Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

ปัญญาจารย์ บทเรียนที่ 1

สารพัดอนิจจัง

พระธรรม        ปัญญาจารย์      1:1-18

อ้างอิง           ปญจ.1:1,12;2:3,11-12,16,26,3:10,15-17;7:13,23,27;8:10;12:8,12;สดด.39:5-6;19:5-6;88:12; สภษ.27:20;ยรม.45:3

บทนำ           อนิจจัง เหนื่อยอ่อน กินลมกินแล้ง ทุกข์ระทม และเศร้าโศก นี่คือ ปรากฏการณ์จริงของชีวิตบนโลกนี้      แต่หากชีวิตของเรามีความสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างถูกต้อง และใกล้ชิดสนิทสนม มุมมองและชีวิตของเราจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง!

บทเรียน

  1:1 “ถ้อยคำ​ของ​ปัญญาจารย์ ผู้​เป็น​เชื้อสาย​ของ​ดาวิด กษัตริย์​ใน​เยรูซาเล็ม”

           (The words of the Preacher, the son of David, king in Jerusalem.)

 1:2 “ปัญญาจารย์​กล่าว​ว่า อนิจจัง อนิจจัง อนิจจัง อนิจจัง สารพัด​อนิจจัง”

          (Vanity of vanities, says the Preacher, vanity of vanities! All is vanity.)

 1:3 “มนุษย์​ได้​ประโยชน์​อะไร​จาก​การ​ตรากตรำ​ทุกอย่าง​ของ​เขา ซึ่ง​เขา​ตรากตรำ​ภายใต้​ดวงอาทิตย์​นั้น”

          (What does man gain by all the toil at which he toils under the sun?)

  1:4 “คน​รุ่นหนึ่ง​จาก​ไป และ​คน​อีก​รุ่นหนึ่ง​ก็​มา แต่​แผ่นดิน​โลก​ยัง​คง​เดิม​อยู่​เป็น​นิตย์”

          (A generation goes, and a generation comes, but the earth remains forever.)

  1:5 “ดวงอาทิตย์​ขึ้น และ​ดวงอาทิตย์​ตก แล้ว​กระหืดกระหอบ​ไป​ถึง​ที่​ซึ่ง​ขึ้น​มา​นั้น​อีก”

        (The sun rises, and the sun goes down, and hastens to the place where it rises.)

  1:6 “ลม​พัด​ไป​ทาง​ใต้ แล้ว​เวียน​กลับ​ไป​ทาง​เหนือ ลม​พัด​เวียน​ไป​เวียน​มา แล้ว​ลม​พัด​กลับ​ตามทาง​เวียน​ของ​มัน”

          ( The wind blows to the south and goes around to the north; around and around goes the wind,  and on its circuits the wind returns.)

 1:7 “แม่น้ำ​ทุกสาย​ไหล​ไป​สู่​ทะเล แต่​ทะเล​ก็​ไม่​เต็มแม่น้ำ​ไหล​ไป​สู่​ที่ใดก็​ไหล​ไป​สู่​ที่นั่น​อีก”

         (All streams run to the sea, but the sea is not full; to the place where the streams flow, there they  flow again.)

  1:8 “สารพัด​ก็​เหนื่อยอ่อน​ไป​กัน​หมด แต่ละคน​ก็​พูด​ไม่​ออกนัยน์ตา​ดู​ก็​ไม่​อิ่มหรือ​หู​ฟัง​เท่าไร​ไม่​เคย​พอใจ​กับ​สิ่ง​ที่​ได้‍ยิน”

(All things are full of weariness; a man cannot utter it; the eye is not satisfied with seeing, nor the ear filled with hearing.)

 1:9 “สิ่งใด​ที่​มี​อยู่​แล้ว ก็​จะ​มี​ขึ้น​อีก สิ่ง​ที่​ทำ​กัน​แล้ว คือ​สิ่ง​ที่​จะ​ต้อง​ทำ​กัน​อีกไม่มี​สิ่งใด​ใหม่​ภายใต้​ดวงอาทิตย์”

         (What has been is what will be, and what has been done is what will be done,and there is nothing  new under the sun.)

 1:10 “มี​สัก​สิ่ง​หนึ่ง​หรือ​ที่​ใคร​จะ​พูด​ได้​ว่า “ดูซี สิ่งนี้​ใหม่”? แต่​สิ่งนั้น​มี​อยู่​แล้ว ใน​สมัย​ก่อน​เรา​ทั้งหลาย”

           (Is there a thing of which it is said, “See, this is new”? It has been already in the ages before us.)

  1:11 “ไม่มี​การ​จดจำ​ถึง​คน​สมัย​ก่อน และ​ไม่มี​การ​จดจำ​ถึง​คน​สมัย​หลัง​ที่​จะ​เกิด​มา โดย​คน​รุ่น​ต่อมา”

     (There is no remembrance of former things, nor will there be any remembrance of later  things yet to Be among those who come after.)

1:12 “ข้าพเจ้า ปัญญาจารย์ เคย​เป็น​กษัตริย์​เหนือ​อิสราเอล​ใน​กรุงเยรูซาเล็ม 

              (I the Preacher have been king over Israel in Jerusalem.)

1:13 “และ​ด้วย​สติ​ปัญญา ข้าพเจ้า​ตั้งใจ​ค้นคว้า​และ​ตรวจสอบ​ทุกสิ่ง​ที่​ทำ​กัน​ภายใต้​ฟ้าสวรรค์ และ​พบ​ว่า​พระเจ้า​ประทาน​ ภารกิจ​ที่​ยากลำบาก​ให้​มนุษย์​ทำ เพื่อ​พวกเขา​จะ​สาละวน​กับ​สิ่ง​ที่​ทำ”

           (And I applied my heart to seek and to search out by wisdom all that is done under  heaven. It is n unhappy business that God has given to the children of man to be busy with.)

1:14 “ข้าพเจ้า​เคย​เห็น​การงาน​ทั้งปวง​ซึ่ง​เขา​กระทำ​กัน​ภายใต้​ดวงอาทิตย์ และ​ดูเถิด สารพัด​ก็​อนิจจัง​คือ​กินลมกินแล้ง”

     (I have seen everything that is done under the sun, and behold, all is vanity and a striving after wind.)

 1:15 “อะไร​ที่​คด​จะ​ทำ​ให้​ตรง​ไม่ได้ และ​อะไร​ที่​ขาด​อยู่​จะ​นับ​ให้​ครบ​ไม่ได้”

             ( What is crooked cannot be made straight, and what is lacking cannot be counted.)

1:16 “ข้าพเจ้า​รำพึง​ว่า “ดูซิ ข้าพเจ้า​มี​สติ​ปัญญา​มาก​ยิ่ง มาก​กว่า​ทุก​คน​ที่​ครอง​อยู่​เหนือ​กรุงเยรูซาเล็ม​ก่อน​ข้าพเจ้า  และ​ข้าพเจ้า​เจนจัด​ใน​สติ​ปัญญา​และ​ความ​รู้​อย่างยิ่ง” 

          (I said in my heart, “I have acquired great wisdom, surpassing all who were over Jerusalem before me, and my heart has had great experience of wisdom and knowledge.” )

1:17 “ข้าพเจ้า​ก็​ตั้งใจ​เข้าใจ​สติ​ปัญญา เข้าใจ​ความ​บ้าบอ​และ​ความ​เขลา ข้าพเจ้า​ค้นพบ​ว่า​เรื่อง​นี้​ก็​เป็น​แต่​กินลมกิน‍แล้ง​ด้วย”

(And I applied my heart to know wisdom and to know madness and folly. I perceived that this    also is but a striving after wind.)

  1:18 “เพราะ​เมื่อ​มี​สติ​ปัญญา​มาก​ขึ้น ก็​มี​ความ​ทุกข์​ระทม​มาก​ขึ้น และ​บุคคล​ที่​เพิ่ม​ความ​รู้​ก็​เพิ่ม​ความ​เศร้าโศก”

             (For in much wisdom is much vexation, and he who increases knowledge increases sorrow.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

 

1:1       “ปัญญาจารย์” ( the Preacher) = ผู้ถ่ายทอดความรู้ (12:9)

คำภาษาฮีบรูของคำนี้คือ “โคเฮเลท” มีความหมายที่เกี่ยวข้องกับ “การชุมนุม” = หน้าที่ของปัญญาจารย์อาจเกี่ยวข้องกับตำแหน่งในชุมนุมชน (12:9-10)

“เชื้อสายของดาวิด” (the son of David) = หมายถึงซาโลมอน

1:2       “อนิจจัง” (vanities) –คำสำคัญนี้ปรากฏราว ๆ 35 ครั้งในพระธรรมปัญญาจารย์นี้ และปรากฏ ในโยบ 27:12, คำ ๆ นี้ในภาษาฮีบรูดั้งเดิมหมายความว่า “ลมหายใจ” (สดด.39:5,11;62:9;144:4)

= ประเด็นหลักของพระธรรมเล่มนี้คือ ทุกอย่างในชีวิตนี้ล้วนอนิจจัง ไม่มีประโยชน์ และสูญเปล่า หากไม่มีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้า (ซึ่งจะทำให้ชีวิตมีความหมาย) และความอนิจจังนั้นอาจนำไปสู่ความทุกข์หรือสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้

“สารพัด” (All ) = ทุกสิ่ง (ข.8)
= ทุกสิ่งที่มนุษย์กระทำโดยไม่ให้พระเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้อง ล้วนกลายเป็นสิ่งสูญเปล่า

1:3-11 –เป็นการอธิบายของผู้เขียนว่า ความพยายามของมนุษย์ (ที่ปราศจากพระเจ้า) นั้นไร้เป้าหมายที่คู่ควร และไร้ประโยชน์ จึงไร้ความหมายอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า “อนิจจัง”

1:3       “ได้ประโยชน์”(gain) หรือ “ได้กำไร”

-ในพระคัมภีร์ใหม่ พระเยซูทรงขยายความคำถามนี้ใน มก.8:36-38

“ภายใต้ดวงอาทิตย์” (under the sun) = เป็นวลีที่สำคัญในพระธรรมเล่มนี้ ใช้ถึง 29 ครั้ง สื่อถือ “โลก” และ “ความจำกัดของโลก”

อีกวลีที่ใช้ในความหมายเดียวกันคือ “ภายใต้ฟ้าสวรรค์” (ข.13;2:3;3:1)

1:4-9 -อธิบายว่า การตรากตรำของมนุษย์นั้นไร้ประโยชน์ (ข.3) เพราะมนุษย์มีชีวิตอยู่ในโลกแบบจำเจ ไม่มี

ความก้าวหน้า และไม่มีความหมาย เห็นได้จากความไม่ถาวรของคนในแต่ละรุ่นและในการสืบทอดที่ไม่รู้จบ (ข.4) และในวัฏฎจักรขึ้นลงของดวงอาทิตย์ (ข.5) , ลม (ข.6) และสายน้ำ (ข.7

จนสรุปได้ว่า สารพัดก็เหนื่อยอ่อนไปกันหมด (ข.8) และไม่มีสิ่งใดใหม่ภายใต้ดวงอาทิตย์ (ข.9)

1:4       “แผ่นดินโลกยังคงเดิมอยู่เป็นนิตย์” (the earth remains forever) = ในความหมายว่า ไม่เปลี่ยนแปลงไปมาเหมือนคนกับสิ่งที่คนทำซึ่งไม่แน่นอน

1:8       “สารพัด” (All things) = ทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวถึงในข้อ 4-7

1:10     “สิ่งนี้ใหม่” ( this is new) = หลายอย่างดูเหมือนใหม่ เพราะอดีตถูกกลืนไปอย่างรวดเร็วโดยง่าย และวิถีต่าง ๆ ก็ย้อนกลับมาภายใต้โฉมหน้าใหม่

1:12-18 หลังจากที่ได้ชี้แจงให้เห็นว่า การดิ้นรนทั้งหลายทั้งปวงของมนุษย์ ดูเหมือนอนิจจังไร้ประโยชน์ (ข.3,11)

เวลานี้ผู้เขียนได้ยืนยันว่า ความพยายามของมนุษย์ (ข.12-15 ปท.2:1-11) และการแสวงหาปัญญาของ มนุษย์ (ข.16-18; ปท. 2:12-17) ก็ไร้ความหมายเหมือนเปล่าประโยชน์เช่นกัน

1:12     “ข้าพเจ้า” (I ) -ผู้เขียนเปลี่ยนมาใช้สรรพนามบุรุษที่ 1 แล้วกลับไปใช้สรรพนามบุรุษที่ 3 อีกครั้งในบทสรุป (12:9-14)

1:13     “ภายใต้ฟ้าสวรรค์” (under heaven) = ความหมายเดียวกัน “ภายใต้ดวงอาทิตย์” ใน1:3

“พระเจ้า” (God            ) = ผู้เขียนใช้คำภาษาฮีบรูเพียงคำเพียงแทนพระเจ้า คือ “เอโลฮีม” ซึ่งใช้ราว 30 ครั้ง เพื่อเน้นความเป็นพระเจ้าผู้ครอบครองสูงสุด (ผู้เขียนไม่ได้ใช้นามของพระเจ้าตามพันธสัญญา คือ       “ยาห์เวห์” ที่แปลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า” –ปฐก.2:4; อพย.3:14-15)

1:14     “กินลมกินแล้ง” (a striving after wind)= วิ่งไล่ตามลม เป็นภาพเปรียบเทียบถึงความเปล่าประโยชน์และไร้ความหมาย วลีนี้ใช้ถึง 9 ครั้ง (1:14,17:2;11,17,26;4:4,6,16;6:9)

1:15    “คด…ทำให้ตรงไม่ได้ ขาดอยู่…นับให้ครบไม่ได้” (crooked cannot be made straight,   what is lacking cannot be counted) = เพราะเหตุการณ์ต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ความพยายามของมนุษย์จึงไร้ความหมาย และหมดหวัง เราจึงต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับสิ่งที่เป็นอยู่ และยอมรับในสถานะในชีวิตที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ (ดังที่ปัญญาจารย์จะแนะนำต่อไป) -ปท.7:13

1:16     “ทุกคนที่ครองอยู่เหนือกรุงเยรูซาเล็มก่อนข้าพเจ้า” (all who were over Jerusalem before me) –ดู 2:7,9- ตัวบ่งชี้ วลีนี้อาจรวมถึงกษัตริย์หรือผู้ปกครองที่อยู่ก่อนหน้าดาวิด ด้วย อาทิ เมลคีเซเดค (ปฐก.14:18) , อา‌โด‌นี‌เซ‌เดก (ยชว.10:1),อับดีเคปา (กล่าวถึงในจดหมายอามาร์นา จากอียิปต์)

1:18     “มีสติปัญญามากขึ้นก็มีความทุกข์ระทมมากขึ้น…เพิ่มความรู้ก็เพิ่มความเศร้าโศก” (much wisdom is much vexation, and he who increases knowledge increases sorrow.) = ความรู้และปัญญาที่ปราศจากพระเจ้า นำไปสู่ความหดหู่และความทุกข์เศร้าโศกมากยิ่งขึ้น

คำถามนำอภิปราย

  1. ในพระธรรมปัญญาจารย์ 1:1-18 นี้ มีข้อใดที่สะกิดใจของคุณมากที่สุด? ในเรื่องใด? ทำไม? (แบ่งปัน)
  2. คุณได้เห็นปรากฏการณ์อะไรในโลกหรือในประเทศไทยนี้ ที่สะท้อนหรือยืนยันความจริงของพระธรรมตอนนี้

ให้คุณเห็นอย่างชัดเจน ? (แบ่งปัน)

  1. คุณมีประสบการณ์กับ “ความอนิจจัง” อะไรในชีวิตของคุณบ้างที่สอดคล้องกับพระธรรมตอนนี้? อย่างไร?
  2. การมีประสบการณ์กับ “ความอนิจจัง” (ในข้อ 3) นั้นได้ส่งผลกระทบอะไรต่อชีวิต จิตใจ และจิตวิญญาณของคุณบ้าง? และอย่างไร?
  3. คุณเคยมีประสบการณ์กับการทุ่มเทเพื่อจะเข้าใจสติปัญญา ความบ้าบอ (บ้าคลั่ง)และความเขลาที่เกิดขึ้นในสังคมไทย (หรือในโลก) แล้วพบว่าความพยายามเหล่านั้น ไร้ประโยชน์บ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร? และอย่างไร?
  4. จากบทเรียนวันนี้ ทำให้คุณตั้งใจว่าจะไม่ทำอะไรต่อไปบ้าง?

1)      ………………………………………………………………………………………………………………..

2)      ………………………………………………………………………………………………………………..

3)      ………………………………………………………………………………………………………………..

  1. จากบทเรียนนี้ ทำให้คุณตั้งใจที่จะทำอะไรต่อไปบ้าง?

1)      ……………………………………………………………………………………………………………….

2)      ………………………………………………………………………………………………………………..

3)      ………………………………………………………………………………………………………………..

  1. บทเรียนที่ประทับใจของคุณมากที่สุดในวันนี้คือ………………………………………………………….

อย่างไร? ……………………………………………………………………………………………………………….

ทำไม? ………………………………………………………………………………………………………………..

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2 พงศ์กษัตริย์ บทเรียนที่ 25

แผ่นดินพินาศ!

พระธรรม        2พงษ์กษัตริย์ 25:1-30

อ้างอิง               3พศด.36:15-21;ยรม.52:3-30;34:1-5;21:10;4:2-5,16;3:15-17;อสค.12:13;17:15;24:2;33:21;   1พกษ.7:45;9:8,7:15-22;23-26

บทนำ           ทำไมเราจึงต้องทำให้ตัวเองเจ็บปวด และพินาศเพราะความบาป ทำไมไม่สำนึกกลับตัวกลับใจ หันจากบาป อันเกิดจาก “ทิฐิ” หรือ “อัตตา” ของตัวเราเอง !   อย่าให้เราต้องพินาศหรือทำให้ตัวเองพินาศอย่างไม่สมควรเลย!

บทเรียน

25:1 “และ​อยู่​มา​เมื่อ​วัน​ที่ 10 เดือน 10 ปี​ที่ 9 แห่ง​รัชกาล​ของ​เศเดคียาห์ เนบูคัดเนสซาร์​พระราชา​แห่ง​บาบิโลน​ได้​ทรง​ยก​ทัพ​ทั้งสิ้น​ของ​ พระองค์​มา​โจม​ตี​กรุง​เยรูซาเล็ม และ​ล้อม​กรุง​นั้น​ไว้ และ​เขา​ทั้งหลาย​ได้​สร้าง​เครื่อง​ล้อม​ไว้​รอบ”

       (And in the ninth year of his reign, in the tenth month, on the tenth day of the month, Nebuchadnezzar  king of Babylon came with all his army against Jerusalem and laid siege to it. And they built  siegeworks all around it. )

25:2 “กรุง​นั้น​จึง​ถูก​ล้อม​อยู่​ถึง​ปี​ที่ 11 แห่ง​รัชกาล​กษัตริย์​เศเดคียาห์”

       (So the city was besieged till the eleventh year of King Zedekiah. )

25:3 “เมื่อ​ถึง​วัน​ที่ 9 ของ​เดือน​ที่ 4 เกิด​การ​กันดาร​อาหาร​รุน​แรง​ใน​กรุง​นั้น ไม่มี​อาหาร​ให้​แก่​ประชาชน​ของ​แผ่นดิน”

       (On the ninth day of the fourth month the famine was so severe in the city that there was no food  for the people of the land. )

25:4 “แล้ว​กรุง​นั้น​ก็​แตก ทหาร​ทั้งสิ้น​หนี​ออก​ไป​ใน​เวลา​กลางคืน​ตาม​ทาง​ประตู​เมือง ระหว่าง​กำแพง​ทั้งสอง​ซึ่ง​อยู่​ริม​พระราช​อุทยาน (ทั้งๆ ที่​คน​เคลเดีย​อยู่​รอบ​เมือง) และ​พระราชา​ก็​เสด็จ​ตาม​ทาง​ไป​ลุ่ม​แม่น้ำ​จอร์แดน”

(Then a breach was made in the city, and all the men of war fled by night by the way of the gate between the two walls, by the king’s garden, and the Chaldeans were around the city. And they went in the direction of the Arabah. )

25:5 “แต่​กองทัพ​ของ​คน​เคลเดีย​ได้​ไล่​ตาม​พระราชา และ​มา​ทัน​พระองค์​ใน​ที่ราบ​เมือง​เยรีโค และ​กองทัพ​ทั้งสิ้น​ของ​พระองค์​ก็​กระจัด​กระจาย​ไป​จาก​พระองค์”

       (But the army of the Chaldeans pursued the king and overtook him in the plains of Jericho, and   all his army was scattered from him. )

25:6 “แล้ว​พวกเขา​จึง​จับ​พระราชา แล้ว​นำ​ขึ้น​มา​ยัง​พระราชา​แห่ง​บาบิโลน​ที่​เมือง​ริบลาห์ และ​กล่าว​พิพากษา​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์”

        (Then they captured the king and brought him up to the king of Babylon at Riblah, and they passed sentence on him. )

25:7 “พวกเขา​ได้​ประหาร​ชีวิต​บรรดา​พระราชโอรส​ของ​เศเดคียาห์​ต่อ​พระพักตร์ของ​พระองค์ แล้ว​ควัก​พระเนตร​ของ​เศเดคียาห์​ออก และ​ตี​ตรวน​พระองค์ แล้ว​พา​พระองค์​ไป​ยัง​บาบิโลน”

         (They slaughtered the sons of Zedekiah before his eyes, and put out the eyes of Zedekiah and bound  him in chains and took him to Babylon.)

25:8 “เมื่อ​วัน​ที่ 7 เดือน​ที่ 5 ซึ่ง​เป็น​ปี​ที่ 19 ของ​รัชกาล​กษัตริย์​เนบูคัดเนสซาร์ พระราชา​แห่ง​บาบิโลน เนบูซาระดาน​ผู้​บัญชา​การ​ทหาร​รักษา​พระองค์ ข้า​ราชการ​คน​หนึ่ง​ของ​พระราชา​แห่ง​บาบิโลน​ได้​มา​ยัง​กรุง​เยรูซาเล็ม”

       (In the fifth month, on the seventh day of the month that was the nineteenth year of King ebuchadnezzar,  king of Babylon—Nebuzaradan, the captain of the bodyguard, a servant of the king of Babylon, came to  Jerusalem. )

25:9 “ท่าน​ได้​เผา​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์ พระราชวัง และ​บ้านเรือน​ทั้งหมด​ของ​เยรูซาเล็ม ท่าน​เผา​บ้าน​ใหญ่​ทุก​หลัง​ลง​หมด​ด้วย​ไฟ”

        (And he burned the house of the Lord and the king’s house and all the houses of Jerusalem; every  great house he burned down. )

25:10 “และ​ทหาร​คน​เคลเดีย​ทั้งหมด​ผู้​อยู่​กับ​ผู้​บัญชา​การ​ทหาร​รักษา​พระองค์ ได้​ทลาย​กำแพง​รอบ​เยรูซาเล็ม​ลง”

         (And all the army of the Chaldeans, who were with the captain of the guard, broke down the walls  around Jerusalem. )

25:11 “และ​ประชาชน​ที่​เหลือ​อยู่​ซึ่ง​อยู่​ใน​เมือง และ​คน​หลบ​หนี​ซึ่ง​หลบ​หนี​ไป​หา​พระราชา​แห่ง​บาบิโลน พร้อม​กับ​มวลชน​ที่​เหลือ​อยู่​นั้น เนบูซาระดาน​ผู้​บัญชา​การ​ทหาร​รักษา​พระองค์​ได้​กวาด​ต้อน​ไป​ เป็น​เชลย”

       (And the rest of the people who were left in the city and the deserters who had deserted to the king of  Babylon, together with the rest of the multitude, Nebuzaradan the captain of the guard carried into exile. )

25:12 “แต่​ผู้​บัญชา​การ​ทหาร​รักษา​พระองค์​ได้​ละ​คนจน​ที่สุด​แห่ง​แผ่นดิน​ไว้​ให้​เป็น​คน​ทำ​สวนองุ่น​และ​เป็น​คน​ทำไร่​ไถนา”

         (But the captain of the guard left some of the poorest of the land to be vinedressers and plowmen.)

