Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1โครินธ์ บทที่ 12

ของประทานในกายเดียว

 

พระธรรม        1โครินธ์ 12:1-31

อ้างอิง             1คร.1:7;10:32; 12:9-10;14:1,12;37,39;16:22

บทนำ              เราแม้จะแตกต่างและหลากหลาย แต่เราถูกออกแบบมาให้อยู่ในกายเดียวกัน คือ คริสตจักร

ขอให้เราใช้ของประทานของเราในการเสริมสร้างและรับใช้ซึ่งกันและกัน!

 บทเรียน

 12:1 “พี่‍น้อง​ทั้ง‍หลาย ข้าพ‌เจ้า​อยาก​ให้​ท่าน​เข้า‍ใจ​เกี่ยว‍กับ​ของ‍ประ‌ทาน​จาก​พระ‍วิญ‌ญาณ”

       (Now concerning spiritual gifts, brothers, I do not want you to be uninformed.)

12:2 “พวก‍ท่าน​รู้​แล้ว​ว่า​แต่​ก่อน​ที่​ยัง​เป็น​คน​ต่าง​ศาสนา​อยู่​นั้น พวก‍ท่าน​ถูก​ชัก‍จูง​และ​นำ​ให้​หลง‍ไป​นับ‍ถือ​รูป‍เคารพ​ซึ่ง​พูด​ไม่‍ได้ ไม่​ว่า​จะ​ด้วย​ทาง​ใด”

       (You know that when you were pagans you were led astray to mute idols, however you were led.)

12:3 “เพราะ‍ฉะนั้น​ข้าพ‌เจ้า​ขอ​บอก​ให้​ทราบ​ว่า ไม่‍มี​ใคร​ที่​พูด​โดย​พระ‍วิญ‌ญาณ​ของ​พระ‍เจ้า​จะ​พูด​ว่า “ให้​เยซู​เป็น​ที่​สาป‍แช่ง” และ​ไม่‍มี​ใคร​สามารถ​พูด​ว่า “พระ‍เยซู​เป็น​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า” นอก‍จาก​จะ​พูด​โดย​พระ‍วิญ‌ญาณ‍บริ‌สุทธิ์”
   (Therefore I want you to understand that no one speaking in the Spirit of God ever says “Jesus is accursed!” and no one can say “Jesus is Lord” except in the Holy Spirit.)

12:4 “ของ‍ประ‌ทาน​นั้น​มี​ต่างๆ กัน แต่​มี​พระ‍วิญ‌ญาณ​องค์​เดียว‍กัน”

       (Now there are varieties of gifts, but the same Spirit; )

12:5 “การ​ปรน‌นิ‌บัติ​มี​ต่างๆ กัน แต่​มี​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า​องค์​เดียว‍กัน”

       (and there are varieties of service, but the same Lord; ).

12:6 “กิจ‍กรรม​มี​ต่างๆ กัน แต่​มี​พระ‍เจ้า​องค์​เดียว‍กัน​เป็น‍ต้น‍เหตุ​แห่ง​กิจ‍กรรม​ทั้ง‍หมด​ใน​ทุก‍คน”

       (and there are varieties of activities, but it is the same God who empowers them all in  everyone.)

12:7 “การ​สำแดง​ของ​พระ‍วิญ‌ญาณ​นั้น พระ‍องค์​ประ‌ทาน​แก่​แต่‍ละ‍คน​เพื่อ​ประ‌โยชน์​ร่วม‍กัน”

        (To each is given the manifestation of the Spirit for the common good.)

12:8 “พระ‍เจ้า​ประ‌ทาน​โดย​ทาง​พระ‍วิญ‌ญาณ ให้​คน​หนึ่ง​มี​ถ้อย‍คำ​ของ​ปัญญา และ​ให้​อีก‍คน‍หนึ่ง​มี​ถ้อย‍คำ​ของ​ความ​รู้ โดย​พระ‍วิญ‌ญาณ​องค์​เดียว‍กัน”

     (For to one is given through the Spirit the utterance of wisdom, and to another the utterance of knowledge according to the same Spirit, )

12:9 “และ​ให้​อีก‍คน‍หนึ่ง​มี​ความ​เชื่อ โดย​พระ‍วิญ‌ญาณ​องค์​เดียว‍กัน ให้​อีก‍คน‍หนึ่ง​มี​ของ‍ประ‌ทาน​ใน​การ​รักษา​โรคโดย​พระ‍วิญ‌ญาณ​องค์​เดียว‍กัน” 

      (to another faith by the same Spirit, to another gifts of healing by the one Spirit,)

12:10 “ให้​อีก‍คน‍หนึ่ง​ทำ​การ​ด้วย​ฤทธา‌นุ‌ภาพ ให้​อีก‍คน‍หนึ่ง​เผย‍พระ‍วจนะ ให้​อีก‍คน‍หนึ่ง​รู้‍จัก​สัง‌เกต​วิญ‌ญาณ​ต่างๆให้​อีก‍คน‍หนึ่ง​พูด‍ภาษา‍แปลกๆ และ​ให้​อีก‍คน‍หนึ่ง​แปล​ภาษา​นั้นๆ ได้”

    (to another the working of miracles, to another prophecy, to another the ability to distinguish  between spirits, to another various kinds of tongues, to another the interpretation of tongues. )

12:11 “พระ‍วิญ‌ญาณ​องค์​เดียว‍กัน​ทรง​ทำ​และ​จัด‍สรร​สิ่ง‍เหล่า‍นี้​ทั้ง‍หมด​แก่​แต่‍ละ‍คน​ตาม​ชอบ‍พระ‍ทัย​พระ‍องค์”

       (All these are empowered by one and the same Spirit, who apportions to each one individually (as he wills.)

12:12 “เพราะ​ว่า เหมือน​กับ​ร่าง‍กาย​เดียว​ที่​มี​หลายๆ อวัยวะ และ​อวัยวะ​ทั้ง‍หมด​ของ​ร่าง‍กาย​นั้น​แม้​จะ​มี​หลาย​ส่วน​ก็​ยัง​เป็น​ร่าง‍กาย​เดียว พระ‍คริสต์​ก็​ทรง​เป็น​เช่น​นั้น”

      (For just as the body is one and has many members, and all the members of the body, though many, are one body, so it is with Christ.)

12:13 “เพราะ‍ว่า​ไม่​ว่า​จะ​เป็น​ยิว​หรือ​กรีก ทาส​หรือ​เสรี‍ชน เรา​ได้​รับ​บัพ‌ติศ‌มา​ใน​พระ‍วิญ‌ญาณ​องค์​เดียว​เข้า​เป็น​กาย​เดียว‍กัน และ​พระ‍วิญ‌ญาณ​องค์​เดียว‍กัน​เป็น​เหมือน​น้ำ​ที่​ประ‌ทาน​ให้​เรา​ทุก​คน​ได้​ดื่ม”

         (For in one Spirit we were all baptized into one body—Jews or Greeks, slaves or free—and all  were made to drink of one Spirit.)

12:14 “เพราะ‍ว่า​ร่าง‍กาย​ไม่‍ได้​ประ‌กอบ​ด้วย​อวัยวะ​เดียว แต่​ด้วย​หลาย​อวัยวะ”

         (For the body does not consist of one member but of many.)

12:15 “ถ้า​เท้า​จะ​พูด​ว่า “เพราะ​ฉัน​ไม่‍ได้​เป็น​มือ ฉัน​จึง​ไม่​เป็น​อวัยวะ​ของ​ร่าง‍กาย” เท้า​ก็​ไม่​เป็น​อวัยวะ​ของ​ร่าง‍กาย​เพราะ​เหตุ‍นี้​ย่อม​ไม่‍ได้”

       (If the foot should say, “Because I am not a hand, I do not belong to the body,” that would not make it any less a part of the body.)

12:16 “ถ้า​หู​จะ​พูด​ว่า “เพราะ​ฉัน​ไม่‍ได้​เป็น​ตา ฉัน​จึง​ไม่​เป็น​อวัยวะ​ของ​ร่าง‍กาย” หู​ก็​ไม่​เป็น​อวัยวะ​ของ​ร่าง‍กาย​เพราะ​ เหตุ‍นี้​ย่อม​ไม่‍ได้”

             (And if the ear should say, “Because I am not an eye, I do not belong to the body,” that would not make it any less a part of the body. )

12:17 “ถ้า​ร่าง‍กาย​ทั้ง‍หมด​เป็น​ตา การ​ได้‍ยิน​จะ​อยู่​ที่‍ไหน? ถ้า​ร่าง‍กาย​ทั้ง‍หมด​เป็น​หู การ​ดม​กลิ่น​จะ​อยู่​ที่‍ไหน?” 

        (If the whole body were an eye, where would be the sense of hearing? If the whole body were  an ear, where would be the sense of smell?)

12:18 “แต่​พระ‍เจ้า​ทรง​ตั้ง​อวัยวะ​แต่​ละ​อวัยวะ​ไว้​ใน​ร่าง‍กาย​ตาม​ชอบ‍พระ‍ทัย​ของ​พระ‍องค์”

         (But as it is, God arranged the members in the body, each one of them, as he chose. )

12:19 “ถ้า​อวัยวะ​ทั้ง‍หมด​เป็น​อวัยวะ​เดียว ร่าง‍กาย​จะ​มี​ที่‍ไหน?”

           (If all were a single member, where would the body be? ) 

12:20 “ความ​จริง​มี​อวัยวะ​หลาย​อย่าง แต่​ก็​ยัง​เป็น​ร่าง‍กาย​เดียว‍กัน 

     (As it is, there are many parts, yet one body.)

12:21 “และ​ตา​ก็​ไม่​สามารถ​พูด​กับ​มือ​ว่า “ฉัน​ไม่​ต้อง‍การ​เธอ” หรือ​ศีรษะ​จะ​พูด​กับ​เท้า​ว่า “ฉัน​ไม่​ต้อง‍การ​เธอ”

     (The eye cannot say to the hand, “I have no need of you,” nor again the head to the feet, “I have    no need of you.” )

12:22 “แต่​หลายๆ อวัยวะ​ของ​ร่าง‍กาย​ที่​เรา​คิด​ว่า​อ่อน‌แอ​กว่า ก็​ยัง​เป็น​สิ่ง​จำ‍เป็น”

      (On the contrary, the parts of the body that seem to be weaker are indispensable,)

12:23 “อวัยวะ​ของ​ร่าง‍กาย​ที่​เรา​คิด​ว่า​ไร้​เกียรติ เรา​ก็​ยัง​ทำ​ให้​มี​เกียรติ​ยิ่ง‍ขึ้น และ​อวัยวะ​ที่​ควร​ปก‍ปิด เรา​ก็​ทำ​ด้วย​ ความ​สุภาพ​เป็น​พิเศษ”

     (and on those parts of the body that we think less honorable we bestow the greater honor, and  our unpresentable parts are treated with greater modesty,)

12:24 “เพราะ‍ว่า​อวัยวะ​ที่​น่า‍ดู​แล้ว ก็​ไม่​จำ‍เป็น​ต้อง​ตก‍แต่ง​อีก แต่​พระ‍เจ้า​ทรง​จัด‍วาง​ร่าง‍กาย โดย​การ​ประ‌ทาน​เกียรติ​มาก​ยิ่ง‍ขึ้น​แก่​อวัยวะ​ที่​ต่ำ‍ต้อย”

     (which our more presentable parts do not require. But God has so composed the body, giving  greater honor to the part that lacked it,)

12:25 “เพื่อ​ไม่‍ให้​มี​การ​แตก‍แยก​กัน​ใน​ร่าง‍กาย แต่​ให้​อวัยวะ​ต่างๆ มี​ความ​ห่วง‍ใย​แบบ​เดียว‍กัน​ต่อ​กัน​และ​กัน” 

       (that there may be no division in the body, but that the members may have the same care for  one another.)

12:26 “ถ้า​อวัยวะ​หนึ่ง​ทุกข์ อวัยวะ​ทั้ง‍หมด​ก็​ร่วม‍ทุกข์​ด้วย ถ้า​อวัยวะ​หนึ่ง​ได้​รับ​เกียรติ อวัยวะ​ทั้ง‍หมด​ก็​ร่วม​ชื่น‍ชมยินดี​ด้วย”

          (If one member suffers, all suffer together; if one member is honored, all rejoice together.)

12:27 “ส่วน​ท่าน‍ทั้ง‍หลาย​เป็น​กาย​ของ​พระ‍คริสต์ และ​แต่​ละ​อวัยวะ​ก็​เป็น​ส่วน​หนึ่ง​ของ​กาย​นั้น”

       (Now you are the body of Christ and individually members of it.)

12:28 “พระ‍เจ้า​ทรง​ตั้ง​บาง‍คน​ไว้​ใน​คริสต‌จักร คือ​หนึ่ง บรร‌ดา​อัคร‌ทูต สอง บรร‌ดา​ผู้‍เผย‍พระ‍วจนะ สาม บรร‌ดา​อา‌จารย์ ต่อ‍จาก‍นั้น ผู้​ทำ​การ​ด้วย​ฤทธา‌นุ‌ภาพ ต่อ‍จาก‍นั้น ของ‍ประ‌ทาน​ใน​การ​รักษา​โรค พวก​ที่​ให้​ความ​ช่วย‍เหลือ พวก​ผู้‍นำ​และ​พวก​ที่​รู้​ภาษา​แปลกๆ”

      (And God has appointed in the church first apostles, second prophets, third teachers, then   miracles, then gifts of healing, helping, administrating, and various kinds of tongues.)

12:29 “ทุก‍คน​เป็น​อัคร‌ทูต​หรือ? ทุก‍คน​เป็น​ผู้‍เผย‍พระ‍วจนะ​หรือ? ทุก‍คน​เป็น​อา‌จารย์​หรือ? ทุก‍คน​ทำ​การ​ด้วย​ฤทธา‌นุ‌ภาพ​หรือ?” 

               (Are all apostles? Are all prophets? Are all teachers? Do all work miracles? )

12:30 “ทุก‍คน​มี​ของ‍ประ‌ทาน​ใน​การ​รักษา​โรค​หรือ? ทุก‍คน​พูด‍ภาษา‍แปลกๆ หรือ? ทุก‍คน​แปล​ได้​หรือ?”

               (Do all possess gifts of healing? Do all speak with tongues? Do all interpret?)

12:31 “แต่​ท่าน‍ทั้ง‍หลาย​จง​ขวน‍ขวาย​ของ‍ประ‌ทาน​ต่างๆ ที่​ยิ่ง‍ใหญ่​กว่าและ​ข้าพ‌เจ้า​จะ​ชี้​ให้​เห็น​ถึง​ทาง​ที่​ดี​ที่​สุด​แก่​ท่าน‍ทั้ง‍หลาย”

               (But earnestly desire the higher gifts. And I will show you a still more excellent way.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

12:1     “เกี่ยวกับ” ( concerning) = คำถามใหม่ที่ชาวโครินธ์ถามมา (ปท.7:1;8:1;16:1)

“ของประทานจากพระวิญญาณ” (spiritual gifts) = “ของประทานฝ่ายจิตวิญญาณ” (1:7)

12:2     “หลงไปนับถือรูปเคารพซึ่งพูดไม่ได้” (you were led astray to mute idols) = ครั้งหนึ่งชาวโครินธ์เคยถูกอิทธิพลหลายอย่างชักนำให้นมัสการรูปเคารพซึ่งพูดไม่ได้ (8:4-6) แต่ในเวลานี้พวกเขาต้องได้รับการนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์

12:3     “ให้พระเยซูเป็นที่สาปแช่ง” (Jesus is accursed!) –รม.9:3;1คร.16:22

“พระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” (Jesus is Lord) = คนที่ได้บังเกิดใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างจริงใจ จะไม่อาจแช่งด่าพระเยซูได้ (ปท. ยน.20:28;1ยน.4:2-3)

คำกรีกที่ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า” นี้ ใช้เป็นคำแปลพระนามของพระเจ้าในพระคัมภีร์เดิม ฉบับแปลกรีก (เชปทัวจิ้น) ของคำฮีบรูว่า “ยาห์เวห์” (รม.10:9)

12:4-6 “…องค์เดียวกัน” (…same Lord) –วลีนี้ใน 3 ข้อนี้ สะท้อนเรื่องตรีเอกานุภาพ และแสดงถึงความหลากหลายและความเป็นหนึ่งเดียวกันในของประทานฝ่ายพระวิญญาณ

12:5     “การปรนนิบัติ” (service) = งานรับใช้ในชุมชนคริสเตียน เช่น บริการเรื่องอาหาร (กจ.6:2-3) หรือรับใช้เป็นตำแหน่ง เช่น มัคนายก (ฟป.1:1)

12:6     “กิจกรรม” ( activities) = การงาน (ในฉบับอมตธรรม) = พลังในการปฏิบัติการซึ่งให้ผลที่ชัดเจน

12:7     “การสำแดงของพระวิญญาณนั้น พระองค์ประทานแก่แต่ละคนเพื่อประโยชน์ร่วมกัน” (To each is given the manifestation of the Spirit for the common good) = ทุกคนในคริสตจักรได้รับของประทานฝ่ายวิญญาณที่แสดงว่า พระวิญญาณทำงานในชีวิตของเขา และประทานของประทานทุกอย่างเพื่อใช้เสริมสร้างสมาชิกในชุมชนผู้เชื่อนั้น (1ปต.4:10-11) และต้องไม่นำไปหาประโยชน์อย่างที่พวกคริสเตียนส่วนตนเมืองโครินธ์กำลังกระทำอยู่

12:8     “ให้คนหนึ่งมี…และให้อีกคนหนึ่งมี….” (For to one is given …to another the) –แต่ละคนมีของประทาน แต่ไม่ใช่มีเหมือนกันหรือคนเดียว

12:9     “มีความเชื่อ” (faith ) = ไม่ใช่ความเชื่อทำให้รอดซึ่งคริสเตียนทุกคนต้องมีอยู่แล้ว แต่นี่เป็นความเชื่อที่ตอบสนองความต้องการที่เจาะจงภายในคริสตจักร

“มีของประทานในการรักษาโรค” (gifts of healing) = รักษา หายหลายโรค หรือหลากหลายวิธี

12:10   “ทำการด้วยฤทธานุภาพ” (the working of miracles) = ฤทธิ์เดชอันอัศจรรย์ หรือการกระทำที่มีฤทธิ์เดช

= การกระทำราชกิจของพระเจ้าให้บรรลุตามเป้าหมายด้วยวิถีทางที่ไม่ปกติ หรืออาจเกินคาด

          “เผยพระวจนะ” (prophecy) = ข้อความที่พระวิญญาณบริสุทธิ์แจ้งแก่ผู้เชื่อ อาจเป็น 1. คำทำนาย

(กจ.11:28;21:10-11) หรือ 2. การบอกพระประสงค์ของพระเจ้าในเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง

(ปท.14:1-5,29-30;กจ.13:1-2)

“รู้จักสังเกตวิญญาณต่าง ๆ “ (distinguish between spirits) = รู้จักแยะแยะวิญญาณต่าง ๆ เนื่องจากอาจมีคำพยากรณ์เท็จมาจากวิญญาณชั่วได้ ดังนั้น ของประทานนี้จะช่วยคริสตจักรให้แยกแยะความจริงจากความเท็จได้ (ปท.1ยน.4:1-6)

“ภาษาแปลกๆ” (tongues) =อาจเป็นภาษามนุษย์ซึ่งผู้พูดสามารถพูดได้โดยไม่ได้เรียนมาก่อน

(กจ.2:4,6,11;ปท.1คร.14:9-10) หรือ เป็นภาษาสวรรค์ที่ออกมาจากการสรรเสริญและอธิษฐานจากใจ (13:1;14:2,10)

          “แปลภาษานั้นๆ ได้” (the interpretation) = ความสามารถในการสื่อความหมายของสารที่พูดเป็นภาษาแปลกๆ เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจ และได้รับการเสริมสร้าง (ปท.14:5,13,27-28)

12:11   “ตามชอบพระทัยของพระองค์” (he wills)= ตามที่พระเจ้าทรงกำหนดให้แก่ผู้เชื่อแต่ละคน

12:12   “ร่างกายเดียวที่มีหลายๆ อวัยวะ”( the body is one and has many members)= เป็นตัวอย่างของความเป็นหนึ่งท่ามกลางความหลากหลายของของประทานฝ่ายวิญญาณที่แตกต่างกันที่พระเจ้าประทานให้

12:13  “ไม่ว่าเป็นยิวหรือกรีก” (Jews or Greeks) = ไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ หรือวัฒนธรรมในพระคริสต์ (กท.3:28)

“ทาสหรือเสรีชน” (slaves or free) = ไม่มีการแบ่งแยกทางสังคม

“รับบัพติศมาในพระวิญญาณองค์เดียวเข้าเป็นกายเดียวกัน” (one Spirit we were all baptized into one body) –ปท.รม.6:3-4;ยน.3:3,5

= เราเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ เป็นส่วนเดียวกับพระกายของพระองค์ ผ่านการบังเกิดใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (6:19)

12:14-20 –มีการเปรียบเทียบของประทาน และยกย่องของประทานที่เด่นหรือตื่นเต้น ทำให้คนที่ไม่มีของประทานเหล่านั้นดูต่ำต้อย

12:14   -รม.12:4-8, เช่นเดียวกับที่กายของมนุษย์มีความหลากหลายเพื่อทำให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

12:18   -เปาโลเน้นพระประสงค์ของพระเจ้าในการสร้างอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายอย่างหลากหลาย มีนัยว่า การที่พระเจ้าให้คริสเตียนที่แตกต่างกันอยู่ในพระกายของพระคริสต์เพื่อใช้ของประทานที่แตกต่างกันอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

12:21-26 –เป็นคำเตือนสติคนที่รู้สึกว่า ของประทานของตนนั้นโดดเด่นและสำคัญกว่าของคนอื่น

12:22   “อวัยวะของร่างกายที่เราคิดว่าอ่อนแอกว่าก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น” (the parts of the body that seem to be weaker are indispensable) = อวัยวะที่อ่อนแอว่าหรือดูสำคัญน้อยก็ขาดไม่ได้

12:23   “เราก็ยังทำให้มีเกียรติยิ่งขึ้น” (we bestow the greater honor)= เราควรให้เกียรติแก่สมาชิกที่มีของประทานที่ดูธรรมดาให้มากขึ้นเป็นพิเศษ

12:25   “เพื่อไม่ให้มีการแตกแยกกันในร่างกาย” (no division in the body) -1:10-12

12:26   “อวัยวะทั้งหมดก็ร่วมทุกข์ด้วย” (member suffers) –ในคริสตจักร ถ้าพี่น้องคริสเตียนคนหนึ่งเป็นทุกข์สมาชิกทั้งหมดก็จะได้รับผลกระทบให้ทุกข์ตามไปด้วย (กจ.12:1-5)

12:27   “ท่านทั้งหลายเป็นกายของพระคริสต์” ( you are the body of Christ)= คริสตจักรท้องถิ่นแต่ละแห่งและคริสตจักรสากลต่างก็ล้วนเป็นพระกายของพระคริสต์

12:28   -อ.เปาโลกล่าวถึงของประทาน 3 อย่างจาก เอเฟซัส 4:11 ต่อด้วยของประทานอีก 5 อย่างจากในข้อ 8-10

-อัครทูตและผู้เผยพระวจนะเป็นส่วนหนึ่งของรากฐานของคริสตจักร (มธ.16:18;อฟ.2:20)

“คือหนึ่ง…สอง…สาม…” (first … second … third….) = แสดงถึงลำดับความสำคัญของของประทานในคริสตจักรของอัครฑูต ผู้เผยพระวจนะ และบรรดาอาจารย์

“ต่อจากนั้น” (then) = จากนั้น ของประทานที่ตามมาก็ล้วนสำคัญเหมือนดัน

12:29-30 “ทุกคนเป็น…หรือ?” (Are all…?) = คริสเตียนมีของประทานแตกต่างกัน ไม่มีใครมีของประทานทุกอย่างและไม่มีของประทานใดอยู่ในทุก ๆ คน

12:31   “…จงขวนขวายของประทานต่าง ๆ ที่ยิ่งใหญ่กว่า” (earnestly desire the higher gifts) –14:1-5     ชาวโครินธ์ยกระดับสถานภาพของตนผ่านของประทานที่เขาเห็นว่า สำคัญกว่า

“ทางที่ดีที่สุดแก่ท่านทั้งหลาย” ( a still more excellent way) = การแสดงหนทางที่ถูกต้องในการใช้ของประทานฝ่ายจิตวิญญาณ นั่นคือ ทางแห่งความรัก ซึ่งเป็นผลของพระวิญญาณ (กท.5:22)

 

คำถามนำอภิปราย

  1. ใครมีประสบการณ์กับการนับถือรูปเคารพบ้าง? อย่างไร? ให้แบ่งปัน
  2. คุณเชื่อว่า คุณมีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในชีวิตของคุณแล้วหรือไม่? ทำไมคุณคิดเช่นนั้น?
  3. คุณมั่นใจว่า คุณมีของประทานอะไรในชีวิตของคุณ? คุณรู้ได้อย่างไร?
  4. คุณกำลังใช้ของประทานอะไรบ้างในการก่อประโยชน์ร่วมกันให้แก่คริสตจักรและสมาชิก? อย่างไร?
  5. ในคริสตจักรที่คุณอยู่ คุณได้รับประโยชน์จากของประทานเรื่องอะไร? จากผู้ใดมากที่สุด? อย่างไร?
  6. หากคุณขอของประทานจากพระเจ้าได้ คุณอยากได้ของประทานอะไร? ทำไมคุณจึงอยากขอเช่นนั้น?
  7. คุณรู้สึกว่า คุณเป็นส่วนหนึ่งในคริสตจักรที่คุณอยู่อย่างเต็มเปี่ยมหรือไม่? ทำไม?
  8. คุณเคยมีประสบการณ์กับการรู้สึกว่า คุณมีความสำคัญมากกว่าคนอื่น ๆ ในคริสตจักรหรือไม่? ทำไม?
  9. คุณเคยรู้สึกว่า คุณไม่สำคัญอะไรต่อคริสตจักรเลยบ้างหรือไม่? แล้วผลเป็นอย่างไร?
  10. คุณเคยรู้สึกร่วมเจ็บปวดไปกับคนบางคนในคริสตจักรอย่างกายเดียวกันบ้างหรือไม่? (แบ่งปัน)

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1โครินธ์ บทที่ 11

นมัสการและมหาสนิท

พระธรรม        1โครินธ์ 11:1-34

อ้างอิง             1คร.4:16;ฟป.3:17;ปฐก.1:26-27;2:18-23;อพย.24:6-8;ยรม.31:31-34

บทนำ              เราต้องทำตามคำสอนในพระคัมภีร์ที่มีพระเยซูคริสต์กับสาวกของพระองค์เป็นแบบอย่างให้เราทำตาม!

บทเรียน

11:1 “ท่านทั้งหลายจงทำตามแบบอย่างของข้าพเจ้า เหมือนกับที่ข้าพเจ้าทำตามแบบอย่างของพระคริสต์”

       (Be imitators of me, as I am of Christ.)

11:2 “ข้าพ‌เจ้า​ขอ​ชม​ท่าน‍ทั้ง‍หลาย​เพราะ​ท่าน​ระลึก‍ถึง​ข้าพ‌เจ้า​ใน​ทุก​เรื่อง และ​รักษา​คำ‍สอน​สืบ‍ทอด​ต่างๆ ตาม​ที่​ข้าพ‌เจ้า​มอบ​ไว้​กับ​ท่าน”

     (Now I commend you because you remember me in everything and maintain the traditions even as I delivered them to you.)

11:3 “แต่​ข้าพ‌เจ้า​ต้อง‍การ​ให้​พวก‍ท่าน​เข้า‍ใจ​ว่า พระ‍คริสต์​ทรง​เป็น​ศีรษะ​ของ​ชาย​ทุก‍คน และ​ชาย​เป็น​ศีรษะ​ของ​หญิง และ​พระ‍เจ้า​เป็น​พระ‍เศียร​ของ​พระ‍คริสต์”

       (But I want you to understand that the head of every man is Christ, the head of a wife is her husband, and the head of Christ is God. )

11:4 “ผู้‍ชาย​ทุก​คน​ที่​อธิษ‌ฐาน​หรือ​เผย‍พระ‍วจนะ​โดย​มี​ผ้า​บน​ศีรษะ ก็​ทำ​ความ​อับอาย​แก่​ศีรษะ​ของ​เขา”

         (Every man who prays or prophesies with his head covered dishonors his head, )

11:5 “แต่​ผู้‍หญิง​ทุก​คน​ที่​อธิษ‌ฐาน​หรือ​เผย‍พระ‍วจนะ​โดย​ไม่​คลุม​ศีรษะ ก็​ทำ​ความ​อับอาย​แก่​ศีรษะ​ของ​เธอ เพราะ​เหมือน​กับ​ว่า​เธอ​ได้​โกน​ผม​เสีย​แล้ว”

        (but every wife who prays or prophesies with her head uncovered dishonors her head, since it is the same as if her head were shaven.)

11:6 “เพราะ​ว่า​ถ้า​ผู้‍หญิง​ไม่​คลุม​ศีรษะ ก็​ควร​จะ​ตัด​ผม​เสีย แต่​ถ้า​การ​ตัด​ผม​หรือ​โกน​ผม​เป็น​เรื่อง​น่า‍อับอาย​ของ​ผู้‍หญิง จง​คลุม​ศีรษะ​เสีย”

      (For if a wife will not cover her head, then she should cut her hair short. But since it is disgraceful for a wife to cut off her hair or shave her head, let her cover her head. )

11:7 “ผู้‍ชาย​ไม่​สม‍ควร​คลุม​ศีรษะ​เพราะ‍ว่า​ผู้‍ชาย​เป็น​พระ‍ฉายา​และ​พระ‍รัศมี​ของ​พระ‍เจ้า ส่วน​ผู้‍หญิง​นั้น​เป็น​รัศมี​ของ​ผู้‍ชาย”

      (For a man ought not to cover his head, since he is the image and glory of God, but woman is the glory of man. ) 

11:8 “(เพราะ‍ว่า​ผู้‍ชาย​ไม่‍ได้​มา​จาก​ผู้‍หญิง แต่​ผู้‍หญิง​มา​จาก​ผู้‍ชาย”

        (For man was not made from woman, but woman from man.)

11:9 “และ​ไม่‍ได้​ทรง​สร้าง​ผู้‍ชาย​เนื่อง‍เพราะ​ผู้‍หญิง แต่​ทรง​สร้าง​ผู้‍หญิง​เนื่อง‍เพราะ​ผู้‍ชาย)”

              (Neither was man created for woman, but woman for man.)

11:10 “เพราะ‍เหตุ‍นี้​เอง ผู้‍หญิง​จึง​สม‍ควร​จะ​มี​สัญ‌ลักษณ์​แห่ง​สิทธิ‍อำนาจ​นี้​อยู่​บน​ศีรษะ เพราะ​เห็น​แก่​พวก​ทูต‍สวรรค์”

             (That is why a wife ought to have a symbol of authority on her head, because of the angels.)

11:11 “(แต่​อย่าง‍ไร​ก็​ดี ใน​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า ผู้‍ชาย​ก็​ขาด​ผู้‍หญิง​ไม่‍ได้ และ​ผู้‍หญิง​ก็​ขาด​ผู้‍ชาย​ไม่‍ได้”

             (Nevertheless, in the Lord woman is not independent of man nor man of woman; )

11:12 “เพราะ‍ว่า​เช่น​เดียว​กับ​ที่​ผู้‍หญิง​มา​จาก​ผู้‍ชาย ผู้‍ชาย​ก็​มา​โดย​ผู้‍หญิง​เช่น‍กัน แต่​ทุก‍สิ่ง​ก็​มา​จาก​พระ‍เจ้า)”

         (for as woman was made from man, so man is now born of woman. And all things are from God.)

 11:13 “ท่าน‍ทั้ง‍หลาย​จง​ตัด‍สิน​เอง​ว่า การ​ที่​ผู้‍หญิง​ไม่​คลุม​ศีรษะ​เมื่อ​อธิษ‌ฐาน​ต่อ​พระ‍เจ้า​นั้น​สม‍ควร​หรือ?”

         (Judge for yourselves: is it proper for a wife to pray to God with her head uncovered? )

11:14 “ธรรม‍ชาติ​เอง​ก็​สอน​ท่าน​ว่า ถ้า​ผู้‍ชาย​ไว้​ผม‍ยาว​ก็​เป็น​เรื่อง​น่า‍อาย​ของ​เขา​ไม่​ใช่​หรือ?”

        (Does not nature itself teach you that if a man wears long hair it is a disgrace for him,)

11:15 “แต่​ถ้า​ผู้​หญิง​ไว้​ผม‍ยาว​ก็​เป็น​ศักดิ์‍ศรี​ของ​เธอ เพราะ‍ว่า​ผม​เป็น​สิ่ง​ที่​ประ‌ทาน​ให้​แก่​เธอ​เพื่อ​คลุม​ศีรษะ”

         (but if a woman has long hair, it is her glory? For her hair is given to her for a covering. 

11:16 “แต่​ถ้า​ใคร​คิด​จะ​โต้‍แย้ง เรา​และ​คริสต‌จักร​ต่างๆ ของ​พระ‍เจ้า​ก็​ไม่​รับ​ธรรม‌เนียม​ดัง​กล่าว​นี้”

       (If anyone is inclined to be contentious, we have no such practice, nor do the churches of  God.)

11:17 “ใน​การ​กำ‍ชับ​ต่อ‍ไป‍นี้ ข้าพ‌เจ้า​ชม​พวก‍ท่าน​ไม่‍ได้ คือ​ว่า​การ​ชุม‌นุม​กัน​ของ​ท่าน​มัก​จะ​ได้​ผล​เสีย​มาก​กว่า​ผล‍ดี”

     (But in the following instructions I do not commend you, because when you come together it is not for the better but for the worse. )

11:18 “ประ‌การ​แรก ข้าพ‌เจ้า​ได้‍ยิน​ว่า เมื่อ​มา​ชุม‌นุม​กัน​ใน​คริสต‌จักร พวก‍ท่าน​มี​การ​แตก‍แยก​กัน และ​ข้าพ‌เจ้า​เชื่อ​ว่าคง​มี​ส่วน​ที่​เป็น​จริง” 

    (For, in the first place, when you come together as a church, I hear that there are divisions among you. And I believe it in part,)

11:19 “เพราะ​จะ​ต้อง​มี​การ​ขัด‍แย้ง​กัน​ใน​พวก‍ท่าน เพื่อ​ฝ่าย​ถูก​ใน​พวก‍ท่าน​จะ​ปรา‌กฎ”

   (for there must be factions among you in order that those who are genuine among you may be recognized.)

11:20 “เมื่อ​ท่าน‍ทั้ง‍หลาย​มา​ชุม‌นุม​พร้อม​กัน​นั้น จึง​ไม่​ใช่​การ​กิน​ใน​งาน​เลี้ยง​ของ​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า”

         (When you come together, it is not the Lord’s supper that you eat.)

11:21 “เพราะ‍ว่า​ใน​การ​กิน​อาหาร​นั้น แต่‍ละ‍คน​ต่าง​กิน​อาหาร​ของ​ตน​ก่อน บ้าง​ก็​ยัง​หิว​อยู่ และ​บ้าง​ก็​เมา”
(For in eating, each one goes ahead with his own meal. One goes hungry, another gets drunk.)

11:22 “อะไร​กัน​นี่ พวก‍ท่าน​ไม่‍มี​บ้าน​ที่​จะ​กิน​และ​ดื่ม​หรือ? หรือ​ว่า​ท่าน​ดู‍หมิ่น​คริสต‌จักร​ของ​พระ‍เจ้า และ​สร้าง​ความ​อับอาย​ให้​กับ​คน​ที่​ขัด‍สน จะ​ให้​ข้าพ‌เจ้า​พูด​อย่าง‍ไร? จะ​ให้​ชม​พวก‍ท่าน​หรือ? ข้าพ‌เจ้า​ไม่​ขอ​ชม​ท่าน​ใน​เรื่อง‍นี้​เลย”

    (What! Do you not have houses to eat and drink in? Or do you despise the church of God and humiliate those who have nothing? What shall I say to you? Shall I commend you in this? No, I will not.)

11:23 “เพราะ‍ว่า​เรื่อง​ซึ่ง​ข้าพ‌เจ้า​มอบ​ไว้​กับ​พวก‍ท่าน​นั้น ข้าพ‌เจ้า​ได้​รับ​จาก​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า คือ​ใน​คืน​ที่​เขา​ทรยศ​พระ‍เยซู​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า พระ‍องค์​ทรง​หยิบ​ขนม‍ปัง”

   (For I received from the Lord what I also delivered to you, that the Lord Jesus on the night when he was betrayed took bread,)

11:24 “เมื่อ​ขอบ‍พระ‍คุณ​แล้ว​จึง​ทรง​หัก และ​ตรัส​ว่า “นี่​เป็น​กาย​ของ​เรา ซึ่ง​ให้​แก่​ท่าน‍ทั้ง‍หลาย จง​ทำ​อย่าง‍นี้​เพื่อ​ระลึก‍ถึง​เรา” 

    (and when he had given thanks, he broke it, and said, “This is my body which is for you. Do this in remembrance of me.”)

11:25 “หลัง‍จาก​รับ‍ประ‌ทาน​อาหาร​แล้ว พระ‍องค์​ทรง​หยิบ​ถ้วย​ด้วย​อา‌กัป‌กิริยา​เดียว‍กัน ตรัส​ว่า “ถ้วย​นี้​คือ​พันธ‌สัญญา​ใหม่ โดย​โลหิต​ของ​เรา จง​ทำ​อย่าง‍นี้ คือ​เมื่อ​ใด​ที่​พวก‍ท่าน​ดื่ม​จาก​ถ้วย​นี้ จง​ดื่ม​เพื่อ​ระลึก‍ถึง​เรา” 

      (In the same way also he took the cup, after supper, saying, “This cup is the new covenant in  my blood. Do this, as often as you drink it, in remembrance of me.” )

11:26 “เพราะ‍ว่า​เมื่อ​ใด​ที่​พวก‍ท่าน​กิน​ขนม‍ปัง​และ​ดื่ม​จาก​ถ้วย​นี้ ท่าน​ก็​ประ‌กาศ​การ​วาย‍พระ‍ชนม์​ของ​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า จน‍กว่า​พระ‍องค์​จะ​เสด็จ​มา”

         (For as often as you eat this bread and drink the cup, you proclaim the Lord’s death until he comes.)

11:27 “ฉะนั้น​ถ้า​ใคร​กิน​ขนม‍ปัง หรือ​ดื่ม​จาก​ถ้วย​ของ​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า​อย่าง​ไม่​เหมาะ‍สม เขา​ก็​ทำ​ผิด​ต่อ​พระ‍กาย​และ​พระ‍โลหิต​ของ​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า”

    (Whoever, therefore, eats the bread or drinks the cup of the Lord in an unworthy manner will be guilty concerning the body and blood of the Lord. )

11:28 “ทุก‍คน​จง​สำรวจ​ตัว​เอง แล้ว​จึง​กิน​ขนม‍ปัง​และ​ดื่ม​จาก​ถ้วย​นี้”

          (Let a person examine himself, then, and so eat of the bread and drink of the cup.)

11:29 “เพราะ‍ว่า​คน​ที่​กิน​และ​ดื่ม​โดย​ไม่‍ได้​ตระ‌หนัก​ถึง​พระ‍กาย​ของ​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า ก็​กิน​และ​ดื่ม​เป็น​เหตุ​ให้​ตน‍เอง​ถูก​ลง‍โทษ”

      (For anyone who eats and drinks without discerning the body eats and drinks judgment on  himself.)

11:30 “เพราะ‍เหตุ‍นี้​พวก‍ท่าน​หลาย​คน​จึง​อ่อน‌แอ​และ​เจ็บ‍ป่วย และ​บ้าง​ก็​ล่วง‍หลับ​ไป”

       (That is why many of you are weak and ill, and some have died.)

 11:31 “แต่​ถ้า​เรา​วินิจ‌ฉัย​ตัว​เอง เรา​คง​ไม่​ต้อง​ถูก​พิพาก‌ษา”

         (But if we judged ourselves truly, we would not be judged. )

11:32 “เมื่อ​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า​ทรง​พิพาก‌ษา​เรา​นั้น พระ‍องค์​ทรง​ตี‍สอน​เรา เพื่อ​ไม่‍ให้​เรา​ถูก​พิพาก‌ษา​ด้วย‍กัน​กับ​โลก”

       (But when we are judged by the Lord, we are disciplined so that we may not be condemned along with the world.)

