Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

ปัญญาจารย์ บทเรียนที่ 8

จงเชื่อฟังกษัตริย์ และยินดี!

พระธรรม        ปัญญาจารย์ 8:1-17

อ้างอิง               ปญจ.1:11;2:1,3;10:4,14;13,17;3:1,14;7:15

บทนำ       หากพระเจ้าไม่ทรงเปิดเผย มนุษย์อย่างเราจะไม่รู้เรื่องและไม่เข้าใจสิ่งใดๆ เกี่ยวกับพระเจ้าและโลกนี้เลย

หากพระเจ้ามิได้ค้ำจุน และอวยพรสถาบันกษัตริย์ สถาบันกษัตริย์ก็จะตั้งอยู่ไม่ได้ !

แต่ตรงกันข้าม หากพระเจ้าทรงสถาปนา และอวยพรสถาบันกษัตริย์ ใครก็จะล้มล้างไม่ได้เช่นกัน

ชีวิตของเราอาจเผชิญเคราะห์กรรมที่ไม่คาดคิด ไม่ว่าเราจะทำดีมากแค่ไหนก็ตาม!

ดังนั้น ให้เรามีสุขกับชีวิตที่พระเจ้าประทานมาด้วยความชื่นชมยินดีให้อย่างมีสติปัญญา

บทเรียน

8:1 “ใคร​จะ​เหมือน​คน​มี​ปัญญา? หรือ​ใคร​เล่า​จะ​รู้​คำ​อธิบาย​ของ​สิ่ง​ต่างๆ ปัญญา​ของ​มนุษย์​ทำ​ให้​ใบหน้า​ของ​เขา​ ผ่องใสและ​สีหน้า​ที่​มึนตึง​ของ​เขา​ก็​เปลี่ยน​ไป”

       (Who is like the wise?And who knows the interpretation of a thing?A man’s wisdom makes his  face shine,and the hardness of his face is changed.)

8:2 “จง​ถือ​รักษา​พระบัญชา​ของ​กษัตริย์​เพื่อ​เห็น​แก่​คำปฏิญาณ​ของ​พระเจ้า 

       (I say: Keep the king’s command, because of God’s oath to him. )

8:3 “อย่า​รีบ​ออก​ไป​ให้​พ้น​พระพักตร์​พระองค์ อย่า​รั้น​เมื่อ​มี​เหตุการณ์​ไม่ดี​เกิดขึ้น เพราะ​กษัตริย์​ย่อม​ทรง​กระทำ​อะไรๆ ตาม​ชอบพระทัย​พระองค์”

     (Be not hasty to go from his presence. Do not take your stand in an evil cause, for he does   whatever he pleases.)

 8:4“เพราะ​ว่า​พระดำรัส​ของ​กษัตริย์​นั้น​มี​อำนาจ และ​ใคร​จะ​กราบทูล​ถาม​พระองค์​ได้​ว่า “ฝ่าพระบาท​ทรง​กระทำ​อะไร​เช่นนั้น?”

       (For the word of the king is supreme, and who may say to him, “What are you doing?” )

8:5 “ผู้​ทำ​ตาม​พระบัญชา​จะ​ไม่​ประสบ​อันตราย และ​จิตใจ​ของ​คน​มี​ปัญญา​ย่อม​รู้​วาระ​และ​วิธีการ” 

        (Whoever keeps a command will know no evil thing, and the wise heart will know the proper time   and the just way. )

8:6 “เพราะ​ว่า​ทุก​เรื่องราว​ย่อม​มี​วาระ​และ​วิธีการ แม้ว่า​ความ​ลำบาก​ของ​มนุษย์​เป็น​ภาระ​หนัก​แก่​เขา​ก็​ตาม

     (For there is a time and a way for everything, although man’s trouble lies heavy on him. )

8:7 “ที่จริง​เขา​ไม่​รู้​ว่า​อะไร​จะ​เกิดขึ้น ด้วย​ใคร​จะ​บอก​เขา​ได้​ว่า​สิ่งนั้น​จะ​เกิดขึ้น​อย่างไร” 

          (For he does not know what is to be, for who can tell him how it will be?)

8:8 “ไม่มี​มนุษย์​คน​ใด​มี​อำนาจ​เหนือ​จิตวิญญาณ​ที่​จะ​รั้ง​จิตวิญญาณ​ไว้​ได้ และ​ไม่มี​อำนาจ​ใด​อยู่​เหนือ​วัน​ตาย ไม่มี​การ​ปลดปล่อย​ใน​ยามสงคราม​ฉัน​ใด ความ​อธรรม​ย่อม​ไม่​ช่วย​ผู้​ทำ​การ​อธรรม​ฉัน​นั้น” 

     (No man has power to retain the spirit, or power over the day of death. There is no discharge from  war, nor will wickedness deliver those who are given to it.)

8:9 “ทั้ง​บรรดา​การ​นี้​ข้าพเจ้า​เห็น​หมด​แล้ว เมื่อ​ข้าพเจ้า​สนใจ​กิจการ​ทุกอย่าง​ที่​เขา​ทำ​กัน​ภายใต้​ดวงอาทิตย์ มี​วาระ​ ซึ่ง​ให้​คน​หนึ่ง​มี​อำนาจ​เหนือ​อีกคนหนึ่ง​เพื่อ​ทำ​อันตราย​เขา

          (All this I observed while applying my heart to all that is done under the sun, when man had   power over man to his hurt.)

8:10 “ข้าพเจ้า​ได้​เห็น​เขา​ฝัง​คน​อธรรม​ทั้งหลาย ผู้​ซึ่ง​เคย​เข้า​ออก​ที่​สถาน​บริสุทธิ์ และ​มี​คน​สรรเสริญ​พวกเขา ใน​เมือง​ ที่​พวกเขา​ทำ​สิ่ง​เช่น​นั้น นี่​ก็​อนิจจัง​ด้วย” 

       (Then I saw the wicked buried. They used to go in and out of the holy place and were praised in  the city where they had done such things. This also is vanity.)

8:11 “เพราะ​การ​ลงโทษ​ตาม​การ​ตัดสิน​คน​ที่​ทำชั่ว​นั้น ไม่ได้​เกิดขึ้น​โดย​เร็ว เหตุฉะนั้น​ใจ​ของ​บรรดา​มนุษย์​จึง​เจตนา​มุ่ง​ทำ​ความ​อธรรม” 

         (Because the sentence against an evil deed is not executed speedily, the heart of the children of  man is fully set to do evil.)

8:12 “แม้ว่า​คนบาป​ทำชั่ว​ตั้ง​ร้อย​ครั้ง​และ​อายุ​เขา​ยัง​ยั่งยืน​อยู่​ได้ ถึงกระนั้น​ข้าพเจ้า​ยัง​รู้​แน่​ว่า สวัสดิมงคล​จะ​มี​แก่​เขาทั้งหลาย​ที่​ยำเกรง​พระเจ้า​คือ ที่​มี​ความ​ยำเกรง​เฉพาะพระพักตร์​พระองค์

       (Though a sinner does evil a hundred times and prolongs his life, yet I know that it will be well  with those who fear God, because they fear before him.)

8: 13 “แต่​ว่า​จะ​ไม่​เป็น​สวัสดิมงคล​แก่​คน​อธรรม อายุ​ของ​เขา​ที่​เป็น​ดัง​เงา​ก็​จะ​ไม่​ยืดยาว​ออก​ไป​ได้ เพราะ​เขา​ไม่มี​ความ​ยำเกรง​เฉพาะพระพักตร์​พระเจ้า

        (But it will not be well with the wicked, neither will he prolong his days like a shadow, because   he does not fear before God.)

8:14 “ยัง​มี​สิ่ง​อนิจจัง​อีก​อย่าง​ที่​เกิดขึ้น​บน​แผ่นดิน​โลก​คือ มี​คน​ชอบธรรม​รับ​เคราะห์​อัน​เป็น​เคราะห์​ที่​คน​อธรรม​ควร​รับ และ​มี​คน​อธรรม​รับ​เคราะห์​อัน​เป็น​เคราะห์​ที่​คน​ชอบธรรม​ควร​รับ ข้าพเจ้า​กล่าว​ว่า นี่​ก็​อนิจจัง​ด้วย

       (There is a vanity that takes place on earth, that there are righteous people to whom it happens  according to the deeds of the wicked, and there are wicked people to whom it happens       according to the deeds of the righteous. I said that this also is vanity. )

8:15 “แล้ว​ข้าพเจ้า​จึง​ยกย่อง​ความ​สนุกสนาน เพราะ​ว่า​ไม่มี​อะไร​ดี​สำหรับ​มนุษย์​ภายใต้​ดวงอาทิตย์​มาก​ไป​กว่า​กิน​ และ​ดื่ม​กับ​ชื่นชม​ยินดี เพราะ​ว่า​สิ่งนี้​จะ​อยู่​เคียงข้าง​เขา​ใน​การ​ตรากตรำ​ของ​เขา​ตลอดชีวิต​เขา ที่​พระเจ้า​ประทาน​แก่​เขา​ภายใต้​ดวงอาทิตย์

     (And I commend joy, for man has nothing better under the sun but to eat and drink and be joyful,   for this will go with him in his toil through the days of his life that God has given him under the sun.)

8:16 “เมื่อ​ข้าพเจ้า​ตั้งใจ​เข้าใจ​ปัญญา และ​พิจารณา​ภารกิจ​ที่​ทำ​กัน​ใน​โลก ถึง​กับ​อดหลับอดนอน​ตลอดวันตลอดคืน

         (When I applied my heart to know wisdom, and to see the business that is done on earth, how   neither day nor night do one’s eyes see sleep, )

8:17 “แล้ว​ข้าพเจ้า​จึง​เห็น​พระราชกิจ​ทั้งหมด​ของ​พระเจ้า​ว่า มนุษย์​จะ​ค้นหา​ความ​เข้าใจ​ใน​พระราชกิจ​ที่​เกิดขึ้น​ภายต้​ดวงอาทิตย์​ไม่ได้ เพราะว่า​มนุษย์​จะ​ตรากตรำ​แสวง​หา​สัก​เท่า​ใด​ก็​จะ​ค้น​ไม่​พบ เออ ยิ่งกว่านั้นอีก แม้ว่า​คน​มี​ปัญญา​อ้าง​ว่า​เขา​เข้าใจ​แล้ว เขา​ก็​ยัง​ค้นหา​ไม่​พบ

    (then I saw all the work of God, that man cannot find out the work that is done under the sun.    However much man may toil in seeking, he will not find it out. Even though a wise man claims to    know, he cannot find it out.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

8:2       “ พระบัญชาของกษัตริย์” ( the king’s command) = สิ่งที่เราต้องปฏิบัติตาม แม้ว่าอาจจำกัดเสรีภาพของเราบ้าง

“คำปฏิญาณของพระเจ้า” (God’s oath) = ด้วยความจงรักภักดีต่อกษัตริย์ (1พศด.29:24)

8:3       “อย่ารีบออกไปให้พ้นพระพักตร์พระองค์” (not hasty to go from his presence) = หุนหันออกไปให้พ้นพระพักตร์กษัตริย์

= แสดงว่า ขาดความเคารพหรือไม่จงรักภักดีต่อองค์กษัตริย์

8:4       “ใครจะกราบทูลถามพระองค์ได้ว่า ‘ฝ่าพระบาททรงกระทำอะไรเช่นนั้น’?” (who may say to him, “What are you doing?”) = ใครจะแย้งพระเจ้าได้   ปท.อสย.45:9;รม.9:20

8:5       “ผู้ทำตามพระบัญชาจะไม่ประสบอันตราย” (Whoever keeps a command will know no evil thing) -รม.13:3-5

8:6       “ความลำบากของมนุษย์” (man’s trouble lies heavy on him) = มนุษย์ควรให้ความสำคัญกับคำสั่งของกษัตริย์มากกว่าความทุกข์ยากของตัวเอง

8:7-8    “เขาไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น…ไม่มีมนุษย์คนใดมีอำนาจเหนือ…” (For he does not know what is to be, … No man has power to) -สดด.31:15;2คร.5:1-10;ยก.4:13-16

8:8       “ความอธรรมย่อมไม่ช่วยผู้ทำการอธรรม” (nor will wickedness deliver those who are given to it.)

= ความชั่วร้ายไม่ยอมปล่อย, = ความชั่วร้ายทางศีลธรรมมีอำนาจที่จะจองจำเรา –รม.7:15-24;7:25

8:10     “เขาฝังคนอธรรมทั้งหลาย” (the wicked buried.) = คนชั่วร้ายถูกฝัง

= ความเคารพนับถือที่ไม่ควรได้รับ (6:3;โยบ.21:28-33;ลก.16:22)

8:11     “…การลงโทษตามการตัดสินคนที่ทำชั่วนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นโดยเร็ว” (…the sentence against an evil deed is not executed speedily) = เมื่อยังไม่ถูกลงโทษก็มีแนวโน้ม ที่จะทำผิดมากกว่าเดิม

8:12     “ข้าพเจ้ายังรู้แน่ว่า” (I know that) = ในที่นี้ปัญญาจารย์กล่าวด้วยความเชื่อที่มีวุฒิภาวะ ไม่ใช่อย่างคนที่ “ทุ่มตัวหาแล้วหาอีก แต่ข้าพเจ้าไม่พบ” ใน 7:28 –ปท.3:17;11:9;12:14

8:14     “คนอธรรมรับเคราะห์อันเป็นเคราะห์ที่คนชอบธรรมควรรับ” (there are wicked people to whom it happens according to the deeds of the righteous) –ใน โยบ 21-24 ขยายความเรื่องนี้ ในสดุดี 73 รู้สึกเจ็บปวดเพราะเรื่องนี้ และใน ยอห์น 5:28-29 ให้คำอธิบายในที่สุด

8:15     “กินและดื่ม กับชื่นชมยินดี” (eat and drink and be joyful) = เป็นถ้อยคำที่กล่าวด้วยใจขอบคุณ (5:19;9:7;ฉธบ.8) แตกต่างจากถ้อยคำที่คล้าย กัน แต่กล่าวด้วยความเย่อหยิ่งใน ลก.12:19-20;1คร.15:32

8:17    “มนุษย์จะค้นหาความเข้าใจ….ไม่ได้” (man may toil in seeking, …cannot find it out.) –ใน ฉธบ.29:29 สรุปว่า อะไรที่เราได้รับอนุญาตให้รู้ และอะไรไม่ได้ให้รู้ (รม.11:33)

คำถามนำอภิปราย

1.คุณเคยมีประสบการณ์กับการเกิด “ใบหน้าแจ่มใส” และ “หน้ามึนตึง” เปลี่ยนไป เพราะ สติปัญญาบ้างหรือไม่? อย่างไร?

2.คุณมีความยากลำบากในการเชื่อฟังพระบัญชาของพระมหากษัตริย์(หรือผู้ปกครองประเทศ) หรือไม่?         ในเรื่องอะไร? ทำไม?

3.การที่คุณรู้ว่า พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะอวยพรกษัตริย์ ส่งผลอะไรต่อท่าทีของคุณที่มีต่อกษัตริย์บ้าง? อย่างไร และทำไม?

4.การที่คุณตระหนักว่า ไม่มีใครมีอำนาจเหนือวันตาย รวมทั้งตัวของคุณ ส่งผลอะไรต่อวิถีคิดและวิถีการดำเนินชีวิตของคุณบ้าง? ทำไม?

5.การที่พระเจ้ายังไม่ลงโทษคนอธรรมผู้ทำบาปโดยเร็ว และปล่อยให้พวกเขาอาจมีอายุยืนนาน ส่งผลต่อความรู้สึกและความตั้งใจของคุณอย่างไรบ้าง? (แบ่งปัน)

6.พระเจ้าสัญญาว่าจะประทานสวัสดิมงคลแก่บรรดาคนที่ยำเกรงพระองค์ คำสัญญานี้ส่งผลอะไรต่อคุณบ้าง? และอย่างไร?

7.การที่คุณรู้ว่า คนชอบธรรมอาจรับเคราะห์ของคนอธรรม และคนอธรรมอาจรับเคราะห์ของคนชอบธรรม ส่งผลต่อท่าทีในการดำเนินชีวิตของการรับใช้ของคุณอย่างไรบ้าง? (แบ่งปัน)

8.หากว่ามนุษย์ค้นหาความเข้าใจในพระราชกิจของพระเจ้าไม่ได้ แล้วเราจะมาเรียนพระคัมภีร์ให้เสียเวลาทำไม?

9. บทเรียนสำคัญที่คุณได้รับจากพระธรรม(ปัญญาจารย์ 8) ตอนนี้คืออะไร?

