ได้​เพียง​สาม​ครั้ง​เท่านั้น

   (Then the man of God was angry with him and said, “You should have struck five or six times;  then you would have struck down Syria until you had made an end of it, but now you will strike down Syria only three times.”)

13:20 “และ​เอลีชา​สิ้น​ชีวิต เขา​ก็​ฝัง​ท่าน​ไว้ กลุ่ม​โจร​ชาว​โมอับ​เคย​ปล้น​แผ่นดิน​นั้น​ใน​ฤดู​แล้ง”

               (So Elisha died, and they buried him. Now bands of Moabites used to invade the land in the   spring of the year. )

13:21 “ครั้ง​หนึ่งเมื่อ​เขา​กำลัง​ฝัง​ศพ​คน​หนึ่ง นี่แน่ะ เขา​เห็น​โจร​กลุ่ม​หนึ่ง เขา​จึง​โยน​ศพ​ชาย​คน​นั้น​ลง​ไป​ใน​อุโมงค์​ของ​ เอลีชา พอ​ศพ​ชาย​คน​นั้น​แตะต้อง​กระดูก​ของ​เอลีชา ชาย​นั้น​ก็​คืน​ชีวิต​ลุกขึ้น​ยืน”

        (And as a man was being buried, behold, a marauding band was seen and the man was   thrown into the grave of Elisha, and as soon as the man touched the bones of Elisha, he revived and stood on his feet.)

13:22 “ฮาซาเอล พระราชา​แห่ง​ซีเรีย​ได้​กด​ขี่​คน​อิสราเอล​อยู่​ตลอด​รัชกาล​ของ​เยโฮอาหาส”

                  (Now Hazael king of Syria oppressed Israel all the days of Jehoahaz.)

13:23 “แต่​พระยาห์เวห์​ทรง​พระกรุณา​และ​ทรง​พระเมตตา​พวกเขา และ​พระองค์​ทรง​หัน​มา​หา​พวกเขา เพราะ​พันธ‍สัญญา​ของ​พระองค์​ที่​ทรง​กระทำ​กับ​อับราฮัม อิสอัค และ​ยาโคบ และ​จะ​ไม่​ทรง​ทำลาย หรือ​ขับไล่​พวกเขา​ไป​ให้​พ้น​พระพักตร์​จน​บัดนี้”

   (But the Lord was gracious to them and had compassion on them, and he turned toward them,  because of his covenant with Abraham, Isaac, and Jacob, and would not destroy them, nor has         he cast them from his presence until now.)

13:24 “เมื่อ​ฮาซาเอล​พระราชา​แห่ง​ซีเรีย​สิ้น​พระชนม์ เบนฮาดัด พระราชโอรส​ของ​พระองค์​ได้​ขึ้น​ครองราชย์​แทน”

           (When Hazael king of Syria died, Ben-hadad his son became king in his place. )

13:25 “แล้ว​เยโฮอาช​โอรส​ของ​เยโฮอาหาส​ได้​ยึด​บรรดา​เมือง​จาก​เบนฮาดัด​ บุตร​ฮาซาเอล​กลับ​คืน​มาเป็น​เมือง​ที่​ พระองค์​ตี​ไป​ได้​จาก​เยโฮอาหาส​พระราชบิดา​ของ​เยโฮอาช​เมื่อ​ทำ​สงคราม​กัน เยโฮอาช​ได้​รบ​ชนะ​พระองค์​ สาม​ครั้ง​และ​ได้​บรรดา​เมือง​อิสราเอล​กลับ​คืน​มา”

    (Then Jehoash the son of Jehoahaz took again from Ben-hadad the son of Hazael the cities  that he had taken from Jehoahaz his father in war. Three times Joash defeated him and  recovered  the cities of Israel.)