11:33 “ฉะนั้น​พี่‍น้อง​ของ​ข้าพ‌เจ้า เมื่อ​ท่าน‍ทั้ง‍หลาย​มา​ชุม‌นุม​กัน​เพื่อ​รับ‍ประ‌ทาน​อาหาร​นั้น จง​รอ​กัน​และ​กัน”

      (So then, my brothers, when you come together to eat, wait for one another)

11:34 “ถ้า​มี​ใคร​หิว ก็​ให้​กิน​ที่​บ้าน​ก่อน เพื่อ​ว่า​เมื่อ​มา​ชุม‌นุม​กัน พวก‍ท่าน​จะ​ไม่​ถูก​ลง‍โทษ ส่วน​เรื่อง​อื่นๆ นั้น ข้าพ‌เจ้า​จะ​สั่ง‍สอน​เมื่อ​ข้าพ‌เจ้า​มา”
     (if anyone is hungry, let him eat at home—so that when you come together it will not be for judgment. About the other things I will give directions when I come.)

ข้อมูลมีประโยชน

11:1    “จงทำตามแบบอย่างของข้าพเจ้า” ( Be imitators of me) –1คร.4:16;ฟป.3:17

อ.เปาโลทำตามแบบอย่างของพระเยซูคริสต์ และเรียกร้องให้ทุกคนทำตามแบบอย่างของท่าน –1ปต.2:21

11:3-16 = ภาพของการวางตัวให้เหมาะสมในการนมัสการพระเจ้า อ.เปาโล เห็นว่าความสัมพันธ์ที่เหมาะสมระหว่างสามีภรรยา ควรสะท้อนออกมาในการประชุมนมัสการของคริสตจักรที่ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า (1คร.10:31)

11:3     “ศีรษะ” (the head ) –มีการตีความหลายอย่าง หมายถึง

  1. เกียรติ (ข.4-5) –เหมือนพระเยซูคริสต์ถวายเกียรติแด่พระบิดา ผู้ชายต้องถวายเกียรติแด่พระคริสต์ ผู้หญิงก็ต้องให้เกียรติสามี
  2. สิทธิอำนาจ (อฟ.1:21-22;5:22-23) ที่ต้องยอมเชื่อฟัง (คส.1:18;2:10)

-พระคริสต์มีสิทธิอำนาจเหนือผู้ชาย ผู้ชายต้องถวายพระเกียรติพระองค์ สามีอยู่ในตำแหน่งแห่งสิทธิอำนาจและภรรยาต้องยอมฟัง (15:28)

11:4     “ศีรษะ” (his head) –คำแรกที่ใช้ในข้อนี้ หมายถึง “ศีรษะ” ของผู้ชาย คำที่สอง หมายถึง “ศีรษะฝ่ายจิตวิญญาณ” (พระคริสต์) หรืออาจตั้งใจสื่อทั้งสองความหมาย

-ในสมัยของ อ.เปาโล มีวัฒนธรรมที่ผู้ชายไม่คลุมศีรษะในการนมัสการ เพื่อเป็นเครื่องหมายถึงการเคารพยำเกรงพระเจ้า เพราะฉะนั้น เมื่อผู้ชายอธิษฐาน หรือเผยพระวจนะ โดยการคลุมศีรษะ ก็เท่ากับว่า เขาไม่ให้เกียรติพระเจ้า

11:5-6 = เป็นวัฒนธรรมประเพณีที่ผู้หญิงควรแสดงความเคารพนับถือ เชื่อฟังในสิทธิอำนาจของสามี โดยการคลุมศีรษะในขณะที่นมัสการพระเจ้าในที่สาธารณะ และดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้าด้วย

-โดยตามลำดับการทรงสร้าง ผู้ชายถูกสร้างก่อนจึงสมควรมีสิทธิ์อำนาจเหนือภรรยา (ข.7-9;1ทธ.2:11-14) ภรรยาถูกสร้างมาจากกายของผู้ชาย (ปฐก.2:12-24) เพื่ออยู่เคียงข้างเป็นผู้ช่วยและเป็นเพื่อนของเขา (ปฐก.2:20) และเธอต้องให้เกียรติสามี โดยยอมเชื่อฟังเขาในฐานะที่เป็นศีรษะของเธอ (ข.3)

11:10   “สัญลักษณ์แห่งสิทธิอำนาจ” (have a symbol of authority) = สิทธิอำนาจของผู้ชายที่ผู้หญิงควรยอมรับ และแสดงออกผ่านการคลุมศีรษะ

-แต่บางคนตีความว่า หมายถึง สิทธิอำนาจของผู้หญิงที่มีฐานะร่วมปกครองกับผู้ชาย (ปฐก.1:26-27) บางคนถึงกับตีความว่า การคลุมศีรษะของผู้หญิงเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องให้พ้นจากอำนาจของทูตสวรรค์ที่ตกต่ำ

“พวกฑูตสวรรค์” (the angels) –ทูตสวรรค์สนใจในเรื่องชีวิตคริสเตียน รวมทั้งความรอดและการนมัสการ (อฟ.3:10)

11:13-14 “…สมควรหรือ? ธรรมชาติเองก็สอนท่านว่า” (..is it proper … Does not nature itself teach you that..) = ผู้เชื่อต้องสำรวจดูว่า การประพฤติของตนนั้น ให้เกียรติและสอดคล้องกับวัฒนธรรมที่ยอมรับกันอยู่หรือไม่?

11:16   “…เราและคริสตจักรต่าง ๆ ของพระเจ้าก็ไม่รับธรรมเนียมดังกล่าวนี้” (we have no such practice, nor do the churches of God) = ในสมัยของเปาโล คริสตจักรมีธรรมเนียมปฏิบัติในการนมัสการ คือ ผู้ชายไว้ผมสั้น และผู้หญิงไว้ผมยาว (ข.13-16)

11:17   “ชมพวกท่านไม่ได้” (I do not commend you) = แตกต่างจากในข้อ 2

11:18   “พวกท่านมีการแตกแยกกัน” (there are divisions among you) = เปาโลจัดการกับเรื่องแบ่งพรรคแบ่งพวกเช่นนี้มาส่วนหนึ่งแล้ว ใน 1:10-17

11:19   “…ต้องมีการขัดแย้งกันในพวกท่าน เพื่อฝ่ายถูก…จะปรากฏ” (… must be factions among you in order that those who are genuine among you may be recognized) -.ในฉบับอมตธรรมแปลว่า

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในพวกท่านย่อมมีข้อแตกต่างกัน เพื่อจะแสดงให้เห็นว่า ฝ่ายไหนที่พระเจ้าทรงเห็นชอบด้วย”

= แม้ว่าความแตกแยกจะเป็นสิ่งไม่ดี แต่ก็มีผลดีอย่างหนึ่ง คือ ช่วยแยกแยะว่า ใครสัตย์ซื่อ และจริงใจใน

สายพระเนตรของพระเจ้า

11:20   “ไม่ใช่การกินในงานเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้า” ( it is not the Lord’s supper that you eat) = ถูกลบหลู่ เพราะความตะกละและการเลือกปฏิบัติ

11:21   “บ้างก็ยังหิว และบ้างก็เมา” (One goes hungry, another gets drunk) = คริสตจักรยุคแรกจัดงานแบบ “งานเลี้ยงผูกรัก” ที่เรียกว่า “อากาเป้” (2ปต.2:13;ยด 12) โดยแต่ละคนนำอาหารมาทานร่วมกันคนละอย่างสองอย่าง

ปกติคนรวยก็เอามามากหน่อย คนจนก็นำมาเท่าที่มี แต่เนื่องจากมีการแบ่งพรรคแบ่งพวก ทำให้คนรวยกินมากและคนจนไม่พอกินให้อิ่ม

11:22   “จะให้ชมพวกท่านหรือ?” (Shall I commend you in this?) ดูข้อ17

11:23-26 –ให้ลองเปรียบเทียบความคล้ายคลึงของสิ่งที่เปาโลเขียนในตอนนี้กับ มธ.26:26-29;มก.14:22-25 และ ลก.22:17-20

11:23   “ข้าพเจ้าได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า” (I received from the Lord ) = อาจได้รับจากคนที่เคยได้ยินมาจากพระเยซูอีกต่อหนึ่ง (15:3;7:10)

11:24   “เมื่อขอบคุณพระเจ้าแล้ว” (when he had given thanks ) = ธรรมเนียมปฏิบัติของคนยิวเวลารับประทานอาหารจะขอบคุณพระเจ้า

“พิธีมหาสนิท” เดิมเรียกว่า Eucharist” แปลว่า “การขอบพระคุณ”

“นี่เป็นกายของเรา” (This is my body) = ขนมปังที่ถูกหักออกมาเป็นสัญลักษณ์ของพระกายของพระเยซูคริสต์ซึ่งสละเพื่อไถ่บาปเรา (ลก.22:19)

“จงทำอย่างนี้เพื่อระลึกถึงเรา” (Do this in remembrance of me ) = เหมือนที่เทศกาลปัสกา เป็นมื้ออาหารที่รำลึกถึงการไถ่ชาวอิสราเอล โดยลูกแกะต้องถูกฆ่าตาย (อพย.12:14)

อาหารเย็นมื้อสุดท้ายของพระเยซูคริสต์กับสาวกก็เป็นมื้ออาหารที่รำลึกถึงการตายของพระเยซูคริสต์ เพื่อไถ่บาปของมนุษย์เช่นกัน

11:25   “หลังจากรับประทานอาหารแล้ว” (after supper) = หลังอาหารมื้อปัสกา พระเยซูทรงเริ่มต้นการฉลองพิธีมหาสนิทเป็นครั้งแรก โดยโยงให้เกี่ยวข้องกับมื้ออาหารปัสกา (ปท. มธ.26:18-30)

“ถ้วย” ( cup) = เป็นเครื่องหมายของพันธสัญญาใหม่ผ่านทางโลหิตของพระเยซูคริสต์ (มก.14:24; ลก.22:20;ยรม.31:31-34) โดยมีพันธสัญญาเดิม คือ พันธสัญญาของโมเสส (หรือพันธสัญญาที่ซีนาย)

–อยพ.24:3-8)

-การใช้ถ้วยเป็นเครื่องหมายของพันธสัญญานี้ สื่อถึงการประทานความรอดของพระเจ้าต่อประชากรของพระองค์ ซึ่งประทับตราด้วยโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งไหลออกมา

11:26   “เมื่อใดที่พวกท่านกินขนมปัง และดื่มจากถ้วยนี้” (often as you eat this bread and drink the cup) = คำแนะนำให้มีการจัดทำพิธีนี้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ

“ท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า”(you proclaim the Lord’s death) = ไม่มีการทำพิธีมหาสนิท โดยไม่ประกาศเรื่องการที่พระคริสต์ทรงถูกตรึงตายไถ่บาปเรา (1:23;2:2)

“จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา” ( until he comes) – มธ.26:29

11:27   “อย่างไม่เหมาะสม” (unworthy manner ) = อย่างไม่สมควรคือ ไม่เคารพยำเกรง และเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง เป็นท่าทีของหลายคนที่รับประทานในงานเลี้ยงผูกรัก(อากาเป้) อย่างวุ่นวายไร้ระเบียบ (ข้อ20-22)

11:28   “ทุกคนจงสำรวจตัวเอง” (Let a person examine himself) = ต้องตรวจสอบท่าทีในใจและการกระทำของตัวเอง รวมถึงระลึกถึงความสำคัญของพิธีมหาสนิท พิธีจึงจะมีความหมายฝ่ายจิตวิญญาณที่แสดงถึงพระคุณของพระเจ้า

11:29   “โดยไม่ตระหนักถึงพระกายขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (without discerning the body)

          “พระกาย” ในที่นี้อาจมีความหมาย

  1. พระกายของพระเยซูคริสต์จริง ๆ
  2. คริสตจักรในฐานะพระกายของพระเยซูคริสต์ (12:13,27)

-ในกรณีแรกหมายความว่า มีบางคนรับพิธีมหาสนิทโดยไม่ระลึกถึงพระกายของพระเยซูคริสต์ ที่ถูกตรึงตายไถ่บาปของเขา

ในกรณีที่สองหมายความว่า ผู้เข้าร่วมพิธีนี้ ไม่ตระหนักว่า คริสตจักรคือ พระกายของพระเยซูคริสต์ ทำให้เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง (ตามข้อ 20-21)

“เป็นเหตุให้ตนเองถูกลงโทษ” (judgment on himself) –ไม่ใช่การลงโทษโดยการพิพากษานิรันดร์ของพระเจ้าที่มีต่อผู้ที่ไม่เชื่อ และไม่รับการช่วยเหลือของพระเยซูคริสต์ แต่เป็นการตีสอนของพระเจ้าที่ทำให้เจ็บป่วยหรือตายต่อผู้เชื่อแล้ว (ข.30)

11:30   “ล่วงหลับไป” (died) –ยน.11:11

11:32   “ตีสอน” (judged) = พระเจ้าตีสอนเราในฐานะที่เราเป็นบุตรจากการไถ่ เสมือนบิดาตีสอนบุตร (ฮบ.12:5-11)

11:33   “ชุมนุมกันเพื่อรับประทานอาหารนั้น” (   come together to eat) = งานเลี้ยงสังสรรค์ผูกรักแบบอากาเป้ (ข.21) ที่ทุกคนควรรู้จักสำรวมและบังคับตนเองให้รู้จักรอรับประทานพร้อมคนอื่น ดังนั้น ถ้าผู้ใดหิวมากก็ควรรับประทานอาหารจากที่บ้านให้อิ่มก่อน เพื่อจะไม่แสดงความเห็นแก่ตัวและการเลือกปฏิบัติในคริสตจักร (ข.34)

คำถามนำอภิปราย

  1. มีอะไรบ้างที่คุณปฏิบัติตามแบบอย่างของพระคริสต์และสามารถเป็นแบบอย่างให้คนอื่นปฏิบัติตามตัวของคุณ?
  2. มีเรื่องอะไรบ้างที่คุณกระทำแล้ว เป็นเรื่องที่พระเจ้าและคนในคริสตจักรชมเชยได้? (แบ่งปัน)
  3. มีธรรมเนียมปฏิบัติอะไรของคริสตจักรที่สืบทอดกันมาที่มักถูกละเลยในคริสตจักรของคุณ? ทำไม?
  4. คุณเคยละเลยหรือขัดขืนหรือปฏิเสธในทางปฏิบัติตนตามธรรมเนียมประเพณีของคริสตจักรบางอย่างที่สืบทอดกันมาบ้าง? ทำไม?
  5. คุณยอมรับคำสอนเรื่องที่ให้ผู้หญิงต้องยอมรับสิทธิอำนาจของผู้ชายได้หรือไม่? ทำไม?
  6. มีธรรมเนียมปฏิบัติเรื่องอะไรของคริสตจักรที่คุณอยากล้มเลิก ทำไม?
  7. มีธรรมเนียมปฏิบัติเรื่องอะไรในคริสตจักรที่คุณคิดว่า ควรรักษาไว้? เพราะอะไร?
  8. มีพิธีมหาสนิทครั้งใดที่มีความหมายต่อคุณมากที่สุด? ทำไม?
  9. คุณเคยมีประสบการณ์หรือปัญหาเกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติหรือการแสดงความเห็นแก่ตัวกันในคริสตจักรจนคุณรับไม่ได้บ้างหรือไม่? (แบ่งปัน)
  10. คุณเคยเข้าร่วมพิธีมหาสนิทโดยไม่ระลึกถึง “พระกาย” ของพระคริสต์บ้างหรือไม่? แล้วผลเป็นอย่างไร?

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนพระคัมภีร์ (แปล) มัทธิวบทที่ 4

 

ยอห์นผู้ให้บัพติศมา และพระเยซู 

(มัทธิว 3:1-17)

คำนำ

หลายปีมาแล้วผมและภรรยานั่งดูรายการโทรทัศน์ถ่ายทอดสดงานประกาศของบิลลี่ เกรแฮมในดัลลัส เท็กซัส มีเพลงร้องนำเพราะๆจากไมเคิล ดับเบิ้ลยู สมิท และวงดนตรีไกเธอร์ โวคัล แบนด์ พอถึงเวลาบิลลี่ เกรแฮมต้องขึ้นพูด ผู้ที่ขึ้นไปกล่าวแนะนำคืออดีตประธานาธิบดีจอร์จ บุช (คนพ่อ) บุชพูดถึงบิลลี่ได้อย่างน่าฟัง พูดถึงความสัตย์ซื่อของท่านในการประกาศข่าวประเสริฐ รวมถึงคำเทศนาที่ท่านเคยเทศน์ให้อดีตประธานาธิบดีคนก่อนๆและครอบครัวฟังมาหลายปี

ถ้าพระเยซูจะไปเทศนาที่สนามฟุตบอลในดัลลัส เท็กซัส คุณว่าใครควรเป็นคนขึ้นไปกล่าวแนะนำพระองค์? ผมแน่ใจว่าคนแรกคงไม่ใช่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาแน่ ที่จริงผมว่าคงไม่มีการนำเสนอชื่อท่านด้วยซ้ำ แต่เราพูดได้ว่าภารกิจในชีวิตของยอห์นคือแนะนำพระเยซูคริสต์ว่าคือพระเมสซิยาห์ตามพระสัญญา ความหวังใจของคนทุกยุคสมัย แต่ใครจะไปคิดว่าพระเจ้าจะเลือกคนอย่างยอห์นผู้ให้บัพติศมาทำภารกิจนี้? ถ้าจะพูดว่ายอห์นนั้นมี “เอกลักษณ์” เฉพาะตัว ก็เป็นการประเมินที่ต่ำไป ท่านเป็นเหมือน “คนป่า” ในถิ่นทุรกันดาร เป็นชายที่ตั้งแต่เด็กไปใช้ชีวิตอยู่ “ในถิ่นทุรกันดาร จนถึงวันที่ท่านจะได้มาปรากฏแก่ชนชาติอิสราเอล” (ลูกา 1:80)66 สวมเสื่อผ้าที่ทำด้วยขนอูฐ อาหารคือจั๊กจั่นและน้ำผึ้งป่า (มัทธิว 3:4) คำพูดของท่านไม่ได้รับการขัดเกลา ทื่อและตรงเป้า แทนที่จะต้อนรับทุกคนที่มาหา ท่านกลับใช้ถ้อยคำโจมตีบางคนด้วยซ้ำ และนี่คือชายที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ให้แนะนำพระบุตรของพระองค์ พระเมสซิยาห์

ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไรเกี่ยวกับยอห์น ไม่มีใครกล้าปฏิเสธความสำเร็จของท่าน นอกจากความเป็นตัวตนของท่านแล้ว ยอห์นดึงดูดฝูงชนมากมาย สิ่งที่ท่านประกาศสร้างผลกระทบยิ่งใหญ่ให้กับผู้คนมากมาย เหมือนกับที่ทูตสวรรค์ได้บอกกับเศคาริยาห์บิดาของท่านทุกประการ:

แต่ทูตองค์นั้นกล่าวแก่ท่านว่า “เศคาริยาห์เอ๋ย อย่ากลัวเลย ด้วยได้ทรงฟังคำอธิษฐานของท่านแล้ว นางเอลีซาเบธ ภรรยาของท่านจะมีบุตรเป็นผู้ชาย และท่านจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่ายอห์น ท่านจะมีความปรีดาและยินดี และคนเป็นอันมากจะเปรมปรีดิ์ที่บุตรนั้นบังเกิดมา เพราะว่าเขาจะเป็นใหญ่จำเพาะพระเจ้า เขาจะไม่กินน้ำองุ่นหมักและเหล้าเลย และจะประกอบไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตั้งแต่ครรภ์มารดา เขาจะนำพงศ์พันธุ์อิสราเอล หลายคนให้หันกลับมาหาพระเจ้าของเขาทั้งหลาย เขาจะนำหน้าพระองค์โดยน้ำใจและ ฤทธิ์เดชของเอลียาห์ ให้พ่อกลับคืนดีกับลูก และคนดื้อด้านให้กลับได้ปัญญา ของคนชอบธรรม เพื่อจัดเตรียมชนชาติหนึ่งไว้ให้สมแก่พระเจ้า” (ลูกา 1:13-17)

ความยิ่งใหญ่ของยอห์นไม่อาจปฏิเสธได้ หนังสือพระกิตติคุณทั้งสี่เล่มต่างก็บันทึกเรื่องพันธกิจของพระเยซูคริสต์โดยมีถ้อยคำของยอห์นนำร่อง พระเยซูคริสต์เองยังตรัสยกย่องท่าน:

“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในบรรดาคนซึ่งเกิดจากผู้หญิงมานั้น ไม่มีผู้ใดใหญ่กว่ายอห์นผู้ให้รับบัพติศมา แต่ว่าผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ก็ยังใหญ่กว่ายอห์นเสียอีก“ (มัทธิว 11:11)

ผู้ชายทุกคนเหมือนกับเฮโรด ไม่ค่อยกล้ายุ่งกับยอห์น ในอีกแง่ เฮโรดอาจกลัวฝูงชน เพราะพวกเขานับถือท่าน (มัทธิว 14:5) แต่ในอีกแง่ เฮโรดเองก็ยำเกรงยอห์น (มาระโก 6:20) ภาพลักษณ์ของยอห์นอาจดูไม่โดดเด่น แถมยังเป็นนักพูดที่ไม่ได้โด่งดัง แต่ที่แน่ๆท่านดึงดูดฝูงชนจำนวนมาก หลายคนทำตามที่ท่านสอน แม้ไม่ได้เดินทางไปไหนไกล แต่เรารู้ว่ามีผู้มาติดตามท่านจากที่ไกลเช่นจากยูเดีย และเอเฟซัส:

มียิวคนหนึ่งชื่ออปอลโล เกิดในเมืองอเล็กซานเดรีย เป็นคนมีโวหารดี และชำนาญมากในทางพระคัมภีร์ ท่านมายังเมืองเอเฟซัส อปอลโลคนนี้ได้รับการอบรมในทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า และมีใจร้อนรนกล่าวสั่งสอนอย่างถูกต้องถึงเรื่องพระเยซู ถึงแม้ท่านรู้แต่เพียงบัพติศมาของยอห์นเท่านั้น (ยอห์น 26) ท่านได้เข้าไปในธรรมศาลาสั่งสอนโดยใจกล้า แต่เมื่อปริสสิลลากับอาควิลลาได้ฟังท่านแล้ว เขาจึงรับท่านมาสั่งสอนให้รู้ทางของพระเจ้าให้ถูกต้องยิ่งขึ้น (กิจการ 18:24-26)

ขณะที่อปอลโลยังอยู่ในเมืองโครินธ์ เปาโลได้ไปตามที่ดอน แล้วมายังเมืองเอเฟซัส ท่านพบสาวกบางคนที่นั่น จึงถามเขาว่า “เมื่อท่านทั้งหลายเชื่อนั้น ท่านได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือเปล่า” เขาตอบว่า “เปล่า เรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเราก็ยังไม่เคยได้ยินเลย” เปาโลจึงถามเขาว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านได้รับบัพติศมาอันใดเล่า” เขาตอบว่า “บัพติศมาของยอห์น” เปาโลจึงว่า “ยอห์นให้รับบัพติศมาสำแดงถึงการกลับใจใหม่ แล้วบอกคนทั้งปวงให้เชื่อในพระองค์ผู้จะเสด็จมาภายหลังคือพระเยซู” เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้น เขาจึงรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูเจ้า เมื่อเปาโลได้วางมือบนเขาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาบนเขา เขาจึงพูดภาษาแปลกๆและได้ทำนายด้วย คนเหล่านั้นมีประมาณสิบสองคน (กิจการ 19:1-7)

ในฐานะผู้เผยพระวจนะ ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นสิ่งแปลกใหม่ในอิสราเอลยุคนั้น เพราะผ่านมาเกือบ 400 ปีที่พระเจ้าไม่ได้ตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะ (ดูอิสยาห์ 29:10) แล้วจู่ๆจากถิ่นทุรกันดารในยูเดียก็มีเสียงป่าวร้องขึ้นมา “จงกลับใจเสียใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” (มัทธิว 3:2) ผู้คนต่างก็แห่ไปที่ถิ่นทุรกันดาร ไปดูและไปฟังท่าน บางคนไปเพราะอยากรู้อยากเห็น ขณะที่บางคนไปเพราะต้องการกลับใจ สารภาพบาป และรับบัพติศมา คนอื่นๆ (เช่นพวกสะดูสิ และฟาริสี มัทธิว 3:7) อาจไปเพราะไปหาแนวร่วมมาต่อต้าน

บทเรียนนี้จะมุ่งไปที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมา พันธกิจของท่าน ข่าวที่ท่านประกาศและวิธีการ ในขณะที่ผู้เขียนพระกิตติคุณแต่ละเล่มเน้นความสำคัญและให้มุมมองที่ต่างกัน ผมตั้งใจให้บทเรียนบทนี้เกี่ยวข้องกับยอห์นผู้ให้บัพติศมาตามมุมองของมัทธิว

ข้อสังเกต

เราควรเริ่มจากตั้งข้อสังเกตในตัวของท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมา

(1) ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นบุคคลที่มีเอกลักษณ์ ที่แน่ๆ เป็นคนที่โดดเด่นท่ามกลางฝูงชน เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่ไม่ต้องการให้ท่านแปดเปื้อนจากวงการศาสนาที่เสื่อมลงในยุคนั้น ท่านเป็นชาวนาซาเร็ธโดยกำเนิด และประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตั้งแต่ครรภ์มารดา (ลูกา 1:15) และตามที่กล่าวไปแล้วเสื้อผ้าและอาหารของท่าน “ตกขอบ” อีกต่างหาก ตั้งแต่เป็นเด็กท่านออกไปอยู่ในทะเลทราย ในถิ่นทุรกันดารของแคว้นยูเดีย แม้จะเกิดในครอบครัวปุโรหิต ท่านไม่ได้ใช้ชื่อตามหรือรับหน้าที่ต่อจากบิดา (ลูกา 1:59-63, 80) และแม้ยอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะ ท่านก็ไม่ได้ทำการอัศจรรย์หรือหมายสำคัญใดๆ:

คนเป็นอันมากพากันมาหาพระองค์ กล่าวว่า “ยอห์นมิได้ทำหมายสำคัญใดๆเลย แต่ทุกสิ่งซึ่งยอห์นได้กล่าวถึงท่านผู้นี้เป็นความจริง” (ยอห์น 10:41)

มันยากที่ผมจะจินตนาการ แต่ยอห์นไม่ได้รู้จักพระเยซูว่าเป็นพระเมสซิยาห์ตามพระสัญญา จนกระทั่งได้ให้บัพติศมาพระองค์ :

วันรุ่งขึ้นยอห์นเห็นพระเยซูกำลังเสด็จมาทางท่าน ท่านจึงกล่าวว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย พระองค์นี้แหละที่ข้าพเจ้าได้กล่าวว่า ‘ภายหลังข้าพเจ้า จะมีผู้หนึ่งเสด็จมาเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า’ ข้าพเจ้าเองก็ไม่ได้รู้จักพระองค์ แต่เพื่อให้พระองค์ทรงเป็นที่ประจักษ์แก่พวกอิสราเอล ข้าพเจ้าจึงได้มาให้บัพติศมาด้วยน้ำ” และยอห์นกล่าวเป็นพยานว่า “ข้าพเจ้าเห็นพระวิญญาณเหมือนดังนกพิราบ เสด็จลงมาจากสวรรค์และทรงสถิตบนพระองค์ ข้าพเจ้าเองไม่รู้จักพระองค์ แต่พระองค์ทรงใช้ให้ข้าพเจ้าให้บัพติศมาด้วยน้ำ ได้ตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘เมื่อเจ้าเห็นพระวิญญาณเสด็จลงมาสถิตอยู่บนผู้ใด ผู้นั้นแหละเป็นผู้ให้บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์’ และข้าพเจ้าก็ได้เห็นแล้วและได้เป็นพยานว่า พระองค์นี้แหละเป็นพระบุตรของพระเจ้า” (ยอห์น 1:29-34)67

(2) มัทธิว (และผู้เขียนพระกิตติคุณเล่มอื่นๆ) ระมัดระวังในการเชื่อมโยงยอห์นเข้ากับพระคัมภีร์เดิม ในพระกิตติคุณสี่เล่ม แต่ละเล่มยอห์นคือผู้ที่เป็น “เสียงหนึ่งร้องว่า” (อิสยาห์ 40):

เสียงหนึ่งร้องว่า

“จงเตรียมมรรคาแห่งพระเจ้าในถิ่นทุรกันดาร”

“จงทำทางหลวงสำหรับพระเจ้าของเรา” (อิสยาห์ 40:3) ที่นำมาใช้ในมัทธิว 3:3 ดูมาระโก 1:3 ด้วย

ลูกา 3:4-6; ยอห์น 1:23

เจาะลงไป เราจะเห็นมัทธิวโยงยอห์นเข้ากับเอลียาห์68 โดยเฉพาะลักษณะของท่าน ใน 2พงศ์กษัตริย์ 1 อาหัสยาห์โอรสอาหับ ตกลงมาจากช่องพระแกลตาข่ายและบาดเจ็บ อยากรู้ว่าตัวเองจะหายมั้ย จึงส่งผู้สื่อสารไปสอบถามบาอัลเซบุบ เอลียาห์เข้ามาขวางผู้สื่อสารนี้ ส่งพวกเขากลับไปหาอาหัสยาห์พร้อมคำตำหนิ ลองดูท่าทีตอบสนองของอาหัสยาห์เมื่อผู้สื่อสารกลับมา:

ผู้สื่อสารนั้นก็กลับมาเฝ้าพระราชา พระองค์ตรัสถามเขาทั้งหลายว่า “ทำไมพวกเจ้าจึงพากันกลับมา” และเขาทั้งหลายทูลพระองค์ว่า “มีชายคนหนึ่งมาพบกับพวกข้าพระบาท และพูดกับพวกข้าพระบาทว่า ‘จงกลับไปหาพระราชาผู้ใช้ท่านมา และทูลพระองค์ว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เพราะไม่มีพระเจ้าในอิสราเอลแล้วหรือ เจ้าจึงใช้คนไปถามพระบาอัลเซบูบพระเจ้าแห่งเอโครน เพราะฉะนั้นเจ้าจะไม่ได้ลงมาจากที่นอนซึ่งเจ้าได้ขึ้นไปนั้น แต่เจ้าจะต้องตายแน่'” พระองค์ตรัสถามเขาทั้งหลายว่า “คนที่ได้มาพบเจ้าและบอกสิ่ง เหล่านี้แก่เจ้านั้นเป็นคนในลักษณะใด” เขาทั้งหลายทูลตอบพระองค์ว่า “ท่านสวมเสื้อขนและมีหนังคาดเอวของท่านไว้” และพระองค์ตรัสว่า “เป็นเอลียาห์ชาวทิชบี” (2พงศ์กษัตริย์ 1:5-8)

ทำไมถึงเอลียาห์? คำตอบแรก และตรงที่สุดคือสิ่งที่มาลาคีพยากรณ์ไว้ (3:1; 4:5) เอลียาห์ เช่นเดียวกับยอห์น เหมือนคนป่าในถิ่นทุรกันดาร อยู่ไม่เป็นที่ อาศัยห่างไกลจากสังคม แต่เอลียาห์เป็นผู้เผยพระวจนะในอาณาจักรเหนือ ไม่ใช่ในยูดาห์ ซึ่งตามข้อเท็จจริงผมเชื่อว่าสิ่งนี้มีความหมาย เอลียาห์ทำพันธกิจในยุคที่ “พวกเสเแสร้ง” อย่างกษัตริย์อาหับครองบัลลังก์ ผู้ที่ไม่สมควรนั่งบนบัลลังก์ของดาวิด พอยุคของยอห์น “พวกเสแสร้ง” คือเฮโรด เป็นลูกครึ่ง (เทียบกับเฉลยธรรมบัญญัติ 17:15) เมื่อภรรยาที่ชั่วร้ายของอาหับ เยเซเบล (ธิดาของกษัตริย์ไซดอนผู้ไหว้รูปเคารพ) หาทางฆ่าเอลียาห์ เฮโรเดียส ภรรยาที่ชั่วร้ายและใจคดของเฮโรดก็เช่นกัน หาทางฆ่ายอห์นด้วย (มัทธิว 14:1-2) อาธาลิยาห์ ธิดาของอาหับกับเยเซเบล เป็นหญิงที่ชั่วร้ายแต่งงานกับเยโฮรัมกษัตริย์แห่งยูดาห์ (2พงศ์กษัตริย์ 8:16-19, 26) ยิ่งทำให้เสื่อมลงไปใหญ่ ลูกสาวของเฮโรเดียสก็ไม่ต่างกัน มีส่วนทำให้เฮโรดตกต่ำและสังหารชีวิตของยอห์นผู้ให้บัพติศมา (มัทธิว 14:1-12) เมื่อเอลียาห์มาต่อต้านกษัตริย์และราชินีแห่งอิสราเอล ยอห์นผู้ให้บัพติศมาก็ไปเผชิญหน้ากับกษัตริย์เฮโรดและภรรยานางเฮโรเดียส

เอลียาห์เรียกร้องให้อาณาจักรเหนือกลับใจและหันเสียจากบาปล่วงประเวณีที่หันไปนมัสการพระของคนต่างชาติ ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเรียกร้องให้ชาวยิวในยูดาห์สำนึกบาปและกลับใจ เพราะทำให้ศาสนาเที่ยงแท้เสื่อมตามไปด้วย ตามที่เอเสเคียล 16 กล่าวไว้ เยรูซาเล็มและยูดาห์ทำบาปที่ร้ายแรงกว่าที่อิสราเอลละทิ้งศาสนา ยูดาห์แพศยากว่าอิสราเอลถึงสองเท่า จึงต้องรับพระอาชญาที่หนักกว่า

ขณะที่เอลียาห์เข้าใจว่าตนเองทำพันธกิจไม่สำเร็จ (1พงศ์กษัตริย์ 19) ยอห์นผู้ให้บัพติศมาก็ด้วย ท่านถามเพราะสงสัยว่าพระเยซูคือพระเมสซิยาห์หรือเปล่า (มัทธิว 11:2) ในกรณีของเอลียาห์ พันธกิจของท่านสำเร็จลงเมื่อไปเจิมตั้งฮาซาเอลเป็นกษัตริย์เหนือซีเรีย และเยฮูเป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล (1พงศ์กษัตริย์ 19:15-16) นอกจากนั้น เอลียาห์เลือกเอลีชามารับหน้าที่ต่อจากท่าน (1พงศ์กษัตริย์ 19:16) เอลีชาสำหรับเอลียาห์เหมือนกับพระเยซูสำหรับยอห์นผู้ให้บัพติศมา จึงไม่น่าประหลาดขณะที่พระเจ้าเรียกยอห์นให้มาประกาศถึงการเสด็จมาของกษัตริย์เที่ยงแท้แห่งอิสราเอล ท่านก็จะมาประณามกษัตริย์จอมปลอม (เฮโรด) ที่กำลังนั่งครองบัลลังก์

(3) พันธกิจของยอห์นตามที่มัทธิวบันทึก บรรยายถึงความพิเศษและเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของท่าน และอย่างที่คาด พระกิตติคุณทุกเล่มพูดถึงพันธกิจของยอห์นผู้ให้บัพติศมาในแง่มุมที่คล้ายกัน แต่เน้นบางมุมที่แตกต่าง มาระโกไม่มีแง่ลบสำหรับคนที่เข้ามาขอรับบัพติศมา ส่วนลูกา ยอห์นเจาะไปที่ฝูงชนที่เข้ามาหา เตือนคนที่คิดว่าตัวเองเป็นลูกหลานอับราฮัม และพูดถึงตัวอย่าง “ผลของการกลับใจ” คนที่มีเสื้อหรือมีอาหารพอให้แบ่งปันให้คนที่ไม่มี (ลูกา 3:11)69 คนเก็บภาษีก็ไม่ควรเก็บเกินพิกัด (3:12-13) ฝ่ายทหารอย่ากรรโชก อย่าใส่ความเพื่อเอาเงิน ควรพอใจในค่าจ้างของตน (3:14)

พระกิตติคุณมัทธิวเน้นในแง่มุมที่ต่างไปเมื่อพูดถึงฝูงชนที่เข้ามาหายอห์น :

ครั้นยอห์นเห็นพวกฟาริสี และพวกสะดูสีพากันมาเป็นอันมาก เพื่อจะรับบัพติศมา ท่านจึงกล่าวแก่เขาว่า “เจ้าชาติงูร้าย ใครได้เตือนเจ้าให้หนีจากพระอาชญาซึ่งจะมาถึงนั้น เหตุฉะนั้นจงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น อย่านึกเหมาเอาในใจว่าตัวมีอับราฮัมเป็นบิดา เพราะเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์อาจจะให้บุตรเกิดขึ้นแก่อับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้ บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องตัดแล้วโยนทิ้งในกองไฟ เราให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยน้ำ แสดงว่ากลับใจใหม่ก็จริง แต่พระองค์ผู้จะมาภายหลังเรา ทรงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก ซึ่งเราไม่คู่ควรแม้จะถอดฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์จะทรงให้เจ้าทั้งหลาย รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ พระหัตถ์ของพระองค์ถือพลั่วพร้อมแล้ว และจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว พระองค์จะทรงเก็บข้าวของพระองค์ไว้ในยุ้งฉาง แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ” (มัทธิว 3:7-12)

พระกิตติคุณมัทธิวเน้นไปที่บุคคลกลุ่มหนึ่งที่มาตามเฝ้าดูยอห์น ท่านเอ่ยชื่อให้ผู้อ่านรู้ด้วย “พวกฟาริสี และพวกสะดูสี” ซึ่งไม่ได้มารับบัพติศมา แต่มาเรื่องที่ยอห์นให้บัพติศมา บางฉบับเลือกที่จะแปลทำนองว่าผู้นำศาสนาเหล่านี้มาเพื่อขอรับบัพติศมา แต่ในลูกาเขียนไว้ชัดเจนว่าพวกสะดูสีและพวกฟาริสีเหล่านี้กลับไปโดยไม่ได้รับบัพติศมา :

เมื่อผู้สื่อข่าวทั้งสองของยอห์นไปแล้ว พระองค์จึงตรัสกับประชาชนถึงยอห์นว่า “ท่านทั้งหลายได้ออกไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อดูอะไร มิใช่ดูต้นอ้อไหวโดยถูกลมพัดนะ ถ้าอย่างนั้นท่านทั้งหลายได้ไปดูอะไร ดูคนนุ่งห่มผ้าเนื้ออ่อนนิ่มหรือ ดูเถิด คนนุ่งห่มผ้างดงามและอยู่อย่างฟุ่มเฟือยย่อมอยู่ในราชสำนัก แต่ท่านทั้งหลายออกไปดูอะไร ดูผู้เผยพระวจนะหรือ แน่ทีเดียว และเราบอกท่านว่า ท่านนั้นเป็นผู้ประเสริฐยิ่งกว่าผู้เผยพระวจนะเสียอีก คือยอห์นนี้แหละที่พระคัมภีร์กล่าวถึงว่า เราใช้ทูตของเราไปข้างหน้าท่าน ผู้นั้นจะเตรียมมรรคาของท่านไว้ข้างหน้าท่าน เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในบรรดาคนที่บังเกิดจากผู้หญิงมานั้น ไม่มีผู้ใดใหญ่กว่ายอห์น แต่ว่าผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในแผ่นดินของพระเจ้าก็ใหญ่กว่ายอห์นเสียอีก” (ฝ่ายคนทั้งปวงเมื่อได้ยินรวมทั้งพวกเก็บภาษีด้วยก็ได้รับว่าพระเจ้ายุติธรรม โดยที่เขาได้รับบัพติศมาของยอห์นแล้ว แต่พวกฟาริสีและพวกบาเรียนไม่ยอมรับพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับเขา โดยที่มิได้รับบัพติศมาจากยอห์น) (ลูกา 7:24-30)

มัทธิวเป็นคนยิวและเขียนหนังสือเล่มนี้ให้ผู้อ่านชาวยิว ท่านชี้ให้เห็นความจริงว่าผู้นำชาวยิวถูกยอห์นผู้ให้บัพติศมากล่าวตำหนิอย่างรุนแรง ยอห์นไม่ยอมรับว่าคนพวกนี้กลับใจจริง เป็นพวกหน้าซื่อใจคด เราเห็นว่าพวกผู้นำศาสนาในเยรูซาเล็มไม่ได้ใส่ใจถึงการมาบังเกิดของพระเมสซิยาห์ในเบธเลเฮม (มัทธิว 2:1-6) เราทราบว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมาตำหนิผู้นำศาสนาชาวยิวที่มาเพราะสงสัยหรืออยากรู้อยากเห็น มัทธิวจึงเหมือนปูทางให้เราสำหรับถ้อยคำตักเตือนจากพระเยซูคริสต์ :

“เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่าน ไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี ท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์” (มัทธิว 5:20)