1…………………………………………………………………

2……………………………………………………………………

3…………………………………………………………………….

และคุณจะนำไปปฏิบัติใช้จริงในชีวิตของคุณอย่างไร?
ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

ปัญญาจารย์ บทเรียนที่ 7

ยามดีและยามร้าย

พระธรรม        ปัญญาจารย์ 7:1-29

อ้างอิง           สภษ.30:10;22:1,14;20:9;15:31-32;14:13,29;13:18;11:19;8:14;7:23;2:16-19;5:3-5;ปญจ.1:1,15,17; 2:13-14,24;3:14;8:12-14;11:7

บทนำ           เราไม่ควรดำเนินชีวิตแบบสุดโต่ง เราต้องรู้จักปล่อยวางในเรื่องที่ควรปล่อยวาง แต่ต้องไม่หย่อนยานในหลักการ และรู้จักสำรวจดูตัวเองว่า เราดีกว่าผู้อื่นอย่างที่เราคิดจริง ๆ หรือไม่ !

เราต้องระมัดระวังกับดักในชีวิต เราต้องเที่ยงธรรมซื่อตรงในทางของพระเจ้าตลอดชีวิตของเรา!

บทเรียน

7:1 “ชื่อเสียง​ดี​ก็​ดี​กว่า​น้ำมันหอม​อย่าง​ดี และ​วันตาย​ก็​ดี​กว่า​วันเกิด”

         (A good name is better than precious ointment,and the day of death than the day of birth.)

7:2 “ไป​ยัง​เรือน​ที่​มี​การ​คร่ำครวญ ก็​ดี​กว่า​ไป​ยัง​เรือน​ที่​มี​การ​เลี้ยงกัน เพราะ​นั่น​เป็น​วาระสุดท้าย​ของ​มนุษย์​ทุก​คน และ​ผู้​ที่​ยัง​มี​ชีวิต​อยู่​จะ​เอา​เหตุการณ์​นั้น​ใส่​ไว้​ใน​ใจ”

     (It is better to go to the house of mourningthan to go to the house of feasting,for this is  the end of all mankind,and the living will lay it to heart.)

7:3 “ความ​โศกเศร้า​ก็​ดี​กว่า​การ​หัวเราะ เพราะ​ความ​โศกเศร้า​บน​ใบหน้า​ทำ​ให้​จิตใจ​ยินดี”

           (Sorrow is better than laughter,for by sadness of face the heart is made glad.)

7:4 “จิตใจ​ของ​คน​มี​ปัญญา ย่อม​อยู่​ใน​เรือน​ที่​มี​การ​คร่ำครวญ แต่​จิตใจ​ของ​คน​เขลา ย่อม​อยู่​ใน​เรือน​ที่​มี​การ​สนุกสนาน”

       (The heart of the wise is in the house of mourning,but the heart of fools is in the house of mirth.)

7:5 “ฟัง​คำ​ตำหนิ​ของ​คน​ที่​มี​ปัญญา ยัง​ดี​กว่า​ฟัง​เพลง​ของ​คน​เขลา”

       (It is better for a man to hear the rebuke of the wisethan to hear the song of fools.)

7:6 “เสียง​เรียวหนาม​ไหม้​แตก​อยู่​ใต้​หม้อ​อย่างไร เสียง​หัวเราะ​ของ​คน​เขลา​ก็​เป็น​อย่าง​นั้นนี่​ก็​อนิจจัง​ด้วย”

       (For as the crackling of thorns under a pot,so is the laughter of the fools;this also is vanity.)

7:7 “แท้จริง​การ​กดขี่​ข่มเหง​ทำ​ให้​ผู้​มี​ปัญญา​โง่​ไป และ​สินบน​ก็​ทำลาย​สามัญสำนึก​เสีย”

       (Surely oppression drives the wise into madness,and a bribe corrupts the heart.)

7:8 “เบื้องปลาย​ของ​สิ่งใดๆ ก็​ดี​กว่า​เบื้องต้น​ของ​สิ่งนั้นๆ จิตใจ​ที่​อดกลั้น​ก็​ดี​กว่า​จิตใจ​ที่​อหังการ”

(Better is the end of a thing than its beginning,and the patient in spirit is better than the proud inspirit.)

7:9 “อย่า​ให้​จิตใจ​ของ​เจ้า​โกรธ​เร็ว เพราะ​ความ​โกรธ​ฝัง​อยู่​ใน​ทรวงอก​ของ​คน​เขลา”

       (Be not quick in your spirit to become angry,for anger lodges in the heart of fools.)

7:10 “อย่า​ว่า “ทำไม​อดีต​ดี​กว่า​ปัจจุบัน?” เพราะ​ที่​เจ้า​ถาม​เช่นนั้น​ไม่ได้​ถาม​ด้วย​ใช้​ปัญญา”

       (Say not, “Why were the former days better than these?”For it is not from wisdom that you ask this.)

7:11 “ปัญญา​ดี​กว่า​มรดก และ​เป็น​ประโยชน์​แก่​คน​ที่​ได้​เห็น​ดวงตะวัน”

       (Wisdom is good with an inheritance,an advantage to those who see the sun.)

7:12 “เพราะ​ว่า ปัญญา​เป็น​เครื่องป้องกัน​เช่น​เดียว​กับ​ที่​เงิน​เป็น​เครื่องป้องกัน แต่​ประโยชน์​ของ​ความ​เข้าใจ​คือ ปัญญา​ให้​ชีวิต​แก่​ผู้​เป็น​เจ้าของ​ปัญญา​นั้น”

         (For the protection of wisdom is like the protection of money,and the advantage of knowledge is  that wisdom preserves the life of him who has it.)

7:13 “จง​พิจารณา​พระราชกิจ​ของ​พระเจ้า สิ่ง​ที่​พระเจ้า​ทรง​ทำ​ให้​คด ใคร​จะ​เหยียด​ให้​ตรง​ได้​เล่า?”

           (Consider the work of God:who can make straight what he has made crooked?)

7:14 “ใน​เวลา​ที่​ได้​รับ​สิ่ง​ดีๆ ก็​จง​ชื่นชม​ยินดี แต่​ใน​เวลา​ที่​ได้​รับ​สิ่งร้ายๆ ก็​จง​พินิจ​พิจารณา พระเจ้า​ทรง​บันดาล​ให้​มี​ทั้งสอง​อย่าง เพื่อ​มนุษย์​จะ​ค้น​ไม่​พบ​ว่า เมื่อ​เขา​ล่วง​ไป​แล้ว​จะ​มี​อะไร​ตาม​เขา​มา​ใน​ภายหลัง”

        (In the day of prosperity be joyful, and in the day of adversity consider: God has made the one   as well as the other, so that man may not find out anything that will be after him.)

7:15 “ข้าพเจ้า​เห็น​สิ่งเหล่านี้​ทั้งสิ้น​ใน​ชีวิต​อนิจจัง​ของ​ข้าพเจ้า​คือ มี​คน​ชอบธรรม​พินาศ​ใน​ความ​ชอบธรรม​ของ​เขาและ​มี​คน​อธรรม​มี​ชีวิต​ยืนยาว​ใน​การ​อธรรม​ของ​เขา 

           (In my vain life I have seen everything. There is a righteous man who perishes in his righteousness,   and there is a wicked man who prolongs his life in his evildoing. )

7:16 “อย่า​ทำ​ตัว​ชอบธรรม​เกินไป และ​อย่า​อวด​ฉลาด เหตุใด​เจ้า​จะ​ทำลาย​ตัวเอง​เสีย​เล่า?” 

        (Be not overly righteous, and do not make yourself too wise. Why should you destroy yourself? )

7:17 “อย่า​อธรรม​เกินไป และ​อย่า​ทำ​ตัว​เป็น​คน​เขลา ทำไม​เจ้า​จะ​ไป​ตาย​ก่อน​เวลา​ของ​เจ้า​เล่า?”

         (Be not overly wicked, neither be a fool. Why should you die before your time? )

7:18 “เป็น​การ​ดี​ที่​เจ้า​จะ​ยึดถือ​คำเตือน​นี้​ไว้ เออ และ​ไม่​ปล่อย​มือ​จาก​อีก​คำเตือน​หนึ่ง เพราะว่า​ผู้​เกรงกลัว​พระเจ้า​จะ​ พ้น​จาก​ทั้งสอง​เรื่อง”

        (It is good that you should take hold of this, and from that withhold not your hand, for the one who  fears God shall come out from both of them.)

7:19 “ปัญญา​ให้​กำลัง​แก่​คน​มี​ปัญญา มาก​กว่า​ผู้ครอบครอง​สิบ​คน​ที่​อยู่​ใน​เมือง”

       ( Wisdom gives strength to the wise man more than ten rulers who are in a city.)

7:20 “แน่​ทีเดียว​ไม่มี​คน​ชอบธรรม​สัก​คน​เดียว​บน​แผ่นดิน​โลก ที่​ทำ​แต่​ความ​ดี และ​ไม่​เคย​ทำ​บาป​เลย”

         (Surely there is not a righteous man on earth who does good and never sins.)

7:21 “อย่า​สนใจ​ฟัง​ทุก​ถ้อยคำ​ที่​คน​กล่าว เพื่อ​เจ้า​จะ​ไม่ได้ยิน​ทาส​ของ​เจ้า​แช่งด่า​เจ้า 

       (Do not take to heart all the things that people say, lest you hear your servant cursing you.)

7:22 “เพราะ​เจ้า​ก็​รู้​อยู่​แก่​ใจ​ของ​เจ้า​ว่า ตัว​เจ้า​เอง​ได้​แช่งด่า​คน​อื่น​หลาย​ครั้ง​เหมือนกัน”

       (Your heart knows that many times you yourself have cursed others.)

7:23 “ข้าพเจ้า​พิสูจน์​ทั้งหมด​นี้​ด้วย​ใช้​ปัญญา ข้าพเจ้า​กล่าว​ว่า “ข้าพเจ้า​จะ​มี​ปัญญา” แต่​ปัญญา​นั้น​กลับ​อยู่​ห่างไกล​จาก​ข้าพเจ้า 

     (All this I have tested by wisdom. I said, “I will be wise,” but it was far from me. )

7:24 “สิ่ง​ที่​เป็น​อยู่​ก็​อยู่​ไกล และ​ลึก​ล้ำ​เหลือเกิน ใคร​จะ​ค้นพบ​ได้?” 

     (That which has been is far off, and deep, very deep; who can find it out?)

7:25 “ข้าพเจ้า​ตั้งใจ​หันกลับมา​เรียน​รู้ สำรวจ​และ​แสวงหา​ปัญญา และ​ต้นเหตุ​ของ​สิ่ง​ต่างๆ และ​เรียนรู้​ความ​อธรรมความ​โง่ ความ​เขลา และ​ความ​บ้าบอ” 

        ( I turned my heart to know and to search out and to seek wisdom and the scheme of things, and  to know the wickedness of folly and the foolishness that is madness.)

7:26 “ข้าพเจ้า​ได้​พบ​อีก​สิ่ง​หนึ่ง​ซึ่ง​ขมขื่น​ยิ่งกว่า​ความ​ตาย​คือ ผู้หญิง​ซึ่ง​มี​ใจ​เป็น​บ่วงแร้ว​และ​ตาข่าย มือ​ของ​นาง​เป็น​โซ่ตรวน คน​ที่​พระเจ้า​พอพระทัย​จะ​หนี​พ้น​นาง แต่​คนบาป​จะ​ถูก​ผู้หญิง​คน​นั้น​จับ​เอา​ไป” 

        (And I find something more bitter than death: the woman whose heart is snares and nets, and   whose hands are fetters. He who pleases God escapes her, but the sinner is taken by her. )

7:27 “ปัญญาจารย์​กล่าว​ว่า ดูเถิด ข้าพเจ้า​พบ​ดัง​ต่อไปนี้ เมื่อ​เอา​สิ่ง​หนึ่ง​มา​เพิ่ม​เข้า​ไป​ใน​อีก​สิ่ง​หนึ่ง​จะ​ได้​ข้อ​สรุป” 

           (Behold, this is what I found, says the Preacher, while adding one thing to another to find the   scheme of things)

7:28 “สิ่ง​ซึ่ง​ข้าพเจ้า​ทุ่มตัว​หา​แล้ว​หา​อีก แต่​ข้าพเจ้า​หา​ไม่​พบ​คือ ใน​มนุษย์​พัน​คน​จะ​พบ​แต่​เพียง​คน​เดียว และ​คน​เดียว​ที่​พบ​นั้น​ไม่​เคย​เป็น​ผู้หญิง​เลย” 

          (which my soul has sought repeatedly, but I have not found. One man among a thousand I found,   but a woman among all these I have not found. )

7:29 “ดูเถิด สิ่ง​เดียว​ที่​ข้าพเจ้า​พบ​คือ พระเจ้า​ทรง​สร้าง​มนุษย์​ให้​เป็น​คน​เที่ยงธรรม แต่​เขาทั้งหลาย​ได้​ค้นคว้า​กลอุบาย​ต่างๆ ออก​มา”

           (See, this alone I found, that God made man upright, but they have sought out many schemes.)

ข้อมูลมีประโยชน์

7:1       “ชื่อเสียงดีก็ดีว่าน้ำมันหอมอย่างดี” (A good name is better than precious ointment) = มีค่ามากกว่าน้ำมันหอมราคาแพง –สภษ.22:1;พซม.1:3

“วันตายก็ดีกว่าวันเกิด” (the day of death than the day of birth) –2คร.5:1-10;ฟป.1:21-23 –แม้จะมีเหตุผลมากมาย แต่ในปัญญจารย์ตอนนี้ มีเหตุผลอธิบายไว้ใน ข้อ 2-6 นั่นคือ ช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นให้บทเรียนแก่เราน้อยกว่าช่วงเวลาแห่งความทุกข์โศกเศร้า หรือความยากลำบาก –โยบ 10:18

7:2       “วาระสุดท้ายของมนุษย์ทุกคน” (for this is the end of all mankind) = ความตายเป็นจุดหมายปลายทางของทุกชีวิตบนโลก –สภษ.11:19;ปญจ.2:14

7:3       “ความโศกเศร้าก็ดีกว่าการหัวเราะ” (Sorrow is better than laughter) –สภษ.14:13

7:4       “อยู่ในเรือนที่มีการคร่ำครวญ” (is in the house of mourning) –ปญจ.2:1;ยรม.16:8

7:5       “ฟังคำตำหนิของคนที่มีปัญญา”(to hear the rebuke of the wise) –สภษ.13:18;15:31-32

7:6       “เสียงเรียวหนามไหม้แตกอยู่ใต้หม้อ” ( For as the crackling of thorns under a pot) = เสียงแตกปะทุของหนามในไฟใต้หม้อ –สดด.58:9

“เสียงหัวเราะของคนเขลา” ( the laughter of the fools) = เปรียบเสียงหัวเราะของคนโง่ กับเสียงแตกปะทุของหนามในไฟที่แม้จะดัง แต่อยู่ได้ไม่นาน –สดด.58:9,สภษ.14:13

7:7      “สินบน” (a bribe) –มธ.28:11-15;ลก.22:4-6

7:9       “โกรธเร็ว” (quick in your spirit to become angry) –สภษ.16:32;17:14;1คร.13:4-5;มธ.5:22

“ฝังอยู่ในทรวงอกของคนเขลา” (lodges in the heart of fools) –สภษ.14:29

7:10     “อย่าถาม ‘ทำไมอดีตดีกว่าปัจจุบัน’?”(Say not, “Why were the former days better than these?”)

–สดด.77:5

7:11     “ปัญญาดีกว่ามรดก” (Wisdom is good with an inheritance) –ปญจ.2:13

“เป็นประโยชน์แก่คนที่ได้เห็นดวงตะวัน” (an advantage to those who see the sun) –ปญจ.11:7

7:12     “ปัญญาให้ชีวิตแก่ผู้เป็นเจ้าของปัญญานั้น” (wisdom preserves the life of him who has it) = ปัญญาสงวนชีวิตของผู้ที่มีปัญญานั้น

คำว่า “ให้ชีวิต” ในภาษาฮีบรูยังหมายถึง “ฟื้นฟูชีวิต” ด้วย (ดู สภษ.3:13-18;13:14)

7:13     “จงพิจารณาพระราชกิจของพระเจ้า” (Consider the work of God) –ปญจ.2:24

“สิ่งที่พระจ้าทรงทำให้คด ใครจะเหยียดให้ตรงได้เล่า?” ((who can make straight what he has made crooked?)

