Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1โครินธ์ (บทที่ 2)

กางเขน ความล้ำลึก และพระวิญญาณ  

พระธรรม        1โครินธ์ 2:1-16

อ้างอิง             1คร.1:17,20-23,27;2:1,4-6,13,18;3:1;4:10;9:22;2คร.11:29-30;12:1,7

บทนำ

เรื่องกางเขนเป็นเรื่องสุดล้ำลึกที่ผู้ไม่รู้ คิดว่าเป็นเรื่องโง่เขลา แม้แต่ซาตาน นักปราชญ์ บัณฑิต และบรรดาผู้รู้ทั้งหลายในโลกก็ยังไม่เข้าใจ จนกระทั่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปิดเผยให้รู้จึงเข้าใจ และคนที่เปิดใจรับก็จะได้รับความรอดโดยฤทธิ์เดชของพระเจ้า

บทเรียน

2:1 “พี่น้องทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้ามาหาท่านเพื่อประกาศความล้ำลึกของพระเจ้าแก่พวกท่านนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้มาด้วยถ้อยคำหวานหูหรือด้วยความฉลาดปราดเปรื่อง” 

       (And I, when I came to you, brothers, did not come proclaiming to you the testimony of God with lofty speech or wisdom.)

2:2 “เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่แสดงความรู้เรื่องใดๆ ในหมู่พวกท่านเลย เว้นแต่เรื่องพระเยซูคริสต์และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน”

       (For I decided to know nothing among you except Jesus Christ and him crucified. )

2:3 “และข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลายด้วยความอ่อนแอ ด้วยความกลัวและความหวาดหวั่นมาก”

       (And I was with you in weakness and in fear and much trembling, )

2:4 “คำพูดและคำเทศนาของข้าพเจ้าไม่ใช่เป็นการพูดชักชวนด้วยปัญญาแต่เป็นการสำแดงพระวิญญาณและ ฤทธานุภาพ” 

     (and my speech and my message were not in plausible words of wisdom, but in demonstration of the Spirit and of power, )

2:5 “เพื่อความเชื่อของพวกท่านจะไม่ขึ้นกับปัญญาของมนุษย์ แต่ขึ้นกับฤทธิ์เดชของพระเจ้า”

     (so that your faith might not rest in the wisdom of men but in the power of God.)

2:6 “ถึงกระนั้นเรากล่าวถึงปัญญาในท่ามกลางคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ไม่ใช่ปัญญาของยุคนี้ หรือของอำนาจครอบ‍ครองยุคนี้ ซึ่งกำลังเสื่อมสูญไป”

     (Yet among the mature we do impart wisdom, although it is not a wisdom of this age or of the rulers of this age, who are doomed to pass away.)

2:7 “แต่เรากล่าวถึงพระปัญญาของพระเจ้าซึ่งเป็นความล้ำลึก คือพระปัญญาที่ทรงซ่อนไว้นั้น และที่พระเจ้าทรงกำ‌หนดไว้ก่อนปฐมกาล เพื่อการรับศักดิ์ศรีของเรา” 

     (But we impart a secret and hidden wisdom of God, which God decreed before the ages for our glory. )

2:8 “ไม่มีอำนาจครอบครองใดๆ ในยุคนี้รู้จักพระปัญญานี้ เพราะว่าถ้ารู้จักแล้ว จะไม่เอาองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่ง​พระสิริตรึงกางเขน” 

     (None of the rulers of this age understood this, for if they had, they would not have crucified the  Lord of glory.)

2:9 “ดังที่มีเขียนไว้ว่า “สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่ใจมนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับ​คนทั้งหลายที่รักพระองค์

     (But, as it is written, “What no eye has seen, nor ear heard, nor the heart of man imagined, what God has prepared for those who love him”)

2:10 “พระเจ้าได้ทรงสำแดงสิ่งเหล่านี้กับเราทางพระวิญญาณ เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้เป็นความ​ล้ำลึกของพระเจ้า”

     (these things God has revealed to us through the Spirit. For the Spirit searches everything, even  the depths of God.)

2:11 “อันความคิดของมนุษย์นั้น จะมีใครหยั่งรู้ได้ถ้าไม่ใช่จิตวิญญาณของมนุษย์คนนั้นเอง พระดำริของพระเจ้าก็​ไม่มีใครหยั่งรู้ได้เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าเช่นกัน”

     (For who knows a person’s thoughts except the spirit of that person, which is in him? So also no one comprehends the thoughts of God except the Spirit of God. )

2:12 “เราไม่ได้รับวิญญาณของโลก แต่ได้รับพระวิญญาณซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อจะได้รู้ถึงสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้า​ประทานแก่เรา”

     (Now we have received not the spirit of the world, but the Spirit who is from God, that we might understand the things freely given us by God.) 

2:13 “และเรากล่าวถึงเรื่องเหล่านี้ด้วยถ้อยคำซึ่งไม่ใช่ปัญญาของมนุษย์สอนไว้ แต่พระวิญญาณทรงสอนไว้ คือเรา ด้อธิบายความหมายของเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณ ให้คนฝ่ายจิตวิญญาณฟัง”

     (And we impart this in words not taught by human wisdom but taught by the Spirit, interpreting spiritual truths to those who are spiritual.)

2:14 “แต่คนทั่วไปจะไม่รับสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้า เพราะว่าเขาเห็นว่าเป็นเรื่องโง่ และเขาไม่​สามารถเข้าใจ เพราะจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ก็ต้องวินิจฉัยโดยพึ่งพระวิญญาณ”

     (The natural person does not accept the things of the Spirit of God, for they are folly to him, and he is not able to understand them because they are spiritually discerned.)

2:15 “แต่คนฝ่ายจิตวิญญาณวินิจฉัยสิ่งสารพัดได้ ทว่าไม่มีใครวินิจฉัยเขาได้”

     (The spiritual person judges all things, but is himself to be judged by no one. )

2:16 “เพราะว่า “ใครเล่ารู้พระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า? เพื่อจะแนะนำสั่งสอนพระองค์ได้ แต่เราก็มีพระทัยของพระคริสต์”

     (“For who has understood the mind of the Lord so as to instruct him?” But we have the mind of Christ.)   

 

ข้อมูลมีประโยชน์

 

2:1       ”เมื่อข้าพเจ้ามาหาท่าน” (when I came to you) = การเดินทางมาโครินธ์ครั้งแรกของ อ.เปาโล ในราวปี ค.ศ. 51 (กจ.18)

“ด้วยถ้อยคำหวานหูหรือด้วยความฉลาดปราดเปรื่อง” (with lofty speech or wisdom.)-1:17, เปาโลไม่พยายามเสนอข่าวประเสริฐด้วยชั้นเชิงการพูดที่ช่ำชอง/โน้มน้าว สร้างอิทธิพลต่อผู้ฟังอย่างที่พวกนักปราชญ์กรีกและอาจารย์ในหมู่คนยิวกระทำ –1คร.1:1,17;2:4.14

2:2       “เว้นแต่เรื่องพระเยซูคริสต์” (except Jesus Christ) –เปาโลตั้งใจและตัดสินใจที่จะสอนและเทศนาในเรื่องพระเยซูคริสต์เพียงเรื่องเดียว ในขณะที่อยู่ในเมืองโครินธ์ (1:30)

“และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน” (and him crucified) -1:17-18,23;กท.6:14

2:3       “ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย” ( I was with you) –กจ.18:1-18

“ด้วยความอ่อนแอ” (weakness) –1คร.4:10;9:22;2คร.11:29-30;12:5,9,10;13:9

“ด้วยความกลัวและความหวาดหวั่นมาก” (in fear and much trembling) –2คร.7:15

2:4       “ไม่ใช่เป็นการพูดชักชวนด้วยปัญญา” (not in plausible words of wisdom) =สติปัญญาและคำพูดที่

สละสลวยของผู้เทศน์ เหมือนกับนักพูดชาวกรีก ไม่อาจเปรียบได้กับฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์

-หากพระวิญญาณของพระเจ้าไม่ได้ทำงานในจิตใจของผู้ฟัง สติปัญญาและคำพูดสละสลวยของผู้พูดก็ไร้ผลอะไร –1คร.2:1

“การสำแดง” (demonstration) = ในภาษากรีก คำ ๆ นี้ใช้กับการพิสูจน์เพื่อยืนยันในการสู้คดีในศาล

ดังนั้น พระวิญญาณของพระเจ้าจึงเป็นผู้ที่ทำให้คำเทศนาของเปาโลโดดเด่นโดยทำให้ผู้ฟังสำนึกกลับใจใหม่ –รม.15:13

2:5       “แต่ขึ้นกับฤทธิ์เดชของพระเจ้า” (but in the power of God) = พึ่งฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า                   –2คร.4:7;6:7

2:6       “คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว” (among the mature) = คริสเตียนที่มีสติปัญญา และพัฒนาแล้ว ไม่เหมือนกับ “ทารก” ที่เอ่ยถึงใน 3:1 –ปท.ฮบ.5:13-6:3 -อฟ.4:13;ฟป.3:15;คส.4:12;ยก.1:4

“ปัญญาของยุคนี้” (wisdom of this age) –1คร.1:20;2:8
“กำลังเสื่อมสูญไป” (doomed to pass away) –สดด.146:4

2:7       “ความล้ำลึก” (a secret ) –รม.11:25;อฟ.3:3;1ทธ.3:16

= ข้อล้ำลึกที่เคยถูกปิดซ่อนไว้ แต่เวลานี้พระเจ้าทรงสำแดงให้กับประชากรผู้ที่เชื่อของพระองค์ (ข.10)ต่สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ ความลับลึกนั้นยังถูกปิดซ่อนอยู่ต่อไป

“พระปัญญา” (wisdom of God  ) –1คร.2:1

“ที่ทรงซ่อนไว้นั้น” (hidden) = ทรงปิดบัง (รม.16:25)

“ศักดิ์ศรีของเรา” (our glory) = พระปัญญาของพระเจ้าทำให้ผู้เชื่อทุกคนได้มีส่วนในพระเกียรติสิริของพระองค์ในบั้นปลาย –รม.8:17

“ก่อนปฐมกาล” (before the ages) = ก่อนเริ่ม –รม.8:29-30;อฟ.1:4;1ทธ.1:9;ยน.17:24

2:8       “อำนาจครอบครองใด ๆ ในยุคนี้” (the rulers of this age) = เช่น หัวหน้าปุโรหิต (ลก.24:20) ปิลาต และเฮโรดอันทิพาส (กจ.4:27)

“เอาองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริตรึงกางเขน” (have crucified the Lord of glory) = ไม้กางเขนในที่นี้ถูกนำมาเปรียบความต่างกับพระสิริ(สง่าราศี) ของผู้ถูกตรึง –1คร.1:20;2:6;สดด.24:7;กจ.7:2;ยก.2:1

2:9       “สิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้” ( God has prepared) = ไม่ใช่แค่พระพรในปัจจุบันหรือในอนาคตอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นพระพรของทั้ง 2 (ข้อ 7,12)

          “สำหรับคนทั้งหลายที่รักพระองค์” (those who love him) อสย. 64:4

2:10     “พระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง” (Spirit searches everything) = ทรงทราบทุกสิ่ง หยั่งรู้ความล้ำลึกทางพระลักษณะและแผนการแห่งพระคุณของพระเจ้า จึงทรงสามารถสำแดง/เปิดเผยสิ่งที่กล่าวถึงได้อย่างเต็มที่

“ความล้ำลึกของพระเจ้า” (the depths of God) –รม.11:33-38; ปท.วว.2:24

2:12     “วิญญาณของโลก” (the spirit of the world) –ปท. ข้อ 6 (สติปัญญาของยุคนี้)

=วิญญาณแห่งปัญญาของมนุษย์ที่ทำให้เขาแยกออกจากพระเจ้า เป็นท่าทีของธรรมชาติบาป –รม.8:5-8

2:13     “ไม่ใช่ปัญญาของมนุษย์สอนไว้” (not taught by human wisdom) -1คร.1:17;2:1,4

“…แต่พระวิญญาณทรงสอนไว้” (but taught by the Spirit) = พระวิญญาณประทานถ้อยคำให้ อ.เปาโลประกาศ

2:14-3:4 -พระธรรมตอนนี้อธิบายว่า เหตุใดหลายคนจึงไม่สามารถเข้าใจสติปัญญาที่แท้จริงได้ (2:9)

เป็นเพราะสติปัญญาเช่นนี้จะรับรู้ได้โดยผู้เชื่อที่เติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ (2:14-16;ปท.ข.6) แต่ชาวโครินธ์เป็นผู้เชื่อแบบโลกหรือแบบทารก (3:1-4) และสิ่งหนึ่งที่แสดงว่า พวกเขายังไม่เติบโตฝ่ายจิตวิญญาณก็คือ พวกเขาแตกแยกทะเลาะกัน (3:3-4)

2:14     “คนทั่วไป” (The natural person) = ผู้ปราศจากพระวิญญาณ

–ยด.19 อธิบายว่า หมายถึงผู้ที่ทำตามสัญชาตญาณเท่านั้น (รม.8:9) ความคิดและชีวิตของคนเหล่านั้น ถูกครอบงำโดยชีวิตเก่า หรือ ฝ่ายโลก พวกเขาไม่ได้รับการสัมผัสจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และยังไม่ได้ถูกเตรียมให้รับความจริงจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาจึงต้องบังเกิดใหม่ –ยน.3:8;ทต.3:5

“เรื่องโง่” (they are folly) -1:18

2:15     “คนฝ่ายจิตวิญญาณ” (The spiritual person) = ได้รับการสร้างใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

= ผู้ที่เติบโตขึ้นในฝ่ายจิตวิญญาณ (ข.6)

“ไม่มีใครวินิจฉัยเขาได้” (to be judged by no one) = ตัวเขาเองไม่ได้ตกอยู่ในการวินิจฉัยของผู้อื่นที่ไม่มีพระวิญญาณ

= คนที่ไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่มีคุณสมบัติที่จะตัดสินคนที่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้นผู้เชื่อจึงไม่ได้อยู่ใต้ความคิดเห็นของคนที่ไม่เชื่อพระเยซูคริสต์