25:13 “และ​เสา​ทอง​สัมฤทธิ์ ซึ่ง​อยู่​ใน​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์ และ​แท่น​กับ​อ่าง​สาคร​ทอง​สัมฤทธิ์ ซึ่ง​อยู่​ใน​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์​นั้น คน​เคลเดีย​ได้​ทุบ​เป็น​ชิ้นๆ และ​ขน​เอา​ทอง​สัมฤทธิ์​ไป​ยัง​บาบิโลน”

     (And the pillars of bronze that were in the house of the Lord, and the stands and the bronze sea that  were in the house of the Lord, the Chaldeans broke in pieces and carried the bronze to Babylon. )

25:14 “พวกเขา​ขน​หม้อ พลั่ว และ​ตะไกร​ตัด​ไส้​ตะเกียง และ​ชาม​เครื่อง​หอม และ​เครื่อง​ใช้​ทอง​สัมฤทธิ์​ทั้งหมด​ซึ่ง​ใช้​ใน​งาน​ของ​พระวิหาร​เอา​ไป​เสีย”

        (And they took away the pots and the shovels and the snuffers and the dishes for incense and all the  vessels of bronze used in the temple service, )

25:15 “ทั้ง​กระถางไฟ​ด้วย กับ​ชาม​อ่าง สิ่งใด​ที่​ทำ​ด้วย​ทองคำ​หรือ​เงิน ผู้​บัญชา​การ​ทหาร​รักษา​พระองค์​ก็​ขน​เอา​ไป”

         (the fire pans also and the bowls. What was of gold the captain of the guard took away as gold, and  what was of silver, as silver. )

 25:16 “ส่วน​เสาใหญ่​สอง​ต้น อ่าง​สาคร​หนึ่ง​ใบ และ​แท่น​ซึ่ง​ซาโลมอน​ทรง​สร้าง​สำหรับ​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์​นั้นทอง​สัมฤทธิ์​ของ​ภาชนะ​เหล่านี้​ก็​หนัก​เกิน​กว่า​ที่​จะ​ชั่ง​ได้”

       (As for the two pillars, the one sea, and the stands that Solomon had made for the house of the Lord,  the bronze of all these vessels was beyond weight. )

25:17 “เสาใหญ่​ต้นหนึ่ง​สูง​ประมาณ 8 เมตร และ​มี​บัวคว่ำ​ทอง​สัมฤทธิ์​บน​เสา บัวคว่ำ​นั้น​สูง​ประมาณ 1 เมตร มี​ตาข่าย​กับ​ ลูก​ทับทิม​ที่​ล้วน​เป็น​ทอง​สัมฤทธิ์​อยู่​บน​บัวคว่ำ​โดย​รอบ และ​เสาใหญ่​ต้น​ที่​สอง​พร้อม​ตาข่าย​ก็​เหมือน​กัน”

        (The height of the one pillar was eighteen cubits, and on it was a capital of bronze. The height of the capital was three cubits. A latticework and pomegranates, all of bronze, were all around the capital.   And the second pillar had the same, with the latticework.)

25:18 “และ​ผู้​บัญชา​การ​ทหาร​รักษา​พระองค์​ก็​จับ​เสไรอาห์​มหาปุโรหิต และ​เศฟันยาห์​ปุโรหิต​รอง กับ​ผู้​เฝ้า​ธรณี​ประตู 3 คน​ไป​ด้วย”

       (And the captain of the guard took Seraiah the chief priest and Zephaniah the second priest and the three keepers of the threshold; )

  25:19 “และ​จาก​เมือง​นั้น​ท่าน​ได้​จับ​ข้า​ราช​สำนัก ซึ่ง​เป็น​ผู้​บัญชา​การ​กองทัพ​กับ​ที่​ปรึกษา​ของ​พระราชา อีก 5 คน​ที่​พบ​ใน​เมือง​นั้น และ​อาลักษณ์​ซึ่ง​เป็น​ผู้​บัญชา​การ​กองทัพ​ผู้​เกณฑ์​ประชาชน​ของ​ แผ่นดิน และ​อีก 60 คน​จาก​ประชาชน​ของ​ แผ่นดิน​ซึ่ง​พบ​ใน​เมือง”

      (and from the city he took an officer who had been in command of the men of war, and five men of  the king’s council who were found in the city; and the secretary of the commander of the army, who  mustered the people of the land; and sixty men of the people of the land, who were found in the city.

25:20 “และ​เนบูซาระดาน​ผู้​บัญชา​การ​ทหาร​รักษา​พระองค์​ได้​จับ​คน​เหล่านี้​พา​มา​เฝ้า​พระราชา​แห่ง​บาบิโลน​ที่​ริบลาห์

         (And Nebuzaradan the captain of the guard took them and brought them to the king of Babylon at  Riblah.)

25:21 “และ​พระราชา​แห่ง​บาบิโลน​ได้​ทรง​ฟัน​เขา และ​ประหาร​ชีวิต​เขา​ทั้งหลาย​เสีย​ที่​ริบลาห์​ใน​แผ่นดิน​ฮามัท ยูดาห์​จึง​ถูก​กวาด​ไป​เป็น​เชลย​จาก​แผ่นดิน​ของ​ตน”

        (And the king of Babylon struck them down and put them to death at Riblah in the land of Hamath.    So Judah was taken into exile out of its land.)

25:22 “พระองค์​ทรง​ตั้ง​เกดาลิยาห์​บุตร​อาหิคัม บุตร​ชาฟาน​ให้​เป็น​เจ้าเมือง ปกครอง​ประชาชน​ผู้​เหลือ​อยู่​ใน​แผ่นดิน​ยูดาห์ผู้​ซึ่ง​เนบูคัดเนสซาร์ พระราชา​แห่ง​บาบิโลน​ได้​ทรง​เหลือ​ไว้”

        (And over the people who remained in the land of Judah, whom Nebuchadnezzar king of Babylon  had left, he appointed Gedaliah the son of Ahikam, son of Shaphan, governor. )

25:23 “เมื่อ​บรรดา​ผู้​บังคับ​บัญชา​กองทัพ​ทั้ง​ตัว​เขา​ทั้งหลาย และ​คน​ของ​เขา​ได้​ยิน​ว่า พระราชา​แห่ง​บาบิโลน​ทรง​แต่งตั้ง​เกดาลิยาห์​ให้​เป็น​เจ้าเมือง พวกเขา​มา​หา​เกดาลิยาห์​ที่​มิสปาห์ คน​เหล่า​นี้​คือ​อิชมาเอล​บุตร​เนธานิยาห์ และ         ​โยฮานัน​บุตร​คาเรอาห์ และ​เสไรอาห์​บุตร​ทันหุเมท​ชาว​เนโทฟาห์ และ​ยาอาซันยาห์​บุตร​คน​ตระกูล​มาอาคาห์ ทั้ง​ตัว​พวกเขา​และ​คน​ของ​เขา

       (Now when all the captains and their men heard that the king of Babylon had appointed Gedaliah  governor, they came with their men to Gedaliah at Mizpah, namely, Ishmael the son of Nethaniah, and  Johanan the son of Kareah, and Seraiah the son of Tanhumeth the Netophathite, and Jaazaniah the son of the Maacathite. )

25:24 “และ​เกดาลิยาห์​ก็​ทำ​สัตย์​สาบาน​แก่​พวกเขา​และ​คน​ของ​เขา​ว่า “อย่า​กลัว​ข้า​ราชการ​เคลเดีย​เลย จง​อาศัย​ใน​แผ่นดิน​ และ​ปรนนิบัติ​พระราชา​แห่ง​บาบิโลน แล้ว​ท่าน​ก็​จะ​อยู่​เย็น​เป็น​สุข

        (And Gedaliah swore to them and their men, saying, “Do not be afraid because of the Chaldean  officials. Live in the land and serve the king of Babylon, and it shall be well with you.”)

25:25 “แต่​ใน​เดือน​ที่ 7 อิชมาเอล​บุตร​เนธานิยาห์ บุตร​เอลีชามา ผู้​เป็น​เชื้อ​พระวงศ์ ได้​เข้า​มา​พร้อม​กับ​ชาย 10 คน ได้​โจมตี​และ​ฆ่า​เกดาลิยาห์​และ​คน​ยูดาห์​กับ​คน​เคลเดีย​ผู้​อยู่ ​กับ​ท่าน​ที่​มิสปาห์​เสีย”

        (But in the seventh month, Ishmael the son of Nethaniah, son of Elishama, of the royal family, came   with ten men and struck down Gedaliah and put him to death along with the Jews and the Chaldeans   who were with him at Mizpah.)

25:26 “แล้ว​ประชาชน​ทั้งสิ้น ทั้ง​ผู้​น้อย และ​ผู้​ใหญ่ และ​ผู้​บังคับ​บัญชา​พลรบ​ได้​ลุกขึ้น และ​ไป​ยัง​อียิปต์เพราะ​เขา​กลัว​คน​เคลเดีย”

          (Then all the people, both small and great, and the captains of the forces arose and went to Egypt,   for they were afraid of the Chaldeans.)

25:27 “และ​อยู่​มา​ใน​ปี​ที่ 37 ที่​เยโฮยาคีน​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์​ถูก​เนรเทศ ใน​เดือน​ที่ 12 เมื่อ​วัน​ที่ 27 ของ​เดือน​นั้นใน​ปี​ที่ ​เอวิลเมโรดัก​พระราชา​แห่ง​บาบิโลน​ทรง​ขึ้นเป็น​กษัตริย์ พระองค์​ทรง​ให้​เยโฮยาคีน​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์​พ้น​จาก​เรือนจำ”

         ( And in the thirty-seventh year of the exile of Jehoiachin king of Judah, in the twelfth month, on the   twenty-seventh day of the month, Evil-merodach king of Babylon, in the year that he began to reign,   graciously freed Jehoiachin king of Judah from prison. )

25:28 “พระองค์​ตรัส​อย่าง​เมตตา​แก่​ท่าน และ​ให้​ที่​นั่ง​ที่​มี​เกียรติ​กว่า​บรรดา​ที่นั่ง​ของ​บรรดา​กษัตริย์ ​ที่​อยู่​ใน​กรุง​บาบิโลน​กับ​พระองค์”

         (And he spoke kindly to him and gave him a seat above the seats of the kings who were with him in  Babylon. )

25:29 “เยโฮยาคีน​จึง​ได้​ถอด​เครื่อง​แต่งกาย​ของ​นักโทษ​ออก และ​ได้​รับประทาน​ที่​โต๊ะเสวย​ของ​พระราชา​เป็น​ประจำทุกวัน​ตลอด​ชีวิต”

          (So Jehoiachin put off his prison garments. And every day of his life he dined regularly at the king’s table,)

25:30 “ส่วน​ค่า​ใช้จ่าย​นั้น​ก็​ได้​รับ​พระราชทาน​จาก​กษัตริย์ ตาม​ความ​ต้องการ​ใน​แต่​ละ​วัน​ตลอด​ชีวิต​ของ​ท่าน”

           (and for his allowance, a regular allowance was given him by the king, according to his daily needs,   as long as he lived.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

 25:1     “วันที่ 10 เดือน 10 ปีที่ 9” (in the ninth year of his reign, in the tenth month, on the tenth day of the month) = วันที่ 15 ม.ค. ปี 588 ก่อน ค.ศ. (ดู ยรม.39:1;52:4;อสค.24:1-2)

“เนบูคัดเนสซาร์…ยกทัพทั้งสิ้นของพระองค์มาโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม” (Nebuchadnezzar king of Babylon came with all his army against Jerusalem ) = เนบูคัดเนสซาร์ได้กำราบเมืองทั้งหมดในยูดาห์แล้ว ยกเว้น ลาคีช และอาเชคาห์ (ยรม.34:7) (ได้มีการขุดค้นพบเศษหม้อแตกจำนวนหนึ่งจารึกภาษาฮีบรูที่ลาคีชในปี 1935 และ 1938 บรรยายถึงสภาพความเป็นอยู่ในลาคีชและอาเชคาห์ ระหว่างที่ถูกบาบิโลนล้อมเมือง

25:2    “ปีที่ 11… วันที่ 9 ของเดือนที่4” (the eleventh year …on the ninth day of the fourth month) = วันที่ 18 ก.ค.ปี 586 ก.ค.ศ. (ยรม.39:2;52:5-7) มีผู้เชี่ยวชาญบางคนใช้เกณฑ์การนับปีแตกต่างออกไปและระบุว่า เยรูซาเล็มล่มสลายในฤดูร้อนปี 587

25:3     “เกิดกันดารอาหารรุนแรง” (the famine was so severe) –ยรม.38:2-9

25:6     “พระราชาแห่งบาบิโลนที่เมืองริบลาห์” (the king of Babylon at Riblah) -23:33;ยรม.39:5;52:9

25:7    “ประหารชีวิตบรรดาพระราชโอรสของเศเดคียาห์” (They slaughtered the sons of Zedekiah)

–ยรม.32:4-5;34:2-3;38:18;39:6-7;52:10-11;อสค.12:13

= ได้พยากรณ์ไว้ว่า เศเดคียาห์ จะถูกนำตัวไปยังบาบิโลน แต่จะไม่ได้เห็นเมืองนั้น เศเดคียาห์จะรอดชีวิต และป้องกันความพินาศของเยรูซาเล็มได้ หากเขาเชื่อฟังเยเรมีย์ (ยรม.38:14-28)

25:8     “วันที่ 7 เดือนที่ 5 ซึ่งเป็นปีที่ 19” (In the fifth month, on the seventh day of the month that was the nineteenth)= วันที่ 14 ส.ค. ปี 586 ก.ค.ศ. (ยรม.52:12)

25:9     “ได้เผาพระนิเวศของพระยาห์เวห์” (he burned the house of the Lord) 2พศด.36:19;ยรม.39:8;52:13

25:13   “เสาทองสัมฤทธิ์” (the pillars of bronze)-1พกษ.7:15-22

“แท่น” (            the stands) = แท่นเคลื่อนที่ –1พกษ.7:27-39

“อ่างสาครทองสัมฤทธิ์” (the bronze sea) = บางทีเรียกว่า “ขันสาคร” (1พกษ.7:23-26)

25:14  “เครื่องใช้ทองสัมฤทธิ์ทั้งหมด ซึ่งใช้ในงานของพระวิหารเอาไปเสีย” (all the vessels of bronze used in the temple service) –1พกษ.7:40,45

25:17   “บัวคว่ำนั้นสูงประมาณ 1 เมตร” (The height of the capital was three cubits.) –ใน 1พกษ.7:16; ยรม.52:22 –ระบุว่า หัวเสาสูง 2.3 เมตร (5 ศอก)

25:18   “เสไรอาห์มหาปุโรหิต” (Seraiah the chief priest   ) = เป็นหลานของฮิลคียาห์ (22:4; ดู.22:8;1พศด.6:13-14) บุตรชายของเขาคือ เยโฮซาดัก ถูกนำตัวไปเป็นเชลยที่บาบิโลน เอสราเป็นลูกหลานคนหนึ่งของเยโฮซาดัก (อสร.7:1)

25:20   “นำคนเหล่านี้พามาเฝ้าพระราชาแห่งบาบิโลนที่ริบลาห์” (took them and brought them to the king of Babylon at Riblah.) –ข.6

25:21   “ยูดาห์จึงถูกกวาดไปเป็นเชลยจากแผ่นดินของตน” (Judah was taken into exile out of its land)

= การกวาดต้อนชนยูดาห์ไปจากคานาอันเป็นไปตามคำพิพากษาที่มาถึงในรัชกาลมนัสเสห์ (23:27) ถือเป็นคำสาปขั้นรุนแรงที่สุดในพันธสัญญา (ลนต.26:33;ฉธบ.28:36;ยรม.25:8-11)

25:22   “เกดาลิยาห์” (Gedaliah  ) -22:12, เขามีแนวคิดไม่ต่อต้านบาบิโลน (ข.24) เช่นเดียวกับเยเรมีย์ ทำให้บาบิโลนไว้ใจแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้ว่าการยูดาห์ (ยรม.41:10)

25:23   “มิสปาห์” (Mizpah) = เคยเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางการเมืองในช่วงก่อนที่จะมีระบอบกษัตริย์     (1ซมอ.7:5) เยเรมีย์ไปพบกับเกดาสิยาห์ที่นั่น (ยรม.40:1-6)

“อิชมาเอลบุตรเนธานิยาห์” (Ishmael the son of Nethaniah) = ดูลำดับวงศ์ที่ครบถ้วนอยู่ในข้อ 25

เอลีชามา ปู่ของอิชมาเอลเป็นราชเลขาของเยโฮยาคิม (ยรม.36:12)

“ยาอาซันยาห์” (Jaazaniah) –ในปี 1932 มีการขุดพบตราประทับหินที่เทลเอนนาสเบห์ (มิสปาห์) ที่ชื่อ   ยาอาซันยาห์ พร้อมคำจารึกว่า “ของยาอาซันยาห์ผู้รับใช้ของกษัตริย์”

25:24   “จงอาศัยอยู่ในแผ่นดินและปรนนิบัติพระราชาแห่งบาบิโลน” (Live in the land and serve the king of Babylon) = เกดาลิยาห์ สนับสนุนให้ยอมจำนนต่อบาบิโลนเพราะเป็นการพิพากษาจากพระเจ้า เขาสนับสนุนให้ประชาชนดำเนินชีวิตและทำกิจกรรมตามปกติ (ยรม.27)

-เยเรมีย์ก็สนับสนุนแนวคิดเดียวกันนี้กับเชลยที่ถูกกวาดต้อนไปยังบาบิโลนในปี 597 ก.ค.ศ. (ยรม.29:4-7)

25:25   “ในเดือนที่ 7” (in the seventh month) =เดือนตุลาคม ปี 586 ก.ค.ศ.

“ฆ่าเกดาสิยาห์” (put him to death ) –ยรม.40:13-41:15

ดูเหมือนว่าอิชมาเอลก็อยากขึ้นครองราชย์และไม่พอใจที่เกดาสิยาห์ยอมจำนนต่อบาบิโลน และอิชมาเอลก็อาจถูกพวกอัมโมนหลอกใช้ เพราะชาวอัมโมนเองก็ไม่พอใจการปกครองของบาบิโลนเช่นกัน                    (ยรม.40:14;41:10,15)

25:26  “ไปยังอียิปต์” (went to Egypt) = หนี้ไปที่อียิปต์ ซึ่งมีฟาโรห์โฮฟรา ปกครองอยู่ (24:20)

25:27   “ในปีที่ 37… วันที่ 27 ของเดือนนี้” (in the thirty-seventh year… on the twenty-seventh day of the month) = วันที่ 22 มีนาคม ปี 561 ก.ค.ศ.

“ปีที่เอวิลเมโรดัก พระราชาแห่งบาบิโลนทรงขึ้นเป็นกษัตริย์” (  Evil-merodach king of Babylon, in the year that he began to reign,) = ปี 561 ก.ค.ศ. (บางคนระบุว่า เขาได้สืบทอดบัลลังก์ในเดือนตุลาคม 562 ก.ค.ศ. (24:1) ชื่อของเขามีความหมายว่า “คนของ(เทพเจ้า)มาร์คุค”

“ทรงให้เยโฮยาคีน…พ้นจากเรือนจำ”(graciously freed Jehoiachin king of Judah from prison) = ในบันทึกของบาบิโลน ได้เอ่ยถึงการจ่ายเสบียงเป็นน้ำมันและข้าวบาร์เลย์ให้แก่นักโทษที่ถูกคุมขังในบาบิโลน และกล่าวถึงเยโฮยาคีน และบุตรชายทั้ง 5 คน (24:15)

25:28   “ตรัสอย่างเมตตาแก่ท่านและให้ที่นั่งที่มีเกียรติกว่า” (he spoke kindly to him and gave him a seat above the seats of the kings) = การพิพากษาชนชาวยูดาห์ให้ตกเป็นเชลยนี้ไม่ได้ทำลายวงศ์วานของ

ดาวิดทั้งหมด พระสัญญาที่พระเจ้าให้ไว้กับวงศ์วานดาวิดยังคงดำรงอยู่ต่อไป (2ซมอ.7:14-16)

คำถามนอภิปราย

  1. คุณเคยเผชิญกับศึกหนักที่สุดในชีวิตเรื่องอะไร? แล้วผลเป็นอย่างไร?
  2. ในชีวิตของคุณ คุณเคยหนีอะไรหรือหนีใครบ้าง? เพราะอะไร? และในที่สุดเป็นอย่างไร?
  3. คุณเคยเห็นภัยหรือความหายนะใดที่สยดสยองหรือสะเทือนใจคุณมากที่สุดบ้าง? เพราะอะไร? และสอนอะไรคุณบ้าง?
  4. ถ้าคุณต้องถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยและต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนเหมือนชาวยูดาห์ คุณจะรู้สึกและมีปฏิกริยาตอบสนองอย่างไร? ทำไม?
  5. การที่พระนิเวศของพระเจ้าถูกทำลาย และข้าวของถูกยึดเอาไป ได้สอนใจอะไรคุณบ้าง? ทำไมพระเจ้าไม่ช่วยปกป้องวิหารของพระองค์
  6. คุณเคยมุ่งร้ายคิดทำลายล้างผู้ใดหรือไม่? ทำไม? หรือเคยมีคนมุ่งร้ายคิดทำลายล้างคุณบ้างหรือไม่? อย่างไร? และเพราะอะไร?
  7. คุณเคยได้รับการปลดปล่อย หรือความเมตตาจากผู้ใดบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? เมื่อไร? และอย่างไร?
  8. คุณเคยมีประสบการณ์กับ “การมีความหวัง” ในสภาวะที่สิ้นหวังบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร? และอย่างไร?

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2 พงศ์กษัตริย์ บทเรียนที่ 24

ก่อนสิ้นแผ่นดิน

พระธรรม        2พงศ์กษัตริย์ 24:1-20

อ้างอิง           2พกษ.24:8-10;25:11-14;23:31;21;12,16;20:17-18;13:23;18:7,21,25;5:2

บทนำ           คุณเคยตระหนักหรือไม่ว่า การตัดสินใจและการกระทำของคุณ อาจส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างคุณ อย่างมากมายมหาศาลเกินกว่าที่คุณคาดคิดได้  ดังนั้น จงระมัดระวังในการเลือกและการประพฤติปฏิบัติตัวของคุณให้ดี ก่อนที่ความเสียหายและความเจ็บปวดจะมาเยือน!

บทเรียน

24:1 “ใน​รัชกาล​ของ​เยโฮยาคิม เนบูคัดเนสซาร์ พระราชา​แห่ง​บาบิโลน​ยก​ขึ้น​มา และ​เยโฮยาคิม​เป็น​ข้า​รับใช้​ของ​พระองค์ 3 ปี แล้ว​ก็​กลับ​กบฏ​ต่อ​พระองค์”

       (In his days, Nebuchadnezzar king of Babylon came up, and Jehoiakim became his servant for three years. Then he turned and rebelled against him.)

24:2 “และ​พระยาห์เวห์​ทรง​ใช้​คน​เคลเดีย คน​ซีเรีย คน​โมอับ​และ​คน​อัมโมน​มา​ต่อสู้​กับ​เยโฮยาคิม และ​ทรง​ใช้​เขา​ทั้ง หลาย​ไป​ต่อสู้​ยูดาห์​เพื่อ​จะ​ทำลาย​เสีย ตาม​พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์​ซึ่ง​ตรัส​ทาง​บรรดา​ผู้​เผย​พระวจนะ​ผู้ ​รับ‌ใช้​ของ​พระองค์”

       (And the Lord sent against him bands of the Chaldeans and bands of the Syrians and bands of  the Moabites and bands of the Ammonites, and sent them against Judah to destroy it, according    to the word of the Lord that he spoke by his servants the prophets. )

24:3 “แท้จริง​เหตุการณ์​นี้​เกิด​ขึ้น​กับ​ยูดาห์ ตาม​พระบัญชา​ของ​พระยาห์เวห์ เพื่อ​จะ​เอา​พวกเขา​ออก​ไป​ให้​พ้น​พระพักตร์​ของ​พระองค์ เพราะ​บรรดา​บาป​ของ​มนัสเสห์ ตาม​ทุก​อย่าง​ซึ่ง​ท่าน​ได้​ทำ”

                 (Surely this came upon Judah at the command of the Lord, to remove them out of his sight, for   the sins of Manasseh, according to all that he had done, )

24:4 “และ​เพราะ​โลหิต​ที่​ไร้​ความ​ผิด​ซึ่ง​ท่าน​ได้​ทำ​ให้​ไหล​ออก​นั้น​ด้วย เพราะ​ท่าน​ได้​ทำ​ให้​กรุง​เยรูซาเล็ม​เต็ม​ไป​ด้วย​โลหิต​ที่​ไร้​ ความ​ผิด และ​พระยาห์เวห์​ไม่​ทรง​อภัย”

(and also for the innocent blood that he had shed. For he filled Jerusalem with innocent blood, and the Lord would not pardon. )

24:5 “ส่วน​พระราชกิจ​อื่นๆ ของ​เยโฮยาคิม และ​ทุก​สิ่ง​ที่​ทรง​กระทำ ได้​บันทึก​ไว้​ใน​หนังสือ​พงศาวดาร​กษัตริย์​แห่ง​ยูดาห์​ไม่​ใช่​ หรือ?”