= คำเตือนว่า มนุษย์ไม่สามารถเปลี่ยนเปลงสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดได้ แต่ไม่ได้สอนให้เชื่อเรื่องโชคชะตาหรือพรหมลิขิต

7:14     “พระเจ้าทรงบันดาลให้มีทั้งสองอย่าง” (God has made the one as well as the other) = พระเจ้าทรงบันดาลให้มีทั้งยามดีและยามร้าย   –ปท. รม.8:28-29;โยบ 1:21;ปญจ.2:24

7:15     “ในชีวิตอิจจัง” (In my vain life   ) โยบ 7:7

“มีคนชอบธรรมพินาศในความชอบธรรมของเขา” (There is a righteous man who perishes in his righteousness) = ความชอบธรรมไม่ได้ปกป้องมนุษย์จากความยากลำบากหรือการเสียชีวิต(ที่ดูเหมือน)ก่อนเวลาเสมอไป

“มีคนอธรรมมีชีวิตยืนยาวในการอธรรมของเขา” (there is a wicked man who prolongs his life in his evildoing) = บางทีคนชั่วร้ายกลับอายุยืน –โยบ 21:7;ปญจ.8:12-14;ยรม.12:1

7:16    “อย่าทำตัวชอบธรรมเกินไป และอย่าอวดฉลาด” ( not overly righteousand do not make yourself too wise) = ถ้าความชอบธรรมและปัญญาที่ แท้จริงยังไม่สามารถป้องกันความพินาศได้เสมอไป ความชอบธรรม และปัญญาแบบเคร่งครัดสุดโต่งย่อมช่วยอะไรไม่ได้เช่นกัน

7:17     “อย่าอธรรมเกินไป” (not overly wicked) = อย่าชั่วร้ายเกินไป ความชั่วร้ายแบบสุดโต่งก็ยิ่งโง่เขลากว่านั้นอีกมากมาย

“ทำไมเจ้าจะไปตายก่อนเวลาของเจ้าเล่า?” (Why should you die before your time?) = เรื่องอะไรจะต้องไปตายก่อนกำหนด –โยบ 15:32

7:18     “คำเตือนนี้…อีกคำเตือนหนึ่ง” (should take hold of this… that withhold not your hand) = ผู้ที่       ยำเกรงพระเจ้าจะหลีกเลี่ยงความสุดโต่งต่อคำเตือนทั้ง 2 ด้าน ต้องไม่ยึดถือพระบัญญัติมากเกินไป และต้องไม่ทำอะไรตามใจชอบโดยไม่สนใจกฎบัญญัติ

= ผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าต้องใช้ชีวิตอย่างสมดุล คือ ทั้งชอบธรรมและมีปัญญา (ปท.รม.6:14)

“พ้นจากทั้งสองเรื่อง” (come out from both of them) = หลีกเลี่ยงเรื่องสุดโต่งทั้งหมดไปได้ –ปญจ.3:14

7:19     “ปัญญาให้กำลังแก่คนมีปัญญา” (Wisdom gives strength to the wise man) = สติปัญญาทำให้คนฉลาดมีอำนาจ –ปญจ.2:13;สภษ.8:14

7:20     “ไม่มีคนชอบธรรมสักคนเดียวบนแผ่นดินโลก” (not a righteous man on earth) = ไม่มีคนสักคนเดียวในโลกนี้ที่ดีพร้อม –รม.3:10-20,23

          “ที่ทำแต่ความดี และไม่เคยทำบาปเลย” (who does good and never sins) –2พศด.6:36;โยบ 4:17;สภษ.20:9;รม.3:12

7:21     “เพื่อเจ้าจะไม่ได้ยิน” (Do not take to heart) –สภษ.30:10

7:23    “ข้าพเจ้าจะมีปัญญา” (I will be wise ) = ข้าพเจ้าตั้งใจจะเป็นคนฉลาด -ปญจ.1:17

7:24     “ใครจะค้นพบได้“ (who can find it) โยบ 28:12-28;1คร.2:9-16

7:25     “ต้นเหตุของสิ่งต่าง ๆ “ (the scheme of things) -โยบ 28:3

“…ความเขลาและความบ้าบอ” (folly and the foolishness that is madness) –ปญจ.1:17

7:26     “ผู้หญิงซึ่งมีใจเป็นบ่วงแร้วและตาข่าย” (the woman whose heart is snares and nets ) –อพย.10:7;วนฉ.14:15;สภษ.7:6-27

“แต่คนบาปจะถูกผู้หญิงคนนั้นจับเอาไป”( but the sinner is taken by her)- สภษ.2:16-19;5:3-5;7:23; 22:14

7:27     “ดูเถิด ข้าพเจ้าพบดังต่อไปนี้” (this is what I found) -1:1

          “เมื่อเอาสิ่งหนึ่งมาเพิ่มเข้าไปในอีกสิ่งหนึ่ง จะได้ข้อสรุป” (while adding one thing to another to find the scheme of things) =การนำเอาสิ่งหนึ่งมาปะติดปะต่อกับอีกสิ่งหนึ่งเพื่อหามูลเหตุ

= วิธีหาข้อสรุปแบบนี้ไม่สมบูรณ์ และเราเองก็ไม่สามารถตีความทุกสิ่งที่เราสังเกตุได้ (3:11ข)

= ปัญหาและความเข้าใจของมนุษย์ต้องยอมสยบให้กับความจริงที่ถูกปิดบังไว้

7:28     “ในมนุษย์พันคนจะพบแค่เพียงคนเดียว และคนเดียวที่พบนั้นไม่เคยเป็นผู้หญิงเลย” (    I have not found. One man among a thousand I found, but a woman among all these I have not found) –ใน NIV อธิบายว่า “ข้าพเจ้าพบว่าในพันคน จะมีผู้ชายซื่อตรงคนหนึ่ง แต่ไม่มีผู้หญิงซื่อตรงสักคน” –1พกษ.11:3

= มาจากประสบการณ์ของปัญญาจารย์ ไม่มีพระคัมภีร์ในตอนอื่น ๆ หรือเล่มอื่นที่ยืนยันว่า ผู้หญิงมีศิลธรรมที่ต่ำกว่าผูชาย

7:29     “พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นคนเที่ยงธรรม แต่….” ( that God made man upright, but…)

–ปฐก.3:1-6;รม.5:12

 

คำถามนำอภิปราย

  1. ทำไมการมี “ชื่อเสียงดี” จึงมีค่ามากกว่า การมี “น้ำ(มัน)หอมราคาแพง” ?
  2. ทำไม “วันตาย” จึงดีกว่า “วันเกิด” ?
  3. ทำไม “โศกเศร้า” จึงดีกว่า “หัวเราะ” ?
  4. ทำไม “ฟังคำตำหนิของคนฉลาดมีปัญญา” จึงดีกว่า “การฟังคนโง่ร้องเพลงสรรเสริญเยินยอ” ?
  5. ทำไมการรับ “สินบน“ จึงทำลายสามัญสำนึกและทำให้ชีวิตเสื่อมทรามลง? แล้วทำไมคนยังทำอย่างนั้นอยู่?
  6. ทำไม “ตอนจบ” (เบื้องปลาย) จึงดีกว่า “ตอนเริ่ม” (เบื้องต้น)?
  7. ทำไม “ความอดทนอดกลั้น” จึงดีกว่า “ความเย่อหยิ่งจองหอง” (อหังการ)?
  8. ทำไมไม่ควรถามว่า “ทำไมอดีตดีกว่าปัจจุบัน” หรือ “ทำไมสมัยก่อนดีกว่าสมัยนี้”?
  9. การที่คุณเห็น “คนชอบธรรม” พินาศ ทั้ง ๆ ที่ชอบธรรม และ “คนชั่วร้าย(อธรรม)” กลับมีอายุยืน ทั้ง ๆ ที่ชั่วร้าย ส่งผลกระทบต่อจิตใจและความคิดของคุณอย่างไรบ้าง?
  10. ทำไมเราไม่ควร “ชอบธรรมเกินไป” หรือ “(อวด) ฉลาดเกินไป” ?
  11. คุณได้รับบทเรียนอะไรเป็นพิเศษจากพระธรรมปัญญจารย์บทที่ 7 นี้?

1……………………………………………………………………………………….

2……………………………………………………………………………………….

3……………………………………………………………………………………….

และคุณจะนำบทเรียนเหล่านั้นมาปฏิบัติในชีวิตจริงของคุณอย่างไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

ปัญญาจารย์ บทเรียนที่ 6

ความสับสนของความปรารถนา

พระธรรม        ปัญญาจารย์ 6:1-12

อ้างอิง              ปญจ.1:14;2:14-15;3:15;5:13,19;โยบ 3:3,16 ;1พศด.29:15;สภษ.27:20;สดด.39:6

บทนำ           มนุษย์เรามีความปรารถนามากมาย อยากหล่อ สวย อยากรวย อยากดัง หรืออยากมีความสุขสนุกสนานในชีวิต แต่สุดท้ายก็พบว่า สิ่งเหล่านั้นไม่มีความหมาย ไม่เหลืออะไรเลย เมื่อไม่มีพระเจ้าอยู่ในความสัมพันธ์กับสิ่ง      เหล่านั้น !  ทุกอย่างจบลงที่อนิจจัง เหมือนทุ่มเทวิ่งตามลมแทบตาย แต่สุดท้ายก็กลับไม่ได้อะไรเลย!

บทเรียน

6:1 “มี​สิ่ง​สามานย์​อย่าง​หนึ่ง​ที่​ข้าพเจ้า​เห็น​ภายใต้​ดวงอาทิตย์ และ​สิ่งนั้น​หนัก​สำหรับ​มนุษย์” 

     (There is an evil that I have seen under the sun, and it lies heavy on mankind: )

6:2 “คือ​คน​หนึ่ง​คน​ใด​ที่​พระเจ้า​ประทาน​ความ​มั่งคั่ง ทรัพย์สมบัติ และ​เกียรติ​ให้ เขา​ไม่​ขาด​สิ่งใด​เลย เขา​ได้​ทุกสิ่ง​ที่​เขา​ปรารถนา​สำหรับ​ตน แต่​พระเจ้า​มิได้​ประทาน​ความ​สามารถ​ใน​การ​ใช้​สิ่งเหล่านี้​ให้​เขา คนแปลกหน้า​กลับ​เอา​ไป​ใช้​เสีย นี่​ก็​อนิจจัง​และ​เป็น​ความ​ทุกข์ใจ​อย่าง​เลวร้าย” 

 (a man to whom God gives wealth, possessions, and honor, so that he lacks nothing of all that he  desires, yet God does not give him power to enjoy them, but a stranger enjoys them. This is   vanity; it is a grievous evil. )

6:3 “แม้ว่า​คน​หนึ่ง​คน​ใด​มี​ลูก​สัก​ร้อย​คน และ​มี​อายุ​ยืนยาว ไม่​ว่า​เขา​จะ​อยู่​นาน​หลาย​ปี​แต่​จิตใจ​เขา​ไม่ได้​อิ่ม​ด้วย​ความ​มั่งคั่ง​เลย และ​ไม่มี​งาน​ฝังศพ​ของ​ตน​ด้วย ข้าพเจ้า​ว่า​ลูก​ที่​เกิด​มา​แท้ง​เสีย​ยัง​ดี​กว่า​คน​นั้น”

     (If a man fathers a hundred children and lives many years, so that the days of his years are  many, but his soul is not satisfied with life’s good things, and he also has no burial, I say that a     stillborn child is better off than he. )

6:4 “เพราะ​เด็ก​นั้น​ก่อ​ตัว​มา​ใน​ความ​อนิจจัง​และ​จาก​ไป​ใน​ความ​มืด และ​ชื่อ​เขา​ถูก​ปิด​ไว้​ใน​ความ​มืด” 

     (For it comes in vanity and goes in darkness, and in darkness its name is covered.)

6:5 “ยิ่งกว่านั้นอีก เขา​ยัง​ไม่​ทัน​เห็น​หรือ​ยัง​ไม่​ทัน​รู้จัก​ดวงตะวัน เด็ก​คน​นี้​มี​ความ​สงบสุข​ยิ่งกว่า​ผู้ใหญ่​นั้น​เสีย​อีก”

            (Moreover, it has not seen the sun or known anything, yet it finds rest rather than he. )

6:6 “เออ แม้ว่า​เขา​มี​ชีวิต​อยู่​พัน​ปี​ทวี​อีก​เท่า​ตัว แต่​ไม่ได้​ชื่นชม​สิ่ง​ดี​อะไร ทุก​คน​ต่าง​จบลง​ที่​เดียวกัน​ไม่​ใช่​หรือ?”

     (Even though he should live a thousand years twice over, yet enjoy no good—do not all go to the one place?)

6:7 “การ​ตรากตรำ​ทั้งหมด​ของ​มนุษย์​ก็​เพื่อ​ปาก​ของ​เขา แต่​ถึงกระนั้น​เขา​ก็​ไม่​รู้จัก​อิ่ม” 

     (All the toil of man is for his mouth, yet his appetite is not satisfied. )

6:8 “เพราะ​ว่า​คน​มี​สติ​ปัญญา​ได้​เปรียบ​อะไร​กว่า​คนเขลา​เล่า? หรือ​คน​ยากจน​ที่​รู้จัก​วาง​ตัว​ต่อหน้า​คน​ทั้งปวง​ก็​ได้​เปรียบ​อะไร?”

     (For what advantage has the wise man over the fool? And what does the poor man have who  knows how to conduct himself before the living? )

6:9 “การ​เห็น​ด้วย​นัยน์ตา​ก็​ดี​กว่า​ความ​ปรารถนา​ที่​ตระเวน​ไป นี่​ก็​อนิจจัง​ด้วย​คือ กินลมกินแล้ง”

(Better is the sight of the eyes than the wandering of the appetite: this also is vanity and a striving after wind.)

6:10 “สิ่งใด​ซึ่ง​มี​อยู่​เดี๋ยวนี้ เขา​ได้​ตั้งชื่อ​เรียก​สิ่งนั้น​นาน​มา​แล้ว และ​ก็​ทราบ​กัน​แล้ว​ว่า มนุษย์​คือ​อะไร และ​เขา​ไม่​อาจ​โต้เถียง​กับ​ผู้​แข็งแรง​กว่า​ตน​ได้” 

     (Whatever has come to be has already been named, and it is known what man is, and that he is  not able to dispute with one stronger than he. )

6:11 “ยิ่ง​พูด​มาก​ก็​ยิ่ง​อนิจจัง​มาก แล้ว​มนุษย์​ได้​ประโยชน์​อะไร​เล่า?“

     (The more words, the more vanity, and what is the advantage to man? )

6:12 “เพราะ​ใคร​จะ​รู้​ได้​ว่า​สิ่งใด​ดี​สำหรับ​มนุษย์​ใน​ขณะ​ดำเนิน​ชีวิต​ตาม​วันเวลา​ของ​ชีวิต​ที่​อนิจจัง​ของ​ตน​ที่​ได้​เสีย​ไป​ดุจดัง​เงา​เล่า? หรือ​ใคร​จะ​บอก​กับ​มนุษย์​ได้​ว่า อะไร​จะ​เกิดขึ้น​ภายหลัง​เขา​ที่​ภายใต้​ดวงอาทิตย์?”

   (For who knows what is good for man while he lives the few days of his vain life, which he  passes like a shadow? For who can tell man what will be after him under the sun?)