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยพยายามประกาศข่าวประเสริฐด้วยคำพูดหวานหูและชั้นเชิงอันฉลาดปราดเปรื่องบ้างไหม? ได้ผลอะไรถาวรบ้างไหม? อย่างไร?
  2. คุณเคยเห็นคนกลับใจเชื่อพระเยซูคริสต์ ด้วยคำพยานหรือคำเทศนา เรื่องพระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนกางเขนแบบเรียบง่ายบ้างไหม? อย่างไร? (แบ่งปัน)
  3. คุณเคยรู้สึกกลัวและหวานหวั่นในการเป็นพยานบ้างหรือไม่? แล้วผลเป็นอย่างไร? มีอะไรที่คุณเรียนรู้จากเหตุการณ์ครั้งนั้นบ้าง?
  4. คุณเคยมีประสบการณ์กับฤทธิ์เดชของพระเจ้าในชีวิตของคุณในเรื่องใดบ้าง? มีผลต่อความเชื่อของคุณอย่างไรบ้าง?
  5. คุณเข้าใจความล้ำลึกในพระปัญญาของพระเจ้าเป็นครั้งแรกเมื่อไร?   อย่างไร? และใครช่วยให้คุณเข้าใจ?
  6. คุณเคยได้รับสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมแบบ ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน ใจคิดไม่ถึงบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร? ทางไหน? อย่างไร? จากใคร?
  7. คุณเคยมีประสบการณ์อะไรกับการเข้าใจหรือหยั่งรู้ในพระดำริของพระเจ้าบ้าง? ในเรื่องใด? และอย่างไร?
  8. คุณเคยมีปัญหาในการไม่เข้าใจในสิ่งที่เป็นของพระวิญญาณในตอนแรก และคิดว่าเป็นเรื่องโง่ แล้วต่อมาภายหลังจึงเข้าใจบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร และอย่างไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1โครินธ์1 (บทเรียนที่ 2/2)

พระคริสต์คือ …

 พระธรรม      1โครินธ์ 1:18-31

อ้างอิง             อสย.29:14;19:12;44:25;โยบ 12:17;ยรม.9:24

บทนำ             องค์พระเยซูคริสต์ไม่มีความหมายอะไรสำหรับคนที่มองดูพระองค์ตามอย่างสายตาของโลก  แต่พระองค์ทรงมีความหมายเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่มองเห็นพระองค์ตามความเป็นจริงในสายพระเนตรของพระเจ้า!   แล้วคุณล่ะ มองดูหรือมองเห็นพระองค์อย่างไรบ้าง?

บทเรียน

1:18 “เพราะ​ว่า​คน​ทั้ง‍หลาย​ที่​กำลัง​จะ​พินาศ​ก็​เห็น​ว่า​เรื่อง​กาง‌เขน​เป็น​เรื่อง​โง่ แต่​เรา​ที่​กำลัง​จะ​รอด​เห็น​ว่า​เป็น​ฤทธา‌นุ‌ ภาพ​ของ​พระ‍เจ้า” 

       (For the word of the cross is folly to those who are perishing, but to us who are being saved it is the power of God.)

1:19 “เพราะ​มี​คำ​เขียน​ไว้​ว่า“เรา​จะ​ทำ‍ลาย​สติ‍ปัญญา​ของ​คน​มี​ปัญญาและ​จะ​ทำ​ให้​ความ​ฉลาด​ของ​คน‍ฉลาด​สูญ‍สิ้น‍ไป

       (For it is written, “I will destroy the wisdom of the wise, and the discernment of the discerning I will thwart.”)

1:20 “คน​มี​ปัญญา​ของ​ยุค​นี้​อยู่​ที่‍ไหน? บัณ‌ฑิต​ของ​ยุค‍นี้​อยู่​ที่‍ไหน?นัก‍โต้‍ปัญหา​ของ​ยุค‍นี้​อยู่​ที่‍ไหน? พระ‍เจ้า​ทรง​ทำ​ให้​ปัญญา​ฝ่าย​โลก​เป็น​ความ​โง่​แล้ว​ไม่‍ใช่​หรือ?”

       (Where is the one who is wise? Where is the scribe? Where is the debater of this age? Has not God made foolish the wisdom of the world? )

1:21 “เพราะ​ตาม​ที่​ทรง​กำ‌หนด​ไว้​ตาม​พระ‍สติ‍ปัญญา​ของ​พระ‍เจ้า โลก​ไม่​อาจ​รู้‍จัก​พระ‍เจ้า​ได้​โดย​ปัญญา​ของ​ตน พระ‍เจ้า​จึง​พอ‍พระ‍ทัย​จะ​ช่วย​พวก​ที่​เชื่อ​ให้​รอด​โดย​คำ​เทศนา​โง่ๆ”

       (For since, in the wisdom of God, the world did not know God through wisdom, it pleased God  through the folly of what we preach to save those who believe.)

1:22 “พวก​ยิว​ขอ​หมาย‍สำคัญ และ​พวก​กรีก​เสาะ‍หา​ปัญญา”

       (For Jews demand signs and Greeks seek wisdom,)

1:23 “แต่​เรา​ประ‌กาศ​เรื่อง​พระ‍คริสต์​ทรง​ถูก​ตรึง​ที่​กาง‌เขน​นั้น อัน​เป็น​สิ่ง​ที่​พวก​ยิว​สะดุด และ​พวก​ต่าง‍ชาติ​ถือ‍ว่า​เป็นเรื่อง​โง่” 

     (but we preach Christ crucified, a stumbling block to Jews and folly to Gentiles,) 

1:24 “แต่​สำหรับ​พวก​ที่​พระ‍เจ้า​ทรง​เรียก​นั้น ทั้ง​พวก​ยิว​และ​พวก​กรีก ต่าง​ถือ‍ว่า​พระ‍คริสต์​ทรง​เป็น​ฤทธา‌นุ‌ภาพ​และ​พระ‍ปัญญา​ของ​พระ‍เจ้า” 

       (but to those who are called, both Jews and Greeks,Christ the power of God and the wisdom of God.)

1:25 “เพราะ​ความ​เขลา​ของ​พระ‍เจ้า​ยัง​มี​ปัญญา​ยิ่ง‍กว่า​ปัญญา​ของ​มนุษย์ และ​ความ​อ่อน‌แอ​ของ​พระ‍เจ้า​ก็​ยัง​มี​กำลัง​มาก​ยิ่ง‍กว่า​กำลัง​ของ​มนุษย์”

     (For the foolishness of God is wiser than men, and the weakness of God is stronger than men.)

1:26 “พี่‍น้อง​ทั้ง‍หลาย จง​พิจาร‌ณา‍ดู​สภาพ​พวก‍ท่าน​เมื่อ​ได้​รับ​การ​ทรง​เรียก มี​น้อย‍คน​ที่​โลก​ถือ‍ว่า​มี​ปัญญา มี​น้อย‍คน​ที่​มี​อำนาจ มี​น้อย‍คน​ที่​มี​ตระ‌กูล​สูง”

     (For consider your calling, brothers: not many of you were wise according to worldly standards,  not many were powerful, not many were of noble birth.)

1:27 “แต่​พระ‍เจ้า​ได้​ทรง​เลือก​พวก​ที่​โลก​ถือ‍ว่า​โง่ เพื่อ​ทำ​ให้​พวก​มี​ปัญญา​อับอาย และ​ได้​ทรง​เลือก​พวก​ที่​โลก​ถือ‍ว่า​อ่อน‌แอ เพื่อ​ทำ​ให้​พวก​ที่​แข็ง‍แรง​อับอาย” 

       (But God chose what is foolish in the world to shame the wise; God chose what is weak in the world to shame the strong; )

1:28 “พระ‍เจ้า​ได้​ทรง​เลือก​พวก​ที่​โลก​ถือ‍ว่า​ต่ำ‍ต้อย​และ​ดู‍หมิ่น และ​เห็น​ว่า​ไม่​สำคัญเพื่อ​ทำ‍ลาย​สิ่ง​ซึ่ง​โลก​เห็น​ว่า​สำคัญ” 

       (God chose what is low and despised in the world, even things that are not, to bring to nothing  things that are,)

1:29 “เพื่อ​ไม่‍ให้​มนุษย์​สัก​คน​หนึ่ง​โอ้‍อวด​เฉพาะ‍พระ‍พักตร์​พระ‍เจ้า​ได้” 

       (so that no human being might boast in the presence of God.)

1:30 “โดย​พระ‍องค์ ท่าน‍ทั้ง‍หลาย​จึง​อยู่​ใน​พระ‍เยซู‍คริสต์ ผู้​ทรง​เป็น​พระ‍ปัญญา​จาก​พระ‍เจ้า​สำหรับ​เรา ทรง​เป็น​ผู้​ทำให้​เรา​ชอบ‍ธรรม ทรง​เป็น​ผู้​ชำระ​เรา​ให้​บริ‌สุทธิ์ และ​ทรง​เป็น​ผู้‍ไถ่​บาป” 

       (And because of him you are in Christ Jesus, who became to us wisdom from God, righteousness and sanctification and redemption,)

1:31 “เพื่อ​ให้​เป็น​ไป​ตาม​คำ​เขียน​ไว้​ว่า “ให้​ผู้​โอ้‍อวด อวด​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า”

       (so that, as it is written, “Let the one who boasts, boast in the Lord.”)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

 1:18     “คนทั้งหลายที่กำลังจะพินาศ” (who are perishing) –2คร.2:15;4:4;2ธส.2:10

“เรื่องกางเขนเป็นเรื่องโง่” (For the word of the cross is folly) –1คร.1:21,23,25;2:14

“เราที่กำลังจะรอด” (us who are being saved) –กจ.2:47

“เห็นว่าเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า” (it is the power of God) –รม.1:16;1คร.1:24

1:19    “เราจะทำลายสติปัญญาของคนมีปัญญาและจะทำให้ความฉลาดของคนฉลาดสูญสิ้นไป”

(I will destroy the wisdom of the wise, and the discernment of the discerning I will thwart.)

= อ.เปาโลอ้างอิงถึงอิสยาห์ 29:14 จากพันธสัญญาเดิมฉบับแปลเป็นภาษากรีกที่เรียกว่า “เซปทัวจิ้น” โดยนำมาใช้ในบริบทใหม่

“คนมีปัญญา” ( the wise) = อริสทิเคส กล่าวว่า สามารถหาคนที่เรียกตัวมีปัญญาได้บนถนนทุกสายในเมืองโครินธ์ที่กล่าวอ้างว่า เขามีคำตอบให้กับปัญหาต่าง ๆ ในโลกนี้

1:20     “คนมีปัญญาของยุคนี้อยู่ที่ไหน?” (Where is the one who is wise?) = อาจหมายถึงนักปรัชญาชนชาติต่าง ๆ ที่ถูกเรียกว่า “นักปราชญ์” –อสย.19:11-12

“บัญฑิต” (Where is the scribe?            ) = ผู้รู้ในที่นี้อาจหมายถึง ธรรมาจารย์ชาวยิว (มธ.2:4)

“นักโต้ปัญหา” (Where is the debater ) = อาจหมายถึง นักปรัชญาชาวกรีกซึ่งชอบลับสมองด้วยการโต้เถียงโต้แย้งกันเป็นเวลานาน

“ของยุคนี้” (of this age  ) –1คร.2:6,8;3:18;2คร.4:4;กท.1:4

“พระเจ้าทรงทำให้ปัญญาฝ่ายโลกเป็นความโง่แล้วไม่ใช่หรือ?” (God made foolish the wisdom of the world?) = พระเจ้าจะทำให้ระบบปรัชญาทั้งปวงที่มนุษย์เป็นต้นคิด จบลงอย่างไร้ความหมาย เพราะความคิดเหล่านั้นอยู่บนแนวคิดที่ไม่ถูกต้องในเรื่องพระเจ้า และการสำแดงของพระองค์

= พระเจ้าทำให้สติปัญญาของโลกโง่เขลาไป –โยบ 12:17;อสย.44:25;ยรม.8:9;รม.1:22;1คร.1:27; 3:18-19

1:21    “โลก” ( the world ) –1คร.1:27,28;6:2;11:32

“โลกไม่อาจรู้จักพระเจ้าได้โดยปัญญาของตน” (in the wisdom of God, the world did not know

God through wisdom) = พระเยซูคริสต์แสดงความคิดเห็นในทำนองเดียวกันใน ลูกา 10:21 ว่า เป็น พระประสงค์ของพระเจ้าที่สติปัญญาของมนุษย์ไม่อาจและไม่ใช่วิธีหรือช่องทางที่จะรู้จักกับพระองค์

“พระเจ้าจึงพอพระทัยที่จะช่วย” ( it pleased God) –รม.11:14

“พวกที่เชื่อ” (who believe) = บรรดาผู้เชื่อ – รม.3:22

“ให้รอดโดยคำเทศนาโง่ ๆ” (through the folly of what we preach) = ไม่ใช่ว่าการเทศนานั้นโง่เปล่า หรือเรื่องที่เทศน์นั้นโง่เขลาจริง ๆ แต่โลก (ทั้งยิวและกรีก)ต่างมองว่า เนื้อหาสาระที่เทศนา(เกี่ยวกับ       พระคริสต์ถูกตรึงบนกางเขนไถ่บาปมนุษย์นั้น)เป็นเรื่องโง่เขลา

1:22    “พวกยิวขอหมายสำคัญ” (Jews demand signs  ) = พวกยิวเรียกร้องขอเห็นหมายสำคัญพวกเขาต้องการเห็นฤทธิ์เดชของพระเจ้าที่มีผลต่อการไถ่บาปพวกเขา (มธ.12:38;16:1,4;มก.8:11-12; ยน.2:11,  18,14:48;6:30)

“พวกกรีกเสาะหาปัญญา” (Greeks seek wisdom) = พวกเขามองหาความรู้ความเข้าใจในทางโลกเพื่อที่จะบรรเทาทุกข์ของมวลมนุษย์ชาติได้

1:23     “พระคริสต์ทรงถูกตรึงที่กางเขนนั้น”(Christ crucified)= พระเยซูถูกตรึงตายบนไม้กางเขน (1คร.2:2; กท.3:1)

“อันเป็นสิ่งที่พวกยิวสะดุด” (a stumbling block to Jews ) = หินสะดุดของพวกยิว เพราะพวกเขารอคอยผู้นำทางการเมือง และการทหารที่เรียกว่า ”พระเมสิยาห์” ที่จะปลดปล่อยพวก (กจ.1:6) นำชัยชนะและไม่ใช่ผู้แพ้ที่จะมาถูกตรึงตายบนกางเขน –ลก.2:34