เราเหมือนถูกเตรียมเอาไว้รับมือกับการต่อต้านที่รุนแรงของผู้นำชาวยิวที่จะมีต่อพระเยซูคริสต์ พวกเขาถือว่าพระองค์เป็นศัตรูต่อ “อาณาจักร” ของพวกเขา

(4) ถ้อยคำของยอห์น : “จงกลับใจเสียใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” (มัทธิว 3:2) เป็นการประกาศว่าแผ่นดินสวรรค์อยู่ใกล้แค่เอื้อม แปลว่ากษัตริย์ใกล้จะมาปรากฏพระองค์ ยอห์นรอบคอบในสิ่งที่ท่านทำเมื่อนำไปเทียบกับพระราชกิจของพระเมสซิยาห์ ท่านเป็นเพียงเสียงที่ร้องอยู่ในถิ่นทุรกันดาร แต่พระเมสซิยาห์นั้นยิ่งใหญ่กว่า ท่านคิดว่าตนเองไม่คู่ควรแม้จะไปถอดฉลองพระบาท (3:11) ยอห์นให้บัพติศมาด้วยน้ำ แต่พระเมสซิยาห์จะให้บัพติศมาในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า

การประกาศถึงการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์เป็นเหมือนคำเตือน ในพระกิตติคุณมัทธิว การป่าวร้องของยอห์นเหมือนคำเตือนไปถึงผู้นำชาวยิว รวมถึงพวกฟาริสี และบรรดาผู้นำที่เรียกว่าเคร่งศาสนา70 สิ่งที่ยอห์นประกาศเป็นคำเตือนถึงการพิพากษาที่กำลังจะมาถึง:

ครั้นยอห์นเห็นพวกฟาริสี และพวกสะดูสีพากันมาเป็นอันมาก เพื่อจะรับบัพติศมา ท่านจึงกล่าวแก่เขาว่า “เจ้าชาติงูร้าย ใครได้เตือนเจ้าให้หนีจากพระอาชญาซึ่งจะมาถึงนั้น เหตุฉะนั้นจงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น อย่านึกเหมาเอาในใจว่าตัวมีอับราฮัมเป็นบิดา เพราะเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์อาจจะให้บุตรเกิดขึ้นแก่อับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้ บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องตัดแล้วโยนทิ้งในกองไฟ (มัทธิว 3:7-10)

พระเมสซิยาห์เสด็จมาเพื่อ “ช่วยชนชาติของพระองค์ให้รอดจากความผิดบาป” (มัทธิว 1:21) จึงจำเป็นที่ชนชาติของพระองค์ต้องเห็นถึงความบาปของตัวเองก่อน ถ้ามนุษย์ยังอยากดื้อดึงในความบาปของตน การเสด็จมาของพระเมสซิยาห์จึงมาเพื่อพิพากษา ไม่ใช่มาเพื่อช่วยให้รอด

ในความคิดของผม ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเช่นเดียวกับผู้เผยพระวจนะส่วนใหญ่ ไม่ได้แยกแยะชัดเจนระหว่างการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ครั้งแรกและครั้งที่สอง เหมือนพวกเขาไม่เข้าใจว่าพระองค์จะเสด็จมาสองครั้ง ครั้งแรกมาตายเพื่อเป็นเครื่องบูชาสมบูรณ์แบบแทนคนบาปทั้งหลาย และครั้งที่สองเพื่อมีชัยเหนือศัตรู และตั้งอาณาจักรของพระองค์ ความจริงสิ่งที่ยอห์นประกาศเน้นไปที่การเสด็จมาครั้งที่สองมากกว่า ซึ่งไม่น่าประหลาดใจสำหรับพวกเรา แต่เป็นความลำบากใจของพวกผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เดิม:

บรรดาผู้เผยพระวจนะผู้ได้พยากรณ์ถึงพระคุณซึ่งจะบังเกิดแก่ท่านทั้งหลาย ก็ได้สืบค้นและสอบถามเกี่ยวกับเรื่องความรอดนี้ เขาได้สืบค้นหาบุคคลและเวลา ซึ่งพระวิญญาณของพระคริสต์ผู้ทรงสถิตอยู่ในตัวเขาได้ทรงบ่งไว้ เมื่อเขาได้ทำนายถึงความทุกข์ทรมานของพระคริสต์ และถึงพระสิริที่จะมาภายหลัง ก็ทรงโปรดเผยให้ผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นทราบว่า ที่เขาเหล่านั้นได้ปรนนิบัติในเหตุการณ์ทั้งปวงนั้น ไม่ใช่สำหรับเขาเองแต่สำหรับท่านทั้งหลาย บัดนี้คนเหล่านั้นที่ประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านทั้งหลาย ก็ได้กล่าวสิ่งเหล่านั้นแก่ท่านแล้ว โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงโปรดประทานจากสวรรค์ เป็นสิ่งซึ่งพวกทูตสวรรค์ปรารถนาจะได้ดู (1เปโตร 1:10-12)

ผมเห็นว่าการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ครั้งแรกและครั้งที่สองที่ดูคลุมเครือนี้อธิบายถึงสิ่งที่ยอห์นสงสัย ซึ่งเราจะเรียนกันต่อไปในมัทธิวบทที่ 11:

ฝ่ายยอห์นเมื่อติดอยู่ในเรือนจำ ได้ยินถึงกิจการแห่งพระคริสต์ก็ได้ใช้ศิษย์ไป ทูลถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นผู้ที่จะมานั้นหรือ หรือจะต้องคอยผู้อื่น” (มัทธิว 11:2-3)

พระเยซูทรงทำการอัศจรรย์รักษาโรคหลายครั้ง คนตาบอดมองเห็น คนง่อยเดินได้ บางคนได้รับการชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย (มัทธิว 11:5) ปัญหาคือการรักษาโรคอย่างอัศจรรย์นี้ไม่ใช่มาเพื่อพิพากษา แต่กลับเป็นการมาช่วยให้รอด ยอห์นเน้นไปที่การพิพากษาของพระเจ้า พระเยซูให้คนกลับไปบอกยอห์นว่าให้ดูการอัศจรรย์ที่พระองค์ทำ และนำไปเปรียบเทียบกับสิ่งที่บรรดาผู้เผยพระวจนะพยากรณ์ว่าพระเมสซิยาห์จะทำเมื่อเสด็จมา หนึ่งในนั้นอยู่ในลูกาบทที่ 4:

แล้วพระองค์เสด็จมาถึงเมืองนาซาเร็ธ เป็นที่ซึ่งพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาในวันสะบาโตตามเคย และทรงยืนขึ้นเพื่อจะอ่านพระธรรม เขาจึงส่งพระคัมภีร์อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะให้แก่พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงคลี่หนังสือนั้นออก ก็ค้นพบข้อที่เขียนไว้ว่า พระวิญญาณแห่งพระเป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ และให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเป็นเจ้า (ลูกา 4:16-19)

สิ่งที่ยอห์นประกาศเป็นคนละเรื่องกับพระเยซูหรือ? ไม่ครับ เมื่อพระเยซูเริ่มต้นเทศนา พระองค์ตรัสย้ำสิ่งที่ยอห์นประกาศไว้ :

ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูได้ทรงตั้งต้นประกาศว่า “จงกลับใจเสียใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” (มัทธิว 4:17)

ถ้ามนุษย์จะได้รับความรอด ต้องมีบางสิ่งที่มาช่วยพวกเขาเพื่อให้รอดจากพระอาชญาของพระเจ้าซึ่งจะเทลงมาเหนือคนบาป

เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่มิได้วางใจก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า (ยอห์น 3:16-18)

เพราะเหตุนั้นเมื่อเราเป็นคนชอบธรรมแล้วโดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งกว่านั้นเราจะพ้นจากพระอาชญาของพระเจ้าโดยพระองค์ (โรม 5:9)

สิ่งที่ยอห์นประกาศไม่เพียงแต่เตือนถึงพระอาชญาที่กำลังจะมาถึง แต่เป็นการเรียกให้ลงมือปฏิบัติ ยอห์นเรียกร้องให้มนุษย์กลับใจจากบาปและรับบัพติศมา คำว่า “กลับใจ” ยอห์นหมายถึงอะไร? หมายถึงการเปลี่ยนแปลงความคิด และหันหลังกลับ การกลับใจของยอห์นมีความหมายมากกว่าแค่เปลี่ยนความคิด แต่ยังรวมถึงอื่นๆ ผมเชื่อว่าต้องมีความสำนึกผิดและเสียใจ การกลับใจยังหมายถึงเปลี่ยนความคิดและจิตใจ ซึ่งจะส่งผลไปถึงการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ เช่นเปลี่ยนวิถีชีวิต มัทธิวไม่ได้ลงรายละเอียดว่าชีวิตควรเปลี่ยนไปอย่างไรเมื่อกลับใจ พระเยซูทรงวางแนวทางชีวิตไว้ให้ การพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น (3:8) ซึ่งลูกาให้ตัวอย่างไว้หลายแบบ รวมไปถึงคนเก็บภาษี และทหารด้วย (ลูกา 3:11-14)

เมื่ออ่านพระวจนะตอนต่างๆที่พูดถึงสิ่งที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาประกาศ ผมรู้สึกว่ายอห์นไม่ได้แค่ต้องการให้คนกลับใจจากบาปของตน คิดว่าท่านกำลังเรียกร้องให้กลับใจโดยเลิกและละทิ้งระบอบความเชื่อเดิมที่ต่างจากความเชื่อในพระเยซูคริสต์ในเรื่องการอภัยบาปและรับของขวัญแห่งความรอดนิรันดร์ พันธกิจของยอห์นในพระกิตติคุณมัทธิวเน้นไปที่ระบอบศาสนาจอมปลอมที่ผู้นำยิวบัญญัติขึ้นมา (เริ่มมาจากฟาริสี)

“เหตุฉะนั้นจงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น อย่านึกเหมาเอาในใจว่าตัวมีอับราฮัมเป็นบิดา เพราะเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์อาจจะให้บุตรเกิดขึ้นแก่อับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้ บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องตัดแล้วโยนทิ้งในกองไฟ” (มัทธิว 3:8-10)

ยิวไว้ใจในระบอบศาสนาเดิมของบรรพบุรุษในเรื่องความรอด พวกเขาคิดว่าเป็นลูกหลานของอับราฮัมแล้ว มั่นใจได้ว่ามีตั๋วพิเศษแถวหน้าเข้าแผ่นดินสวรรค์ อ.เปาโลอธิบายไว้อย่างเข้มข้นในโรม 9 ว่าการเป็นคริสเตียนเป็นคนละเรื่องกับการเป็นลูกหลานอับราฮัม ยอห์นผู้ให้บัพติศมาปฏิเสธเรื่องความรอดโดยทางบรรพบุรุษอย่างหนักแน่น พระเจ้าทรงฤทธิ์อาจจะให้บุตรเกิดขึ้นแก่อับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้ (3:9) พวกต่างชาติต่างก็มีวิถีปฏิบัติในแบบของตน และพระกิตติคุณลูกาเองก็พูดเรื่องนี้ การกลับใจจึงไม่ใช่แค่ละทิ้งบาปบางอย่าง แต่เป็นการละทิ้งระบอบหรือวิถีที่วางใจในกำลังและการกระทำของมนุษย์แทนที่จะมีความเชื่อในการหลั่งพระโลหิตของพระเยซูคริสต์เพื่อชดใช้แทนบาปของมนุษย์

เราต้องเข้าใจให้ชัดเจนว่ายอห์นไม่ได้บอกว่าแผ่นดินสวรรค์ที่กำลังมานั้นต้องพึ่งพาการกระทำของมนุษย์ ไม่ใช่ให้มนุษย์กลับใจเพื่อให้แผ่นดินสวรรค์มา แต่มนุษย์ควรกลับใจ “เพราะ” แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว :

“เรื่องสำคัญที่น่ายินดีคือส่วนที่มนุษย์รับผิดชอบ – กลับใจ หันกลับ เปลี่ยนแปลง – ไม่ใช่ทำเพื่อผลักดันให้การปกครองของพระเจ้าเข้ามา ที่แน่ใจได้คือ “เพราะ” การปกครองของพระเจ้ากำลังใกล้เข้ามาไม่ว่าเราจะเปลี่ยนหรือไม่ก็ตาม แปลว่าแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้มาเพราะเราเปลี่ยนแปลง เราจะ “รับโทษ” เพราะแผ่นดินสวรรค์ใกล้เข้ามา หรือจะ “รับพระพร” โดยคุกเข่าลงสำนึกผิดและหันกลับ “แผ่นดินพระเจ้ากำลังมาถึง อย่ารอช้า จงรีบกลับใจ” ข่าวเรื่องการมาถึงของแผ่นดินพระเจ้า “ทำให้” มนุษย์สามารถทำในส่วนของตนได้คือ สำนึกผิด กลับใจ และเปลี่ยนแปลง”71

สัญลักษณ์ภายนอกของการกลับใจคือรับบัพติศมา บัพติศมาอย่างเดียวที่คนยิวสมัยนั้นรู้จักคือบัพติศมาเข้าลัทธิยูดาย บัพติศมาแบบนั้นผู้เชื่อต้องทำพิธีชำระตัวเองและ (ถ้าเป็นผู้ชาย) ต้องเข้าสุหนัต พิธีชำระตัวเองและเข้าสุหนัตที่คนต่างชาติต้องทำถึงจะเข้าลัทธิยูดายได้และอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติในพระคัมภีร์เดิม ทำให้รู้ว่าคนยิวต้องถ่อมใจลงมาแค่ไหนเพื่อจะรับบัพติศมา ข้อสรุปจึงชัดเจน : ถ้าคนยิวต้องการกลับใจก่อนพระเมสซิยาห์เสด็จมา เขาจำต้องยอมรับว่าลัทธิยูดายไม่อาจช่วยให้รอดพ้นจากบาปได้ และการยอมเข้าบัพติศมาก็เท่ากับลดตัวเองลงมาอยู่ระดับ (ต่ำลง) เดียวกับคนต่างชาติ ทั้งคนยิวและคนต่างชาติต่างเหมือนกันคือต้องเตรียมตัวพร้อมรับการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์โดย: (1) กลับใจจากระบอบศาสนาจอมปลอมที่เคยวางใจ (2) สารภาพบาป และ (3) รับบัพติศมา เช่นเดียวกับที่คนต่างชาติเปลี่ยนไปนับถือศาสนายูดาย จึงไม่น่าประหลาดใจที่ทำไมพวกฟาริสีถึงไม่ต้องการเข้าพิธีบัพติศมา !

คำสอนของพระเยซูต่างจากที่ยอห์นประกาศเล็กน้อย เพราะพระเยซูประกาศว่า ลัทธิยูดาย ก็ยังไม่พอช่วยใครให้รอดจากบาป และเข้าแผ่นดินสวรรค์ได้ :

“อย่าคิดว่าเรามาเลิกล้างธรรมบัญญัติและคำของผู้เผยพระวจนะ เรามิได้มาเลิกล้าง แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่ แม้อักษรหนึ่งหรือขีดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าสิ่งที่จะต้องเกิด ได้เกิดขึ้นแล้ว เหตุฉะนั้น ผู้ใดได้ทำให้ข้อเล็กน้อยสักข้อหนึ่งในธรรมบัญญัตินี้เบาขึ้น ทั้งสอนคนอื่นให้ทำอย่างนั้นด้วย ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้น้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ใดที่ประพฤติและสอนตามธรรมบัญญัติ ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่าน ไม่ยิ่งกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี ท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์” (มัทธิว 5:17-20)

คำสอนของยอห์นจึงเกิดปัญหาขึ้นในใจผม “ทำไมคำสอนของท่านถึงเป็นเชิงลบ?” เมื่อลองคิดดู ผมขอตอบแบบนี้ครับ

ประการแรก อย่าลืมว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมาคือใคร คือผู้เผยพระวจนะ ที่จริงเป็นผู้เผยพระวจนะคนสุดท้ายจากพระคัมภีร์เดิม ภารกิจของท่านในฐานะผู้เผยพระวจนะคือเรียกร้องให้มนุษย์มองเห็นสภาพตนเองที่ตกไปจากพระบัญญัติของพระเจ้าและประกาศว่าพวกเขาต้องถูกลงพระอาชญา พระบัญญัติทำอะไรอีกนอกจากคำแช่งสาป – ชี้ให้เห็นหนทางความรอดที่แท้จริงโดยทางความเชื่อไม่ใช่ทำตามบทบัญญัติ

ประการที่สอง ยอห์นกำลังพูดกับใคร ท่านกำลังพูดกับคนบาป – คนบาปชาวยิวที่ไว้ใจว่าตนเองสืบเชื้อสายมาจากอับราฮัม และพูดกับคนบาปต่างชาติ เช่นคนเก็บภาษีที่เก็บเกินพิกัด กับทหารที่ใช้อำนาจข่มขู่เงินจากคนไม่มีทางสู้ ถ้าคนบาปจะรอดได้ พวกเขาต้องตระหนักว่าเป็นคนบาป สมควรแก่การพิพากษาถึงชีวิต

ประการที่สาม คำเทศนาของยอห์นพูดถึงการพิพากษาที่จะมาถึง ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระเยซูคริสต์ หลายคนที่ได้ยินถ้อยคำของยอห์นและปฏิเสธว่าพระเยซูคือพระเมสซิยาห์ตามพระสัญญา จะตกอยู่ในข่ายถูกพิพากษา คำเทศนาเชิงลบของยอห์น ทำให้ผมนึกถึงคำเตือนของโมเสสในเฉลยธรรมบัญญัติ 28 โมเสสนำพันธสัญญาเดิมที่พระเจ้าทำไว้กับอิสราเอลมากล้าวซ้ำ ท่านพูดถึงพระพรสำหรับคนที่รักษาพระบัญญัติ และพระอาชญาสำหรับคนที่ไม่เชื่อฟัง ในบทที่ 28 ตอนที่ท่านพูดถึงพระพรมีความยาว 15 ข้อ และที่เหลือของบทอีก 54 ข้อพูดถึงพระอาชญา โมเสสโดยการดลใจของพระเจ้าเน้นเรื่องการพิพากษา เพราะท่านรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ท่านตาย:

และพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “ดูเถิด วันซึ่งเจ้าต้องตายก็ใกล้เข้ามาแล้ว จงเรียกโยชูวามา และเจ้าทั้งสองจงมาเฝ้าเราในเต็นท์นัดพบ เพื่อเราจะได้กำชับเขา” โมเสสและโยชูวาก็เข้าไปในเต็นท์นัดพบ และพระเยโฮวาห์ทรงปรากฏในเสาเมฆที่ในเต็นท์นัดพบ และเสาเมฆนั้นอยู่ที่ประตูเต็นท์นัดพบ และพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “ดูเถิด ตัวเจ้าจวนจะต้องหลับอยู่กับบรรพบุรุษของเจ้าแล้ว และชนชาตินี้จะลุกขึ้นและเล่นชู้กับพระแปลกๆของแผ่นดินนี้ ในที่ที่เขาไปอยู่ท่ามกลางนั้น เขาทั้งหลายจะทอดทิ้งเราเสียและหักพันธสัญญาซึ่งเราได้ กระทำไว้กับเขา แล้วในวันนั้นเราจะกริ้วต่อเขา และเราจะทอดทิ้งเขาเสียและซ่อนหน้าของเราเสียจากเขา เขาทั้งหลายจะถูกกลืน และสิ่งร้ายกับความลำบากเป็นอันมากจะมาถึงเขา ในวันนั้นเขาจึงจะกล่าวว่า ‘สิ่งร้ายเหล่านี้ตกแก่เรา เพราะพระเจ้าไม่ทรงสถิตท่ามกลางเราไม่ใช่หรือ’ ในวันนั้นเราจะซ่อนหน้าของเราเสียจากเขาเป็นแน่ ด้วยเหตุความชั่วซึ่งเขาได้กระทำเพราะเขาได้หัน ไปหาพระอื่น เหตุฉะนี้เจ้าทั้งสองจงเขียนบทเพลงนี้ และสอนคนอิสราเอลให้ร้องจนติดปาก เพื่อบทเพลงนี้จะเป็นพยานของเราปรักปรำคนอิสราเอล เพราะว่าเมื่อเราจะได้นำเขาเข้ามาในแผ่นดิน ซึ่งมีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ ซึ่งเราได้ปฏิญาณจะประทานแก่บรรพบุรุษของเขา และเขาได้รับประทานอิ่มหนำและอ้วนพี เขาจะหันไปปรนนิบัติพระอื่น และหมิ่นประมาท เราและผิดพันธสัญญาของเรา และเมื่อสิ่งร้ายและความลำบากหลายอย่างมาถึงเขาแล้ว เพลงบทนี้จะเผชิญหน้าเป็นพยาน (เพราะว่าเพลงนี้จะอยู่ที่ปากลูกหลานของเขาไม่มีวันลืม) เพราะเรารู้ถึงความมุ่งหมายที่เขากำลังจะก่อขึ้นมาแล้ว ก่อนที่เราจะนำเขาเข้าไปในแผ่นดินซึ่งเราปฏิญาณไว้นั้น” โมเสสจึงได้เขียนบทเพลงนี้ในวันเดียวกันนั้นและสอนให้ แก่ประชาชนอิสราเอล (เฉลยธรรมบัญญัติ 31:14-22)

ประการที่สี่ คำเทศนาของยอห์นและการตอบสนองของผู้คน เล็งถึงคำเทศนาในอนาคตของพระเยซูคริสต์และการตอบสนองของผู้คน มัทธิวเลือกเน้นไปที่การตอบสนองของยอห์นที่มีต่อผู้นำศาสนาชาวยิวที่แค่อยากมาฟัง (หรือมาตรวจสอบ) ยอห์นใช้ถ้อยคำรุนแรงตำหนิ และต่อว่าผู้นำทางศาสนาที่ไม่ได้มาเพื่อกลับใจ แต่มาต่อต้านและยังปฏิเสธไม่ฟังท่านด้วย พระเยซูเองใช้ถ้อยคำตำหนิรุนแรงต่อพวกที่มาต่อต้านพระองค์ – กลุ่มผู้นำศาสนาพวกเดิม พวกนี้เป็นผู้นำที่เชื่อว่าตนเองชอบธรรมดีแล้ว และต่อต้านทุกคนที่เหมือนจะคุกคาม “อาณาจักร” พวกเขา คนพวกนี้เชื่อมั่นว่าตัวเองมีตั๋วห้าสิบหลาเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้า แบบเดียวกับที่ยอห์นตำหนิผู้นำศาสนาหัวสูงพวกนี้ด้วยถ้อยคำรุนแรง พระเยซูก็ทรงทำเช่นกัน

(5) ถ้อยคำของยอห์นเป็นการถ่ายทอดและส่งต่อและเพื่อให้เตรียมพร้อม ถ้าจะเข้าใจคำเทศนาของยอห์น ก่อนอื่นเราต้องตระหนักถึงช่วงเวลาเจาะจงในชีวิตของท่านและบทบาทเฉพาะที่ท่านเล่น ซึ่งเท่ากับเป็นการเชื่อมช่องว่างระหว่างพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่

ในอีกมุม คำเทศนาของยอห์นเป็นเหมือน”จุดเริ่มต้นของพระกิตติคุณ” เมื่อพวกสาวกตัดสินใจหาคนมาทำหน้าที่แทนยูดาส พวกเขาคุยกันถึงคุณสมบัติของผู้ที่จะมาทำหน้าที่แทน :

เหตุฉะนั้น ในบรรดาคนที่เป็นพวกเดียวกับเราเสมอตลอดเวลาที่พระเยซูเจ้าได้เสด็จเข้าออกกับเรา คือตั้งแต่บัพติศมาของยอห์น จนถึงวันที่พระเจ้าทรงรับพระองค์ขึ้นไปจากเรา คนหนึ่งในพวกนี้จะต้องเป็นพยานกับเรา ว่าพระองค์ได้ทรงคืนพระชนม์แล้ว” (กิจการ 1:21-22 ดู 10:37; 13:23-25 ด้วย)

หนังสือพระกิตติคุณ และการประกาศข่าวประเสริฐเริ่มต้นจากคำเทศนาของยอห์นผู้ให้บัพติศมา

พูดถึงเรื่องนี้ เราต้องเข้าใจความจริงว่าคำพูดที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาประกาศไป ยังไม่ได้เป็นข่าวประเสริฐที่ครบถ้วน เพราะยอห์นยังเป็นส่วนหนึ่งของระบอบเก่า :

เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในบรรดาคนซึ่งเกิดจากผู้หญิงมานั้น ไม่มีผู้ใดใหญ่กว่ายอห์นผู้ให้รับบัพติศมา แต่ว่าผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ก็ยังใหญ่กว่ายอห์นเสียอีก และตั้งแต่สมัยยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาถึงทุกวันนี้ แผ่นดินสวรรค์ก็เป็นสิ่งที่คนได้แสวงหาด้วยใจร้อนรน และผู้ที่ใจร้อนรนก็เป็นผู้ที่ชิงเอาได้ เพราะว่าคำของผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย และธรรมบัญญัติได้พยากรณ์มาจนถึงยอห์นนี้ ถ้าท่านทั้งหลายจะยอมรับให้เป็น ก็ยอห์นนี่แหละ เป็นเอลียาห์ซึ่งจะมานั้น (มัทธิว 11:11-14 และที่ผมเน้น)

ยอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะคนสุดท้ายของยุคพระคัมภีร์เดิม คำของท่านมีเพื่อเตรียมมนุษย์สำหรับการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ และข่าวประเสริฐแห่งความรอดที่จะประกาศออกไปหลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์ ถูกฝัง คืนพระชนม์ และเสด็จสู่สวรรค์ พระเยซูและอัครสาวกชี้ชัดเจนว่าข่าวประเสริฐยังมีมากกว่าที่ยอห์นประกาศ และดียิ่งกว่า:

เพราะว่ายอห์นให้รับบัพติศมาด้วยน้ำ แต่ไม่ช้าไม่นานท่านจะรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (กิจการ 1:5)

มียิวคนหนึ่งชื่ออปอลโล เกิดในเมืองอเล็กซานเดรีย เป็นคนมีโวหารดี และชำนาญมากในทางพระคัมภีร์ ท่านมายังเมืองเอเฟซัส อปอลโลคนนี้ได้รับการอบรมในทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า และมีใจร้อนรนกล่าวสั่งสอนอย่างถูกต้องถึงเรื่องพระเยซู ถึงแม้ท่านรู้แต่เพียงบัพติศมาของยอห์นเท่านั้น ท่านได้เข้าไปในธรรมศาลาสั่งสอนโดยใจกล้า แต่เมื่อปริสสิลลากับอาควิลลาได้ฟังท่านแล้ว เขาจึงรับท่านมาสั่งสอนให้รู้ทางของพระเจ้าให้ถูกต้องยิ่งขึ้น (กิจการ 18:24-26)

ขณะที่อปอลโลยังอยู่ในเมืองโครินธ์ เปาโลได้ไปตามที่ดอน แล้วมายังเมืองเอเฟซัส ท่านพบสาวกบางคนที่นั่น จึงถามเขาว่า “เมื่อท่านทั้งหลายเชื่อนั้น ท่านได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือเปล่า” เขาตอบว่า “เปล่า เรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเราก็ยังไม่เคยได้ยินเลย” เปาโลจึงถามเขาว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านได้รับบัพติศมาอันใดเล่า” เขาตอบว่า “บัพติศมาของยอห์น” เปาโลจึงว่า “ยอห์นให้รับบัพติศมาสำแดงถึงการกลับใจใหม่ แล้วบอกคนทั้งปวงให้เชื่อในพระองค์ผู้จะเสด็จมาภายหลังคือพระเยซู” เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้น เขาจึงรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูเจ้า เมื่อเปาโลได้วางมือบนเขาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาบนเขา เขาจึงพูดภาษาแปลกๆและได้ทำนายด้วย คนเหล่านั้นมีประมาณสิบสองคน (กิจการ 19:1-7)

โดยทางพันธกิจของยอห์น พระเจ้าทรงแนะนำพระเยซูให้รู้จักในฐานะพระเมสซิยาตามพระสัญญาที่รอคอยมานาน เช่นเดียวกับที่พระองค์ใช้ซามูเอลให้ไปเจิมตั้งซาอูล (1ซามูเอล 10) และต่อมาเจิมตั้งดาวิด (1ซามูเอล 16) ขึ้นเป็นกษัตริย์อิสราเอล อย่างที่ท่านอัครสาวกยอห์นพูด หน้าที่ของท่านคือเป็น “สหายของเจ้าบ่าว” ซึ่งมีสิทธิพิเศษได้ยินเสียงของเจ้าบ่าว และชื่นชมยินดี (ยอห์น 3:29)

บทสรุป

ยอห์นมีบทบาทสำคัญต่อการเริ่มพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ ท่านเรียกร้องให้ผู้คนเตรียมพร้อมรับการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ สิ่งที่ท่านประกาศห่างไกลจากคำว่าล้าสมัย พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาเป็นครั้งที่สอง และครั้งนี้จะมาเพื่อพิพากษามนุษย์

พระองค์ทรงสั่งให้เราทั้งหลายประกาศแก่คนทั้งปวง และเป็นพยานว่า พระเจ้าได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นผู้พิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย (กิจการ 10:42)

เพราะพระองค์ได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้ ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรม โดยมนุษย์ผู้นั้นซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้ และพระเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งปวงมีความแน่ใจในเรื่องนี้ โดยทรงให้มนุษย์ผู้นั้นคืนชีวิต” (กิจการ 17:31 และ 2ทิโมธี 4:1)

การเสด็จมาครั้งแรก พระเยซูทรงแบกรับความบาปของเราไว้ที่พระองค์ และรับโทษจากผลของบาปนั้น เมื่อเสด็จกลับมาอีกครั้ง พระองค์จะพิพากษาคนบาป และปลดโลกนี้ให้เป็นไทจากบาป ภารกิจของเราในฐานะคริสเตียน คือประกาศข่าวดีที่พระเยซูมาช่วยคนบาปนี้ และเตือนผู้คนว่าวันแห่งการพิพากษาใกล้เข้ามาแล้วสำหรับคนที่ปฏิเสธไม่รับพระองค์ การกลับใจเช่นเดียวกับความเชื่อ ไม่ใช่สิ่งที่เราทำสำเร็จเอง แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า การกลับใจคือบางสิ่งที่พระเจ้าใส่เข้ามาในเรา ไม่ว่าจะอย่างไร เราถูกเรียกให้กลับใจมาเชื่อในพระองค์

ครั้นยอห์นถูกอายัดแล้ว พระเยซูได้เสด็จมายังแคว้นกาลิลี ทรงเทศนาประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า และตรัสว่า “เวลากำหนดมาถึงแล้ว และแผ่นดินของพระเจ้าก็มาใกล้แล้ว จงกลับใจเสียใหม่ และเชื่อข่าวประเสริฐเถิด” (มาระโก 1:14-15)

ครั้นมาแล้วเปาโลจึงกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายย่อมทราบอยู่เองว่า ข้าพเจ้าได้ประพฤติต่อท่านอย่างไรทุกเวลา ตั้งแต่วันแรกเข้ามาในแคว้นเอเชีย ข้าพเจ้าได้ปรนนิบัติพระเจ้าด้วยความถ่อมใจ ด้วยน้ำตาไหล และด้วยถูกการทดลอง ซึ่งมาถึงข้าพเจ้าเพราะพวกยิวคิดร้ายต่อข้าพเจ้า และสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิได้ปิดซ่อนไว้ แต่ได้ชี้แจงให้ท่านเห็น กับได้สั่งสอนท่านในที่ประชุม และตามบ้านเรือน ทั้งเป็นพยานแก่พวกยิวและพวกกรีก ถึงเรื่องการกลับใจใหม่เฉพาะพระเจ้า และความเชื่อในพระเยซูคริสตเจ้าของเรา (กิจการ 20:18-21)

พวกเรา เช่นเดียวกับยอห์นผู้ให้บัพติศมา ควรยื่นมือไปช่วยผู้คนให้กลับใจจากบาปและมามีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ สิ่งนี้คือการเตรียมมนุษย์ให้พร้อมสำหรับการเสด็จกลับมาของพระเยซู กลับมาเพื่อพิพากษาตามที่ยอห์นสัญญาไว้ว่าจะเกิดขึ้น:

บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องตัดแล้วโยนทิ้งในกองไฟ เราให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยน้ำ แสดงว่ากลับใจใหม่ก็จริง แต่พระองค์ผู้จะมาภายหลังเรา ทรงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก ซึ่งเราไม่คู่ควรแม้จะถอดฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์จะทรงให้เจ้าทั้งหลาย รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ พระหัตถ์ของพระองค์ถือพลั่วพร้อมแล้ว และจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว พระองค์จะทรงเก็บข้าวของพระองค์ไว้ในยุ้งฉาง แต่พระองค์จะทรงเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ” (มัทธิว 3:10-12)

ในเวลาเมื่อมนุษย์ยังไร้เดียงสา พระเจ้ามิได้ทรงถือโทษ แต่เดี๋ยวนี้ พระเจ้าได้ตรัสสั่งแก่มนุษย์ทั้งปวงทั่วทุกแห่งให้กลับใจใหม่ เพราะพระองค์ได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้ ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรม โดยมนุษย์ผู้นั้นซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้ และพระเจ้าได้ทรงโปรดให้คนทั้งปวงมีความแน่ใจในเรื่องนี้ โดยทรงให้มนุษย์ผู้นั้นคืนชีวิต” (กิจการ 17:30-31)

“ข้าแต่กษัตริย์อากริปปา เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าพระบาทจึงเชื่อฟังนิมิต ซึ่งมาจากสวรรค์นั้น และมิได้ขัดขืน แต่ข้าพระบาทได้กล่าวสั่งสอนเขา ตั้งต้นที่เมืองดามัสกัส และในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแว่นแคว้นยูเดียและแก่ชาวต่างประเทศ ให้เขากลับใจใหม่ ให้หันมาหาพระเจ้า และกระทำการซึ่งสมกับที่กลับใจใหม่แล้ว” (กิจการ 26:1-20)

เดี๋ยวนี้คำว่าสำนึกผิดกลับใจไม่ค่อยมีใครนำมาเทศนา ไม่นานมานี้ผมดีใจมากที่ได้ยินบิลลี่ เกรแฮม เรียกร้องให้หญิงและชายสำนึกผิดกลับใจ มาเชื่อในพระเยซูในงานประกาศที่ดัลลัส เท็กซัส หันกลับมาหาพระเยซูเพื่อรับความรอดคือต้องหันเสียจากบาปที่เคยทำ บ่อยครั้งการพยายามทำให้ข่าวประเสริฐน่าลิ้มลอง การกลับใจจึงถูกข้ามไป ลดความสำคัญลง หรือถึงขั้นตัดทิ้ง บางครั้งการนำเสนอข่าวประเสริฐเหมือนกับนำพระราชกิจของพระเยซูใส่เพิ่มเข้าไปกับแฟ้มส่วนตัวของคุณ เหมือนกับลงทุนเพิ่มอีกตัว ไม่มีการตัดอะไรทิ้ง ความจริงคือคุณต้องเปิดแฟ้มเอาของเก่าทิ้งไป (ไว้ใจในสิ่งอื่นที่ไม่ใช่พระเยซูคริสต์) แล้วให้พระคริสต์เข้ามาเติมเต็ม เศรษฐีหนุ่มไม่มีตัวเลือกให้เก็บความมั่งคั่งไว้ (ซึ่งคือพระของเขา) ดูมัทธิว 6:19-34; 19:16-22 เขาต้องสละทุกสิ่งเพื่อติดตามพระเยซู ถ้าเราจะประกาศข่าวประเสริฐ เราต้องไม่ลืมเรื่องการกลับใจ และความเชื่อด้วย สององค์ประกอบนี้ไม่ได้ค้านกัน แต่เป็นสองด้านของเหรียญเดียวกัน

คำประกาศของยอห์นเตือนเราถึงบทบาทสำคัญของธรรมบัญญัติ เหมือนนำร่องสู่พระกิตติคุณ ขณะที่พระคุณอยู่ตรงข้ามกับธรรมบัญญัติ (ดูโรม 4:16; 6:14; 7:6; กาลาเทีย 2:22; 5:1-4) แต่ธรรมบัญญัตินั้นชี้ไปที่พระคุณ:

ก่อนที่ความเชื่อมานั้น เราถูกธรรมบัญญัติกักตัวไว้ ถูกกั้นเขตไว้จนความเชื่อจะปรากฏ เพราะฉะนั้นธรรมบัญญัติจึงควบคุมเราไว้จนพระคริสต์เสด็จมา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ แต่บัดนี้ความเชื่อนั้นได้มาแล้ว เราจึงมิได้อยู่ใต้บังคับของผู้ควบคุมอีกต่อไปแล้ว (กาลาเทีย 3:23-25)

ธรรมบัญญัติเตรียมเราไว้สำหรับพระคุณ โดยเปิดเผยให้เห็นความบาปของเราเอง และไม่สามารถที่จะเอาใจพระเจ้าโดยการกระทำดี ดังนั้นธรรมบัญญัติจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เรามองไปที่พระเจ้าเพื่อความรอดโดยพระคุณ ไม่ใช่ด้วยตัวเราเอง:

เรารู้แล้วว่า ธรรมบัญญัติทุกข้อที่ได้กล่าวนั้น ก็ได้กล่าวแก่คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อปิดปากทุกคน และเพื่อให้มนุษย์ทุกคนในโลกอยู่ใต้การพิพากษาของพระเจ้า เพราะว่าในสายพระเนตรของพระเจ้าไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นคนชอบธรรม โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติได้ เพราะว่าธรรมบัญญัตินั้นทำให้เรารู้จักบาปได้ แต่บัดนี้ได้ปรากฏแล้วว่า ความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้านั้นปรากฏนอกเหนือกฎบัญญัติ ธรรมบัญญัติกับพวกผู้เผยพระวจนะเป็นพยานอยู่ คือความชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งทรงประทานโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ แก่ทุกคนที่เชื่อ เพราะว่าคนทั้งหลายไม่ต่างกัน เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เขาเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว (โรม 3:19-24)

เฟรเดอริค บรูเนอร์พูดไว้ในทำนองนี้ :

“ไม่มีพระบัญญัติ ก็ไม่มีพระกิตติคุณ (ไม่มีพระคัมภีร์เดิม ก็ไม่มีพระคัมภีร์ใหม่) และไม่มียอห์นผู้ให้บัพติศมา เรื่องการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ก็อาจประกาศไปไม่ถูกต้อง ดังนั้นไม่มีเรื่องบังเอิญ พระกิตติคุณทั้งสี่เล่มบันทึกงานของยอห์นผู้ให้บัพติศมาว่าเป็นผู้มาเตรียมทางให้พระคริสต์ ยอห์นเป็นสาระสำคัญในเรื่องราวของพระเยซู ไม่ใช่แค่คนที่มาก่อน ที่จริงพระกิตติคุณยอห์น “ย้อนประวัติศาสตร์แห่งความบริสุทธิ์กลับมาอีกครั้ง” (Bonn., 31) หลังจากความเงียบที่ยาวนาน ยอห์นปรากฎมาเหมือนมหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่คนสุดท้ายของหนังสือฮีบรู และเหมือนพระบัญญัติของพระเจ้าที่มีชีวิตและเคลื่อนไหว เต็มด้วยหายนะและความบริสุทธิ์ และที่สุดของทุกสิ่ง ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นผู้นำหน้าพระคัมภีร์ใหม่สี่ครั้ง (จากพระกิตติคุณสี่เล่ม) เมื่อนำพระบัญญัติของพระเจ้ามาอยู่ข้างหน้าเราถึงสี่ครั้ง เรื่องการเสด็จมาของพระเยซูพร้อมกับข่าวประเสริฐก็สี่ครั้งเหมือนกัน ยอห์นคือพระบัญญัติของพระเจ้าในภาพบุคคล พระเยซูก็คือพระกิตติคุณของพระเจ้าในพระบุคคลเช่นกัน”72

ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นผู้เผยพระวจนะคนสุดท้ายของพระคัมภีร์เดิม ท่านไม่ได้ชักชวนมนุษย์ให้ “พยายามทำให้มากขึ้น” เพื่อเอาใจพระเจ้า แต่ให้สารภาพบาปของตน และเข้ามาวางใจในพระเมสซิยาห์ที่กำลังเสด็จมาช่วยให้รอด ถ้ามนุษย์จะได้รับความรอด พวกเขาต้องมองตัวเองให้เห็นว่าเป็นคนบาป ตกอยู่ภายใต้คำแช่งสาปของพระบัญญัติ หน้าที่ของพระบัญญัติคือประณามเราที่เป็นคนบาป และจำเป็นต้องได้รับพระคุณที่สุด ขอให้เราระวังที่จะไม่เหวี่ยงพระบัญญัติทิ้งไปราวกับหมดความหมาย ยังมีบทบาทที่เราต้องทำตาม73หนึ่งในนั้นคือมองไปที่มาตรฐานความชอบธรรมของพระเจ้า มาตรฐานที่มนุษย์ไม่มีวันทำได้ ให้เราใช้พระบัญญัตินี้เพื่อเปิดเผยให้เห็นความบาปของเราเอง แน่นอนพระบัญญัติสิบประการกล่าวประณามและตัดสินพวกเราทุกคน ยอห์นพูดจากพระบัญญัติเพื่อเปิดเผยให้เห็นความบาปของมนุษย์ และแสดงให้เห็นว่าพระเยซูคือพระเมสซิยาห์ตามที่พระบัญญัติสัญญาไว้ว่าจะเสด็จมา

ผมขอเจาะจงว่าผู้เป็นพ่อแม่สามารถนำพระบัญญัตินี้มาใช้สอนลูกๆได้ พวกเขาสามารถใช้พระบัญญัติเพื่อให้ลูกๆเห็นว่าเด็กๆเองก็เป็นคนบาปจำเป็นต้องได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์และสิ่งที่พระองค์ทำบนไม้กางเขนที่เนินหัวกระโหลก บ่อยครั้งเรานำเรื่องตื่นเต้นจากพระคัมภีร์เดิมมาเล่าให้เด็กๆฟัง เช่น “โยนาห์กับปลามหึมา” หรือ “ดาเนียลในถ้ำสิงห์” ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องเลวร้าย แต่บ่อยครั้งการนำมาใช้ไม่ได้ชี้ให้เด็กๆเห็นถึงความบาปของตนเอง และความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่จริงบางคนเห็นว่าการนำพระวจนะมาใช้เป็นการเสริมสร้าง “คุณค่าในตัวเอง” ให้เด็กๆด้วยซ้ำ เด็กๆไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าตนเองดีพอ พวกเขาจำเป็นต้องตระหนักว่าเป็นคนบาป ไม่อาจยืนจำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ได้ พวกเขาจำเป็นต้องมองเห็นบาปของตัวเอง และรู้ว่าตนเองต้องได้รับความรอด สิ่งที่ยอห์นประกาศออกไป (ยังไม่รวมถึงสิ่งที่พระเยซูและพวกสาวกประกาศ) คือสิ่งที่เด็กๆจำเป็นต้องได้ยินด้วยครับ

พ่อแม่ที่ไม่สอนวินัยให้ลูกก็กำลังทำร้ายลูกตัวเองอย่างรุนแรง เราต้องแก้ไขประพฤติกรรมและความคิดของเด็กๆ ไม่ใช่ทำเป็นมองไม่เห็นหรือหาข้อแก้ตัวแทน เด็กๆจะต้องเรียนรู้จาก “ประสบการณ์” ว่าความบาปมีผลที่ต้องรับโทษ พวกเขาต้องเห็นว่าตัวเองก็ทำบาป และเมื่อมองเห็นบาปของตัวเอง สิ่งที่ยอห์นประกาศจะเป็นถ้อยคำหวานหูสำหรับพวกเขา เมื่อพระเจ้านำให้พวกเขาสำนึกผิดและกลับใจ การที่ไม่สามารถ (หรือปฏิเสธ) ลงวินัยเด็กๆก็เท่ากับเป็นการปฏิเสธพระกิตติคุณที่กล่าวว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป ต้องได้รับความรอดจากพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์

ทั้งคำพูดและการกระทำของยอห์นเน้นไปที่ความสำคัญของพิธีบัพติศมาของคริสเตียน ผมเรียนรู้ว่าบัพติศมาของยอห์นเป็นการเตรียมความพร้อม และเมื่อผู้ติดตามยอห์นกลับใจมาเป็นคริสเตียน พวกเขาต้องรับบัพติศมาอีกครั้ง แต่บัพติศมาเป็นส่วนสำคัญในคำพูดและการกระทำของยอห์น คนที่กลับใจจริงจะรับบัพติศมา (มัทธิว 3:11; มาระโก 1:5) คนไม่สำนึกก็ไม่กลับใจ (ลูกา 7:30) คนที่ติดตามพระเยซูคริสต์ก็จะรับบัพติศมา (มัทธิว 28:19; ยอห์น 3:22, 26; 4:1; กิจการ 2:38, 41; 8:12, 38; 10:47; 19:35) บัพติศมาจึงเป็นสัญลักษณ์ของการกลับใจและความเชื่อ ปัจจุบันคนที่ยังไม่รับบัพติศมาควรถามตัวเองว่า “ทำไม” ถึงไม่รับ?