 ข้อมูลมีประโยชน

6:1       “สิ่งสามานย์” (There is an evil   ) –ปญจ.2:21;4:8;5:13,16;9:3;10:5;11:2

          “สิ่งนั้นหนักสำหรับมนุษย์” (it lies heavy on mankind) –ปญจ.8:6;โยบ 6:3;23:2;33:7;สดด.32:4; 38:4;129:1-1;สภษ.15:10

6:2      “ความมั่งคั่ง ทรัพย์สมบัติ และเกียรติ” (wealth, possessions, and honor,) = สิ่งที่ใคร ๆ ก็ฝันใฝ่อยากได้ แต่ไม่ได้เป็นหลักประกันว่า มีแล้วจะมีความสุขในชีวิต

“ไม่ขาดสิ่งใดเลย” (so that he lacks nothing of all that he desires) = มีทุกสิ่งตามที่ใจปรารถนา (แต่ขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า)

“พระเจ้ามิได้ประทานความสามารถในการใช้สิ่งเหล่านั้นให้เขา” (God does not give him power to enjoy them) = พระเจ้าไม่ได้ให้เขาชื่นชมกับสิ่งเหล่านั้น (เปรียบเทียบ ข้อ 2 กับ 5:19)

= ชี้ให้เห็นว่าการได้ชื่นชมกับพระพรของพระเจ้านั้นเป็นรางวัลพิเศษ เป็นของขวัญจากพระเจ้า

= ไม่ใช่สิทธิหรือหลักประกัน -พระเจ้าทรงเรียกผู้ที่ลืมความจริงนี้ว่า คนโง่ (คนเขลา) –ลก.12:20

= ความมั่งคั่งที่ปราศจากของขวัญแห่งความชื่นชมยินดีในสิ่งเหล่านั้นไม่มีความหมายอะไรเลย

“คนแปลกหน้ากลับเอาไปใช้เสีย” (but a stranger enjoys them   ) = กลับมีคนแปลกหน้ามาชื่นชมแทน

“เป็นความทุกข์ใจอย่างเลวร้าย” (it is a grievous evil) = ความเลวร้ายที่น่าสลดใจ –ปญจ.5:13

6:3       “มีลูกสักร้อยคนมีอายุยืนยาว” (a hundred children lives many years)   = การมีอายุยืนนานและประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่มากมาย จะกลายเป็นสิ่งที่กลวงโป๋ เมื่อไม่มีสิ่งใดที่คู่ควรในบั้นปลายของชีวิตที่มีสิ่งเหล่านั้น

“…แต่จิตใจเขาไม่ได้อิ่มด้วยความมั่งคั่งเลย” (his soul is not satisfied with life’s good things)

= ความมั่งคั่งบนเส้นทางที่ไร้คุณค่านั้น ไร้ความหมายหรือประโยชน์ใด ๆ

“ไม่มีงานฝังศพของตนด้วย” (also has no burial) = ไม่ได้มีการจัดงานศพอย่างสมเกียรติ

= ตายอย่างเสื่อมเสีย หรือปราศจากคนอาลัยรัก   ตัวอย่างเช่น กษัตริย์เยโฮยาคิม (ยรม.22:18-19)

“ลูกที่เกิดมาแท้งเสียยังดีกว่าคนนั้น” ( stillborn child is better off than he) = ทารกที่ตายตั้งแต่เกิด

= ชีวิตของคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า เปรียบดุจการเดินทางที่ไร้จุดหมายมุ่งสู่การดับสูญ ซึ่งการตายตั้งแต่แรกเกิดยังนับว่าเป็นการเดินทางที่ง่าย และสั้นกว่ามาก (โยบ 3:3,16;สดด.58:8)

6:4       “เด็กนั้นก่อตัวมาในความอนิจจัง” (it comes in vanity) = เกิดมาอย่างไร้ความหมาย ไร้แก่นสาร

          “ชื่อของเขาถูกปิดไว้ในความมืด” (name is covered) = จากไปในความมืด จากไปอย่างไร้ความหมาย

6:5       “เด็กคนนี้มีความสงบสุขยิ่งกว่าผู้ใหญ่นั้นเสียอีก” (yet it finds rest rather than he) = ไม่ต้องเผชิญกับความทุกข์ทั้งปวงเหมือนที่พวกผู้ใหญ่ต้องเผชิญ (โยบ 3)

6:6       “ทุกคนต่างจบลงที่เดียวกันไม่ใช่หรือ?” (all go to the one place?) =ทุกชีวิตไปยังที่เดียวกัน หรือทุกคนต้องตายในแง่การมองเห็นด้วยตา แต่ในตอนนี้ไม่ได้พูดถึงสภาพที่อยู่เบื้องหลังความตายที่เห็นนั้น (ข.12;3:21;2:14)

6:7-12 ผู้เขียนปัญญาจารย์ชี้ให้เห็นว่า การตรากตรำของมนุษย์เพื่อได้ความพอใจหรือความปรารถนาของมนุษย์นั้น

  1. ไม่รู้จักอิ่ม (ข.7)
  2. ไม่ได้เปรียบอะไร (ข.8)
  3. กินลมกินแล้ง (ข.9)
  4. มีความจำกัด (ข.10)
  5. ได้ประโยชน์อะไร (ข.11)
  6. เป็นดุจเงา (ข.12)

6:7       “เขาก็ไม่รู้จักอิ่ม” ( yet his appetite is not satisfied) –สภษ.21:20

6:8       “ได้เปรียบอะไรกว่าคนเขลาเล่า?”(For what advantage has the wise man over the fool?) -ปญจ.2:15

6:9       “ความปรารถนาที่ตระเวนไป” (the wandering of the appetite) = ความชื่นชมหรือพอใจกับสิ่งที่ตนมีอยู่นั้นดีกว่าการมีความปรารถนาที่ไม่รู้จบ (ฟป.4:11-12;1ทธ.6:6,8)

6:10     “เขาได้ตั้งชื่อเรียกสิ่งนั้นนานมาแล้ว” ( has already been named) =ล้วนถูกระบุชื่อไว้ก่อนแล้ว

= พระเจ้ากำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว –ปญจ.3:15

          “และก็ทราบกันแล้วว่า” ( known what) = รู้กันอยู่แล้ว      = พระเจ้าทรงทราบล่วงหน้า

“ผู้แข็งแรงกว่าตน” (one stronger than he) = แข็งแรงกว่าเราผู้เป็นมนุษย์นั่นคือ หมายถึง พระเจ้า

6:12     “ชีวิตที่อนิจจัง” (vain life) –โยบ 10:20;20:8

          “ดุจดังเงา” (like a shadow) –โยบ 8:9;14:2;1พศด.29:15;สดด.39:6

คำถามนอภิปราย

 

  1. คุณเคยเห็นความเลวร้ายหรือสิ่งสามานย์ใดบ้างที่ในโลกนี้ ที่ทำให้คุณสะทกสะท้านใจหรือหดหู่มากที่สุด? ทำไม?
  2. คุณเคยมีประสบการณ์กับความเลวร้ายหรือความสลดใจอะไรในชีวิตบ้างที่ทำให้คุณได้สติและคิดได้ถึงคุณค่าของชีวิตคุณ?
  3. คุณเริ่มตระหนักถึงพระเจ้าและมีความสัมพันธ์กับพระองค์เป็นส่วนตัวเมื่อไร? และอย่างไร?
  4. การมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นส่วนตัวนั้น ส่งผลต่อมุมมองของคุณต่อความสำเร็จ ทรัพย์สมบัติ หรือการหาความสนุกสนาน เพลิดเพลินในชีวิตอย่างไรบ้าง?
  5. หากให้คุณเลือกได้ระหว่าง เกิดมาในโลกกับไม่เกิดขึ้นมาในโลกนี้เลย คุณจะเลือกอะไร? และทำไมคุณเลือกเช่นนั้น?
  6. เวลานี้คุณชื่นชมกับเรื่องอะไรมากที่สุดในชีวิต? ทำไม?
  7. คุณยอมรับได้หรือไม่ว่า ความสามารถในการชื่นชมกับสิ่งเหล่านั้นมาจากพระเจ้า? ทำไม?
  8. เมื่อคุณรู้ว่า วันหนึ่งทุกอย่างที่คุณได้กระทำหรือได้มานั้นจะต้องถูกทิ้งไว้ให้คนอื่นมารับหรือมาแทนคุณ?   คุณจะเตรียมมอบสิ่งเหล่านั้นให้แก่ใคร? ทำไม? เมื่อไร? และอย่างไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

ปัญญาจารย์ บทเรียนที่ 5

ยำเกรง พระเจ้า และความพึงพอใจในสิ่งที่พระองค์ประทานให้

พระธรรม        ปัญญาจารย์ 5:1-20

อ้างอิง               สดด.66:13-14;โยบ 1:21;สดด.49:17;1ทธ.6:7

บทนำ           ชีวิตของเราต้องเริ่มต้นด้วยความยำเกรง และก็จบลงด้วยความยำเกรงในพระองค์เช่นกัน!

อย่าให้เราจดจ่ออยู่กับการหาเงินทอง ความมั่งคั่งหรือความสำเร็จมากเกินไป จนไม่ได้ชื่นชมกับผลงานแห่งน้ำพักน้ำแรงของเรา ด้วยใจที่ซาบซึ้งในพระคุณของพระองค์!

บทเรียน

5:1 “เจ้า​จง​ระวัง​เท้า​ของ​เจ้า เมื่อ​เจ้า​ไป​ยัง​พระนิเวศ​ของ​พระเจ้า เพราะ​การ​เข้า​ใกล้ชิด​เพื่อ​ฟัง​ก็​ดี​กว่า​คน​เขลา​ถวาย​ เครื่องบูชา เพราะ​เขา​ไม่​รู้​ว่า​กำลัง​ทำ​สิ่ง​โง่เขลา​อยู่” 

(Guard your steps when you go to the house of God. To draw near to listen is better than to offer the sacrifice of fools, for they do not know that they are doing evil. )

5:2 “อย่า​ให้​ปาก​ของ​เจ้า​ไว และ​อย่า​ให้​ใจ​ของ​เจ้า​เร็ว​ที่​จะ​พูด​สิ่งใดๆ เฉพาะพระพักตร์​พระเจ้า เพราะว่า​พระเจ้า​สถิต​ใน​สวรรค์ แต่​เจ้า​อยู่​บน​แผ่นดิน​โลก เหตุฉะนั้น​เจ้า​จง​พูด​น้อย​คำ”

     (Be not rash with your mouth, nor let your heart be hasty to utter a word before God, for God is in  heaven and you are on earth. Therefore let your words be few.)

5:3 “เพราะ​ฝัน​เมื่อ​มี​งาน​มาก และ​มี​เสียง​คน​เขลา​เมื่อ​พูด​มาก”

        (For a dream comes with much business, and a fool’s voice with many words.)

5:4 “เมื่อ​เจ้า​บน​ไว้​ต่อ​พระเจ้า อย่า​ชักช้า​ที่​จะ​แก้บน​นั้น​ให้​สำเร็จ เพราะ​พระองค์​ไม่​พอพระทัย​ใน​คน​เขลา จง​แก้บน​ตาม​ที่​เจ้า​บน​ไว้​เถิด” 

     (When you vow a vow to God, do not delay paying it, for he has no pleasure in fools. Pay what   you vow. )

5:5 “ที่​เจ้า​จะ​ไม่​บน​ก็​ยัง​ดี​กว่า​ที่​เจ้า​บน​แล้ว​ไม่​แก้” 

       (It is better that you should not vow than that you should vow and not pay.)

5:6 “อย่า​ให้​ปาก​ของ​เจ้า​เป็น​เหตุ​นำ​ตัวเจ้า​ให้​ทำ​บาป และ​อย่า​พูด​ต่อหน้า​ผู้สื่อสาร​ของ​พระเจ้า​ว่า นี่​เป็น​ความ​ผิดพลาด เหตุไฉน​จะ​ให้​พระเจ้า​ทรง​พระพิโรธ​เพราะ​คำ​พูด​ของ​เจ้า แล้ว​เลย​ทรง​ทำลาย​การงาน​แห่ง​น้ำมือ​ของ​เจ้า​เสีย​เล่า?)

     (Let not your mouth lead you into sin, and do not say before the messenger that it was a  mistake. Why should God be angry at your voice and destroy the work of your hands? )

5:7 “เพราะว่า​เมื่อ​ฝัน​มาก ก็​อนิจจัง และ​คำพูด​พล่อยๆ ก็​มาก เจ้า​จง​ยำเกรง​พระเจ้า​เถิด”

      (For when dreams increase and words grow many, there is vanity; but God is the one you must  fear.)

5:8 “ถ้า​เจ้า​เห็น​คน​จน​ถูก​ข่มเหง เห็น​ความ​ยุติธรรม​และ​สิทธิ​ถูก​ลิดรอน​ใน​จังหวัด เจ้า​อย่า​ประหลาดใจ​ใน​เรื่อง​นั้น  เพราะ​ว่า​มี​เจ้าหน้าที่ คอย​จับตา​เจ้าหน้าที่​อยู่ แล้ว​ยัง​มี​ผู้​สูง​กว่า​อีกชั้นหนึ่ง​จับ​ตา​อยู่​เหนือ​พวกเขา”

   (If you see in a province the oppression of the poor and the violation of justice and righteousness,   do not be amazed at the matter, for the high official is watched by a higher, and there are yet   higher ones over them.)

5:9 “อย่างไร​ก็​ตาม ผลประโยชน์​ของ​ประเทศ​คือ​มี​กษัตริย์​ดูแล​ไร่นา”

     (But this is gain for a land in every way: a king committed to cultivated fields.)

5:10 “คน​รัก​เงิน​ย่อม​ไม่​อิ่ม​เงิน และ​คน​รัก​สมบัติ​ก็​ไม่​อิ่ม​กับ​ผลตอบแทน นี่​ก็​อนิจจัง​ด้วย”

(He who loves money will not be satisfied with money, nor he who loves wealth with his income; this also is vanity. )

5: 11 “เมื่อ​ความ​มั่งคั่ง​เพิ่มพูน​ขึ้น คน​กิน​ก็​มี​คับคั่ง​ขึ้น คน​ที่​เป็น​เจ้า​ของ​ทรัพย์​จะ​ได้​ประโยชน์​อะไร นอกจาก​จะ​ได้​ชม​เล่น​เป็น​ขวัญตา​เท่านั้น”

         (When goods increase, they increase who eat them, and what advantage has their owner but   to see them with his eyes? )

5:12 “การ​หลับ​ของ​กรรมกร​ก็​ผาสุก​ไม่​ว่า​เขา​จะ​ได้​กิน​น้อย​หรือ​ได้​กิน​มาก แต่​อาหาร​ที่​อุดมสมบูรณ์​ของ​คน​มั่งมี​ก็​ไม่​ ช่วย​ เขา​ให้​หลับ”

         (Sweet is the sleep of a laborer, whether he eats little or much, but the full stomach of the rich  will not let him sleep.)

5:13 “ยัง​มี​สิ่ง​สามานย์​อัน​น่าสลดใจ​อีก​อย่าง​หนึ่ง​ที่​ข้าพเจ้า​เห็น​ภายใต้​ดวงอาทิตย์​คือ ทรัพย์สมบัติ​ที่​เจ้า​ของ​ได้​เก็บ​ไว้​จน​เกิด​เป็น​ภัย​แก่​ตน”

         (There is a grievous evil that I have seen under the sun: riches were kept by their owner to his hurt, )

5:14 “และ​ทรัพย์สมบัติ​นั้น​สูญเสีย​ไป​ใน​ธุรกิจ​ที่​ไม่ดี แม้​เขา​ให้​กำเนิด​บุตรชาย​คน​หนึ่ง เขา​ก็​ไม่มี​อะไร​ติดมือ” 

       (and those riches were lost in a bad venture. And he is father of a son, but he has nothing in  his hand.)

5:15 “เขา​ได้​คลอด​มา​จาก​ครรภ์​มารดา​ตัว​ล่อนจ้อน​ฉันใด เขา​จะ​กลับ​ไป​อีก​เช่นเดียวกัน​ฉันนั้น และ​เขา​จะ​เอา​อะไร​ซึ่ง​เป็น​ผล​จาก​การ​ตรากตรำ​ของ​เขา​ติดมือ​ไป​ไม่ได้​สัก​อย่าง​เดียว” 

       (As he came from his mother’s womb he shall go again, naked as he came, and shall take  nothing for his toil that he may carry away in his hand. )

5:16 “นี่​เป็น​สิ่ง​สามานย์​อัน​น่าสลดใจ​อีก​คือ เขา​ได้​เกิด​มา​อย่างไร​เขา​ก็​ต้อง​ไป​อย่างนั้น เขา​จะ​ได้​ผลประโยชน์​อะไร​จาก​การ​ตรากตรำ​เพื่อ​ได้​แต่​ลม​เล่า?” 

       (This also is a grievous evil: just as he came, so shall he go, and what gain is there to him who  toils for the wind? )

5:17 “อนึ่ง เขา​กิน​อยู่​ใน​ความ​มืด​ตลอดปีเดือน​ของ​เขา เขา​มี​ความ​ยุ่งใจ​อย่าง​สาหัส มี​ความ​เจ็บไข้ และ​มี​โทโส”

        (Moreover, all his days he eats in darkness in much vexation and sickness and anger.)