“พวกต่างชาติถือว่าเป็นเรื่องโง่” (folly to Gentiles) = พวกคนกรีกและคนโรมมั่นใจว่า คนที่ถูกตรึงบนกางเขนไม่ใช่คนน่าเคารพนับถือ จึงเป็นเรื่องโง่ที่จะเชื่อว่า อาญชากรบนกางเขนนั้นจะเป็นผู้ช่วยโลกให้รอดได้ – คร.1:18

1:24     “พวกที่พระเจ้าทรงเรียกนั้น” (who are called) –รม.8:28

“พระคริสต์ทรงเป็นฤทธานุภาพ” (Christ the power of God) –รม.1:4,16

= พระคริสต์เป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า – 1คร.1:18

          “พระปัญญาของพระเจ้า” ( the wisdom of God ) –1คร.1:30;คส.2:3

= พระคริสต์ผู้ถูกตรึงบนกางเขนเป็นทั้งฤทธิ์อำนาจและเป็นพระปัญญาของพระเจ้าที่ช่วยให้รอด

1:25     “ความเขลาของพระเจ้า” (the foolishness of God) –1คร.1:18

“ความอ่อนแอของพระเจ้า” (the weakness of God) –2คร.13:4

1:26-31 –คริสเตียนชาวโครินธ์เป็นตัวอย่างที่พิสูจน์ว่า ความรอดจากพระเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งใดๆ ในตัวมนุษย์เพื่อไม่ให้เขามีเหตุที่จะอวดตัวได้ ถ้าจะอวดก็มีแต่อวด “องค์พระผู้เป็นเจ้า” (ข.31) เท่านั้น

1:26     “สภาพพวกท่านเมื่อได้รับการทรงเรียก” (For consider your calling) –รม.8:28

“มีน้อยคนที่โลกถือว่ามีปัญญา” (not many of you were wise according to worldly standards)

= มีคนที่ดูฉลาดไม่มากนัก –1คร.1:20

“มีน้อยคนที่มีอำนาจ” (  not many were powerful ) = มีน้อยคนที่มีอิทธิพล (สูง)

1:27     “พระเจ้าได้ทรงเลือก” (God chose) –ยก.2:5

“พวกที่โลกถือว่าโง่” (what is foolish in the world ) –รม.1:22;1คร.1:20;3:18-19

1:28     “เห็นว่าไม่สำคัญ” (even things that are not) –รม.4:17

1:29     “เพื่อไม่ให้มนุษย์สักคนหนึ่งโอ้อวด เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้” (so that no human being might boast in the presence of God) อฟ.2:9

= ความรอดจึงเกิดจากความเชื่อของเรา และพระคุณของพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่ถูกตรึงไถ่บาปของเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความฉลาด ความมีอำนาจวาสนา หรือการมีชาติตระกูลสูงส่งแต่อย่างใด จะได้ไม่มีผู้ใดโอ้อวดตัวต่อพระพักตร์ของพระเจ้าได้ – อฟ.2:9

1:30     “โดยพระองค์ ท่านจึงอยู่ในพระเยซูคริสต์” (because of him you are in Christ Jesus) = พระเจ้าเป็นผู้ทรงเรียกพวกเขามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับองค์พระเยซูคริสต์ –รม.16:3

“ทรงเป็นผู้ทำให้เราชอบธรรม” (who became to us wisdom) –ยรม.23:5-6;33:16;2คร.5:21;ฟป.3:9

= เราถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อในพระคริสต์เท่านั้น –รม.5:19

“ทรงเป็นผู้ชำระเราให้บริสุทธิ์”(sanctification)–1คร.1:2, “ทรงเป็นผู้ไถ่บาป” (redemption) –รม.3:24

1:31     “ให้ผู้โอ้อวด อวดองค์พระผู้เป็นเจ้า” (Let the one who boasts, boast in the Lord) –ยรม.9:24

 

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยเห็นว่า เรื่องไม้กางเขนหรือเรื่องพระเยซูมาตายไถ่บาปมนุษย์เป็นเรื่องโง่บ้างหรือไม่? ทำไมคุณจึงคิดเช่นนั้น?
  2. ทำไมคุณจะเปลี่ยนมาเชื่อเรื่องพระเยซูบนไม้กางเขนนั้นได้? มีอะไรเกิดขึ้น? (แบ่งปัน)
  3. คุณเคยอยู่ในกลุ่มที่คิดว่า ตัวเองเป็น “คนมีปัญญา” “บัณฑิต” หรือ “นักโต้ปัญหา” บ้างหรือไม่? ทำไมจึงคิดเช่นนั้น?   และมีผลต่อการได้ยินเรื่องพระเยซูคริสต์อย่างไรบ้าง?
  4. คุณเคยเป็นพยานหรือเทศนาเรื่องโง่ๆ เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ให้ผู้ใดฟังแล้วเขาหัวเราเยาะหรือปฏิเสธบ้างหรือไม่? แล้วคุณรู้สึกอย่างไร?
  5. คุณเคยเห็นคนได้รับความรอดเพราะได้ยินคำแบ่งปันหรือคำเทศนาเรื่องโง่ ๆ เกี่ยวกับพระเยซูบนไม้กางเขนบ้างหรือไม่? คุณรู้สึกอย่างไร? (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากว่าเขาได้ยินเรื่องราวนั้นจากคุณ?)
  6. คุณเคยเป็นคนหนึ่งที่มีเงื่อนไขว่า ขอหมายสำคัญจะ ๆ หรือขอเหตุผลหลักฐานเจ๋ง ๆ ก่อนจะเชื่อองค์พระเยซูคริสต์บ้างหรือไม่? แล้วผลเป็นอย่างไร?
  7. คุณคิดว่า คุณอยู่ในกลุ่มไหนของผู้ที่ติดตามพระเยซู
  • กลุ่มคนจำนวนน้อยที่มีปัญญา มีอำนาจและมีตระกูลสูง?     หรือ
  • กลุ่มคนจำนวนมากที่ตามมาตรฐานโลกถือว่า โง่ อ่อนแอ ต่ำต้อย ถูกดูหมิ่น และเห็นว่าไม่สำคัญ แล้วคุณรู้สึกอย่างไร?
  1. หากว่าให้คุณอวดว่า คุณมีอะไรดีบ้าง ในเวลานี้คุณจะอวดเรื่องอะไร? ทำไม?
  2. คุณประทับใจในสิ่งใดที่พระเยซูคริสต์ทรงกระทำเพื่อคุณมากที่สุด?

…..1) ทำให้คุณเป็นคนชอบธรรม

…..2) เป็นผู้ชำระคุณให้บริสุทธิ์

…..3) เป็นผู้ไถ่บาปคุณ

ทำไม?

  1. หากให้คุณอวดพระเจ้าหรืออวดองค์พระเยซูคริสต์ คุณจะอวดพระองค์ในเรื่องใด?   ทำไม?
Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1โครินธ์1 (บทเรียนที่ 1/2)

ความแตกแยกท่ามกลางคริสเตียน!

พระธรรม    1โครินธ์ 1:1-17

อ้างอิง          1คร.2:1,4,13;3:4,22;5:5;9:5;10:32;12:1-31;16:15;2คร.1:1;8:7;9:11

บทนำ          คริสเตียนคือ ประชากรของพระเจ้า คริสเตียนควรจะรักกัน เกื้อกูลกัน และร่วมมือกันในการประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า แต่น่าเสียดายที่ความแตกแยกกันภายในทำให้คริสเตียนเราเสียพลังงาน เสียเวลา และเสียโอกาสไปโดยไม่ทำเป็น

 บทเรียน

1:1 “เปาโล ผู้ซึ่งได้รับการทรงเรียกให้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ ตามพระทัยของพระเจ้า และโสสเธเนสผู้เป็นพี่‍น้องของเรา”

     (Paul, called by the will of God to be an apostle of Christ Jesus, and our brother Sosthenes,)

1:2 “เรียนคริสตจักรของพระเจ้า ที่เมืองโครินธ์ ผู้ได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ในพระเยซูคริสต์ และได้รับการทรงเรียกให้เป็นธรรมิกชนร่วมกับทุกคนในทุกแห่งหน ที่ออกพระนามพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราและของพวกเขา”

   (To the church of God that is in Corinth, to those sanctified in Christ Jesus, called to be saints together with all those who in every place call upon the name of our Lord Jesus Christ, both their Lord and ours:)

1:3 “ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเรา และจากพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าดำรงอยู่กับท่าน‍ทั้งหลาย

   (Grace to you and peace from God our Father and the Lord Jesus Christ.)

1:4 “ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าในเรื่องท่านทั้งหลายเสมอ เพราะพระคุณของพระเจ้าที่ประทานแก่ท่านในพระเยซูคริสต์”

   (I give thanks to my God always for you because of the grace of God that was given you in Christ Jesus, )

1:5 “เพราะพวกท่านได้รับความบริบูรณ์ทุกด้านในพระองค์ คือในด้านวาจาและความรู้ทุกอย่าง” 

   (that in every way you were enriched in him in all speech and all knowledge)

1:6 “ด้วยว่าคำพยานเรื่องพระคริสต์นั้นตั้งมั่นคงอยู่ในท่านแล้ว”

   (even as the testimony about Christ was confirmed among you)

1:7 “ท่านทั้งหลายก็ไม่ได้ขาดของประทานเลย ในขณะที่ท่านรอคอยการปรากฏของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า​ของเรา”

   (so that you are not lacking in any gift, as you wait for the revealing of our Lord Jesus Christ, )

1:8 “พระองค์จะทรงให้พวกท่านมั่นคงอยู่จนถึงที่สุด เพื่อให้ท่านปราศจากที่ติในวันของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”

   (who will sustain you to the end, guiltless in the day of our Lord Jesus Christ.) 

1:9 “พระเจ้าทรงเป็นผู้ซื่อสัตย์ พระองค์ทรงเรียกพวกท่านให้สัมพันธ์สนิทกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์​องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”

   (God is faithful, by whom you were called into the fellowship of his Son, Jesus Christ our Lord.)

1:10 “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าวิงวอนท่านในพระนามของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ขอให้ปรองดอง​กัน อย่ามีความแตกแยกในพวกท่าน แต่ขอให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความคิดและความเห็น”

     (I appeal to you, brothers, by the name of our Lord Jesus Christ, that all of you agree, and that there be no divisions among you, but that you be united in the same mind and the same  judgment.)

1:11 “พี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า คนของนางคะโลเอได้เล่าเรื่องของท่านให้ข้าพเจ้าฟังว่า มีการทะเลาะวิวาทกันใน​ระหว่างพวกท่าน” 

       (For it has been reported to me by Chloe’s people that there is quarreling among you, my brothers.)

1:12 “ข้าพเจ้าหมายความว่า พวกท่านต่างก็กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นศิษย์เปาโล” หรือ “ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ปอลโล” หรือ “ข้าพเจ้าเป็นศิษย์เคฟาส” หรือ “ข้าพเจ้าเป็นศิษย์พระคริสต์” 

     (What I mean is that each one of you says, “I follow Paul,” or “I follow Apollos,” or “I follow Cephas,” or “I follow Christ.”)

1:13 “พระคริสต์แบ่งออกเป็นหลายองค์แล้วหรือ? เปาโลถูกตรึงเพื่อท่านทั้งหลายหรือ? ท่านได้รับบัพติศมาในนามของเปาโลหรือ? )

     (Is Christ divided? Was Paul crucified for you? Or were you baptized in the name of Paul?)

1:14 “ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าที่ข้าพเจ้าไม่ได้ให้บัพติศมาแก่ผู้หนึ่งผู้ใดในพวกท่าน เว้นแต่คริสปัสและกายอัส”

     (I thank God that I baptized none of you except Crispus and Gaius, )

1:15 “ดังนั้น จึงไม่มีผู้ใดกล่าวได้ว่าเขาได้รับบัพติศมาในนามของข้าพเจ้า” 

     (so that no one may say that you were baptized in my name. )

1:16 “(ข้าพเจ้าให้บัพติศมาแก่ครอบครัวของเทฟานัสด้วย นอกจากคนเหล่านี้แล้ว ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าข้าพเจ้าให้ บัพติศมาแก่ผู้ใดอีกบ้าง)”

     (I did baptize also the household of Stephanas. Beyond that, I do not know whether I baptized  anyone else.)