คำเทศนาของยอห์นที่จริงแล้วเป็น “เทศนาพยากรณ์” ผมอยากบอกว่าแม้คำเทศนาพยากรณ์ของยอห์นนั้นจะโดดเด่น แต่มีบางสิ่งที่สอนเราเรื่องคำเทศนา สิ่งที่ยอห์นประกาศมาจากพระวจนะโดยตรง สิ่งแรกที่ท่านชี้ให้เห็นคือความบาปของมนุษย์ และชี้ไปที่ความรอดของพระเจ้าในองค์พระเยซูคริสต์ ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นถ้อยคำที่เป็นมิตรนัก เป้าหมายไม่ใช่สร้างความเพลิดเพลินเพื่อให้มนุษย์ยอมรับ แต่เป็นเป้าหมายที่ตีแผ่ความบาปของมนุษย์ และความจำเป็นที่ต้องมีพระเจ้า ถ้าถามให้ท่านเจาะจงลงไป ท่านยกตัวอย่างให้เห็นได้ (เช่นจากในลูกา) ในพระกิตติคุณมัทธิว ยอห์นผู้ให้บัพติศมามุ่งเน้นไปที่ความบาปและความชอบธรรมตามที่ผู้นำศาสนาคิด ขณะที่พระเยซูคริสต์นุ่มนวลกว่าเมื่อเทียบกับถ้อยคำที่ยอห์นใช้ แต่พระองค์ก็ไม่อ้อมค้อมเรื่องความบาป ความชอบธรรม และการพิพากษา (ยอห์ น 6:8-11) ยังจำเป็นที่ต้องสำนึกผิดกลับใจ ขณะยอห์นเป็นบุคคลที่มีเอกลักษณ์ และมีบทบาทที่โดดเด่นในสมัยของท่าน ท่านยังเป็นบุคคลที่สอนเรามากมายถึงการประกาศความจริง

เวลาอ่านเรื่องของยอห์นผมแน่ใจว่าพวกเราส่วนใหญ่คิดว่าท่านออกจะประหลาด แน่นอนท่านมีเอกลักษณ์ และนี่อาจเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้ผู้คนสนใจ แม้ท่านจะไม่ได้ทำอัศจรรย์ใดๆ (ยอห์น 10:41) ที่แน่ๆท่านเป็นแบบอย่างของคนที่ “ปลีกตัว” ออกมาในแบบที่ดึงดูดความสนใจ สำหรับเราไม่จำเป็นต้องไปใส่เสื้อขนสัตว์ หรือไปอาศัยในถิ่นทุรกันดาร หรือกินตั๊กแตนน้ำผึ้งป่า แต่เราถูกเรียกให้มาเป็นคนที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น แตกต่างจากโลกนี้ ยอห์นเป็นบุคคลที่รู้ว่าจะยืนหยัดลำพังได้อย่างไร เป็นสิ่งที่พวกเราส่วนใหญ่รู้น้อยมาก

ขอให้เราเรียนรู้ที่จะอยู่ในโลกนี้ แต่ไม่เอนไปตามวิถีของโลก ให้เราแสวงหาการเตรียมชายและหญิงให้พร้อมรับการเสด็จกลับมาครั้งที่สองของพระเยซู โดยสอนเรื่องความบาป เรียกร้องให้มีการสำนึกผิดกลับใจ หันกลับมาหาพระเยซูเพื่อรับความรอด ขอให้เราเป็นเหมือนท่านยอห์น คือชื่นชมยินดีเมื่อได้ชี้ทางให้ผู้คนไปหาพระคริสต์ แทนที่จะเรียกร้องความสนใจให้มาอยู่แต่ที่ตัวเอง

โดย : Robert L (Bob) Deffinbaugh

ได้รับอนุญาตและเป็นลิขสิทธิของ https://bible.org/

แปล : อรอวล ระงับภัย (Church of Joy)

 

65 บทเรียนต่อเนื่องบทนี้ปรับจากต้นฉบับเดิมของพระกิตติคุณมัทธิวบทเรียนที่ 4 จัดทำโดย อ. Robert L. Deffinbaugh วันที่ 9 มีนาคม 2003.

66 นอกจากที่กล่าวไปแล้ว พระวจนะที่นำมาอ้างอิงทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) เป็น ฉบับแปลใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่นำฉบับเก่าในภาษาอังกฤษมาเรียบเรียงใหม่ ใช้ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการพระคัมภีร์มากกว่า ยี่สิบคน รวบรวมข้อมูล ทั้งจากภาษาฮีบรูโดยตรง ภาษาอาราเมข และภาษากรีก โครงการแปลนี้เริ่มมาจากที่เราต้องการนำ พระคัมภีร์ เผยแพร่ผ่านสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อรองรับการใช้งานทางอินเตอร์เน็ท และซีดี (compact disk) ที่ใดก็ตามในโลก ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ทได้ ก็สามารถเรียกดู และพริ้นทข้อมูลไว้เพื่อใช้ศึกษาเป็นการส่วนตัวได้โดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนี้ ผู้ใดก็ตาม ที่ต้องการนำข้อมูลเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่คิดเงิน สามารถทำได้จากเว็บไซด์ : www.netbible.org

67ผมตระหนักว่าเพราะพระเยซูและยอห์นเป็นญาติกัน (ลูกา 1:36) หลายคนเลยคิดว่ายอห์นรู้ว่าพระเยซูเป็นพระเมสซิยาห์ตั้งแต่เด็ก แต่คำพูดของยอห์นผู้ให้บัพติศมาเองทำให้หมดข้อสงสัย เราจึงเชื่อตามที่ยอห์นพูด

68 ในมัทธิว 11:9-14 จะเห็นว่าพระเยซูโยงงานของยอห์นผู้ให้บัพติศมาเข้ากับพันธกิจของเอลียาห์อย่างชัดเจนโดยอ้างจากมาลาคี 3:1 (ดูมาลาคี 4:5 ด้วย) ทูตของพระเจ้าบอกเศคาริยาห์ว่าลูกที่จะเกิดจากท่านและนางเอลีซาเบธ เขาจะนำหน้าพระองค์โดยน้ำใจและ ฤทธิ์เดชของเอลียาห์ ให้พ่อกลับคืนดีกับลูก และคนดื้อด้านให้กลับได้ปัญญา ของคนชอบธรรม เพื่อจัดเตรียมชนชาติหนึ่งไว้ให้สมแก่พระเจ้า (ลูกา 1:17)

69 นี่หมายถึงอาหารด้วยเหมือนกัน คนที่มีอาหารควรแบ่งปันคนที่ขาดแคลน (ลูกา 3:11)

70 เปรียบเทียบกับ ฟีลิปปี 3:5

71 Fredrick Dale Bruner, The Christbook: A Historical/Theological Commentary (Waco, Texas: Word Books, 1987), vol. 1, p. 71.

72 Fredrick Dale Bruner, The Christbook: A Historical/Theological Commentary (Waco, Texas: Word Books, 1987), vol. 1, p. 70.

73 ดูตัวอย่างเช่น โรม 15:4; 1โครินธ์ 9:9; 10:1-13; 2 ทิโมธี 3:16-17

เกี่ยวกับหัวข้อ “ธรรมบัญญัติ”

 

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1โครินธ์ บทที่ 10

จงทำทุกอย่างเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า

พระธรรม        1โครินธ์ 10:1-33

อ้างอิง             รม.11:14,20,25;6:3;4:24;12:5;13:11;14:6;15:1-2;1คร.8:4,7,10-12;4:16;6:12;9:1,19;11:23-25;13:5;2คร.1:24; 6:3

บทนำ             แม้ว่าเราจะเริ่มต้นดีก็ไม่แน่ว่าจะจบดี ดังนั้น เราต้องไม่ประมาท อย่าปล่อยใจของเรานำเราไปสู่ทางชั่วที่นำหายนะมาสู่ตัวเรา แต่จงตั้งเป้าและทำตัวให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าอยู่เสมอ แล้วเราจะปลอดภัย!

บทเรียน

10:1 “พี่‍น้อง​ทั้ง‍หลาย เพราะ​ว่า​ข้าพ‌เจ้า​ต้อง‍การ​ให้​ท่าน‍ทั้ง‍หลาย​เข้า‍ใจ​ว่า บรรพ‌บุรุษ​ของ​เรา​ทั้ง‍หมด​ได้​อยู่​ใต้​เมฆ และ​ได้​ผ่าน​ทะเลไป​ทุก‍คน”

 (For I do not want you to be unaware, brothers, that our fathers were all under the cloud, and all passed through the sea,)

10:2 “ได้​รับ​บัพ‌ติศ‌มา​ใน​เมฆ​และ​ใน​ทะเล​เข้า​สนิท​กับ​โม‌เสส​ทุก‍คน”

         (and all were baptized into Moses in the cloud and in the sea,)

10:3 “ได้​รับ‍ประ‌ทาน​อาหาร​ฝ่าย​จิต‍วิญ‌ญาณ​เดียว‍กัน​ทุก‍คน”

       (and all ate the same spiritual food, )

10:4 “และ​ได้​ดื่ม​น้ำ​ฝ่าย​จิต‍วิญ‌ญาณ​เดียว‍กัน​ทุก‍คน เพราะ​ว่า​พวก‍เขา​ได้​ดื่ม​จาก​พระ‍ศิลา​ฝ่าย​จิต‍วิญ‌ญาณ​ที่​ติด‍ตาม​เขา​ไป พระ‍ศิลา​นั้น​คือ​พระ‍คริสต์”

 (and all drank the same spiritual drink. For they drank from the spiritual Rock that followed them,  and the Rock was Christ. )

10:5 “แต่​ถึง‍กระ‌นั้น​ก็​ดี​มี​คน​ส่วน​มาก​ใน​พวก​นั้น​ที่​พระ‍เจ้า​ไม่​พอ‍พระ‍ทัย เรา​ทราบ​ได้​จาก​ที่​เขา​ล้ม‍ตาย​กัน​เกลื่อน‍กลาด​ใน​ถิ่น‍ทุร‌กัน‌ดาร”

       (Nevertheless, with most of them God was not pleased, for they were overthrown in the wilderness.)

10:6 “เหตุ‍การณ์​เหล่า‍นี้​เป็น​เครื่อง‍เตือน‍ใจ​เรา​ไม่‍ให้​ปรารถ‌นา​สิ่ง​ชั่ว​เหมือน​เขา‍ทั้ง‍หลาย”

      (Now these things took place as examples for us, that we might not desire evil as they did. )

10:7 “พวก‍ท่าน​อย่า​นับ‍ถือ​รูป‍เคารพ​เหมือน​บาง‍คน​ใน​พวก‍เขา​ได้​ทำ ดัง‍ที่​มี​เขียน​ไว้​ว่า “ประ‌ชา‍ชน​ก็​นั่ง‍ลง​กิน​และ​ดื่มแล้ว​ก็​ลุก‍ขึ้น​เล่น​สนุก‍สนาน

    (Do not be idolaters as some of them were; as it is written, “The people sat down to eat and drink and rose up to play.” )

10:8 “อย่า​ให้​เรา​ล่วง‍ประ‌เวณี​เหมือน​บาง‍คน​ใน​พวก‍เขา​ได้​ทำ แล้ว​ก็​ล้ม‍ลง​ตาย​ใน​วัน​เดียว​สอง​หมื่น​สาม‍พัน​คน” 

   (We must not indulge in sexual immorality as some of them did, and twenty-three thousand fell in a single day. )

10:9 “อย่า​ให้​เรา​ลอง‍ดี​พระ‍คริสต์เหมือน​บาง‍คน​ใน​พวก‍เขา​ได้​ทำ แล้ว​ต้อง​พินาศ​ด้วย​งู‍ร้าย” 

    (We must not put Christ to the test, as some of them did and were destroyed by serpents,)

10:10 “อย่า​ให้​เรา​บ่น​เหมือน​บาง‍คน​ใน​พวก‍เขา​ได้​ทำ แล้ว​ต้อง​พินาศ​ด้วย​องค์‍เพชฌ‌ฆาต”

      (nor grumble, as some of them did and were destroyed by the Destroyer. )

10:11 “เหตุ‍การณ์​เหล่า‍นี้​เกิด‍ขึ้น​กับ​พวก‍เขา​เพื่อ​เป็น​ตัว‍อย่าง และ​ได้​เขียน​ไว้​เพื่อ​เตือน‍สติ​เรา​ผู้​ซึ่ง​มา​ถึง​วาระ‍สุด‍ท้าย​ของ​ยุค​นี้​แล้ว”

    (Now these things happened to them as an example, but they were written down for our instruction, on whom the end of the ages has come. )

10:12 “เพราะ‍เหตุ‍นี้​คน​ที่​คิด​ว่า​ตัว​เอง​มั่น‍คง​ดี​แล้ว ก็​จง​ระวัง​ไม่‍ให้​ล้ม‍ลง”

     (Therefore let anyone who thinks that he stands take heed lest he fall. )

10:13 “ไม่‍มี​การ​ทด‍ลอง​ใดๆ เกิด‍ขึ้น​กับ​ท่าน‍ทั้ง‍หลาย นอก‍เหนือ​การ​ทด‍ลอง​ซึ่ง​เคย​เกิด​กับ​มนุษย์ พระ‍เจ้า​ทรง​ซื่อ‍สัตย์ พระ‍องค์​จะ​ไม่​ทรง​ให้​พวก‍ท่าน​ต้อง​ถูก​ทด‍ลอง​เกิน​กว่า​ที่​ท่าน​จะ​ทน​ได้ และ​เมื่อ​ถูก​ทด‍ลอง พระ‍องค์​จะ​ทรง​ให้​มี​ทาง​ออก​ด้วย เพื่อ​พวก‍ท่าน​จะ​มี​กำลัง​ทน​ได้”

    (No temptation has overtaken you that is not common to man. God is faithful, and he will not let  you be tempted beyond your ability, but with the temptation he will also provide the way of  escape, that you may be able to endure it.)

10:14 “เพราะ‍ฉะนั้น พวก​ที่‍รัก​ของ​ข้าพ‌เจ้า จง​หลีก‍หนี​การ​นับ‍ถือ​รูป‍เคารพ”

           (Therefore, my beloved, flee from idolatry.)

10:15 “ข้าพ‌เจ้า​พูด​กับ​ท่าน​อย่าง​พูด​กับ​คน​มี​ปัญญา พวก‍ท่าน​จง​พิจาร‌ณา​ถ้อย‍คำ​ที่​ข้าพ‌เจ้า​พูด​นั้น​เถิด”

             (I speak as to sensible people; judge for yourselves what I say. )

10:16 “ถ้วย​แห่ง​พร ซึ่ง​เรา​ได้​ขอ​พร​นั้น​ทำ​ให้​เรา​มี​ส่วน​ร่วม​ใน​พระ‍โลหิต​ของ​พระ‍คริสต์​ไม่​ใช่​หรือ? ขนม‍ปัง​ซึ่ง​เรา​หัก​นั้น​

ทำ​ให้​เรา​มี​ส่วน​ร่วม​ใน​พระ‍กาย​ของ​พระ‍คริสต์​ไม่​ใช่​หรือ?”
(The cup of blessing that we bless, is it not a participation in the blood of Christ? The bread that we break, is it not a participation in the body of Christ?)

10:17 “แม้​เรา​เป็น​บุค‌คล​หลาย​คน แต่​เนื่อง‍จาก​มี​ขนม​ก้อน​เดียว เรา​จึง​เป็น​ร่าง‍กาย​เดียว เพราะ​ว่า​เรา​ทุก‍คน​รับ‍ประ‌ทาน​ขนม​ก้อน​เดียว‍กัน”

    (Because there is one bread, we who are many are one body, for we all partake of the one  bread. )

10:18 “จง​พิจาร‌ณา‍ดู​การ​ปฏิ‌บัติ​ของ​พวก​อิสรา‌เอล คน​ที่​รับ‍ประ‌ทาน​ของ​บูชา​นั้น​ก็​มี​ส่วน​ร่วม​ใน​แท่น‍บูชา​นั้น​ไม่​ใช่​หรือ?”

     (Consider the people of Israel: are not those who eat the sacrifices participants in the altar? 

10:19 “ถ้า​เช่น‍นั้น​ข้าพ‌เจ้า​หมาย‍ความ‍ว่า​อย่าง‍ไร เครื่อง‍บูชา​ที่​ถวาย​แก่​รูป‍เคารพ​นั้น เป็น​ของ​ศักดิ์‍สิทธิ์​หรือ? รูป‍เคารพ​นั้น​ศักดิ์‍สิทธิ์​หรือ?”

       (What do I imply then? That food offered to idols is anything, or that an idol is anything? )

10:20 “ไม่‍ใช่ ข้าพ‌เจ้า​หมาย‍ความ‍ว่า​เครื่อง‍บูชา​ที่​พวก‍เขา​ถวาย​นั้น เขา​ถวาย‍บูชา​แก่​พวก​ผี ไม่‍ใช่​ถวาย​แด่​พระ‍เจ้า ข้าพ‌เจ้า​ไม่​ต้อง‍การ​ให้​พวก‍ท่าน​มี​ส่วน​ร่วม​กับ​พวก​ผี”

    (No, I imply that what pagans sacrifice they offer to demons and not to God. I do not want you  to be participants with demons.)

10:21 “ท่าน​จะ​ดื่ม​จาก​ถ้วย​ของ​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า​และ​จาก​ถ้วย​ของ​พวก​ผี​ด้วย​ไม่‍ได้ จะ​รับ‍ประ‌ทาน​ที่​โต๊ะ​ของ​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า และ​ที่​โต๊ะ​ของ​พวก​ผี​ด้วย​ก็​ไม่‍ได้”

 (You cannot drink the cup of the Lord and the cup of demons. You cannot partake of the table of the Lord and the table of demons. )

10:22 “เรา​จะ​ยั่ว‍ยุ​ให้​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า​ทรง​อิจฉา​หรือ? เรา​มี​กำลัง​มาก​กว่า​พระ‍องค์​หรือ?”

               (Shall we provoke the Lord to jealousy? Are we stronger than he?)

10:23 “เรา​ทำ​ทุก‍สิ่ง​ได้ แต่​ไม่​ใช่​ทุก‍สิ่ง‍นั้น​จะ​เป็น​ประ‌โยชน์ เรา​ทำ​ทุก‍สิ่ง​ได้ แต่​ไม่​ใช่​ทุก‍สิ่ง‍นั้น​ทำ​ให้​เจริญ‍ขึ้น”

  (“All things are lawful,” but not all things are helpful. “All things are lawful,” but not all things build up.)

10:24 “อย่า​ให้​ใคร​เห็น​แก่​ประ‌โยชน์​ส่วน‍ตัว แต่​จง​เห็น​แก่​ประ‌โยชน์​ของ​คน‍อื่นๆ”

            (Let no one seek his own good, but the good of his neighbor. )

10:25 “ทุก‍สิ่ง​ที่​ขาย​ตาม​ตลาด​เนื้อ​นั้น​รับ‍ประ‌ทาน​ได้ ไม่​ต้อง​ถาม​อะไร​เนื่อง‍จาก​มโน‌ธรรม”

  (Eat whatever is sold in the meat market without raising any question on the ground of conscience.)

10:26 “เพราะ“แผ่น‍ดิน​โลก​กับ​สรรพ‍สิ่ง​ใน​โลก​นั้น​เป็น​ของ​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า”

                   (For “the earth is the Lord’s, and the fullness thereof.” )

10:27 “ถ้า​คน​ที่​ไม่​เชื่อ​เชิญ​พวก‍ท่าน​ไป​ใน​งาน‍เลี้ยง และ​ท่าน​ต้อง‍การ​จะ​ไป ทุก‍สิ่ง​ที่​เขา​ตั้ง​ให้​รับ‍ประ‌ทาน ก็​รับ‍ประ‌ทาน​ได้ โดย​ไม่​ต้อง​ถาม​อะไร​เนื่อง‍จาก​มโน‌ธรรม”

  (If one of the unbelievers invites you to dinner and you are disposed to go, eat whatever is set before you without raising any question on the ground of conscience.)

10:28 “แต่​ถ้า​มี​ใคร​มา​บอก​พวก‍ท่าน​ว่า “ของ​นี้​เขา​ถวาย​แก่​รูป‍เคารพ​แล้ว” ท่าน​ก็​อย่า​รับ‍ประ‌ทาน​เพื่อ​เห็น​แก่​คน​ที่​บอก​นั้น และ​เพื่อ​เห็น​แก่​มโน‌ธรรม​ด้วย”

  (But if someone says to you, “This has been offered in sacrifice,” then do not eat it, for the  sake of the one who informed you, and for the sake of conscience— )

10:29 “(ข้าพ‌เจ้า​ไม่‍ได้​หมาย‍ถึง​มโน‌ธรรม​ของ​พวก‍ท่าน แต่​หมาย‍ถึง​มโน‌ธรรม​ของ​คน​ที่​บอก​นั้น) ทำไม​เสรี‍ภาพ​ของ​ข้าพ‌เจ้า​ต้อง​ถูก​ตัด‍สิน​ด้วย​มโน‌ธรรม​ของ​คน​อื่น?”

 (I do not mean your conscience, but his. For why should my liberty be determined by someone else’s conscience?)

10:30 “ถ้า​ข้าพ‌เจ้า​รับ‍ประ‌ทาน​ด้วย​ขอบ‍พระ‍คุณ ทำไม​ข้าพ‌เจ้า​ต้อง​ถูก​ว่า​ร้าย​เพราะ​สิ่ง​ที่​ได้​ขอบ‍พระ‍คุณ​แล้ว?”

       (If I partake with thankfulness, why am I denounced because of that for which I give thanks?)

10:31 “เพราะ‍ฉะนั้น​เมื่อ​พวก‍ท่าน​จะ​รับ‍ประ‌ทาน จะ​ดื่ม หรือ​จะ​ทำ​อะไร​ก็​ตาม จง​ทำ​เพื่อ​ถวาย​พระ‍เกียรติ​แด่​พระ‍เจ้า”

       (So, whether you eat or drink, or whatever you do, do all to the glory of God. )

10:32 “อย่า​เป็น‍ต้น‍เหตุ​ที่​ทำ​ให้​พวก​ยิว หรือ​พวก​กรีก หรือ​คริสต‌จักร​ของ​พระ‍เจ้า​หลง‍ผิด​ไป”

       (Give no offense to Jews or to Greeks or to the church of God, )

10:33 “และ​ให้​เป็น​เหมือน​ข้าพ‌เจ้า​เอง​ที่​พยา‌ยาม​ทำ​ทุก‍สิ่ง​เพื่อ​ให้​พอ‍ใจ​ทุก‍คน ไม่‍ได้​เห็น​แก่​ประ‌โยชน์​ส่วน‍ตัว แต่​เห็น​แก่​ประ‌โยชน์​ของ​คน​มาก‍มาย เพื่อ​ให้​เขา‍ทั้ง‍หลาย​ได้​รับ​ความ​รอด”

    (just as I try to please everyone in everything I do, not seeking my own advantage, but that of many, that they may be saved.)

ข้อมูลมีประโยชน์

 10:1     “ใต้เมฆ…ผ่านทะเล” (under the cloud, and all passed through the sea)

“เมฆ” = เครื่องหมายการทรงนำของพระเจ้าเมื่อนำอิสราเอลออกมาจากอียิปต์ (อพย.13:21;40:36-37;กดว.9:17, 21;10:11-12;24:14;นหม.9:12,19;สดด.78:14)

“ทะเล” = เครื่องหมายสุดยอดของพระราชกิจของพระเจ้าเมื่อนำชนชาติอิสราเอลข้ามแม่น้ำอย่างปลอดภัย แต่ก็นำการลงโทษมาสู่คนอียิปต์ด้วย (อพย.14:1-15:20;ฉธบ.11:4;ยชว.2:10;นหม.9:9,11;สดด.66:6;77:16,19;78:13,53;106:9-11;136:13-15;อสย.43:16-17;51:10;63:11-13

10:2     “ได้รับบัพติศมา” (were baptized)= ภาพที่เปาโลใช้บรรยายความเป็นหนึ่งเดียวกันของอิสราเอลกับโมเสส ในแผนการทรงไถ่ของพระเจ้า เหมือนกับที่คริสเตียนเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ผ่านการสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นมาจากตายของพระองค์ ซึ่งเป็นนัยสำคัญของการรับบัพติศมาของคริสเตียน

10:3-4 “อาหารฝ่ายจิตวิญญาณ…น้ำฝ่ายจิตวิญญาณ” (spiritual food…spiritual drink) = ในบางฉบับแปลว่า

“อาหารทิพย์…น้ำทิพย์” = มานาและน้ำที่ไหลออกมาจากศิลา (อพย.16:2-36;17:1-7;กดว.20:2-11;21:16)

= ภาพแห่งการเลี้ยงดูของพระเจ้าที่ประทานให้แก่ประชากรของพระองค์โดยไม่ขาด ซึ่งมีนัยสำคัญในพิธีมหาสนิท

10:4     “ศิลานั้นคือพระคริสต์” (the Rock was Christ) = พระเยซูเป็นอาหารแห่งชีวิต และน้ำแห่งชีวิต (ยน.4:14;6:30-35)

-พระคริสต์ทรงสถิตอยู่กับประชากรของพระองค์ทรงเลี้ยงดูจิตวิญญาณของพวกเขาในขณะที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร (ปท.8:6)

10:5     “มีคนส่วนมากในพวกนั้นที่พระเจ้าไม่พอพระทัย”(Nevertheless, with most of them God was not pleased) = ทั้ง ๆ ที่ชาวอิสราเอลได้รับสิทธิพิเศษ (ข.1-4) แต่พวกเขากลับไม่เชื่อฟังพระเจ้า   พระเจ้าจึงไม่พอพระทัย ดังนั้น ในท่ามกลางคนทั้งหมดที่ออกมาจากอียิปต์ มีเพียงคาเลบกับโยชูวาเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าแผ่นดินคานาอัน (กดว.14:22-24;28-35;ฉธบ.1:34-36;ยชว.1:1-2;14:6-14)

10:6     “ปรารถนาสิ่งชั่วเหมือนเขาทั้งหลาย” (desire evil as they did) = เหมือนสิ่งที่อยู่ในใจของเปาโล ในข้อ 7-10

10:7     “นับถือรูปเคารพ” (idolaters) = การนมัสการลูกวัวทองคำ (อพย.32:1-6) และประชาชนกินอาหารที่ถวายแด่รูปเคารพ (ปท.บทที่ 8)

10:8     “ล้มลงตายในวันเดียวสองหมื่นสามพันคน” ( twenty-three thousand fell in a single day)

= เหตุการณ์ตอนที่อิสราเอลร่วมนมัสการพระบาอัลของชาวโมอับที่เปโอร์ และร่วมทำผิดศีลธรรมทางเพศกับโสเภณีที่นมัสการพระนี้ (กดว.25:1-9)

-ใน กดว.25:9 ระบุจำนวนตัวเลข 24,000 คน ในที่นี้จึงเป็นตัวเลขประมาณการที่ อ.เปาโล ใช้อ้างอิง

10:10   “อย่าให้เราบ่น” (nor grumble) –กดว.16:41

= องค์เพชฌฆาต = ทูตมรณะ ซึ่งนำภัยพิบัติมาใน กดว.16:46-50 เนื่องจากชาวอิสราเอลบ่นต่อว่าติเตียนโมเสสและอาโรน (กดว.16:41) ปท.อพย.12:23

10:11   “ได้เขียนไว้เพื่อเตือนสติเรา” (written down for our instruction) –รม.15:4

“วาระสุดท้ายของยุคนี้” (the end of the ages has come) = ช่วงเวลาที่เริ่มต้นตั้งแต่การสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ และดำเนินต่อเนื่องจนถึงวันที่พระเยซูเสด็จกลับมา

10:13  “การทดลอง” (temptation) –การทดลองในตัวมันเองไม่ใช่บาป พระเยซูคริสต์ก็ถูกทดลอง (มธ.4:1-11)

แต่การยอมแพ้การทดลองต่างหากที่ทำให้เกิดบาป

คำว่า “การทดลอง” ในภาษากรีก ยังแปลว่า “การทดสอบ” ได้ด้วย

อ.เปาโลกำลังกล่าวถึงการทดสอบที่มีการทดลองแทรกเข้ามาด้วย (มธ.6:13)

“เพื่อพวกท่านจะมีกำลังทนได้” (the way of escape, that you may be able to endure it.) = สามารถยืนหยัดภายใต้การทดลอง โดยการช่วยเหลือของพระเจ้าให้ต่อสู้และอดทนต่อการทดลองได้โดยไม่พังทลายลง

10:14   “จงหลีกหนีการนับถือรูปเคารพ” (flee from idolatry) –อพย.32:1-6, ชาวโครินธ์มาจากภูมิหลังที่นับถือรูปเคารพ และเทพเจ้าทั้งหลาย มีวิหารมากมายสำหรับนมัสการเทพอปอลโล อัสคลีปิอัส หรือเทวี

ดีมีเทอร์ อโฟรไดท์ และอื่น ๆ – ทำให้เป็นการทดลองหนักมากที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนทั่วไปที่นมัสการพระเทพเหล่านี้ ในวิถีชีวิตประจำวันหรือในกิจวัตรของชีวิต

10:16   “ถ้วยแห่งพรซึ่งเราได้ขอพรนั้น” (The cup of blessing that we bless) = ถ้วยน้ำองุ่นซึ่งเราอธิษฐานขอบพระคุณ

= ถ้วยน้ำองุ่นที่คริสเตียนใช้ดื่มในพิธีมหาสนิท (มธ.26:27-28,มก.14:23-24;ลก.22:20)

= การดื่มน้ำองุ่นในพิธีมหาสนิทเป็นการกระทำแห่งความเชื่อที่ประกาศตนมีส่วนร่วมในพระสัญญาที่ได้รับจากการหลั่งโลหิตของพระคริสต์

“ขนมปังซึ่งเราหักนั้น” (The bread that we break) -มธ.26:26;มก.14:22;ลก.22:19

“มีส่วนร่วมในพระกายของพระคริสต์” (a participation in the body of Christ) = มีส่วนร่วมใน

พระโลหิตของพระคริสต์ –1คร.11:23-25;มธ.26:27-28

10:17   “ขนมปังก้อนเดียว” (one bread ) = ผู้เชื่อหลายคนแบ่งขนมปังจากก้อนเดียวกันเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในพระกายของพระคริสต์ (นั่นคือ คริสตจักร) ได้รับการเลี้ยงดูจากขนมปังแห่งชีวิตก้อนเดียวกัน –ยน.6:33-38

10:18   “คนที่รับประทานของบูชานั้น ก็มีส่วนร่วมในแท่นบูชานั้นมิใช่หรือ?” (who eat the sacrifices participants in the altar?)