 ข้อมูลมีประโยชน์

13:1     “ในปีที่ 23  แห่งรัชกาลโยอาช” (In the twenty-third year of Joash) = ปี 814 ก.ค.ศ. (12:1)

“ 17 ปี” (seventeen years) = ช่วงเวลาปี 814 – 798 ก.ค.ศ. –เป็นช่วงเวลาที่เยโฮอาหาสโอรสของเยฮู ครองราชย์ในกรุงสะมาเรีย

13:2     “ทำตามบาปทั้งหลายของเยโรโบอัม” (followed the sins of Jeroboam) –1พกษ.12:26-32; 13:33-34;14:16

13:3     “ฮาซาเอล” (Hazael) –8:12-13,15;10:33

“เบนฮาดัด” (Ben-hadad) ข.24, รัชกาลของเบนฮาดัดเริ่มต้นในปี 806 หรือไม่ก็ปี 796 ก.ค.ศ

13:4     “พระยาห์เวห์ทรงฟังท่าน” (the Lord listened to him) = แม้การช่วยกู้จะไม่ได้มาในช่วงอายุของเยโฮอาหาส (ข.22)  แต่พระเจ้าก็ทรงเมตตาต่อชนชาติของพระองค์ ตามพันธสัญญาที่มีกับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ (ข.23) แม้ว่าพวกเขาจะทำบาป

13:5     “ผู้ช่วยผู้หนึ่ง” (a savior) น่าจะเป็น

  1. ฮาดัดนิรารีที่ 3 (813-783 ก.ค.ศ.) ผู้ปกครองอัสซีเรีย ซึ่งโจมตีซีเรียในดามัสกัสปี 806  และ 804     ก.ค.ศ. ทำให้อิสราเอลหลุดจากการครอบครองของซีเรีย (ข.25;14:25) หรือ
  2. เยโฮอาช บุตรของเยโฮอาหาส (ข.17,19,25) หรือ
  3. เยโรโบอัมที่ 2 ที่สามารถขยายพรมแดนอิสราเอลขึ้นไปทางเหนือได้บั่นทอนอำนาจทางทหารของซีเรีย

13:6     “พระอาเชราห์ก็ยังคงอยู่” (the Asherah also remained) = เสาของเจ้าแม่อาเซราห์ที่อาหับเป็นผู้ตั้งไว้ (1พกษ.16:33) ที่รอดพ้นจากการถูกทำลายโดยเยฮู เมื่อครั้งที่เขาจัดการกับการบูชาพระบาอัลในสะมาเรีย (10:27-28)หรือมิฉะนั้นก็อาจตั้งขึ้นใหม่ในรัชกาลของเยโฮอาหาส

13:7     “รถรบสิบคับ” (ten chariots) = กองกำลังที่น้อยมาก เทียบกับรถม้าศึก 2000 คัน ที่อาหับนำไปสู้รบกับชาวอัสซีเรียในสงครามคาร์คาร์ ในปี 853 ก.ค.ศ. (1พกษ.22:1)

“ทหาร 10000 คน” (ten thousand footmen) = พลเดินเท้าในสงคราม คาร์คาร์ อาหับได้จัดพลเดินเท้าหนึ่งหมื่นคนไปสมทบกับกองทหารที่จะสู้รบกับอัสซีเรีย ในเวลานั้น ทหารจำนวนนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของกองทัพอิสราเอล แต่ในเวลานี้ กลับกลายเป็นทั้งหมดในกองทัพ  และในปี 857 ก.ค.ศ อาหับสังหารพลเดินเท้าของซีเรียได้หนึ่งแสนคนในการสู้รบเพียงวันเดียว (1พกษ.20:29)

13:8     “หนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอล” (the Book of the Chronicles of the Kings of Israel)  -1พกษ.14:19

13:9     “ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ” (slept with his fathers) –1พกษ.1:21

13:10   “ปีที่ 37 แห่งรัชกาลโยอาช” (the thirty-seventh year of Joash king) =798 ก.ค.ศ. (12:1)

“16 ปี” (sixteen years) = 798 -782 ก.ค.ศ.