1:17 “เพราะว่าพระคริสต์ไม่ได้ทรงส่งข้าพเจ้าไปเพื่อให้บัพติศมา แต่เพื่อให้ประกาศข่าวประเสริฐ ไม่ใช่ด้วยการพูดอันชาญฉลาดเพื่อว่าเรื่องกางเขนของพระคริสต์จะไม่หมดฤทธิ์เดช”

     (For Christ did not send me to baptize but to preach the gospel, and not with words of eloquent wisdom, lest the cross of Christ be emptied of its power.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

 1:1       “อัครทูต” (apostle) – รม.1:1;อฟ.1:1;2ทธ.1:1;มก.6:30;ฮบ.3:1

อ.เปาโลใช้ตำแหน่งนี้ในจดหมายทุกฉบับ (ยกเว้นในฟิลิปปี; 12-2เธสะโลนิกา และฟิเลโมน เพื่อแสดงสิทธิอำนาจของท่านในฐานะทูตของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นสิทธิอำนาจที่ถูกท้าทาย (บทที่ 9;2คร.11)

“ตามพระทัยของพระเจ้า” (the will of God) = พระประสงค์ของพระเจ้า, เป็นการเพิ่มน้ำหนักให้สิทธิอำนาจที่มี (15:9-11;กจ.9:1-16;13:2;18:9-10;22:6-21;26:12-18;2คร.1:1)

“โสสเธเนส” (Sosthenes) = อาจเป็นนายธรรมศาลาที่ถูกชาวกรีกทำร้าย (กจ.18:17) หากเป็นเช่นนั้น เขาคงเป็นคริสเตียนในช่วงที่เปาโลประกาศข่าวประเสริฐที่โครินธ์ (กจ.18:18) หรือในช่วงที่อปอลโลรับใช้อยู่ (กจ.19:1)

1:2       “คริสตจักรของพระเจ้า” (church of God) = มีแต่เปาโลเท่านั้นที่ใช้คำนี้ พบข้อนี้ ใน กจ.20:28 และใน 2คร.1:1

“ที่เมืองโครินธ์” (in Corinth) –กจ.18:1

“ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์” (to those sanctified) = ถูกแยกไว้เพื่อรับใช้พระเจ้าผ่านการทรงไถ่ของ

พระเยซูคริสต์ (ปท.ยน.17:17,19)

= เป็นเครื่องหมายว่า พวกเขา “บริสุทธิ์” (แยกไว้เพื่อพระเจ้า,อพย.3:5;19:6;รม.6:22)

= ต้องบริสุทธิ์ทางศีลธรรมด้วย (ลนต.11:44)

“ได้รับการทรงเรียก” (called) –รม.1:7

“ในทุกแห่งหน” (every place) -1ธส.1:8

“ร้องออกพระนาม” (call upon the name) –กจ.2:21

1:3       “พระคุณและสันติสุข” (Grace to you and peace from God) –รม.1:7

1:4       “ขอบพระคุณพระเจ้า” (thanks to my God) –รม.1:8

1:5       “ได้รับความบริบูรณ์ทุกด้าน” (were enriched in him in all) = ได้รับความชำนาญขึ้นในทุกด้าน –2คร.9:11

“ด้านวาจา…ความรู้ทุกอย่าง” (speech and all knowledge) = ของประทานฝ่ายวิญญาณ (12:8-10; 2คร.8:7)

1:6       “คำพยาน” (the testimony) -2ธส.1:10;1ทธ.1:6;วว.1:2

1:7       “ของประทาน” (gift) อาจ = ของประทานฝ่ายวิญญาณ ในบท 12-14 พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ประทานของประทาน (ของขวัญ) ที่ทำให้คริสเตียนสามารถรับใช้ตามที่คริสตจักรต้องการ (12:7-11;14:3,12,17)

= ถูกเรียกว่า “ของประทานแห่งพระคุณ”

1:8      “พระองค์” (who) = พระเจ้าพระบิดา (ข.9)

“วันของพระเยซูคริสต์” (the day of our Lord Jesus Christ) = วันที่พระเยซูคริสต์กลับมา –ข.7;ฟป.1:6

1:9      “พระเจ้าทรงเป็นผู้ซื่อสัตย์” (God is faithful) = พระองค์เป็นผู้ที่เราไว้วางใจได้ว่า พระองค์จะทรงกระทำตามที่สัญญาไว้ –1ธส.5:24

นั่นคือ จะทรงรักษาผู้เชื่อไว้ให้หนักแน่นมั่นคง จนถึงวันสุดท้าย (ข.8)

1:10     “พี่น้องทั้งหลาย” (brothers) –รม.1:13

1:11     “การทะเลาะวิวาทกัน” (quarreling) = โต้เถียงกัน –กท.5:20;ยก.4:1-2

1:12     “อปอลโล” (Apollos) = เขากระทำกิจเกิดผลดีในโครินธ์ (กจ.18:24-19:1)

“ศิษย์เคฟาส” (I follow Cephas) -ยน.1:42

= ผู้ติดตามเปโตรในโครินธ์ซึ่งอาจเป็นคริสเตียนชาวยิว

1:13     “พระคริสต์แบ่งออกเป็นหลายองค์แล้วหรือ” (Is Christ divided?) -12:12-13

“ได้รับบัพติศมา” (baptized) –รม.6:3-4

1:14     “คริสปัส” (Crispus) = อาจเป็นนายธรรมศาลาที่กล่าวถึงใน กจ.18:8

“กายอัส” (Gaius) = อาจเป็นคนเดียวกับใน โรม 16:23

1:16     “ให้บัพติศมาแก่ครอบครัวของสเทฟานัส” (baptize also the household of Stephanas) -16:15

= มีตัวอย่างการให้บัพติศมาต่อทั้งครอบครัวอื่น ๆ อีก อาทิ ครอบครัวของโครเนอัส (กจ.10:24,48)

นางลิเดีย (กจ.16:15) และพัศดี (กจ.16:33-34) คำว่า ครอบครัวนี้มีความหมายรวมถึงคนในครอบครัว คนรับใช้ หรือใครก็ตามที่อาศัยอยู่ในบ้านนั้นด้วย

1:17     “ไม่ได้ทรงส่งข้าพเจ้าไปเพื่อให้บัพติศมา” (did not send me to baptize) = เปาโลยืนยันว่า งานหนักที่พระเจ้ามอบหมายให้ท่านกระทำคือ การประกาศพระเยซูคริสต์ (ยน.4:2;กจ.2:28) แต่ไม่ได้ลดความสำคัญของการรับบัพติศมา –ปท. กจ.10:48

“ไม่ใช่ด้วยการพูดอันชาญฉลาด” (not with words of eloquent wisdom) = ไม่ใช่ด้วยสติปัญญาแห่งถ้อยคำของมนุษย์

-หน้าที่ของเปาโล ไม่ใช่การนำเสนอข่าวประเสริฐด้วยชั้นเชิงของนักพูดผู้ช่ำชองที่เรียนรู้กลวิธีการพูดจาโน้มน้าวใจผู้คน (ซึ่งเป็นกลวิธีที่อาจารย์ในหมู่คนยิวและนักปราชญ์ในหมู่คนกรีก ได้พัฒนาขึ้น -1คร.2:1,4,13

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเชื่อหรือไม่ว่าพระเจ้าเรียกคุณมาเพื่อทำตามพระทัยของพระองค์? คุณคิดว่า พระเจ้าทรงเรียกคุณมาให้ทำอะไร?
  2. คุณคิดว่า พระเจ้าทรงเรียกคุณให้ทำอะไรที่พิเศษเจาะจงบ้าง? ทำไมคุณจึงคิดอย่างนั้น? และคุณกระทำตามนั้นแล้วหรือยัง? อย่างไร? ทำไม?
  3. คุณตระหนักหรือไม่ว่า คุณได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์แล้วในพระเยซูคริสต์ ความจริงนี้ส่งผลกระทบต่อวิถีคิด และวิถีดำเนินชีวิตของคุณอย่างไรบ้าง?
  4. การที่คุณรู้ว่าพระเจ้าทรงเรียกคุณให้เป็นธรรมิกชนร่วมกับคนในทุกแห่งหนที่ออกพระนามพระเยซูคริสต์ ทำให้คุณเห็นความสำคัญของผู้เชื่อคนอื่น ๆ อย่างไรบ้าง? (โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเหล่านั้นในคริสตจักรของคุณเอง) และคุณคิดจะทำอะไรร่วมกับพวกเขาบ้าง?
  5. มีใครหรือกลุ่มใดในคริสตจักรที่คุณรู้สึกขอบคุณพระเจ้าเพราะพวกเขาบ้าง? ในเรื่องอะไร? ทำไม?
  6. มีใครบ้างที่คุณเห็นว่า มีความเชื่อมั่นคงในพระคริสต์ที่มั่นคงเป็นอย่างยิ่ง และชีวิตของเขาหรือเธอเป็นพยานให้คุณและคนทั่วไปเห็นในเรื่องอะไรบ้าง?
  7. คุณเคยมีประสบการณ์กับความสัตย์ซื่อของพระเจ้าเรื่องใดบ้างในชีวิตของคุณ? อย่างไร?
  8. คุณเคยเห็นการไม่ปรองดองหรือความแตกแยกในพวกของคุณเองหรือในคริสตจักรบ้างหรือไม่? คุณมีส่วนในความแตกแยกนั้นหรือไม่? อย่างไร? แล้วคุณรู้สึกอย่างไร?
  9. คุณมีส่วนในการช่วยสมานให้เกิดการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในท่ามกลางพี่น้องที่ขัดแย้งกันหรือไม่? อย่างไร? แล้วผลเป็นอย่างไร? คุณรู้สึกอย่างไร?
  10. คุณเชื่อหรือไม่ว่า การประกาศข่าวประเสริฐนั้นไม่ต้องพึ่งการพูดอันชาญฉลาด แต่ให้พูดเรื่องข่าวประเสริฐอย่างซื่อตรง? แล้วคุณเคยเห็นฤทธิ์เดชเรื่องกางเขนของพระคริสต์บ้างหรือไม่? อย่างไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

ปัญญาจารย์ บทเรียนที่ 12

ได้ฟังกันทั้งสิ้นแล้ว จงยำเกรงพระเจ้า

พระธรรม        ปัญญาจารย์ 12:1-14

อ้างอิง            ปญจ.11:8;3:17,21;1:1-2,18;1ซมอ.12:24;2ซมอ.19:35;สดด.146:4;1พกษ.4:32;19:9;ยรม.25:10;9:17; อพย.20:20;อมส.5:16;โยบ 10:21;19:29;20:8;23:15;อสร.9:8;โยบ 6:25;ปฐก.2:7

บทนำ           ชีวิตที่ไร้พระเจ้าย่อมไร้คำตอบ ไร้ความหมาย และจบลงด้วยความอนิจจัง ตามสภาวะที่เสื่อมถอยลงตามวัยอย่างไม่มีทางขัดขืนได้ ชีวิตที่มีพระเจ้า เป็นชีวิตที่มีคำตอบ และมีความหมาย แม้จะเผชิญกับสภาวะไม่พึงปรารถนาตามวัยก็ตาม แต่เป็นชีวิตที่เตรียมตัวเข้าสู่สภาวะนิรันดร์ที่เปี่ยมสุข วันนี้ คุณรู้จักกับพระเจ้าแล้วหรือยัง และคุณกำลังดำเนินชีวิตสมกับที่รู้จักพระองค์แล้วหรือไม่?

บทเรียน

12:1 “จงระลึกถึงพระผู้เนรมิตสร้างเจ้า เมื่อเจ้ายังหนุ่มยังสาว ก่อนที่วันเลวร้ายจะมาถึง และปีที่ใกล้เข้ามา เมื่อเจ้า​จะกล่าวว่า “ข้าไม่มีความเพลิดเพลินในปีเหล่านั้นเลย

       (Remember also your Creator in the days of your youth, before the evil days come and the years draw near of which you will say, “I have no pleasure in them”; )

12:2 “ก่อนที่ดวงอาทิตย์ แสงสว่าง ดวงจันทร์ และดวงดาวทั้งหลายอับแสง และก่อนที่เมฆจะกลับมาภายหลังฝน” 

       (before the sun and the light and the moon and the stars are darkened and the clouds return   after the rain,)

12:3 “ในกาลเมื่อคนยามเฝ้าเรือนจะตัวสั่น และชายแข็งแรงจะเป็นคนหลังโกง และหญิงโม่แป้งจะเลิกโม่ เพราะจำนวนลดน้อยลง และบรรดาผู้ที่มองผ่านหน้าต่างจะมืดมัว”

       (in the day when the keepers of the house tremble, and the strong men are bent, and the grinders cease because they are few, and those who look through the windows are dimmed, )

12:4 “และประตูคู่ที่เปิดออกถนนจะถูกปิด เมื่อเสียงโม่อ่อยลง และเขาก็ลุกขึ้นเมื่อมีเสียงนกเสียงกา และเสียงเพลง​ก็เพลาลง” 

       (and the doors on the street are shut—when the sound of the grinding is low, and one rises up  at the sound of a bird, and all the daughters of song are brought low— )

12:5 “เออ เขาทั้งหลายกลัวความสูง และสิ่งน่าสยดสยองที่อยู่ในหนทาง ต้นอัลมอนด์มีดอก และตั๊กแตนก็อุ้ยอ้ายไฟปรารถนาก็มอดไป เพราะมนุษย์กำลังไปบ้านถาวรของเขา ส่วนผู้ไว้ทุกข์ก็เวียนไปมาตามถนน” 

        (they are afraid also of what is high, and terrors are in the way; the almond tree blossoms, the  grasshopper drags itself along, and desire fails, because man is going to his eternal home, and    the mourners go about the streets— )

12:6 “ก่อนที่สายเงินจะขาด หรือชามทองคำจะบุบสลาย หรือเหยือกน้ำจะแตกกระจายเสียที่น้ำพุ หรือรอกที่บ่อน้ำ​หักเสีย” 

                 (before the silver cord is snapped, or the golden bowl is broken, or the pitcher is shattered at  the fountain, or the wheel broken at the cistern, )

12:7 “และผงคลีกลับสู่พื้นดินตามเดิม และจิตวิญญาณกลับไปสู่พระเจ้าผู้ประทานให้มานั้น”

                 (and the dust returns to the earth as it was, and the spirit returns to God who gave it.)

12:8 “ปัญญาจารย์ว่า อนิจจัง อนิจจัง สารพัดก็อนิจจัง”

       (Vanity of vanities, says the Preacher; all is vanity.)

12:9 “นอกจากท่านเป็นคนมีปัญญาแล้ว ปัญญาจารย์ยังสอนความรู้ให้ประชาชนอีกด้วย เออ ท่านพิเคราะห์ ท่านค้นคว้า และท่านเรียบเรียงสุภาษิตไว้มากมาย”

       (Besides being wise, the Preacher also taught the people knowledge, weighing and studying  and arranging many proverbs with great care.)

12:10 “ปัญญาจารย์เสาะหาถ้อยคำที่เพราะหู และท่านเขียนถ้อยคำแห่งความจริงไว้อย่างเที่ยงตรง”

            (The Preacher sought to find words of delight, and uprightly he wrote words of truth.)

12:11 “ถ้อยคำของคนมีปัญญาเปรียบเหมือนปฏัก และถ้อยคำที่ถูกรวบรวมไว้ก็ตรึงแน่นอย่างตะปู ถ้อยคำเหล่านี้ เมษบาลผู้หนึ่งมอบไว้”

       (The words of the wise are like goads, and like nails firmly fixed are the collected sayings; they  are given by one Shepherd)

12:12 “และยิ่งกว่านั้นอีก บุตรชายของข้าพเจ้าเอ๋ย จงรับคำตักเตือนเถิด ซึ่งจะทำหนังสือมากก็ไม่มีสิ้นสุด และเรียนมากก็เหนื่อยเนื้อหนัง”

               (My son, beware of anything beyond these. Of making many books there is no end, and much   study is a weariness of the flesh.)