-เมื่อประชาชนอิสราเอลกินเครื่องบูชา ซึ่งถวายที่แท่นบูชาส่วนหนึ่ง (ลนต.7:15;8:31;ฉธบ.12:17-18) ก็เท่ากับเขามีส่วนร่วมกับแท่นบูชาในการเผาเครื่องบูชา และสิ่งที่ถูกเผาบนแท่นบูชาก็เป็นส่วนของพระเจ้า

10:19   “รูปเคารพนั้นศักดิ์สิทธิ์หรือ?” ( that an idol is anything?) = สำคัญหรือ? (8:4-6)

10:20   “ถวายบูชาแก่พวกผี” (participants with demons) = สังเวยแก่ผีมาร

= เชื่อกันว่า การนมัสการรูปเคารพเป็นการนมัสการผีมาร

= ผู้เชื่อไม่ควรกิน(เนื้อ) ในงานเลี้ยงที่วิหาร เพราะทำให้เขากลายเป็นผู้มีส่วนร่วมกับผีมาร

10:22   “ยั่วยุให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอิจฉาหรือ?” (Shall we provoke the Lord to jealousy) –โดยการกราบไหว้รูปเคารพและการนมัสการของผู้ไม่เชื่อพระเจ้า (อพย.20:5)

10:23   “แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์” (but not all things build up) -6:12, เราไม่ควรคิดถึงแค่สิทธิ์และเสรีภาพส่วนตนเท่านั้น แต่ควรคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์ของผู้อื่นด้วย (ข.24;ปท.8:1;กท.6:2)

10:25   “ทุกสิ่งที่ขายตามตลาดเนื้อนั้นรับประทานได้” (Eat whatever is sold in the meat market) –แม้จะถวายแด่รูปเคารพแล้วก็ตาม เพราะเมื่อเนื้อนั้นออกมาสู่ตลาดก็ไม่มีความสำคัญหรือนัยทางศาสนา

10:26   “แผ่นดินโลกกับสรรพสิ่งในโลกนั้นเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (the earth is the Lord’s, and the fullness thereof ) = มาจาก สดุดี 24:1 ชาวยิวใช้เป็นคำอวยพรในช่วงรับประทานอาหาร ปท. สดด.50:12;89:11

10:27   “ทุกสิ่งที่เขาตั้งให้รับประทานก็รับประทานได้” (eat whatever is set before you without raising any question on the ground of conscience            )= มีเสรีภาพที่จะทานเนื้อนั้นได้ตราบเท่าที่ไม่มีการยกประเด็นเรื่องไหว้รูปเคารพขึ้นมาพูด

10:28   “เพื่อเห็นแก่คนที่บอกนั้น” (for the sake of the one who informed you) = คนที่บอกอาจคิดว่า ผู้ที่กิน

เนื้อนั้นยอมหรือเต็มใจมีส่วนร่วมกับการนมัสการรูปเคารพที่นำเนื้อไปเซ่นไหว้

“มโนธรรม” (conscience) = จิตสำนึกผิดชอบ เพื่อไม่ให้คนนั้น (ข้อ 29) คิดว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่จะต้องกินเนื้อที่เซ่นไหว้ทั้ง ๆ ที่ตัวคนกินเองยังรู้สึกสงสัยอยู่

10:29   “เสรีภาพของข้าพเจ้า” (my liberty) –เทียบกับ รม.14:16

-การใช้เสรีภาพส่วนบุคคลต้องคำนึงถึงการถวายเกียรติแด่พระเจ้าเป็นสำคัญ และเสริมสร้างคริสตจักรของพระเจ้าหรือไม่? และช่วยให้ผู้ไม่เชื่อต้อนรับพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือไม่? (ข.31-33)

10:30   “สิ่งที่ได้ขอบพระคุณแล้ว” (I partake with thankfulness ) –อ.เปาโลขอบคุณพระเจ้าได้สำหรับเนื้อที่   เซ่นไหว้รูปเคารพแล้ว เพราะว่า รูปเคารพนั้นไม่มีความหมายอะไรและเนื้อก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างมา

10:31   “จงทำเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า” ( all to the glory of God) = หลักการที่ครอบคลุมเนื้อหาใน     บทที่ 8-10 นั่นคือ พระเจ้าต้องได้รับการถวายพระเกียรติผ่านทุกสิ่งที่คริสเตียนกระทำ (รม.16:27)

10:32   “อย่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้…หลงผิดไป” (Give no offense to Jews or to Greeks or to the church of God) =ผู้ที่ดำเนินชีวิตถวายเกียรติแด่พระเจ้า จะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ทั้งที่เป็นคริสเตียน(คริสตจักร) และที่ไม่เป็นคริสเตียน (คนยิว/กรีก)

10:33   “ทำทุกสิ่งเพื่อให้พอใจทุกคน” ( I try to please everyone in everything I do) = ทำให้ทุกคนพอใจในทุกด้าน

-เปาโลจะไม่ทำสิ่งใดที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการยอมรับข่าวประเสริฐที่จะทำให้พวกเขารอด -9:22

 

คำถามนำอภิปราย

  1. พิธีบัพติศมาและพิธีมหาสนิทมีความหมายอะไรสำหรับ คริสตจักรและสำหรับตัวของคุณ ?
  2. คุณเคยหรือกำลังกระทำอะไรบ้างที่พระเจ้าไม่พอพระทัย? แล้วได้รับผลอย่างไร?
  3. มีเหตุการณ์อะไรในพระคัมภีร์ที่เตือนใจคุณไม่ให้ปรารถนาสิ่งชั่ว? โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่อง
  • การนับถือรูปเคารพ
  • ล่วงประเวณี?
  1. มีอะไรบ้างที่เข้าข่ายลองดีต่อพระคริสต์ในท่ามกลางสังคมคริสเตียน หรือในคริสตจักรของคุณในเวลานี้?
  2. คุณเป็นคนชอบบ่นหรือไม่? คุณชอบคนบ่นหรือไม่? ทำไม? และจะมีอะไรตามมา หากว่าคุณชอบบ่น?
  3. คุณเคยคิดว่า คุณมั่นคงดีแล้วหรือไม่?   แล้วเกิดอะไรขึ้น?
  4. คุณเคยถูกทดลองหนักจนคิดว่า เกินกว่าที่จะทนได้ แต่สุดท้าย พระเจ้าทรงช่วยให้มีทางออกอย่างเหลือเชื่อบ้างหรือไม่? (แบ่งปัน)
  5. คุณเคยใช้เสรีภาพของคุณอย่างผิด ๆ บ้างหรือไม่? อย่างไร? แล้วผลเป็นอย่างไร? (แบ่งปัน)
  6. คุณเคยกระทำสิ่งใดที่ขัดกับมโนธรรมบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? แล้วมีอะไรตามมา?
  7. คุณเคยทำอะไรที่คุณรู้สึกว่า ถวายเกียรติพระเจ้ามากที่สุดในชีวิตของคุณ? (แบ่งปัน)

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนพระคัมภีร์ (แปล) มัทธิวบทที่ 3

3. การสังหารทารก และผู้บริสุทธิ์ต้องรับทุกข์

(มัทธิว 2:13-18)

คำนำ

มัทธิวทำให้นักศึกษาพระคัมภีร์ต้องเจอปัญหาหลายประการในการตีความพระกิตติคุณของท่านในบทที่สอง อย่างที่ชี้ให้เห็นในบทเรียนที่แล้ว ท่านอ้างพระวจนะจากพระคัมภีร์เดิมถึงสี่ครั้งในบทที่สอง มีพระวจนะแค่ข้อเดียวที่คำพยากรณ์ตรงกับเหตุการณ์การประสูติของพระเยซู นั่นคือมีคาห์ 5:2 ในมัทธิว 2:6 มีคาห์พยากรณ์ว่าเบธเลเฮมจะเป็นที่ประสูติของพระเมสซิยาห์ ชัดเจนและตรงที่สุด แม้พวกนักศาสนาในเยรูซาเล็มที่ไม่เชื่อก็ยังเข้าใจ

อีก 3 ข้อจากพระคัมภีร์เดิมที่นำมาใช้ในมัทธิว 2 ไม่ได้เป็นคำพยากรณ์ตรงเป๊ะอย่างที่เราอยากเห็น เช่นจากโฮเชยา 11:1 ในมัทธิว 2:5 ไม่อาจพูดว่าเป็นคำพยากรณ์ที่ใช่ มัทธิวมองว่าที่พระเยซูเสด็จกลับจาก “ลี้ภัย” ที่อียิปต์ ทำให้คำของโฮเชยา “เราได้เรียกบุตรชายของเราออกมาจากอียิปต์” เกิดขึ้นเป็นจริง มัทธิว 2:23 เหมือนนำพระวจนะจากพระคัมภีร์เดิมมาใช้แต่ออกจะซับซ้อน เพราะไม่มีพระวจนะข้อใดในพระคัมภีร์เดิมพูดว่าพระเยซู “จะถูกเรียกว่าเป็นชาวนาซาเร็ธ” แต่ข้อที่จะเราเลือกเรียนกันคือ เยเรมีย์ 31:15 ที่พูดได้ว่าได้เกิดขึ้นจริงตามเหตุการณ์ในมัทธิว 2:16-18

ครั้นเขาไปแล้วก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้า ได้มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันแล้วบอกว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้า เพราะว่าเฮโรดจะแสวงหากุมาร เพื่อจะประหารชีวิตเสีย” ในเวลากลางคืนโยเซฟจึงลุกขึ้น พากุมารกับมารดาไปยังประเทศอียิปต์ และได้อยู่ที่นั่นจนเฮโรดสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งได้ตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า เราได้เรียกบุตรของเราให้ออกมาจากอียิปต์ ครั้นเฮโรดเห็นว่าพวกโหราจารย์หลอกท่าน ก็กริ้วโกรธยิ่งนัก จึงใช้คนไปฆ่าเด็กผู้ชายทั้งหลาย ในบ้านเบธเลเฮมและที่ใกล้เคียงทั้งสิ้น ตั้งแต่อายุสองขวบลงมา ซึ่งพอดีกับเวลาที่ท่านได้ทราบจากพวกโหราจารย์นั้น ครั้งนั้นก็สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสโดยเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะว่า ได้ยินเสียงในหมู่บ้านรามาห์ เป็นเสียงโอดครวญและร่ำไห้ คือนางราเชลร้องไห้คร่ำครวญ เพราะบุตรทั้งหลายของตน นางไม่รับฟังคำปลอบเล้าโลม เพราะบุตรทั้งหลายนั้นไม่มีแล้ว (มัทธิว 2:13-18)

มีคำถามเกิดขึ้นหลายข้อเมื่อมัทธิวนำเยเรมีย์ 31:15 มาโยงเข้ากับเฮโรดสังหารทารกในเบธเลเฮม บางคนสนใจวิธีที่มัทธิวใช้พระคำจากพระคัมภีร์เดิม อื่นๆเกี่ยวข้องกับอำนาจอธิปไตยของพระเจ้า และการที่มนุษย์ต้องรับทุกข์ เราจะอธิบายความทุกข์ที่เกิดขึ้นในการประสูติของพระเยซู และการลี้ภัยไปที่อียิปต์ว่าทำไม? จำเป็นด้วยหรือ? ทำไมพระเจ้าถึงอนุญาต? พระองค์น่าจะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น

มัทธิวทำอย่างไรให้ผู้อ่านเข้าใจการเชื่อมโยงระหว่างเฮโรดสังหารทารกใน 2:16-18 และเยเรมีย์ 31:15? อย่างที่รู้กัน ทารกเหล่านี้ยังเป็นมนุษย์ที่เรียกว่า “ไร้เดียงสา” ทำไมมัทธิวอธิบายเหตุการณ์ที่โหดเหี้ยมนี้ว่าถูกกำหนดไว้แล้ว หรือพระเจ้ามีพระประสงค์ให้เกิดขึ้น?

บทเรียนนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในมัทธิว 2:16-18 เราจะมาหาคำตอบในมุมมองที่กว้างกว่าของพระคัมภีร์ และตามมุมมองของศาสนศาสตร์ จุดมุ่งหมายของบทเรียนนี้เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นเรื่องการทนทุกข์ โดยเฉพาะ “ทุกข์ที่ตัวเองไม่ได้ก่อ” เราจะมาเรียนว่าทำไม และอย่างไร “ผู้บริสุทธิ์ต้องมารับทุกข์” ตามที่พระเจ้ากำหนด จะเริ่มจากดูที่พระวจนะตอนอื่นก่อน แล้วกลับมาที่มัทธิวนำเยเรมีย์ 31:15 มาใช้ในมัทธิว 2:18

ความทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชีวิตคนเรา

(โรม 8:18-27)

เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ลำบากแห่งสมัยปัจจุบัน ไม่สมควรที่จะเอาไปเปรียบกับศักดิ์ศรี ซึ่งจะเผยให้แก่เราทั้งหลาย ด้วยว่าสรรพสิ่งที่ทรงสร้างแล้ว มีความเพียรคอยท่าปรารถนาให้บุตรทั้งหลายของพระเจ้าปรากฏ เพราะว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นต้องเข้าอยู่ในอำนาจของอนิจจัง ไม่ใช่ตามใจชอบของตนเอง แต่เป็นไปตามที่พระเจ้าได้ทรงให้เข้าอยู่นั้น ด้วยมีความหวังใจว่า สรรพสิ่งเหล่านั้นจะได้รอดจากอำนาจแห่งความเสื่อมสลาย และจะเข้าในเสรีภาพและศักดิ์ศรีแห่งบุตรทั้งหลายของพระเจ้า เรารู้อยู่ว่าบรรดาสรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้นกำลังคร่ำครวญ และผจญความทุกข์ยากด้วยกันมาจนทุกวันนี้ และไม่ใช่เท่านั้น แต่เราทั้งหลายเองด้วย ผู้ได้รับพระวิญญาณเป็นผลแรก ตัวเราเองก็ยังคร่ำครวญคอยการที่พระเจ้าทรงให้เป็นบุตร คือที่จะทรงให้กายของเราทั้งหลายรอดตาย เหตุว่าเราทั้งหลายรอดแม้เป็นเพียงความหวังใจ แต่ความหวังใจในสิ่งที่เราเห็นได้ หาเป็นความหวังใจไม่ ด้วยว่าใครเล่าจะยังหวังในสิ่งที่เขาเห็นแต่ถ้าเราทั้งหลายคอยหวังใจในสิ่งที่เรายังไม่ได้เห็น เราจึงมีความเพียรคอยสิ่งนั้น (18-25)

ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณก็ทรงช่วยเราเมื่อเราอ่อนกำลังด้วย เพราะเราไม่รู้ว่าเราควรจะอธิษฐานขอสิ่งใดอย่างไร แต่พระวิญญาณทรงช่วยขอแทนเรา ในเมื่อเราคร่ำครวญอธิษฐานไม่เป็นคำและพระองค์ผู้ทรงชันสูตรใจมนุษย์ ก็ทรงทราบความหมายของพระวิญญาณ เพราะว่า พระวิญญาณทรงอธิษฐานขอเพื่อธรรมิกชนตามที่ชอบพระทัยพระเจ้า (26-27)

อ. เปาโลชี้ให้เห็นว่ามนุษย์เต็มไปด้วยความบาปและสมควรแก่พระอาชญานิรันดร์ ไม่ว่ามาตรฐานของมนุษย์จะล้มเหลวจนมองไม่เห็นพระเจ้าในธรรมชาติ (โรม 1) หรือการสำแดงของพระเจ้าในธรรมบัญญัติโมเสส (โรม 2) ธรรมบัญญัติไม่อาจช่วยมนุษย์ให้รอด มีแต่ชี้ให้เห็นความผิดพลาด เพราะไม่มีใครทำตามที่บัญญัติไว้ได้ครบถ้วน (โรม 3:1-20) เมื่อมนุษย์ไม่อาจรอดได้จากการกระทำของตนเอง พระเจ้าทรงเตรียมหนทางให้โดยไม่เกี่ยวกับการกระทำ โดยทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ การสิ้นพระชนม์อย่างทุกข์ทรมานของพระองค์ เพื่อคนที่วางใจในพระองค์จะรอดได้ (โรม 3:21-31) ความรอดโดยทางความเชื่อไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ เป็นทางเดียวกับที่อับราฮัมและธรรมิกชนในพระคัมภีร์เดิมได้รับมาแล้ว (โรม 4)

ในโรม 5 อ.เปาโลพูดถึงสิทธิพิเศษในความรอดที่พระเจ้ามอบให้โดยการสิ้นพระชนม์อย่างทุกข์ทรมาน และการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ที่น่าสนใจคือสิทธิพิเศษแรกที่ อ.เปาโลพูดถึงเกี่ยวข้องกับการทนทุกข์ :

เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขในพระเจ้า ทางพระเยซูคริสตเจ้าของเรา โดยทางพระองค์เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่ และเราชื่นชมยินดีในความไว้วางใจ ว่าจะได้มีส่วนในพระสิริของพระเจ้า ยิ่งกว่านั้น เราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้น ทำให้เกิดความอดทน และความอดทนทำให้เห็นว่าเราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ และการที่เราเห็นเช่นนั้นทำให้เกิดมีความหวังใจ และความหวังใจมิได้ทำให้เกิดความเสียใจเพราะผิดหวัง เพราะเหตุว่าความรักของพระเจ้าได้หลั่งเข้าสู่จิตใจของเรา โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว ขณะเมื่อเรายังขาดกำลัง พระคริสต์ก็ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยคนบาปในเวลาที่เหมาะสม ไม่ใคร่จะมีใครตายเพื่อคนตรง แต่บางทีจะมีคนอาจตายเพื่อคนดีก็ได้ แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพราะเหตุนั้นเมื่อเราเป็นคนชอบธรรมแล้วโดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งกว่านั้นเราจะพ้นจากพระอาชญาของพระเจ้าโดยพระองค์ เพราะว่าถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรูต่อพระเจ้าเราได้กลับคืนดีกับพระองค์ โดยที่พระบุตรของพระองค์สิ้นพระชนม์ ยิ่งกว่านั้นอีกเมื่อเรากลับคืนดีแล้ว เราก็จะรอดโดยพระชนม์ชีพของพระองค์แน่ มิใช่เพียงเท่านั้น เราทั้งหลายยังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ผู้ทรงเป็นเหตุให้เราได้กลับคืนดีกับพระเจ้า (โรม 5:1-11)

ความรอดของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์หยัดยืนได้ในความทุกข์ ที่จริงแล้วเรามีความชื่นชมยินดีในความทุกข์ ด้วยรู้ว่าจะทำให้ความเชื่อของเราหนักแน่นมั่นคง และมั่นใจในชีวิตนิรันดร์ ความรอดในองค์พระเยซูคริสต์นี้ ปลดปล่อยผู้เชื่อทุกคนจากการล้มลงของอาดัมและผลสาปแช่งของบาป สิ่งที่อาดัมทำ พระเจ้าทรงลบล้างแล้วในองค์พระเยซูคริสต์ และมากกว่านั้น (5:12-21)

ความรอดของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ไม่ใช่เป็นใบเบิกทางให้ทำบาป แต่เป็นแรงกระตุ้นให้ดำเนินชีวิตตามแบบของพระองค์ เพราะเราผู้ซึ่งนับว่าตายแล้วในพระคริสต์โดยทางความเชื่อ ก็ได้ตายจากบาป และไม่อาจดำเนินชีวิตอยู่ในความบาปต่อไป (โรม 6:1-14) ต้องเข้าใจว่าเราหลุดพ้นจากพันธนาการของบาปแล้ว และตระหนักว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย ซึ่งแน่นอนเราไม่อาจดำเนินในทางนั้นได้อีกต่อไป (6:15-23) ในพระคริสต์ เราไม่เพียงแต่ตายจากบาป เราตายจากธรรมบัญญัติด้วย ซึ่งปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ (7:1-7) ธรรมบัญญัติไม่ได้เป็นรากเหง้าของปัญหา ความบาปต่างหาก เนื้อหนังของเรา (เรี่ยวแรงตามธรรมชาติของมนุษย์) ไม่เพียงพอเอาชนะความบาปได้ ความบาปจึงเอาชนะได้เมื่อเราพยายามด้วยกำลังของเราเอง (7:8-25)

ทางออกจากอำนาจบาปคืออำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คนที่วางใจในพระเยซูคริสต์ไม่ได้ตกอยู่ภายใต้คำแช่งสาปอีกต่อไป พวกเขาไม่ตกอยู่ในอาณาจักรของบาปแล้ว และมีอำนาจที่จะเอาชนะอย่างที่กำลังของเนื้อหนังทำไม่ได้ (ความชอบธรรมตามธรรมบัญญิติครบถ้วนแล้วในเรา) แต่ทำได้โดยทางพระวิญญาณ พระวิญญาณเดียวกับที่ชุบพระเยซูคริสต์ขึ้นมาจากความตาย เดี๋ยวนี้สถิตอยู่ในเรา ประทานชีวิตให้กับกายที่เสื่อมสลายนี้ ทุกคนที่เป็นผู้เชื่อแท้ในพระเยซูคริสต์มีพระวิญญาณสถิตอยู่ และที่เหนือกว่าทรงให้เรามั่นใจได้ว่าเราเป็น “บุตรของพระเจ้า” (8:1-17)

เราอาจคิดว่าเมื่ออ่านโรม 8:18 อ.เปาโลกำลังบอกว่าต่อไปนี้ชีวิตเราจะ “โรยด้วยกลีบกุหลาบ” มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ในเรารับประกันว่าความเจ็บปวด และความทุกข์จะหมดสิ้นไป แต่ในข้อ 18-30 อ.เปาโลกลับพูดตรงกันข้าม ท่านยืนยันว่าชีวิตมนุษย์ทุกคนต้องเผชิญกับประสบการณ์ “ความทุกข์ยาก และการคร่ำครวญ” เพราะการล้มลงของมนุษย์และผลที่ตามมา ตามที่ท่านเขียน “เรารู้อยู่ว่าบรรดาสรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้นกำลังคร่ำครวญ และผจญความทุกข์ยากด้วยกันมาจนทุกวันนี้” (8:22) ความวุ่นวายและคำแช่งสาปผลจากความบาปของอาดัมจะยังไม่หมดไปจนกว่าการเสด็จกลับมาอีกครั้งของพระเยซูคริสต์ และ “ให้บุตรทั้งหลายของพระเจ้าปรากฏ” (8:19) และในเวลานั้นพระเจ้าจะ “ทรงให้เป็นบุตร คือที่จะทรงให้กายของเราทั้งหลายรอดตาย” (8:23) และเมื่อเวลานั้นมาถึง เราและสรรพสิ่งทรงสร้างจะได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการของความเสื่อมสลาย (8:21)

ถ้าทั้งสิ้นในโลกนี้ยังทนทุกข์และคร่ำครวญ สำหรับคริสเตียนแล้วต้องเผชิญมากกว่า คริสเตียนเป็นพวกที่ได้ลิ้มรสชีวิตนิรันดร์ และได้รับ “พระวิญญาณเป็นผลแรกแล้ว” (8:22) เราไม่เพียงแต่รอคอยเวลาที่พระเจ้าจะทำให้ทุกสิ่งเป็นสิ่งใหม่ แต่เรายังคร่ำครวญต่อโลกนี้ที่ล่มสลายเพราะความบาป ถึงกระนั้นเราก็ยังรอคอยวันนั้นด้วยความเพียรและความหวังใจ (8:25)

ความรอดในพระคริสต์และของประทานจากพระวิญญาณไม่ได้กันเราออกจากความทุกข์ แต่ทำให้เราฝ่าความทุกข์นั้นไปได้ พระวิญญาณจะเสริมกำลังและพยุงเราไว้ ให้ความมั่นใจในความเป็นบุตร อธิษฐานแทนเมื่อเราคร่ำครวญเพราะความทุกข์ (8:26-27) พระเจ้าองค์เดียวกันนี้ที่นำเราให้รอดพ้นจากพระอาชญาและอำนาจของบาป จะปลดปล่อยเราออกจากความบาปของปัจจุบัน จนกว่าจะถึงวันนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงช่วยเราในท่ามกลางความทุกข์ที่ต้องเผชิญ

สรุปคือ ความทุกข์ยากเป็นประสบการณ์ที่มนุษย์ต้องเผชิญ เพราะเราอยู่ในโลกที่ถูกคำแช่งสาปของบาป พระเจ้าประทานสิ่งที่จำเป็นในการเผชิญความทุกข์ในชีวิต และนำไปจนถึงเป้าหมายที่ทรงเตรียมไว้ให้ในชีวิตเรา เราทนต่อความทุกข์ได้เพราะพระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ เพื่อปลอบประโลมและให้ความมั่นใจในฐานะบุตรของพระองค์ ทำหน้าที่แทนเมื่อเราอ่อนกำลัง คริสเตียนไม่ได้รับการยกเว้นในเรื่องความทุกข์ แต่เพราะชีวิตใหม่และความหวังใจนิรันดร์ ทำให้สามารถ “ทนทุกข์คร่ำครวญ” ได้พร้อมกับทุกสรรพสิ่งทรงสร้าง รอคอยการกลับมาของพระเยซูคริสต์ และถ้าการทนทุกข์เหล่านี้ทำสิ่งใดให้ได้บ้าง ทำให้เรากระหายหาแผ่นดินสวรรค์ของพระองค์ :

พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับวิญญาณจิตของเราทั้งหลายว่า เราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า และถ้าเราทั้งหลายเป็นบุตรแล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ เมื่อเราทั้งหลายทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์นั้น ก็เพื่อเราทั้งหลายจะได้ศักดิ์ศรีด้วยกันกับพระองค์ด้วย เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ลำบากแห่งสมัยปัจจุบัน ไม่สมควรที่จะเอาไปเปรียบกับศักดิ์ศรี ซึ่งจะเผยให้แก่เราทั้งหลาย (16-18)

ไม่ใช่ทุกการทนทุกข์เป็นผลโดยตรงจากความบาปของเรา
ยอห์น 9:1-7

เมื่อพระองค์เสด็จดำเนินไปนั้น ทรงเห็นชายคนหนึ่งตาบอดแต่กำเนิด และพวกสาวกของพระองค์ทูลถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ใครได้ทำผิดบาป ชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขา เขาจึงเกิดมาตาบอด” พระเยซูตรัสตอบว่า “มิใช่ว่าชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขาได้ทำบาป แต่เขาเกิดมาตาบอด เพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา เราต้องกระทำพระราชกิจของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาเมื่อยังวันอยู่ เมื่อถึงกลางคืนไม่มีผู้ใดทำงานได้ ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลก เราเป็นความสว่างของโลก” เมื่อตรัสดังนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงบ้วนน้ำลายลงที่ดิน แล้วทรงเอาน้ำลายนั้นทำเป็นโคลนทาที่ตาของคนตาบอด แล้วตรัสสั่งเขาว่า “จงไปล้างโคลนออกเสียในสระสิโลอัมเถิด” (สิโลอัมแปลว่า ใช้ไป) เขาจึงไปล้างแล้วกลับมาก็เห็นได้

เราคงจำเรื่องโยบและเพื่อนๆที่มา “ทอนกำลังใจ” กันได้ พวกเขาให้คำปรึกษาโดยตั้งอยู่บนการคาดเดาที่ผิดพลาด – ความทุกข์มาจากผลโดยตรงของบาปที่ตัวเองก่อเสมอ – แม้แต่สาวกของพระเยซูยังคิดเช่นนั้น ขณะเดินทาง พระเยซูทอดพระเนตรเห็นชายตาบอดแต่กำเนิด ผมสงสัยว่าพวกสาวกจะเห็นมั้ยถ้าพระเยซูไม่เอ่ยถึง50 พวกสาวกทูลถามว่าใครเป็นคนทำบาป ชายตาบอดหรือพ่อแม่ของเขา51 พวกเขาไม่เคยคิดได้เลยว่าชายคนนี้อาจไม่ได้ทนทุกข์เพราะความบาปของตัวเองหรือของพ่อแม่

นี่เป็นคำอธิบายถึงความทุกข์ของมนุษย์ที่ล่อแหลม อาจทำให้บางคนยอมรับได้ ในอีกด้านทำให้มีคำตอบสำหรับความทุกข์ หรือทำให้ทนต่อไปได้ มันง่ายมากที่จะรับเอาคำอธิบายว่าคนที่เจอความทุกข์นั้นสมควรแล้วเพราะก่อเรื่องเอง แต่คนที่ต้องรับทุกข์ในเรื่องที่ตนเองไม่ได้ก่อก็ยากเกินอธิบาย ในอีกด้าน เป็นคำอธิบายที่ง่ายและยอมรับได้เพราะทำให้ไม่ต้องรับผิดชอบช่วยเหลือคนที่ทนทุกข์นั้น ถ้าคนที่เจอความทุกข์เพราะตัวเองก่อ ความทุกข์นั้นก็เป็นการพิพากษาของพระเจ้าต่อบาป ถ้าพระเจ้าจะลงโทษคนที่ทำผิด เราเป็นใครที่จะไปช่วยเหลือ? เพราะเราจะกลายเป็นตัวการขัดขวางพระประสงค์ของพระเจ้า

มันยากที่จะนึกว่าชายตาบอดคนนี้รู้สึกอย่างไรเมื่อตกเป็นหัวข้อสนทนา เขาจะไม่รู้เลยหรือว่าถูกผู้คนตราหน้าทำนองนี้มานักต่อนัก พระเยซูทรงตอบคำถามสาวกในแบบที่ทำให้พวกเขาตะลึง ตรัสว่าที่ชายคนนี้ตาบอดแต่กำเนิดไม่ใช่เพราะความบาป ไม่ใช่บาปของเขาเอง หรือบาปของพ่อแม่ พระองค์กลับประกาศว่าที่ชายคนนี้ตาบอดเพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา52 ถ้าผมเป็นชายตาบอดคนนั้น ผมคงหูผึ่งอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรต่อไป หลังจากประกาศไปว่า “เราเป็นความสว่างของโลก” พระเยซูทรงบ้วนพระเขฬะ (น้ำลาย) ลงที่ดิน ทำเป็น “โคลน” ทาที่ตาของชายตาบอด สั่งให้ไปล้างออกที่ในสระสิโลอัม เมื่อเขาทำตาม ก็มองเห็น

ขอให้การอัศจรรย์นี้เป็นคำสั่งและเป็นคำเตือนถึงเราทุกคน ความทุกข์ไม่จำเป็นต้องเป็นผลโดยตรงจากความบาปของคนๆนั้น แน่นอนเราเคยเห็นหลายเหตุการณ์ที่ความบาปและความทุกข์จูงมือไปด้วยกัน นี่เป็นกรณีของชายอัมพาตที่ริมสระเบธซาธาในยอห์นบทที่ 5 พระเยซูทรงเข้าไปรักษาชายคนนี้ แล้วหลบไป ชายอัมพาตนี้ก็แบกแคร่เดินกลับบ้าน ทำให้ละเมิดกฎของวันสะบาโต เขาจึงถูก “ตำรวจศาสนา” จัดการเพราะทำผิดกฎวันสะบาโต เมื่อเขาเล่าให้ฟังเรื่องการรักษา พวกนั้นก็ตื๊ออยากรู้ให้ได้ว่าใครเป็นคนรักษา – ในความคิดพวกเขาคนที่รักษานี้ก็น่าจะ “ละเมิดกฎวันสะบาโต” ด้วย ชายอัมพาตไม่รู้ว่าคนนั้นเป็นใคร เลยบอกไม่ได้ พระเยซูไปพบชายคนนั้นอีกทีที่หลังพระวิหาร แล้วตรัสกับเขาว่า:

“นี่แน่ะ เจ้าหายโรคแล้ว อย่าทำบาปอีก มิฉะนั้นเหตุร้ายกว่านั้นจะเกิดกับเจ้า” ชายคนนั้นก็ได้ออกไปบอกพวกยิวว่า ท่านที่ได้รักษาเขาให้หายโรคนั้น คือพระเยซู (ยอห์น 5:14ข-15)

ชายที่หายจากอัมพาตนี้รีบไปรายงานพวก “เจ้าหน้าที่ยิว” ว่าพระเยซูเป็นผู้รักษาให้หาย ที่แน่ๆคือชายคนนี้ต้องทนทุกข์เพราะบาปของตน พระเจ้าจึงเตือนไม่ให้ทำบาปอีก แทนที่จะเชื่อฟังและละจากบาป เขากลับไปรายงานเรื่องพระเยซูให้เจ้าหน้าที่ฟัง

ความบาปที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วยมีบันทึกอยู่ในยากอบบทที่ 5 ยากอบสั่งให้ผู้ป่วยเชิญบรรดาผู้ปกครองของคริสตจักรมา และถ้าทำบาปก็ให้สารภาพเสีย (ยากอบ 5:14-16) บางครั้งบาปก็เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ 53 แต่ไม่เสมอไป ในกรณีของชายตาบอดแต่กำเนิด การทนทุกข์ของเขาทำให้พระราชกิจของพระเจ้าได้ปรากฎ

พระเจ้าทรงใช้การทนทุกข์ของเราเพื่อให้เกิดผลดีกับเรา
2โครินธ์ 12:1-10 / ฟีลิปปี 3:7-11 / สดุดี 119:65-72, 92

ข้าพเจ้าจำจะต้องอวด ถึงแม้จะไม่มีประโยชน์อะไร แต่ข้าพเจ้าจะเล่าต่อไป ถึงนิมิตและการสำแดงซึ่งมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าได้รู้จักชายคนหนึ่งผู้เลื่อมใสในพระคริสต์สิบสี่ปีมาแล้ว เขาถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นที่สาม (แต่จะไปทั้งกายหรือไปโดยไม่มีกายข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้าทรงทราบ) ข้าพเจ้าทราบ (แต่จะไปทั้งกายหรือไม่มีกายข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้าทรงทราบ) ว่าคนนั้นถูกรับขึ้นไปยังเมืองบรมสุขเกษม และได้ยินวาจาซึ่งจะพูดเป็นคำไม่ได้ และมนุษย์จะออกเสียงก็ต้องห้าม สำหรับชายคนนั้นข้าพเจ้าอวดได้ แต่สำหรับตัวข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าจะไม่อวดเลย นอกจากจะอวดถึงเรื่องการอ่อนแอของข้าพเจ้า เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้าอยากจะอวดข้าพเจ้าก็ไม่ใช่คนเขลา เพราะข้าพเจ้าพูดตามความจริง แต่ข้าพเจ้าระงับไว้ ก็เพราะเกรงว่า บางคนจะยกข้าพเจ้าเกินกว่าที่เขาได้รู้จากการเห็นและฟังข้าพเจ้า และเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวจนเกินไป เนื่องจากที่ได้เห็นการสำแดงมากมายนั้น ก็ทรงให้มีหนามใหญ่ในเนื้อของข้าพเจ้า หนามนั้นเป็นทูตของซาตานคอยทุบตีข้าพเจ้าเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวเกินไป เรื่องหนามใหญ่นั้น ข้าพเจ้าวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงสามครั้ง เพื่อขอให้มันหลุดไปจากข้าพเจ้า แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น” เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า เหตุฉะนั้นเพราะเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า ในการประทุษร้ายต่างๆในความยากลำบาก ในการถูกข่มเหง ในความอับจน เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น (2โครินธ์ 12:1-10)

พระคัมภีร์บันทึกถึงตัวอย่างที่พระเจ้าทรงใช้ความทุกข์ในชีวิตมนุษย์ให้เกิดผลดีกับตัวเขาเอง เราเห็นว่าพระเจ้าทรงใช้ความทุกข์ของคนตาบอดแต่กำเนิดเพื่อนำเขามาถึงความเชื่อ (ดูยอห์น 9:35-38) หลายคนที่มารับการรักษาจากพระเยซูแล้วกลับไปในความเชื่อ พระเจ้าใช้ความทุกข์ในชีวิตผู้นั้นเพื่อให้เกิดผลดีกับตัวเขาเอง

ใน 2โครินธ์ อ.เปาโลยังเดินหน้าต่อสู้กับพวก “อัครทูตเทียม” (2โครินธ์ 11:13) โดยไม่ต้องการเอาตัวเข้าไปเปรียบเทียบ (ดู 2โครินธ์ 11:21-29) ในบทที่ 12 อ.เปาโลพูดถึง “การถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นที่สาม” (12:2) ไปยังเมืองบรมสุขเกษมที่ท่านได้ยิน “วาจาซึ่งจะพูดเป็นคำไม่ได้” (12:4) นี่เป็นสิ่งที่นำมาใช้อวดอ้างได้ พระเจ้าจึงอนุญาตให้มี “หนามใหญ่ในเนื้อของท่าน” ความทุกข์นี้เป็นมาจากพระเจ้าที่กระทำผ่าน “ทูตของซาตาน” (12:7) อ.เปาโลวิงวอนพระเจ้าถึงสามครั้งเพื่อให้มันหลุดออกไป แต่ละครั้ง พระเจ้าปฏิเสธคำขอของท่าน เตือนว่า “การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว” เพราะ “ฤทธิเดชของพระองค์จะเต็มขนาดในความอ่อนแอของท่าน” (12:9)

หนามในเนื้อของ อ.เปาโลทำให้ท่านถ่อมลง ทำให้อ่อนแอในแบบของมนุษย์ เพื่อฤทธิอำนาจของพระเจ้าจะปรากฏชัดในชีวิตท่าน ความทุกข์กันให้ อ.เปาโลไม่ตกอยู่ในบาปความผยองฝ่ายวิญญาณ ไม่พึ่งฤทธิอำนาจของพระเจ้าโดยทางพระวิญญาณ สิ่งนี้ทำให้ท่านมีมุมมองเรื่องความทุกข์แตกต่างไป:

เหตุฉะนั้นเพราะเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า ในการประทุษร้ายต่างๆในความยากลำบาก ในการถูกข่มเหง ในความอับจน เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น (2โครินธ์ 12:10)

ในฟีลิปปี 3 อ.เปาโลพูดถึงพระพรอีกแบบที่พระเจ้ามอบให้ท่านผ่านการทนทุกข์ :

แต่ว่าสิ่งใดที่เคยเป็นคุณประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่าสิ่งนั้นไร้ประโยชน์แล้ว เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์ และจะได้ปรากฏอยู่ในพระองค์ ไม่มีความชอบธรรมของข้าพเจ้าเอง ซึ่งได้มาโดยธรรมบัญญัติ แต่มีมาโดยความเชื่อในพระคริสต์ เป็นความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้าซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อ ข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์ และได้รับประสบการณ์ในฤทธิ์เดช เนื่องในการที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์นั้น และร่วมทุกข์กับพระองค์ คือยอมตั้งอารมณ์ตายเหมือนพระองค์ ถ้าเป็นไปได้ข้าพเจ้าก็จะได้เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย (ฟีลิปปี 3:7-11)

ครั้งหนึ่ง อ.เปาโลเคยเป็นพวกเคร่งในบทบัญญัติ เป็นฮีบรูแท้ของฮีบรู” และเป็นฟาริสีที่เคร่งครัด (3:5) ประสบการณ์บนถนนสู่ดามัสกัส และการกลับใจที่ตามมาสำแดงให้เห็นถึงความบาป ความชอบธรรมของท่านเอง และความจำเป็นที่ต้องได้รับความรอดโดยทางความเชื่อนอกเหนือจากการงานทางศาสนา ในฐานะบุตรของพระเจ้า ท่านมีมุมมองที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ท่านได้พบว่าทุกสิ่งที่ท่านภาคภูมิใจนั้นไร้ประโยชน์ – หรือตามคำพูดของท่านเป็น “หยากเยื่อ” (ข้อ 8) ครั้งที่ท่านมองความทุกข์ว่าเป็นการแช่งสาปจากพระเจ้าต่อคนบาป (เหมือนกับที่พวกสาวกคิดในยอห์น 9) เดี๋ยวนี้ท่านมองความทุกข์ว่าเป็นพระพร ได้มีประสบการณ์ในความทุกข์ยากเพื่อพระคริสต์ และได้มีส่วนในสามัคคีธรรมร่วมกับพระองค์ ทำให้ท่านรู้จักพระเยซูลึกซึ้งกว่าเดิม มีคริสเตียนกี่คนที่มองความทุกข์ของตนเองในแบบเดียวกัน? ในความทุกข์นั้นพวกเขาจะใกล้ชิดพระคริสต์มากขึ้น ความเชื่อเพิ่มมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในความสะดวกสบายฝ่ายกาย ความทุกข์ในชีวิตธรรมิกชนถูกออกแบบมาเพื่อดึงให้เราเข้าใกล้พระเจ้า มีสามัคคีธรรมที่ลึกซึ้งกับพระเยซู เพราะการทนทุกข์ของพระองค์เป็นเหตุให้เราได้เข้าไปใกล้พระเจ้า

ธรรมิกชนในพระคัมภีร์เดิมก็เช่นกัน ได้รับการปลอบประโลมและเติบโตขึ้นในความทุกข์ยาก เห็นได้ในหนังสือสดุดี 119 :

65 พระองค์ได้ทรงกระทำดีต่อผู้รับใช้ของพระองค์

ข้าแต่พระเจ้า ตามพระวจนะของพระองค์

66 ขอทรงสอนปฏิภาณและความรู้แก่ข้าพระองค์

เพราะข้าพระองค์เชื่อถือพระบัญญัติของพระองค์

67 ก่อนที่ข้าพระองค์ทุกข์ยาก ข้าพระองค์หลงเจิ่น

แต่บัดนี้ข้าพระองค์ปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์

68 พระองค์ประเสริฐ และทรงกระทำการดี

ขอทรงสอนกฎเกณฑ์ของพระองค์แก่ข้าพระองค์

69 คนโอหังป้ายความเท็จใส่ข้าพระองค์

แต่ข้าพระองค์ปฏิบัติตามข้อบังคับของพระองค์ด้วยสุดใจ

70 จิตใจของเขาทั้งหลายต่ำช้าเหมือนไขมัน

แต่ข้าพระองค์ปีติยินดีในพระธรรมของพระองค์

71 ดีแล้วที่ข้าพระองค์ทุกข์ยาก

เพื่อข้าพระองค์จะเรียนรู้ถึงกฎเกณฑ์ของพระองค์

72 สำหรับข้าพระองค์ พระธรรมแห่งพระโอษฐ์ของพระองค์

ก็ดีกว่าทองคำและเงินพันๆแท่ง

92 ถ้าพระธรรมของพระองค์ไม่เป็นที่ปีติยินดีของข้าพระองค์

ข้าพระองค์คงพินาศแล้วในความทุกข์ยากของข้าพระองค์   (สดุดี 119:65-72, 92)

ผู้เขียนสดุดีพบว่าการทนทุกข์เป็นรูปแบบการฝึกวินัยชีวิตจากพระเจ้า ทำให้ต้องใส่ใจและเข้าใกล้พระวจนะมากขึ้น ผู้เขียนสดุดีเองก็ไม่มีข้อยกเว้น อาสาฟกล่าวว่าความทุกข์ดึงท่านให้เข้าใกล้พระเจ้า ขณะที่ความมั่งคั่งทำให้หยิ่งผยองและชั่วร้าย (สดุดี 73) โยบเรียนรู้เรื่องพระเจ้าอย่างมากเมื่อต้องเผชิญความทุกข์ และเหนืออื่นใดท่านเรียนรู้ที่จะวางใจในพระปัญญาและการครอบครองอยู่ของพระองค์ ผู้เขียนหนังสือฮีบรูบอกเราว่า ความทุกข์เพราะถูกลงวินัยเป็นสิ่งยืนยันว่าเรายังเป็นบุตรของพระเจ้า (ฮีบรู 12:1-13)

พระเจ้าทรงใช้ความทุกข์ของเราเพื่อเกิดผลดีต่อผู้อื่น
ปฐมกาล 41:46-52; 45:7-11; 50:18-21

เราคงจำเรื่องที่พี่ๆของโยเซฟอิจฉาและชิงชังน้องชายเพราะเป็นลูกคนโปรดของยาโคบได้ จึงขายน้องคนนี้ไปเป็นทาสในอียิปต์ ที่อียิปต์โยเซฟยังต้องเจอกับความทุกข์จากฝีมือคนอื่น ไม่ใช่เพราะท่านทำบาป แต่เป็นเพราะสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า เมื่อโยเซฟได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นปกครองอียิปต์ ท่านตั้งชื่อบุตรชายที่บ่งถึงพระหัตถ์อันแสนดีของพระเจ้าเหนือชีวิตท่าน (ปฐมกาล 41:46-52) และเมื่อพี่ชายของท่านมาหาซื้อข้าวที่อียิปต์ โยเซฟมีอิสระพอที่จะช่วยพี่ชายอย่างมีเมตตา แม้ตอนแรกดูเหมือนไม่เป็นเช่นนั้น54 เมื่อพี่ๆของโยเซฟสำนึกในบาป ท่านจึงเปิดเผยตัวตน แน่นอนพวกเขาหวาดกลัวมาก คิดว่าโยเซฟจะใช้อำนาจที่มีแก้แค้นในสิ่งที่ทำกับท่านไว้ พวกพี่ๆยังไม่เข้าใจพระประสงค์ดีของพระเจ้าในความทุกข์ยาก แม้เป็น “ความทุกข์ที่ตัวเองไม่ได้ก่อ”ก็ตาม แต่โยเซฟเข้าใจดี :

พระเจ้าทรงใช้เรามาก่อนพี่ เพื่อสงวนคนที่เหลือส่วนหนึ่งบนแผ่นดินไว้ให้พี่ และช่วยชีวิตของพี่ไว้ด้วยการช่วยกู้อันใหญ่หลวง ฉะนั้นมิใช่พี่เป็นผู้ให้เรามาที่นี่ แต่พระเจ้าทรงให้มา พระองค์ทรงโปรดให้เราเป็นเหมือนตัวบิดาฟาโรห์ เป็นเจ้าในราชวังทั้งสิ้น และเป็นผู้ครอบครองประเทศอียิปต์ทั้งหมด รีบไปหาบิดาเราบอกท่านว่า ‘โยเซฟบุตรของท่านพูดดังนี้ว่า พระเจ้าทรงโปรดให้ข้าพเจ้าเป็นเจ้าเหนืออียิปต์ทั้งสิ้น ขอไปหาลูก อย่าได้ช้า พ่อจะได้อาศัยอยู่ในเมืองโกเชน และพ่อจะได้อยู่ใกล้ลูก ทั้งตัวพ่อกับลูกหลาน และฝูงแพะแกะฝูงโค และทรัพย์ทั้งหมดของพ่อ ลูกจะบำรุงรักษาพ่อที่นั่น ด้วยยังจะกันดารอาหารอีกห้าปี มิฉะนั้นพ่อและครอบครัวของพ่อและผู้คนที่พ่อมีอยู่จะยากจนไป’ (ปฐมกาล 45:7-11)