      (Now the rest of the deeds of Jehoiakim and all that he did, are they not written in the Book of  the Chronicles of the Kings of Judah? )

24:6 “เยโฮยาคิม​จึง​ทรง​ล่วงหลับ​ไป​อยู่​กับ​บรรพบุรุษ และ​เยโฮยาคีน​พระราชโอรส​ของ​พระองค์​ได้​ขึ้น​ครองราชย์​แทน”

                (So Jehoiakim slept with his fathers, and Jehoiachin his son reigned in his place. )

24:7 “และ​พระราชา​แห่ง​อียิปต์​ไม่ได้​ทรง​ยก​ออก​มา​จาก​แผ่นดิน​ของ​พระองค์​อีก เพราะ​พระราชา​แห่ง​บาบิโลน​ได้​ยึด​แดน​ทั้งสิ้น ซึ่ง​เป็น​ของ​พระราชา​แห่ง​อียิปต์​ตั้งแต่​ลำห้วย​ของ​อียิปต์​ถึง​แม่น้ำ​ยูเฟรติส”

       (And the king of Egypt did not come again out of his land, for the king of Babylon had taken all  that belonged to the king of Egypt from the Brook of Egypt to the river Euphrates. Jehoiachin        Reigns in Judah)

24:8 “เยโฮยาคีน​มี​พระชนมายุ 18 พรรษา​เมื่อ​ทรง​เป็น​กษัตริย์ และ​ทรง​ครองราชย์​ใน​กรุง​เยรูซาเล็ม 3 เดือน  พระมารดา​ของ​พระองค์​มี​พระนาม​ว่า​เนหุชทา บุตร​หญิง​ของ​เอลนาธัน​ชาว​เยรูซาเล็ม”

       (Jehoiachin was eighteen years old when he became king, and he reigned three months in  Jerusalem. His mother’s name was Nehushta the daughter of Elnathan of Jerusalem. )

24:9 “และ​พระองค์​ทรง​ทำ​สิ่ง​ชั่วร้าย​ใน​สายพระเนตร​ของ​พระยาห์เวห์ ตาม​ทุก​อย่าง​ที่​บรรพบุรุษ​ของ​พระองค์​ทรง​กระทำ”

       (And he did what was evil in the sight of the Lord, according to all that his father had done.   Jerusalem Captured)

24:10 “ใน​เวลา​นั้น​ข้า​ราชการ​ของ​เนบูคัดเนสซาร์ พระราชา​แห่ง​บาบิโลน ยก​ขึ้น​มา​ยัง​กรุง​เยรูซาเล็ม​ล้อม​กรุง​ไว้”

(At that time the servants of Nebuchadnezzar king of Babylon came up to Jerusalem, and the city was besieged.)

24:11 “แล้ว​เนบูคัดเนสซาร์​พระราชา​แห่ง​บาบิโลน​เสด็จ​มา​ที่​เมือง​นั้น ขณะ​ที่​พวก​ข้า​ราชการ​ของ​พระองค์​ยัง​ล้อม​ เมือง​อยู่”

        (And Nebuchadnezzar king of Babylon came to the city while his servants were besieging it, )

24:12 “และ​เยโฮยาคีน​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์ ทรง​มอบ​พระองค์​แก่​พระราชา​แห่ง​บาบิโลน ทั้ง​ตัว​พระองค์​เอง​พร้อม​กับ​พระราชมารดา ข้า​ราชการ แม่ทัพ และ​ข้า​ราชสำนัก​ของ​พระองค์ แล้ว​พระราชา​แห่ง​บาบิโลน​จับ​พระองค์​เป็น​เชลย​ใน​ปี​ที่ 8 แห่ง​รัชกาล​ของ​พระองค์”

(and Jehoiachin the king of Judah gave himself up to the king of Babylon, himself and his mother and his servants and his officials and his palace officials. The king of Babylon took him prisoner in the eighth year of his reign )

24:13 “และ​พระราชา​แห่ง​บาบิโลน​ได้​ทรง​ขน​เอา​ทรัพย์สิน​ใน​พระนิเวศ​ของ​ พระยาห์เวห์​และ​ทรัพย์สิน​ใน​พระราชวัง  และ​ทรง​ตัดทอน​ภาชนะ​ทองคำ ซึ่ง​ซาโลมอน​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​ทรง​สร้าง​ไว้​ใน​พระวิหาร​ของ​พระยาห์เวห์ ดังที่​พระยาห์เวห์​ตรัส​ไว้​ก่อน​แล้ว”

       (and carried off all the treasures of the house of the Lord and the treasures of the king’s house,  and cut in pieces all the vessels of gold in the temple of the Lord, which Solomon king of Israel  had made, as the Lord had foretold. )

24:14 “พระองค์ ​ทรง​กวาด​ต้อน​ชาว​เยรูซาเล็ม​ไป​ทั้งหมด คือ​เจ้านาย​ทั้งหมด นักรบ​กล้าหาญ​ทั้งหมด​ไป​เป็น​เชลย   10,000 คน รวม​ทั้ง​ช่าง​ฝีมือ​และ​ช่างเหล็ก​ทั้งหมด ไม่มี​ใคร​เหลือ​นอกจาก​ประชาชน​ของ​แผ่นดิน​ที่​ยาก​จน​ที่สุด”

       (He carried away all Jerusalem and all the officials and all the mighty men of valor, 10,000  captives, and all the craftsmen and the smiths. None remained, except the poorest people of        the land.)

24:15 “และ​พระองค์​ทรง​นำ​เยโฮยาคีน​ไป​ยัง​บาบิโลน ทั้ง​พระราชมารดา บรรดา​พระมเหสี ข้า​ราชสำนัก​ของ​พระองค์​ และ​บุคคล​ชั้น​หัวหน้า​ของ​แผ่นดิน พระองค์​จับ​เอา​ไป​เป็น​เชลย​จาก​กรุง​เยรูซาเล็ม​ถึง​บาบิโลน”

       (And he carried away Jehoiachin to Babylon. The king’s mother, the king’s wives, his officials,   and the chief men of the land he took into captivity from Jerusalem to Babylon. )

24:16 “และ​พระราชา​แห่ง​บาบิโลน​ทรง​นำ​เชลย​มา​ยัง​บาบิโลน​คือ ทหาร​ทั้งหมด 7,000 คน ช่าง​ฝีมือ​และ​ช่าง​เหล็ก  1,000 คน ทุก​คน​แข็งแรง และ​เหมาะ​สำหรับ​การ​รบ”

         (And the king of Babylon brought captive to Babylon all the men of valor, 7,000, and the  craftsmen and the metal workers, 1,000, all of them strong and fit for war. )

24:17 “และ​พระราชา​แห่ง​บาบิโลน​ตั้ง​มัทธานิยาห์​พระ​ปิตุลา​ของ​เยโฮยาคีน​เป็น​พระราชา​แทน​พระองค์ และ​เปลี่ยน​พระนาม​ให้​ว่า เศเดคียาห์”

                  (And the king of Babylon made Mattaniah, Jehoiachin’s uncle, king in his place, and changed  his name to Zedekiah.)

24:18 “เศเดคียาห์​มี​พระชนมายุ 21 พรรษา เมื่อ​ทรง​เป็น​กษัตริย์ และ​ทรง​ครองราชย์​ใน​กรุง​เยรูซาเล็ม 11 ปี พระมารดา​ของ​พระองค์​มี​พระนาม​ว่า ฮามุทาล​บุตร​หญิง​ของ​เยเรมีย์​ชาว​ลิบนาห์”

        (Zedekiah was twenty-one years old when he became king, and he reigned eleven years in  Jerusalem. His mother’s name was Hamutal the daughter of Jeremiah of Libnah.)

24:19 “พระองค์​ทรง​ทำ​สิ่ง​ชั่วร้าย​ใน​สายพระเนตร​ของ​พระยาห์เวห์ ตาม​ทุก​อย่าง​ที่​เยโฮยาคิม​ทรง​กระทำ”

         (And he did what was evil in the sight of the Lord, according to all that Jehoiakim had done. )

24:20 “เพราะ​พระพิโรธ​ของ​พระยาห์เวห์​ต่อ​เยรูซาเล็ม​และ​ยูดาห์ พระองค์​จึง​ทรง​เหวี่ยง​ทั้ง​สอง​ไป​ให้​พ้น​พระพักตร์​ของ​พระองค์ เศเดคียาห์​ได้​กบฏ​ต่อ​พระราชา​แห่ง​บาบิโลน”

         (For because of the anger of the Lord it came to the point in Jerusalem and Judah that he cast them out from his presence.And Zedekiah rebelled against the king of Babylon.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

24:1     “เนบูคัดเนสซาร์” (Nebuchadnezzar) = ชื่อนี้มีความหมายว่า “เทพเจ้าเนบู ปกป้องบุตรชาย/เขตแดนของข้าพเจ้า”

เขา = บุตรของเนโบโปลัสซาร์ (23:29) และเป็นกษัตริย์ที่ทรงอำนาจมากที่สุดของอาณาจักรบาบิโลนใหม่ (612-539 ก.ค.ศ.)

= ครองราชย์ปี 605 – 562 ก.ค.ศ. (ดนล.1-4)

“ยกขึ้นมา” (came up) = มารุกรานดินแดน –ในปี 605 ก.ค.ศ. เนบูคัดเนสซาร์ ซึ่งเป็นรัชทายาทและแม่ทัพของบาบิโลนได้มีชัยชนะต่อฟาโรห์เนโค และอียิปต์ในสงครามคารมิช และที่ฮามัท (23:29;ยรม.46:2)

ชัยชนะเหล่านี้มีผลในวงกว้างต่อโครงสร้างอำนาจของโลกในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก

-เนบูคัดเนสซาร์ยังพิชิต “ดินแดนฮัททิ” ซึ่งในบันทึกของบาบิโลนระบุไว้ว่า รวมถึง “เมืองยูดาห์” ด้วย และดาเนียลเป็น 1 ใน บรรดาเชลยที่ถูกกวาดต้อนด้วย (ดนล.1:1)

-เนบูคัดเนสซาร์ขึ้นครองราชย์หลังจากบิดาเสียชีวิต (อาจตั้งแต่วันที่ 6 กย. 605 ก.ค.ศ.)

“3 ปี” (three years) = 604-602 ก.ค.ศ.

-ในปี 604 ก.ค.ศ. เนบูคัดเนสซาร์กลับมาทางทิศตะวันตก และรับบรรณาการจากพระราชาทุกองค์ในดินแดน “ฮัททิ” ซึ่งเยโฮยาคิมคงเป็นหนึ่งในนั้น

“กลับกบฏต่อพระองค์” (turned and rebelled against him) = เปลี่ยนใจมาคิดกบฏ เนื่องในปี 601

ก.ค.ศ. เนบูคัดเนสซาร์ ยกทัพมาทางตะวันตกเพื่อรบกับอียิปต์ แต่ได้รับการต้านทัพอย่างแข็งแรงจากอียิปต์ สถานการณ์เช่นนี้อาจทำให้เยโฮยาคิมก่อกบฎ ทั้งๆ ที่เยเรมีย์ได้เตือนไว้ก่อนหน้าแล้วว่า อย่าทำ (ยรม.27:9-11)

24:2     “คนเคลเคีย คนซีเรีย คนโมอับ และคนอัมโมน” (the Chaldeans and bands of the Syrians and

bands of the Moabites and bands of the Ammonites  ) = กองกำลังของบาบิโลน ซึ่งอาจประจำอยู่ในซีเรีย พร้อมกองกำลังจากเมืองขึ้นอื่น ๆ ถูกส่งมากำราบยูดาห์ที่คิดกบฏ

24:3     “บาปของมนัสเสห์” ( the sins of Manasseh) -21:11-12;23:26-27;ยรม.15:3-4

24:4     “เพราะโลหิตที่ไร้ความผิด” (the innocent blood) = เลือดของผู้บริสุทธิ์ ,ดู 21:16

“พระยาห์เวห์ไม่ทรงอภัย” (the Lord would not pardon) = ไม่ทรงเต็มพระทัยที่จะอภัยให้ (22:17)

24:5     “หนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์” (the Book of the Chronicles of the Kings of Judah)

– 1พกษ.14:29

24:6     “ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ” (slept with his fathers) –1พกษ.1:21

เยโฮยาคิมเสียชีวิตไม่นานนักก่อนที่กรุงเยรูซาเล็มจะพ่ายแพ้ต่อการรุกรานของบาบิโลน (ข.8-12)

24:7     “พระราชาแห่งอียิปต์ไม่ได้ทรงยกออกมาจากแผ่นดินของพระองค์อีก” (the king of Egypt did not come again out of his land) = ฟาโรห์แห่งอียิปต์ไม่ได้กลับมาที่ยูดาห์อีกเลย หลังจากพ่ายแพ้ที่

คารเคมิช (ยรม.46:2) ในปี 605 ก.ค.ศ. และเป็นเหตุที่ทำให้เยโฮยาคิม ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากอียิปต์ในคราวที่เขากบฏต่อบาบิโลน

“ลำห้วยของอียิปต์” (the Brook of Egypt) –1พกษ.8:65

24:8     “3 เดือน” (three months) = ในพงศาวดารของบาบิโลน ระบุว่า เนบูคัดเนสซาร์ เข้ายึดกรุงเยรูซาเล็มในวันที่ 16 มีนาคม ปี 597 ก.ค.ศ.

-หากเป็นเช่นนั้น หมายความว่า เยโฮยาคีน เริ่มครองราชย์ในเดือนธันวาคมปี 598 ก.ค.ศ. เป็นเวลายาวนาน 3 เดือน 10 วัน (2พศด.36:9-10)

24:9     “ตามทุกอย่างที่บรรพบุรุษของพระองค์ทรงกระทำ” (according to all that his father had done)

-23:37;ยรม.22:20-30

24:12   “ปีที่ 8 “ (eighth year) = เดือนเมษายน ปี 597 ก.ค.ศ. (2พศด.36:10; ปท.ยรม.52:28 – ใช้หลักเกณฑ์การคิดวันที่อีกแบบหนึ่ง)

24:13   “ดังที่พระยาห์เวห์ตรัสไว้ก่อนแล้ว” (as the Lord had foretold) –20:13,17

24:14   “หนึ่งหมื่นคน” (10,000   captives) = ตัวเลขนี้อาจรวมนักรบจำนวน 7000 คน และช่างฝีมืออีกราว 1000 คน ที่ระบุไว้ในข้อ 16 (แต่ใน ยรม.52:28 –ระบุจำนวนเชลยไว้แตกต่างกัน)

24:15   “นำเยโฮยาคีนไปยังบาบิโลน” (carried away Jehoiachin to Babylon) = ในฐานะเชลย สำเร็จตามคำพยากรณ์ของเยเรมีย์ (ยรม.22:24-27;2พกษ.25:27-30)

24:17   “มัทธานิยาห์พระปิตุลาของเยโฮยาคีน” (Mattaniah, Jehoiachin’s uncle) –มัทธานิยาห์ เป็นบุตรของโยสิยาห์ (1พศด.3:15;ยรม.1:3) และเป็นพี่ชายของเยโฮยาคิมบิดาของเยโฮยาคีน

“เปลี่ยนพระนามให้ว่า ‘เศเดคียาห์’ “ (changed his name to Zedekiah.)

–ชื่อ “มัทธานิยาห์” หมายความว่า “ของขวัญจากพระยาห์เวห์” ส่วน “เศเดคียาห์” แปลว่า “ความชอบธรรมของพระยาห์เวห์”

= เนบูคัดเนสซาร์อาจต้องการสื่อว่า สิ่งที่เขาทำต่อเยรูซาเล็มและเยโฮยาคีน เป็นสิ่งชอบธรรมและเป็นการประกาศถึงการที่ยูดาห์ยอมจำนนต่อเนบูคัดเนสซาร์(หรือบาบิโลน) -23:34

24:18   “ 11 ปี” (eleven years) = ปี 597-586 ก.ค.ศ.

“เยเรมีย์” (Jeremiah ) -23:31

“ลิบนาห์” (Libnah) -8:22

24:19   “ทำสิ่งชั่วร้าย…ตามทุกอย่างที่เยโฮยาคิมทรงกระทำ” (he did what was evil … according to all that Jehoiakim        ) –23:27

-ในรัชกาลของเศเดคียาห์ การกราบไหว้รูปเคารพยังคงเพิ่มขึ้นในเยรูซาเล็ม (2พศด.36:14;อสค.8-11)

-เศเดคียาห์ เป็นผู้นำที่อ่อนไม่เข้มแข็งเด็ดขาด (ยรม.38:5,19) และไม่ยอมฟังพระวจนะของพระเจ้าที่ตรัสผ่านเยเรมีย์ (2พศด.36:12)

24:20   “เศเดคียาห์ได้กบฎต่อพระราชาแห่งบาบิโลน ” (Zedekiah rebelled against the king of Babylon)

= นักตีความพระคัมภีร์เชื่อมโยงการกบฎของเศเดคียาห์ เข้ากับการสืบทอดบัลลังก์ในอียิปต์ในปี 589 ก.ค.ศ. ของฟาโรห์ผู้ทะเยอทะยาน (ยรม.44:30)

-เดิมนั้นเศเดคียาห์ถวายบรรณาการให้กับบาบิโลน (ยรม.29:3) และเดินทางไปด้วยตัวเอง (ยรม.51:59)

-แต่ในที่สุดคงคล้อยตามคำชักชวนของพวกที่ต่อต้านบาบิโลนและสนับสนุนอิยิปต์ (ยรม.37:5;สดด.17:15-16) เขาจึงพยายามจะกู้อิสรภาพจากบาบิโลน โดยไม่ได้ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน ผลลัพธ์ก็คือ โศกนาฎกรรม

 คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยถูกใครรุกรานหรือเล่นงานอะไรในชีวิตบ้าง? เรื่องราวเป็นอย่างไร? เพราะอะไร? และผลลัพธ์เป็นเช่นไร?
  1. คุณเองเคยเป็นกบฏหรือต่อต้านผู้ใดหรือใครบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? แล้วลงเอยอย่างไร?
  2. คุณเคยถูกพระเจ้าตีสอนเพราะว่าคุณไม่ยอมฟังคำเตือนผ่านผู้รับใช้ของพระเจ้าหรือคำเตือนในพระคัมภีร์บ้างไหม? อย่างไร?
  3. คุณเชื่อหรือไม่ว่า บางครั้งพระเจ้าทรงใช้คนไม่เป็นคริสเตียนเพื่อตีสอนหรือลงวินัยพวกคริสเตียน คุณเคยเห็นหรือเคยมีประสบการณ์กับการตีสอนดังที่กล่าวถึงหรือไม่? อย่างไร?
  4. การที่คุณรู้ว่า การสำนึกผิดกลับใจของเรา ไม่ได้ทำให้โทษที่เกิดจากการกระทำบาปของเราที่จะมีต่อคนรุ่นต่อ ๆ ไปของเรานั้นหมดไป ได้เตือนสติอะไรคุณบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร?
  5. คุณเคยหวังพึ่งผู้ใดหรืออะไร แต่แล้วกลับกลายเป็นว่าพึ่งผิด และนำผลเสียหายหรือผลร้ายมาสู่คุณและคนที่อยู่กับคุณบ้างหรือไม่? อย่างไร? (แบ่งปัน)
  6. ในชีวิตของคุณเคยยอมจำนนต่อผู้ใด? เรื่องอะไร? ทำไม?
  7. คุณเคยเห็นผู้ปกครองที่ทำชั่วร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า จนส่งผลกระทบเสียหายอย่างหนักต่อตัวของเขาเอง ประชาชนและประเทศชาติบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร? และในสถานการณ์เช่นนั้นคุณทำอะไรบ้าง?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2 พงศ์กษัตริย์ บทเรียนที่ 23

การปฏิรูปของโยสิยาห์

พระธรรม        2พงศ์กษัตริย์ 23:1-38

อ้างอิง              2พศด.34:29-34;35:1-36:1

บทนำ          ไม่ว่าเราจะเจตนาดีอย่างไรในการกำจัดสิ่งเลว และปฏิรูปให้ดีขึ้น แต่ประวัติศาสตร์มักจะยืนยันให้เห็นสัจธรรมเสมอว่า เมื่อคนดีจากไปคนชั่วก็มักกลับเข้ามาแทนที่ และทำให้สิ่งดีที่ได้ทำไว้ต้องสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ครั้งแล้วครั้งเล่า!

บทเรียน

23:1 “แล้ว​พระราชา​ทรง​ใช้​พวก​เขา​ไป​รวบ​รวม​ผู้​ใหญ่​ทั้งหมด​ของ​ยูดาห์​และ​ของ​เยรูซาเล็ม​ให้​มา​เฝ้า​พระองค์”

       (Then the king sent, and all the elders of Judah and Jerusalem were gathered to him. )

23:2 “พระราชา ​เสด็จ​ขึ้น​ไป​ยัง​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์ พร้อม​กับ​คน​ยูดาห์​ทั้งหมด และ​ชาว​กรุง​เยรูซาเล็ม​ทั้งสิ้น รวม​ทั้ง​พวก​ปุโรหิต และ​พวก​ผู้​เผยพระวจนะ กับ​ประชาชน​ทั้งหมด​ไม่​ว่า​จะ​เล็ก​หรือ​ใหญ่ และ​พระองค์​ทรง​อ่าน​ถ้อยคำ​ทั้งหมด​ใน​หนัง‍สือ​พันธสัญญา ที่​พบ​ใน​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์​ให้​พวกเขา​ฟัง”

      (And the king went up to the house of the Lord, and with him all the men of Judah and all the inhabitants of  Jerusalem and the priests and the prophets, all the people, both small and great. And he read in their   hearing all the words of the Book of the Covenant that had been found in the house of the Lord. )

   23:3 “พระราชา ​ทรง​ยืน​ข้าง​เสา และ​ทรง​ทำ​พันธสัญญา​เฉพาะ​พระพักตร์​พระยาห์เวห์ ว่า​จะ​ดำเนิน​ตาม​พระยาห์เวห์ และ​จะ​รักษา​พระบัญญัติ พระโอวาท และ​กฎเกณฑ์​ของ​พระองค์ ด้วย​สุด​จิต​สุด​ใจ จะ​สถาปนา​ถ้อยคำ​ของ​พันธสัญญา​นี้​ที่​เขียน​ไว้​ใน​หนังสือ​นี้ แล้ว​ประชาชน​ทั้งหมด​ก็​เข้า​ร่วม​ใน​พันธสัญญา​นั้น”

     (And the king stood by the pillar and made a covenant before the Lord, to walk after the Lord and to keep  his commandments and his testimonies and his statutes with all his heart and all his soul, to perform the   words of this covenant that were written in this book. And all the people joined in the covenant.)