12:13 “จบเรื่องแล้ว ได้ฟังกันทั้งสิ้นแล้ว จงยำเกรงพระเจ้า และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เพราะสิ่งนี้เป็นหน้าที่ของมนุษย์ทั้งปวง” 

(The end of the matter; all has been heard. Fear God and keep his commandments, for this is the whole duty of man. )

12:14 “เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเอาการงานทุกอย่างเข้าสู่การพิพากษาพร้อมด้วยสิ่งเร้นลับทุกอย่าง ไม่ว่าดีหรือชั่ว”

.               (For God will bring every deed into judgment, with every secret thing, whether good or evil.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

12:1     “จงระลึกถึง” (Remember) –ปญจ.11:8

“เมื่อเจ้ายังหนุ่มยังสาว” (your youth) = วันเวลาที่เจ้ายังเยาว์วัย –พคค.3:27

“ก่อนที่วันเลวร้าย” (before the evil days) –2ซมอ.19:35

12:2-5 = ภาพบรรยายถึงสภาพถดถอย เสื่อมลงตามลำดับของสังขารเมื่อมีอายุมากขึ้น

12:3     “คนยามเฝ้าเรือน” (when the keepers of the house tremble) = ภาพเปรียบเทียบถึงอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย(เช่น มือ ขา ฯลฯ) ควบคู่ไปกับภาพของความมืด พายุ บ้านที่เสื่อมโทรม บ่อน้ำที่ถูกทิ้งร้าง  ฯลฯ

12:4     “เสียงเพลงก็เพลาลง” (  song are brought low) – ยรม.25:10

12:5     “ต้นอัลมอนด์” (the almond tree) = ดอกอัลมอนด์มีสีขาว (ซีด) และออกดอกในฤดูหนาวอาจสื่อถึงผมสีขาวตามอายุขัย

“ตั๊กแตน” (grasshopper) = โดยปกติจะปราดเปรียว แต่ก็เคลื่อนไหวช้าลงในเวลาเช้าเมื่ออากาศหนาว (ปท. นฮม.3:17) สะท้อนถึงความอุ้ยอ้าย ติดขัด เก้งก้าง เมื่ออายุมากขึ้น

“บ้านถาวร” (eternal home) –โยบ 10:21;17:13, หรือในบริบทนี้อาจจะหมายถึงเพียงแค่หลุมฝังศพ

“ผู้ไว้ทุกข์” (the mourners) –ยรม.9:17;อมส.5:16

12:6     “สายเงิน…ชามทองคำ” (the silver … the golden bowl) = ตะเกียงที่แขวนด้วยโซ่เงิน ถ้าแม้เพียงข้อหนึ่งขาดไป แสงสว่างและความสวยงามก็จะหมดไป เป็นการสื่อว่า ชีวิตนั้นบอบบาง

12:7     “ผงคลีกลับสู่พื้นดินตามเดิม” (the dust returns to the earth as it was) –ปฐก.2:7;สดด.146:4

“จิตวิญญาณกลับไปสู่พระเจ้า” (the spirit returns to God) –ปญจ.3:21

“ผู้ประทานให้มานั้น” (who gave it) –โยบ 20:8

12:8     “ปัญญาจารย์” (Vanity of vanities) = ผู้นำของชุมชน -1:1

“อนิจจัง” (the Preacher            ) -1:2

= ชีวิตบนโลก ภายใต้ดวงอาทิตย์ที่ปราศจากพระเจ้า จบลงที่ความแตกสลาย แต่หากมีความสัมพันธ์กับพระผู้สร้าง ตามที่กล่าวไว้ในข้อ 1 และเข้าใจในความจริงเรื่องการพิพากษาของพระองค์ (11:9) ชีวิตก็จะไม่ได้จบลงด้วยความอนิจจัง

12:9     “พิเคราะห์ค้นคว้า” (weighing) = ใคร่ครวญค้นคว้า = กระบวนการที่จริงจังเข้มงวด ไม่ย่อท้อ แม้ต้องจดจ่อทำงานหนักในการค้นหาความจริงและความเข้าใจ

“เรียบเรียงสุภาษิตไว้มากมาย” (arranging many proverbs) = รวบรวมสุภาษิตต่าง ๆ ไว้เป็นระบบ –1พกษ.4:21

12:10   “ปัญญาจารย์” (            The Preacher) –ปญจ.1:1

“เขียนถ้อยคำแห่งความจริงไว้อย่างเที่ยงตรง”(uprightly he wrote words of truth) –สภษ.22:20-21

12:11   “ตรึงแน่นอย่างตาปู” (like nails firmly fixed) –อสร.9:8;โยบ 6:25

“เมษบาลผู้หนึ่งมอบให้” (given by one Shepherd) = เมษบาล = ผู้เลี้ยง –ในภาษาฮีบรูยังแปลได้ว่า “ครูผู้สอน”

-ในฉบับอมตธรรมแปลว่า “องค์พระผู้เลี้ยงประทานให้” = เป็นการชี้เน้นว่า พระวจนะของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรเปรียบได้อย่างที่ข้อ 12 สรุปไว้

12:12   “เรียนมากก็เหนื่อยเนื้อหนัง” (and much study is a weariness of the flesh) –ปญจ.1:18

12:13   “จงยำเกรงพระเจ้า” (Fear God) –อพย.20:20;1ซมอ.12:24;โยบ 23:15;สดด.19:9

= ความยำเกรงพระเจ้าด้วยความรักเป็นรากฐานของปัญญา (สดด.111:10;สภษ.1:7) และยังเป็นเนื้อหาสาระ รวมทั้งเป็นเป้าหมายและบทสรุปของปัญญาด้วย

“รักษาพระบัญญัติของพระองค์” (keep his commandments) –ฉธบ.4:2

“เป็นหน้าที่ของมนุษย์ทั้งปวง” (for this is the whole duty of man) –ฉธบ.4:6;โยบ 37:24

12:14   “พระเจ้าจะทรงเอาการงานทุกอย่างเข้าสู่การพิพากษา”(God will bring every deed into judgment)

“การงานทุกอย่าง” = การกระทำทุกอย่าง – โยบ 19:20;ปญจ.3:17;8:12-13;11:9 , ปท.มธ.12:36; 1คร.3:12-15;2คร.5:9-10;ฮบ.4:12-13

“สิ่งเร้นลับทุกอย่าง” (with every secret thing) = ทุกสิ่งที่ปกปิดไว้ –รม.2:16;โยบ 34:21;สดด.19:12;ยรม.16:17;23:24

 

คำถามนำอภิปราย

  1.  คุณคิดว่า คุณได้ใช้วัยหนุ่มสาวของคุณมาอย่างคุ้มค่าตามพระประสงค์ของพระเจ้าแล้วหรือไม่? อย่างไร?
  2. คุณเสียใจอะไรกับวัยหนุ่มสาวของคุณบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร?
  3. เวลานี้คุณกำลังเผชิญกับสภาวะของวันเลวร้ายบ้างแล้วหรือไม่? ในเรื่องอะไร? และอย่างไร?
  4. หากถามให้เจาะจงลงไป คุณกำลังมีความทุกข์หรือทรมานเกี่ยวกับเรื่องใดมากที่สุดในเวลานี้? อย่างไร?

…..1) ร่างกาย /แขนขา

…..2) ตา

…..3) ฟัน / ปาก

…..4) หู

…..5) ความคิด/ความจำ

…..6) ผม/ศรีษะ

…..7) อื่น ๆ ………….

  1. บทเรียนเรื่องความอนิจจัง และความไม่เที่ยงในสังขาร สอนอะไรคุณเป็นพิเศษบ้าง ในวันนี้?
  2. มีสุภาษิตข้อใด(ทั้งในและนอก พระคัมภีร์) ที่ประทับใจคุณมากที่สุด และคุณยึดถือไว้ในใจตลอดมา? ทำไม? (แบ่งปัน)
  3. มีคำตักเตือนใดจากพระคัมภีร์ที่เตือนสติ หรือตักเตือนคุณให้ได้คิดได้สติมากที่สุด? เมื่อใด? และอย่างไร?
  4. เวลานี้คุณคิดว่า คุณเป็นคนที่ยำเกรงพระเจ้าและรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าอยู่ในระดับใด

…..1) มากที่สุด

…..2) มาก

…..3) ปานกลาง

…..4) ค่อนข้างน้อย

…..5) น้อยมาก

สิ่งนั้นส่งผลต่อชีวิตของคุณอย่างไร?

  1. การที่คุณรู้ล่วงหน้าว่า คุณจะต้องรายงานทุกสิ่งที่คุณทำ(แม้แต่สิ่งที่คุณปกปิดเป็นความลับไว้ไม่มีมนุษย์คนใด) รู้ สิ่งนี้ส่งผลต่อการประพฤติปฏิบัติตัวของคุณอย่างไรบ้างในวันนี้?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

ปัญญาจารย์ บทเรียนที่ 11

คุณค่าของความขยันและวัย

พระธรรม        ปัญญาจารย์ 11:1-10

อ้างอิง            ปญจ.2:24;3:17;7:11;9:10;12:1;อสย.37:20;ยน.3:8-10;สดด.139:14-16

บทนำ           ชีวิตของเรานั้นสั้น และไม่มีอะไรแน่นอน อะไรที่เราทำได้ในขณะนี้ ก็อย่าผัดวันประกันพรุ่ง ให้ลงมือทำในทันที เพราะเราไม่รู้ว่า อะไรจะเกิดขึ้น แต่ขอให้เรารับผิดชอบในการหว่านสิ่งดีทุกครั้งเมื่อมีโอกาส แล้วมอบผลที่เกิดขึ้นตามมาไว้กับพระเจ้า!

บทเรียน

11:1 “จง​โยน​ขนมปัง​ของ​เจ้า​ลง​บน​น้ำ เพราะ​อีก​หลาย​วัน​เจ้า​จะ​พบ​มัน​ได้”

          (Cast your bread upon the waters,for you will find it after many days.)

11:2 “จง​ปันส่วน​ของ​เจ้า​ออก​เป็น​เจ็ด​ส่วน เออ ถึง​แปด​ส่วน​ก็​ดี เพราะ​เจ้า​ไม่​ทราบ​ว่า สิ่ง​เลวร้าย​อะไร​จะ​เกิดขึ้น​บน​แผ่นดิน​โลก”

     (Give a portion to seven, or even to eight,for you know not what disaster may happen on earth.)

11:3 “เมื่อ​เมฆ​เต็ม​ด้วย​น้ำ มัน​ก็​จะ​เท​ฝน​ลงมา​บน​แผ่นดิน​โลก และ​เมื่อ​ต้นไม้​ล้มลง​ทาง​ใต้​หรือ​ทาง​เหนือ มัน​ล้มลง​ตรงไหน​มัน​ก็​นอน​อยู่​ตรงนั้น”

   (If the clouds are full of rain,they empty themselves on the earth,and if a tree falls to the south  or to the north,in the place where the tree falls, there it will lie.)

11:4 “ผู้​ใด​มัว​สังเกต​ลม​ก็​จะ​ไม่​หว่าน​พืช และ​ผู้​ใด​มัว​จ้องมอง​เมฆ​ก็​จะ​ไม่​เกี่ยว​ข้าว”

         (He who observes the wind will not sow,and he who regards the clouds will not reap.)

11:5 “เจ้า​ไม่​ทราบ​ว่า​ลมหายใจ​เข้า​ไป​ใน​โครงร่าง​ที่​อยู่​ใน​มดลูก​หญิง​มีครรภ์​อย่างไร เจ้า​ก็​จะ​ไม่​ทราบ​ถึง​พระราชกิจ​ของ​พระเจ้า​ผู้​ทรง​กระทำ​สิ่ง​สารพัด​อย่างนั้น”

             (As you do not know the way the spirit comes to the bones in the womb of a woman with child,  so you do not know the work of God who makes everything.)

11:6 “เวลา​เช้า​เจ้า​จง​หว่าน​พืช​ของ​เจ้า และ​พอ​เวลา​เย็น​ก็​อย่า​หด​มือ​เจ้า​เลย เพราะ​เจ้า​ไม่​รู้​ว่า​การ​ไหน​จะ​เจริญ การ​นี้​   หรือ​การ​นั้น หรือ​การ​ทั้งสอง​จะ​เจริญ​ดี​เหมือนกัน”

       (In the morning sow your seed, and at evening withhold not your hand, for you do not know   which will prosper, this or that, or whether both alike will be good.)

11:7 “แสงสว่าง​ทำ​ให้​สดชื่น และ​การ​ที่​นัยน์ตา​เห็น​ดวงตะวัน​ก็​เป็น​ที่​ชื่นบาน”

       (Light is sweet, and it is pleasant for the eyes to see the sun.)

11:8 “เออ ถ้า​คน​ใด​มี​ชีวิต​อยู่​ได้​ตั้ง​หลาย​ปี จง​ให้​เขา​เปรมปรีดิ์​ตลอดปี​เหล่านั้น แต่​ให้​เขา​ระลึก​ด้วย​ว่า วัน​มืด​ก็​จะ​มี​มาก ทุกอย่าง​ที่​เกิดขึ้น​มา​นั้น​ก็​อนิจจัง”

   (So if a person lives many years, let him rejoice in them all; but let him remember that the days  of darkness will be many. All that comes is vanity.)

11:9 “โอ เยาวชน จง​เปรมปรีดิ์​ใน​วัยหนุ่มสาว​ของ​เจ้า และ​ให้​จิตใจ​ของ​เจ้า​ทำ​ตัว​เจ้า​ให้​ร่าเริง​ใน​วัยหนุ่มสาว​ของ​เจ้า เจ้า​จง​ดำเนิน​ชีวิต​ตาม​จิตใจ​ของ​เจ้า​และ​ตาม​ที่​ตา​ของ​เจ้า​เห็น​ควร แต่​จง​รู้​เถิด​ว่า​เพราะ​ทุกอย่าง​เหล่านี้​พระเจ้า​จะ​ทรง​นำ​เจ้า​เข้ามา​ถึง​การ​พิพากษา”

    (Rejoice, O young man, in your youth, and let your heart cheer you in the days of your youth.  Walk in the ways of your heart and the sight of your eyes. But know that for all these things God   will bring you into judgment.)