5:18 “ดูเถิด ที่​ข้าพเจ้า​เห็นชอบ​และ​สมควร​คือ ให้​กิน​และ​ดื่ม และ​ชื่นชม​บรรดา​ผล​จาก​น้ำพักน้ำแรง​ของ​ตน ที่​ตน​ตรากตรำ​ภายใต้​ดวงอาทิตย์ ตลอดชั่วอายุ​ไม่​กี่​วัน​ของ​ตน​ที่​พระเจ้า​ประทาน​แก่​ตน​เพราะ​การ​นี้​แหละ​เป็น​ส่วน‍แบ่ง​ของ​ตน”

   (Behold, what I have seen to be good and fitting is to eat and drink and find enjoyment in all the  toil with which one toils under the sun the few days of his life that God has given him, for this is     his lot. )

5:19 “อนึ่ง ทุกๆ คน​ที่​พระเจ้า​ประทาน​ความ​มั่งคั่ง​และ​ทรัพย์สมบัติ​ให้ ก็​ได้​ทรง​โปรด​ให้​พวกเขา​ได้​ใช้​ของ​เหล่านั้น  และ​ให้​ได้​รับ​ส่วนแบ่ง​ของ​พวกเขา และ​เปรมปรีดิ์​ใน​ผล​จาก​น้ำพักน้ำแรง​ของ​ตน​ได้ นี่แหละ​เป็น​ของประทาน​จาก​พระเจ้า”

     (Everyone also to whom God has given wealth and possessions and power to enjoy them, and to  accept his lot and rejoice in his toil—this is the gift of God.)

5:20 “เขา​จะ​ได้​ไม่​ต้อง​นึกถึง​ปี​เดือน​แห่ง​ชีวิต​ของ​ตน​มาก เพราะ​พระเจ้า​ให้​ใจ​เขา​สาละวน​อยู่​กับ​ความ​ชื่นใจ”

     (For he will not much remember the days of his life because God keeps him occupied with joy in  his heart.)

 ข้อมูลมีประโยชน์

5:1-7 – เน้นความอนิจจังของการถือศาสนาแบบผิวเผิน ซึ่งสะท้อนออกมาในการปฏิญาณหรือบนอย่างพล่อย ๆ

5:1      “จงระวังเท้าของเจ้า” (Guard your steps) = คำเตือนให้รู้จักคิดก่อนที่จะพูดหรือทำสิ่งใด

“พระนิเวศน์ของพระเจ้า” (the house of God) = พระวิหารของซาโลมอน

“ฟัง” (to listen) = เชื่อฟัง   ใน 1ซมอ.15:22 ภาษาฮีบรูใช้คำกริยาคำเดียวกัน และเปรียบเทียบการนมัสการที่แท้จริงกับการนมัสการแบบยิวเผิน

“ถวายเครื่องบูชา” (to offer the sacrifice) = อาจเกี่ยวข้องกับบนหรือปฏิญาณไว้กับพระเจ้า ใน ข้อ 4-6

5:2       “อย่าให้ปากของเจ้าไว” (not rash with your mouth) = ปากไวหรือพูดพล่อย ๆ (ผ่านการบน)

“พระเจ้า…สวรรค์…เจ้า…แผ่นดินโลก” (God …heaven … you … earth.) = เปรียบเทียบเพื่อเน้นความแตกต่างระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์

5:3       “ฝันเมื่อมีงานมาก” (dream comes with much business)= แปลตรง ๆ ได้ว่า “ความฝันมาพร้อมกับ(การคิดถึง)ธุรกิจมากมาย”

ในฉบับอมตธรรมแปลว่า “ห่วงกังวลมากก็ฝันมาก” = ความห่วงกังวลทำให้เราฝันถึงความสุขสบาย (เช่นเดียวกับคนหิวโหยฝันถึงงานเลี้ยง)

“มีเสียงคนเขลาเมื่อพูดมาก” (a fool’s voice with many words    )= คนที่มีความคาดหวังมากอาจพูดในคำปฏิญาณอย่างพล่อย ๆ หรือ(พูดมาก) หรือพูดอย่างโง่เขลาต่อพระเจ้า (ข.7) = ยิ่งพูดมากก็ยิ่งพูดโง่ ๆ

5:4       “เมื่อเจ้าบนไว้ต่อพระเจ้า” (When you vow a vow to God) = ฉธบ.23:21-23;1ซมอ.1:11,24-28

“พระองค์ไม่พอพระทัยในคนเขลา” (he has no pleasure in fools) = คนเขลาในที่นี้ไม่ใช่คนที่เรียนรู้ไม่ได้ แต่เป็นคนที่ไม่ยอมเรียนรู้ (สภษ.1:20-27) ในฉบับอื่น ๆ แปลว่า “คนโง่”

5:6       “ผู้สื่อสารของพระเจ้า” (the messenger) = น่าจะหมายถึงปุโรหิต (มลค.2:7)

“เหตุไฉนจะให้พระเจ้าทรงพระพิโรธ…” (Why should God be angry)   = การละเมิดคำบนหรือคำปฏิญาณเป็นเรื่องร้ายแรงมาก (กดว.30:1-16) และส่งผลเสียอันเลวร้ายอย่างสาหัส (ฉธบ.23:21-23)

5:8       “เจ้าอย่าประหลาดใจในเรื่องนั้น” (do not be amazed at the matter,) = อย่าฉงบสนเท่ห์ ดูการประเมินสังคมอย่างตรงไปตรงมา ใน ปญจ.4:1-3 ปท. ยน.2:25

= ไม่หลงไปกับภาพลวงตาว่า สังคมจะมีแต่ความสุข

5:9       “ผลประโยชน์ของประเทศคือมีกษัตริย์ดูแลไร่นา” (But this is gain for a land in every way: a king committed to cultivated fields.)

=บางฉบับแปลว่า กษัตริย์เองได้รับประโยชน์จากเรือนสวนไร่นา –อมส.7:1

5:10     “คนรักเงินย่อมไม่อิ่มเงิน” (He who loves money will not be satisfied with money) = ความมั่นคงไม่ได้นำมาซึ่งความอิ่มเอมใจในเงินทองเสมอไป (1ทธ.6:9-10)

5:11-12 –ความมั่งคั่งไม่ได้ทำให้รู้สึกพอ แต่ทำให้กังวลมากขึ้น

5:12     “แต่อาหารที่อุดมสมบูรณ์ของคนมั่งมีก็ไม่ช่วยเขาให้หลับ” (but the full stomach of the rich  will not let him sleep.) -โยบ 20:20

5:13     “เกิดเป็นภัยแก่ตน” (owner to his hurt, )= รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับทรัพย์สมบัติของตนด้วย

5:15     “…เขาจะกลับไปอีกเช่นเดียวกันฉันนั้น” (he shall go again) –โยบ 1:21

“จะเอาอะไรซึ่งเป็นผลจากการตรากตรำไปไม่ได้สักอย่างเดียว” (shall take nothing for his toil that he may carry away in his hand.) –โยบ 1:21;สดด.49:17;1ทธ.6:7

“ติดมือไปไม่ได้สักอย่างเดียว” (he may carry away in his hand) –ปญจ.1:3;ลก.12:12-21

5:16     “ตรากตรำเพื่อได้แต่ลมเล่า?” (toils for the wind?) -ปญจ.1:3

5:18-30 –ดู ปญจ.2:24-25

5:18    “กินและดื่ม” (eat and drink) –ปญจ.2:3

“น้ำพักน้ำแรงของตนที่ตนตรากตรำ” (the toil with which one toils) –ปญจ.2:10,24

5:19     “ความมั่งคั่งและทรัพย์สมบัติ” (wealth and possessions) –1พศด.29:12

          “ให้ได้รับส่วนแบ่งของพวกเขา” (to accept his lot) –โยบ 31:2

          “เปรมปรีดิ์ในผลจากน้ำพักน้ำแรงของตน” (rejoice in his toil) –ปญจ.6:2

                   “นี่แหละเป็นของประทานจากพระเจ้า” (this is the gift of God) –ปญจ.2:24

5:20    “ให้ใจเขาสาละวนอยู่กับความชื่นใจ” (him occupied with joy in his heart.) -ฉธบ.12:7,18

 

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยมีปัญหาในการไปนมัสการพระเจ้าที่คริสตจักรบ้างไหม? แล้วคุณแก้ปัญหานั้นอย่างไร?
  2. คุณไปนมัสการพระเจ้าที่คริสตจักรด้วยท่าทีแบบใด?

…..1) ไปนมัสการแบบพิธีแล้วกลับบ้าน

…..2) ไปนมัสการแล้วร่วมกิจกรรมเล็กน้อย

…..3) ไปนมัสการและร่วมรับใช้ด้วยความเต็มใจ

…และผลเป็นอย่างไร?

  1. คุณเป็นคนปากไวในการให้สัญญา แล้วไม่ค่อยจริงจังในการทำตามบ้างหรือไม่?

…..1) ต่อพระเจ้า คือ……………………………………………………….

…..2) ต่อคนอื่น ๆ คือ…………………………………………………………

แล้วคุณรู้สึกอย่างไร?

  1. คุณเคยสัญญา(ปฏิญาณหรือบน) ต่อพระเจ้าในเรื่องใดบ้างที่คุณได้ทำตามและรักษาสัญญานั้นอย่างสมบูรณ์? (แบ่งปัน)

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

ปัญญาจารย์ บทเรียนที่ 4

ใครจะปลอบใจ?

พระธรรม        ปัญญาจารย์ 4:1-16

อ้างอิง                ปญจ.3:13,16;10;18;สภษ.27:20;30:7-9

บทนำ               ความเกียจคร้าน

ความอิจฉาริษยา

ความโง่

และการตรากตรำโดยปราศจากการทรงนำและอวยพรของพระเจ้า ล้วนเป็นอนิจจังอย่างแท้จริง!

บทเรียน

4:1 “ข้าพเจ้า​หัน​มา​พิจารณา​การ​ข่มเหง​ทุก​รูปแบบ​ที่​เกิดขึ้น​ภายใต้​ดวงอาทิตย์ และ​ดูเถิด น้ำตา​ของ​ผู้​ถูก​ข่มเหง​ไม่มี​คน​ปลอบใจ​เขา ผู้​ข่มเหง​เขา​นั้น​มี​อำนาจ​อยู่​ใน​มือ จึง​ไม่มี​ใคร​ปลอบใจ​เขา​ได้”

       (Again I saw all the oppressions that are done under the sun. And behold, the tears of the  oppressed, and they had no one to comfort them! On the side of their oppressors there was       power, and there was no one to comfort them. )

4:2 “เพราะฉะนั้น​ข้าพเจ้า​ยกย่อง​คน​ตาย​ที่​ตาย​ไป​แล้ว​ว่า​มี​โชค​ดีกว่า​คน​ที่​ยัง​มี​ชีวิต​อยู่” 

       (And I thought the dead who are already dead more fortunate than the living who are still alive. )

4:3 “ที่​ดี​ยิ่งกว่า​คน​ทั้งสอง​จำพวก​นั้น​คือ คน​ที่​ยัง​ไม่​เป็น​มา​และ​ไม่​เห็น​การ​ชั่ว​ที่​อุบัติ​ขึ้น​ภายใต้​ดวงอาทิตย์”

      (But better than both is he who has not yet been and has not seen the evil deeds that are done  under the sun.)

4:4 “และ​ข้าพเจ้า​เห็น​ว่า​การ​ตรากตรำ​ทุกอย่าง และ​ความ​ชำนาญ​ใน​การงาน​ทุกอย่าง​มา​จาก​ความ​ริษยา​ของ​คน​ที่​มี​ต่อ​เพื่อนบ้าน​ของ​ตน นี่​ก็​อนิจจัง​ด้วย​คือ กินลมกินแล้ง”

      (Then I saw that all toil and all skill in work come from a man’s envy of his neighbor. This also is  vanity and a striving after wind.)

4:5 “คนโง่​งอมืองอเท้าและ​กิน​เนื้อ​ของ​ตนเอง”

          (The fool folds his hands and eats his own flesh.)

4:6 “สิ่งของ​กำมือ​หนึ่ง​ที่​ได้​มา​ด้วย​ความ​สงบก็​ดีกว่า​สิ่งของ​สอง​กำมือ​ที่​ได้​มา​ด้วย​การ​ตรากตรำและ​การ​กินลม‍ กินแล้ง”

     (Better is a handful of quietness than two hands full of toil and a striving after wind.)

4:7 “ข้าพเจ้า​หัน​มา​พิจารณา​เรื่อง​อนิจจัง​ภายใต้​ดวงอาทิตย์​อีก​เรื่อง​หนึ่ง”

     (Again, I saw vanity under the sun:)

4:8 “คือคน​หนึ่ง​อยู่​ตัว​คน​เดียว ไม่มี​บุตร​หรือ​พี่น้อง แต่​เขา​ตรากตรำ​ไม่​หยุด ตา​ของ​เขา​ไม่​เคย​อิ่ม​ความ​มั่งคั่ง เขา​ไม่​เคย​คิด​ว่า “ข้า​ตรากตรำ​และ​อดใจ​จาก​สิ่ง​ที่​ชื่นชอบ​เพื่อ​ใคร​กัน?” นี่​ก็​อนิจจัง​ด้วย​และ​เป็น​เรื่อง​สามานย์”

     (one person who has no other, either son or brother, yet there is no end to all his toil, and his eyes  are never satisfied with riches, so that he never asks, “For whom am I toiling and depriving myself  of pleasure?” This also is vanity and an unhappy business.)

4:9 “สอง​คน​ดี​กว่า​คน​เดียว เพราะว่า​เขา​ทั้งสอง​ได้​รับ​รางวัล​ดี​สำหรับ​การ​ตรากตรำ​ของ​พวกเขา”

           (Two are better than one, because they have a good reward for their toil. )

4:10 “เพราะ​ว่า​ถ้า​พวกเขา​ล้มลง คน​หนึ่ง​จะ​ได้​พยุง​เพื่อน​ของ​ตน​ให้​ลุกขึ้น แต่​วิบัติ​แก่​คน​นั้น​ที่​อยู่​คน​เดียว​เมื่อ​เขา​ล้ม‍ลง และ​ไม่มี​ใคร​พยุง​เขา​ให้​ลุกขึ้น” 

   (For if they fall, one will lift up his fellow. But woe to him who is alone when he falls and has not  another to lift him up! )

4:11 “อนึ่ง ถ้า​สอง​คน​นอน​อยู่​ด้วยกัน พวกเขา​ก็​อบอุ่น แต่​ถ้า​นอน​คน​เดียว​จะ​อบอุ่น​ได้​อย่างไร?”

     (Again, if two lie together, they keep warm, but how can one keep warm alone? )

4:12 “และ​ถ้า​คน​หนึ่ง​เอา​ชนะ​คน​คน​เดียว​ได้ คน​สอง​คน​ย่อม​ต่อต้าน​เขา​ได้​แน่ เชือก​สาม​เกลียว​จะ​ขาด​ง่าย​ก็​หา​มิได้”

     (And though a man might prevail against one who is alone, two will withstand him—a threefold  cord is not quickly broken.)

4:13 “คน​หนุ่ม​ยากจน​และ​มี​สติ​ปัญญา​ก็​ดีกว่า​กษัตริย์​ชรา​และ​โฉดเขลา ผู้​ไม่​รับ​คำแนะนำ​อีก​แล้ว” 

     (Better was a poor and wise youth than an old and foolish king who no longer knew how to take  advice. )

4:14 “ถึงแม้​คน​หนุ่ม​นั้น​ออก​มา​จาก​เรือนจำ​แล้ว​ขึ้น​เป็น​กษัตริย์ หรือ​เกิด​เป็น​คน​จน​ใน​ราชอาณาจักร​ของ​เขา​เอง” 

     (For he went from prison to the throne, though in his own kingdom he had been born poor.)