23:4 “แล้ว​พระราชา​ทรง​บัญชา​ฮิลคียาห์​มหาปุโรหิต และ​พวก​ปุโรหิต​รอง และ​ผู้​เฝ้า​ธรณี​ประตู ให้​นำ​เครื่อง​ใช้​ทั้งสิ้น​ที่​ทำ​ขึ้น​ สำหรับ​พระบาอัล สำหรับ​พระ​อาเช-ราห์ และ​สำหรับ​บริวาร​ทั้งสิ้น​ของ​ฟ้า​สวรรค์​ออกมา​จาก​พระวิหาร​ของพระยาห์เวห์    แล้ว​พระองค์​ก็​ทรง​เผา​เสีย​ที่​ภายนอก​กรุง​เยรูซาเล็ม​ใน​ทุ่งนา​ แห่ง​ขิดโรน และ​ขน​มูลเถ้า​ของ​มัน​ไป​ยัง​เบธเอล”

(And the king commanded Hilkiah the high priest and the priests of the second order and the keepers of the threshold to bring out of the temple of the Lord all the vessels made for Baal, for Asherah, and for all the host of heaven. He burned them outside Jerusalem in the fields of the Kidron and carried their ashes to Bethel. )

23:5 “และ​พระองค์​ทรง​กำจัด​พวก​ปุโรหิต​ของ​รูป​เคารพ ผู้​ที่​บรรดา​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์​ได้​แต่งตั้ง​ให้​เผา​เครื่อง​หอม​ใน​ปูชนียสถาน​ สูง ที่​เมือง​ต่างๆ ของ​ยูดาห์ และ​ที่​รอบๆ กรุง​เยรูซาเล็ม รวม​ทั้ง​คน​เหล่านั้น​ที่​เผา​เครื่อง​หอม​ถวาย​พระบาอัล ถวาย​ดวง อาทิตย์ ดวงจันทร์ และ​หมู่​ดาว​ประจำ​ราศี และ​บริวาร​ทั้งสิ้น​ของ​ฟ้า​สวรรค์”

    (And he deposed the priests whom the kings of Judah had ordained to make offerings in the high places at   the cities of Judah and around Jerusalem; those also who burned incense to Baal, to the sun and the moon   and the constellations and all the host of the heavens. )

23:6 “และ​พระองค์​ทรง​นำ​พระ​อาเช-ราห์​ออก​จาก​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์ ไป​ยัง​ลำธาร​ขิดโรน​ภายนอก​เยรูซาเล็ม และ​เผา​เสีย​ ที่​ลำธาร​ขิดโรน และ​ทรง​ทุบ​ให้​เป็น​ผงคลี​และ​เหวี่ยง​ผงคลี​นั้น​ลง​บน​หลุมศพ​ของ​ สามัญ​ชน”

       (And he brought out the Asherah from the house of the Lord, outside Jerusalem, to the brook Kidron, and   burned it at the brook Kidron and beat it to dust and cast the dust of it upon the graves of the common people.)

23:7 “และ​พระองค์​ทรง​รื้อ​ที่​พัก​ของ​เทวทาส ซึ่ง​อยู่​ใน​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์และ​เป็น​ที่​ที่​ผู้​หญิง​ทอ​ม่าน​สำหรับ​พระ​อาเช-ราห์”

       (And he broke down the houses of the male cult prostitutes who were in the house of the Lord, where the    women wove hangings for the Asherah. )

23:8 “และ​พระองค์​ทรง​ให้​ปุโรหิต​ทั้งหมด​ออก​จาก​เมือง​ต่างๆ ของ​ยูดาห์ และ​ทรง​ทำ​ให้​ปูชนียสถาน​สูง​คือ​ที่​ซึ่ง​ปุโรหิต​ได้​เผา​เครื่อง​ หอม​เสีย​ความ​ศักดิ์สิทธิ์ ตั้งแต่​เมือง​เกบา​ถึง​เบเออร์เชบา และ​พระองค์​ทรง​ทำลาย​ปูชนียสถาน​สูง​ของ​ประตู ซึ่ง​อยู่​ตรง​ทาง เข้า​ประตู​ของ​โยชูวา​ผู้​ว่า​ราชการ​เมือง ซึ่ง​อยู่​ทาง​ซ้ายมือ​ที่​ประตู​เมือง”

       (And he brought all the priests out of the cities of Judah, and defiled the high places where the priests had  made offerings, from Geba to Beersheba. And he broke down the high places of the gates that were at the  entrance of the gate of Joshua the governor of the city, which were on one’s left at the gate of the city. )

23:9 “ถึง​อย่างไร​ก็​ดี ปุโรหิต​แห่ง​ปูชนียสถาน​สูง​ไม่ได้​ขึ้น​ไป​ยัง​แท่น​บูชา​ของ​พระยา ห์เวห์​ใน​กรุง​เยรูซาเล็ม แต่​เขา​ทั้งหลาย​กิน​ ขนมปัง​ไร้​เชื้อ ท่ามกลาง​พวก​พี่น้อง​ของ​เขา​เอง”

       (However, the priests of the high places did not come up to the altar of the Lord in Jerusalem, but they ate  unleavened bread among their brothers. )

23:10 “และ​พระองค์​ทรง​ทำ​ให้​โทเฟท​ที่​อยู่​ใน​หุบเขา​เบน​ฮินโนม​เสีย​ความ​ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อ​จะ​ไม่มี​ใคร​ถวาย​บุตร​ชาย​หญิง​ของ​ตน ให้​ ลุย​ไฟ​เป็น​เครื่อง​บูชา​ต่อ​พระโมเลค”

         (And he defiled Topheth, which is in the Valley of the Son of Hinnom, that no one might burn his son or   his daughter as an offering to Molech. )

23:11 “และ​พระองค์​ทรง​กำจัด​ม้า​ซึ่ง​บรรดา​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์​ได้​ถวาย​แก่​ ดวง​อาทิตย์ ที่​ตรง​ทางเข้า​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์ ข้าง​ห้อง​นาธันเมเลค​ข้า​ราช​สำนัก​ซึ่ง​อยู่​ใน​บริเวณ​ที่​โล่ง และ​พระองค์​ทรง​เผา​รถรบ​ของ​ดวงอาทิตย์​เสีย​ด้วย​ไฟ”

     (And he removed the horses that the kings of Judah had dedicated to the sun, at the entrance to the   house of the Lord, by the chamber of Nathan-melech the chamberlain, which was in the precincts. And he  burned the chariots of the sun with fire. )

23:12 “และ​แท่น​บูชา​บน​หลังคา​ห้อง​ชั้นบน​ของ​อาหัส ซึ่ง​บรรดา​พระราชา​ของ​ยูดาห์​ได้​สร้าง​ไว้ และ​แท่น​บูชา​ซึ่ง​มนัสเสห์​ได้​สร้าง​ไว้​ใน​ลาน​ทั้งสอง​ของ​พระนิเวศ ​ของ​พระยาห์เวห์ พระราชา​ทรง​รื้อ​ลง​มา​และ​หัก​เสีย​เป็น​ชิ้นๆ และ​ทรง​เหวี่ยง​ผงคลี​ของ​มัน​ ลง​ไป​ใน​ลำธาร​ขิดโรน”

   (And the altars on the roof of the upper chamber of Ahaz, which the kings of Judah had made, and the   altars that Manasseh had made in the two courts of the house of the Lord, he pulled down and broke in   pieces and cast the dust of them into the brook Kidron.)

23:13 “และ​พระราชา​ทรง​ทำ​ให้​ปูชนียสถาน​สูง​ซึ่ง​อยู่​ทาง​ตะวันออก​ของ​กรุง​ เยรูซาเล็ม และ​อยู่​ทาง​ใต้​ของ​ภูเขา​แห่ง​ความ​พินาศ​นั้น​เสีย​ความ​ศักดิ์สิทธิ์ ที่​นั่น​ซาโลมอน​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์​ได้​สร้าง​ไว้​สำหรับ​ พระอัชทาโรท​สิ่ง​น่า​เกลียด​น่า​ชัง​ของ​ชาว​ไซดอน และ​สำหรับ​พระเคโมช​สิ่ง​น่า​เกลียด​น่า​ชัง​ของ​โมอับ และ​สำหรับ​พระมิลโคม​สิ่ง​น่า​สะอิดสะเอียน​ของ​คน​อัมโมน”

        (And the king defiled the high places that were east of Jerusalem, to the south of the mount of corruption,   which Solomon the king of Israel had built for Ashtoreth the abomination of the Sidonians, and for   Chemosh the abomination of Moab, and for Milcom the abomination of the Ammonites. )

23:14 “และ​พระองค์​ทรง​ทุบ​เสา​ศักดิ์สิทธิ์​เป็น​ชิ้นๆ และ​โค่น​บรรดา​เสา​อาเช-ราห์​ลง​เสีย แล้ว​เอา​กระดูก​มนุษย์​ถม​ที่นั้น”

         (And he broke in pieces the pillars and cut down the Asherim and filled their places with the bones of men.)

23:15 “ยิ่งกว่า​นั้น​อีก แท่นบูชา​ที่​เบธเอล​กับ​ปูชนียสถาน​สูง​ซึ่ง​ตั้ง​ขึ้น​โดย​เยโรโบอัม​บุตร​เนบัท ผู้​ได้​นำ​อิสราเอล​ให้​ทำ​บาป​ด้วย  พระองค์​ทรง​รื้อ​แท่นบูชา​กับ​ปูชนียสถาน​สูง​นั้น​ลง และ​ทรง​เผา​ปูชนียสถาน​สูง​นั้น แล้ว​บด​ให้​เป็น​ผง​และ​พระองค์​ทรง​เผา​ เสาอาเช-ราห์​ด้วย”

(Moreover, the altar at Bethel, the high place erected by Jeroboam the son of Nebat, who made Israel to sin, that altar with the high place he pulled down and burned, reducing it to dust. He also burned the Asherah. )

23:16 “และ​เมื่อ​โยสิยาห์​ทรง​หัน​ไป ทอดพระเนตร​อุโมงค์​ฝังศพ​ซึ่ง​อยู่​บน​ภูเขา พระองค์​ทรง​ใช้​ให้​ไป​เอา​กระดูก​ออกมา​จาก​อุโมงค์  และ​เผา​เสีย​บน​แท่นบูชา และ​ทรง​ทำ​ให้​เสีย​ความ​ศักดิ์สิทธิ์ ตาม​พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์​ซึ่ง​คน​ของ​พระเจ้า​ผู้​ซึ่ง​ป่าว ร้อง​ ถึง​สิ่ง​เหล่านี้ได้​ป่าวร้อง​ไว้”

         (And as Josiah turned, he saw the tombs there on the mount. And he sent and took the bones out of the  tombs and burned them on the altar and defiled it, according to the word of the Lord that the man of God   proclaimed, who had predicted these things. )

23:17 “แล้ว​พระองค์​ตรัส​ว่า “อนุสาวรีย์​ที่​เรา​มองเห็น​ข้างโน้น​คือ​อะไร?” คน​เมือง​นั้น​ก็​ทูล​พระองค์​ว่า “เป็น​อุโมงค์​ฝังศพ​ของ​คน​ ของ​พระเจ้า”

   (Then he said, “What is that monument that I see?” And the men of the city told him, “It is the tomb of the  man of God who came from Judah and predicted these things that you have done against the altar at Bethel.” )

23:18 “และ​พระองค์​ตรัส​ว่า “ให้​เขา​อยู่​ที่นั่น​แหละ อย่า​ให้​ใคร​ย้าย​กระดูก​ของ​เขา” เขา​ทั้งหลาย​จึง​ทิ้ง​กระดูก​ของ​เขา​ไว้​อย่างนั้น พร้อม​กับ​กระดูก​ของ​ผู้​เผยพระวจนะ​ผู้​ออกมา​จาก​สะมาเรีย”

             (And he said, “Let him be; let no man move his bones.” So they let his bones alone, with the bones of the  prophet who came out of Samaria.

23:19 “โยสิยา ห์​ทรง​กำจัด​นิเวศ​ทั้งสิ้น​ของ​ปูชนียสถาน​สูง ที่​อยู่​ใน​เมือง​ต่างๆ ของ​สะมาเรีย ซึ่ง​บรรดา​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​ได้​ ทรง​สร้าง​ไว้ ทำ​ให้​พระยาห์เวห์​กริ้ว พระองค์​ทรง​ทำ​ต่อ​ที่​เหล่านั้น​เหมือน​ทุก​อย่าง​ที่​ทรง​ทำ​ที่​เบธเอล”                      

         (And Josiah removed all the shrines also of the high places that were in the cities of Samaria, which kings of   Israel had made, provoking the Lord to anger. He did to them according to all that he had done at Bethel. )

     23:20 “และ​พระองค์​ทรง​ประหาร​ปุโรหิต​ทั้งหมด​แห่ง​ปูชนียสถาน​สูง ผู้​อยู่​ที่นั่น​ข้าง​แท่นบูชา และ​ทรง​เผา​กระดูก​คน​บน​แท่น​เหล่า​นั้น แล้ว​พระองค์​ก็​เสด็จ​กลับ​กรุง​เยรูซาเล็ม”

               (And he sacrificed all the priests of the high places who were there, on the altars, and burned human  bones on them. Then he returned to Jerusalem.)

23:21 “พระราชา​ทรง​บัญชา​ประชาชน​ทั้งหมด​ว่า “จง​ถือ​เทศกาล​ปัสกา​ถวาย​แด่​พระยาห์เวห์​พระเจ้า​ของ​พวกเจ้า ดังที่​เขียน​ไว้​ใน​หนังสือ​พันธสัญญา​นี้

         (And the king commanded all the people, “Keep the Passover to the Lord your God, as it is written in this  Book of the Covenant.” )

23:22 “เพราะว่า​เทศกาล​ปัสกา​เหมือน​อย่างนี้​ไม่​เคย​ถือ​กัน​มา​ตั้งแต่​สมัย​ผู้​ วินิจฉัย​ปกครอง​อิสราเอล จน​ถึง​สมัย​บรรดา​พระราชา​ แห่ง​อิสราเอล​และ​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์”

         (For no such Passover had been kept since the days of the judges who judged Israel, or during all the  days of the kings of Israel or of the kings of Judah. )

23:23 “แต่​ใน​ปี​ที่ 18 แห่ง​รัชกาล​กษัตริย์​โยสิยาห์ มี​การ​ถือ​เทศกาล​ปัสกา​อย่างนี้​ถวาย​แด่​พระยาห์เวห์​ใน​กรุง​เยรูซาเล็ม”

         (But in the eighteenth year of King Josiah this Passover was kept to the Lord in Jerusalem.)

23:24 “ยิ่งกว่า​นั้น​อีก โยสิยาห์​ได้​กำจัด​คนทรง​และ​แม่มด เทราฟิม และ​รูปเคารพ และ​สิ่ง​น่า​เกลียด​น่า​ชัง​ซึ่ง​เห็น​กัน​อยู่​ใน​แผ่นดิน​ ยูดาห์ และ​ใน​กรุง​เยรูซาเล็ม เพื่อ​พระองค์​จะ​ทรง​สถาปนา​ถ้อยคำ​แห่ง​ธรรม​บัญญัติ ซึ่ง​เขียน​อยู่​ใน​หนังสือ​ที่​ฮิลคียาห์​  ปุโรหิต​ได้​พบ​ใน​ พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์”

       (Moreover, Josiah put away the mediums and the necromancers and the household gods and the idols  and all the abominations that were seen in the land of Judah and in Jerusalem, that he might establish the  words of the law that were written in the book that Hilkiah the priest found in the house of the Lord. )

23:25 “ก่อน​พระองค์​ก็​ไม่มี​พระราชา​องค์​ใด​เหมือน​พระองค์ ผู้​หัน​กลับ​มา​หา​พระยาห์เวห์​ด้วย​สุด​จิต​สุด​ใจ​และ​ด้วย​สุด​กำลัง ​ตาม​ธรรมบัญญัติ​ทั้งสิ้น​ของ​โมเสส หลัง​พระองค์​ก็​ไม่มี​พระราชา​องค์​ใด​ขึ้น​มา​เหมือน​พระองค์”

         (Before him there was no king like him, who turned to the Lord with all his heart and with all his soul and  with all his might, according to all the Law of Moses, nor did any like him arise after him.)

23:26 “ถึง​กระนั้น พระยาห์เวห์​ก็​ไม่​ทรง​หัน​จาก​พระพิโรธ​อัน​แรง​กล้า​และ​ยิ่งใหญ่​ ของ​พระองค์ พระพิโรธ​ของ​พระองค์​ได้​พลุ่ง​ขึ้น​อ​ยูดาห์ เนื่องด้วย​การ​กระทำ​ของ​มนัสเสห์​ที่​ทำ​ให้​พระองค์​กริ้ว”

         (Still the Lord did not turn from the burning of his great wrath, by which his anger was kindled against  Judah, because of all the provocations with which Manasseh had provoked him. )

23:27 “ดังนั้น ​พระยาห์เวห์​ตรัส​ว่า “เรา​จะ​ให้​ยูดาห์​ออก​ไป​ให้​พ้น​หน้า​เรา​ด้วย เหมือน​ที่​เรา​ได้​ทำ​ต่อ​อิสราเอล และ​เรา​จะ​เหวี่ยง​เมือง​นี้​ซึ่ง​เรา​ได้​เลือก​ออก​ไป​เสีย​คือ​ เยรูซาเล็ม​กับ​นิเวศ ซึ่ง​เรา​ได้​บอก​ว่า​นาม​ของ​เรา​จะ​อยู่​ที่นั่น

        (And the Lord said, “I will remove Judah also out of my sight, as I have removed Israel, and I will cast off  this city that I have chosen, Jerusalem, and the house of which I said, My name shall be there.”)

23:28 “ส่วน​พระราชกิจ​อื่นๆ ของ​โยสิยาห์ และ​ทุกสิ่ง​ที่​ทรง​กระทำ ได้​บันทึก​ใน​หนังสือ​พงศาวดาร​กษัตริย์​แห่ง​ยูดาห์​ไม่​ใช่​หรือ?”

       (Now the rest of the acts of Josiah and all that he did, are they not written in the Book of the Chronicles of  the Kings of Judah? )

23:29 “ใน​สมัย​ของ​พระองค์ ฟาโรห์เนโค​พระราชา​แห่ง​อียิปต์​เสด็จ​ขึ้น​ไป​ยัง​พระราชา​แห่ง​ อัสซีเรีย​ถึง​แม่น้ำ​ยูเฟรติส กษัตริย์​โยสิยาห์​เสด็จ​ไป​ปะทะ​กับ​ฟาโรห์ และ​เมื่อ​ฟาโรห์​ทรง​เห็น​พระองค์​ก็​ประหาร​พระองค์​เสีย​ที่​เมือง​เมกิดโด”

   (In his days Pharaoh Neco king of Egypt went up to the king of Assyria to the river Euphrates. King Josiah  went to meet him, and Pharaoh Neco killed him at Megiddo, as soon as he saw him.)

23:30 “ข้า​ราชการ​ของ​พระองค์​ก็​นำ​พระศพ​ใส่​รถรบ​ไป​จาก​เมือง​เมกิดโด และ​นำ​มา​ยัง​กรุง​เยรูซาเล็ม และ​ฝัง​ไว้​ใน​อุโมงค์​ฝังศพ​ของ​พระองค์ แล้ว​ประชาชน​ใน​แผ่นดิน​นั้น​ก็​นำ​เยโฮอาหาส​พระราชโอรส​ของ​ โยสิยาห์​มา​และ​เจิม​พระองค์ แล้ว​ตั้ง​ให้​เป็น​พระราชา​แทน​พระราชบิดา”

       (And his servants carried him dead in a chariot from Megiddo and brought him to Jerusalem and buried  him in his own tomb. And the people of the land took Jehoahaz the son of Josiah, and anointed him, and  made him king in his father’s place.)

23:31 “เยโฮอา หาส​มี​พระชนมายุ 23 พรรษา​เมื่อ​ทรง​เป็น​กษัตริย์ และ​ทรง​ครองราชย์​ใน​กรุง​เยรูซาเล็ม 3 เดือน พระมารดา​ของ​พระองค์​มี​พระนาม​ว่า ฮามุทาล บุตรหญิง​ของ​เยเรมีย์​ชาว​ลิบนาห์”

     (Jehoahaz was twenty-three years old when he began to reign, and he reigned three months in Jerusalem.   His mother’s name was Hamutal the daughter of Jeremiah of Libnah.)

23:32 “พระองค์​ทรง​ทำ​สิ่ง​ชั่วร้าย​ใน​สายพระเนตร​ของ​พระยาห์เวห์ ตาม​ทุก​อย่าง​ซึ่ง​บรรพบุรุษ​ของ​พระองค์​ได้​ทรง​กระทำ”

       (And he did what was evil in the sight of the Lord, according to all that his fathers had done.

23:33 “และ​ฟาโรห์เนโค​ก็​ทรง​จับ​พระองค์​ขัง​ไว้​ที่​ริบลาห์​ใน​แผ่นดิน​ ฮามัท เพื่อ​ไม่​ให้​พระองค์​ปกครอง​ใน​เยรูซาเล็มและ​กำหนด​ บรรณาการ​จาก​แผ่นดิน​นั้น​เป็น​เงิน 100 ตะลันต์ และ​ทองคำ 1 ตะลันต์”

(And Pharaoh Neco put him in bonds at Riblah in the land of Hamath, that he might not reign in   Jerusalem, and laid on the land a tribute of a hundred talents of silver and a talent of gold. )

23:34 “และ​ฟาโรห์เนโค​ทรง​ตั้ง​เอลียาคิม​พระราชโอรส​ของ​โยสิยาห์​เป็น​ พระราชา​แทน​โยสิยาห์​พระราชบิดา และ​ทรง​เปลี่ยน​ชื่อ​ให้​เป็น​เยโฮยาคิม แต่​ได้​ทรง​พา​เยโฮอาหาส​ไป​เสีย และ​ท่าน​มา​ถึง​อียิปต์​และ​สิ้น​ชีวิต​ที่นั่น”

         (And Pharaoh Neco made Eliakim the son of Josiah king in the place of Josiah his father, and changed   his name to Jehoiakim. But he took Jehoahaz away, and he came to Egypt and died there. )

23:35 “เยโฮยาคิม​ทรง​มอบ​เงิน​และ​ทองคำ​แก่​ฟาโรห์ แต่​พระองค์​ทรง​เก็บ​ภาษี​จาก​ประชาชน​ของ​แผ่นดิน เพื่อ​มอบ​เงิน​ตาม​บัญชา​ของ​ฟาโรห์ พระองค์​ทรง​เร่งรัด​เอา​เงิน​และ​ทองคำ​จาก​ทุก​คน ตาม​การ​ประเมิน​เพื่อ​มอบ​แก่​ฟาโรห์เนโค”

        (And Jehoiakim gave the silver and the gold to Pharaoh, but he taxed the land to give the money  according to the command of Pharaoh. He exacted the silver and the gold of the people of the land, from   everyone according to his assessment, to give it to Pharaoh Neco.)