11:10 “จง​ขจัด​ความ​เศร้าหมอง​เสีย​จาก​ใจ​ของ​เจ้า และ​จง​สลัด​ความ​เจ็บปวด​เสีย​จาก​เนื้อหนัง​ของ​เจ้า เพราะ​วัยหนุ่มสาว​และ​วัยฉกรรจ์​นั้น​เป็น​อนิจจัง”

               (Remove vexation from your heart, and put away pain from your body, for youth and the dawn   of life are vanity.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

11:1     “จงโยนขนมปังของเจ้าลงบนน้ำ” (cast your bread upon the waters)   คำว่า “ขนมปัง” ในภาษาฮีบรูยังหมายถึง “เมล็ดข้าว” ที่นำไปทำขนมปัง = อาจหมายถึง การกระจายเมล็ดข้าวลงบนพื้นที่น้ำท่วม แต่ในเวลาอันเหมาะสม มันจะกลายเป็นทุ่งนาหรือ อาจหมายความว่า “ส่งเมล็ดข้าวของท่านข้ามน้ำข้ามทะเล เพราะหลังจากนั้นหลายวัน ท่านอาจได้รับผลตอบแทน”

=ให้ผจญภัยบ้าง เหมือนคนที่ยอมรับความเสี่ยงและได้กำไรจากการค้าขายทางทะเล อย่าเอาแต่หลีกเลี่ยงความเสี่ยง (สภษ.11:24)

“โยน” (Cast) –ปญจ.11:6;อสย.32:20;ฮชย.10:12

“เจ้าจะพบมันได้” ( you will find it) –ฉธบ.24:19

11:2     “จงปันส่วนของเจ้าออกไปเจ็ดส่วน เออ ถึงแปดส่วนก็ดี เพราะเจ้าไม่ทราบว่า สิ่งเลวร้ายอะไรจะเกิดขึ้นบนแผ่นดินโลก” (Give a portion to seven, or even to eight,for you know not what disaster may happen on earth.)

อาจ = ให้ลงทุนในธุรกิจ 7-8 อย่าง

= ให้กระจายธุรกิจให้หลากหลาย

เพราะ = ไม่รู้ว่าธุรกิจใดจะล้มเหลว

= ดังนั้น ให้กระจายการลงทุนและลดความเสี่ยง

ตรงกับสุภาษิตฝรั่งที่ว่า …

“อย่าเอาไข่ทุกฟองใส่ลงในตะกร้าใบเดียว เพราะเมื่อตะกร้าตกกระทบพื้นดิน ไข่ทุกฟองจะแตกหมด”

11:3-6  “เมฆ…ต้นไม้…ลม…พืช” (the clouds… a tree… the wind… seed) = ให้ลงมือทำในสิ่งที่ทำได้ โดยตระหนักว่า สติปัญญา หรือบทบาทของตัวเรานั้น มีจำกัด ดังนั้น หากมีอะไรที่เราทำได้ก็ให้ลงมือทำไม่ต้องรีรอ

11:5     “ลมหายใจ” (spirit) คำว่า “ลม” หรือ “ลมหายใจ” กับ “วิญญาณ” เป็นคำเดียวกันในภาษาฮีบรู       ปท.ยน.3:8

“ไม่ทราบว่า ลมหายใจเข้าไปในโครงร่างที่อยู่ในมดลูกหญิงมีครรภ์อย่างไร?” (As you do not know the way the spirit comes to the bones in the womb of a woman with child)

= ไม่สามารถหยั่งรู้ว่า ชีวิตหรือวิญญาณเข้าสู่ร่างกายที่กำลังถูกสร้างหรือปั้นขึ้นมาได้อย่างไร?

–สดด.139:14-16

11:6     “พอเวลาเย็นก็อย่าหดมือเจ้าเลย” (at evening withhold not your hand) = เมื่อตอนเย็นก็อย่าให้มือ ของเจ้าว่างงาน

11:7-10            คำแนะนำให้ใช้ชีวิต (ในทางดี) อย่างเต็มที่

11:7     “การที่นัยน์ตาเห็นดวงตะวันก็เป็นที่ชื่นบาน” (it is pleasant for the eyes to see the sun.)

–ปญจ.7:11

11:8     “แต่ให้เขาระลึกด้วยว่า” (but let him remember that      ) ปญจ.12:1

“ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมานั้นก็อนิจจัง” (All that comes is vanity.) = เหมือนกับคำเตือนใน 11:10 ที่ย้ำว่าอย่าปล่อยให้ใจเราเพลิดเพลินไปกับการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่หรือตามใจ จนหลงไปจากทางที่ควรเดิน

11:9     “…จะทรงนำเจ้าเข้ามาถึงการพิพากษา” (…will bring you into judgment.) = พระเจ้าจะชื่นชม หรือตำหนิเราขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา

= เราจึงควรทำให้ชีวิตที่อนิจจังนี้มีความหมาย มีทิศทาง และแยกแยะได้ว่า อะไรดี และอะไรไม่ดี เพื่อเตรียมพร้อมกับการพิพากษาของพระเจ้า -โยบ 19:29;ปญจ.2:24;3:17

11:10   “จงขจัดความเศร้าหมอง” (Remove vexation) = ความห่วงกังวล –สดด.94:19

“เพราะวัยหนุ่มสาวและวัยฉกรรจ์นั้นเป็นอนิจจัง” (youth and the dawn of life are vanity.)

–ปญจ.2:24

คำถามนำอภิปราย

 

  1. คุณเคยมีประสบการณ์กับความกลัวจนไม่กล้าลงมือทำอะไรเลย และไม่เกิดผลดีอะไรเลย บ้างหรือไม่? หรือเคยกล้าเสี่ยงลงมือทำบางอย่าง และเกิดผลดีหรือได้ผลกำไรตามมาบ้างหรือไม่? อย่างไร? (แบ่งปัน)
  2. คุณเคยมีประสบการณ์กับการทุ่มเทกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (หรือธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง) แล้วประสบปัญหา จนย่ำแย่บ้างหรือไม่?   อย่างไร? (แบ่งปัน)
  3. คุณเคยมีประสบการณ์กับการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน (หรือทำธุรกิจ) แล้วทำให้คุณรอดพ้นวิกฤติ (หรือหายนะมาบ้างหรือไม่?) อย่างไร? (แบ่งปัน)
  4. คุณเคยเสียเวลาเพราะความคิดมากหรือความกังวล จนไม่กล้าทำอะไร (หรือลงทุนอะไร)เลยบ้างหรือไม่? แล้วผลเป็นอย่างไร? (แบ่งปัน)
  5. คุณเคยลงมือทำอะไรบ้างเท่าที่คุณทำได้ โดยที่คุณไม่รู้หรือไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า ผลที่จะตามมาเป็นอย่างไร? แล้วต่อมา เกิดผลต่อไปนี้คือ

1)      เกิดผลดีคือ…………………………………………………………………………………………………………………….

2)      เกิดผลเสียคือ …………………………………………………………………………………………………………………..

  1. คุณเคยมีช่วงเวลาที่สนุกเพลิดเพลินกับชีวิตมากที่สุดในช่วงไหน? (แบ่งปัน) คุณอยากให้ช่วงเวลานั้นกลับคืนมาใหม่หรือไม่? ทำไม? คุณจะทำอย่างไร?
  2. หากวันนี้เป็นวันที่พระเจ้าพิพากษาคุณในสิ่งที่คุณพูด และกระทำ คุณคิดว่า พระเจ้าจะ

1)      ชมเชยคุณในเรื่อง………………………………………………………………ทำไม?…………………………………….

2)      ตำหนิคุณในเรื่อง………………………………………………………………..ทำไม?……………………………………

  1. ในเมื่อคุณตระหนักแล้วว่า วัยหนุ่มสาว (youth) ของคุณนั้นเป็นเพียงสภาวะชั่วคราว คุณคิดว่า คุณจะทุ่มเทวัยสาวหนุ่มของคุณลงมือกระทำอะไรบ้าง เพื่อส่งผลที่ดำรงอยู่อย่างถาวร (นิรันดร์)? (แบ่งปัน)

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

ปัญญาจารย์ บทเรียนที่ 10

ความโง่ ความชั่ว และความเกียจคร้าน

พระธรรม    ปัญญาจารย์ 10:1-20

อ้างอิง        สภษ.10:32;16:14;26:27;13:16;14:3;18:2,7;29:2;31:4;15:2;19:10;20:4;24:30-34

บทนำ       ในชีวิตของเรามีโอกาสประสบสิ่งเลวร้ายเสมอ หากว่า เราพูดหรือทำอะไรโง่ ๆ

ดังนั้น เราต้องระมัดระวังในการดำเนินชีวิตของเรา อย่าพูดหรือทำอะไรโง่ ๆ แต่ให้มีสติปัญญา มีจิตสำนึก    มีคุณธรรม และมีความสุข!

 

บทเรียน

10:1 “แมลงวัน​ตาย ย่อม​ทำ​ให้​น้ำมันหอม​บูดเหม็น​ไป ความ​เขลา​เพียง​เล็กน้อย​ก็​สามารถ​ทำลาย​ปัญญา​และ​ เกียรติยศ

     (Dead flies make the perfumer’s ointment give off a stench;so a little folly outweighs wisdom  and honor.)

10:2 “จิตใจ​ของ​คน​มี​ปัญญา ย่อม​นำ​ไป​ทาง​ขวามือ​ของ​เขา แต่​จิตใจ​ของ​คน​เขลา ย่อม​นำ​ไป​ทาง​ซ้ายมือ​ของ​เขา”

                 (A wise man’s heart inclines him to the right,but a fool’s heart to the left.)

10:3 “แม้​เมื่อ​คน​เขลา​กำลัง​เดิน​ไป​ตามทาง เขา​ก็​ขาด​สติ และ​มัก​แสดง​แก่​ทุก​คน​ว่า ตน​เป็น​คน​เขลา”

       (Even when the fool walks on the road, he lacks sense,and he says to everyone that he is a   fool.)

10:4 “ถ้า​อารมณ์​โกรธ​ของ​ผู้ครอบครอง​พลุ่ง​ขึ้น​ต่อ​ท่าน อย่า​ลุก​จาก​ที่​ของ​ท่าน เพราะ​ว่า​อารมณ์​เย็น​ย่อม​ระงับ​ความ​ผิด​ใหญ่หลวง​ไว้​ได้”

   (If the anger of the ruler rises against you, do not leave your place,for calmness will lay great  offenses to rest.)

10:5 “มี​สิ่ง​สามานย์​ที่​ข้าพเจ้า​เห็น​ภายใต้​ดวงอาทิตย์ ประหนึ่ง​ว่า​เป็น​ความ​ผิด​ซึ่ง​มา​จาก​ผู้​มี​อำนาจ”

     (There is an evil that I have seen under the sun, as it were an error proceeding from the ruler:)

10:6 “คือ​คน​เขลา​ถูก​แต่งตั้ง​ไว้​ใน​ตำแหน่ง​สูงใหญ่ และ​คน​มั่งคั่ง​รับ​ตำแหน่ง​ต่ำต้อย” 

   (folly is set in many high places, and the rich sit in a low place. )

10:7 “ข้าพเจ้า​เห็น​ทาส​ขี่​ม้า และ​เจ้านาย​เดิน​ที่​พื้นดิน​อย่าง​ทาส”

     (I have seen slaves on horses, and princes walking on the ground like slaves.)

10:8 “ผู้​ใด​ขุด​บ่อ​ไว้ ผู้​นั้น​จะ​ตก​ลงใน​บ่อ​นั้น ผู้​ใด​พัง​กำแพง​ทะลุ​เข้า​ไป งู​จะ​ขบ​กัด​ผู้นั้น”

       (He who digs a pit will fall into it,and a serpent will bite him who breaks through a wall.)

10:9 “ผู้​ใด​สกัด​หิน ผู้​นั้น​อาจ​เจ็บ​เพราะ​หิน​นั้น ผู้​ใด​ผ่า​ขอนไม้ ผู้​นั้น​จะ​ประสบ​อันตราย​เพราะ​ขอนไม้​นั้น​ได้”

     (He who quarries stones is hurt by them,and he who splits logs is endangered by them.)

10:10 “ถ้า​ขวาน​ทื่อ​แล้ว และ​เขา​ไม่​ลับ​ให้​คมเขา​ก็​ต้อง​ออก​แรง​มาก แต่​ประโยชน์​ของ​ปัญญา​คือ​การ​นำ​มา​ซึ่ง​ความ​สำเร็จ”

     (If the iron is blunt, and one does not sharpen the edge,he must use more strength,but wisdom helps one to succeed.)

10:11 “ถ้า​งู​ขบ​เสีย​ก่อน​ที่​ทำ​ให้​มัน​เชื่อง หมอ​งู​ก็​ไม่ได้​ประโยชน์​อะไร​แล้ว”

       (If the serpent bites before it is charmed,there is no advantage to the charmer.)

10:12 “ถ้อยคำ​จาก​ปาก​ของ​ผู้​มี​ปัญญา​ทำ​ให้​เขา​เป็น​ที่​โปรดปราน แต่​ริมฝีปาก​ของ​คน​เขลา​จะ​เผาผลาญ​ตัว​เขา​เสีย”

       (The words of a wise man’s mouth win him favor,but the lips of a fool consume him.)

10:13 “ถ้อยคำ​จาก​ปาก​ของ​เขา​เป็น​ความ​เขลา​ตั้งแต่​เริ่ม​ปริปาก ตอนจบ​ของ​คำ​พูด​ก็​เป็น​ความ​บ้าบอ​อย่าง​ร้าย”

     (The beginning of the words of his mouth is foolishness,and the end of his talk is evil madness.)

10:14 “คน​เขลา​พูด​มาก​ซ้ำซาก มนุษย์​ไม่​รู้​ว่า​อะไร​จะ​เกิดขึ้น ใคร​จะ​บอก​เขา​ได้​ว่า​จะ​เกิด​อะไร​ขึ้น​เมื่อ​เขา​จาก​ไป?”

       (A fool multiplies words,though no man knows what is to be,and who can tell him what will be  after him?)

10:15 “การ​ตรากตรำ​ของ​คน​เขลา​ทำ​ให้​เขา​เหน็ดเหนื่อย เพราะ​ว่า​เขา​ไม่​รู้จัก​ทาง​เข้า​เมือง”

               (The toil of a fool wearies him,for he does not know the way to the city.)

10:16 “โอ แผ่นดิน​เอ๋ย วิบัติ​แก่​เจ้า​เมื่อ​กษัตริย์​ของ​เจ้า​เป็น​เพียง​คน​รับใช้ และ​เจ้านาย​ทั้งหลาย​ของ​เจ้า​มี​การ​เลี้ยงกัน​  สนุกสนาน​แต่เช้า”

       (Woe to you, O land, when your king is a child,and your princes feast in the morning!)