4:15 “ข้าพเจ้า​พิจารณา​ทุก​ชีวิต​ที่​เคลื่อนไหว​อยู่​ภายใต้​ดวงอาทิตย์ รวม​ทั้ง​หนุ่ม​อีกคนหนึ่ง​ที่​จะ​ขึ้น​เป็น​กษัตริย์​แทน”

   (I saw all the living who move about under the sun, along with that youth who was to stand in the king’s place. )

4:16 “จำนวน​คน​ทั้งหมด​ที่​อยู่​ก่อน​พวกเขา​มี​มากมาย​จน​นับไม่ถ้วน และ​บรรดา​คน​ที่​มา​ภายหลัง​ก็​ไม่​เปรมปรีดิ์​ใน​ตัว​ คน​หนุ่ม​นั้น นี่​ก็​อนิจจัง​ด้วย​คือ กินลมกินแล้ง”

     (There was no end of all the people, all of whom he led. Yet those who come later will not rejoice  in him. Surely this also is vanity and a striving after wind.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

 4:1     “การข่มเหงทุกรูปแบบ” (all the oppressions) -ได้กล่าวถึงใน ปญจ. 3:16 และเป็นอีกส่วนหนึ่งในโศกนาฏกรรมของมนุษย์ชาติ การค้นพบว่า ชีวิตนั้นอนิจจัง นับเป็นเรื่องน่าเศร้าอยู่แล้ว แต่การได้ประสบกับความโหดร้ายของชีวิต ยิ่งทำให้ขมขื่นสุดบรรยาย –สดด.12:5

“ไม่มีใครปลอบใจเขาได้” (no one to comfort them) = ไม่มีใครปลอบโยน – พคค.1:16

4:2       “คนตายที่ตายไปแล้ว” (dead who are already dead) –ยรม.20:17-18;22:10

“โชคดีกว่าคนที่มีชีวิตอยู่” (more fortunate than the living who are still alive.) = มีความสุขมากกว่าคนที่ยังเป็นอยู่ –โยบ 3:10;18;ยรม.20:16-18,   = ภาพรวมที่กว้างกว่าใน โรม 8:35-39

4:3      “คนที่ยังไม่เป็นมา” ( who has not yet been) = คนที่ยังไม่เกิดมา –โยบ 3:16

          “อุบัติขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์” (that are done under the sun) = ที่เคยทำกันมาภายใต้ดวงอาทิตย์

–โยบ 3:22

4:4-6   -บ่งบอกว่า การทำงานหนักที่เกิดมาจากความอิจฉาริษยา เป็นแรงกระตุ้นผลักดันที่ไม่ได้นำความสุขมาสู่ ชีวิต รวมทั้งความเกียจคร้านก็ไม่มีทางนำมาซึ่งความหมายและความอิ่มใจในชีวิต

4:4       “การตรากตรำทุกอย่าง และความชำนาญในการงานทุกอย่าง”(all toil and all skill in work ) = นี่ก็เป็นสิ่งอนิจจัง ยกเว้นว่าการกระทำเช่นนั้นอยู่ภายใต้การทรงนำและการอวยพรจากพระเจ้า ดุจดังกรณีของโยเซฟ ในปฐมกาล 39; ปท .ปญจ.3:13

          “ความริษยา” (envy) = ตัวผลักดันให้ต่อสู้แข่งขัน และบางครั้งอาจกระทำด้วยความเห็นแก่ตัว ซึ่งกลับ ทำลายตัวของเราเองได้

          “กินลมกินแล้ง” (a striving after wind) = เหมือนวิ่งไล่ตามลม – ปญจ.1:14

4:5       “คนโง่งอมืองอเท้า” (The fool folds his hands) = ภาพพรรณนาถึงพฤติกรรมของคนเกียจคร้านที่นำความพินาศมาสู่ตัวเองอย่างโง่เขลา ซึ่งบรรยายไว้ชัดเจน ใน 10:18;สภษ.6:6-11;24:30-34

4:6       “ความสงบ” (quietness) = ความสงบสุข –สภษ.30:7-9

และ อ.เปาโลได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ใน ฟป.4:11-13

“สองกำมือที่ได้มาด้วยการตรากตรำ” ( than two hands full of toil ) -สภษ.15:16-17;16:18

4:7-12   -ได้บรรยายถึงความอนิจจัง ความยากลำบาก และชีวิตที่ไร้ความหมายของผู้ที่ตรากตรำทำงานเพื่อตัวเองเท่านั้น

4:8       “ตาของเขาไม่เคยอิ่มความมั่งคั่ง” (his eyes are never satisfied with riches) = ตาของเขาไม่มีความพึงพอใจ –สภษ.27:20

4:9-12 –แทนที่จะแข่งขันด้วยความริษยา พระเจ้าปรารถนาให้เรามีชีวิตที่รู้จักพอ กระทำดีและมีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข โดยการร่วมมือกันทำงานและช่วยเหลือกัน เป็นเพื่อนกัน สามัคคีธรรมกัน มีความรัก สนับสนุนกัน และพึ่งพิงในพระเจ้า (ปฐก.2:18;กจ.2:42;1คร.1:9;2คร.13:14;ฟป.2:1;1ยน.1:3,6-7

4:13-16 -ความเจริญก้าวหน้าใด ๆ ของคนเรา ที่ปราศจากพระเจ้า ล้วนเป็นอนิจจัง

4:13    “ชราและโฉดเขลา ผู้ไม่ได้รับคำแนะนำ”(old and foolish king who no longer knew how to take advice ) = น่าเศร้าที่ผู้ปกครองหยิ่งยโส ไม่เป็นผู้นำที่ดีอย่างที่ประชาชนต้องการ และไม่รับฟังคำแนะนำของผู้อื่น ผลก็คือ เขาจะอยู่ต่อไปในฐานะผู้ปกครองไม่ได้นาน

4:16     “จำนวนคนทั้งหมดที่อยู่ก่อนพวกเขามีมากมาย”(all the people, all of whom he led) = มายืนต่อหน้าหรือเข้าเฝ้าเขา และรับใช้เขา

“ภายหลังก็ไม่เปรมปรีดิ์ในตัวคนหนุ่มนั้น” (Yet those who come later will not rejoice in him)

= คนรุ่นต่อมาไม่ยอมรับในตัวผู้ปกครองนี้อีกต่อไป

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยประสบกับการข่มเหง หรือการปฏิบัติต่อตัวของคุณอย่างไม่เป็นธรรม จนต้องหลั่งน้ำตา โดยปราศจากคนที่ช่วยปลอบใจคุณบ้างหรือไม่? อย่างไร?
  2. คุณเคยเห็นบุคคลใดประสบกับสภาวะอย่างในข้อ 1 ข้างต้นบ้าง? แล้วคุณมีส่วนช่วยเหลืออะไรเขาบ้างหรือไม่? อย่างไร?
  3. การที่คุณทราบว่า พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งการปลอบประโลมใจ (2คร.1:3) ที่ปลอบประโลมประชากรของพระองค์เสมอมา (สดด.86:18;อสย.51:3,12) ได้ช่วยอะไรคุณบ้างหรือไม่? ทั้งในด้านการดำเนินชีวิตและการรับใช้พระเจ้า? (ปท.มธ.9:22;ยน.14:16;2คร.1:4)
  4. คุณเคยคิดว่า “คนที่ตายไปแล้ว” ยังโชคดีกว่า “คนที่ยังมีชีวิตอยู่” บ้างหรือไม่? ทำไมจึงคิดอย่างนั้น?
  5. คุณเคยอิจฉาริษยาผู้ใดจนทำให้ตัวของคุณและของคนผู้นั้นเป็นทุกข์บ้างหรือไม่? อย่างไร?
  6. คุณเคยได้รับความทุกข์ เพราะความอิจฉาริษยาของผู้ใดบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร แล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง?
  7. คุณรู้สึกอย่างไรกับคนที่ “งอมืองอเท้า”? คุณเคยเป็นคนอย่างที่ว่านี้หรือไม่? แล้วผลเป็นอย่างไร?
  8. คุณเคยตรากตรำทำงานหรือทำทุกอย่างเพื่อตัวเองคนเดียวมาเกือบทั้งชีวิตบ้างหรือไม่? แล้วคุณรู้สึกอย่างไร? คุ้มค่าหรือไม่? หากย้อนเวลากลับไปได้ คุณจะเปลี่ยนแปลงตัวเองในช่วงเวลาใด? ทำไม?
  9. คุณมีประสบการณ์ชีวิตแบบ “เชือกสามเกลียว” บ้างหรือไม่? กับใคร และเป็นอย่างไร? แบ่งปัน
  10. คุณเคยเห็นความอนิจจังในเรื่องการเปลี่ยนผู้นำหรือผู้ปกครองที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าบ้างหรือไม่? และมีบทเรียนอะไรสอนใจคุณบ้าง?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

ปัญญาจารย์ บทเรียนที่ 3

มีวาระสำหรับทุกสิ่ง

พระธรรม        ปัญญาจารย์ 3:1-22

อ้างอิง            ปญจ.1:3,9,13;2:3,7,14,24;3:1;11,17;5:7;6:10;7:18;8:6,12-13;11:9;12:7,14

บทนำ            ชีวิตก็เหมือนฤดูกาล ที่มีการเปลี่ยนแปลง และการหมุนเวียนกลับไปกลับมาเหมือนเดิมอยู่ตลอดเวลา ชีวิตจึงไม่เที่ยงแท้แน่นอน ! วันนี้ คุณจะทำอะไรบ้าง ที่จะส่งผลที่เที่ยงแท้จากชีวิตไม่เที่ยงแท้ที่คุณกำลังดำเนินอยู่ อย่างมีความสุขเปรมปรีดิ์?

 บทเรียน

 3:1 “มี​ฤดูกาล​สำหรับ​ทุกสิ่ง และ​มี​วาระ​สำหรับ​เรื่องราว​ทุกอย่าง​ภายใต้​ฟ้าสวรรค์”

     (For everything there is a season, and a time for every matter under heaven)

3:2 “มี​วาระ​ให้​กำเนิด และ​วาระ​ตาย มี​วาระ​เพาะปลูก และ​วาระ​ถอน​สิ่ง​ที่​ปลูก​ทิ้ง”

     (a time to be born, and a time to die; a time to plant, and a time to pluck up what is planted;)

3:3 “มี​วาระ​ฆ่า และ​วาระ​รักษา​ให้​หาย มี​วาระ​รื้อ​ทลาย​ลง และ​วาระ​ก่อสร้าง​ขึ้น”

    (a time to kill, and a time to heal; a time to break down, and a time to build up;)

3:4 “มี​วาระ​ร้องไห้ และ​วาระ​หัวเราะ มี​วาระ​ไว้ทุกข์ และ​วาระ​เต้นรำ”

    (a time to weep, and a time to laugh; a time to mourn, and a time to dance;)

3:5 “มี​วาระ​โยน​หิน​ทิ้ง และ​วาระ​เก็บ​รวบรวม​หิน มี​วาระ​สวมกอด และ​วาระ​งดเว้น​การ​สวมกอด”

     (a time to cast away stones, and a time to gather stones together; a time to embrace, and a time to refrain from embracing;)

3:6 “มี​วาระ​แสวงหา และ​วาระ​ทำหาย มี​วาระ​เก็บ​รักษา​ไว้ และ​วาระ​โยนทิ้ง​ไป”

      (a time to seek, and a time to lose; a time to keep, and a time to cast away;)

3:7 “มี​วาระ​ฉีกขาด และ​วาระ​เย็บ มี​วาระ​นิ่งเงียบ และ​วาระ​พูด”

    (a time to tear, and a time to sew; a time to keep silence, and a time to speak;)

3:8 “มี​วาระ​รัก และ​วาระ​เกลียด มี​วาระ​สงคราม และ​วาระ​สันติ”

     (a time to love, and a time to hate; a time for war, and a time for peace.)

3:9 “คน​งาน​ได้​ผลประโยชน์​อะไร​จาก​การ​ตรากตรำ​ของ​เขา 

       (What gain has the worker from his toil? )

3:10 “ข้าพเจ้า​เห็น​ภารกิจ​ซึ่ง​พระเจ้า​ประทาน​ให้​มนุษย์ ก็เพื่อ​ให้​พวกเขา​สาละวน​อยู่​กับ​ภารกิจ​นั้น”

      (I have seen the business that God has given to the children of man to be busy with. )

3:11 “พระองค์​ทรง​กระทำ​ให้​สรรพสิ่ง​งดงาม​ตาม​วาระ​ของ​มัน พระองค์​ทรง​บรรจุ​นิรันดร์กาล​ไว้​ใน​จิตใจ​มนุษย์​ด้วย แต่​มนุษย์​ยัง​ค้น​ไม่​พบ​ว่า พระเจ้า​ทรง​กระทำ​อะไร​ไว้​ตั้งแต่​ปฐมกาล​จน​กาล​สุดท้าย”

        (He has made everything beautiful in its time. Also, he has put eternity into man’s heart, yet so  that he cannot find out what God has done from the beginning to the end. )

3:12 “ข้าพเจ้า​ทราบ​แล้ว​ว่า สำหรับ​เขา​ไม่มี​อะไร​ดี​ไป​กว่า​เปรมปรีดิ์ และ​ร่าเริง​ตลอดชีวิต​ของ​เขา”

      (I perceived that there is nothing better for them than to be joyful and to do good as long as they  live; )

3:13 “ยิ่ง​ไป​กว่า​นั้น ของประทาน​จาก​พระเจ้า​แก่​มนุษย์​คือ ให้​มนุษย์​ได้​กิน​ดื่ม​และ​ชื่นชม​ผล​ทั้งหมด​จาก​การ​ตรากตรำ​ของ​เขา”

       (also that everyone should eat and drink and take pleasure in all his toil—this is God’s gift to  man.)

3:14 “ข้าพเจ้า​ทราบ​ว่า​สารพัด​ที่​พระเจ้า​ทรง​กระทำ​ก็​ดำรง​อยู่​เป็น​นิตย์ จะ​เพิ่ม​เติม​อะไร​เข้า​ไป​อีก​ก็​ไม่ได้ หรือ​จะ​หัก​อะไร​ออก​เสีย​ก็​ไม่ได้ พระเจ้า​ทรง​กระทำ​เช่น​นั้น เพื่อ​ให้​คน​ทั้งหลาย​มี​ความ​ยำเกรง​เฉพาะพระพักตร์​พระองค์ 

      (I perceived that whatever God does endures forever; nothing can be added to it, nor anything  taken from it. God has done it, so that people fear before him.)

3:15 “อะไรๆ ซึ่ง​เป็น​อยู่​ใน​ปัจจุบัน​ก็​เป็น​อยู่​นาน​มา​แล้ว อะไรๆ ที่​เป็น​มา​ก็​เคย​เป็น​อยู่​นาน​มา​แล้ว และ​พระเจ้า​ทรง​ทำ​สิ่ง​เดิม​ซ้ำ​อีก”

      (That which is, already has been; that which is to be, already has been; and God seeks what  has been driven away.)

3:16 “ยิ่งกว่านั้นอีก ที่​ภายใต้​ดวงอาทิตย์​ข้าพเจ้า​เห็น​ว่า ใน​ที่​ของ​ความ​ยุติธรรม​มี​ความ​อธรรม​อยู่​ด้วย และ​ใน​ที่​ของ​ความ​ชอบธรรม​มี​ความ​อธรรม​อยู่​ด้วย”

        (Moreover, I saw under the sun that in the place of justice, even there was wickedness, and in the place of righteousness, even there was wickedness. )

3:17 “ข้าพเจ้า​รำพึง​ใน​ใจ​ว่า พระเจ้า​จะ​ทรง​พิพากษา​คน​ชอบธรรม​และ​คน​อธรรม เพราะ​มี​กาล​กำหนด​ไว้​สำหรับ​ทุก​เรื่อง และ​สำหรับ​การงาน​ทุกอย่าง”

      (I said in my heart, God will judge the righteous and the wicked, for there is a time for every  matter and for every work. )

3:18 “ข้าพเจ้า​รำพึง​ใน​ใจ​เกี่ยวกับ​บรรดา​มนุษย์​ว่า พระเจ้า​ทรง​ทดสอบ​พวกเขา​เพื่อ​จะ​สำแดง​ว่า พวกเขา​เป็น​เพียง​สัตว์”

      (I said in my heart with regard to the children of man that God is testing them that they may see  that they themselves are but beasts.)

3:19 “เพราะ​ว่า​เคราะห์​ของ​บรรดา​มนุษย์​กับ​เคราะห์​ของ​สัตว์​นั้น​เหมือนกัน ฝ่าย​หนึ่ง​ตาย อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​ก็​ตาย​เหมือนกัน ทั้งสอง​มี​ลมหายใจ​อย่างเดียวกัน และ​มนุษย์​ไม่มี​อะไร​ดี​กว่า​สัตว์ เพราะ​สารพัด​ก็​อนิจจัง”

      (For what happens to the children of man and what happens to the beasts is the same; as one  dies, so dies the other. They all have the same breath, and man has no advantage over the            beasts, for all is vanity.)

3:20 “ทุกอย่าง​ไป​สู่​ที่​เดียวกัน ทุกอย่าง​เป็น​มา​จาก​ผงคลีดิน และ​ทุกอย่าง​กลับ​เป็น​ผงคลีดิน​อีก”

                (All go to one place. All are from the dust, and to dust all return.)

3:21 “ใคร​จะ​รู้​ได้​ว่า​ วิญญาณ​ของ​มนุษย์​ไป​สู่​เบื้องบน และ​วิญญาณ​ของ​สัตว์​ลงไป​สู่​แผ่นดิน​โลก?

         (Who knows whether the spirit of man goes upward and the spirit of the beast goes down into  the earth?)

3:22 “เพราะฉะนั้น​ ข้าพเจ้า​จึง​เห็น​ว่า ไม่มี​อะไร​ดี​ไป​กว่า​ที่​มนุษย์​จะ​เปรมปรีดิ์​ใน​การงาน​ของ​ตน เพราะ​ว่า​นั่น​เป็น​รางวัล​ของ​เขา ใคร​จะ​นำ​เขา​ให้​เห็น​ว่า​อะไร​จะ​เป็น​มา​ภายหลัง​เขา?