13:11   “บาปทั้งสิ้นของเยโรโบอัม” (all the sins of Jeroboam) –1พกษ.12:26-32;12:33-34;14:16

13:12   “สู้รบกับอามาซิยาห์” (fought against Amaziah) -14:8-14;2พศด.25:17-24

“หนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งอิสราเอล” ( the Book of the Chronicles of the Kings of Israel)       =  จดหมายเหตุของกษัตริย์อิสราเอล –1พกษ.14:16

13:13   “ล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ” ( slept with his fathers) –1พกษ.1:21

“เยโรโบอัมประทับบนพระที่นั่งของพระองค์” (Jeroboam sat on his throne) = เยโรโบอัมที่ 2 ขึ้น ครองราชย์แทน-14:23-29

13:14   “เมื่อเอลีชาล้มป่วยด้วยโรคที่จะต้องเสียชีวิต” (when Elisha had fallen sick with the illness of which he was to die) = เรื่องราวเอลีชาล่าสุดอยู่ในบทที่ 9 เยฮูได้รับการเจิมตั้งในปี 841 ก.ค.ศ. (10:36) และเยโฮอาชขึ้นครองราชย์ในปี 798 ก.ค.ศ. (ข.10) ดังนั้น เป็นเวลาอย่างน้อย 43 ปีที่ไม่มีการบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับพันธกิจของเอลีชา (เอลีชาน่าจะเกิดก่อนปี 880 ก.ค.ศ. และมีอายุยืนกว่า 80 ปี)

“รถรบแห่งอิสราเอลและทหารม้าประจำรถ” (The chariots of Israel and its horsemen!) = เยโฮอาชกล่าวแสดงความยอมรับว่าเอลีชามีความสำคัญต่อความสำเร็จทางทหารของอิสราเอลมากกว่ากองทัพของอิสราเอล (2:12;6:13,16-23)

13:16   “เอามือของตนวางบนพระหัตถ์ของพระราชา” ( his hands on the king’s hands) = เอลีชาแสดงท่าทีเชิงสัญลักษณ์เพื่อบอกว่าพระพรของพระเจ้าจะอยู่เหนือเยโฮอาช เมื่อเขาทำสงครามกับซีเรีย

13:17   “ขอทรงเปิดหน้าต่างด้านตะวันออก” (Open the window eastward) = หันไปทางฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน ซึ่งอยู่ใต้การควบคุมของซีเรีย (10:32-33)

“อาเฟก” (Aphek) = ประมาณ 60 ปีก่อนหน้านี้ อาหับมีชัยชนะเหนือซีเรีย และเบนฮาดัดที่ 2 ที่อาเฟก (1พกษ.20:26-30)

13:18   “ทรงตีสามครั้งแล้วทรงหยุดเสีย” (he struck three times and stopped) = ฟาด 3 ครั้งเท่านั้น เยโฮอาชสนองตอบต่อคำสั่งของเอลีชาแบบไม่ค่อยกระตือรือร้น แสดงให้เห็นถึงความไม่ตั้งใจที่จะกระทำพันธกิจให้สำเร็จ

13:19   “จะตีซีเรียได้เพียง 3 ครั้งเท่านั้น” (will strike down Syria only three times) = ความไม่กระตือรือร้นของเยโฮอาช ที่ตีลูกศพแบบเฉื่อย ๆ เป็นสัญลักษณ์ให้เห็นถึงความสำเร็จแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ที่เขาจะได้รับจากการสู้รบกับชาวซีเรีย

-ต่อมา เยโรโบอัมที่ 2 บุตรของเยโฮอาชจะเป็นผู้พิชิตซีเรียอย่างสิ้นเชิง (14:15,28)

13:21   “พอศพชายคนนั้นแตะต้องกระดูกของเอลีชา ชายนั้นก็คืนชีวิตลุกขึ้นยืน” ( the man touched the bones of Elisha, he revived and stood on his feet) = การกล่าวถึงเอลีชาเป็นครั้งสุดท้ายในพระคัมภีร์เดิม และยืนยันว่า เอลีชาเป็นตัวแทนของพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ในการให้ชีวิต (ฟื้นคืนขึ้นมา) -4:32-37;1พกษ.17:17-24, ปท.เอลียาห์ (2:11-12)