23:36 “เยโฮยาคิม มี​พระชนมายุ 25 พรรษา เมื่อ​ทรง​เป็น​กษัตริย์ และ​ทรง​ครองราชย์​ใน​กรุง​เยรูซาเล็ม 11 ปี พระราชมารดา​ของ​พระองค์​มี​พระนาม​ว่า เศบิดาห์​บุตร​หญิง​ของ​เปดายาห์​ชาว​รูมาห์”

             (Jehoiakim was twenty-five years old when he began to reign, and he reigned eleven years in Jerusalem.  His mother’s name was Zebidah the daughter of Pedaiah of Rumah. )

23:37 “และ​พระองค์​ทรง​ทำ​สิ่ง​ชั่วร้าย​ใน​สายพระเนตร​ของ​พระยาห์เวห์ ตาม​ทุก​อย่าง​ซึ่ง​บรรพบุรุษ​ของ​พระองค์​ได้​ทรง​กระทำ”

         (And he did what was evil in the sight of the Lord, according to all that his fathers had done.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

 23:1“ผู้ใหญ่ทั้งหมด” (all the elders) -10:1

23:2“ทรงอ่านถ้อยคำ” (read in their hearing all the words)

“ในหนังสือพันธสัญญา” (the Book of the Covenant ) –ใน อพย.24:7 คำ ๆ นี้หมายถึงเนื้อหาใน อพยพ 20-23 แต่ในที่นี้หมายถึงพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติส่วนหนึ่งหรือทั้งเล่ม หรือหมายถึง ธรรมบัญญัติทั้งหมดของโมเสส -แต่ไม่ว่าจะหมายถึงเล่มใด แต่ก็มีคำสาปตามพันธสัญญา ใน ลนต.26 และหรือ ฉธบ.28 รวมอยู่ด้วย (ข.21;22:8,11)

23:3“เสา”(the pillar) -11:14, “ทรงทำพันธสัญญาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์” (made a covenant before the Lord)

= ทรงรื้อฟื้นพันธสัญญา, = โยสิยาห์ได้ทำหน้าที่คนกลางตามพันธสัญญาเทียบกับโมเสส (อพย.24:3-8,ฉธบ) โยชูวา

(ยชว.24), 1 ซามูเอล (1ซมอ.11:14-12:25), เยโฮยาดา 2พกษ.11:17)

“ว่าจะดำเนินตามพระยาห์เวห์” (to walk after the Lord) = จะติดตามพระเจ้า –1ซมอ.12:14,20

“เข้าร่วมในพันธสัญญานั้น” (joined in the covenant)= เป็นไปได้ว่า มีการประกอบพิธียืนยันพันธสัญญา ซึ่งประชาชน

เข้าร่วมและปฏิญาณว่าจะซื่อสัตย์ต่อเงื่อนไขของพันธสัญญา อาจเป็นการกระทำเป็นสัญลักษณ์

23:4“ผู้เฝ้าธรณีประตู” (the keepers of the threshold) = นายประตู -12:9, “พระบาอัล…พระอาเชราห์” (for Baal, for Asherah)

–1พกษ.14:15,  “บริวารทั้งสิ้นของฟ้าสวรรค์” (all the host of heaven) = ดวงดาวทั้งปวง -17:16

“ทุ่งนาแห่งขิดโรน” ( the fields of the Kidron) = หุบเขาขิดโรน –อสย.22:7;1พกษ.15:13

“ขน…ไปยังเบธเอล” (carried their ashes to Bethel) = เบธเอล ตั้งอยู่ไม่ไกลจากพรมแดนระหว่างยูดาห์ และอาณาจักรเหนือในอดีต เป็นพื้นที่ซึ่งปกติอยู่ภายใต้การควบคุมของอัสซีเรีย เมื่ออำนาจของอัสซีเรียน้อยลง โยสิยาห์สามารถขยายอิทธิพลขึ้นมาทางเหนือ -เขาคงทิ้งเถ้าถ่านที่เบธเอลเพื่อทำให้สถานที่นมัสการลูกวัวทองคำหมดความศักดิ์สิทธิ์ (ข.14;1พกษ.12:28-30)

23:5“ปุโรหิตของรูปเคารพ” (the priests) = ของพระทั้งหลาย –ฮชย.10:5;ศฟย.1:4

“บรรดาพระราชาแห่งยูดาห์”(whom the kings of Judah)= มนัสเสห์และอาโมน (อาจรวมถึงอาหัสด้วย)

            “ปูชนียสถานสูง” (the high places) = สถานนมัสการบนที่สูง -18:4

23:6  “พระอาเชราห์” ( the Asherah) = เสาเจ้าแม่อาเซราห์ –1พกษ.14:15 =เสาที่เฮเซคียาห์ทำลายไป (18:4) ถูกนำกลับมาอีกครั้งโดยนมัสเสห์ (21:7) เมื่อนมัสเสห์กลับใจมาหาพระเจ้า แต่เขาอาจมีอายุมากเกินกว่าจะกำจัดเสาเจ้าแม่อาเซราห์ (2พศด.33:15) ต่อมาอาโมนจึงได้นำเสาเหล่านี้กลับมานมัสการ (2พกษ.21:21;2พศด.33:22)

“เหวี่ยงผลคลีนั้นลงบนหลุมศพของสามัญชน” (cast the dust of it upon the graves of the common people)

= ตั้งใจดูหมิ่นเจ้าแม่อาเชราห์ (ยรม.26:23)

23:7“เทวทาส” ( the houses of the male) = โสเภณีชาย ,1พกษ.14:24

23:8“ทำลายปูชนียสถานสูง” (defiled the high places) -18:4 , “เกบาถึงเบเออร์เชบา” (Geba to Beersheba) = เกบา

เป็นชายแดนทางเหนือของอาณาจักรใต้ (1พกษ.15:22) และเบเออร์เชบา อยู่ที่ชายแดนทางใต้ของยูดาห์ (1ซมอ.3:30)

23:9“กินขนมปังไร้เชื้อ” (ate unleavened bread) = แม้จะไม่ได้รับอนุญาตให้รับใช้ที่แท่นบูชาในพระวิหาร แต่ปุโรหิตเหล่านี้ก็ เลี้ยงชีพด้วยส่วนแบ่งอาหารของปุโรหิต(ลนต.2:10;6:16-18)โดยถือว่าอยู่ในสถานะเดียวกับปุโรหิตที่พิการ(ลนต.21:16-23)

23:10            “โทเฟท…พระโมเลค” (Topheth … to Molech) –1พกษ.11:5; โทเฟทอยู่ในบริเวณหุบเขาฮินโนมซึ่งมีแท่นบูชา  สำหรับบูชายัญเด็กแก่พระโมเลคตั้งอยู่ (อสย.30:33;ยรม.7:31;19:5-6)

“ถวายบุตรชายหญิงของตนให้ลุยไฟเป็นเครื่องบูชา”(burn his son or his daughter as an offering)17:17;21:6;16:3

23:11            “กำจัดม้า…ถวายแก่ดวงอาทิตย์” (removed the horses … dedicated to the sun) = รูปปั้นม้า ถ้าเป็นม้าที่มีชีวิตก็คงเป็นม้าที่ใช้ลากรถม้าศึกที่มีรูปของเทพดวงอาทิตย์ในพิธีกรรมทางศาสนา

“นาธันเมเลค”(Nathan-melech) = อาจเป็นเจ้าหน้าที่ซึ่งดูแลรับผิดชอบรถม้าศึก

23:12            “แท่นบูชาบนหลังคาห้องชั้นบน” (the altars on the roof of the upper chamber) = แท่นบูชาบนดาดฟ้าใช้นมัสการดวงดาว (ยรม.19:13;ศฟย.1:5), ตั้งขึ้นโดยอาหัส (2พกษ.16:3-4,10-16), มนัสเสห์ (21:3), และอาโมน(21:21-22)

23:14            “เอากระดูกมนุษย์ถมที่นั่น” (the bones of men) กระดูกคนตายจะทำให้สถานที่เหล่านั้นแปอเปื้อนและใช้การไม่ได้ สำหรับการบูชาพระต่างชาติในอนาคต (กดว.19:16)

23:15            “แท่นบูชาที่เบธเอล” (the altar at Bethel) –ดู 1พกษ.12:32-33 ไม่มีการกล่าวถึงลูกวัวทองคำซึ่งคงถูกส่งไปบรรณาการแก่อัสซีเรียแล้วเมื่ออาณาจักรเหนือถูกยึดครอง (ฮชย.10:5-6)

23:16            “อุโมงค์ฝังศพ” (the tombs ) = สุสานของปุโรหิตแห่งสถานบูชาที่เบธเอล (1พกษ.13:2)

“เผาเสียบนแท่นบูชา” (burned them on the altar) = เพื่อทำให้แท่นนี้เสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ –ข.6,14

“ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งคนของพระเจ้าผู้ซึ่งป่าวร้องถึงสิ่งเหล่านี้” (the word of the Lord that the man of God proclaimed) –1พกษ.13:1-2,32

23:18            “ผู้เผยพระวจนะผู้ออกมาจากสะมาเรีย” (the prophet who came out of Samaria) –1พกษ.13:31-32

-สะมาเรียในที่นี้ไม่ใช่เมืองสะมาเรีย เนื่องจากผู้เผยพระวจนะผู้นี้มาจากเบธเอล (1พกษ.13:11) และเมืองสะมาเรียยังไม่ได้ก่อตั้งขึ้น (1พกษ.16:24) จึงน่าจะหมายถึงชื่อที่ใช้เรียกอาณาจักรเหนือโดยรวมในอดีต (17:24,29;1พกษ.13:32)

23:20            “ประหารปุโรหิตทั้งหมดแห่งปูชนียสถานสูง” ( the priests of the high places) = พวกปุโรหิตที่ไม่ได้มาจากเผ่าเลวี  แต่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเพื่อประกอบพิธีการนมัสการพระต่างชาติในอาณาจักรเหนือ (17:27-28,33-34) โยสิยาห์ ปฏิบัติต่อ คนเหล่านี้ตรงข้ามกับบรรดาปุโรหิตของสถานบูชาบนที่สูงในยูดาห์(ข.8-9) ซึ่งการกระทำของโยสิยาห์ในที่นี้เป็นไปตาม ข้อกำหนดใน ฉธบ.13:17:2-7

23:21            “จงถือเทศกาลปัสกา” (Keep the Passover) =จงฉลองปัสกา (2พศด.35:1-19)

“ดังที่เขียนไว้ในหนังสือพันธสัญญานี้” (written in this Book of the Covenant) –ข.2 ดูเหมือนจะอ้างอิงถึง ฉธบ.16:1-8 ซึ่งบรรยายว่า ปัสกาคือการชุมนุมร่วมกันในสถานนมัสการ (อยพ.23:15-17;34:23-24;ลนต.23:4-14) แทนที่อยู่ในครอบครัวเหมือนใน อพย.12:1-14,43-49

23:22            “เทศการปัสกา” (Passover) = ในที่นี้ลักษณะเด่นของการฉลองปัสกาของโยสิยาห์อยู่ที่แกะปัสกาทุกตัวถูกฆ่าโดยคนเลวี ทั้งหมด (2พศด.35:1-19 เปรียบกับ 2พศด.30:2-3,17-20 )ซึ่งกล่าวถึงปัสกาในรัชกาลของเฮเซคียาห์)

23:23“ปีที่ 18” (eighteenth year ) -22:3

23:24“เทราฟิม” (the household gods) = เทพประจำเรือน ,ปฐก.31:19, “รูปเคารพ” (the idols) –ลนต.26:30

23:25“ไม่มีพระราชาองค์ใดเหมือนพระองค์” ( no king like him) -18:5

23:26“ไม่ทรงหันจากพระพิโรธอันแรงกล้าและยิ่งใหญ่ของพระองค์” (did not turn from the burning of his great wrath)

= การพิพากษาต่อยูดาห์และเยรูซาเล็มเพียงเลื่อนเวลาออกไป แต่ไม่ได้ล้มเลิกเพราะการปฏิรูปของโยสิยาห์(21:15;22:20)

23:27“เหมือนที่เราได้ทำต่ออิสราเอล” (as I have removed Israel) = ขจัดอิสราเอล (17:18-23)

“เหวี่ยงเมืองนี้…คือเยรูซาเล็มกับนิเวศ” (cast off this city that I have chosen, Jerusalem, and the house)

-21:4,7,13 , “นามของเราจะอยู่ที่นั่น” ( My name shall be there) –1พกษ.8:16

23:29            “ฟาโรห์เนโคแห่งอียิปต์” (Pharaoh Neco king of Egypt ) = ครองในปี 610 – 595 ก.ค.ศ.

“เสด็จขึ้นไปยังพระราชาแห่งอัสซีเรีย” (went up to the king of Assyria) = เพื่อช่วยอาซูร์อูบัลลิทที่ 2 กษัตริย์องค์

สุดท้ายของอัสซีเรียในการสู้กับบาบิโลนที่กำลังเป็นมหาอำนาจใหม่ ภายใต้เนโบโปลัสซาร์(ในเวลานั้น นีนะเวห์เมืองหลวงของอัสซีเรียตกเป็นของบาบิโลน และมีเดียไปแล้วในปี 612 ก.ค.ศ. (ดูพระธรรมนาฮูม)  -กองกำลังที่เหลือของอัสซีเรียรวมตัวกันที่ฮาราน แต่ในปี 609 ก.ค.ศ. -พวกเขาถูกให้เคลื่อนไปทางทิศตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติส และช่วงนี้เป็นช่วงที่เนโคแห่งอียิปต์เดินทางมาช่วยเหลือ

“กษัตริย์โยสิยาห์เสด็จไปปะทะกับฟาโรห์” (King Josiah went to meet him) = โยสิยาห์อาจไม่ยอมให้ทัพของเนโค ผ่านเมกิดโด (2พศด.35:20-24) เพราะเกรงว่า หากอำนาจของอัสซีเรียหรืออียิปต์เพิ่มขึ้น อาจส่งผลร้ายอการรักษาอิสราภาพของยูดาห์, “เมืองเมกิดโด” (Megiddo) –วนฉ.5:19

23:30            “ฝังไว้ในอุโมงค์ฝังศพของพระองค์”(buried him in his own tomb)–2พศด.35:24-25, “ประชาชน”(the people)-21:24

“เยโฮอาหาส” (Jehoahaz) = เขามีชื่อเดิมว่า ชัลลูม (1พศด.3:15;ยรม.22:11) คงเปลี่ยนเป็น เยโฮอาหาสตอนขึ้นครองราชย์ ที่ประชาชนเลือกเยโฮอาหาสแทนที่จะเป็นเยโฮยาคิม เพราะเป็นที่รู้กันว่า เยโฮยาคิมมีนโยบายสนับสนุนอียิปต์ ไม่ใช่ต่อต้านแบบโยสิยาห์และเยโฮอาหาส, “ตั้งให้เป็นพระราชา” (made him king) = เจิมตั้ง –1ซมอ.9:16

23:31            “ 3 เดือน”(three months)=ปี 609 ก.ค.ศ., “เยเรมีย์”(Jeremiah)–ไม่ใช่ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์(ยรม.1:1)

“ลิบนาห์”(Libnah)8:22

23:32            “ทำสิ่งชั่วร้าย…ตามทุกอย่างซึ่งบรรพบุรุษ…ได้ทรงกระทำ” (did what was evil … all that his fathers had done)    -16:3;21:2,21;อสค.19:3

23:33            “จับพระองค์ขังไว้ที่ริบลาห์” ( put him in bonds at Riblah) = อียิปต์สามารถจับเยโฮอาหาสเป็นนักโทษ และบังคับยูดาห์ให้ส่งบรรณาการ (2พศด.36:3) โดยที่คุมขังไว้ที่กองบัญชาการทหารของเนโคที่ริบลาห์ใกล้แม่น้ำไอรอนเทส ซึ่ง ภายหลังเนบูคัดเนสซาร์ ตั้งกองบัญชาไว้ที่นี่เช่นกัน (25:6,20)

“เงิน 100 ตะลันต์”(hundred talents of silver)= 3.4 ตัน, “ทองคำ 1 ตะลันต์”(a talent of gold)=34 กิโลกรัม

23:34            “เอลียาคิม” (Eliakim)= โอรสของโยสิยาห์เป็นพี่ชายของเยโฮอาหาส (1พศด.3:15) ก่อนหน้านี้ไม่ได้สืบทอดบัลลังก์เพราะมu นโยบายสนับสนุนอียิปต์,

“เยโฮยาคิม” (Jehoiakim) = เปลี่ยนชื่อทั้ง ๆ ที่ความหมายคล้ายกันมาก

“เอลียาคิม” แปลว่า พระเจ้าทรงสถาปนาเปลี่ยนเป็น ”เยโฮยาคิม” แปลว่า “พระยาห์เวห์ทรงสถาปนา” ,เนโคเปลี่ยนชื่อให้คงต้องการสื่อว่า การกระทำของเขานั้น โดยรับการอนุญาตจากพระยาห์เวห์พระเจ้าของยูดาห์ (18:25;2พศด.35:21) แต่ที่แน่ๆ ก็คือ เยโฮยาคิมอยู่ภายใต้อำนาจของเนโค

“ทรงพาเยโฮอาหาสไปเสีย…มาถึงอียิปต์และสิ้นชีวิตที่นั่น” (he took Jehoahaz away… came to Egypt and died there) –2พศด.36:4;ยรม.22:10-12

23:35            “ภาษีจากประชาชน” (he taxed) = บรรณาการสำหรับเนโคนี้ได้มาจากการเก็บภาษีประชาชนเพื่อสนับสนุนการขึ้น ครองราชย์ของเยโฮอาหาส (ข.30;21:24) กษัตริย์เมนาเฮมแห่งอาณาจักรเหนือ ก็ใช้วิธีเดียวกันนี้เพื่อหาเงินส่งเป็นเครื่องบรรณาการ (15:20)

23:36            “11 ปี” (eleven years) = ช่วงปี 609-598 ก.ค.ศ.

23:37            “ทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์” (did what was evil in the sight of the Lord) = เยโฮยาคิม ต้อง  รับผิดชอบต่อการสังหารผู้เผยพระวจนะอุรียาห์ จากคีริยาทเยอาริม (ยรม.26:20-24) และความไม่ซื่อสัตย์ การกดขี่และความอยุตธรรม (ยรม.22:13-19) -เยโฮยาคิมนำการกราบไหว้รูปเคารพกลับเข้ามาในพระวิหารอีกครั้ง (อสค.8:5-17) และไม่ยอมฟังพระวจนะของพระเจ้าผ่านทางเยเรมีย์ (ยรม.36)

“บรรพบุรุษของพระองค์” (his fathers had done) = มนัสเสห์ (21:1-18) และอาโมน (21:19-26)

 

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

คำถามนำอภิปราย

 

1.       การปฏิรูปจะต้องร่วมแรงร่วมใจกันจากทุก ๆ ฝ่าย( โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาพวกผู้ใหญ่หรือผู้นำ) คุณเคยมีประสบการณ์ในการร่วมปฏิรูปอะไรบ้าง? สำเร็จหรือไม่?  อย่างไร?

2.       คุณเคยทำพันธสัญญาอะไรกับพระเจ้าโดยลำพังหรือร่วมกับผู้อื่นบ้าง? ในเรื่องอะไร? แล้วคุณทำตามนั้นสำเร็จ

หรือไม่? อย่างไร?

3.       คุณเคยกำจัดอะไรบ้างที่พระเจ้าไม่พอพระทัย ง่ายหรือยาก?  อย่างไร? แล้วผลลัพธ์คืออะไร?

4.       คุณเคยลงทุนหรือเสี่ยงอะไรมากที่สุดในการปฏิรูป?

1)       ปฏิรูปชีวิตตัวเอง?                      2) ปฏิรูปครอบครัว?               3)   ปฏิรูปที่ทำงาน?

4)   ปฏิรูปคริสตจักร?                      5)  ปฏิรูปสังคม/ประเทศ?

ทำอย่างไร? แล้วผลที่ได้คุ้มค่าหรือไม่?  อย่างไร?

5.       คุณเคย “หันกลับมาหาพระยาห์เวห์ด้วยสุดจิตสุดใจ และด้วยสุดกำลัง” หรือไม่? แล้วมีอะไรเกิดขึ้นเป็นเครื่องพิสูจน์?

6.       คุณเคยเห็นสิ่งดีที่กระทำโดยคนหนึ่งถูกทำลาย โดยคนที่มาสานต่อบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร?

7.       มีความชั่วร้ายใดบ้างที่คุณคิดว่าพระเจ้า

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer,facebook.com/lifeanswer

 

ทรงรังเกียจมากในท่ามกลางคริสตจักรและสังคมไทย? ทำไมคุณคิดเช่นนั้น?

คำถามนำอภิปราย

 

1.       การปฏิรูปจะต้องร่วมแรงร่วมใจกันจากทุก ๆ ฝ่าย( โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาพวกผู้ใหญ่หรือผู้นำ) คุณเคยมีประสบการณ์ในการร่วมปฏิรูปอะไรบ้าง? สำเร็จหรือไม่?  อย่างไร?

2.       คุณเคยทำพันธสัญญาอะไรกับพระเจ้าโดยลำพังหรือร่วมกับผู้อื่นบ้าง? ในเรื่องอะไร? แล้วคุณทำตามนั้นสำเร็จ

หรือไม่? อย่างไร?

3.       คุณเคยกำจัดอะไรบ้างที่พระเจ้าไม่พอพระทัย ง่ายหรือยาก?  อย่างไร? แล้วผลลัพธ์คืออะไร?

4.       คุณเคยลงทุนหรือเสี่ยงอะไรมากที่สุดในการปฏิรูป?

1)       ปฏิรูปชีวิตตัวเอง?                      2) ปฏิรูปครอบครัว?               3)   ปฏิรูปที่ทำงาน?

4)   ปฏิรูปคริสตจักร?                      5)  ปฏิรูปสังคม/ประเทศ?

ทำอย่างไร? แล้วผลที่ได้คุ้มค่าหรือไม่?  อย่างไร?

5.       คุณเคย “หันกลับมาหาพระยาห์เวห์ด้วยสุดจิตสุดใจ และด้วยสุดกำลัง” หรือไม่? แล้วมีอะไรเกิดขึ้นเป็นเครื่องพิสูจน์?

คำถามนำอภิปราย

 

การปฏิรูปจะต้องร่วมแรงร่วมใจกันจากทุก ๆ ฝ่าย( โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาพวกผู้ใหญ่หรือผู้นำ) คุณเคยมีประสบการณ์ในการร่วมปฏิรูปอะไรบ้าง? สำเร็จหรือไม่?  อย่างไร?

คุณเคยทำพันธสัญญาอะไรกับพระเจ้าโดยลำพังหรือร่วมกับผู้อื่นบ้าง? ในเรื่องอะไร? แล้วคุณทำตามนั้นสำเร็จ

หรือไม่? อย่างไร?

คุณเคยกำจัดอะไรบ้างที่พระเจ้าไม่พอพระทัย ง่ายหรือยาก?  อย่างไร? แล้วผลลัพธ์คืออะไร?

คุณเคยลงทุนหรือเสี่ยงอะไรมากที่สุดในการปฏิรูป?

ปฏิรูปชีวิตตัวเอง?                2) ปฏิรูปครอบครัว?               3)   ปฏิรูปที่ทำงาน?

4)   ปฏิรูปคริสตจักร?                      5)  ปฏิรูปสังคม/ประเทศ?

ทำอย่างไร? แล้วผลที่ได้คุ้มค่าหรือไม่?  อย่างไร?

คุณเคย “หันกลับมาหาพระยาห์เวห์ด้วยสุดจิตสุดใจ และด้วยสุดกำลัง” หรือไม่? แล้วมีอะไรเกิดขึ้นเป็นเครื่องพิสูจน์?

คุณเคยเห็นสิ่งดีที่กระทำโดยคนหนึ่งถูกทำลาย โดยคนที่มาสานต่อบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร?

มีความชั่วร้ายใดบ้างที่คุณคิดว่าพระเจ้า

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer,facebook.com/lifeanswer

 

ทรงรังเกียจมากในท่ามกลางคริสตจักรและสังคมไทย? ทำไมคุณคิดเช่นนั้น?

คำถามนำอภิปราย

 

การปฏิรูปจะต้องร่วมแรงร่วมใจกันจากทุก ๆ ฝ่าย( โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาพวกผู้ใหญ่หรือผู้นำ) คุณเคยมีประสบการณ์ในการร่วมปฏิรูปอะไรบ้าง? สำเร็จหรือไม่?  อย่างไร?

คุณเคยทำพันธสัญญาอะไรกับพระเจ้าโดยลำพังหรือร่วมกับผู้อื่นบ้าง? ในเรื่องอะไร? แล้วคุณทำตามนั้นสำเร็จ

หรือไม่? อย่างไร?

คุณเคยกำจัดอะไรบ้างที่พระเจ้าไม่พอพระทัย ง่ายหรือยาก?  อย่างไร? แล้วผลลัพธ์คืออะไร?

คุณเคยลงทุนหรือเสี่ยงอะไรมากที่สุดในการปฏิรูป?

ปฏิรูปชีวิตตัวเอง?                2) ปฏิรูปครอบครัว?               3)   ปฏิรูปที่ทำงาน?

4)   ปฏิรูปคริสตจักร?                      5)  ปฏิรูปสังคม/ประเทศ?

ทำอย่างไร? แล้วผลที่ได้คุ้มค่าหรือไม่?  อย่างไร?

คุณเคย “หันกลับมาหาพระยาห์เวห์ด้วยสุดจิตสุดใจ และด้วยสุดกำลัง” หรือไม่? แล้วมีอะไรเกิดขึ้นเป็นเครื่องพิสูจน์?

การปฏิรูปจะต้องร่วมแรงร่วมใจกันจากทุก ๆ ฝ่าย( โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาพวกผู้ใหญ่หรือผู้นำ) คุณเคยมีประสบการณ์ในการร่วมปฏิรูปอะไรบ้าง? สำเร็จหรือไม่?  อย่างไร?

การปฏิรูปจะต้องร่วมแรงร่วมใจกันจากทุก ๆ ฝ่าย( โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาพวกผู้ใหญ่หรือผู้นำ) คุณเคยมีประสบการณ์ในการร่วมปฏิรูปอะไรบ้าง? สำเร็จหรือไม่?  อย่างไร?

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2 พงศ์กษัตริย์ บทเรียนที่ 22

พบหนังสือพระบัญญัติ

พระธรรม        2พงศ์กษัตริย์ 22:1-20

อ้างอิง                 2พศด.34:1-2,8-28;อสย.5:25;42:25;47:11;57:1;21:2;25:3;ยรม.1:2;18:11;24:9;15:18;26:6;37:3,7

บทนำ            ในท่ามกลางความมืดมิดสิ้นหวัง พระเจ้ามักประทานความหวังให้เกิดขึ้นเสมอ แต่ในทำนองกลับกัน ในท่ามกลางความหวัง บางครั้งคนบางคนหรือคนที่มาต่อในภายหลังอาจทำให้ความหวังนั้นดับลงก็เป็นได้!