10:17 “โอ แผ่นดิน​เอ๋ย เจ้า​จะ​เป็น​สุข เมื่อ​กษัตริย์​ของ​เจ้า​มา​จาก​ตระกูล​ของ​ขุนนาง และ​เจ้านาย​ของ​เจ้า​มี​การ​เลี้ยง​ตาม​กาลเทศะเพื่อ​จะ​มี​กำลังวังชา มิใช่​จะ​ดื่ม​ให้​มึนเมา”

   (Happy are you, O land, when your king is the son of the nobility,and your princes feast at the    proper time,for strength, and not for drunkenness!)

10:18 “เพราะ​ความ​ขี้เกียจ หลังคา​จึง​ทรุดพัง​ลง และ​เพราะ​ความ​เกียจคร้าน เรือน​จึง​รั่ว​เฉอะแฉะ”

       (Through sloth the roof sinks in,and through indolence the house leaks.)

10:19 “อาหาร​ทำ​ให้​คน​หัวเราะ และ​เหล้าองุ่น​ทำ​ให้​ชีวิต​ชื่นบานและ​เงิน​ก็​จัด​ให้​ได้​ทุกอย่าง”

       (Bread is made for laughter,and wine gladdens life,and money answers everything.)

10:20 “อย่า​แช่งด่า​พระราชา เออ แม้​แต่​ใน​ความ​คิด​ก็​อย่า​เลยและ​อย่า​แช่ง​คน​มั่งมี แม้​เจ้า​อยู่​ใน​ห้องนอน​ของ​เจ้า เพราะ​นก​ใน​อากาศ​จะ​คาบ​เสียง​ของ​เจ้า​ไปหรือ​ตัว​ที่​มี​ปีก​จะ​เล่า​เรื่อง​นั้น”

     (Even in your thoughts, do not curse the king,nor in your bedroom curse the rich,for a bird of  the air will carry your voice,or some winged creature tell the matter.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

 10:1     “ความเขลาเพียงเล็กน้อย” (a little folly  ) = ความโง่เขลานิดหน่อย ใน 2 พกษ.20:12-19 มีตัวอย่างที่ชัดเจนมากในสมัยของกษัตริย์เฮเซคียาห์ – สภษ.13:16;18:2

          “ทำลาย” (outweighs) = บั่นทอน หรือภาษาฮีบรูแปลตรงตัวได้ว่า “มีน้ำหนักมากกว่า”

10:2     “ทางขวามือ…ทางซ้ายมือ” (to the right… to the left.) = ความถูกต้อง…ความชั่วร้าย

= แสดงถึงความดี และความชั่ว เปรียบเทียบกับ มธ.25:33-34,41

หรืออาจหมายถึงสิ่งที่ดีที่สุดกับสิ่งที่ดีน้อยกว่าเทียบได้กับ ปฐก.48:13-20

10:3     “ทุกคน” (everyone) –สภษ.13:16

10:4     “อารมณ์เย็นย่อมระงับความผิดใหญ่หลวงไว้ได้” (calmness will lay great offenses to rest.)

= ความสงบสยบความผิดพลาดใหญ่หลวงได้ –สภษ.16:14

10:5     “ความผิดซึ่งมาจากผู้มีอำนาจ” (an error proceeding from the ruler) = ดูข้อสังเกตของปัญญาจารย์เกี่ยวกับการปกครองของมนุษย์ ในข้อ 6-7,16-17,20;3:16;4:1-3,13-16;5:8-9;8:2-6,10-11;9:17,  10:6-7 -ดู สภษ.19:10;30:21-22

10:6     “คนโง่ได้ตำแหน่งสูง” (folly is set in many high places   ) -สภษ.29:2

10:7     “เจ้านายเดินที่พื้นดินอย่างทาส” (princes walking on the ground like slaves) –สภษ.19:10

10:8     “ผู้ใดขุดบ่อไว้ ผู้นั้นจะตกลงในบ่อนั้น” (who digs a pit will fall into it) –สดด.7:15;57:6; สภษ.26:27

“ผู้ใดพังกำแพงทะลุเข้าไป งูจะขบกัดผู้นั้น” (serpent will bite him who breaks through a wall)

–อสธ.2:23;สดด.9:16;อมส.5:19

10:9     “ผู้ใดผ่าขอนไม้ ผู้นั้นจะประสบอันตรายเพราะขอนไม้นั้นได้” (who quarries stones is hurt by them) –สภษ.26:27

10:11   “ถ้างูขบเสียก่อนที่ทำให้มันเชื่อง” (If the serpent bites before it is charmed) –สดด.58:5;อสย.3:3

10:12   “ถ้อยคำ” (The words) = หัวข้อที่นิยมกันในวรรณกรรมปัญญานิพนธ์ ดูตัวอย่างเช่น ในสุภาษิต 15 และยากอบ 3:2-12

“ถ้อยคำจากปากของผู้มีปัญญาทำให้เขาเป็นที่โปรดปราน” (The words of a wise man’s mouth win him favor) = ถ้อยคำของคนฉลาดนั้นน่าฟัง –สภษ.10:32

“แต่ริมฝีปากของคนเขลาจะเผาผลาญตัวเขาเสีย” (but the lips of a fool consume him.  ) = คนโง่ย่อยยับเพราะลมปากของตัวเอง –สภษ.10:6;14:3;15:2;18:7

10:14   “คนเขลาพูดมากซ้ำซาก” (fool multiplies words) = ต่อความยาวสาวความยืดไม่รู้จบ

          “ใครจะบอกเขาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเขาจากไป” (who can tell him what will be after him)

= ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในภายหลัง –ปญจ.9:1

10:15   “เขาไม่รู้จักทางเข้าเมือง” (he does not know the way to the city) = สำนวนภาษิตที่บ่งบอกถึงความโง่อย่างสุด ๆ คือ โง่กว่าธรรมดา เพราะไม่รู้แม้แต่ทางเข้าเมือง (ปท.10:3)

10:16   “วิบัติแก่เจ้า เมื่อกษัตริย์ของเจ้าเป็นเพียงคนรับใช้” (Woe to you, O land, when your king is a child) = เมื่อมีคนใช้เป็นกษัตริย์ -4:3;2พกษ.15:8-25;ฮชย.7:3-7, แสดงถึงผู้ชิงบัลลังก์ที่อายุไม่ยืน และข้าราชการสำนักที่โหดร้าย ซึ่งทำให้อิสราเอลตกต่ำลงเร็วยิ่งขึ้น –อสย.3:4-5,12

10:17   “มิใช่จะดื่มให้มึนเมา” (not for drunkenness!) = ไม่ใช่เพื่อเมามาย –ฉธบ.14:26;1ซมอ.25:36; สภษ.31:4

10:18   “เพราะความเกียจคร้านเรือนจึงรั่วเฉอะแฉะ” (  through indolence the house leaks.) -4:5; สภษ.20:4,24:30-34

10:19   “เหล้าองุ่นทำให้ชีวิตชื่นบาน” (wine gladdens life) –ปฐก.14:18;วนฉ.9:13

“เงินก็จัดให้ได้ทุกอย่าง” (money answers everything) = เงินคือคำตอบสำหรับทุกสิ่ง

= อาจเป็นคำเหน็บแนมค่านิยมของคนเรา หรืออาจเป็นการแนะนำให้หาเลี้ยงชีพด้วยรายได้แทนที่จะเอาแค่รื่นเริง หรือต้องการสื่อว่า เงินนั้น ใช้ประโยชน์ได้หลากหลายยิ่งนัก (ลก.16:9)

10:20   “อย่าแช่งด่าพระราชา” (not curse the king) –อพย.22:28

 

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยทำอะไรโง่ ๆ ที่ก่อเกิดความเสียหายต่อ

1)      ตัวคุณเอง

2)      ครอบครัว

3)      องค์กร/หน่อยงาน/ที่ทำงาน

4)      คริสตจักร

5)      บุคคลหนึ่งบุคคลใด/กลุ่มใดบ้างหรือไม่?   เรื่องอะไร? ผลที่เกิดขึ้นคืออะไร?

  1. ทุกวันนี้ ใจของคุณมีแนวโน้มไปตามทางใด?

…..1) ความถูกต้อง

…..2) ความชั่วร้าย?

แล้วคุณจัดการให้อยู่ในทางของพระเจ้าอย่างต่อเนื่องได้อย่างไร?

  1. คุณกำลังหรือยังคงเดินไปบนหนทางของความโง่อย่างไม่สำนึกตัวอยู่หรือไม่? ในเรื่องอะไร? ส่งผลกระทบอะไรต่อคุณหรือคนรอบข้างบ้าง?
  2. คุณเคยหุนหันพลันแล่นลาออกจากที่ใดที่หนึ่งหรือทิ้งหน้าที่ไป เพราะว่าผู้ที่อยู่สูงกว่าคุณโกรธใส่คุณหรือทำให้คุณโกรธบ้างหรือไม่? แล้วผลเป็นอย่างไร? และคุณรู้สึกอย่างไร?
  3. คุณเห็นสภาวะน่ากระอักกระอ่วนที่คนที่ไม่เหมาะสมได้อยู่ในตำแหน่งดูแลหรือปกครองหรือไม่? แล้วเกิดอะไรตามมา?
  4. คุณเคยตกลงไปในหลุมที่คุณขุดเองบ้างหรือไม่? หรือคุณเคยเห็นใครตกลงไปในหลุมที่เขาขุดเองบ้าง? เรื่องอะไร? หรือคุณเคยได้รับผลกระทบหรือได้รับผลเสียอะไรจากการกระทำของตัวคุณเองบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร?
  5. คุณเคยทำงานหนักแบบไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรและต่อมาคุณปรับเปลี่ยนตัวเอง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งพัฒนาทักษะ) จนเกิดทักษะสามารถทำงานได้ดีขึ้นกว่าเดิมบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? และผลเป็นอย่างไร?
  6. คุณเคยเกิดความเสียหายเพราะการกระทำอะไรที่ผิดจังหวะหรือผิดเวลาหรือไม่? ในเรื่องอะไร?
  7. คุณเคยเสียหายเพราะปากของตัวคุณเองบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร?
  8. คุณเห็นด้วยหรือไม่ว่า “เงินคือคำตอบสำหรับทุกคน” หรือ “เงินจัดให้ได้ทุกอย่าง” สิ่งที่คุณคิดนี้ส่งผลอย่างไรต่อการดำเนินชีวิตการทำงานหรือการรับใช้ของคุณบ้าง? หรือคุณเคยเห็นใครที่คิดเช่นนั้นบ้าง? แล้วผลที่ตามมาเป็นอย่างไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

ปัญญาจารย์ บทเรียนที่ 9

วาระแห่งชีวิต

พระธรรม        ปัญญาจารย์ 9:1-18

อ้างอิง               ปญจ.10:14;11:6;โยบ 9:22;14:21;สภษ.5:18;สดด.6:5;ฉธบ.8:18;ยรม.9:23;ปฐก.40:14;อสธ.6:3

บทนำ           ยังมีชีวิตอยู่ย่อมดีกว่าตายไปแล้ว หากว่าชีวิตของคุณมีคุณค่าต่อผู้อื่น อย่างไรก็ตาม ชีวิตในโลกย่อมต้องเผชิญกับเคราะห์ดีร้ายปะปนกันไป!

เราต้องรู้จักดำเนินชีวิตในวาระต่าง ๆ อย่างมีสติปัญญา!

บทเรียน

9:1 “ข้าพเจ้า​ได้​นำ​เรื่องราว​ทั้งหมด​นี้​มา​คิด ตรวจ​พิจารณา​ทั้งสิ้น​ว่า คน​ชอบธรรม​และ​คน​มี​ปัญญา​รวม​ทั้ง​กิจการ​ของ​เขาทั้งหลาย ก็​อยู่​ใน​พระหัตถ์​พระเจ้า จะ​ทรง​รัก​หรือ​ทรง​เกลียด​ก็​ตาม มนุษย์​หารู้​ไม่ ทุกอย่าง​ก็​อยู่​ต่อหน้า​เขาทั้งหลาย” 

     (But all this I laid to heart, examining it all, how the righteous and the wise and their deeds are in  the hand of God. Whether it is love or hate, man does not know; both are before him.)

9:2 “เคราะห์​อัน​เดียวกัน​ตก​แก่​คน​ทั้งปวง​เหมือนกัน​หมด​คือ ตก​แก่​คน​ชอบธรรม​และ​คน​อธรรม ตก​แก่​คน​ดี​และ​คน​ชั่ว ตก​แก่​คน​สะอาด​และ​คน​มี​มลทิน ตก​แก่​ผู้​ถวาย​สัตวบูชา และ​แก่​ผู้​ไม่​ถวาย​สัตวบูชา ตก​แก่​คน​ดี​อย่างไร ก็​ตก​ แก่​คนบาป​อย่าง​นั้น ตก​แก่​คน​สาบาน​อย่างไร ก็​ตก​แก่​คน​กลัว​การ​สาบาน​อย่างนั้น” 

   (It is the same for all, since the same event happens to the righteous and the wicked, to the good  and the evil, to the clean and the unclean, to him who sacrifices and him who does not sacrifice.   As the good one is, so is the sinner, and he who swears is as he who shuns an oath. )

9:3 “นี่แหละ​เป็น​สิ่ง​สามานย์ ที่​มี​อยู่​ใน​ทุกสิ่ง​ที่​เกิดขึ้น​ภายใต้​ดวงอาทิตย์​คือ​ว่า มี​เคราะห์​อัน​เดียวกัน​ที่​ตก​แก่​ทุก​คน เออ ใจ​มนุษย์​ก็​เต็ม​ด้วย​ความ​ชั่ว และ​ความ​บ้าบอ​อยู่​ใน​ใจ​เขา​เมื่อ​มี​ชีวิต และ​ต่อจากนั้น เขา​ก็​ไป​อยู่​กับ​คน​ตาย

    (This is an evil in all that is done under the sun, that the same event happens to all. Also, the   hearts of the children of man are full of evil, and madness is in their hearts while they live, and after   that they go to the dead.)

9:4 “ส่วน​คน​ใด​ที่​อยู่​ร่วม​กับ​คน​ที่​มี​ชีวิต คน​นั้น​ก็​มี​ความ​หวัง เพราะ​ว่า​สุนัข​เป็น​ก็​ยัง​ดี​กว่า​สิงโต​ตาย” 

     (But he who is joined with all the living has hope, for a living dog is better than a dead lion.)