13:23   “ไม่ทรงทำลายหรือขับไล่พวกเขา” (would not destroy them, nor has he cast them) = พระเจ้าทรงอดทนอดกลั้นต่อชนชาติของพระองค์ด้วยความเมตตา พระองค์ทรงยับยั้งคำสาปสูงสุดตามพันธสัญญาที่จะเนรเทศพวกเขาออกจากคานาอัน (10:32) –การเลื่อนการพิพากษาออกไปทำให้อิสราเอลมีโอกาสกลับใจและหันกลับมาซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญากับพระเจ้า

“จนบัดนี้” (until now)  = จนถึงวันเวลาที่เขียน (1พกษ.8:8)

13:25   “เมืองที่พระองค์ตีไปได้จากเยโฮอาหาส” (the cities that he had taken from Jehoahaz) = เมืองทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน เพราะพื้นที่ทางฝั่งตะวันออกของจอร์แดนนั้นสูญเสียไปแล้วในสมัยของเยฮู (10:32-33)

-ในสมัยของเยโรโบอัมที่ 2 พื้นที่ทางฝั่งตะวันออกของจอร์แดนจึงได้กลับมาเป็นของอิสราเอลอย่างสมบูรณ์ (14:25)

“รบชนะพระองค์ 3 ครั้ง” (Three times Joash defeated him) = สำเร็จจริงตามคำพยากรณ์ของเอลีชาในข้อ 19

คำถามนำอภิปราย

  1. เวลาที่ผู้ปกครอง(ประเทศ)กระทำบาปชั่วในสายพระเนตรของพระเจ้า อะไรคือผลตามมา? ประชาชนมักได้รับผลกระทบอะไรบ้าง?
  2. ในประเทศไทยของเราเวลานี้มีอะไรบ้างที่เป็นผลกระทบจากการที่ผู้ปกครองประเทศ (ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน) กระทำบาปชั่วบ้าง? มีผลกระทบใดที่เลวร้ายที่สุดในความคิดของคุณ?  อย่างไร?
  3. คุณคิดว่าเวลาคนบาปที่กระทำชั่วอธิษฐานต่อพระเจ้า พระองค์จะทรงสดับฟังหรือไม่? ทำไมคุณคิดอย่างนั้น? มีอะไรยืนยันบ้าง?
  4. คุณเคยเห็นคนชั่วที่พระเจ้าช่วยเหลือเขาให้รอดจากความทุกข์ยากลำบากแล้วกลับไปกระทำชั่วเหมือนเดิมบ้างหรือไม่?  อย่างไร? คุณรู้สึกอย่างไร? และคุณเคยเปน็น็นเช่นเดียวกันอย่างนี้บ้างหรือไม่?
  5. มีบาปใดที่คุณเห็นผู้นำประเทศของเรากระทำผิดซ้ำซากอยู่เรื่อยมา? คุณคิดว่าจะมีวิธีหรือวิถีทางใดที่จะช่วยประเทศชาติของเราให้พ้นจากความผิดบาปซ้ำซากเหล่านั้นได้ และคุณจะมีส่วนช่วยอะไรได้บ้าง?
  6. มีผู้รับใช้ของพระเจ้าคนใดที่สำคัญต่อส่วนรวมและเวลานี้ชราหรือป่วยหนักที่คุณรู้สึกเสียใจหรือโศกเศร้าที่เห็นท่านอยู่ในสภาพเช่นนั้นบ้าง? และคุณทำอะไรแก่ท่านบ้าง? (หรือหากว่าผู้รับใช้ผู้นั้นยังไม่ชราหรือยังไม่ป่วยหนัก คุณจะทำอะไรเพื่อท่านเป็นพิเศษบ้างหรือไม่?  อย่างไร? ทำไม?)
  7. มีสิ่งใดบ้างที่ผู้รับใช้ของพระเจ้าบอกให้คุณกระทำ  แต่คุณสนองอย่างไม่เต็มใจหรือไม่เต็มที่บ้าง? และผลที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร?
  8. คุณเคยกระทำอะไรให้ผู้รับใช้ของพระเจ้าไม่พอใจบ้าง? สิ่งนั้นส่งผลกระทบอะไรตามมาบ้าง?
  9. คุณเคยเห็นการอัศจรรย์อะไรที่พระเจ้ากระทำแบบเกินความคาดคิดบ้าง? สอนอะไรคุณบ้าง?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์