บทเรียน

22:1 “โยสิยาห์มี ​พระชนมายุ 8 พรรษา​เมื่อ​ทรง​เป็น​กษัตริย์ และ​ทรง​ครองราชย์​ใน​กรุง​เยรูซาเล็ม 31 ปี พระมารดา​ของ​พระองค์​มี​พระนาม​ว่า เยดีดาห์​บุตร​หญิง​ของ​อาดายาห์​ชาว​โบสคาท”

       (Josiah was eight years old when he began to reign, and he reigned thirty-one years in  Jerusalem. His mother’s name was Jedidah the daughter of Adaiah of Bozkath. )    

22:2 “พระองค์​ทรง​ทำ​สิ่ง​ที่​ชอบธรรม​ใน​สายพระเนตร​ของ​พระยาห์เวห์ และ​ทรง​ดำเนิน​ตาม​ทาง​ทั้งสิ้น​ของ​ดาวิด​บรรพบุรุษ​ของ​พระองค์ และ​ไม่ได้​ทรง​หัน​ไป​ทาง​ขวา​หรือ​ทาง​ซ้าย”
     (And he did what was right in the eyes of the Lord and walked in all the way of David his father,  and he did not turn aside to the right or to the left.)

22:3 “ต่อ​มา​ใน​ปี​ที่ 18 แห่ง​รัชกาล​กษัตริย์​โยสิยาห์ พระราชา​ทรง​ใช้​ชาฟาน​บุตร​อาซาลิยาห์ บุตร​เมชุลลาม​ราชเลขา​ป​ยัง​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์ ตรัส​ว่า”

                (In the eighteenth year of King Josiah, the king sent Shaphan the son of Azaliah, son of   Meshullam, the secretary, to the house of the Lord, saying, )

22:4 “จงขึ้น​ไป​หา​ฮิลคียาห์​มหาปุโรหิต เพื่อ​ให้​ท่าน​นับ​เงิน​ที่​เขา​นำ​เข้า​มา​ใน​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เว ห์ ซึ่ง​ผู้​เฝ้า​ธรณี​ประตู​เก็บ​จาก​ประชาชน”

                 (“Go up to Hilkiah the high priest, that he may count the money that has been brought into the  house of the Lord, which the keepers of the threshold have collected from the people. )

22:5 “และ​ให้​มอบ​ไว้​ใน​มือ​ของ​ผู้​ทำ​หน้า​ที่​ดูแล​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เว ห์ และ​ให้​เขา​จ่าย​แก่​คนงาน​ผู้​อยู่​ใน​พระ นิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์​ เพื่อ​ซ่อมแซม​พระนิเวศ”

      (And let it be given into the hand of the workmen who have the oversight of the house  of the   Lord, and let them give it to the workmen who are at the house of the Lord, repairing the house )

22:6 “คือ​ให้​แก่​ช่างไม้ ช่าง​ก่อสร้าง และ​ช่างปูน ทั้ง​สำหรับ​ซื้อ​ไม้​และ​หิน​สกัด​เพื่อ​ซ่อมแซม​พระนิเวศ”

                 (that is, to the carpenters, and to the builders, and to the masons), and let them use it for  buying timber and quarried stone to repair the house. )

22:7 “แต่​ไม่​ต้อง​ขอ​บัญชี​จาก​เขา​เรื่อง​เงิน​ที่​มอบ​ไว้​ใน​มือ​ของ​พวกเขา เพราะ​เขา​ทำ​อย่าง​ซื่อสัตย์

                 (But no accounting shall be asked from them for the money that is delivered into their hand, for  they deal honestly.”)

22:8 “และ​ฮิลคียาห์​มหาปุโรหิต​พูด​กับ​ชาฟาน​ราชเลขา​ว่า “ข้าพเจ้า​ได้​พบ​หนังสือ​ธรรม​บัญญัติ​ใน​พระนิเวศ​ของ​ พระยาห์เวห์” และ​ฮิลคียาห์​ได้​มอบ​หนังสือ​นั้น​ให้​ชาฟาน​และ​ท่าน​ก็​อ่าน”

                 (And Hilkiah the high priest said to Shaphan the secretary, “I have found the Book of the Law in   the house of the Lord.” And Hilkiah gave the book to Shaphan, and he read it. )

22:9 “และ​ชาฟาน​ราชเลขา​ได้​เข้าเฝ้า​พระราชา​และ​ทูล​รายงาน​ต่อ​พระราชา​ว่า “พวก​ข้า​ราชการ​ของ​พระองค์​ได้​เท​เงิน​ที่​พบ​ใน​พระนิเวศ​ออก และ​ได้​มอบ​ไว้​ใน​มือ​ของ​ผู้​ทำ​หน้า​ที่​ดูแล​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์

       (And Shaphan the secretary came to the king, and reported to the king, “Your servants  have emptied out the money that was found in the house and have delivered it into the hand of  the workmen who have the oversight of the house of the Lord.” )

  22:10 “แล้ว​ชาฟาน​ราชเลขา​ได้​ทูล​พระราชา​ว่า “ฮิลคียาห์​ปุโรหิต​มอบ​หนังสือ​แก่​ข้าพระบาท​ม้วน​หนึ่ง” และ​ชาฟาน​ก็​อ่าน​ถวาย​พระราชา”

            (Then Shaphan the secretary told the king, “Hilkiah the priest has given me a book.” And  Shaphan read it before the king.)

22:11 “ต่อ​มา​เมื่อ​พระราชา​ทรง​สดับ​ถ้อยคำ​ของ​หนังสือ​ธรรม​บัญญัติ​นั้น พระองค์​ก็​ฉีก​ฉลองพระองค์”

                 (When the king heard the words of the Book of the Law, he tore his clothes. )

22:12 “แล้ว​พระราชา​ทรง​บัญชา​ฮิลคียาห์​ปุโรหิต และ​อาหิคัม​บุตร​ชาฟาน และ​อัคโบร์​บุตร​มีคายาห์​และ​ชาฟาน​ราชเลขา และ​อาสายาห์​คน​รับใช้​ของ​พระราชา ตรัส​ว่า”

           (And the king commanded Hilkiah the priest, and Ahikam the son of Shaphan, and Achbor the  son of Micaiah, and Shaphan the secretary, and Asaiah the king’s servant, saying, )

22:13 “จง ​ไป​ทูลถาม​พระยาห์เวห์​ให้​กับ​เรา และ​ให้​กับ​ประชาชน และ​ให้​กับ​ยูดาห์​ทั้งหมด เกี่ยวกับ​ถ้อยคำ​ใน​หนังสือ​นี้​ที่​ได้​พบ เพราะว่า​พระพิโรธ​ของ​พระยาห์เวห์​ซึ่ง​พลุ่ง​ขึ้น​ต่อ​พวกเรา​นั้น​ ใหญ่​หลวง​นัก เพราะว่า​บรรพบุรุษ​ของ​เรา​ไม่ได้​เชื่อฟัง​ถ้อยคำ​ของ​หนังสือ​นี้ ที่​จะ​ทำ​ทุกสิ่ง​ตาม​ที่​เขียน​ไว้​เกี่ยวกับ​พวกเรา

      (“Go, inquire of the Lord for me, and for the people, and for all Judah, concerning the words of  this book that has been found. For great is the wrath of the Lord that is kindled against  us,              because our fathers have not obeyed the words of this book, to do according to all that is  written concerning us.”)

22:14 “ฮิลคียาห์​ปุโรหิต และ​อาหิคัม และ​อัคโบร์ และ​ชาฟาน และ​อาสายาห์ จึง​ไป​หา​ฮุลดาห์​ผู้​เผย​พระวจนะ​หญิง​ผู้​เป็น​ภรรยา​ของ​ชัลลูม บุตร​ของ​ทิกวาห์​บุตร​ฮารฮัส​ผู้​ดูแล​เสื้อผ้า (นาง​อยู่​ใน​เยรูซาเล็ม​เขต​สอง) และ​พวกเขา​ได้​สนทนา​กับ​นาง”

      (So Hilkiah the priest, and Ahikam, and Achbor, and Shaphan, and Asaiah went to Huldah the  prophetess, the wife of Shallum the son of Tikvah, son of Harhas, keeper of the wardrobe (now  she lived in Jerusalem in the Second Quarter), and they talked with her. )

22:15 “และ​นาง​บอก​พวกเขา​ว่า “พระยาห์เวห์​พระเจ้า​แห่ง​อิสราเอล​ตรัส​ดังนี้​ว่า ‘จง​บอก​คน​ที่​ใช้​พวก​เจ้า​มา​หา​เรา​ว่า”

       (And she said to them, “Thus says the Lord, the God of Israel: ‘Tell the man who sent you to  me, )

22:16 “พระยาห์เวห์​ตรัส​ดังนี้​ว่า นี่แน่ะ เรา​จะ​นำ​เหตุร้าย​มา​ยัง​สถาน​ที่​นี้ และ​มา​ยัง​ชาว​เมือง​นี้ ตาม​ถ้อยคำ​ทั้งหมด​ใน​หนังสือ​ซึ่ง​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์​ได้​อ่านนั้น”

       (Thus says the Lord, Behold, I will bring disaster upon this place and upon its inhabitants, all  the words of the book that the king of Judah has read. )

22:17 “เพราะ​พวกเขา​ละทิ้ง​เรา และ​เผา​เครื่อง​หอม​ถวาย​พระ​อื่นๆ ซึ่ง​ทำ​ให้​เรา​โกรธ​ด้วย​การ​กระทำ​ทั้งหมด​จาก​มือ​ ของ​เขา ดังนั้น​ความ​โกรธ​ของ​เรา​จะ​จุด​ขึ้น​ต่อ​สถาน​ที่​นี้ และ​จะ​ดับ​ไม่ได้”

       (Because they have forsaken me and have made offerings to other gods, that they might  provoke me to anger with all the work of their hands, therefore my wrath will be kindled against      this place, and it will not be quenched. )

22:18 “ส่วน​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์​ผู้​ใช้​พวกเจ้า​มา​ถาม​พระยาห์เวห์​นั้น จง​ไป​บอก​เขา​ว่า พระยาห์เวห์​พระเจ้า​แห่ง​อิสราเอล​ตรัส​ดังนี้​ว่า เรื่อง​บรรดา​ถ้อยคำ​ที่​เจ้า​ได้​ยิน”

        (But to the king of Judah, who sent you to inquire of the Lord, thus shall you say to him, Thus  says the Lord, the God of Israel: Regarding the words that you have heard, )

22:19 “เพราะ​ใจ​ของ​เจ้า​อ่อนน้อม และ​เจ้า​ถ่อม​ตัว​ลง​เฉพาะ​พระพักตร์​พระยาห์เวห์ เมื่อ​เจ้า​ได้ยิน​ถ้อยคำ​ซึ่ง​เรา​กล่าว​โทษ​สถาน​ที่​นี้​และ​ชาว​เมือง​ นี้ ซึ่ง​จะ​กลาย​เป็น​ที่​ร้าง​และ​ที่​ถูก​แช่ง​สาป และ​เจ้า​ได้​ฉีก​เสื้อ​ผ้า​ของ​เจ้า และ​ร้องไห้​ต่อ​หน้า​เรา เรา​เอง​ก็​ได้​ยิน​เจ้า​ด้วย พระยาห์เวห์​ตรัส​ดังนี้​แหละ”

      (because your heart was penitent, and you humbled yourself before the Lord, when you heard  how I spoke against this place and against its inhabitants, that they should become a desolation   and a curse, and you have torn your clothes and wept before me, I also have heard you,   declares the Lord. )

22:20 “เพราะ​ฉะนั้น ดูสิ เรา​จะ​นำ​เจ้า​ไป​ไว้​กับ​บรรพบุรุษ​ของ​เจ้า และ​เจ้า​จะ​ถูก​นำ​ไป​ยัง​อุโมงค​์ฝัง​ศพ​ของ​เจ้า​อย่าง​ สงบ​สุข และ​ตา​ของ​เจ้า​จะ​ไม่​เห็น​เหตุร้าย​ทั้งสิ้น​ที่​เรา​จะ​นำ​มา​ยัง​ สถานที่นี้” และ​เขา​ทั้งหลาย​ได้​นำ​พระวจนะ​นั้น​มา​ทูล​พระราชา”

       (Therefore, behold, I will gather you to your fathers, and you shall be gathered to your grave in  peace, and your eyes shall not see all the disaster that I will bring upon this place.’” And they  brought back word to the king.)

 ข้อมูลมีประโยชน์

22:1     “โยสิยาห์” (Josiah) –ยรม.1:2;25:3

“มีประชนมายุ 8 พรรษา” (was eight years old)

            “ครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 31 ปี” ( he reigned thirty-one years in Jerusalem) = 640-609 ก.ค.ศ. (21:19)

“เยดีดาห์ ธิดาของอาดายาห์จากโบสคาท” (Jedidah the daughter of Adaiah of Bozkath) –ยชว .15:39, โบสคาทตั้งอยู่ในยูดาห์ ในบริเวณลาคีช (ยชว.15:39)

22:2     “พระองค์ทรงทำสิ่งที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์”(he did what was right in the eyes of the Lord) = กระทำสิ่งที่ถูกต้อง, ฉธบ.17:19;1พกษ.14:8

“ทรงดำเนินตามทางทั้งสิ้นของดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์” (walked in all the way of David his father) -18:3, โยสิยาห์เป็นกษัตริย์ที่ดีองค์สุดท้ายในวงศ์วานของดาวิดก่อนที่จะสิ้นชาติสิ้นแผ่นดินและตกเป็นเชลยของบาบิโลน

-เยเรมีย์เป็นผู้เผยพระวจนะในรัชกาลนี้ (ยรม.1:2) และได้กล่าวยกย่องโยสิยาห์อย่างมาก (ยรม.22:15-16)

-เศฟันยาห์ก็เผยพระวจนะในช่วงต้นรัชกาลของโยสิยาห์เช่นกัน (ศฟย.1:1)

22:3     “ในปีที่ 18”(In the eighteenth year) = ปี 622 ก.ค.ศ. ในเวลานั้นโยสิยาห์ อายุ 26 ปี (ข.1) เขาเริ่มรับใช้พระเจ้าอย่างซื่อสัตย์เมื่ออายุ 16 ปี (ปีที่ 8 ของรัชกาล, 2พศด.34:3) ,เมื่อเขาอายุได้ 20 ปี (ปีที่ 12 ของรัชกาล, 2พศด.34:3) เขาเริ่มขจัดการกราบไหว้รูปเคารพออกไปจากแผ่นดิน

“ชาฟาน”(Shaphan)= ราชเลขา (2ซมอ.8:17) และยังกล่าวถึงบุคคลอีก 2 คนร่วมกับชาฟานใน2พศด.34:8

22:4     “ฮิลคียาห์”(Hilkiah) = มหาปุโรหิต

= เป็นบิดาของอาซาริยาห์ และเป็นปู่ของเสไรอาห์ ซึ่งเป็นมหาปุโรหิตที่ถูกประหารชีวิตในช่วงที่เยรูซาเล็มถูกทำลายโดยบาบิโลน (25:18-21) (แต่ไม่น่าจะเป็นบิดาของเยเรมีย์ –ยรม.1:1)

“นับเงิน …ซึ่งผู้เฝ้าธรณีประตูเก็บจากประชาชน” (count the money …. which the keepers of the threshold have collected from the people.) = เงินที่ปุโรหิตที่เฝ้าประตูพระวิหารเก็บ ในเวลานี้โยสิยาห์ใช้วิธีที่โยอาชคิดค้นเพื่อเก็บเงินสำหรับการฟื้นฟูพระวิหาร (12:1-16;2พศด.34:9)

22:5     “ผู้ทำหน้าที่ดูแลพระนิเวศ” ( the workmen who have the oversight of the house) = ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้บังคับบัญชางานพระวิหาร –2พศด.34:12-13

“คนงาน…เพื่อซ่อมแซมพระนิเวศ” (the workmen … repairing the house) –2พกษ.12:5,11-14

22:6     “ซ่อมแซมพระนิเวศ” (repair the house) –2พกษ.12:11-12

22:7     “เขาทำอย่างซื่อสัตย์” (for they deal honestly.) –2พกษ.12:15

22:8     “หนังสือธรรมบัญญัติ” ( the Book of the Law) =อาจเป็นสำเนาของพระคัมภีร์หมวดเบญจบรรณทั้งหมด (หรือเป็นเพียงสำเนาทั้งหมดหรือส่วนหนึ่งของพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ) (ฉธบ.31:24-26; 2พศด.34:14) ปท. ฉธบ.28:61;กท.3:10

22:10   “ชาฟานก็อ่านถวายพระราชา” (Shaphan read it before the king) –ยรม.36:21

22:11   “พระราชาทรงสดับถ้อยคำของหนังสือธรรมบัญญัตินั้น” (the king heard the words of the Book of the Law) –2พกษ.22:8

“พระองค์ก็ฉีกฉลองพระองค์” (he tore his clothes) -18:37;ยชว.7:6

-เปรียบเทียบปฏิกิริยาของโยสิยาห์กับชองเยโฮยาคิม เมื่อได้อ่านถ้อยคำในหนังสือม้วนของเยเรมีย์ –ยรม.36:24

-คำสาปตามพันธสัญญาใน ลนต.26 และ/หรือ ฉธบ.28 ซึ่งมีโทษสูงสุด คือการถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย อาจทำให้โยสิยาห์ทุกขทรมานใจมากที่สุด

22:12   “อาหิคัม” (Ahikam)= บิดาของเกดาสิยาห์ ซึ่งภายหลังเนบูคัดเนสซาร์ได้แต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าการของยูดาห์ (25:22;ยรม.26:24;39:14)

-เกดาสิยาห์ยังเป็นผู้ช่วยชีวิตเยเรมีย์ตอนที่เขาถูกคุกคามในช่วงรัชกาลของเยโฮยาคิม (ยรม.26:24)

“อัคโบร์” ( Achbor) = บิดาของเอลนาธันซึ่งถูกกล่าวถึงใน 24:8;ยรม.26:22;36:12

อาสายาห์คนรับใช้ของพระราชา” (Asaiah the king’s servant) = มหาดเล็ก –1ซมอ.8:14

22:13   “จงไปทูลถาม” (Go, inquire) – ปฐก.25:22;1ซมอ.9:9

“พระพิโรธของพระยาห์เวห์ซึ่งพลุ่งขึ้นต่อพวกเรา” (the wrath of the Lord that is kindled against us) –ฉธบ.29:24-28;31:17;อสย.5:25;42:25;อมส.2:4

22:14   “ฮุลดาห์ผู้เผยพระวจนะหญิง” (Huldah the prophetess            ) = ภรรยาของชัลลูม -ปท. อพย.15:20; วนฉ.4:4

= อาจเป็นชัลลูมผู้เป็นอาหรือลุงของเยเรมีย์ (ยรม.32:7)

“เขตสอง” (Second Quarter) หรือ = แขวงสอง

= ส่วนหนึ่งของเมือง (ในภาษาฮีบรู วลีนี้แปลว่า “ย่านใหม่” ใน ศฟย.1:10)

= อาจตั้งอยู่บริเวณที่เพิ่งพัฒนาขึ้นใหม่ ระหว่างกำแพงชั้นแรกและชั้นที่สองทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเยรูซาเล็ม –2พกษ.33:14

22:16   “เราจะนำเหตุร้ายมายังสถานที่นี้” ( I will bring disaster upon this place) = เราจะนำหายนะทุกอย่างมายังที่แห่งนี้ –ฉธบ.31:29;ยชว.23:15;ยรม.6:19;11:11;18:11;35:17

“สถานที่นี้”= เยรูซาเล็ม

“ตามถ้อยคำทั้งหมดในหนังสือ” ( all the words of the book) –ดนล.9:11

22:17   “พวกเขาละทิ้งเรา” (they have forsaken me) –1พกษ.9:9

22:18  “ถามพระยาห์เวห์” ( inquire of the Lord) –ยรม.21:2;327:3,7

22:19   “เพราะใจของเจ้าอ่อนน้อม” (your heart was penitent)= เนื่องด้วยใจของเจ้าน้อมรับ –ข.11

“เจ้าถ่อมตัวลงเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์” ( you humbled yourself before the Lord) –อพย.10:3;อสย.57:15;16:1;มคา.6:8

“ซึ่งจะกลายเป็นที่ร้างและที่ถูกแช่งสาป” (become a desolation and a curse) –ยรม.24:9; 25:18;26:6; ปท.ลนต.26:31

22:20   “เราจะนำเจ้าไปไว้กับบรรพบุรุษของเจ้า” (I will gather you to your fathers)= รวบรวมเจ้าไปอยู่กับบรรพบุรุษ –1พกษ.1:21

“เจ้าจะถูกนำไปยังอุโมงค์ฝังศพของเจ้าอย่างสงบสุข” (you shall be gathered to your grave in peace) = คำพยากรณ์ว่า โยสิยาห์จะตายก่อนที่พระเจ้าจะพิพากษาเยรูซาเล็มผ่านทางเนบูคัดเนสซาร์

= จึงไม่ขัดแย้งกับการที่โยสิยาห์ตายในสงครามกับฟาโรห์เนโคแห่งอียิปต์ (23:29-30)

= โยสิยาห์ได้รับคำยืนยันว่า การพิพากษาขั้นสุดท้ายสำหรับยูดาห์และเยรูซาเล็มจะไม่เกิดขึ้นในสมัยของเขา –อสย.47:11;57:1;ยรม.18:11;1พกษ.21:29

 

คำถามนำอภิปราย

1.คุณเคยได้รับมอบหมายหรือให้มีความรับผิดชอบใหญ่ตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ บ้างหรือไม่? อย่างไร?

2.ในชีวิตของคุณ คุณได้ทำอะไรบ้างที่เข้าข่ายว่า “ทำสิ่งที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์?” มีเรื่องใดที่คุณภูมิใจมากที่สุด? อย่างไร ?

3.ในชีวิตของคุณมีเรื่องใดที่ทำให้คุณเสียใจมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณออกนอกลู่นอกทางของพระเจ้าไป? อย่างไร?

4.คุณเคยมีส่วนอะไรในการพัฒนาหรือฟื้นฟูคริสตจักรของคุณบ้าง? อย่างไร?

5.คุณเคยมีทีมงานที่ซื่อสัตย์ มีฝีมือที่คุณไว้ใจได้บ้างหรือไม่? คุณทำอะไรด้วยกันและอย่างไร?

6.คุณเคยสัมผัสกับพระเจ้าหรือฤทธิ์เดชของพระเจ้าผ่านการอ่านหรือฟังพระวจนะของพระเจ้าบ้างหรือไม่อย่างไร?

7.คุณเคยแสดงความเชื่อฟังต่อพระวจนะของพระเจ้าที่เด่นชัดที่สุดคือในเรื่องอะไร? อย่างไร? และผลที่ตามมาคืออะไร?

8. คุณเคยได้ยินข่าวร้ายใดที่ทำให้คุณอกสั่นขวัญแขวนมากที่สุดในชีวิตบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? และทำไม? แล้วคุณทำอะไรบ้าง? และผลเป็นอย่างไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2 พงศ์กษัตริย์ บทเรียนที่ 21

ผู้ปกครองชั่วทำแผ่นดินมัวหมอง

พระธรรม        2พงศ์กษัตริย์ 21:1-26
อ้างอิง           2พศด.33:1-20,21-25;ยรม.3:6;ฉธบ.4:25;2พกษ.3:27;12:20;14:5;16:3;18:4,12;19:4;  21:2,11,26;23:4,12,26-27;24:4;อสย.62:4

บทนำ            ผู้ใดมีอำนาจปกครองอยู่ในมือ ก็เท่ากับว่า เขาได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจนั้นเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า และนำคนอื่นให้กระทำเช่นเดียวกัน แต่หากผู้ใดใช้อำนาจที่ได้รับมานั้นกบฏต่อพระเจ้า ผู้นั้นจะต้องได้รับผลกรรมแห่งความหายนะอย่างไม่สมควร!

บทเรียน

21:1 “มนัสเสห์​มี​พระชนมายุ 12 พรรษา​เมื่อ​ทรง​เป็น​กษัตริย์ และ​ทรง​ครองราชย์​ใน​กรุง​เยรูซาเล็ม 55 ปี พระมารดา​ของ​พระองค์​มี​พระนาม​ว่า​เฮฟซีบาห์”
         (Manasseh was twelve years old when he began to reign, and he reigned fifty-five years in Jerusalem. His mother’s name was Hephzibah.)