พี่ชายก็พากันมากราบลงต่อหน้าโยเซฟแล้วว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นผู้รับใช้ของท่าน” โยเซฟจึงบอกเขาว่า “อย่ากลัวเลย เราเป็นดังพระเจ้าหรือ พวกท่านคิดร้ายต่อเราก็จริง แต่ฝ่ายพระเจ้าทรงดำริให้เกิดผลดีอย่างที่บังเกิดขึ้นนี้แล้ว คือช่วยชีวิตคนเป็นอันมาก ดังนั้นพี่อย่ากลัวเลย เราจะบำรุงเลี้ยงพี่ทั้งบุตรด้วย” โยเซฟพูดปลอบโยนพวกพี่น้องดังนี้ทำให้เขาอุ่นใจ (ปฐมกาล 50:18-21)

ดังนั้นการทนทุกข์เพราะเหตุที่ตนเองไม่ได้ก่อ ไม่เพียงแต่เกิดผลดีกับตนเอง แต่ยังเกิดผลดีกับคนอื่นๆด้วย55

ความทุกข์บางอย่างเกิดจากความบาปของผู้อื่น
1ซามูเอล 21:1—22:11-23; 2ซามูเอลl 12:1-23

ใน 1ซามูเอล 21 ดาวิดต้องหนีไปจากกษัตริย์ซาอูลที่จ้องจะตามฆ่า ดาวิดและคนของท่านขาดแคลนอาหารจึงไปที่เมืองโนบ ที่อาหิเมเลคปุโรหิตอาศัยอยู่ อาหิเมเลคสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติเมื่อดาวิดมาหาท่านตามลำพัง ดาวิดหลอกท่านว่ามาราชการลับให้กษัตริย์ซาอูล และต้องไม่ให้ผู้ใดรู้ (21:1-2) ดาวิดขอแบ่งขนมปังจากท่าน และได้รับบางส่วนจากขนมปังบริสุทธิ์ และอาหิเมเลคได้มอบดาบของโกลิอัทให้กับดาวิด ดาบที่ดาวิดยึดมาได้ตอนฆ่าโกลิอัท แต่ที่เกิดขึ้น โดเอกชาวเอโดม คนของกษัตริย์ซาอูลอยู่ที่นั่นพอดี และเห็นเหตุการณ์ ต่อมาโดเอกไปรายงานให้ซาอูลทราบ ผลก็คือซาอูลสั่งฆ่าปุโรหิตหลายคนรวมทั้งครอบครัวพวกเขาด้วย

พระราชาตรัสว่า “อาหิเมเลค เจ้าจะต้องตายแน่ ทั้งเจ้าและพงศ์พันธุ์บิดาของเจ้าด้วย” และพระราชาก็รับสั่งแก่ราชองครักษ์ผู้ยืนเฝ้าอยู่ว่า “จงหันมาประหารปุโรหิตเหล่านี้ของพระเจ้าเสีย เพราะว่ามือของเขาอยู่กับดาวิดด้วย เขารู้แล้วว่ามันหนีไป แต่ไม่แจ้งให้เรารู้” แต่ข้าราชการผู้รับใช้ของพระราชาไม่ยอมลงมือ ทำกับปุโรหิตของพระเจ้า แล้วพระราชาจึงตรัสกับโดเอกว่า “เจ้าจงไปฟันปุโรหิตเหล่านั้น” โดเอกคนเอโดมก็หันไปฟันบรรดาปุโรหิต ในวันนั้น เขาฆ่าบุคคลที่สวมเอโฟดผ้าป่านเสีย แปดสิบห้าคน และเขาประหารชาวเมืองโนบ ซึ่งเป็นเมืองของปุโรหิตเสียด้วยคมดาบ ฆ่าเสียด้วยคมดาบ ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง เด็ก และเด็กกินนม โค ลาและแกะ (1ซามูเอล 22:16-19)

เรารู้จากท่าทีที่ดาวิดตอบสนองต่อโศกนาฏกรรมนี้ ท่านรู้สึกรับผิดชอบต่อการตายของพวกปุโรหิตและครอบครัว (1ซามูเอล 22:21-23) ความรู้สึกผิดไม่ได้เกิดจากที่ท่านไปขอปันขนมปังจากอาหิเมเลค เพราะพระเยซูเองยังตรัสว่าทำได้ (ดูมัทธิว 12:3-4) ไม่ชัดเจนว่าที่ดาวิดโกหกเป็นสาเหตุของโศกนาฏกรรมครั้งนี้ แต่ที่แน่ๆคนเหล่านี้ต้องตายลงเพราะความอิจฉาของซาอูล บาปของชายคนหนึ่ง (ซาอูล) และที่ดาวิดพยายามหาอาหารให้คนของท่านนำความตายไปถึงคนอีกมากมาย56

ดาวิดอาจไม่ผิดที่ทำให้พวกปุโรหิตที่เมืองโนบต้องตาย แต่บาปของท่านเป็นเหตุให้บุตรชายของท่านเองต้องตาย (2ซามูเอล 11 และ 12) ขณะที่กองทัพอิสราเอลออกทำสงคราม ดาวิดพักอยู่ที่วังในเยรูซาเล็ม (2ซามูเอล 11:1) ผลก็คือท่านบังเอิญมองลงไปจากดาดฟ้าพระราชวังเห็นสตรีนางหนึ่งกำลังอาบน้ำ จึงให้คนไปสอบถามว่าเป็นใคร ถึงจะรู้ว่าเธอเป็นภรรยาของทหารที่ซื่อสัตย์ในกองทัพของท่าน ดาวิดเรียกเธอมาหาที่วังและหลับนอนกับเธอ แล้วพยายามปกปิดบาปนั้นโดยสั่งให้โยอาบแม่ทัพ ส่งอุรียาห์ไปในพื้นที่ๆการสู้รบดุเดือดที่สุด แล้วละไว้ที่นั่นให้ตาย นาธันมาเผชิญหน้ากับดาวิดเรื่องความบาปของท่าน แจ้งท่านว่าเด็กที่หญิงนั้นตั้งครรภ์เพราะบาปของท่านจะต้องตาย แม้ดาวิดจะสำนึกผิดและวิงวอนขอต่อพระเจ้า พระเจ้าก็นำชีวิตเด็กนั้นไป เด็ก “ไร้เดียงสา” คนนี้ตายเพราะความบาปของดาวิด คนที่ไม่รู้เรื่องด้วยบางครั้งต้องมารับเคราะห์เพราะความบาปของผู้อื่น

บ่อยครั้งความทุกข์ก็เกิดจากหลายสาเหตุมารวมกัน
2 ซามูเอล 24:1-25; 1 พงศาวดาร 21:1-30

ผมขอชี้ให้เห็นสั้นๆว่าไม่เสมอไปที่ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง ชีวิตมันไม่ง่ายอย่างนั้น แม้แต่ความบาปด้วย ใน 2ซามูเอล 24 และ 1พงศาวดาร 21 เราอ่านเรื่องภัยพิบัติที่ถูกส่งลงมายังอิสราเอลเพราะดาวิดโง่เขลาไปนับจำนวนคน ไม่ฟังคำคัดค้านของผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์อย่างโยอาบและผู้บังคับบัญชาในกองทัพของท่าน (2ซามูเอล 24:3-4) ในอีกด้าน เราเห็นว่าคนของดาวิดต้องตายลงถึง 70,000 คนเพราะความเขลาของท่าน (2ซามูเอล 24:15) และเห็นจากเรื่องราวใน 1พงศาวดาร 21 (ข้อ 1) ซาตานได้ยืนขึ้นต่อสู้อิสราเอล ดลใจให้ดาวิดนับจำนวนอิสราเอล ดังนั้นซาตานก็มีบทบาทในพิบัติครั้งนี้ด้วย แต่จาก 2ซามูเอล 24:1 เราเรียนรู้ว่าเรื่องราวมันซับซ้อนกว่านั้น :

พระพิโรธของพระเจ้าได้เกิดขึ้นต่ออิสราเอลอีก เพื่อทรงต่อสู้เขาทั้งหลายจึงทรงดลใจดาวิดตรัสว่า” จงไปนับคนอิสราเอลและคนยูดาห์” (2ซามูเอล 24:1)

พระวจนะข้อนี้ เราเห็นว่าพระเจ้าทรงอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด ซึ่งไม่น่าประหลาดใจสำหรับคริสเตียน แต่ที่เราเรียนรู้คือพระเจ้าทรง “ดลใจ” ดาวิด เพราะพระพิโรธต่ออิสราเอล ดังนั้นคนอิสราเอลไม่ใช่ว่าไม่รู้เรื่อง พวกเขามีความผิด และพระเจ้าลงโทษชนชาตินี้เพราะบาปของพวกเขา ความทุกข์บางทีก็มาจากสาเหตุที่ซับซ้อน ทั้งหมดล้วนแล้วแต่มาจากรากเหง้าความบาปของมนุษย์

มีเพียงบุคคลเดียวที่บริสุทธิ์

เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องจำไว้ว่าไม่มีใครเลย ไม่มีสักคน แม้แต่ทารกที่ “บริสุทธิ์” แท้จริง ในแง่ว่าพวกเขาปราศจากบาป ดาวิดกล่าวไว้นานมาแล้ว :

ดูเถิด ข้าพระองค์ถือกำเนิดมาในความผิดบาป

และมารดาตั้งครรภ์ข้าพระองค์ในบาป (สดุดี 51:5)

อ.เปาโลยืนยันในเรื่องนี้โดยอ้างจากพระวจนะในพระคัมภีร์เดิมในโรม 3:10-12 ที่กล่าวว่า:

10“ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย

11 ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า

12 เขาทุกคนหลงผิดไปหมด เขาทั้งปวงเลวทรามเหมือนกันสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่กระทำดี ไม่มีเลย

บุคคลเดียวที่เกิดมาโดยปราศจากบาป และดำเนินชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบ ปราศจากตำหนิ คือองค์พระเยซูคริสต์ของเรา พระองค์เพียงผู้เดียวที่สามารถพูดได้ว่า

มีผู้ใดในพวกท่านหรือ ที่ชี้ให้เห็นว่าเราได้ทำผิด ถ้าเราพูดความจริง ทำไมท่านจึงไม่เชื่อเรา? (ยอห์น 8:46)

พระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่ไร้ความผิด ลูกแกะปราศจากตำหนิของพระเจ้า ที่ได้หลั่งพระโลหิตเพื่อชำระมนุษย์ให้พ้นจากบาปของพวกเขา :

และถ้าท่านอธิษฐานขอต่อพระองค์ เรียกพระองค์ว่า พระบิดาผู้ทรงพิพากษาทุกคนตามการกระทำของเขา โดยไม่มีอคติ จงประพฤติตนด้วยความยำเกรงตลอดเวลาที่ท่านอยู่ในโลกนี้ ท่านรู้ว่าพระองค์ได้ทรงไถ่ท่านทั้งหลายออกจากการประพฤติอันหาสาระมิได้ ซึ่งท่านได้รับต่อจากบรรพบุรุษของท่าน มิใช่ไถ่ไว้ด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายได้ เช่นเงินและทอง แต่ทรงไถ่ด้วยพระโลหิตประเสริฐของพระคริสต์ ดังเลือดลูกแกะที่ปราศจากตำหนิหรือจุดด่าง แท้จริงพระเจ้าได้ทรงกำหนดพระคริสต์นั้นไว้ก่อนทรงสร้างโลก แต่ทรงให้พระคริสต์ปรากฏพระองค์ในวาระสุดท้ายนี้ เพื่อท่านทั้งหลาย เพราะพระคริสต์ท่านจึงวางใจในพระเจ้า ผู้ทรงชุบพระคริสต์ให้ฟื้นจากความตาย และทรงประทานพระเกียรติแก่พระองค์ เพื่อให้ความเชื่อและความหวังใจของท่านดำรงอยู่ในพระเจ้า (1เปโตร 1:17-21)

เมื่อพูดถึงผู้บริสุทธิ์ที่ต้องทนทุกข์ เราต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง มีเพียงพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่ต้องทนทุกข์ทั้งที่บริสุทธิ์ คนอื่นๆที่ทนทุกข์ก็เป็นเพราะพวกเขาเป็นคนบาป เมื่อเราพูดถึง “ผู้บริสุทธิ์ต้องมารับทุกข์” เรากำลังพูดถึงความทุกข์ที่ไม่ได้เกิดจากบาปโดยตรงของพวกเขา แต่เป็นเหตุเพราะบาปที่คนอื่นกระทำ

คำเล้าโลมใจของเรา :
การลงโทษของพระเจ้านั้นยุติธรรม และพระองค์จะไม่ลงโทษผู้บริสุทธิ์
ปฐมกาล 18:16-33; โยนาห์ 4:1-11

เมื่อพูดถึงคนที่ต้องทนทุกข์โดยไม่รู้เรื่อง เราได้รับคำปลอบประโลมที่ยิ่งใหญ่จากพระวจนะของพระเจ้า ลองมาดูบทสนทนาระหว่างอับราฮัมและพระเจ้า ในเรื่องการลงโทษเหนือโสดมและโกโมราห์ :

แล้วบุรุษเหล่านั้นก็ออกจากที่นั่น เดินไปจนเห็นเมืองโสโดม และอับราฮัมก็ตามไปส่งด้วย พระเจ้าตรัสว่า “ควรหรือที่เราจะซ่อนสิ่งซึ่งเราจะกระทำนั้นมิให้อับราฮัมรู้ เพราะอับราฮัมจะเป็นประชาชาติใหญ่โตและมีกำลังมาก และประชาชาติทั้งหลายในโลกจะได้รับพรก็เพราะท่าน เพราะเราเลือกเขาแล้ว เพื่อเขาจะได้กำชับลูกหลาน และครอบครัวที่สืบมา ให้รักษาพระมรรคาของพระเจ้า โดยทำความชอบธรรมและความยุติธรรม เพื่อว่าพระเจ้าจะได้ประทานสิ่ง ซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้แล้วให้แก่อับราฮัม” พระเจ้าได้ตรัสว่า “เสียงร้องกล่าวโทษเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ นั้นดังเหลือเกิน และบาปของเขาก็หนักมาก เราจะลงไปดูว่า พวกเขากระทำผิดจริงตามคำร้องทุกข์ที่มาถึงเรานั้นหรือไม่ ถ้าไม่เราก็จะรู้” บุรุษเหล่านั้นจึงออกจากที่นั่นเดินตรงไปยังเมืองโสโดม แต่อับราฮัมยังยืนเฝ้าพระเจ้าอยู่ อับราฮัมได้เข้ามาใกล้ กราบทูลว่า “พระองค์จะทรงทำลายผู้ชอบธรรมพร้อมกับคนอธรรมหรือ สมมุติว่ามีคนชอบธรรมห้าสิบคนอยู่ในเมืองนั้น พระองค์จะยังทรงทำลายเมืองนั้นไม่ยับยั้งอาชญา เพราะเห็นแก่คนชอบธรรมห้าสิบคนที่อยู่ในเมืองนั้นหรือ ขอพระองค์อย่าคิดที่จะกระทำเช่นนั้นเลย อย่าคิดที่จะฆ่าคนชอบธรรมพร้อมกับคนอธรรม ทำกับคนชอบธรรมอย่างเดียวกับคนอธรรม ขอพระองค์อย่าทรงทำเช่นนั้นเลย พระองค์ผู้พิพากษาสากลโลกจะไม่กระทำสิ่งที่ยุติธรรมหรือ” พระเจ้าตรัสว่า “ที่โสโดมถ้าเราพบคนชอบธรรมในเมืองห้าสิบคนเราจะ ไม่ลงอาชญาในเมืองนั้นทั้งเมืองเพราะเห็นแก่เขา” อับราฮัมทูลตอบว่า “ขอประทานโทษ ที่ข้าพระองค์บังอาจกราบทูลต่อพระเจ้า ข้าพระองค์ผู้เป็นเพียงผงคลีและขี้เถ้า สมมุติว่าในห้าสิบคนนั้นขาดไปห้าคน พระองค์จะยังทรงทำลายเมืองนั้นทั้ง เมืองเพราะขาดห้าคนหรือ” และพระองค์ตรัสว่า “เราจะไม่ทำลาย ถ้าเราพบคนชอบธรรมสี่สิบห้าคนที่นั่น” ท่านก็ทูลพระองค์อีกว่า “สมมุติว่าพระองค์ทรงพบสี่สิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เพราะเห็นแก่สี่สิบคนเราจะไม่กระทำ” ท่านจึงทูลว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่าทรงพระพิโรธเลย ข้าพระองค์จะขอกราบทูล สมมุติพระองค์ทรงพบเพียงสามสิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ลงอาชญา ถ้าเราพบสามสิบที่นั่น” ท่านทูลว่า “ขอประทานโทษที่ข้าพระองค์บังอาจกราบทูล ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า สมมุติว่าทรงพบเพียงยี่สิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เพราะเห็นแก่ยี่สิบคน เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น” ท่านทูลว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่าทรงพระพิโรธเลย ข้าพระองค์ขอกราบทูลอีกครั้งนี้ครั้งเดียว สมมุติว่า ทรงพบเพียงสิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เพราะเห็นแก่สิบคนเราจะไม่ทำลายเมืองนั้น” เมื่อพระองค์ตรัสกับอับราฮัมจบลงแล้ว พระเจ้าก็เสด็จไป ส่วนอับราฮัมก็กลับไปบ้าน (ปฐมกาล18:16-33)

พระเจ้ากำลังจะลงโทษเมืองโสดมและโกโมราห์ แต่พระองค์ต้องการแบ่งปันเรื่องนี้กับอับราฮัม เมื่อได้ยินว่าเมืองนี้กำลังจะถูกทำลาย อับราฮัมเป็นห่วงว่าคนบริสุทธิ์จะถูกทำลายไปพร้อมกับคนชั่ว จึงโต้แย้งว่าพระเจ้าของท่านจะทำในสิ่งที่ยุติธรรม คือไม่ปฏิบัติในแบบเดียวกันกับทั้งคนชั่วและคนดี (18:23-25) ในตอนจบ ท่านต่อรองว่าถ้ามีคนชอบธรรมสักสิบคนที่ในเมืองนั้น พระเจ้าจะไม่ลงโทษ ที่เรารู้ แน่นอน สิบคนก็ยังไม่มี กระนั้นพระเจ้าก็ยังทรงไว้ซึ่งพระลักษณะของพระองค์ ก่อนส่งไฟลงไปเผาเมืองชั่วร้ายนั้น พระองค์ทรงให้โลทและครอบครัวอพยพออกมา (ปฐมกาล 19:12-26) พระเจ้าของเรายุติธรรม และพระองค์ไม่ได้ลงโทษคนชอบธรรมไปพร้อมๆกับคนอธรรม

ความจริงเดียวกันนี้57 เป็นบทเรียนอยู่ในหนังสือโยนาห์บทที่สี่ด้วย :

เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรการกระทำของเขาแล้วว่า เขากลับไม่ประพฤติชั่วต่อไป พระเจ้าก็ทรงกลับพระทัย ไม่ลงโทษ ตามที่พระองค์ตรัสไว้ และพระองค์ก็มิได้ทรงลงโทษเขา เหตุการณ์นี้ไม่เป็นที่พอใจโยนาห์อย่างยิ่ง และท่านโกรธ ท่านจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่ในประเทศของข้าพระองค์ ข้าพระองค์พูดแล้วว่าจะเป็นไปเช่นนี้มิใช่หรือ นี่แหละเป็นเหตุให้ข้าพระองค์ได้รีบหนีไปยังเมืองทารชิช เพราะข้าพระองค์ทราบว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยพระคุณ และทรงพระกรุณา ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรัก มั่นคง และทรงกลับพระทัยไม่ลงโทษ ข้าแต่พระเจ้า เพราะฉะนั้น บัดนี้ ขอพระองค์ทรงเอาชีวิตของข้าพระองค์ไปเสีย เพราะว่าข้าพระองค์ตายเสียก็ดีกว่าอยู่” ละพระเจ้าตรัสว่า “การที่เจ้าโกรธเช่นนี้ดีอยู่หรือ” แล้วโยนาห์ก็ออกไปนอกนคร นั่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองนั้น และท่านทำเพิงไว้เป็นที่ท่านอาศัย ท่านนั่งอยู่ใต้ร่มเพิงคอยดูเหตุการณ์อันจะเกิดขึ้นกับนครนั้น และพระเจ้าทรงกำหนดให้ต้นละหุ่งต้นหนึ่ง งอกขึ้นมาเหนือโยนาห์ ให้เป็นที่กำบังศีรษะของท่าน เพื่อให้บรรเทาความร้อนรุ่มกลุ้มใจในเรื่องนี้ เพราะเหตุต้นละหุ่งต้นนี้โยนาห์จึงมีความยินดียิ่งนัก แต่ในเวลาเช้าวันรุ่งขึ้น พระเจ้าทรงกำหนดให้หนอนตัวหนึ่งมากัดกินต้นละหุ่งต้นนั้น จนมันเหี่ยวไป เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว พระเจ้าทรงกำหนดให้ลมตะวันออกที่ร้อนผากพัดมา และแสงแดดก็แผดลงบนศีรษะของโยนาห์จนท่าน อ่อนเพลียไปและท่านก็ทูลขอว่า ให้ท่านตายเสียเถิด ท่านว่า “ข้าตายเสียก็ดีกว่าอยู่” แต่พระเจ้าตรัสกับโยนาห์ว่า “ที่เจ้าโกรธเพราะต้นละหุ่งนั้นดีอยู่แล้วหรือ” ท่านทูลว่า “ที่ข้าพระองค์โกรธถึงอยากตายนี้ดีแล้ว พระเจ้าข้า” และพระเจ้าตรัสว่า “เจ้าหวงต้นไม้ซึ่งเจ้ามิได้ลงแรงปลูก หรือมิได้กระทำให้มันเจริญ มันงอกเจริญขึ้นในคืนเดียว แล้วก็ตายไปในคืนเดียวดุจกัน ไม่สมควรหรือที่เราจะหวงเมืองนีนะเวห์นครใหญ่นั้น ซึ่งมีพลเมืองมากกว่าหนึ่งแสนสองหมื่นคน ผู้ไม่ทราบว่าข้างไหนมือขวาข้างไหนมือซ้าย และมีสัตว์เลี้ยงเป็นอันมากด้วย” (โยนาห์ 3:10 – 4:11)

เมื่อประชากรนีนะเวห์กลับใจ พระเจ้าก็ยับยั้ง และโยนาห์ไม่พอใจ ท่านแทบคลั่ง สิ่งที่คนอื่นสรรเสริญพระเจ้า (ข้าพระองค์ทราบว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยพระคุณ และทรงพระกรุณา ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และทรงกลับพระทัยไม่ลงโทษ – ข้อ 2 ด้านบน)58 โยนาห์กลับประท้วง ท่านเกลียดชังพระคุณ59ไม่สังเกตเลยว่านี่คือสิ่งเดียวที่ทำให้ท่านยังมีชีวิตอยู่ โยนาห์ต้องการเห็นคนบาปพวกนี้ชดใช้ ต้องการนั่งดูพระอาชญาที่จะเทลงเหนือพวกเขา แม้จะสำนึกผิดแล้วก็ตาม โยนาห์มองไม่เห็นเงาของร่มไม้ที่พระเจ้าประทานให้เป็นของขวัญแห่งพระคุณ มัวแต่โกรธเคืองเพราะถูกเอาคืนไป ราวกับว่าเป็นสิ่งที่ท่านสมควรได้รับ

ความบาปของโยนาห์ยิ่งแย่หนักเมื่อโยงเข้ากับเด็กๆในนีนะเวห์ ท่านต้องการเห็น (จากคำพูดของอับราฮัม) พระเจ้ากวาดคนชอบธรรมไปพร้อมกับคนอธรรม” 60

ความยุติธรรมของพระเจ้าปรากฎชัดเมื่อเทียบกับความโกรธที่โยนาห์คิดว่าตนเองชอบธรรม ไม่สนใจแม้พวกเขาจะกลับใจ แค่อยากเห็นพวกเขาพินาศ พระเจ้าไม่เพียงแต่ปิติที่ได้ช่วยคนบาปให้กลับใจ พระองค์ทรงห่วงใยเด็กที่ไร้เดียงสา และจะไม่ลงโทษพวกเขาแม้พ่อแม่พวกเขาจะชั่วร้ายก็ตาม

ความรอดของพระเจ้า และทารกที่ถูกสังหาร
มัทธิว 2:13-18; เยเรมีย์ 31:15

สิ่งที่พระเจ้าตรัสกับโยนาห์ทำให้เราเกิดปัญหากับพระกิตติคุณมัทธิว 2 ข้อ 13-18 ที่กำลังเรียนกัน:

ครั้นเขาไปแล้วก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้า ได้มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันแล้วบอกว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้า เพราะว่าเฮโรดจะแสวงหากุมาร เพื่อจะประหารชีวิตเสีย” ในเวลากลางคืนโยเซฟจึงลุกขึ้น พากุมารกับมารดาไปยังประเทศอียิปต์ และได้อยู่ที่นั่นจนเฮโรดสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งได้ตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า เราได้เรียกบุตรของเราให้ออกมาจากอียิปต์ ครั้นเฮโรดเห็นว่าพวกโหราจารย์หลอกท่าน ก็กริ้วโกรธยิ่งนัก จึงใช้คนไปฆ่าเด็กผู้ชายทั้งหลาย ในบ้านเบธเลเฮมและที่ใกล้เคียงทั้งสิ้น ตั้งแต่อายุสองขวบลงมา ซึ่งพอดีกับเวลาที่ท่านได้ทราบจากพวกโหราจารย์นั้น ครั้งนั้นก็สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสโดยเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะว่า ได้ยินเสียงในหมู่บ้านรามาห์ เป็นเสียงโอดครวญและร่ำไห้ คือนางราเชลร้องไห้คร่ำครวญ เพราะบุตรทั้งหลายของตน นางไม่รับฟังคำปลอบเล้าโลม เพราะบุตรทั้งหลายนั้นไม่มีแล้ว (มัทธิว 2:13-18)

พวกโหราจารย์ได้รับคำสั่งจากพระเจ้าให้เดินทางกลับเส้นทางอื่น พวกเขาเชื่อฟัง (2:12) แล้วพระองค์สั่งโยเซฟให้พาพระกุมารและนางมารีย์ไปลี้ภัยที่ในอียิปต์ เพราะเฮโรดกำลังหาทางฆ่าพระกุมาร โยเซฟเชื่อฟัง เมื่อเฮโรดรู้ว่าแผนสังหารทารกที่จะเป็นกษัตริย์ล้มเหลว ก็โกรธเคืองมาก จากข้อมูลที่ดาวมาปรากฎแก่โหราจารย์ และสถานที่กำเนิดตามคำพยากรณ์ที่นักศาสนาบอก เฮโรดพอรู้อายุและที่อยู่ของพระกุมาร แม้จะไม่ได้เห็นตัวจริง แต่พอรู้ว่าไม่น่าถึงสองขวบ เฮโรดคิดว่าเอาตัวเลขกลมๆนี้มาเป็นตัวตั้ง สังหารทารกทั้งหมดในเขตเบธเลเฮม ทารกชายอายุต่ำกว่าสองขวบทั้งหมดในเบธเลเฮมจึงถูกฆ่าตาย

จำนวนทารกที่ตายตามที่คาดเดาอาจดูเยอะเกินจริง โดยทั่วไปคิดว่าไม่น่าเกิน 20 หรือ 30 แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความผิดของเฮโรด หรือความทุกข์ระทมของพ่อแม่ลดลง อาจมีคำถามว่าทำไมมัทธิวเลือกที่จะบันทึกรายละเอียดการฆ่าทารก แต่ไม่บันทึกรายละเอียดการตายของเฮโรด คนอ่านอาจรู้สึกไม่พอใจที่ทารกโดนสังหารอย่างไม่เป็นธรรม อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเฮโรดหลังสิ่งโหดเหี้ยมที่เขาทำ ให้มาดูว่าพระกิตติคุณมัทธิวตอนนี้ให้บทเรียนอะไรกับเรา?

ประการแรก – เรื่องการสังหารทารกที่บริสุทธิ์ดูเหมือนเมฆทะมึนที่จู่ๆก็มาปกคลุมความชื่นชมยินดีในการประสูติของพระเยซูคริสต์ อย่าลืมว่าพระเยซูเสด็จมาเพื่อตายบนไม้กางเขนในเงื้อมมือของชาวยิวที่ไม่เชื่อและคนต่างชาติ และเราได้พบพระนามพระเยซูในมัทธิว 1:

เธอจะประสูติบุตรชาย แล้วเจ้าจงเรียกนามท่านว่า เยซู เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา” (มัทธิว 1:21)

วิธีที่พระเยซูจะมา “โปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาป” คือยอมสละพระชนม์อย่างผู้บริสุทธิ์บนกางเขนที่เนินหัวกระโหลก การประสูติของพระเยซูเป็นเหตุการณ์ที่ชื่นชมยินดี เหมือนข้อความในบัตรอวยพรวันคริสตมาส แต่เป็นการประสูติของพระผู้ช่วยให้รอดที่ต้องไปสิ้นพระชนม์ในเยรูซาเล็ม มัทธิวจึงเตรียมปูพื้นให้ผู้อ่านแต่เนิ่นๆ ประชาชนและผู้ปกครองในเยรูซาเล็มต่างวุ่นวายใจเมื่อได้ยินคำว่า “กษัตริย์ของชาวยิว” มาบังเกิดในเบธเลเฮม

เราอาจจะเปรียบเทียบเรื่องต้นกำเนิดของพระเยซูในมัทธิวและในลูกาได้ ผู้เขียนแต่ละท่านเลือกสถานการณ์ เหตุการณ์ และผู้คนที่แตกต่างกัน แต่ทั้งคู่เตรียมผู้อ่านให้ตระหนักถึงความจริงว่าผู้ที่มาประสูติในเบธเลเฮม มาสละพระชนม์เพื่อความบาปของประชากรของพระองค์ มัทธิวเตรียมเราไว้ก่อนโดยบันทึกเรื่องเด็กบริสุทธิ์ถูกสังหาร ลูกาทำผ่านถ้อยคำที่สิเมโอนพูดกับนางมารีย์ :

แล้วสิเมโอนก็อวยพรแก่เขา แล้วกล่าวแก่นางมารีย์มารดาพระกุมารนั้นว่า “ดูก่อน ท่านทรงตั้งพระกุมารนี้ไว้ เป็นเหตุให้หลายคนในพวกอิสราเอลล้มลงหรือยกตั้งขึ้น และจะเป็นหมายสำคัญซึ่งคนปฏิเสธ เพื่อความคิดในใจของคนเป็นอันมากจะได้ปรากฏแจ้ง ถึงหัวใจของท่านเองก็ยังจะถูกดาบแทงทะลุด้วย” (ลูกา 2:34-35)

ถ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนพระเยซูบังเกิดเล็งถึงเหตุการณ์อื่นๆในชีวิตที่จะเกิดขึ้นจนถึงวันสิ้นพระชนม์ เหตุการณ์ช่วงการบังเกิดควรมีการเตือนล่วงหน้าว่าพระองค์จะต้องสิ้นพระชนม์

ยังมีอีกมิติหนึ่งเรื่องทารกถูกสังหาร ผมเชื่อว่าน่าจะนำมาพิจารณา บางคนคิดว่ามันไกลเกินเอื้อม แต่ผมไม่ใช่คนเดียวที่ยื่นไปแตะมิตินี้ ผมถามตัวเองด้วยคำถามง่ายๆ : อะไรคือเหตุผลที่เฮโรดต้องฆ่าทารกเพศชาย? คำตอบที่ผมคิดว่าง่ายและชัดเจนคือ เฮโรดสังหารทารกพวกนี้เพราะอยู่ในข่ายว่าน่าจะเป็นพระเยซู เฮโรดไม่ได้สั่งฆ่าเด็กผู้หญิงอายุต่ำกว่าสิบสองในเยรูซาเล็ม ฆ่าเฉพาะทารกชายอายุต่ำกว่าสองในเขตเบธเลเฮม ทำไมครับ? เพราะเฮโรดต้องการฆ่าพระเยซูผู้จะมาเป็น “กษัตริย์ของชาวยิว” เฮโรดสั่งฆ่าเฉพาะทารกที่เกิดตามคำพยากรณ์ที่เล็งถึงพระเมสซิยาห์ และคะเนอายุตามที่พวกโหราจารย์บอกเมื่อเห็นดวงดาว ในอีกแง่ ทารกพวกนี้คือคนกลุ่มแรกที่พลีชีพเพื่อพระคริสต์

เราต้องตั้งคำถาม : อะไรทำให้มัทธิวพยายามเชื่อมโยงการสังหารทารกเข้ากับเยเรมีย์ 31:15? ผมขอเริ่มจากตั้งข้อสังเกตพระวจนะตอนที่มัทธิวอ้างในเยเรมีย์ 31

(1) บริบทของเยเรมีย์ 31 คือการตกไปเป็นเชลยของอิสราเอล การกลับสู่มาตุภูมิ และกลับสู่สภาพดี โดยเฉพาะพระเจ้าให้ความมั่นใจกับอาณาจักรเหนือของอิสราเอลว่าจะทำให้คืนสู่สภาพดีเมื่อเป็นไทจากอัสซีเรีย ลองมาดูข้อคิดเห็นจากหนังสือ Bible Knowledge Commentary ข้อ 2-6:

พระเจ้าให้คำมั่นว่าจะฟื้นฟูอาณาจักรเหนือ คนที่รอดตายจากดาบ(ที่อาจถูกอัสซีเรียทำลาย) จะได้ลิ้มรสความโปรดปรานของพระเจ้า เมื่อพระองค์นำเขาเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เหมือนเป็นการอพยพครั้งใหม่ 16:14-15; 23:7-8; โฮเชยา 2:14-15 ความวุ่นวายในหลายปีที่ตกเป็นเชลยจะหมดไปเมื่อพระเจ้าเข้ามาแทรกแซง และทำให้ชนชาติอิสราเอลได้หยุดพัก 61

ต่อไปมาดูข้อคิดเห็นจาก Bible Knowledge Commentary ข้อ 7-9:

เมื่อพระเจ้านำประชากรที่อพยพครั้งใหม่กลับสู่อิสราเอล พระองค์จัดเตรียมทุกสิ่งที่จำเป็นให้พวกเขา จะนำพวกเขาเดินข้างลำธารน้ำ (เทียบกับ อพยพ 15:22-25; กันดารวิถี 20:2-13; สดุดี 23:2) จะได้เดินในทางราบซึ่งไม่สะดุด พระองค์ทำทั้งหมดนี้เพราะความสัมพันธ์พิเศษที่มีต่ออิสราเอล ทรงเป็นพระบิดาของชนชาตินี้ (ดูเฉลยธรรมบัญญัติ 32:6) เอฟราอิม (เน้นถึงชนเผ่าเหนือของอิสราเอล) เป็นเหมือนบุตรหัวปี (ดูอพยพ 4:22) เยเรมีย์ใช้ภาพความสัมพันธ์ระหว่างบิดาและบุตรเพื่อให้เห็นถึงความรักลึกซึ้งที่พระเจ้ามีต่อประชากรของพระองค์ (ดูโฮเชยา 11:1, 8)62

การ “ตกไปเป็นเชลย” คงจะรวมถึงตกเป็นเชลยของบาบิโลนในเวลาต่อมาด้วย รามาห์ ตามที่บันทึกไว้เป็นจุดรวมพลประชากรยูดาห์ก่อนถูกส่งไปเป็นเชลยที่บาบิโลน :

เยเรมีย์จึงให้ภาพการร้องไห้คร่ำครวญของพวกผู้หญิงในอาณาจักรเหนือขณะเห็นลูกๆถูกอุ้มไปเป็นเชลยในปี 722 ก.ค.ศ. อย่างไรก็ตาม เยเรมีย์อาจหมายถึงการส่งคนยูดาห์ไปเป็นเชลยในปี 586 ก.ค.ศ. ในแง่ที่รามาห์เป็นจุดรวมพลเพื่อให้เนบูคัดเนสซาร์จับส่งไปเป็นเชลย (ดู 40:1)63

(2) อารมณ์ของบทนี้มีแต่การเฉลิมฉลองด้วยความยินดี เพราะพระเจ้าจะนำประชากรของพระองค์กลับสู่มาตุภูมิ และฟื้นฟูสู่สภาพดี เทพระพรลงมาเหนือพวกเขา ในแง่นี้ คนที่ร้องไห้คร่ำครวญจะไม่ร้องอีกต่อไป

10 “บรรดาประชาชาติเอ๋ย จงฟังพระวจนะของพระเจ้า

และจงประกาศพระวจนะนั้น ในแผ่นดินชายทะเลที่ห่างออกไป

จงกล่าวว่า ‘ท่านที่กระจายอิสราเอลนั้นจะรวบรวมเขา และจะดูแลเขาอย่างกับผู้เลี้ยงแกะดูแลฝูงแกะของเขา’

11 เพราะพระเจ้าทรงไถ่ยาโคบไว้แล้ว

และได้ไถ่มาจากมือที่แข็งแรงเกินกว่าเขา

12 เขาทั้งหลายจะมาร้องเพลงอยู่บนที่สูงแห่งศิโยน

และเขาจะปลาบปลื้มเพราะของดีของพระเจ้า

เพราะเมล็ดข้าว เหล้าองุ่นและน้ำมันและเพราะลูกของแกะและโค

ชีวิตของเขาทั้งหลายจะเหมือนกับสวนที่มีน้ำรด และเขาจะไม่อ่อนระทวยอีกต่อไป

13 แล้วพวกพรหมจารีจะเปรมปรีดิ์ในการเต้นรำ

และคนหนุ่มกับคนแก่จะรื่นเริง เราจะกลับความโศกเศร้าของเขาให้เป็นความชื่นบาน

เราจะปลอบโยนเขาและให้ความยินดีแก่เขาแทนการไว้ทุกข์ (เยเรมีย์ 31:10-13)

(3) สถานที่ๆพูดถึงในเยเรมีย์ 31:15 คือรามาห์ และบุคคลที่พูดถึงคือราเชลที่ร่ำไห้เพราะบุตรของเธอ ทำให้นึกถึงการตายของราเชลในปฐมกาล 35:16-19 ราเชลมีปัญหาขณะคลอดบุตรชาย เธอตั้งชื่อเขาว่าเบนโอนี “บุตรแห่งความโศกเศร้า” แล้วเปลี่ยนเป็นเบนยามิน (บุตรแห่งมือขวาของเรา) ก็ถือกำเนิดมา แต่ราเชลตายหลังคลอด ราเชลเป็นมารดาของโยเซฟ (ผู้เป็นบิดาของเอฟราอิมและมนัสเสห์) และเบนยามิน เธอถูกเรียกว่าเป็น “มารดาของอิสราเอล” เธอใกล้ชิดและผูกพันกับอาณาจักรตอนเหนือของอิสราเอลมาก จึงเป็นการง่ายที่จะอธิบายการคร่ำครวญของแม่ๆในอาณาจักรเหนือว่าเป็น “นางราเชลร้องไห้คร่ำครวญเพราะบุตรทั้งหลายของตน” เมื่อถูกอัสซีเรียจับไปเป็นเชลย ถ้อยคำเดียวกันนี้สามารถนำมาอธิบายถึงแม่ๆในอาณาจักรใต้ที่คร่ำครวญเมื่อเห็นบุตรถูกนำตัวไปต่อหน้าต่อตา

(4) บริบทของเยเรมีย์ 31 ยังเป็น “พันธสัญญาใหม่” ด้วย:

“พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง เมื่อเราจะหว่านพืชคนและพืชสัตว์ในประชา อิสราเอลและประชายูดาห์ และจะเป็นไปอย่างนี้ คือเมื่อเราเฝ้าดูเขา เพื่อจะถอนออกและพังลงคว่ำเสีย ทำลาย และนำเหตุร้ายมาฉันใด เราจะเฝ้าดูเหนือเขาเพื่อจะสร้างขึ้นและปลูกฝังฉันนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ ในสมัยนั้น เขาจะไม่กล่าวต่อไปอีกว่า ‘บิดารับประทานองุ่นเปรี้ยวและบุตรก็เข็ดฟัน’ แต่ทุกคนจะต้องตายเพราะบาปของตนเอง มนุษย์ทุกคนที่รับประทานองุ่นเปรี้ยว ก็จะเข็ดฟัน “พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง ซึ่งเราจะทำพันธสัญญาใหม่กับประชาอิสราเอลและประชายูดาห์ ไม่เหมือนกับพันธสัญญาซึ่งเราได้กระทำกับ บรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย เมื่อเราจูงมือเขาเพื่อนำเขาออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ เป็นพันธสัญญาของเราซึ่งเขาผิด ถึงแม้ว่าเราได้เป็นสามีของเขา พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ แต่นี่จะเป็นพันธสัญญาซึ่งเราจะกระทำกับ ประชาอิสราเอลภายหลังสมัยนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เราจะบรรจุพระธรรมไว้ในเขาทั้งหลาย และเราจะจารึกมันไว้บนดวงใจของเขาทั้งหลาย และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา และทุกคนจะไม่สอนเพื่อนบ้านของตน และพี่น้องของตนแต่ละคนอีกว่า ‘จงรู้จักพระเจ้า’ เพราะเขาทั้งหลายจะรู้จักเราหมดตั้งแต่คน เล็กน้อยที่สุดถึงคนใหญ่โตที่สุด พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เพราะเราจะให้อภัยบาปชั่วของเขา และจะไม่จดจำบาปของเขา ทั้งหลายอีกต่อไป” (เยเรมีย์ 31:27-34)

ผมพบว่าเยเรมีย์พยายามอธิบายถึงความสำคัญจากผลที่เกิดในพันธสัญญาใหม่ในข้อ 29 และ 30 ประเด็นของท่านคือเมื่ออยู่ภายใต้พันธสัญญาเดิม เด็กจะต้องรับผลจากโทษบาปของพ่อแม่ ซึ่งจะไม่เป็นเช่นนั้นในพันธสัญญาใหม่ ถ้ามาพิจารณาพระคำในเยเรมีย์ 31:15 ให้ใกล้ๆ ผมพบว่ามันยากที่จะพูดว่าทารกบริสุทธิ์ที่ตายลงในเบธเลเฮมเป็นเพราะบาปของพ่อแม่ และจากที่เราเรียนมาในตอนต้น ก็ยังยากที่จะสรุปว่าที่ทารกเหล่านี้ตายเพราะอยู่ภายการตัดสินของพระเจ้า ซึ่งแตกต่างจากกรณีของเฮโรด ที่ตายในมัทธิวบทที่ 2

แล้วเราจะเชื่อมรอยต่อนี้ได้อย่างไร? ผมเชื่อว่ามัทธิวกำลังบอกเราว่าพระเยซูคืออิสราเอลใหม่ และพระองค์เชื่อมต่อกับโมเสสผู้ถูกฟาโรห์ตามล่าชีวิตด้วย แต่พระเจ้าทรงช่วยไว้ พระเยซูเช่นเดียวกับดาวิด ถูกกษัตริย์ขี้อิจฉาตามล่าเพราะเป็นภัยคุกคามต่อราชบัลลังก์ พระองค์ทรงเป็นทุกสิ่งที่อิสราเอลทำไม่สำเร็จ ดังนั้นการเดินทางไปอียิปต์และกลับมาจึงเป็นเหมือนย้อนรอยอพยพตามที่โฮเชยาพูดถึงในโฮเชยา 11:1

การเดินทางไปอียิปต์และกลับมาของพระเยซูคือภาพอิสราเอลที่ตกไปเป็นเชลย (ทั้งเชลยอัสซีเรียของอาณาจักรเหนือ และเชลยบาบิโลนของอาณาจักรใต้) มัทธิวจึงโยงการร้องไห้คร่ำครวญของราเชลที่บุตรถูกอุ้มไป แม้จะโอดครวญเพราะคิดว่าพวกเขาจะไม่ได้กลับมาอีกแล้ว แต่พระเจ้าสัญญาว่าพวกเขาจะได้กลับมา รับการฟื้นฟูและรับพระพร สิ่งนี้เป็นนัยบอกเราหรือไม่ว่าการคร่ำครวญของแม่ (และพ่อด้วย) ที่ในเบธเลเฮม ที่ลูกถูกฆ่าจะเป็นเวลาเพียงสั้นๆด้วย? และทั้งหมดนี้เป็นเพราะพระเยซูผู้เป็นอิสราเอลใหม่ ขณะที่ทารกพวกนี้ตายเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ ผมเชื่อว่าเมื่อถึงเวลา พวกเขาจะฟื้นขึ้นมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ และจะกลับมาด้วยสง่าราศี64 เฮโรดตายโดยต่อต้าน “กษัตริย์ของชาวยิว” ทารกพวกนี้ตายโดยแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกันกับ “กษัตริย์ของชาวยิว” ปลายทางช่างแตกต่างกันสิ้นดี

ข้อคิดสุดท้ายเรื่องการทนทุกข์จาก โรม 8

ในบทเรียนนี้ เราได้เห็นว่ามีหลายสาเหตุที่ทำให้มนุษย์ต้องเผชิญความทุกข์ และมีผลหลายแบบ ขณะที่เราอยากได้คำตอบง่ายๆในเรื่องความทุกข์ (คำตอบแบบที่พวกสาวกอยากได้ในยอห์น 9 หรือจากเพื่อนๆของโยบ) แต่คำตอบแบบนั้นหาไม่ได้ เป็นเวลาหลายปีกว่าชายตาบอดแต่กำเนิดจะรู้สาเหตุของความทุกข์ที่เขาเผชิญ และเชื่อว่าเขาคิดว่ามันคุ้มค่า โยบไม่ได้รับคำตอบจากความทุกข์ของท่าน ท่านแค่ถูกเตือนว่าพระเจ้าคือผู้ใด แค่นั้นก็เพียงพอ ขณะที่ยังหาคำตอบง่ายๆสำหรับคำถามเรื่องความทุกข์ไม่ได้ แต่มีความมั่นใจบางประการที่ทำให้เราอดทนได้ในความเชื่อ เพื่อจะสรุปเรื่องความมั่นใจนี้ ผมขอให้เรากลับไปที่โรม 8

(1) การทนทุกข์เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ในชีวิตมนุษย์ (โรม 8:18-25) ใน 1โครินธ์ 10 ตามที่ อ.เปาโลเขียน:

ไม่มีการทดลองใดๆเกิดขึ้นกับท่าน นอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อท่านถูกทดลองนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้ (1โครินธ์ 10:13)

การมีชีวิตอยู่ในโลกที่เสื่อมสลายนี้แปลว่าเราต้องเผชิญกับผลของความเสื่อมด้วย ทำให้ความทุกข์กลายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชีวิต ไม่ใช่เพราะเป็นคริสเตียน แต่ในฐานะมนุษย์

(2) องค์พระเยซูคริสต์ทรงสถิตกับเราเสมอโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งประทานความมั่นใจให้เราว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า และมีความหวังใจในชีวิตนิรันดร์ พระองค์ทรงสื่อสารแทนเราเมื่อเป็นทุกข์หนัก พระเยซูให้ความมั่นใจว่าจะทรงอยู่กับเราเสมอจนกว่าจะสิ้นยุค (มัทธิว 28:20) พระองค์ตรัสว่าจะไม่ละหรือทอดทิ้งเราเลย (ฮีบรู 13:5) เราจะไม่มีวันอยู่ตามลำพังในท่ามกลางความทุกข์ ที่จริงแล้วพระองค์ดึงเราให้เข้าใกล้โดยผ่านความทุกข์ (ดูสดุดี 73:21-28)

(3) คริสเตียนต้องมั่นใจว่าความทุกข์ใดที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมาจากพระหัตถ์แห่งความรักของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขา เพื่อให้เกิดผลดี และเพื่อพระสิริของพระองค์ :

เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์ เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉาย แห่งพระบุตรของพระองค์ เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก และบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงตั้งไว้นั้น พระองค์ได้ทรงเรียกมาด้วย และผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียกมานั้น พระองค์ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรม และผู้ที่พระองค์ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรม พระองค์ก็ทรงโปรดให้มีศักดิ์ศรีด้วย (โรม 8:28-30)

(4) เราสามารถเผชิญความทุกข์อย่างผู้มีชัยชนะ โดยรับรู้ความจริงว่าพระคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ได้ทนทุกข์เพื่อเรา เพื่อให้เราได้รับชีวิตนิรันดร์:

ถ้าเช่นนั้นเราจะว่าอย่างไร ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขัดขวางเรา พระองค์ผู้มิได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ทรงโปรดประทานพระบุตรนั้นเพื่อประโยชน์แก่เรา ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลาย ด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ ใครจะฟ้องคนเหล่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงเลือกไว้ พระเจ้าทรงโปรดให้พ้นโทษแล้ว ใครเล่าจะเป็นผู้ปรับโทษอีก พระเยซูคริสต์น่ะหรือ ผู้ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว และยิ่งกว่านั้นอีกได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ทรงสถิต ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงอธิษฐานขอเพื่อเราทั้งหลายด้วย แล้วใครจะให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระคริสต์ได้เล่า จะเป็นความทุกข์ หรือความยากลำบาก หรือการเคี่ยวเข็ญ หรือการกันดารอาหาร หรือการเปลือยกาย หรือการถูกโพยภัย หรือการถูกคมดาบหรือ ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์จึงถูกประหารวันยังค่ำ และนับว่าเป็นแกะสำหรับจะเอาไปฆ่า แต่ว่าในเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านี้ เรามีชัยเหลือล้นโดยพระองค์ผู้ได้ทรงรักเราทั้งหลาย เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆอื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถกระทำให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้ (โรม 8:31-39)

สรรเสริญพระเจ้าที่เรามีพระบิดาที่รักเรา และทรงครอบครองอยู่ ผู้อนุญาตให้เราผ่านความทุกข์เพื่อผลดีของเรา และเพื่อพระสิริของพระองค์ !

โดย : Robert L (Bob) Deffinbaugh

ได้รับอนุญาตและเป็นลิขสิทธิของ https://bible.org/

แปล : อรอวล ระงับภัย (Church of Joy)

 

47 บทเรียนต่อเนื่องบทนี้ปรับจากต้นฉบับเดิมของพระกิตติคุณมัทธิวบทเรียนที่ 3 จัดทำโดย อ. Robert L. Deffinbaugh วันที่ 2 มีนาคม 2003

48ผมเพิ่มพระวจนะข้อ 3-15 เพื่อให้ง่ายต่อการดูบริบท

49 นอกจากที่กล่าวไปแล้ว พระวจนะที่นำมาอ้างอิงทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) เป็น ฉบับแปลใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่นำฉบับเก่าในภาษาอังกฤษมาเรียบเรียงใหม่ ใช้ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการพระคัมภีร์มากกว่า ยี่สิบคน รวบรวมข้อมูล ทั้งจากภาษาฮีบรูโดยตรง ภาษาอาราเมข และภาษากรีก โครงการแปลนี้เริ่มมาจากที่เราต้องการนำ พระคัมภีร์ เผยแพร่ผ่านสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อรองรับการใช้งานทางอินเตอร์เน็ท และซีดี (compact disk) ที่ใดก็ตามในโลก ที่ต่อเข้าอินเตอร์เน็ทได้ ก็สามารถเรียกดู และพริ้นทข้อมูลไว้เพื่อใช้ศึกษาเป็นการส่วนตัวได้โดยไม่คิดมูลค่า นอกจากนี้ ผู้ใดก็ตาม ที่ต้องการนำข้อมูลเกี่ยวกับพระคัมภีร์ไปเผยแพร่ต่อโดยไม่คิดเงิน สามารถทำได้จากเว็บไซด์ : www.netbible.org.

50 ผมมีประสบการณ์ในประเทศอินเดียที่ช่วยให้เข้าใจว่าทำไมหลายคนมองคนตาบอดว่าไร้สมรรถภาพ ตอนเข้าประเทศอินเดียพร้อมกับเพื่อนตาบอดอีกคน เคร็ก เนลสัน เราถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองสอบถาม เมื่อเห็นว่าเพื่อนของผมพิการ เขาหันมาที่ผมแทน ถามว่า “เขาป่วยเหรอ?” เพื่อนผมตอบว่า “ผมไม่ได้ป่วย ผมแค่มองไม่เห็น” พอได้ยิน เจ้าหน้าที่คนนั้นไม่ยอมพูดกับเพื่อนผมเลย พูดกับผมแทน เหมือนกับเพื่อนผมไม่มีตัวตน จึงไม่น่าประหลาดใจที่ขอทานพิการนอกพระวิหาร (กิจการ 3) เรียกร้องอยากได้บางสิ่งเมื่อเขารู้สึกว่าเปโตรและยอห์นมองมา

51ชายคนนี้ตาบอดมาตั้งแต่เกิด ดังนั้นเรื่องทำบาปคงเป็นไปได้ยาก แต่กลับต้องรู้สึกว่าที่ตาบอดเป็นเพราะพระเจ้าลงโทษ

52 ดูลูกา 4:18-19

53 ดูตัวอย่างที่พระเยซูรักษาชายพิการที่สระเบธซาธา พระองค์กลับไปพบเขาที่พระวิหาร ตรัสสั่งว่า “นี่แน่ะ เจ้าหายโรคแล้ว อย่าทำบาปอีก มิฉะนั้นเหตุร้ายกว่านั้นจะเกิดกับเจ้า” (ยอห์น 5:14)

54 โยเซฟแกล้งทำเป็นดุดัน (ปฐมกาล 42:7) เพราะเขาแอบไปร้องไห้เมื่ออยู่ลำพัง (42:24; 43:30)

55ใน 2โครินธ์ 1:3-7 ด้วยที่ อ.เปาโลสอนว่าการเล้าโลมใจที่เราได้รับเมื่อผจญความทุกข์ทำให้เราสามารถไปเล้าโลมใจผู้อื่นในยามที่พวกเขาทุกข์ได้

56 อย่าลืมว่าความตายของพวกปุโรหิตอาจเกี่ยวข้องกับคำแช่งสาปของเอลีใน 1 ซามูเอล 2:27-36

57ในปฐมกาล อับราฮัมคัดค้านพระเจ้าแทนผู้ชอบธรรม ในโยนาห์ พระเจ้าทรงปกป้อง “พวกไร้เดียงสา” เช่นเด็กๆและสัตว์เลี้ยง

58 ดูอพยพ 34:6 เนหะมีย์ 9:17, 31; สดุดี 103.8; 111:14; 112:4; 116:5

59 สิ่งหนึ่งที่พวกคิดว่าตนเองชอบธรรมเกลียดชังคือพระคุณ

60 ผู้อ่านอาจจะสังเกตว่าผมใช้คำว่า “ไร้เดียงสา” แทนคำว่าผู้ชอบธรรมตามที่อับราฮัมใช้ในปฐมกาล 18:23 เพราะสถานการณ์นี้แตกต่างจากสถานการณ์ในโสดมโกโมราห์ แต่ก็มีส่วนคล้าย

61 จาก Walvoord, J. F. Zuck, R. B., & Dallas Theological Seminary. 1983-c1985. The Bible Knowledge Commentary: An Exposition of the Scriptures. Victor Books: Wheaton, IL. Emphasis mine.

62 Ibid.

63 Ibid.

64 ข้อสรุปนี้ใกล้เคียงกับที่ผมเข้าใจว่าทารกที่ตายจะได้ไปสวรรค์ มุมมองที่ผมพูดไว้อย่างละเอียดในบทเรียน 2ซามูเอล 12

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1โครินธ์ บทที่ 9

สิทธิของอัครทูต

พระธรรม        1โครินธิ์ 9:1-27

อ้างอิง             1คร.1:1;2:3;3:6,8;4:15;7:7-8;10:33;12:12;15:8;2คร.4:5;6:3;11:7-12

บทนำ    เราต่างมีสิทธิ์และเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้ที่ไม่ผิดกฎหมาย ผิดระเบียบ ผิดประเพณี และผิดคำสอนในพระคัมภีร์ไบเบิล แต่เราไม่จำเป็นต้องใช้สิทธิ์หรือเสรีภาพนั้นทุกครั้งในทุกเรื่อง หากว่าไม่จำเป็น

บทเรียน

9:1 “ข้าพเจ้ามีเสรีภาพไม่ใช่หรือ? ข้าพเจ้าเป็นอัครทูตไม่ใช่หรือ? ข้าพเจ้าเห็นพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแล้ว​ไม่ใช่หรือ? ท่านทั้งหลายเป็นผลงานของข้าพเจ้าในองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่หรือ?”

     (Am I not free? Am I not an apostle? Have I not seen Jesus our Lord? Are not you my  workmanship in the Lord? )

9:2 “ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เป็นอัครทูตในสายตาของคนอื่น ก็ต้องเป็นอัครทูตในสายตาของท่านทั้งหลาย เพราะพวกท่าน​คือตราแห่งอัครทูตของข้าพเจ้าในองค์พระผู้เป็นเจ้า”

               (If to others I am not an apostle, at least I am to you, for you are the seal of my apostleship in the  Lord.)

9:3 “ถ้าใครไต่สวนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะขอกล่าวแก้ว่า”

           (This is my defense to those who would examine me.)

9:4 “เรามีสิทธิ์กินและดื่มไม่ใช่หรือ?”

           (Do we not have the right to eat and drink?)

9:5 “เรามีสิทธิ์พาพี่น้องซึ่งเป็นภรรยาไปด้วยเหมือนอย่างบรรดาอัครทูตอื่นๆ น้องๆ ขององค์พระผู้เป็นเจ้า และ​เคฟาสไม่ใช่หรือ?” 

           (Do we not have the right to take along a believing wife, as do the other apostles and the brothers of the Lord and Cephas? )

9:6 “เฉพาะข้าพเจ้าและบารนาบัสเท่านั้นที่ไม่มีสิทธิ์เลิกทำงานหาเลี้ยงชีพหรือ?”

           (Or is it only Barnabas and I who have no right to refrain from working for a living? )

9:7 “ใครบ้างที่เป็นทหารด้วยค่าจ้างของตัวเอง? ใครบ้างที่ทำสวนองุ่นและไม่กินผลองุ่นในสวนนั้น? ใครบ้างที่เลี้ยงฝูงแกะและไม่กินน้ำนมของฝูงแกะนั้น?”

       (Who serves as a soldier at his own expense? Who plants a vineyard without eating any of its  fruit? Or who tends a flock without getting some of the milk?)

9:8 “ข้าพเจ้ากล่าวอย่างนี้ตามวิสัยของมนุษย์หรือ? ธรรมบัญญัติก็กล่าวอย่างนี้ด้วยไม่ใช่หรือ?”

      (Do I say these things on human authority? Does not the Law say the same?)

9:9 “เพราะว่าในธรรมบัญญัติของโมเสสมีเขียนไว้ว่า “อย่าเอาตะกร้อครอบปากวัวเมื่อมันกำลังนวดข้าวอยู่”พระเจ้า​ทรงเป็นห่วงวัวหรือ?”

       (For it is written in the Law of Moses, “You shall not muzzle an ox when it treads out the grain.” Is it for oxen that God is concerned? )

9:10 “พระองค์ตรัสเพื่อเราโดยเฉพาะไม่ใช่หรือ? ข้อความนั้นเขียนไว้เพื่อเรา แสดงว่าคนที่ไถนาสมควรจะไถด้วยความหวัง และคนที่นวดข้าวก็สมควรจะนวดด้วยความหวังว่าจะได้รับประโยชน์” 

        (Does he not certainly speak for our sake? It was written for our sake, because the plowman  should plow in hope and the thresher thresh in hope of sharing in the crop. )

9:11 “ถ้าเราหว่านปัจจัยฝ่ายจิตวิญญาณให้แก่พวกท่าน แล้วจะมากไปหรือที่เราจะเกี่ยวปัจจัยฝ่ายกายจากท่าน” 

          (If we have sown spiritual things among you, is it too much if we reap material things from you?)

9:12 “ถ้าคนอื่นมีสิทธิ์ได้รับประโยชน์จากท่านทั้งหลาย เราก็มีสิทธิ์ยิ่งกว่านั้นอีกไม่ใช่หรือ? แต่ถึงกระนั้น เราก็ไม่ได้​ใช้สิทธิ์นี้เลย แต่เรายอมทนทุกอย่างเพื่อเราจะไม่วางสิ่งกีดขวางใดๆ ต่อข่าวประเสริฐของพระคริสต์” 

   (If others share this rightful claim on you, do not we even more? Nevertheless, we have not  made use of this right, but we endure anything rather than put an obstacle in the way of the  gospel of Christ. )

9:13 “ท่านรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าพวกที่ทำงานต่างๆ ของพระวิหารก็กินอาหารของพระวิหาร และพวกรับใช้ที่แท่นบูชาก็​รับส่วนแบ่งจากเครื่องบูชานั้น”

       (Do you not know that those who are employed in the temple service get their food from the temple, and those who serve at the altar share in the sacrificial offerings? )

9:14 “ทำนองเดียวกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสั่งไว้ว่า คนที่ประกาศข่าวประเสริฐควรได้รับการเลี้ยงชีพด้วยข่าว‍ประเสริฐ”

     (In the same way, the Lord commanded that those who proclaim the gospel should get their living by the gospel)

9:15 “แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ใช้สิทธิ์เหล่านี้เลย และข้าพเจ้าไม่ได้เขียนเช่นนี้เพื่อให้เขาทำอย่างนั้นกับข้าพเจ้า เพราะว่า​ ข้าพเจ้ายอมตายดีกว่าที่จะให้ใครทำลายเหตุแห่งการอวดของข้าพเจ้า” 

   (But I have made no use of any of these rights, nor am I writing these things to secure any such  provision. For I would rather die than have anyone deprive me of my ground for boasting. )

9:16 “เพราะว่าถ้าข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐ ข้าพเจ้าก็ไม่มีเหตุที่จะอวดได้ เพราะว่าข้าพเจ้าจำต้องทำ และถ้า​ไม่ประกาศ วิบัติจะเกิดกับข้าพเจ้า”

    (For if I preach the gospel, that gives me no ground for boasting. For necessity is laid upon me.  Woe to me if I do not preach the gospel! )

9:17 “เพราะถ้าข้าพเจ้าประกาศด้วยความสมัครใจ ก็จะได้บำเหน็จ แต่ถ้าไม่สมัครใจ ภารกิจนี้ก็ทรงมอบให้แล้ว” 

      (For if I do this of my own will, I have a reward, but if not of my own will, I am still entrusted with  a stewardship.)

9:18 “แล้วบำเหน็จของข้าพเจ้าคืออะไร? ก็คือว่าในการประกาศข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าประกาศโดยไม่คิดค่าจ้างเพื่อจะไม่ต้องใช้สิทธิ์ในข่าวประเสริฐเต็มที่”

    (What then is my reward? That in my preaching I may present the gospel free of charge, so as  not to make full use of my right in the gospel.)

9:19 “แม้ว่าข้าพเจ้าเป็นไทโดยไม่ได้อยู่ใต้ใคร ข้าพเจ้าก็ยังยอมเป็นทาสของทุกคน เพื่อจะได้คนมามากยิ่งขึ้น”

     (For though I am free from all, I have made myself a servant to all, that I might win more of them.)

9:20 “ต่อพวกยิวข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนยิว เพื่อจะได้พวกยิวมา ต่อพวกที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนคน​อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ (แต่ตัวข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ) เพื่อจะได้พวกที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัตินั้นมา”

   (To the Jews I became as a Jew, in order to win Jews. To those under the law I became as one  under the law (though not being myself under the law) that I might win those under the law.)

9:21 “ต่อพวกที่อยู่นอกธรรมบัญญัติข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนคนนอกธรรมบัญญัติ (ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่นอกพระบัญญัติ​ของพระเจ้า แต่อยู่ใต้พระบัญญัติแห่งพระคริสต์) เพื่อจะได้พวกที่อยู่นอกธรรมบัญญัตินั้นมา” 

     (To those outside the law I became as one outside the law (not being outside the law of God but  under the law of Christ) that I might win those outside the law.)

9:22 “ต่อพวกคนอ่อนแอข้าพเจ้าก็เป็นคนอ่อนแอเพื่อจะได้พวกคนอ่อนแอมา ข้าพเจ้ายอมเป็นคนทุกแบบต่อทุกคนเพื่อช่วยบางคนให้รอดโดยทุกวิถีทาง”

   (To the weak I became weak, that I might win the weak. I have become all things to all people, that by all means I might save some.)

9:23 “ข้าพเจ้าทำทุกอย่าง เพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐเพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนในข่าวประเสริฐนั้น”

        (I do it all for the sake of the gospel, that I may share with them in its blessings.)

9:24 “ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าพวกที่วิ่งแข่งนั้นก็วิ่งด้วยกันทุกคน แต่คนที่ได้รางวัลนั้นมีเพียงคนเดียว? จงวิ่ง​เหมือนผู้ที่จะชิงรางวัลให้ได้” 

   (Do you not know that in a race all the runners run, but only one receives the prize? So run that  you may obtain it.)

9:25 “ส่วนนักกีฬาทุกคนก็ควบคุมตัวเองในทุกด้าน พวกเขาทำเพื่อจะได้มงกุฎใบไม้ที่ร่วงโรยได้ แต่มงกุฎของเราจะ​ไม่ร่วงโรยเลย”

    (Every athlete exercises self-control in all things. They do it to receive a perishable wreath, but we an imperishable. )

9:26 “ดังนั้นข้าพเจ้าไม่ได้วิ่งแข่งโดยไม่มีเป้าหมาย ข้าพเจ้าไม่ได้ต่อสู้เหมือนอย่างนักมวยที่ชกลม

             (So I do not run aimlessly; I do not box as one beating the air.)

9:27 “แต่ข้าพเจ้าทุบตีร่างกายและควบคุมมันไว้ เพราะเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่นแล้ว ตัว​เองกลับเป็นคนที่ใช้การไม่ได้”

       (But I discipline my body and keep it under control, lest after preaching to others I myself should be disqualified.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

9:1       “ข้าพเจ้ามีเสรีภาพไม่ใช่หรือ?” (Am I not free?) = ข้าพเจ้าไม่มีสิทธิ์เหมือนคริสเตียนคนอื่น ๆ หรือ

-1คร.9:19

“ข้าพเจ้าเป็นอัครทูตไม่ใช่หรือ?” (Am I not an apostle?) = ข้าพเจ้าไม่เป็นอัครทูตหรือ?

– 1คร.1:1;2คร. 12:12 เพราะบางคนในโครินธ์ (2คร.12:11-12) สงสัยว่า เปาโลเป็นอัครทูตจริงหรือไม่?

“ข้าพเจ้าเห็นพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า?” (I not seen Jesus our Lord?) = อ.เปาโลยืนยันความเป็นอัครฑูตของท่าน คือท่านได้เห็นและสนทนากับองค์พระเยซูคริสต์ –15;8;22:6-16;26:12-18 , ปท.1:21-22; เหมือนอัครฑูตคนอื่น ๆ

“ท่านทั้งหลายเป็นผลงานของข้าพเจ้า” (Are not you my workmanship in the Lord?) –ในตอนนี้เปาโลอ้างว่า ชาวโครินธ์ที่เป็นผลงานฝ่ายจิตวิญญาณของท่านนั้นเป็นเครื่องยืนยันฐานะอัครฑูตของท่าน

– 1คร.3:6;4:15

9:2       “พวกท่านคือตราแห่งอัครทูตของข้าพเจ้า” ( you are the seal of my apostleship in the Lord.) –2คร.3:2,3

9:4       “เรามีสิทธิ์กินและดื่มไม่ใช่หรือ?” (Do we not have the right to eat and drink? )= อ.เปาโลกับบารนาบัส เป็นคนงานของพระเจ้าที่มีสิทธิ์รับประทานอาหารและรับปัจจัยทางกายภาพอื่น ๆ ที่จำเป็นผ่านการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากคริสตจักร (ปท. ข.6,13-14;กจ.18:3

9:5       “เรามีสิทธิ์พาพี่น้องซึ่งเป็นภรรยาไปด้วย”(Do we not have the right to take along a believing wife)

= อ.เปาโลแสดงสิทธิ์ที่ตัวท่านจะแต่งงาน หากท่านเองปรารถนา (แต่ท่านอาจไม่ได้แต่งงาน)

–1คร.7:7-8

-อัครทูตคนอื่น ๆ เช่น เปโตรก็มีภรรยา (มก.1:30) –1คร.1:12

9:6       “เฉพาะข้าพเจ้ากับบารนาบัสเท่านั้น…หรือ?” (Or is it only Barnabas and I who have no right to refrain from working for a living) = มีแค่เปาโลกับบารนาบัส 2 คนเท่านั้นหรือที่ไม่มีสิทธิ์ในการรับการสนับสนุนด้านปัจจัยต่าง ๆ และต้องทำงานหาเลี้ยงชีพตัวเอง -กจ.4:36

9:7       “เป็นทหาร” (a soldier) –2ทธ.2:3-4

“ใครบ้างที่ทำสวนองุ่น” (Who plants a vineyard) –ฉธบ.20:6;สภษ.27:18;1คร.3:6,8

9:9       “อย่าเอาตะกร้อครอบปากวัว เมื่อมันกำลังนวดข้าวอยู่” ( You shall not muzzle an ox when it treads out the grain) –ฉธบ.25:4;1ทธ.5:18

          “พระเจ้าทรงเป็นห่วงวัวหรือ” ( Is it for oxen that God is concerned?)= พระเจ้าทรงเป็นห่วงแต่วัวหรือ

–ฉธบ.22:1-4;สภษ.12:10

-ในบทบัญญัติของโมเสสนี่บ่งบอกว่า พระเจ้าทรงห่วงใยวัวที่ต้องทำงานให้กับเจ้าของ (ปท. ยนา.4:11) ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของความยุติธรรมที่พระเจ้ากำลังสอนอิสราเอล และมีน้ำหนักทางจริยธรรมมากขึ้น (มากกว่าสัตว์) เมื่อเกี่ยวข้องกับคน

9:10     “พระองค์ตรัสเพื่อเราโดยเฉพาะไม่ใช่หรือ?” (Does he not certainly speak for our sake?)  -รม.4:23-24

“ด้วยความหวังว่า จะได้รับประโยชน์” ( because the plowman should plow in hope) -สภษ.11:25; 2ทธ.2:6

9:11     “จะเกี่ยวปัจจัยฝ่ายกาย” (reap material things from you?) = เก็บเกี่ยว “ฝ่ายเนื้อหนัง” หรือเก็บเกี่ยวฝ่ายวัตถุ เช่น อาหารที่พัก และค่าใช้จ่ายที่จำเป็นจากชาวโครินธ์

-ในที่นี้ อ.เปาโล ได้วางหลักการว่า คริสตจักรควรสนับสนุนคนที่ทำงานรับใช้ในคริสตจักร ไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตาม – รม.15:27;1คร.9:14;กท.6:6

9:12     “เราก็ไม่ได้ใช้สิทธิ์นี้เลย” (we have not made use of this right) = ประเด็นสำคัญในการอภิปรายของ อ.เปาโลใน บทที่ 9 นี้ คือ อ.เปาโลมีสิทธิ์มากมายแต่ท่านไม่เคยอ้างหรือเรียกร้องสิทธิ์เหล่านั้นเลย เพราะความรักที่ท่านมีต่อชาวโครินธ์ และพร้อมยอมสละสิทธิ์ของตนเองเพื่อผู้อื่น -กจ.18:3;1คร.9:15,18

“สิ่งกีดขวาง” (put an obstacle in the way) –2คร.6:3;11:7-12

9:13     “พวกที่ทำงานต่าง ๆ ของพวกวิหาร” (who are employed in the temple ) = สิ่งที่พวกชาวโครินธ์เข้าใจดีจากที่เห็นปฏิบัติในวิหารของชาวต่างชาติในกรีซ และโรม นอกเหนือจากในพระคัมภีร์เดิม

(ลนต.7:28-36;กดว.18:8-20)

“รับส่วนแบ่งจากเครื่องบูชานั้น” (the altar share in the sacrificial offerings) –ลนต.6:16,26; ฉธบ.18:1

9:14     “คนที่ประกาศข่าวประเสริฐ ควรได้รับการเลี้ยงชีพด้วยข่าวประเสริฐ” (who proclaim the gospel should get their living by the gospel) –ทธ.5:18

9:15     “เหตุแห่งการอวดของข้าพเจ้า” (of my ground for boasting) = สิ่งเชิดหน้าชูตา

= ความภาคภูมิใจที่ อ.เปาโลประกาศข่าวประเสริฐโดยไม่เรียกร้องค่าตอบแทนใด ๆ เพื่อชาวโครินธิ์ จนพวกเขาไม่อาจกล่าวหาว่า ท่านทำงานเพื่อหวังผลตอบแทนเป็นเงื่อนไข – 2คร.11:9,11

9:16     “ข้าพเจ้าจำต้องทำ” (For necessity is laid upon me) = ข้าพเจ้าจำต้องประกาศ

= พระเจ้าทรงบรรจุความจำเป็นในการประกาศข่าวประเสริฐไว้ในใจ และชีวิตของ อ.เปาโล (กจ.9:1-16;26:16-18;ยรม.20:9;รม.1:14)

9:17     “ถ้าข้าพเจ้าประกาศด้วยความสมัครใจ ก็จะได้บำเหน็จ” (For if I do this of my own will, I have a reward) = ได้รับรางวัลตอบแทน –1คร.3:8,14

“ถ้าไม่สมัครใจ ภารกิจนี้ก็ทรงมอบให้แล้ว” (if not of my own will) = หากประกาศโดยไม่สมัครใจก็เพียงแค่ทำหน้าที่ไปตามที่ได้รับมอบหมาย –1คร.14:1;กท.2:7;คส.1:25

9:18     “แล้วบำเหน็จของข้าพเจ้าคืออะไร?” (What then is my reward? ) = รางวัลของการที่ อ.เปาโลประกาศข่าวประเสริฐ

= ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ แต่เป็นความภาคภูมิใจที่ได้ประกาศข่าวประเสริฐโดยไม่ได้เรียกร้องสิ่งใดเป็นการตอบแทน และไม่ได้ฉวยผลประโยชน์ตามสิทธิที่ควรได้รับ (ข้อ 3-12) –2คร.11:7;12:13; ปท.1คร.9:12,15

9:19     “แม้ข้าพเจ้าเป็นไท” (For though I am free)

“ข้าพเจ้าก็ยังยอมเป็นทาสของทุกคนเพื่อจะได้คนมามากยิ่งขึ้น” ( I have made myself a servant to all, that I might win more of them)

-อ.เปาโลไม่เพียงแต่สละสิทธิ์ของตนเองในการรับการสนับสนุนด้านวัตถุจากการประกาศข่าวประเสริฐเท่านั้น แต่ยังตัดสิทธิพิเศษส่วนตัว รวมทั้งสิทธิทางสังคมและศาสนาด้วย เพื่อความสะดวกในการทำงานกับคนหลากหลายประเภท เพื่อจะได้ชนะใจคนเหล่านั้น และนำมาหาพระคริสต์ -2คร.4:5;กท.5:13; มธ.18:15;1ปต.3:1

9:20     “เพื่อชนะใจคนยิว” (in order to win Jews) –กจ.16:3;21:20-26;รม.11:14

“แต่ตัวข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ” (under the law) = อยู่ใต้บัญญัติของพันธสัญญาเดิม และแนวทางปฏิบัติตามศาสนาของคนยิว –รม.2:12

9:21     “ต่อพวกที่อยู่นอกธรรมบัญญัติ” (To those outside the law) = ต่อบรรดาผู้ที่ไม่มีบทบัญญัติ

= คนที่ไม่ได้เติบโตขึ้นมาภายใต้บทบัญญัติของพันธสัญญาเดิมหรือที่ถูกเรียกว่า “คนต่างชาติ” –รม.2:12

“ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนคนนอกธรรมบัญญัติ” (I became as one outside the law)

= อ.เปาโลสามารถปรับตัวเองให้เข้ากับวัฒนธรรมของคนต่างชาติ หากว่าวัฒนธรรมนั้นไม่ทำลายความภักดีที่อ.เปาโลมีต่อพระคริสต์ และการกระทำเช่นนั้นยังถือว่า เป็นการยืนยันการอยู่ใต้บัญญัติของพระเจ้าและของพระคริสต์ – กท.6:2

9:22     “ต่อพวกคนอ่อนแอ” (To the weak) = ผู้ที่จิตสำนึกอ่อนแอ (8:9-12)

“ข้าพเจ้าก็เป็นคนอ่อนแอ” (I became weak) –อ.เปาโลไม่ได้ใช้เสรีภาพของตนทำอะไรตามใจหรือสิทธิของตัวเอง ตัวอย่างเช่น การรับประทานเนื้อที่เซ่นไหว้รูปเคารพ (8:9,13)

“เพื่อจะได้คนอ่อนแอมา” ( that I might win the weak) = ชนะใจคนอ่อนแอ –รม.14:1;1คร.2:3

“ข้าพเจ้ายอมเป็นคนทุกแบบต่อทุกคน” ( I have become all things to all people) –1คร.10:33

“เพื่อช่วยบางคนให้รอดโดยทุกวิถีทาง” (that by all means I might save some) –รม.11:14

9:23     “เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนในข่าวประเสริฐนั้น” (I do it all for the sake of the gospel) = อ.เปาโล       มีความหวังในเรื่องการร่วมครองอย่างมีศักดิ์ศรีกับพระเยซูคริสต์ในอนาคต และสิ่งนี้เชื่อมโยงกับความซื่อสัตย์ในการทำพันธกิจที่พระคริสต์มอบให้แก่ท่าน (ปท. ข้อ 27;2คร.3:1;5:10;ฟป.2:16;1ธส.2:19-20)

9:24     “พวกที่วิ่งแข่ง” (in a race all the runners run) = ชาวโครินธ์คุ้นเคยกับการวิ่งแข่ง “อิสธ์เมีย” ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เป็นรองเพียงแค่กีฬาโอลิมปิคเท่านั้น

“รางวัล” (the prize) = พวงหรีดดอกไม้ (ข.25), ฟป.3:14;คส.2:18

“จงวิ่ง” (run) –1คร.9:25-26;กท.2:2;5:7;ฟป.2:16;2ทธ.4:7;ฮบ.12:1

9:25     “มงกุฎใบไม้ที่ร่วงโรยได้” (receive a perishable wreath ) = มงกุฎที่ไม่ยืนยง – 2ทธ.2:5

“มงกุฎของเราจะไม่ร่วงโรยเลย” (but we an imperishable) = มงกุฎที่ยั่งยืนเป็นนิตย์ –2ทธ.4:8; ยก.1:12;1ปต.5:4;วว.2:10;3:11;1ปต.5:4;1ธส.2:19

9:26     “ไม่ได้วิ่งแข่งโดยไม่มีเป้าหมาย” ( I do not run aimlessly) –ฟป.3:14

“นักมวยที่ชกลม” (I do not box as one beating the air)

9:27    “ข้าพเจ้าทุบตีร่างกายและควบคุมมันไว้” (I discipline my body and keep it under control)

= ฝึกฝนตนเองให้อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างมีวินัย-เข้มงวดในการรับใช้ –รม.8:13

“ตัวเองกลับเป็นคนที่ใช้การไม่ได้” (I myself should be disqualified) = ขาดคุณสมบัติที่จะรับรางวัล

อ.เปาโลตระหนักว่า ท่านต้องรับใช้พระเจ้าอย่างแข็งขัน และต้องต่อสู้กับบาป ถ้าท่านพลาดท่านจะพลาดจากการได้รับรางวัล (3:10-15) –1คร.9:24

 

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยถูกสงสัยหรือท้าทายในสิทธิอำนาจที่คุณมีหรือไม่? จากใคร? เรื่องอะไร?
  2. คุณเคยมีเสรีภาพ และสิทธิ ในบางเรื่องแต่คุณไม่เรียกร้องบ้างหรือไม่? ทำไม? เรื่องอะไร? อย่างไร?
  3. คุณคิดว่า ผู้ที่ทำงานรับใช้พระเจ้า ต้องไม่รับค่าตอบแทนใด ๆ จากคริสตจักรแบบที่ อ.เปาโล ทำ ใช่หรือไม่? ทำไมคุณคิดเห็นอย่างนั้น? จะส่งผลแตกต่างอย่างไร? ระหว่าง

…1) ไม่ได้รับค่าตอบแทน?

…2) ได้รับค่าตอบแทน?

  1. คุณคิดว่า อ.เปาโล กำลังทำอะไร?

…1) พูดเพื่อให้คริสตจักรตอบแทนผู้รับใช้ เป็นปัจจัยหรือเงินทอง

หรือ

…2) พูดเพื่อไม่ให้คริสตจักรจ่ายสิ่งใด ๆ เพื่อผู้รับใช้? ทำไมคุณคิดเช่นนั้น?