       (So I saw that there is nothing better than that a man should rejoice in his work, for that is his  lot. Who can bring him to see what will be after him?)

ข้อมูลมีประโยชน์

3:1-22  -พระธรรมตอนนี้ สื่อให้เห็นว่า มนุษย์ไม่สามารถควบคุมฤดูกาลหรือเวลาและการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้หรือ หากทำได้ก็ทำได้เพียงแค่เล็กน้อย มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงครอบครองเหนือทุกสิ่ง พระองค์ทรงเป็นพระเจ้านิรันดร์ผู้กำหนดทุกสิ่ง รวมทั้งทุกกิจกรรมในชีวิตของมนุษย์ และธรรมชาติ

3:1       “ภายใต้ฟ้าสวรรค์” (under heaven) -1:3;8:6

3:2       “มีวาระ” (a time) = มีเวลาที่พระเจ้าเป็นผู้กำหนด (สดด.31:15;สภษ.16:1-9)

  “วาระถอนสิ่งที่ปลูกทิ้ง” (a time to pluck up what is planted) –อสย.28:24

3:3       “มีวาระฆ่า” (a time to kill) –ฉธบ.5:17

3:7       “มีวาระนิ่งเงียบ” (a time to keep silence) –อสธ.4:14

3:9       “คนงานได้ผลประโยชน์อะไรจากการตรากตรำของเขา”(What gain has the worker from his toil?)

          “ผลประโยชน์”  = กำไร ;ปญจ.1:3 -ดู.2:17-23

3:10     “ภารกิจซึ่งพระเจ้าประทานให้มนุษย์” (the business that God has given to the children of man)

–ปญจ.1:13

3:11     “พระองค์ทรงกระทำให้สรรพสิ่งงดงามตามวาระของมัน” (He hasmade everything beautiful in its time) –ปญจ.3:1

                   “แต่มนุษย์ยังค้นไม่พบ” (that he cannot find out)

= ไม่สามารถหยั่งรู้ –โยบ 11:7

“พระเจ้าทรงกระทำอะไรไว้ตั้งแต่ปฐมกาลจนกาลสุดท้าย” (God has done from the beginning to the end            ) –โยบ 28:23;รม.11:33

= สิ่งที่พระเจ้ากระทำตั้งแต่ต้นจนจบ

= โลกที่สวยงามน่าพิศวงของพระเจ้านี้ ใหญ่โตเกินเหลือที่จะเข้าใจได้หมด แต่ความอิ่มเอมใจของโลกนี้เล็กน้อยเกินไป เราถูกสร้างขึ้นสำหรับชีวิตนิรันดร์ สิ่งต่าง ๆ ภายใต้กาลเวลาจึงไม่อาจเติมจิตใจของเราได้อย่างเต็มอิ่มและถาวร

3:12-13            = เป็นบทสรุปของพระธรรมเล่มนี้ว่า คนของพระเจ้าจะพบความหมายของชีวิตก็ต่อเมื่อ เขายอมรับชีวิตด้วยความยินดีจากพระหัตถ์ของพระเจ้า

3:12     “เปรมปรีดิ์และร่าเริง” (to be joyful and to do good) = แปลได้อีกว่า “…และทำสิ่งดี”

3:13     “ควรกินดื่ม” (eat and drink)

3:14     “มีความยำเกรงเฉพาะพระพักตร์พระองค์” (so that people fear before him) = สาระโดยสรุปของพระธรรมเล่มนี้ -12:13;โยบ 23:15;ปญจ.5:7;7:18;8:12-13

3:15     “อะไรซึ่งเป็นอยู่ในปัจจุบันก็เป็นอยู่นานมาแล้ว” (That which is, already has been; that which is to be, already has been) –ปญจ.6:10;1:9

3:17     “ทรงพิพากษาคนชอบธรรมและคนอธรรม” (judge the righteous and the wicked) = ไม่มีใครหนีพ้นการพิพากษาของพระเจ้า (ปท. รม.14:10;2คร.5:10; ปท.วว.20:12-13) ที่ยุติธรรม พระองค์จะพลิกการพิพากษาที่ไม่ยุติธรรมของมนุษย์ (3:16;12:14)

3:18     “พวกเขาเป็นเพียงสัตว์” (they themselves are but beasts) = เป็นเหมือนสัตว์ที่มีอันเป็นไป ไม่ต่างจากสัตว์โดยทั่วไป แต่ต่างกันที่มนุษย์ถูกสร้างให้เผชิญกับสภาพเช่นนี้ และต้องเป็นทุกข์ด้วยความรู้อันเลือนลางเกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์ (3:11)

3:19     “มีลมหายใจอย่างเดียวกัน” (l have the same breath) –สดด.104:29-30

3:20     “ทุกอย่างไปสู่ที่เดียวกัน” (All go to one place) = ไม่ใช่สวรรค์ หรือนรก แต่เป็นการกลับไปเป็นธุลีดิน

-ความตายทำให้ทุกชีวิตบนโลก ทั้งมนุษย์ และสัตว์มีความเท่าเทียมกัน (ปฐก.3:19;สดด.103:14)

3:21     “ใครจะรู้ได้ว่า“ (Who knows) -2:19;12:7

มนุษย์ไม่รู้ ทำได้เพียงแค่คาดเดาเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ที่มนุษย์เคยได้รับการเปิดเผยบางส่วน (สดด.16:9-11;49:15;73:23-26;อสย.26:19;ดนล.12:2)

จะได้รับการเปิดเผยทั้งหมดจากพระเจ้า (ทางข่าวประเสริฐของพระคริสต์ –2ทธ.1:10;ยน.5:24-29)

3:22     “ไม่มีอะไรดีไปกว่า” (nothing better than)  -ถ้าเราให้การทำงานของเราเป็นเป้าหมายชีวิตอันสูงสุด สิ่งนั้นก็จะอนิจจัง (4:4;9:9) เพราะงานจะมีความหมายและคุณค่ายั่งยืนก็ต่อเมื่อเรายอมรับว่า งานนั้นเป็นของขวัญมาจากพระเจ้า (3:13-14)

คำถามนำอภิปราย

  1. การที่คุณพบว่า มีฤดูกาลและวาระสำหรับทุกเรื่องราว ส่งผลต่อวิถีคิด และวิถีชีวิตของคุณอย่างไรบ้าง?
  2. คุณกำลังอยู่ในวาระใดของชีวิต (ตามปัญญาจารย์ 3:1-8)? และส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของคุณอย่างไร?
  3. เวลานี้คุณได้รับผลประโยชน์อย่างคุ้มค่าน่าพอใจกับการตรากตรำในชีวิตของคุณหรือไม่? อย่างไร?
  4. คุณมองเห็น หรือพบความงดงามอะไรบ้าง ในชีวิตของคุณเอง และในชีวิตของคนรอบตัวคุณ? (แบ่งปัน)
  5. เวลานี้ คุณเปรมปรีดิ์และร่าเริงกับชีวิตของคุณอย่างเต็มที่แล้วหรือไม่? อย่างไร? และคุณจะปรับเปลี่ยนอะไรบ้างหรือไม่?
  6. การที่คุณทราบว่า สิ่งที่พระเจ้ากำหนดไว้แล้วจะเพิ่มจะลดหรือจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของคุณอย่างไร?
  7. การที่คุณทราบว่า พระเจ้าจะทรงพิพากษาคนชอบธรรมและคนอธรรมในบั้นปลาย ทำให้คุณระมัดระวังในการทำงานและการประพฤติตนในชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างไรบ้างหรือไม่?
  8. วันนี้คุณจะทำอะไรบ้างที่จะทำให้

…..1. คุณเปรมปรีดิ์ในการงาน และ

…..2. คุณร่าเริงในการดำรงชีวิตของคุณ?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

ปัญญาจารย์ บทเรียนที่ 2

อนิจจังและพระเจ้า

พระธรรม        ปัญญาจารย์ 2:1-26

อ้างอิง            1พกษ.4:23;10:10,23-27;14-22;1พศด.29:25;9:22-27;2พศด.9:22-27;ปญจ.3:13;5:18;9:7;1:12-18; อสย.56:12;ลก.12:19;1คร.15:32;โยบ 5:7;14:1

บทนำ           ความสนุกสนานและการตรากตรำทำงานไม่ได้ให้ความสุข ความหมายหรือความพึงพอใจที่แท้จริงแก่เรา หากว่าเราตัดพระเจ้าทิ้งออกไป!

บทเรียน

2:1 “ข้าพเจ้า​รำพึง​ว่า “มา​เถอะ มา​ลอง​สนุกสนาน​กัน​ดู จง​สนุก​ให้​เต็มที่” แต่​ดูเถิด เรื่อง​นี้​ก็​อนิจจัง​เช่นกัน”               

    (I said in my heart, “Come now, I will test you with pleasure; enjoy yourself.” But behold, this also  was vanity. )

2:2 “ข้าพเจ้า​พูดถึง​การ​หัวเราะ​ว่า “บ้าๆ บอๆ” และ​กล่าวถึง​ความ​สนุกสนาน​ว่า “มี​ประโยชน์​อะไร?”

          (I said of laughter, “It is mad,” and of pleasure, “What use is it?” )

 2:3 “ข้าพเจ้า​ใคร่ครวญ​ดู​ว่า​จะ​ทำ​อย่างไร กาย​จึง​คึกคัก​ด้วย​เหล้าองุ่น แต่​ใจ​ยัง​คง​แนะนำ​ข้าพเจ้า​ด้วย​สติ​ปัญญาพร้อม​กับ​ยึด​ความ​เขลา​ไว้​ด้วย จนกระทั่ง​ข้าพเจ้า​เห็น​ได้​ว่า มี​สิ่ง​ดี​อะไร​ที่​มนุษย์​จะ​ทำ​ได้​ภายใต้​ท้องฟ้า​ตลอดชั่ว‍อายุ​ไม่​กี่​วัน​ของ​เขา”

    (I searched with my heart how to cheer my body with wine—my heart still guiding me with wisdom  and how to lay hold on folly, till I might see what was good for the children of man to do under  heaven during the few days of their life.)

2:4 “ข้าพเจ้า​กระทำ​การ​ใหญ่​โต ข้าพเจ้า​ได้​สร้าง​เรือน​หลาย​หลัง และ​ทำ​สวนองุ่น​หลาย​แปลง”

       (I made great works. I built houses and planted vineyards for myself. )

2:5 “ข้าพเจ้า​ทำ​สวน​ผลไม้​และ​สวน​หย่อนใจ​หลาย​แห่ง ปลูก​ไม้ผล​ทุก​ชนิด​ไว้​ใน​สวน​เหล่านั้น”

       (I made myself gardens and parks, and planted in them all kinds of fruit trees. )

2:6 “ข้าพเจ้า​สร้าง​สระน้ำ​หลาย​สระ​สำหรับ​ตัว​เอง เพื่อ​จะ​ใช้​น้ำ​ใน​สระ​นั้น​รด​หมู่​ไม้​ที่​กำลัง​งอกงาม”

          (I made myself pools from which to water the forest of growing trees. )

2:7 “ข้าพเจ้า​ซื้อ​ทาส​ชาย​หญิง​ไว้ และ​มี​ทาส​เกิดขึ้น​ใน​บ้าน​ของ​ข้าพเจ้า นอกจากนั้น​ข้าพเจ้า​มี​ฝูงโค​ฝูงแพะแกะ​มาก​กว่า​ทุก​คน​ที่​อยู่​ใน​กรุงเยรูซาเล็ม​ก่อน​ข้าพเจ้า”

        (I bought male and female slaves, and had slaves who were born in my house. I had also great  possessions of herds and flocks, more than any who had been before me in Jerusalem. )

2:8 “ข้าพเจ้า​สะสม​เงินทอง​ไว้​ด้วย และ​สะสม​ทรัพย์สมบัติ​อัน​ควร​คู่​กับ​กษัตริย์​และ​ควร​คู่​กับ​เมือง​ทั้งหลาย ข้าพเจ้า​มี​นักร้อง​ชาย​หญิง และ​มี​ความ​สนุกสนาน​ทาง​เพศ ซึ่ง​เป็น​สิ่ง​ชอบใจ​มนุษย์”

          (I also gathered for myself silver and gold and the treasure of kings and provinces. I got singers,   both men and women, and many concubines, the delight of the sons of man.)

2:9 “ดังนั้น ข้าพเจ้า​จึง​เป็น​ใหญ่​และ​ยิ่งใหญ่​กว่า​ทุก​คน​ที่​เคย​อยู่​มา​ก่อน​ข้าพเจ้า​ใน​เยรูซาเล็ม และ​สติ​ปัญญา​ของ​ ข้าพเจ้า​ยัง​คง​อยู่​กับ​ข้าพเจ้า​ด้วย”
              (So I became great and surpassed all who were before me in Jerusalem. Also my wisdom remained with me. )

2:10 “ทุกสิ่ง​ที่​นัยน์ตา​ของ​ข้าพเจ้า​อยาก​เห็น ข้าพเจ้า​ก็​ไม่​ปิดบัง ข้าพเจ้า​มิได้​ห้าม​ใจ​จาก​ความ​สนุกสนาน​ทุกอย่าง เพราะ​ใจ​ข้าพเจ้า​พบ​ความ​เพลิดเพลิน​จาก​การ​ตรากตรำ​ทั้งหมด​ของ​ข้าพเจ้า และ​นี่​เป็น​รางวัล​จาก​การ​ตราก‌ตรำ​ของ​ข้าพเจ้า”

      (And whatever my eyes desired I did not keep from them. I kept my heart from no pleasure, for  my heart found pleasure in all my toil, and this was my reward for all my toil.)

2: 11 “แล้ว​ข้าพเจ้า​หัน​มา​ดู​ทุกสิ่ง​ที่​มือ​ข้าพเจ้า​ทำ และ​ผล​ของ​การ​ตรากตรำ​ที่​ข้าพเจ้า​ทำ​ลงไป​ด้วย​ความ​เหน็ด‍เหนื่อย และ​ดูเถิด ทุกอย่าง​ก็​อนิจจัง​คือ กินลมกินแล้ง และ​ไม่มี​ประโยชน์​อะไร​ภายใต้​ดวงอาทิตย์”

(Then I considered all that my hands had done and the toil I had expended in doing it, and  behold, all was vanity and a striving after wind,and there was nothing to be gained under the sun.)

2:12 “ข้าพเจ้า​จึง​หัน​มา​พิเคราะห์​สติ​ปัญญา ความ​บ้าบอ และ​ความ​เขลา เพราะ​คน​ที่​มา​ภายหลัง​กษัตริย์​จะ​ทำ​อะไรได้? นอกจาก​ทำ​สิ่ง​ที่​เขา​ทำ​กัน​มา​นาน​แล้ว​นั้น”

       (So I turned to consider wisdom and madness and folly. For what can the man do who comes   after the king? Only what has already been done.)

2:13 “ข้าพเจ้า​เห็น​ว่า​สติ​ปัญญา​มี​ประโยชน์​กว่า​ความ​เขลา เหมือน​ความ​สว่าง​มี​ประโยชน์​กว่า​ความ​มืด” 

        (Then I saw that there is more gain in wisdom than in folly, as there is more gain in light than in  darkness.)

2:14 “คน​มี​สติ​ปัญญา​รู้​ว่า​จะ​เดิน​ไป​ทาง​ไหน แต่​คน​เขลา​เดิน​ใน​ความ​มืด ถึงกระนั้น​ข้าพเจ้า​ก็​ตระหนัก​ว่า เคราะห์​ อย่าง​เดียวกัน​เกิดขึ้น​แก่​พวกเขา​ทุกคน”

      (The wise person has his eyes in his head, but the fool walks in darkness. And yet I perceived  that the same event happens to all of them. )

2:15 “ข้าพเจ้า​จึง​รำพึง​ว่า “เคราะห์​ที่​เกิด​แก่​คน​เขลา ก็​จะ​เกิด​กับ​ตัว​ข้าพเจ้า​ด้วย ถ้า​เช่น​นั้น​แล้ว​ข้าพเจ้า​จะ​มี​สติ​ปัญญา​มากมาย​ไป​ทำไม​เล่า?” ข้าพเจ้า​จึง​รำพึง​ว่า​เรื่อง​นี้​ก็​อนิจจัง​เหมือนกัน “

       (Then I said in my heart, “What happens to the fool will happen to me also. Why then have I  been so very wise?” And I said in my heart that this also is vanity. )

2:16 “เพราะ​ไม่มี​ใคร​จดจำ​ถึง​คน​มี​สติ​ปัญญา​และ​คน​เขลา​ตลอดไป เพราะ​เมื่อถึงเวลา​ใน​อนาคต​ก็​ลืม​กัน​ไป​หมด​แล้ว  โถ คน​มี​สติ​ปัญญา​ก็​ตาย​เหมือน​คน​เขลา”

         (For of the wise as of the fool there is no enduring remembrance, seeing that in the days to  come all will have been long forgotten. How the wise dies just like the fool!)