21:2 “พระองค์​ทรง​ทำ​สิ่ง​ชั่วร้าย​ใน​สายพระเนตร​ของ​พระยาห์เวห์ ตาม​การ​กระทำ​ที่​น่า​เกลียด​น่า​ชัง​ของ​ประชาชาติ​ทั้งหลาย ซึ่ง​พระยาห์เวห์​ทรง​ขับไล่​ไป​ให้​พ้นหน้า​ประชาชน​อิสราเอล”

        (And he did what was evil in the sight of the Lord, according to the despicable practices of the nations whom the Lord drove out before the people of Israel. )

21:3 “พระองค์​ทรง​สร้าง​ปูชนียสถาน​สูง ซึ่ง​เฮเซคียาห์​พระราชบิดา​ของ​พระองค์​ได้​ทรง​ทำลาย​นั้น​ขึ้น​ใหม่ และ​พระองค์​ทรง​ตั้ง​แท่น​บูชา​ต่างๆ แด่​พระบาอัล และ​ทรง​สร้าง​พระอาเช-ราห์​เหมือน​ที่​อาหับ​พระราชา​แห่ง​อิสราเอล​ทรง​กระทำ และ​ทรง​นมัสการ​บริวาร​ทั้งหมด​ของ​ฟ้า​สวรรค์ และ​ปรนนิบัติ​สิ่ง​เหล่า​นั้น”

     (For he rebuilt the high places that Hezekiah his father had destroyed, and he erected altars for  Baal and made an Asherah, as Ahab king of Israel had done, and worshiped all the host of     heaven and served them.)

21:4 “และ​พระองค์​ทรง​สร้าง​แท่น​บูชา​ใน​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์ ซึ่ง​พระยาห์เวห์​ตรัส​ว่า “เรา​จะ​ใส่​ชื่อ​ของ​เรา​ไว้​ใน​ เยรูซาเล็ม

               (And he built altars in the house of the Lord, of which the Lord had said, “In Jerusalem will I put  my name.” )

21:5 “และ​พระองค์​ทรง​สร้าง​แท่น​บูชา​ต่างๆ แด่​บริวาร​ทั้งหมด​ของ​ฟ้า​สวรรค์​ใน​ลาน​ทั้งสอง​แห่ง​ของ​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์”

     (And he built altars for all the host of heaven in the two courts of the house of the Lord.)

21:6 “และ​พระองค์​ได้​ทรง​ให้​พระราชโอรส​ลุย​ไฟ ทรง​ดู​ฤกษ์ยาม ทรง​ทำ​เวทมนตร์ และ​ทรง​ติด​ต่อ​กับ​คนทรง​และ​พ่อมด​แม่มด พระองค์​ทรง​ทำ​สิ่ง​ชั่วร้าย​มาก​มาย​ใน​สายพระเนตร​ของ​พระยาห์เวห์ ทำ​ให้​พระองค์​ทรง​พระพิโรธ”

  (And he burned his son as an offering and used fortune-telling and omens and dealt with  mediums and with necromancers. He did much evil in the sight of the Lord, provoking him to  anger. )

21:7 “ส่วน​รูปเคารพ​ของ​พระ​อาเช-ราห์​ที่​พระองค์​ทรง​สร้าง​นั้น ทรง​ตั้ง​ไว้​ใน​พระนิเวศ​ซึ่ง​พระยาห์เวห์​ตรัส​กับ​ดาวิด​  และ​ ซาโลมอน​พระราชโอรส​ของ​ดาวิด​ว่า “ใน​นิเวศ​นี้ และ​ใน​เยรูซาเล็ม ซึ่ง​เรา​ได้​เลือก​ออก​จาก​เผ่า​ทั้งหมด​ของ​อิสราเอล เรา​จะ​ใส่​ชื่อ​ของ​เรา​ไว้​เป็น​นิตย์”

           (And the carved image of Asherah that he had made he set in the house of which the Lord said  to David and to Solomon his son, “In this house, and in Jerusalem, which I have chosen out of all   the tribes of Israel, I will put my name forever.)

21:8 “เรา​จะ​ไม่​ให้​เท้า​ของ​อิสราเอล​พเนจร​ออก​จาก​แผ่นดิน​ที่​เรา​ให้​กับ​ บรรพบุรุษ​ของ​พวก​เขา​อีก ถ้า​เพียง​แต่​พวกเขา​ระมัดระวัง​ที่​จะ​ทำ​ตาม​ทุก​สิ่ง​ซึ่ง​เรา​ได้​ บัญชา​เขา และ​ทำ​ตาม​ธรรม​บัญญัติ​ทั้งสิ้น​ที่​โมเสส​ผู้​รับใช้​ของ​เรา​บัญชา​เขา

          (And I will not cause the feet of Israel to wander anymore out of the land that I gave to their  fathers, if only they will be careful to do according to all that I have commanded them, and          according to all the Law that my servant Moses commanded them.” )

21:9 “แต่​พวกเขา​ไม่​ฟัง และ​มนัสเสห์​ทรง​นำ​พวก​เขา​ให้​หลง​ทำ​ชั่ว​ยิ่ง​กว่า​บรรดา ประชาชาติ ซึ่ง​พระยาห์เวห์​ทรง​ทำ‍ลาย​ให้​พ้น​หน้า​ประชาชน​อิสราเอล”

           (But they did not listen, and Manasseh led them astray to do more evil than the nations had done  whom the Lord destroyed before the people of Israel. Manasseh’s Idolatry Denounced)

21:10 “และ​พระยาห์เวห์​ตรัส​ทาง​พวก​ผู้​เผย​พระวจนะ​ผู้​รับใช้​ของ​พระองค์​ว่า”

                 (And the Lord said by his servants the prophets, )

21:11 “เพราะ​มนัสเสห์​พระราชา​แห่ง​ยูดาห์​ทำ​สิ่ง​ที่​น่า​เกลียด​น่า​ชัง​เหล่านี้ และ​ทำ​ชั่ว​ยิ่งกว่า​ที่​คน​อาโมไรต์​ผู้​อยู่​ก่อน​ เขา​ได้​ทำ​ทั้งหมด อีก​ทั้ง​ยัง​ทำ​ให้​ยูดาห์​ทำ​บาป​ด้วย​บรรดา​รูปเคารพ​ของ​เขา”

           (“Because Manasseh king of Judah has committed these abominations and has done things more evil than all that the Amorites did, who were before him, and has made Judah also to sin     with his idols, )

21:12 “เพราะ​ฉะนั้น พระยาห์เวห์​พระเจ้า​แห่ง​อิสราเอล​ตรัส​ดังนี้​ว่า นี่แน่ะ เรา​กำลัง​นำ​เหตุร้าย​มา​เหนือ​เยรูซาเล็ม​  และ​ยูดาห์อย่าง​ที่​ทุก​คน​ซึ่ง​ได้​ยิน​แล้วหู​ทั้งสอง​ข้าง​ของ​เขา​จะ​อื้อ​ไป”

          (therefore thus says the Lord, the God of Israel: Behold, I am bringing upon Jerusalem and  Judah such disaster that the ears of everyone who hears of it will tingle. )

21:13 “และ​เรา​จะ​วัด​กรุง​เยรูซาเล็ม​โดย​ใช้​เชือก​เส้น​เดียว​กับ​ที่​เรา​วัดกรุง​สะมาเรีย และ​ใช้​ลูกดิ่ง​อัน​เดียว​กับ​ที่​วัด​ราชวงศ์​อาหับ และ​เรา​จะ​ล้าง​เยรูซาเล็ม​อย่าง​เขา​ล้าง​ชาม คือ​ล้าง​แล้ว​ก็​คว่ำ​ลง”

         (And I will stretch over Jerusalem the measuring line of Samaria, and the plumb line of the  house of Ahab, and I will wipe Jerusalem as one wipes a dish, wiping it and turning it upside       down. )

21:14 “และ​เรา​จะ​ทิ้ง​มรดก​ส่วน​ที่​เหลือ​ของ​เรา​เสีย และ​มอบ​พวกเขา​ไว้​ใน​มือ​ศัตรู​ของ​เขา และ​เขา​จะ​เป็น​เหยื่อ​และ​ เป็น​ของ​ริบ​ของ​ศัตรู​ทั้งหมด​ของ​เขา”

     (And I will forsake the remnant of my heritage and give them into the hand of their enemies, and  they shall become a prey and a spoil to all their enemies, )

21:15 “เพราะ​พวกเขา​ทำ​สิ่ง​ชั่วร้าย​ใน​สายตา​ของ​เรา และ​ทำ​ให้​เรา​โกรธตั้งแต่​วัน​ที่​บรรพบุรุษ​ของ​เขา​ออก​จาก​อียิปต์​จน​ถึง​ทุก​วันนี้

             (because they have done what is evil in my sight and have provoked me to anger, since the  day their fathers came out of Egypt, even to this day.”)

21:16 “ยิ่งกว่า​นั้น​อีก มนัสเสห์​ทรง​ทำ​ให้​โลหิต​ไร้​ความ​ผิด​ตก​เป็น​อัน​มากจน​เต็ม​กรุง​เยรูซาเล็ม​จาก​ด้าน​หนึ่ง​ถึง​อีก​ด้าน​หนึ่งนอกเหนือ​จาก​บาป​ที่​ทรง​ทำ​ให้​ยูดาห์​ทำ​ผิด​ด้วย โดย​ทำ​สิ่ง​ชั่วร้าย​ใน​สายพระเนตร​ของ​พระยาห์เวห์”

        (Moreover, Manasseh shed very much innocent blood, till he had filled Jerusalem from one end  to another, besides the sin that he made Judah to sin so that they did what was evil in the sight  of the Lord.)

21:17 “ส่วน​พระราชกิจ​อื่นๆ ของ​มนัสเสห์ และ​ทุกสิ่ง​ที่​ทรง​กระทำ และ​บาป​ซึ่ง​ทรง​กระทำได้​บันทึก​ไว้​ใน​หนังสือ​ พงศาวดาร​กษัตริย์แห่ง​ยูดาห์​ไม่​ใช่​หรือ
           (Now the rest of the acts of Manasseh and all that he did, and the sin that he committed, are  they not written in the Book of the Chronicles of the Kings of Judah? )

21:18 “และ​มนัสเสห์​ทรง​ล่วงหลับ​ไป​อยู่​กับ​บรรพบุรุษ และ​ทรง​ถูก​ฝัง​ไว้​ใน​พระอุทยาน​ของ​พระราชวัง​ของ​พระองค์​ใน​สวน​ของ​อุสซา และ​อาโมน​พระราชโอรส​ของ​พระองค์​ได้​ขึ้น​ครองราชย์​แทน”

          (And Manasseh slept with his fathers and was buried in the garden of his house, in the garden  of Uzza, and Amon his son reigned in his place. Amon Reigns in Judah)

21:19 “อาโมน​มี​พระชนมายุ 22 พรรษา​เมื่อ​ทรง​เป็น​กษัตริย์ และ​ทรง​ครองราชย์​ใน​กรุง​เยรูซาเล็ม 2 ปี พระมารดา​ของ​พระองค์​มี​พระนาม​ว่า เมชุลเลเมทบุตร​หญิง​ของ​ฮารูส​ชาว​โยทบาห์”

         (Amon was twenty-two years old when he began to reign, and he reigned two years in  Jerusalem. His mother’s name was Meshullemeth the daughter of Haruz of Jotbah. )

21:20 “พระองค์​ทรง​ทำ​สิ่ง​ชั่วร้าย​ใน​สายพระเนตร​ของ​พระยาห์เวห์เหมือน​มนัสเสห์​พระราชบิดา​ของ​พระองค์​ทรง​กระทำ”

                 (And he did what was evil in the sight of the Lord, as Manasseh his father had done. )

21:21 “พระองค์​ทรง​ดำเนิน​ใน​ทาง​ทั้งสิ้น​ที่​พระราชบิดา​ของ​พระองค์​ทรง​ดำเนิน และ​ปรนนิบัติ​รูปเคารพ​ซึ่ง​พระราชบิดา​ของ​พระองค์​ทรง​ปรนนิบัติ และ​นมัสการ​รูป​เหล่านั้น”

         (He walked in all the way in which his father walked and served the idols that his father served  and worshiped them. )

21:22 “พระองค์​ทรง​ละทิ้ง​พระยาห์เวห์​พระเจ้า​แห่ง​บรรพบุรุษ​ของ​พระองค์ และ​ไม่ได้​ทรง​ดำเนิน​ใน​มรรคา​ของ​พระยาห์เวห์”

                  (He abandoned the Lord, the God of his fathers, and did not walk in the way of the Lord. )

21:23 “ข้า​ราชการ​ของ​อาโมน​ได้​ร่วม​กัน​คิด​กบฏ และ​ปลง​พระชนม์​พระราชา​ใน​พระราชวัง​ของ​พระองค์”

                 (And the servants of Amon conspired against him and put the king to death in his house.)

21:24 “แต่​ประชาชน​ใน​แผ่นดิน​ได้​ฆ่า​ทุก​คน​ที่​ร่วม​กัน​คิด​กบฏ​ต่อ​กษัตริย์​อาโมน แล้ว​ประชาชน​ใน​แผ่นดิน​ตั้ง​โยสิยาห์​พระราชโอรส​ของ​พระองค์​ให้​เป็น​พระราชา​แทน”

                  (But the people of the land struck down all those who had conspired against King Amon, and  the people of the land made Josiah his son king in his place. )

21:25 “ส่วน​พระราชกิจ​อื่นๆ ของ​อาโมน​ที่​ทรง​กระทำได้​บันทึก​ไว้​ใน​หนังสือ​พงศาวดาร​กษัตริย์​แห่ง​ยูดาห์​ไม่​ใช่​ หรือ?”

                 (Now the rest of the acts of Amon that he did, are they not written in the Book of the Chronicles  of the Kings of Judah? )

21:26 “และ​พระองค์​ทรง​ถูก​ฝัง​ไว้​ใน​อุโมงค์​ฝังศพ​ของ​พระองค์​ใน​สวน​ของ​อุสซา และ​โยสิยาห์​พระราชโอรส​ของ​พระองค์​ได้​ขึ้น​ครองราชย์​แทน”

                 (And he was buried in his tomb in the garden of Uzza, and Josiah his son reigned in his place.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

21:1.    “มนัสเสห์” ( Manasseh) = โอรสของเฮเซคียาห์ เปรียบเหมือนอาหับแห่งยูดาห์ (1พกษ.16:30-33)

“มีพระชนมายุ 12 พรรษา” (was twelve years old) = เกิดหลังจากที่เฮเซคียาห์ป่วยหนัก (20:6)

“ครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 55 ปี” (he reigned fifty-five years in Jerusalem) = 697-642 ก.ค.ศ. รวมช่วงเวลาที่ปกครองร่วมกับบิดา (697-686 ก.ค.ศ.)

= ปกครองยาวที่สุดมากกว่ากษัตริย์องค์ใดในประวัติศาสตร์ของอิสราเอลหรือยูดาห์

21:2     “ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์” (he did what was evil in the sight of theLord)

=มนัสเสห์กระทำตัวตรงข้ามกับเฮเซคียาห์ในเรื่องนโยบายทางศาสนา (18:3-5) และย้อนกลับไปทำเหมือนอาหัส (16:3)

21:3     “ปูชนียสถานสูง” (the high places) -18:4;2พศด.31:1 = สร้างปูชนียสถานสูงซึ่งเฮเซคียาห์บิดาได้ทำลายทิ้ง

“พระอาเชราห์” (Asherah) –1พกษ.14:15;23;15:13;16:33

“นมัสการบริวารทั้งหมดของฟ้าสวรรค์” (worshiped all the host of heaven ) -17:16

21:4     “สร้างแท่นบูชาในพระนิเวศของพระยาห์เวห์” (built altars in the house of theLord) –อสย.66:4; ยรม.4:1;7:30;23:11;32:34;อสค.23:39

“เราจะใส่ชื่อของเราไว้ในเยรูซาเล็ม” (In Jerusalem will I put my name) -1พกษ.8:20,29;9:3; อพย.20:24;2ซมอ.7:17

21:5     “แด่บริวารทั้งหมดของฟ้าสวรรค์”(all the host of heaven) –21:3;ปท.1พกษ.7:12;2พกษ.23:12

21:6     “ให้พระราชโอรสลุยไฟ”(burned his son) -3:27;16:3;17:17;ลนต.18:21;ฉธบ.18:20

“ดูฤกษ์ยาม”(used fortune-telling ) และ “ทำเวทมนตร์” (omen) -16:15;17:17;ฉธบ.18:14

“ติดต่อกับคนทรงและพ่อมดแม่มด” (dealt with mediums and with necromancers) –ลนต.19:31; ฉธบ.18:11;1ซมอ.28:3,7-9

21:7     “รูปเคารพของพระอาเชราห์” (carved image of Asherah) –1พกษ.14:15;ฉธบ.16:21;2พกษ.23:4

21:9     “บรรดาประชาชาติซึ่งพระยาห์เวห์ทรงทำลายให้พ้นหน้าประชาชนอิสราเอล” (the nations had done whom the Lord destroyed before the people of Israel.)–1พกษ.14:24;ฉธบ.12:29-31;31:3

21:10   “ผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์” (servants the prophets) –1พศด.33:10,18

21:11   “ทำชั่วยิ่งกว่าชาวอาโมไรต์” ( has done things more evil than all that the Amorites did) –1พกษ.21:26

“บรรดารูปเคารพ” (with his idols) –ลนต.26:30

21:12   “เหตุร้ายมาเหนือเยรูซาเล็ม” (bringing upon Jerusalem) = กลายเป็นจริงเมื่อบาบิโลนทำลายเยรูซาเล็มครั้งสุดท้ายใน 586 ก.ค.ศ. (บทที่ 25)

ทุกคนที่ได้ยินแล้ว…หูทั้งสองข้างของเขาจะอื้อไป” (that the ears of everyone who hears of it will tingle. ) –ยรม.19:3

21:13   “จะวัดกรุงเยรูซาเล็มโดยใช้เชื่อกเส้นเดียวกับที่เราวัดกรุงสะมาเรีย…”( will stretch over Jerusalem the measuring line of Samaria…)= เครื่องมือที่ใช้ในการก่อสร้างถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ถึงการทำลายล้าง

“เราจะล้างเยรูซาเล็มอย่างเขาล้างชาม” (will wipe Jerusalem as one wipes a dish) –อสย.34:11; อมส.7:7-9,17

21:14   “เราจะทิ้ง” (will forsake            ) = ในแง่ของการปล่อยให้ถูกพิพากษา (ยรม.12:7), ไม่ใช่การเลิกล้มพันธสัญญา (1ซมอ.12:22;อสย.43:1-7)

“มรดกส่วนที่เหลือของเรา” (the remnant of my heritage) = ชนชาติที่เหลือที่เป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า

= เมื่ออาณาจักรเหนือถูกทำลายล้าง ยูดาห์ก็คือมรดกหรือกลุ่มชนที่เหลืออยู่ของพระเจ้า (1พกษ.8:51;ฉธบ.4:20;1ซมอ.10:1;สดด.28:9;2พกษ.19:4)

21:15   “ทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาของเรา” (done what is evil in my sight) = ตลอดประวัติศาสตร์ของอิสราเอล คือ ประวัติศาสตร์ของการละเมิดพันธสัญญา

-ในรัชกาลมนัสเสห์พระพิโรธของพระเจ้าและการพิพากษาก็มาถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะบาปที่เขาทำ (24:1-4)

นั่นคือ การถูกกวาดต้อนไปจากดินแดนแห่งพระสัญญา (17:7-23)

21:16   “ทำให้โลหิตไร้ความผิดตกเป็นอันมาก” (shed very much innocent blood, )

= ประหารคนบริสุทธิ์ผู้ที่เป็นประชากรที่ยำเกรงพระเจ้า (อาจรวมถึงผู้เผยพระวจนะ) เพราะพวกเขาต่อต้านความชั่วร้ายของมนัสเสห์ (ข้อ 10-11)

-ตามตำนานเล่าว่า อิสยาห์ถูกเลื่อยเป็น 2 ท่อนในรัชกาลของนมัสเสห์ (ฮบ.11:37)

21:17   “พระราชกิจอื่นๆ ของมนัสเสห์” (the rest of the acts of Manasseh) –2พศด.33:12-19

“พงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์” ( the Chronicles of the Kings of Judah) –1พกษ.14:29

21:18   “ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ” (slept with his fathers ) -1พกษ.1:21

“อุสซา” (Uzza) = อาจเป็นชื่อย่อของอุสซียาห์ อาจแปลได้ว่า พระราชวังของอุสซียาห์ (14:21;2พศด.26:1)

21:19   “ 2 ปี” ( two years) = 642-640 ก.ค.ศ.

“โยทบาห์” (Jotbah) อาจ = โยทบาราห์ ใน กดว.33:33-34;ฉธบ.10:7 , ใกล้เอซีโอนเกเบอร์ (แต่บางคนรวมทั้ง เจโรม บรรพชนของคริสตจักรยุคแรกระบุว่า อยู่ในยูดาห์)

21:20   “ทำสิ่งชั่วร้าย” (did what was evil ) = อาโมนไม่ได้กลับใจเหมือนกันที่มนัสเสห์ผู้เป็นบิดาให้กลับใจในช่วงบั้นปลายชีวิต (2พศด.33:12-19)

-อาโมน คงฟื้นฟูธรรมเนียมการกราบไว้รูปเคารพที่มนัสเสห์ล้มล้างไปขึ้นมาใหม่ เพราะธรรมเนียมเหล่านี้กลับมาปรากฏอีกครั้งในรัชกาลโยสิยาห์ (23:5-7,12)

21:23   “ร่วมกันคิดกบฏ และปลงพระชนม์พระราชา” (conspired against him and put the king to death) –2พกษ.12:20

21:24   “ประชาชนในแผ่นดิน” (the people of the land) = ประชาชนทั่วไป (11:14,18;14:21;23:30)

21:25   “หนังสือพงศาวดารกษัตริย์แห่งยูดาห์” ( the Book of the Chronicles of the Kings of Judah) –1พกษ.14:29

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยแปลกใจไหมว่า ทำไมคนชั่วจึงอายุยืน และคนดีอายุสั้น? แล้วคุณได้ข้อคิดอะไรบ้าง?
  2. มนัสเสห์กระทำสิ่งชั่วใดบ้าง ที่คุณคิดว่า เขาไม่น่าทำเช่นนั้น? มีอะไรบ้าง? และทำไม?
  3. ถ้าคุณเป็นมนัสเสห์ คุณจะทำอะไรที่แตกต่างจากที่เขากระทำบ้าง? ทำไม?
  4. ทำไมอิสราเอลประชากรของพระเจ้าจึงไม่ปฏิบัติตามคำสอนและบัญญัติของพระเจ้า? มีอะไรบ้างที่คุณก็ทำคล้าย ๆ กับพวกเขา?
  5. คุณเคยเห็นภัยพิบัติใดที่เกิดขึ้นกับผู้เชื่อที่คุณคิดว่า น่ากลัวที่สุด? ทำไมจึงเกิดขึ้น? (อะไรคือสาเหตุ) และคุณได้รับบทเรียนอะไรจากสิ่งที่เห็นบ้าง?
  6. เคยมีใครชักจูงคุณให้ทำบาปบ้าง ในเรื่องอะไร? หรือคุณเคยชักจูงใครให้ทำผิดบาปบ้าง? ในเรื่องอะไร? และผลเป็นอย่างไร?
  7. คุณเคยละทิ้งพระเจ้าหรือเคยเห็นผู้ใดละทิ้งพระองค์บ้างหรือไม่? อะไรคือสาเหตุ และมีอะไรเกิดขึ้นตามมาบ้าง? มีบทเรียนสำคัญอะไรต่อคุณบ้าง?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียน 2 พงศ์กษัตริย์ บทที่ 20

รอดโดยพระคุณ แต่พังเพราะการโอ้อวด

พระธรรม        2พงศ์กษัตริย์ 20:1-21

อ้างอิง            2พศด.32:24-26;32-33;อสย.38:1-8;39:1-8

บทนำ                 พระเจ้าทรงมีพระคุณแก่คนที่ติดตามพระองค์อยู่เสมอมา และเสมอไป   แต่บางครั้งเราอาจนำเอาปัญหามาสู่ตัวเองอย่างไม่จำเป็น

ดังนั้น จงระวังไว้เสอมว่า ในยามที่พระเจ้าทรงอวยพรหรือช่วยเหลือเรา อย่าให้เราหลงระเริงจนประมาทขาดสติยั้งคิด เพราะว่า ผลลัพธ์หรือหายนะที่จะเกิดขึ้นตามมานั้นอาจหนักหนาสาหัสจนเกินกว่าที่เราจะรับได้!