9:5 “เพราะ​ว่า​คน​เป็น​ย่อม​รู้​ว่า​เขา​เอง​คง​จะ​ตาย แต่​คน​ตาย​แล้ว​ก็​ไม่​รู้​อะไร​เลย เขา​ไม่​อาจ​รับ​รางวัล​อีก เพราะ​ว่า​ใครๆก็​พา​กัน​ลืม​เขา​เสีย​หมด” 

    (For the living know that they will die, but the dead know nothing, and they have no more reward,   for the memory of them is forgotten.)

9:6 “ทั้ง​ความ​รัก​ของ​พวกเขา​และ​ความ​ชัง พร้อม​กับ​ความ​อิจฉา​ของ​พวกเขา​ได้​สูญไป​นาน​แล้ว และ​เขาทั้งหลาย​จะ​ไม่มี​ส่วน​ใน​สิ่งใด​ที่​เกิดขึ้น​ภายใต้​ดวงอาทิตย์​อีกต่อไป

      (Their love and their hate and their envy have already perished, and forever they have no more   share in all that is done under the sun.)

9:7 “ไป​เถิด ไป​รับประทาน​อาหาร​ของ​เจ้า​ด้วย​ความ​เปรมปรีดิ์ และ​ไป​ดื่ม​เหล้าองุ่น​ของ​เจ้า​ด้วย​ความ​ร่าเริง​ใจ เพราะ​ พระเจ้า​ทรง​เห็นชอบ​กับ​การงาน​ของ​เจ้า​แล้ว”

     (Go, eat your bread with joy, and drink your wine with a merry heart, for God has already   approved what you do.)

9:8 “จง​ให้​เสื้อผ้า​ของ​เจ้า​ขาว​อยู่​เสมอ และ​ศีรษะ​ของ​เจ้า​ก็​อย่า​ให้​ขาด​น้ำมัน” 

     (Let your garments be always white. Let not oil be lacking on your head.)

9:9 “เจ้า​จง​ชื่นชมยินดี​ใน​ชีวิต​กับ​ภรรยา​ซึ่ง​เจ้า​รัก​ตลอดชีวิต​อนิจจัง​ที่​ได้​ประทาน​ให้​แก่​เจ้า​ภายใต้​ดวงอาทิตย์​ตลอดวันเวลา​อนิจจัง​ของ​เจ้า เพราะ​ว่า​นั่น​เป็น​รางวัล​สำหรับ​ชีวิต และ​สำหรับ​การ​ตรากตรำ​ของ​เจ้า ซึ่ง​เจ้า​ได้​ตรากตรำ​ภายใต้​ดวงอาทิตย์”

   (Enjoy life with the wife whom you love, all the days of your vain life that he has given you under   the sun, because that is your portion in life and in your toil at which you toil under the sun. 

9:10 “มือ​ของ​เจ้า​จับ​งาน​อะไร ก็​จง​ทำ​การ​นั้น​ด้วย​เต็ม​กำลัง เพราะ​ใน​แดนคนตาย​ที่​เจ้า​จะ​ไป​นั้น​ไม่มี​การงาน หรือ​ ความ​คิด หรือ​ความ​รู้ หรือ​ปัญญา”

       (Whatever your hand finds to do, do it with your might, for there is no work or thought or  knowledgeor wisdom in Sheol, to which you are going.)

9:11 “ข้าพเจ้า​ได้​เห็น​ภายใต้​ดวงอาทิตย์​อีก​ว่า คน​วิ่ง​เร็ว​ไม่​ชนะ​ใน​การ​แข่งขัน​เสมอ​ไป หรือ​คน​เก่งกาจ​ไม่​ชนะ​สงคราม​เสมอ​ไป นอกจากนี้ คน​มี​ปัญญา​ไม่มี​อาหาร​เสมอ​ไป หรือ​คน​ฉลาด​ไม่​ร่ำรวย​เสมอ​ไป หรือ​คน​รอบรู้​ไม่ได้​ รับ​ความ​โปรดปราน​เสมอ​ไป แต่​วาระ​และ​โอกาส​มี​มา​ถึง​เขา​ทุกคน”

   (Again I saw that under the sun the race is not to the swift, nor the battle to the strong, nor bread   to the wise, nor riches to the intelligent, nor favor to those with knowledge, but time and chance   happen to them all.)

9:12 “เพราะ​มนุษย์​ไม่​รู้​วาระ​ของ​ตน ปลา​ติด​อยู่​ใน​อวน​ที่​เลวร้าย​ฉันใด และ​นก​ถูก​ดัก​ติด​อยู่​ใน​บ่วงแร้ว​ฉันใด บรรดา​มนุษย์​ก็​ถูก​วาระ​อัน​เลวร้าย​นั้น​ดักจับ​โดย​ฉับพลัน​เหมือนกัน​ฉัน​นั้น”

   (For man does not know his time. Like fish that are taken in an evil net, and like birds that are  caught in a snare, so the children of man are snared at an evil time, when it suddenly falls upon   them.)

9:13 “ข้าพเจ้า​เห็น​เรื่อง​ปัญญา​ภายใต้​ดวงอาทิตย์ และ​เห็น​ว่า​เป็น​เรื่อง​ใหญ่​โต​ดัง​ต่อไปนี้” 

      (I have also seen this example of wisdom under the sun, and it seemed great to me.)

9:14 “ยัง​มี​เมือง​เล็กๆ เมือง​หนึ่ง มี​คน​อยู่​ใน​เมือง​นั้น​น้อยคน แล้ว​มี​มหาราชา​มา​ตี​เมือง​นั้น และ​ล้อม​เมือง​นั้น​ไว้ และ​ สร้าง​เครื่องล้อม​โจมตี​ไว้​รอบ​เมือง”

   (There was a little city with few men in it, and a great king came against it and besieged it,   building great siegeworks against it. )

9:15 “อย่างไร​ก็​ดี​ใน​เมือง​นั้น​มี​ชาย​ยากจน​แต่​มี​ปัญญา​อยู่​คน​หนึ่ง และ​ชาย​คน​นี้​ช่วย​เมือง​นั้น​ไว้​ให้​รอด​ด้วย​ปัญญา​ของ​ตน แต่​ไม่มี​ใคร​ระลึกถึง​ชาย​ยากจน​คน​นี้”

     (But there was found in it a poor, wise man, and he by his wisdom delivered the city. Yet no one   remembered that poor man.)

9:16 “แต่​ข้าพเจ้า​ว่า ปัญญา​ก็​ดี​กว่า​กำลัง ถึง​ปัญญา​ของ​ชาย​คน​นั้น​ถูก​ดูหมิ่น และ​ถ้อยคำ​ของ​เขา​ไม่มี​ใคร​ฟัง​ก็​ตาม​ที”

     (But I say that wisdom is better than might, though the poor man’s wisdom is despised and his  words are not heard.)

9:17 “ถ้อยคำ​อ่อนโยน​ของ​คน​มี​ปัญญา​ก็​น่าฟังกว่า​เสียง​ตะโกน​ของ​ผู้ครอบครอง​ท่ามกลาง​คน​เขลา”

     (The words of the wise heard in quiet are better than the shouting of a ruler among fools.)

9:18 “ปัญญา​ดี​กว่า​อาวุธ​สงครามแต่​คนบาป​คน​เดียว​ย่อม​ทำลาย​ความ​ดี​เป็น​อย่างมาก​ได้”

   (Wisdom is better than weapons of war, but one sinner destroys much good.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

9:1       “กิจการของเขาทั้งหลายก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า” (their deeds are in the hand of God)

= อนาคตอยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า ไม่มีใครรู้ว่าจะดีหรือร้าย

9:2       “เคราะห์อันเดียวกัน ตกแก่คนทั้งปวงเหมือนกันหมด” (It is the same for all, since the same event happens) = ไม่ใช่เฉพาะของคนฉลาด และคนโง่ แต่รวมทั้งคนดีและคนเลวด้วยที่เสมอภาคกันในบั้นปลาย (คือตาย) –3:19-20

9:3       “สิ่งสามานย์…ใจมนุษย์ก็เต็มด้วยความชั่ว” (This is an evil … of man are full of evil) = จุดหมายปลายทางของคนนั้นเห็นได้ชัด แต่น่าเศร้าคือ ความจริงนี้กลับส่งเสริมให้คนบางคนทำบาป

9:5       “แต่คนตายแล้วก็ไม่รู้อะไรเลย เขาไม่อาจรับรางวัลอีก” ( but the dead know nothing, and they have no more reward) = คนที่ตายก็หมดโอกาสที่จะชื่นชมยินดี และรับรางวัลจากการตรากตรำในชีวิตนี้ (ข.6)

9:6       “เขาทั้งหลายจะไม่มีส่วนในสิ่งใดที่เกิดขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์อีกต่อไป” ( forever they have no more share in all that is done under the sun) –โยบ 12:21

9:7       “ดื่มเหล้าองุ่น” (drink your wine) –กดว.6:20

“ด้วยความร่าเริงใจ” (bread with joy) –ปญจ.2:24 , ปท.ปญจ.8:15

9:8       “จงให้เสื้อผ้าของเจ้าขาว…ศีรษะของเจ้าก็อย่าให้ขาดน้ำมัน” (Let your garments be always white. Let not oil be lacking on your head) = เครื่องหมายแสดงถึงความชื่นชมยินดี   ปท. วว.3:4

9:9       “จงชื่นชมยินดีในชีวิตกับภรรยาที่เจ้ารัก” (Enjoy life with the wife whom you love) = สภษ.5:18

= คือส่วนในชีวิตของท่าน–โยบ 31:2

“รางวัลสำหรับชีวิต” (that is your portion in life)

9:10     “มือของเจ้าจับงานอะไร” (your hand finds to do) –1ซมอ.10:7

“จงทำการนั้นด้วยเต็มกำลัง” (do it with your might) = เต็มกำลังความสามารถ –ปญจ.11:6

“ในแดนคนตาย” (in Sheol) –กดว.16:33;สดด.6:5;อสย.38:18

          “ความรู้หรือปัญญา” ( knowledge or wisdom) –ปญจ.2:24

9:11     “คนเก่งกาจไม่ชนะสงครามเสมอไป” (nor the battle to the strong) = คนเข้มแข็งไม่ชนะศึกเสมอไป –อมส.2:14-15

“คนมีปัญญาไม่มีอาหารเสมอไป” (nor bread to the wise) -โยบ 32:13;อสย.4:7;10;ยรม.9:23

          “วาระและโอกาส” (time and chance) = ความสำเร็จไม่ใช่สิ่งที่แน่นอน สุดท้ายมนุษย์ก็ไม่สามารถควบคุมเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ –ปญจ.2:14

          “มีมาถึงเขาทุกคน” (happen to them all) –ฉธบ.8:18

9:12     “วาระของตน” (his time            ) = วาระแห่งความหายนะ

“บรรดามนุษย์ก็ถูกวาระอันเลวร้ายนั้นดักจับ” (man are snared at an evil time, when it suddenly falls upon them) = คนติดกับดักที่เขาไม่มีทางรู้เลย เขาไม่มีปัญญาฉลาดพอที่จะคาดเดาได้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความหายนะ –สภษ.29:6

“โดยฉับพลัน” (suddenly) = ไม่นึกไม่ฝัน –สดด.73:22;ปญจ.2:14

9:13     “เรื่องปัญญา” (wisdom) –2ซมอ.20:22

9:15     “แต่ไม่มีใครระลึกถึงชายยากจนคนนี้” (no one remembered that poor man) = คำเตือนว่า อย่าพึ่งพาสติปัญญาของตนมากเกินไป เพราะทุกอย่างที่เราทำ เราได้มา รวมทั้งชื่อเสียงก็จะจางหายไป และในไม่ช้าคนก็จะค่อย ๆ ลืมไปหมด (ข.18) คนฉลาดก็ตายเช่นเดียวกับคนเขลา (2:15-16)

คำถามนำอภิปราย

  1. การที่เรารู้ว่าอนาคตของมนุษย์เรา (ไม่ว่าดีหรือร้าย) ล้วนอยู่ในพระพัตถ์ของพระเจ้า ส่งผลอะไรต่อท่าทีในการดำเนินชีวิตของคุณบ้าง?
  2. การที่คนดีได้เลว และคนเลวได้ดี หรือเคราะห์อันเดียวกันตกแก่ทั้งคนดี(ชอบธรรม) และเลว (อธรรม) บั่นทอนจิตใจของคุณในการทำดีต่อไปหรือไม่? อย่างไร?
  3. “การมีชีวิตอยู่ต่อ” กับ “การตายจากไป” มีความสำคัญอย่างไรต่อชีวิตของคุณบ้าง?
  4. คุณเห็นด้วยหรือไม่ต่อคำกล่าวที่ว่า “สุนัขเป็นก็ยังดีกว่าสิงโตตาย”? ทำไม?
  5. พระคัมภีร์ตอนนี้ แนะนำให้คุณทำอะไรกับการใช้ชีวิต และคุณจะนำไปปฏิบัติตามได้อย่างไร?
  6. วิถีและท่าทีที่เราควรมี ควรเป็นอย่างไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความรักและครอบครัว?
  7. ทัศนคติของเราที่ควรมีต่ออาชีพการงานของเราควรเป็นอย่างไร? และทำไมจึงควรเป็นเช่นนั้น?
  8. คุณเคยเห็นหรือมีประสบการณ์กับความไม่แน่นอนของชีวิตบ้างหรือไม่ อาทิ

1)      คนวิ่งเร็วไม่ชนะ

2)      คนเก่งไม่ชนะ

3)      คนมีปัญญาไม่มีอาหาร

4)      คนฉลาดไม่ร่ำรวย

5)      คนรอบรู้ ไม่ได้รับความโปรดปรานเสมอไป

และส่งผลต่อความคิดจิตใจ และชีวิตของคุณอย่างไร?

  1. ในชีวิตของคุณ คุณเคยติดกับดักหรือถูกวาระอันร้ายดักจับบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร และอย่างไร? และผลสุดท้ายเป็นอย่างไร?
  2. คุณเคยเห็นหรือรู้จักคนดีที่ถูกลืมบ้างหรือไม่? แบ่งปัน

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์