2:17 “ข้าพเจ้า​จึง​เกลียด​ชีวิต เพราะ​ว่า​การงาน​ที่​ทำ​กัน​ภายใต้​ดวงอาทิตย์​ก่อ​ความ​สลดใจ​ให้​แก่​ข้าพเจ้า เพราะ​สาร พัด​ก็​อนิจจัง​คือ กินลมกินแล้ง”

         (So I hated life, because what is done under the sun was grievous to me, for all is vanity and a  striving after wind.)

2:18 “ข้าพเจ้า​เกลียด​การ​ตรากตรำ​ทั้งสิ้น ซึ่ง​ข้าพเจ้า​ตรากตรำ​อยู่​ภายใต้​ดวงอาทิตย์ เพราะ​ข้าพเจ้า​จำต้อง​ละ​การ​นั้น​ไว้​ให้​แก่​คน​ที่​มา​ภายหลัง​ข้าพเจ้า”

       (I hated all my toil in which I toil under the sun, seeing that I must leave it to the man who will  come after me, )

2:19 “แล้ว​ใคร​จะ​ไป​ทราบ​ว่า​เขา​คน​นั้น​จะ​เป็น​คน​มี​สติ​ปัญญา​หรือ​คน​เขลา กระนั้น​เขา​ก็​ครอบครอง​การ​ตรากตรำ​ทุกอย่าง​ของ​ข้าพเจ้า ที่​ข้าพเจ้า​ได้​ตรากตรำ​มา​และ​ใช้​สติ​ปัญญา​ทำ​ภายใต้​ดวงอาทิตย์ นี่​ก็​อนิจจัง​ด้วย”

      (and who knows whether he will be wise or a fool? Yet he will be master of all for which I toiled  and used my wisdom under the sun. This also is vanity.)

2:20 “ข้าพเจ้า​จึง​หันกลับ​และ​ท้อแท้​ใจ​นัก​ถึง​เรื่อง​การ​ตรากตรำ​ทั้งสิ้น ซึ่ง​ข้าพเจ้า​ตรากตรำ​มา​ภายใต้​ดวงอาทิตย์”

         (So I turned about and gave my heart up to despair over all the toil of my labors under the sun,)

2:21 “เพราะ​ว่า​มี​คน​ที่​ตรากตรำ​โดย​ใช้​สติ​ปัญญา ความ​รู้ และ​ความ​ชำนาญ แต่​แล้ว​ก็​ละ​ส่วน​แบ่ง​ของ​เขา​ให้​อีกคน‍หนึ่ง​ที่​หาได้​ตรากตรำ​ทำ​เพื่อ​การ​นั้น​ไม่ นี่​ก็​อนิจจัง​ด้วย​และ​สามานย์​ยิ่ง”
     (because sometimes a person who has toiled with wisdom and knowledge and skill must leave  everything to be enjoyed by someone who did not toil for it. This also is vanity and a great evil. )

2:22 “เพราะ​ว่า​มนุษย์​ได้​อะไร​จาก​การ​ตรากตรำ​ทั้งสิ้น และ​การ​ดิ้นรน​ที่​เขา​ต้อง​ตรากตรำ​ภายใต้​ดวงอาทิตย์​เล่า?”

                (What has a man from all the toil and striving of heart with which he toils beneath the sun? )

2:23 “เพราะ​ว่า​ปี​เดือน​ทั้งหมด​ของ​เขา​มี​แต่​ความ​เจ็บปวด และ​ภารกิจ​ของ​เขา​ก่อ​ความ​ทุกข์​ระทม ถึง​กลางคืน​จิตใจ​ของ​เขา​ก็​ไม่​หยุดพัก​สงบ นี่​ก็​อนิจจัง​ด้วย”

                (For all his days are full of sorrow, and his work is a vexation. Even in the night his heart does  not rest. This also is vanity.)

2:24 “สำหรับ​มนุษย์​นั้น​ไม่มี​อะไร​ดี​ไป​กว่า​กิน​และ​ดื่ม กับ​ชื่นชม​ผล​จาก​การ​ตรากตรำ​ของ​เขา นี่​แหละ​ข้าพเจ้า​เห็น​ด้วย​ว่า​เป็น​มา​จาก​พระหัตถ์​ของ​พระเจ้า”

            (There is nothing better for a person than that he should eat and drink and find enjoyment in his toil. This also, I saw, is from the hand of God,)

2:25 “ด้วย​ถ้า​ไม่​อาศัย​พระองค์​แล้ว​ใคร​จะ​กิน​ได้​เล่า? หรือ​ใคร​จะ​ชื่นบาน​ได้?”

            (for apart from him who can eat or who can have enjoyment? )

2:26 “เพราะ​ว่า​พระเจ้า​ประทาน​สติ​ปัญญา ความ​รู้ และ​ความ​ยินดี​ให้​แก่​คน​ที่​พระองค์​พอพระทัย แต่​ส่วน​คนบาป​ พระองค์​ประทาน​ภารกิจ​ที่​ต้อง​เก็บเกี่ยว​และ​สะสม เพื่อ​ให้​แก่​ผู้​ที่​พระเจ้า​พอพระทัยนี่​ก็​อนิจจัง​ด้วย​คือ กินลม‍ กินแล้ง”

      (For to the one who pleases him God has given wisdom and knowledge and joy, but to the  sinner he has given the business of gathering and collecting, only to give to one who pleases         God. This also is vanity and a striving after wind.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

 2:1       “ข้าพเจ้ารำพึง” (I said in my heart) = คิดในใจ (ข.15;1:16)

“ลองสนุกสนานกันดู” (I will test you with pleasure) = ปญจ. 2:24;7:4;8:15

“จงสนุกให้เต็มที่” (enjoy yourself) = อาจแปลได้อีกว่า “เพื่อค้นหาสิ่งดี ๆ “

( คำว่า “ดี” และ “ดีกว่า” ปรากฏในพระธรรมตอนนี้ราว ๆ 40 ครั้ง)

2:2       “การหัวเราะ” (laughter) – สภษ.14:13

2:3       “เหล้าองุ่น” (wine) –ปญจ.2:24-25;3:12-13;5:18;8:15;วนฉ.9:13;นรธ.3:3

“แต่ใจยังคงแนะนำข้าพเจ้าด้วยสติปัญญา” (my heart still guiding me with wisdom) = ตั้งแต่ต้นจนจบผู้เขียนให้ปัญญาในการค้นหาสิ่งดี และมีคุณค่า (ข.1,3,9)

“ความเขลา” (folly) –ปญจ.1:17

2:4-9 – ใน 1พกษ. 4-11 ได้บรรยายถึงสง่าราศีและบรรดามเหสีและนางสนมของซาโลมอน

2:4      “สร้างเรือนหลายหลัง” (built houses) -2พศด.2:1;8:16

“ทำสวยองุ่นหลายแปลง” (planted vineyards) -พซม.8:11

2:7       “ทาสอื่น ๆ “ (slaves) –2พศด.8:7-8

2:8      “เมืองทั้งหลาย” (provinces) = บางฉบับแปลว่า “แว่นแคว้นต่าง ๆ” = อาจหมายถึงดินแดนใกล้เคียงที่ส่งบรรณาการให้

“มีความสนุกสนานทางเพศ” (many concubines, the delight of the sons of man) = บางฉบับแปลว่า มี “ฮาเร็ม อันเป็นสิ่งที่ถูกใจผู้ชาย”

-คำว่า “อาเร็ม” นี้ ปรากฏที่นี่เพียงแห่งเดียวในพระคัมภีร์เกี่ยวข้องกับการมีนางสนม (ซึ่งซาโลมอน มีนางสนม 300 คน และมเหสี 700 คน –1พกษ.11:3)

2:9       “เคยอยู่ก่อนข้าพเจ้า” (who were before me) 1พศด.29:35

“ในเยรูซาเล็ม” (in Jerusalem) –ปญจ.1:2,16

2:10     “การตรากตรำทั้งหมด” (in all my toi) = ผลงานและการลงทุนลงแรง

= แนวคิดสำคัญในพระธรรมปัญญาจารย์ คือ ความอนิจจัง (ข.11) ของการตรากตรำ การลงทุนลงแรง ทำงานทั้งหมด โดยปราศจากพระเจ้า คำเหล่านี้ปรากฏราว 40 ครั้ง

20:11   “กินลมกินแล้ง” (a striving after wind) = เหมือนวิ่งไล่ตามลม –ปญจ.1:14

“ภายใต้ดวงอาทิตย์” (under the sun) –ปญจ.1:3

2:12-17 – ผู้เขียนพระธรรมปัญญาจารย์ย้อนกลับมาที่ความโง่เขลาในการพยายามแสวงหาความพึงพอใจจากปัญญาของมนุษย์เพียงอย่างเดียว –1:16-18

2:12     “คนที่มาภายหลังกษัตริย์” ( who comes after the king) = อาจหมายถึงตัวปัญญาจารย์ (1:1) หรือผู้ที่สืบทอดภายหลังตัวเขา (4:15-16)

2:13     “สติปัญญามีประโยชน์กว่าความเขลา” (more gain in wisdom than in folly) = แม้แต่ปัญญาของโลกโดยทั่วไปก็ยังดีกว่าความโฉดเขลา แต่ในท้ายที่สุดก็ไม่มีค่าอะไร –ปญจ.7:11-12,19;9:18

2:14     “รู้ว่าจะเดินไปทางไหน” (has his eyes in his head) = ในบางฉบับแปลว่า “มีตาอยู่ในสมอง” ในภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า “มีตาอยู่ในหัว”

คำว่า “ตา” = “ความเข้าใจ”

“เคราะห์อย่างเดียวกันเกิดขึ้นแก่พวกเขาทุกคน” (the same event happens to all of them) = ไม่มีใครหนีพ้นชะตากรรมเดียวกันที่เกิดขึ้นกับผู้เชื่อที่มีปัญญาและผู้ไม่เชื่อที่โฉดเขลา -ข.14;สดด.49:10;ปญจ.3:19;6:6;7:2;9:3,11-12

2:15     “ข้าพเจ้าจะมีสติปัญญามากมายไปทำไมเล่า?” (Why then haveI been so very wise?) = ฉลาดแล้วจะได้อะไรขึ้นมา? –ปญจ.2:19;6:8

2:16     “ไม่มีใครจดจำ” (no enduring remembrance) –สดด.112:6

= ไม่อยู่ในความทรงจำเนิ่นนาน

“ลืมกันไปหมดแล้ว” (forgotten) = ไม่ว่าคนฉลาดหรือคนโง่หรืแม้แต่วีรบุรุษหรือผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ในไม่ช้าก็ถูกลืมเลือนไปทั้งคู่ –ปญจ.1:11

“คนมีสติปัญญาก็ตายเหมือนคนเขลา” (the wise dies just like the fool  ) –สดด.49:10

2:17-23 –การแสวงหาความอิ่มใจจากการงานที่ทำเป็นความทุกข์โศก และการไร้ความหมาย ซึ่งนำไปสู่ความสิ้นหวังและในไม่ช้าผลงานนั้นจะถูกทิ้งไว้ให้ผู้อื่น ซึ่งไม่มีทางคาดเดาได้ว่า จะเป็นผู้ใดมารับเอาไป

2:17     “กินลมกินแล้ง” (a striving after wind) = วิ่งไล่ตามลม –ปญจ.1:14

2:18     “ข้าพเจ้าจำต้องละการนั้นไว้ให้แก่คนที่มาภายหลังข้าพเจ้า” (I must leave it to the man who will come after me) –ข.21;สดด.39:6;ลก.12:20

2:19     “แล้วใครจะไปทราบว่า” (who knows whether) = ใครเล่าจะรู้? -3:21

“คนนั้นจะเป็นคนมีสติปัญญาหรือคนเขลา” (he will be wise or a fool) –ปญจ.2:15

2:22     “การตรากตรำทั้งสิ้นและการดิ้นรนที่เขาต้องตรากตรำภายใต้ดวงอาทิตย์เล่า?” (the toil and striving of heart with which he toils beneath the sun) –ปญจ.1:3

2:23     “ปีเดือนทั้งหมดของเขามีแค่ความเจ็บปวด…ความทุกข์ระทม…ไม่หยุดพักสงบ” (his days are full of sorrow, … a vexation. .. not rest.) –ปญจ.1:18;ปฐก.3:17;โยบ.2:10

2:24-26 = หัวใจของพระธรรมปัญญาจารย์และถึงจุดสูงสุดใน 12:13

= ในพระเจ้าเท่านั้น ที่ชีวิตจะมีความหมายและมีความสุขแท้ หากปราศจากพระเจ้าก็จะไม่มีอะไรเต็มอิ่ม และความพึงพอใจอันแท้จริงจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราได้ยอมรับและยำเกรงพระเจ้าเท่านั้น (12:13)

2:24     “กินและดื่ม” (eat and drink) –ปญจ.2:3;1คร.15:32

“ชื่นชมผลของการตรากตรำของเขา” (find enjoyment in his toil) = หาความอิ่มใจในงานของตัวเอง –ปญจ.2:1;3:22

“…เป็นมาจากพระหัตถ์ของพระเจ้า” (is from the hand of God) –โยบ 2:10;ปญจ.3:12-13,22;5:17- 20;7:14;8:15;9:7-10;11:7-10

2:25     “ด้วยถ้าไม่อาศัยพระองค์” (for apart from him) = ภาษาฮีบรูแปลตรงตัวว่า “ด้วยถ้าไม่อาศัยเรา”

“ใครจะชื่นบานได้” (who can have enjoyment?) –สดด.127:2

2:26     “สติปัญญา” (wisdom) –โยบ 9:4

“แต่ส่วนคนบาป” (but to the sinner) = สิ่งนี้น่าจะเป็นกฎเกณฑ์โดยทั่วไป แต่ก็อาจมีข้อยกเว้นในบางครั้ง อาทิ ใน 8:14;สดด.73:1-12

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยแสวงหาความสนุกสนานแบบเต็มที่ในรูปแบบใด อย่างไรบ้าง? แล้วคุณรู้สึกมีความสุขยาวนานหรือไม่? อย่างไร?
  2. คุณเคยมีประสบการณ์ประเภทใดต่อไปนี้บ้าง?

1) สนุกสนานแบบคนเขลาคือ …………………………………………………………………………………….

2) สนุกสนานแบบคนมีสติปัญญา คือ …………………………………………………………………………..

3) สนุกสนานแบบคนมีปัญญาผสมแบบคนเขลาคือ………………………………………………………..

แล้วผลเป็นอย่างไร

  1. คุณเคยลงทุนมากที่สุดกับการแสวงหาความพอใจในชีวิตของคุณในเรื่องอะไร? ผลอย่างไร?
  2. มีการลงทุนอะไรบ้างที่คุณเคยทำและได้ผลตอบสนองอย่างคุ้มค่าที่สุด ทั้งรางวัลและความเพลิดเพลิน?
  3. คุณเคยรู้สึกอนิจจังกับผลของการทุ่มเทตรากตรำที่ทำลงไปบ้างหรือไม่? ทำไมจึงเกิดความรู้สึกเช่นนั้น? เมื่อไร? แล้วเกิดอะไรตามมา?
  4. คุณเข้าใจอย่างไรบ้างกับประโยคที่ว่า “เคราะห์อย่างเดียวกันเกิดขึ้นแก่พวกเขาทุกคน”? ความจริงข้อนี้

ส่งผลกระทบต่อจิตใจและชีวิตของคุณอย่างไร?

  1. การที่คุณตระหนักว่า ในที่สุดทุกอย่างที่คุณตรากตรำทำงานเพื่อจะได้มานั้นจะต้องถูกทิ้งไว้ให้กับคนอื่นที่มาภายหลังคุณ ได้ให้สติหรือข้อคิดอะไรต่อคุณบ้าง? อย่างไร?
  2. ข้อพระธรรมในปัญญาจารย์ 2:24-26 ก่อเกิดแรงบันดาลใจ การท้าทายหรือแนวทางการดำเนินชีวิตอะไรในมุมมองใหม่ ๆ ให้แก่คุณบ้าง? และคุณจะทำอะไรบ้างที่เปลี่ยนแปลงไปจากสิ่งที่คุณเคยทำบ้าง?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์