บทเรียน

20:1 “ใน ​เวลา​นั้น เฮเซคียาห์​ประชวร​ใกล้​จะ​สิ้น​พระชนม์ และ​ผู้​เผย​พระวจนะ​อิสยาห์​บุตร​อามอส​เข้า​มา​เฝ้า​พระองค์และ​ทูล​พระองค์​ว่า “พระยาห์เวห์​ตรัส​ดังนี้​ว่า ‘จง​จัด​การ​บ้าน​เมือง​ของ​เจ้า​ให้​เรียบร้อย เจ้า​กำลัง​จะ​ตาย​และ​ไม่​ฟื้น

   (In those days Hezekiah became sick and was at the point of death. And Isaiah the prophet the son of Amoz came to him and said to him, “Thus says the Lord, ‘Set your house in order, for       you shall die; you shall not recover.’” )

20:2 “แล้ว​เฮเซคียาห์​หัน​พระพักตร์​เข้า​ข้างฝา และ​อธิษฐาน​ต่อ​พระยาห์เวห์​ว่า”

         (Then Hezekiah turned his face to the wall and prayed to the Lord, saying, )

20:3 “ข้าแต่ ​พระยาห์เวห์ ขอ​ทรง​ระลึก​ว่า ข้า​พระองค์​ดำเนิน​อยู่​เฉพาะ​พระพักตร์​ของ​พระองค์​ด้วย​ความ​ ซื่อสัตย์​  และ​ด้วย​ความ​เต็ม​ใจ และ​ได้​ทำ​สิ่ง​ดี​ใน​สายพระเนตร​ของ​พระองค์” แล้ว​เฮเซคียาห์​ทรง​กันแสง​มาก”

                 (“Now, O Lord, please remember how I have walked before you in faithfulness and with a whole heart, and have done what is good in your sight.” And Hezekiah wept bitterly. )

20:4 “และ​ก่อน​ที่​อิสยาห์​จะ​ออก​ไป​ถึง​ลาน​กลาง พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์​มา​ถึง​ท่าน​ว่า”

                 (And before Isaiah had gone out of the middle court, the word of the Lord came to him: )

20:5 “จง​กลับ​ไป​บอก​เฮเซคียาห์​ผู้นำ​ประชากร​ของ​เรา​ว่า พระยาห์เวห์​พระเจ้า​ของ​ดาวิด​บรรพบุรุษ​ของ​เจ้า ตรัส​ดังนี้​ ว่า เรา​ได้​ยิน​คำ​อธิษฐาน​ของ​เจ้า​แล้ว เรา​ได้​เห็น​น้ำตา​ของ​เจ้า​แล้ว ดูสิ เรา​จะ​รักษา​เจ้า ใน​วัน​ที่​สาม เจ้า​จะ​ขึ้น​ไป​ยัง​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เวห์”

       (“Turn back, and say to Hezekiah the leader of my people, Thus says the Lord, the God of  David your father: I have heard your prayer; I have seen your tears. Behold, I will heal you. On       the third day you shall go up to the house of the Lord, )

20:6 และ ​เรา​จะ​เพิ่ม​ชีวิต​ของ​เจ้า​อีก 15 ปี เรา​จะ​ช่วย​กู้​เจ้า​และ​เมือง​นี้​จาก​มือ​ของ​พระราชา​แห่ง​อัสซีเรีย และ​จะ​ป้องกัน​เมือง​นี้​ไว้​เพื่อ​เห็นแก่​เรา​เอง และ​เพื่อ​เห็นแก่​ดาวิด​ผู้​รับใช้​ของ​เรา

         (and I will add fifteen years to your life. I will deliver you and this city out of the hand of the king   of Assyria, and I will defend this city for my own sake and for my servant David’s sake.” )

20:7 “และ​อิสยาห์​บอก​ว่า “พวกท่าน​จง​เอา​ขนม​มะเดื่อ​มา​อัน​หนึ่ง” พวกเขา​ก็​เอา​มา​วางไว้​บน​พระยอด​นั้น แล้ว​ เฮเซคียาห์​ก็​ทรง​หาย​เป็น​ปกติ”

               (And Isaiah said, “Bring a cake of figs. And let them take and lay it on the boil, that he may   recover.”)

20:8 “และ​เฮเซคียาห์​ตรัส​กับ​อิสยาห์​ว่า “อะไร​เป็น​หมาย​สำคัญ​ที่​แสดง​ว่า​พระยาห์เวห์​จะ​ทรง​รักษา​ข้า พเจ้า และ​ที่​  แสดง​ว่า​ข้าพเจ้า​จะ​ได้​ขึ้น​ไป​ยัง​พระนิเวศ​ของ​พระยาห์เว ห์​ใน​วัน​ที่​สาม

                 (And Hezekiah said to Isaiah, “What shall be the sign that the Lord will heal me, and that I shall      go up to the house of the Lord on the third day?” )

20:9 “และ​อิสยาห์​ทูล​ว่า “นี้​เป็น​หมาย​สำคัญ​สำหรับ​ฝ่า​พระบาท​จาก​พระยาห์เวห์ ที่​พระยาห์เวห์​จะ​ทรง​ทำ​ตาม​ที่​พระองค์​ตรัส​ไว้ คือ​จะ​ให้​เงา​คืบหน้า​ไป​สิบ​ขั้น หรือ​จะ​ให้​ย้อนกลับ​มา​สิบ​ขั้น​ดี?”

               (And Isaiah said, “This shall be the sign to you from the Lord, that the Lord will do the thing that   he has promised: shall the shadow go forward ten steps, or go back ten steps?” )

20:10 “เฮเซคียาห์​ตรัส​ตอบ​ว่า “เป็น​เรื่อง​ง่าย​ที่​เงา​จะ​ยาว​ออก​ไป​อีก​สิบ​ขั้น แต่​ขอ​ให้​เงา​ย้อนกลับ​มา​สิบ​ขั้น

(And Hezekiah answered, “It is an easy thing for the shadow to lengthen ten steps. Rather let the  shadow go back ten steps.” )

20:11 “และ​อิสยาห์​ผู้​เผย​พระวจนะ​ได้​ร้องทูล​พระยาห์เวห์ และ​พระองค์​ทรง​นำ​เงา​ซึ่ง​เลย​ไป​ใน​นาฬิกา​แดด​ของ​อาหัส​ ย้อน​กลับ ​มา​สิบ​ขั้น”

       (And Isaiah the prophet called to the Lord, and he brought the shadow back ten steps, by  which it had gone down on the steps of Ahaz)

20:12 “คราว​นั้น เมโรดัคบาลาดัน พระราชโอรส​ของ​บาลาดัน พระราชา​แห่ง​บาบิโลน ทรง​ส่ง​พระราชสาร​และ​เครื่อง​บรรณา​การ​มา​ยัง​เฮเซคียาห์ เพราะ​พระองค์​ทรง​ได้​ยิน​ว่า​เฮเซคียาห์​ประชวร”

         (At that time Merodach-baladan the son of Baladan, king of Babylon, sent envoys with letters  and a present to Hezekiah, for he heard that Hezekiah had been sick. )

20:13 “และ​เฮเซคียาห์​ได้​ทรง​ต้อนรับ​พวกเขา และ​ทรง​พา​พวกเขา​ชม​คลัง​ทรัพย์​ทั้งหมด​ของ​พระองค์ ให้​ชม​เงิน ทองคำ เครื่อง​เทศ น้ำมัน​อย่าง​ดี และ​คลัง​พระแสง​ ของ​พระองค์ และ​ทุก​อย่าง​ซึ่ง​มี​ใน​ท้อง​พระคลัง ไม่มี​สิ่งใด​ใน​พระราชวัง​หรือ​ใน​ราชอาณาจักร​ทั้งสิ้น​ของ​ พระองค์ ซึ่ง​เฮเซคียาห์​ไม่ได้​สำแดง​แก่​เขา”

      (And Hezekiah welcomed them, and he showed them all his treasure house, the silver, the gold,     the spices, the precious oil, his armory, all that was found in his storehouses. There was nothing  in his house or in all his realm that Hezekiah did not show them. )

20:14 “แล้ว​อิสยาห์​ผู้​เผย​พระวจนะ​ก็​เข้าเฝ้า​กษัตริย์​เฮเซคียาห์ และ​ทูล​พระองค์​ว่า “คน​เหล่านี้​ทูล​อะไร​บ้าง? และ​เขา​มา​เฝ้า​พระองค์​จาก​ที่​ไหน?” และ​เฮเซคียาห์​ตรัส​ว่า “เขา​มา​จาก​เมือง​ไกล​คือ​จาก​บาบิโลน

       (Then Isaiah the prophet came to King Hezekiah, and said to him, “What did these men say?   And from where did they come to you?” And Hezekiah said, “They have come from a far         country, from Babylon.” )

20:15 “ท่าน​ทูล​ว่า “พวกเขา​เห็น​อะไร​ใน​พระราชวัง​ของ​พระองค์​บ้าง?” และ​เฮเซคียาห์​ตรัส​ตอบ​ว่า “เขา​เห็น​ทุก​อย่าง​ใน​วัง​ของ​เรา ไม่มี​สิ่งใด​ใน​พระคลัง​ของ​เรา​ที่​เรา​ไม่ได้​สำแดง​แก่​เขา

                 (He said, “What have they seen in your house?” And Hezekiah answered, “They have seen all   that is in my house; there is nothing in my storehouses that I did not show them.”)

20:16 “แล้ว​อิสยาห์​ทูล​เฮเซคียาห์​ว่า “จง​ฟัง​พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์”

                 (Then Isaiah said to Hezekiah, “Hear the word of the Lord: )

20:17 “นี่แน่ะ วัน​เวลา​กำลัง​มา​ถึง​เมื่อ​ทุก​สิ่ง​ใน​วัง​ของ​เจ้า และ​สิ่ง​ที่​บรรพบุรุษ​ของ​เจ้า​ได้​สะสม​มา​จน​ถึง​ทุก​วันนี้ จะ​ต้อง​ถูก​เอา​ไป​ยัง​บาบิโลน และ​ไม่มี​สิ่ง​ใด​เหลือ​เลย พระยาห์เวห์​ตรัส​ดังนี้​แหละ”

                   (Behold, the days are coming, when all that is in your house, and that which your fathers have  stored up till this day, shall be carried to Babylon. Nothing shall be left, says the Lord. )

20:18 “และ​ลูก​บางคน​ซึ่ง​ถือ​กำเนิด​จาก​เจ้า ผู้​ซึ่ง​เกิด​แก่​เจ้า จะ​ถูก​นำ​เอา​ไป และ​พวกเขา​จะ​ไป​เป็น​ขันที​ใน​พระราชวัง​ของ​พระราชา​แห่ง​บาบิโลน

       (And some of your own sons, who shall be born to you, shall be taken away, and they shall be eunuchs in the palace of the king of Babylon.” )

20:19 “แล้ว​เฮเซคียาห์​ตรัส​กับ​อิสยาห์​ว่า “พระวจนะ​ของ​พระยาห์เวห์​ซึ่ง​ท่าน​กล่าว​นั้น​ดี​แล้ว” ที่​ตรัส​อย่าง​นี้​เพราะ​ทรง​คิด​ว่า “ก็​ดี​แล้ว​มิใช่​หรือ? ใน​เมื่อ​มี​ความ​อยู่​เย็น​เป็น​สุข​และ​ความ​ปลอดภัย​ใน​สมัย​ของ​เรา

                   (Then Hezekiah said to Isaiah, “The word of the Lord that you have spoken is good.” For he  thought, “Why not, if there will be peace and security in my days?”)

20:20 “ส่วน​พระราชกิจ​อื่นๆ ของ​เฮเซคียาห์ และ​พระราช​อำนาจ​ทั้งสิ้น​ของ​พระองค์ และ​การ​ที่​พระองค์​ทรง​สร้าง​สระ​และ​ราง​ระบาย​น้ำ นำ​น้ำ​เข้า​มา​ใน​กรุง​อย่างไร ได้​บันทึก​ไว้​ใน​หนังสือ​พงศาวดาร​กษัตริย์​แห่ง​ยูดาห์​ไม่​ใช่​หรือ?”
       (The rest of the deeds of Hezekiah and all his might and how he made the pool and the conduit  and brought water into the city, are they not written in the Book of the Chronicles of the Kings    of Judah?

20:21 “และ​เฮเซคียาห์​ทรง​ล่วงหลับ​ไป​อยู่​กับ​บรรพบุรุษ และ​มนัสเสห์​พระราชโอรส​ของ​พระองค์​ได้​ขึ้น​ครองราชย์​ แทน”

                   (And Hezekiah slept with his fathers, and Manasseh his son reigned in his place.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

20:1     “ในเวลานั้น” (In those days) = ช่วงเวลาที่กษัตริย์เฮเซคียาห์เจ็บป่วย (ข.1-11)

= อาการเจ็บป่วยนี้เกิดก่อนเขาเสียชีวิตประมาณ 15 ปี (ข.6) ดังนั้นในเวลานั้น เขาน่าจะอายุราว ๆ 37-38 ปี โดยสันนิษฐานว่า เขาเริ่มครองราชย์เพียงผู้เดียว เมื่ออายุ 25 ปี ในปี 715 ก.ค.ศ.

“อิสยาห์บุตรอามอส” (Isaiah the son of Amoz) –ถูกกล่าวถึงครั้งแรกใน 19:2

20:3     “ดำเนินอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ด้วยความซื่อสัตย์และด้วยความเต็มใจ”(walked before you in faithfulness and with a whole heart)

= เฮเซคียาห์ แสดงออกว่า เขารับรู้ว่า พระเจ้าเมตตาต่อผู้รับใช้พระองค์อย่างจริงใจ เขามิได้อ้อนวอนขอความช่วยเหลือเพื่อทดแทนความประพฤติดีของเขา (2ซมอ.22:21)

20:5     “เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าแล้ว” (I have heard your prayer) –1พกษ.9:3

“เราได้เห็นน้ำตาของเจ้าแล้ว” (I have seen your tears) –สดด.6:6,8;39:12;56:8

          “เราจะรักษาเจ้า” (I will heal you) = พระเจ้าเป็นผู้กำหนดทุกสิ่งที่เกิดขึ้น (สดด.139:16;อฟ.1:11)

การทูลขอของเฮเซคียาห์ และการตอบสนองของพระเจ้าแสดงว่า

  1. พระเจ้ามีฤทธิ์อำนาจสูงสุด และอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเจ้านั้นเป็นพื้นฐานแห่งคำอธิษฐานของเขา
  2. ทั้งคำอธิษฐานด้วยความถ่อมใจ/กลับใจและการตอบสนองของพระเจ้าต่อการสำนึกผิดบาปมีผลกระทบต่อชีวิตของเขา (1พกษ.21:29;อสค.33:13-16)

20:6     “เราจะเพิ่มอายุของเจ้าอีก 15 ปี” (I will add fifteen years to your life) = เฮเซคียาห์เสียชีวิตในปี 686 ก.ค.ศ. ดังนั้น จุดเริ่มต้นของการต่ออายุของเขาจึงไม่เกินปี 702 ก.ค.ศ.

“เพื่อเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา” (for my servant David’s sake) –19:34;1พกษ.11:13

20:7     “พวกท่านจงเอาขนมมะเดื่อมาอันหนึ่ง” (Bring a cake of figs) = เตรียมยาพอกจากมะเดื่อมาพอกที่ฝี (อพย.9:9) = พระเจ้าทรงรักษาเขาให้หายโดยใช้ยาที่เป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว
20:9     “ขั้น” (steps) –ดู ข.11 ;ปท.อสย.38:8

20:10   “เป็นเรื่องง่ายที่เงาจะยาวออกไปอีกสิบขั้น” (It is an easy thing for the shadow to lengthen ten steps) = เงาเคลื่อนไปข้างหน้าเป็นเรื่องปกติ เพราะเงาทอดไปทิศนั้นตามธรรมชาติ

“แต่ขอให้เงาย้อนกลับมาสิบขึ้น” (or go back ten steps?)

=เฮเซคียาห์ ขอหมายสำคัญ (ที่ยากกว่าเรื่องปกติ) ในเรื่องทิศทาง การเคลื่อนที่ของเงาที่ยากกว่าการเป็นเรื่องง่าย ๆ หรือบังเอิญ เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นหมายสำคัญมาจากพระเจ้า

20:11   “เงา…นาฬิกาแดดของอาหัส” (shadow…on the steps of Ahaz) = เครื่องมือที่ใช้วัดหรือบอกเวลาในสมัยโบราณ        ปท.ยชว.10:13;2พศด.32:31

20:12   “เมโรดัคบาลาดัน” (Merodach-baladan) = “(พระ) มาร์ดุคได้ประทานบุตรชายแก่เรา”

= ปกครองบาบิโลนในช่วง 721 – 710 ก.ค.ศ. ก่อนถูกบีบบังคับให้ยอมอยู่ใต้การปกครองของซาร์กอนที่ 2 แห่งอัสซีเรีย

-หลังจากที่ซาร์กอนเสียชีวิตในปี 705 ก.ค.ศ. เมโรดัคบาลาดันได้ปลดปล่อยบาบิโลนเป็นอิสระในช่วงเวลาสั้น ๆ และปกครองบาบิโลนจนกระทั่งเซนนาเคอริบบังคับให้เขาต้องหนีไปในปี 703 ก.ค.ศ.

“ส่งพระราชสารและเครื่องบรรณาการ” (sent envoys with letters and a present) = ส่งสาส์นและของกำนัลมาให้

= เป็นไปได้ว่า เขาพยายามจะดึงเฮเซคียาห์ให้มาเป็นพันธมิตรต่อต้านอัสซีเรีย แม้ว่าเฮเซคียาห์จะปฏิเสธนโยบายสนับสนุนอัสซีเรียของอาหัสผู้เป็นบิดา (16:7) และกบฏต่ออัสซีเรีย (18:7) แต่เขาก็ผิดพลาดที่คิดว่าอิสราเอลจะแข็งแกร่งขึ้นด้วยการผูกมิตรกับบาบิโลนและอียิปต์ (2พศด.32:31;อสย.30:31;1ซมอ.17:1; 1พกษ.15:19)

20:13   “ต้อนรับ…พาพวกเขาชมคลังสมบัติทั้งหมดของพระองค์” (welcomed them, and he showed them all his treasure house) = เฮเซคียาห์ ต้อนรับคณะฑูตจากบาบิโลนดีเกินไป อาจต้องการสร้างความประทับใจในความมั่งคั่งและอำนาจของยูดาห์ เพื่อเป็นพื้นฐานการร่วมมือในการต่อต้านอัสซีเรีย แต่ก็เป็นการปฏิเสธพื้นฐานความจริงที่ว่า กษัตริย์อิสราเอลนั้นอยู่ใต้พันธสัญญากับพระเจ้า (2ซมอ.24:1)

“เงิน…น้ำมันอย่างดี” (the silver… the precious oil) = การที่สมบัติเหล่านี้ยังอยู่แสดงว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนการถวายบรรณาการให้แก่เซนนาเคอริบในปี 701 ก.ค.ศ. (18:15-16)

20:14   “คนเหล่านั้นทูลอะไรบ้าง” (What did these men say?) = เฮเซคียาห์ ไม่ได้ตอบคำถามอิสยาห์ว่า คณะฑูตบาบิโลนมีเป้าหมายอะไรในทางการทูต

20:17   “จะต้องถูกกวาดไปยังบาบิโลน” (shall be carried to Babylon) = การที่เฮเซคียาห์ต้อนรับพวกบาบิโลนจะส่งผลตรงกันข้ามกับที่เขาต้องการและคาดหวังไว้ อิสยาห์ได้พยากรณ์ไว้ล่วงหน้าอย่างน้อย 115 ปี ถึงการตกเป็นเชลยที่บาบิโลน ซึ่งเป็นคำทำนายที่ไม่ธรรมดาเลย เพราะว่าในเวลานั้นอัสซีเรียมีอำนาจมากที่สุดในโลกและยูดาห์ก็กลัวอัสซีเรียไม่ใช่บาบิโลน

20:18   “ลูกบางคน…ผู้ซึ่งเกิดแก่เจ้าจะถูกนำเอาไป” (some of your own sons, who shall be born to you, shall be taken away) = “วงศ์วานของเจ้าบางคนจะถูกกวาดต้อนไป”

= มนัสเสห์ บุตรชายของเฮเซคียาห์เองถูกอัสซีเรียจับไปเป็นนักโทษอยู่ระยะหนึ่งในบาบิโลน (2พศด.33:11) และต่อมาภายหลังวงศ์วานของดาวิดอีกหลายคนก็ถูกกวาดต้อนไปด้วย (24:15;25:7;ดนล.1:3)

20:19   “พระวจนะของพระยาห์เวห์ซึ่งท่านกล่าวนั้นดีแล้ว” (The word of the Lord that you have spoken is good.) = ถึงแม้จะเข้าใจได้ว่า เฮเซคียาห์พูดเช่นนั้นด้วยความโล่งใจอย่างเห็นแก่ตัว ว่าตัวเองไม่ต้องประสบกับเรื่องร้ายตามคำพยากรณ์ด้วยตัวเองแต่ก็มองได้อีกแง่ถึงความถ่อมใจในการยอมรับการพิพากษาของพระเจ้า (2พศด.32:26) และซาบซึ้งในพระคุณของพระเจ้าที่ประทานช่วงเวลาแห่งความสงบสุขช่วงหนึ่งให้แก่ชนชาติยูดาห์

20:20   “สร้างสระและรางระบายน้ำ” ( made the pool and the conduit) = สระน้ำและท่อส่งน้ำ, เฮเซคียาห์ได้สร้างท่อส่งน้ำจากน้ำพุกีโฮน (1พกษ.1:33,38) ไปยังสระน้ำ(2พศด.32:30) ภายในกำแพงเมือง ท่อส่งน้ำนี้ทำให้เยรูซาเล็มยังคงเข้มแข้งในยามที่ถูกล้อม เพราะมีน้ำใช้อยู่เสมอ

-ในปี ค.ศ. 1880 ปี มีการค้นพบจารึก (จารึกสิโลอัม) บนกำแพงหินที่ปากทางของท่อส่งน้ำนี้ บรรยายถึงวิธีการก่อสร้าง ท่อน้ำนี้ตัดผ่านหินทึบ มีความยาวประมาณ 534 เมตร ความสูงมีตั้งแต่ 12 เมตร ถึง 3.5 เมตร และโดยเฉลี่ยแล้วกว้างประมาณ 60 เซนติเมตร (1พกษ.14:29)

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยป่วยหรือประสบเหตุที่ทำให้คุณรู้สึกว่าคุณกำลังจะตายบ้างหรือไม่? อย่างไรบ้าง? (แบ่งปัน)
  2. คุณเคยรู้สึกว่า คุณทุ่มเทในทางดี(หรือทางของพระเจ้า)อย่างซื่อสัตย์ แต่ได้รับผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามและ         คุณเสียใจบ้างหรือไม่? อย่างไร?
  3. คุณเคยมีประสบการณ์กับการที่พระเจ้าทรงสดับคำอธิษฐานด้วยน้ำตาของคุณและตอบคำทูลขอนั้นบ้างหรือไม่? อย่างไร?
  4. คุณเคยได้รับการรักษาหรือการยืดชีวิตจากพระเจ้าบ้างหรือไม่? อย่างไร?

…..1) โดยตรงจากพระเจ้า ที่ไม่ผ่านใคร?

…..2) โดยอ้อมจากพระเจ้า โดยผ่านมือหมอหรือยา?

  1. คุณเคยทูลขอหมายสำคัญอะไรจากพระเจ้าบ้าง? ในเรื่องอะไร? แล้วพระเจ้าตอบหรือไม่? อย่างไร?
  2. คุณเคยโอ้อวดในสิ่งใดบ้าง ที่นำความทุกข์ยากลำบากมาสู่คุณหรือลูกหลานของคุณและอย่างไร? คุณรู้สึกอย่างไร?
  3. คุณเคยทำอะไรที่เข้าข่ายสะเพร่า ประมาท หรือหลงตนจนนำความเสียหายมาสู่คุณอย่างใหญ่หลวงบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร?
  4. คุณเคยเสียใจหรือสำนึกผิดกับสิ่งที่คุณทำความเดือดร้อนให้แก่คนรอบตัวของคุณอย่างจริงใจหรือไม่? ในเรื่องอะไร? และคุณทำอะไรบ้าง?

    ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์