  1. ในชีวิต (การรับใช้) ของคุณ คุณมีเรื่องใดที่ภูมิใจหรือเชิดหน้าชูตาคุณมากที่สุด? อย่างไร?
  2. คุณคิดว่า วิบัติที่จะเกิดขึ้นจากการไม่ประกาศข่าวประเสริฐคืออะไร?
  3. คุณเคยเห็นหรือมีประสบการณ์กับ “ความวิบัติ” ที่เกิดจากการไม่ยอมประกาศข่าวประเสริฐบ้างหรือไม่?
  4. คุณเคยได้รับรางวัลอะไรจากการรับใช้หรือการประกาศข่าวประเสริฐบ้าง? (แบ่งปัน)
  5. คุณเคยทำอะไรบ้างที่ชนะใจคนบางคนและช่วยทำให้เขามาเชื่อในพระคริสต์? (แบ่งปัน)
  6. คุณเคยต่อสู้กับการทดสอบหรือบาปอะไรบ้างที่ยากที่สุด? เพราะอะไรและผลเป็นอย่างไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนพระคัมภีร์ (แปล) มัทธิว บทที่ 2

บทที่ 2 — การเดินทางแสนมหัศจรรย์ทั้งสอง20
มัทธิว 2:1-23

พระเยซูได้ทรงบังเกิดที่บ้านเบธเลเฮมแคว้นยูเดียในรัชกาลของกษัตริย์เฮโรด ภายหลังมีพวก โหราจารย์จากทิศตะวันออกมายังกรุงเยรูซาเล็มถามว่า “กุมารผู้ที่บังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของ ชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน เราได้เห็นดาวของท่านปรากฏขึ้น เราจึงมาหวังจะ นมัสการท่าน” ครั้นกษัตริย์เฮโรด ได้ยินดังนั้นแล้ว ก็วุ่นวายพระทัย ทั้งชาวกรุงเยรูซาเล็ม ก็พลอยวุ่นวายใจไปด้วย แล้วท่านให้ประชุมบรรดามหาปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์ ของประชาชนตรัสถามเขาว่า “ผู้เป็นพระคริสต์นั้น จะบังเกิดแห่งใด” เขาทูลว่า “ที่บ้านเบธเลเฮมแคว้นยูเดีย เพราะว่าผู้เผยพระ วจนะได้เขียนไว้ดังนี้ว่า บ้านเบธเลเฮม ในแผ่นดินยูเดีย จะเป็นบ้านเล็กน้อยที่สุด ในสายตาของบรรดาผู้ครองแผ่นดินยูเดีย ก็หามิได้ เพราะว่าเจ้านายคนหนึ่งจะออกมาจากท่านผู้ซึ่งจะครอบครองอิสราเอล ชนชาติของเรา” แล้วเฮโรดจึงเชิญพวกโหราจารย์เข้ามาเป็นการลับ ถามเขาได้ความถ้วนถี่ถึงเวลาที่ดาวนั้นได้ ปรากฏขึ้น แล้วท่าน ได้ให้ พวกโหราจารย์ ไปยังบ้านเบธเลเฮมสั่งว่า “จงไปค้นหากุมาร นั้นเถิด เมื่อพบแล้วจงกลับมาแจ้งแก่เรา เพื่อเรา จะได้ไปนมัสการท่านด้วย” โหราจารย์ เหล่านั้นจึงไปตามรับสั่ง และดาวซึ่งเขาได้เห็นเมื่อ ปรากฏขึ้นนั้นก็ได้นำหน้าเขาไป จนมาหยุดอยู่เหนือ สถานที่ที่กุมารอยู่นั้น เมื่อพวกโหราจารย์ ได้เห็นดาวนั้นแล้ว ก็มีความยินดี ยิ่งนัก ครั้นเข้าไป ในเรือนก็พบกุมารกับนางมารีย์มารดา จึงกราบถวายนมัสการกุมารนั้น แล้วเปิดหีบหยิบทรัพย์ของ เขาออกมาถวายแก่กุมาร เป็นเครื่อง บรรณาการ คือ ทองคำ กำยาน และมดยอบ แล้วพวก โหราจารย์ได้ยินคำเตือนใน ความฝัน มิให้กลับไปเฝ้าเฮโรด เขาจึงกลับไปยังเมืองของตนทางอื่น ครั้นเขาไปแล้วก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเป็นเจ้า ได้มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันแล้วบอกว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาหนี ไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้าเพราะ ว่าเฮโรดจะแสวงหากุมาร เพื่อจะประหารชีวิตเสีย” ในเวลากลางคืนโยเซฟจึงลุกขึ้น พากุมาร กับมารดาไปยังประเทศอียิปต์ และได้อยู่ที่นั่นจนเฮโรดสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จ ตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่ง ได้ตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า เราได้เรียกบุตรของเราให้ออก มาจากอียิปต์ ครั้นเฮโรดเห็นว่าพวกโหราจารย์หลอกท่าน ก็กริ้วโกรธยิ่งนัก จึงใช้คนไปฆ่าเด็กผู้ชายทั้งหลาย ใน บ้านเบธเลเฮม และที่ใกล้เคียงทั้งสิ้น ตั้งแต่อายุสองขวบลงมา ซึ่งพอดีกับเวลาที่ท่านได้ทราบ จากพวกโหราจารย์นั้น ครั้งนั้นก็สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสโดยเยเรมีย์ ผู้เผยพระวจนะว่า ได้ ยินเสียงในหมู่บ้านรามาห์ เป็นเสียงโอดครวญและร่ำไห้ คือนางราเชลร้อง ไห้คร่ำครวญเพราะบุตรทั้งหลายของตน นางไม่รับฟังคำปลอบเล้าโลม เพราะบุตรทั้งหลาย นั้นไม่มีแล้ว ครั้นเฮโรดสิ้นพระชนม์แล้ว ทูตองค์หนึ่ง ของพระเป็นเจ้ามาปรากฏในความฝันแก่โยเซฟที่ประเทศอียิปต์สั่งว่า “จงลุกขึ้น พากุมารกับมารดามายังแผ่นดินอิสราเอล เพราะผู้ที่เป็นภัยต่อชีวิตของกุมารนั้นตายแล้ว” โยเซฟจึงลุกขึ้น พากุมารกับมารดามายัง แผ่นดินอิสราเอล แต่เมื่อได้ยินว่า อารเคลาอัสครอบ ครองแคว้นยูเดียแทนเฮโรดผู้เป็นบิดา จะไปที่นั่นก็กลัว และเมื่อได้ทราบคำเตือนใน ความฝัน จึงเลยไปยังแคว้นกาลิลี ไปอาศัยในเมืองหนึ่งชื่อนาซาเร็ธ เพื่อจะสำเร็จตามพระวจนะ ซึ่งตรัส โดยผู้เผยพระวจนะ เขาจะเรียก ท่านว่าชาวนาซาเร็ธ21

คำนำ

หลายปีมาแล้วผมทำพิธีศพให้หญิงชราท่านหนึ่ง (ขอเรียกชื่อว่าซาร่าห์แล้วกัน) เธอเติบโตในโอคลาโฮมา สมัยยังสาวบิดามารดาของเธอมีส่วนในการเข้ายึดครองที่ดินของโอคลาโฮมาในยุคบุกเบิก ในสมัยนั้นคนอเมริกันกับคนพื้นเมืองดั้งเดิมเป็นปฏิปักษ์กัน แม้พิธีศพนี้นานมาแล้ว แต่ผมยังจำได้ ถึงเรื่องที่น้องสาวของซาราห์เล่าให้ฟัง

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ผู้คนยังสัญจรไปมาด้วยรถม้า ซาราห์มีลุงคนหนึ่งเป็นนักผจญภัย และอยากไปเห็นภูเขาไพค์พีกในโคโรราโดเป็นที่สุด คุณลุงจึงขนครอบครัวรวมทั้งซาราห์ด้วย ขึ้นรถม้ามุ่งไปยัง โคโรราโด เท่าที่จำได้การเดินทางครั้งนั้นกินเวลาเกือบปี คุณนึกภาพออกมั้ย เดินทางไปโคโรราโดด้วยรถม้าที่ปิดแทบทุกด้าน มีปฎิปักษ์เป็นพวกอินเดียนแดง เป็นการเดินทางที่ยาวไกลและเสี่ยงภัยมาก ผมแทบไม่อยากนึกเลย โดยเฉพาะต้องปีนขึ้นเขาด้วยรถม้า และที่น่าหวาดเสียวกว่าคือ “ลง” จากภูขาด้วยรถม้า!!

สำหรับผม เรื่องย้อนยุคตั้งแต่ ค.ศ. 1800 น่าจะใกล้เคียงกับการเดินทาง “มหัศจรรย์” ของพวกโหราจารย์ที่สุด เหล่าโหราจารย์เดินทางจากตะวันออกไกลไปเบธเลเฮมและกลับ คงกินเวลาหลายเดือน นักผจญภัยเหล่านี้จากบ้านและครอบครัวมา ฝ่าฟันอันตรายสารพัดแบบ รวมทั้งพวกโจรด้วย พวกเขาเป็นคนมั่งคั่ง ขบวนคาราวานเป็นตัวบอกได้ดีถึงฐานะ แถมขนสัมภาระมีค่ามาด้วย : ทองคำ กำยาน และมดยอบ ติดตามดาวประหลาดมา จนถึงเขตปกครองของเฮโรด ผู้มีทั้งอำนาจและความโหดเหี้ยม

เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นแค่การผจญภัยมหัศจรรย์เท่านั้น พระกิตติคุณมัทธิวบทที่ 2 พูดถึงการเดินทางของโยเซฟ มารีย์ และพระกุมาร จากเบธเลเฮมไปประเทศอียิปต์ ไม่มีเวลาเตรียมการใดๆ หยิบของได้ไม่กี่ชิ้น รีบหนีไปอย่างเร่งรีบ เพื่อให้พ้นจากเงื้อมมือของเฮโรดที่มุ่งสังหารทารกทุกคน และเมื่อเวลาเสี่ยงภัยผ่านพ้น ไป ยังต้องอพยพกลับสู่บ้านเกิด

เรื่องราวการเดินทางมหัศจรรย์นี้บันทึกอยู่ในมัทธิวบทที่ 2 ปัญหาของพวกเราคือ เรื่องเล่าพวกนี้ ได้ยินจนชินหู เลยไม่เคยกลับมาคิดย้อนดู ที่จริงแล้วมีคุณค่ามากมายที่เราต้องใส่ใจศึกษา ขอเริ่มด้วยการตั้งข้อสังเกตบางประการในคำบอกเล่าของมัทธิว หลังจากนั้นจะมุ่งไปที่บุคคลโดดเด่นสามคนในพระวจนะตอนนี้ : โหราจารย์ – เฮโรดกับชาวยิวในเยรูซาเล็ม – และพระกุมารเยซู

ข้อสังเกต

(1) มัทธิวใส่ใจที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องตื่นเต้นต่างๆ ถ้าเป็นสมัยนี้ ท่านคงเป็นนักข่าวตกงาน เพราะทำเรื่องตื่นเต้นให้เป็นเรื่องธรรมดา ท่านไม่พยามเติมสีใส่ไข่ในเรืองที่เขียน แถมยังหลีกเลี่ยงรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ทำให้ตื่นเต้นสมจริงด้วย ตัวอย่างเช่น การเดินทางเพื่อหนีไปที่อียิปต์ ต้องมีเรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นระหว่างทางมากมายแน่ :

หนังสือเรื่องพระเยซูฉบับอาโปรคริปปา เขียนขึ้นหลายปีหลังหนังสือพระกิตติคุณในพระคัมภีร์ เล่าเรื่องแปลกๆมากมายเกี่ยวกับการเดินทางหนีไปประเทศอียิปต์ของครอบครัวนี้ เช่นเล่าว่าเมื่อก้าวเท้าเข้าสู่แผ่นดินอียิปต์ มีดอกไม้ผุดขึ้นมารองรับ ; ต้นหมากรากไม้โน้มกิ่งลงแสดงความเคารพ สัตว์ป่าวิ่งมาต้อนรับอย่างเป็นมิตร22

(2) มัทธิวตัดทอนเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่เราๆท่านๆอยากรู้ออกไปเกือบหมด ทำให้มีคำถามเกิดขึ้น ที่จริงแล้วเราไม่รู้จำนวนแท้จริงของโหราจารย์ที่มานมัสการพระกุมารเยซู เราอยากให้มีรายละเอียดมากกว่านี้ในพระคัมภีร์ อยากรู้ว่าพวกเขามาจากไหน? เชื่อถือเรื่องอะไร? “ดาว” ประหลาดที่ว่านี้คือดาวอะไร? นำทางคนพวกนี้มาได้อย่างไร? ใช้เวลาเดินทางนานแค่ไหน? กลับจากนมัสการพระเยซูแล้วเป็นอย่างไร? เฮโรดฆ่าเด็กตายไปกี่คน? แล้วกรรมตามสนองอย่างไร? เราอยากรู้เรื่องราวระหว่างที่ครอบครัวพระเยซูอาศัยอยู่ในประเทศอียิปต์ มัทธิวก็เช่นเดียวกับผู้เขียนพระกิตติคุณเล่มอื่นๆ23 ระมัดระวังต่อทุกสิ่งที่บันทึกลงในพระคัมภีร์

(3) การเลือกนำพระวจนะจากพระคัมภีร์เดิมมาใช้ มัทธิวทำได้อย่างน่าสนใจ เรารู้ดีว่าท่านนำพระวจนะจากพระคัมภีร์เดิมมาใช้มากกว่าพระกิตติคุณเล่มอื่นๆ เราต้องคำนึงว่าท่านไม่ได้นำพระวจนะจากพระ คัมภีร์เดิมมาใช้แบบหมดเปลือก ไม่ได้นำทุกตอนที่เกี่ยวข้องชัดเจนมาใช้ บางตอนเราออกจะงงๆด้วยซ้ำไป ในบทที่ 2 ท่านนำข้อพระคัมภีร์เดิมมาใช้ถึงสี่ครั้ง และหนึ่งในสี่นี้อาจเรียกได้ว่าเป็นการนำมาใช้อย่างตรงๆ เช่นจากมีคาห์ 5:2 ในข้อ 6 คำถามที่เฮโรดถามมหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ว่า “ผู้เป็นพระคริสต์นั้น จะบังเกิดแห่งใด?” พวกเขาตอบอย่างชัดเจนจากพระธรรมมีคาห์ 5:2 – พระเมสซิยาห์จะมาบังเกิดที่เบธเลเฮม

ข้อพระคำอื่นๆที่นำมาใช้ในบทที่ 2 ออกจะไม่ชัดเจน จนแทบไม่มีใครคิดว่าเป็นคำพยากรณ์ ไม่ว่าจะเป็นโฮเชยา 11:1 (ในข้อ 15) หรือเยเรมีย์ 31:15 (ในข้อ 18) ว่าเป็นคำพยากรณ์ที่เล็งถึงการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ คำพูดที่มัทธิวใช้ “ตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะ” ได้สำเร็จเป็นจริง ยิ่งทำให้ดูคลุมเครือใหญ่ การที่ท่านนำคำพยากรณ์ที่ดู “คลุมเครือ” นี้มาใช้ ทำให้เราสงสัย ทำไมถึงไม่นำคำพยากรณ์ข้ออื่นที่ชัดเจนกว่านี้มาแทน เพื่อจะได้เห็นชัดว่าสำเร็จจริง ตัวอย่างเช่นคำพยากรณ์ต่อไปนี้ :

ดาวของบาลาอัม
กันดารวิถี 24:14-19

ดูเถิด บัดนี้ข้าพเจ้าจะกลับไปสู่ชนชาติของข้าพเจ้า มาเถิด ข้าพเจ้าจะสำแดง ให้ท่านทราบว่า ชนชาตินี้จะกระทำประการใด แก่ชนชาติของท่านในวันข้างหน้า” เขาก็กล่าวกลอนภาษิตของเขาว่า “คำพยากรณ์ของบาลาอัมบุตรเบโอร์ คำ พยากรณ์ของชายผู้ที่หูตาแจ้ง คำพยากรณ์ของผู้ที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้า และทราบถึงพระปัญญาของพระองค์ผู้สูงสุด ผู้เห็นนิมิตขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ล้มลง แต่ตาไม่มีสิ่งใดบัง ข้าพเจ้าเห็นเขา แต่ไม่ใช่อย่างเดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าดูเขา แต่ไม่ใช่อย่างใกล้ๆนี้ ดาวดวงหนึ่งจะเดินออกมาจากยาโคบ และธารพระกร อันหนึ่งจะขึ้นมาจากอิสราเอล จะทุบหน้าผากของโมอับ และทำลายเผ่าพันธุ์ของเชท ฝ่ายเอโดมจะตกเป็นของคนอื่น เสอีร์ศัตรูของเขาจะตกเป็นของคนอื่นด้วย ฝ่ายอิสราเอลได้แสดงวีรกรรมแล้ว ผู้หนึ่งที่ออกมาจากยาโคบ จะครอบครอง และชาวเมืองที่รอดตายผู้นั้นจะทำลายเสีย” (กันดารวิถี 24:14-19 ผมขอย้ำด้วย)

ความสว่างของอิสราเอลต่อประชาชาติ
อิสยาห์ 60:1-14

จงลุกขึ้น ฉายแสง เพราะว่าความสว่างของเจ้ามาแล้ว และพระสิริของพระเจ้า ขึ้นมาเหนือเจ้า เพราะว่าดูเถิด ความมืดจะคลุมแผ่นดินโลก และความมืดทึบคลุม ชนชาติทั้งหลาย แต่พระเจ้าจะทรงขึ้นมาเหนือเจ้า และเขาจะเห็นพระสิริของพระองค์ เหนือเจ้า และบรรดาประชาชาติจะมายังความสว่างของเจ้า และพระราชาทั้งหลาย ยังความสุกใสแห่งการขึ้นของเจ้า จงเงยตาของเจ้ามองให้รอบ และดู เขาทั้งปวงมาอยู่ด้วยกัน เขาทั้งหลายมาหาเจ้า บุตรชายทั้งหลายของเจ้าจะมาจากที่ไกล และเขาจะอุ้มบุตรหญิงของเจ้ามา แล้วเจ้าจะเห็นและปลาบปลื้ม ใจของเจ้าจะตื่นเต้น และเปรมปรีดิ์ เพราะความมั่งคั่งของทะเลจะหันมาหาเจ้า ทรัพย์สมบัติของบรรดาประชา ชาติจะมายังเจ้า มวลอูฐจะมาห้อมล้อมเจ้า อูฐหนุ่มจากมีเดียนและเอฟาห์ บรรดา เหล่านั้นจากเชบาจะมา เขาจะนำทองคำและกำยาน และจะบอกข่าวดีถึงกิจการ อันน่าสรรเสริญของพระเจ้า ฝูงแพะแกะทั้งสิ้นแห่งเคดาร์จะรวมมาหาเจ้า แกะผู้ของ เนบาโยทจะปรนนิบัติเจ้า มันจะขึ้นไปบนแท่นบูชาของเราอย่างเป็นที่โปรดปราน และเรา จะให้นิเวศอันเรืองรุ่งของเรา ได้รับความรุ่งเรือง เหล่านี้เป็นใครนะที่บินมาเหมือนเมฆ และเหมือนนกพิราบไปยังหน้าต่างของมัน เพราะว่าแผ่นดินชายทะเลจะรอคอยเรา กำปั่นแห่งทารชิชก่อน เพื่อนำบุตรชายของเจ้ามาแต่ไกล นำเงินและทองคำของเขามาด้วย เพื่อพระนามแห่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า และเพื่อองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล เพราะ พระองค์ได้ทรงกระทำให้เจ้ารุ่งเรือง คนต่างด้าวจะสร้างกำแพงของเจ้าขึ้น และพระราชา ของเขาจะปรนนิบัติเจ้า เพราะด้วยความพิโรธของเรา เราเฆี่ยนเจ้า แต่ด้วยความโปรดปราน ของเรา เราได้กรุณาเจ้า ประตูเมืองของเจ้าจะเปิดอยู่เสมอ ทั้งกลางวันและกลางคืน มันจะไม่ปิด เพื่อคนจะนำความมั่งคั่งของบรรดา ประชาชาติมาให้เจ้า พร้อมด้วยพระราชา ทั้งหลาย เพราะว่าประชาชาติและราชอาณาจักร ที่ไม่ปรนนิบัติเจ้าจะพินาศ เออ บรรดาประชาชาติเหล่านั้นจะถูกทิ้งร้างอย่างสิ้นเชิง ศักดิ์ศรีแห่งเลบานอนจะมายังเจ้า คือต้นสนสามใบ ต้นสนเขาและต้นช้องรำพันด้วยกัน เพื่อจะกระทำให้ที่แห่งสถาน ศักดิ์สิทธิ์ของเรางดงาม และเราจะกระทำให้ที่แห่งเท้าของเรารุ่งโรจน์ ลูกชายของคน เหล่านั้นที่ได้บีบบังคับเจ้า จะมาโค้งลงต่อเจ้า และบรรดาผู้ที่ดูหมิ่นเจ้า จะกราบลงที่ฝ่า เท้าของเจ้า เขาทั้งหลายจะเรียกเจ้าว่าเป็นพระนครของพระเจ้า ศิโยนแห่งองค์บริสุทธิ์ ของอิสราเอล (อิสยาห์ 60:1-14 ผมขอย้ำด้วย)

สดุดี 72:8-17

ขอท่านครอบครองจากทะเลถึงทะเล และจากแม่น้ำนั้นถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก บรรดาผู้ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารจะกราบลงต่อเขา และให้บรรดาศัตรูของท่านเลียผงคลี ขอบรรดาพระราชาแห่งเมืองทารชิชและของเกาะทั้งปวง ถวายราชบรรณาการ ขอบรรดาพระราชาแห่งเชบา และเสบา นำของกำนัลมา 11 ขอพระราชาทั้งปวง กราบลงไหว้ท่าน บรรดาประชาชาติจงปรนนิบัติท่าน เพราะท่านช่วยกู้คนขัดสน เมื่อเราร้องทูล คนยากจน และคนที่ไร้ผู้อุปถัมภ์ ท่านสงสารคนอ่อนเปลี้ยและคนขัดสน และช่วยชีวิตบรรดาคนขัดสน ท่านไถ่ชีวิตของเขาจากการบีบบังคับและความทารุณ และ โลหิตของเขาก็ประเสริฐในสายตาของท่าน ขอท่านผู้นั้นมีชีวิตยืนนาน ให้คนถวาย ทองคำเมืองเชบาแก่ท่าน ให้เขาอธิษฐานเผื่อท่านเรื่อยไป และอวยพรท่านวันยังค่ำ ขอให้มีข้าวอุดมในแผ่นดิน ให้มันแกว่งไกวรวงอยู่บนยอดเขาทั้งหลาย ขอให้ผลของ แผ่นดินเหมือนเลบานอน และให้คนบานออกมาจากนคร เหมือนหญ้าในทุ่งนา ขอนาม ของท่านดำรงอยู่เป็นนิตย์ ชื่อเสียงของท่านยั่งยืนอย่างดวงอาทิตย์ ให้คนอวยพรกันเอง โดยใช้ชื่อท่าน ประชาชาติทั้งปวงเรียกท่านว่าผู้ได้รับพระพร ! (สดุดี 72:8-17)

มัทธิวไม่ได้เลือก (หรือละ) ข้อพระคัมภีร์เดิมตามใจชอบ ; ท่านเลือกอย่างระมัดระวัง ด้วยจุดประสงค์สำคัญบางประการ เราจะมาเจาะลึกเรื่องนี้ในบทเรียนหน้าครับ ตอนนี้เราจะมาดูเรื่อง บุคคลสำคัญทั้งสามในมัทธิวบทที่ 2 ก่อน

(4) มัทธิวเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกรุงเยรูซาเล็มอย่างต่อเนื่อง ผมคิดว่าเวลาพวกเราอ่านพระกิตติคุณมัทธิว เราชอบนึกตามไปด้วย ทำให้บางครั้งเดาเรื่องผิดไป วิธีที่พวกเราส่วนมากอ่านคือ เมื่อโหราจารย์มาถึงเยรูซาเล็ม ต้องมุ่งไปที่พระราชวังของเฮโรดทันที (ก็ถ้าจะไปหา “กษัตริย์ของชาวยิว” จะให้ไปที่ไหนกันเล่า?) พวกเขาถามเฮโรดถึงกษัตริย์ที่บังเกิดใหม่ “ กษัตริย์ของชาวยิว” เฮโรดเรื่มหวาดวิตก วุ่นวายใจเป็นอันมาก แต่ปกปิดความรู้สึกเอาไว้ จัดแจงเรียกบรรดามหาปุโรหิต และพวกธรรมาจารย์มา พวกเขาบอกเฮโรด (รวมทั้งโหราจารย์) ถึงคำพยากรณ์ของผู้เผยวจนะมีคาห์ เมื่อให้ทุกคนออกไป เฮโรดต้องการพูดกับพวกโหราจารย์ตามลำพัง เพื่อถามถึงเวลาที่ดาวประหลาดมาปรากฎ และเริ่มคำนวณเวลาเกิดของเด็ก และส่งพวกโหราจารย์ให้ไปยังเบธเลเฮมเพื่อตามหา และสั่งให้กลับมาบอกว่าพบเด็กนั้นได้ที่ใด ตามความคิดของผม เหตุการณ์นี้ไม่ได้สอดคล้องกับสิ่งที่มัทธิวเล่า

ถ้าถือเอาตามที่มัทธิวเล่า เราเข้าใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในกรุงเยรูซาเล็ม ดำเนินไปตามขั้นตอนดังนี้ :

(a) พระเยซูมาบังเกิดที่เบธเลเฮม อาจจะประมาณหนึ่งปีก่อนหน้านี้24

(b) ดาวประหลาดนำพวกโหราจารย์มาจนถึงเยรูซาเล็ม และหายไป25

(c) เมื่อมาถึงเยรูซาเล็ม พวกโหราจารย์เริ่มสอบถามถึงพระกุมาร โดยถามจากผู้คนในเมือง

(d) เรื่องนี้ได้ยินถึงหูของเฮโรด ว่ามีเหล่าโหราจารย์เข้าเมืองเพื่อมาตามหาทารกเกิดใหม่ผู้เป็น “กษัตริย์ของชาวยิว” เพื่อจะไปนมัสการ

(e) เมื่อได้ยิน เฮโรดวุ่นวายเป็นทุกข์ใจมาก รวมทั้งผู้คนในกรุงเยรูซาเล็มด้วย

(f) เฮโรดเรียกบรรดามหาปุโรหิตและธรรมาจารย์มาเข้าเฝ้า สอบถามว่าพระเมสซิยาห์จะมาบังเกิดที่ใด ผมคิดว่าตอนที่สอบถาม พวกโหราจารย์คงไม่ได้อยู่ด้วย บรรดาผู้นำศาสนาทูลเฮโรดว่า พระเมสซิยาห์จะมาบังเกิดที่เมืองเบธเลเฮม ตามคำพยากรณ์ในมีคาห์ 5:2

(g) เฮโรดจึงเรียกพวกโหราจารย์มาเข้าเฝ้า (ตามลำพัง) ท่านถามว่าพวกเขา เห็น “ดาว” นี้ตั้งแต่เมื่อใด และเริ่มคำนวณเวลาเกิดและอายุของพระกุมาร

(h) เฮโรดจึงส่งพวกโหราจารย์ไปยังเบธเลเฮม เพื่อตามหาพระเมสซิยาห์ และสั่ง ให้กลับมาบอกถึงสถานที่ๆพบเด็กด้วย เพื่อจะได้ไปนมัสการบ้าง

(i) เมื่อโหราจารย์เดินทางไปที่เบธเลเฮม “ดาว” ก็ปรากฎขึ้นอีกครั้ง พวกเขายินดีเป็นอันมาก เพราะพระเจ้าทรงจัดเตรียมและนำพวกเขาอีกครั้ง

(j) “ดาว” นำพวกโหราจารย์ไปจนพบพระกุมาร และได้นมัสการพระองค์

เรื่องทั้งสองนี้ต่างกันหรือไม่? ถ้าจะไม่ แต่ว่าไม่น่าเสียหายถ้าจะนำมาเรียบเรียงใหม่ การตั้งข้อสังเกตจากเหตุการณ์ที่นำมาเรียบเรียงใหม่นี้ ทำให้ผมนึกถึงบางตอนของบทเรียนที่เตรียมไว้คราวหน้า ทำให้ต้องนำกลับมาทบทวนใหม่26

บุคคลสำคัญสามกลุ่มในบทที่ 2

โหราจารย์

โหราจารย์” หรือ “เหล่านักปราชย์จากตะวันออก” นั้นน่าทึ่งมากครับ มัทธิวไม่ได้บอกว่าพวกเขามาที่กรุงเยรูซาเล็มกันกี่คน แถมไม่ได้ให้คำอธิบายใดๆไว้ด้วย เฟรเดอริค บรูเนอร์ ได้ให้ข้อมูลพื้นฐาน บางประการที่น่าสนใจ ที่ไม่ได้บันทึกในพระกิตติคุณมัทธิว :

“พวกโหราจารย์ (magoi หรือพหูพจน์ในภาษากรีกใช้ว่า magos) ที่มัทธิวพูดถึง คือที่แน่ๆต้องเป็นผู้มีสติปัญญา (อาจ) เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์จากเปอร์เซีย หรือดินแดนสองแม่น้ำ การศึกษาเรื่องดาราศาสตร์ในสมัยโบราณ ยึดความเชื่อที่ว่าโลกนี้และพิภพอื่นในจักรวาล ต่างมีพลังดึงดูดซึ่งกันและกัน ดาราศาสตร์ เป็นเรื่องราวของกฎ หรือการโคจรของดวงดาว ; โหราศาสตร์ เป็นการศึกษาเรื่องสื่อ หรือ ความหมายในการโคจรของดวงดาวที่สร้างผลกระทบต่อชีวิตบนโลก… . ศาสตร์ทั้งสอง ปัจจุบันแยกออกจากกัน แต่ในสมัยโบราณรวมอยู่ในคนๆเดียวกัน เพราะความสามารถในการแปลหรือถอดรหัสการโคจรของดวงดาวได้ พวกโหราจารย์จึงนับว่าเป็น “ผู้มีปัญญา”27

ถึงแม้ว่าคนส่วนมากคิดว่าโหราจารย์เหล่านี้เป็นผู้มี “สติปัญญา” แต่คนยิวคิดอีกแบบ แรกเลยคนเหล่านี้เป็นพวกต่างชาติต่างศาสนา แค่นี้ก็เป็นที่ดูถูกแล้ว ยังไม่พอ ในพระคัมภีร์พูดถึงพวก “โหราจารย์” ในแง่ไม่ดีนัก อย่างเช่นในหนังสือดาเนียล :

แล้วพระราชาจึงทรงบัญชาให้มีหมายเรียกพวกโหร พวกหมอดู พวกนักวิทยาคม และคนเคลเดีย เข้าทูลพระราชาให้รู้เรื่องพระสุบิน เขาทั้งหลายก็เข้ามาเฝ้าพระราชา (ดาเนียล 2:2)

“ผู้มีสติปัญญา” ของบาบิโลน พวกยิวไม่ค่อยชอบหน้า คนพวกนี้ไม่สามารถทำนายฝันให้เนบูคัดเนส ซาร์ได้ มาดูวิธีที่ผู้เผยพระวจนะในยุคพระคัมภีร์เดิมพูดถึงคนนอกศาสนาพวกนี้ ที่พยายามขอการทรงนำจากพระเจ้าด้วยวิธีการของคนต่างชาติ :

เพราะว่ากษัตริย์บาบิโลนยืนอยู่ที่ทางแพร่ง อยู่ที่หัวถนนสองถนน กำหนดหาคำทำนาย ท่านเขย่าลูกธนู และปรึกษาทราฟีม ท่านมองดูที่ตับ (เอเสเคียล 21:21)

เจ้าเหน็ดเหนื่อยกับที่ปรึกษาเป็นอันมากของเจ้า ให้เขาลุกขึ้นออกมา และช่วยเจ้าให้รอด คือบรรดาผู้ที่แบ่งฟ้าสวรรค์ และเพ่งดูดวงดาว ผู้ซึ่งทำนายให้เจ้าในวันขึ้นค่ำ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแก่เจ้า (อิสยาห์ 47:13)

ในยุคพระคัมภีร์ใหม่ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยน ในหนังสือกิจการ 8:9-13 เราเห็นซีโมน คนทำวิทยาคม เหมือนกับเห็นบาลาอัม ผู้พยายามใช้เงินซื้อฤทธิเดชของพระเจ้า ในกิจการ 13:6-11 คนทำวิทยาคม ชื่ออาลีมาส (หรืออีกชื่อว่าบารเยซู) พยายามโน้มน้าวความเชื่อของผู้ว่าราชการเมือง เสอร์จีอัส เปาโล ดังนั้นหมอดูพวกนี้จึงเป็นที่ดูถูกและไม่เป็นที่ยอมรับนับถือ พวกเขาถูกเรียกว่าเป็นรูปเคารพของคนต่างชาติ28

เราคงสงสัยว่ามัทธิวเป็นอะไรไป ถึงนำเรื่อง “โหราจารย์ พวกนี้ที่ถูกเชิญมาร่วมฉลองการประสูติขององค์พระเมสซิยาห์มาเสนอ? อย่าลืมว่ามัทธิวเองเคยเป็นคนเก็บภาษี เป็นอาชีพที่ต่ำต้อยที่สุดในสายตาของชาวยิว

ครั้นพระเยซูเสด็จเลยตำบลนั้นไป ก็เห็นคนหนึ่งชื่อมัทธิวนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป เมื่อพระองค์ประทับเสวยพระกระยาหาร อยู่ในเรือน มีคนเก็บภาษีและคนบาปอื่นๆหลายคน เข้ามาร่วมสำรับกับพระเยซู และกับพวก สาวกของพระองค์ เมื่อพวกฟาริสีเห็นแล้ว ก็กล่าวแก่สาวกของพระองค์ว่า “ทำไม อาจารย์ของท่านจึงรับประทานอาหารด้วยกันกับคนเก็บภาษีและคนนอกรีตเล่า” เมื่อพระ เยซูทรงทราบดังนั้นแล้วก็ตรัสว่า “คนเจ็บต้องการหมอ แต่คนสบายไม่ต้องการ ท่านทั้ง หลายจงไปเรียนคัมภีร์ข้อนี้ให้เข้าใจ ที่ว่าเราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตว บูชา ด้วยว่าเรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรม แต่มาเรียกคนที่พวกท่านว่านอกรีต” (มัทธิว 9:9-13).

ผมเชื่อว่ามัทธิวรู้สึกยินดีมาก ที่แม้แต่คนต่างชาติพวกนี้ยังได้รับเชิญจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ให้มาร่วมนมัสการพระกุมารเยซู แม้มัทธิวเองเป็นคนยิว เขียนพระกิตติคุณเล่มนี้เพื่อชาวยิว ท่านก็ไม่เคยคิดบิดเบือนข้อเท็จจริง ในเรื่องของพระเยซู จำได้หรือไม่ว่าพระกิตติคุณมัทธิวจบลงอย่างไร? :

พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่น ดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้ เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณ บริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” (มัทธิว 28:18-20)

อาจมีคนเถียง “ใช่ฉันเห็นแล้ว พระเจ้าทรงมีแผนการความรอดโดยทางพระเยซูคริสต์ เพื่อทั้งคนยิวและคนต่างชาติ และเข้าใจด้วยว่าทำไมพระองค์ทรงอนุญาตให้คนต่างชาติ มีโอกาสมาร่วมฉลองการบังเกิดของพระเยซู แต่ทำไมพระเจ้าถึงเลือกใช้สื่อ ที่เปิดเผยถึงการเสด็จมาของพระบุตร ด้วยดวงดาว?”

อย่าลืมว่าพระเจ้าทรงเลือกที่จะสำแดงพระองค์เองแก่มนุษย์ โดยผ่านทางธรรมชาติ :

ฟ้าสวรรค์ประกาศพระสิริของพระเจ้า และภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์ วันส่งถ้อยคำให้แก่วัน และคืนแจ้งความรู้ให้แก่คืน วาจาไม่มี ถ้อยคำก็ไม่มี และไม่มีใครได้ยินเสียงฟ้า ถึงกระนั้นเสียงฟ้าก็ออกไปทั่วแผ่นดินโลก และถ้อยคำก็แพร่ไปถึงสุดปลายพิภพ พระองค์ทรงตั้งเต็นท์ไว้ให้ดวงอาทิตย์ ณ ที่นั้น (สดุดี 19:1-4; เทียบกับโรม 11:18)

เพราะว่าพระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธของพระองค์จากสวรรค์ ต่อความหมิ่นประมาทพระองค์ และความชั่วร้ายทั้งมวลของมนุษย์ที่เอาความชั่วร้ายนั้นบีบคั้นความจริง เหตุว่าเท่าที่จะรู้จักพระเจ้าได้ก็แจ้งอยู่กับใจเขาทั้งหลาย เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดสำแดงแก่เขาแล้ว ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้านั้น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง ฉะนั้นเขาทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวเลย (โรม 1:18-20)

เราคงจำได้ถึงการเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มของพระเยซูคริสต์ เมื่อฝูงชนโห่ร้องสรรเสริญพระองค์ :

ฝ่ายฟาริสีบางคนในหมู่ประชาชนนั้นทูลพระองค์ว่า “อาจารย์เจ้าข้า จงห้ามเหล่าสาวกของท่าน” พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถึงคนเหล่านี้จะนิ่งเสีย ศิลาทั้งหลายก็ยังจะส่งเสียงร้อง” (ลูกา 19:39-40)

ผมเข้าใจว่าดาวประหลาดดวงนั้น กำลังทำในสิ่งเดียวกัน อิสราเอลควรเป็น “ความสว่างแก่บรรดาประ ชาชาติ” (อิสยาห์ 42:6) แต่พวกเขาไม่ได้ทำหน้าที่ ไม่คิดจะนำข่าวประเสริฐเรื่องการกำเนิดมาของพระเมสซิยาห์ไปบอกแก่คนต่างชาติ ; ดังนั้นคนต่างชาติจึงทำหน้าที่นำข่าวประเสริฐนี้มาบอกแก่พวกเขาแทน เมื่อคนของพระเจ้า “นิ่งเฉย” “ดาว” (หรือดาวประหลาดดวงนั้น) จึงประกาศออกไป นำพวกโหราจารย์มาพบพระผู้ช่วยให้รอดแทน

ผมเห็นโหราจารย์พวกนี้เป็นเหมือนคนอย่างบาลาอัม เป็นต่างชาติทั้งคู่ แต่เป็นผู้ที่ได้รับการทรงสำแดง จากพระเจ้า เมื่อบาลาอัมปฏิเสธพระคำของพระองค์ เขาได้รับความพินาศ พวกโหราจารย์เชื่อการทรงนำของพระองค์ที่ให้มาที่เยรูซาเล็ม จนได้พบพระกุมารเยซูที่เบธเลเฮม

แล้วสำหรับพวกเรา “ดาวประหลาด” นี้มีความหมายอย่างไร? หลายคนพยายามหาคำอธิบายในเชิงมนุษย์29 บางคนบอกว่าเป็นดวงเดียวกับดาวหาง “ฮาเล่ย์” ; บางคนบอกเป็นบริวารของดาวจูปิเตอร์ หรือของดาวเสาร์ ผมต้องยอมรับว่าฟังดูไม่เข้าท่า แรกเลย ถ้านี่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่สามารถคำนวณได้ล่วงหน้า ทำไมพวกโหราจารย์ถึงเดินทางตามมา? มันคงไม่ใช่ปรากฏการณ์ปกติ แล้วเหตุใดดาวดวงนี้จึงพามาจนถึงบ้านที่พระเยซูและครอบครัวอาศัยอยู่?

ประการที่สอง ทำไมถึงต้องพยายามหาคำอธิบายในเชิงมนุษย์ในเรื่องของปาฏิหาริย์ นอกเสียจากอยากหลีกเลี่ยงไม่ยอมเชื่อเรื่องปาฏิหาริย์ อย่างเช่นนักวิชาการบางคน (ที่เก่งเอามากๆก็มี) เมื่อวิเคราะห์พระธรรมโยนาห์ คิดว่าน่าจะมีสาระ ถ้านำตัวอย่างอื่นที่มนุษย์ถูก “ปลามหึมา” กลืนเข้าไป และมีคนช่วยออกมาได้ ทำไมจึงทำเช่นนั้น? พระเจ้าอาจทรงใช้วิธีการทางธรรมชาติเพื่อทำให้พระประสงค์ของพระองค์ สำเร็จลง แต่ไม่ใช่เสมอไป บางครั้งพระองค์ใช้การอัศจรรย์ที่เหนือขอบเขตของธรรมชาติ เพื่อเราจะ ยอมรับได้ว่าเป็นพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงกระทำ ดังนั้นผมจึงมองเรื่อง “ดาวประหลาด” นี้ว่าเป็นการทรงสำแดงของพระเจ้า สำแดงพระสิริของพระองค์ ซึ่งเราพบได้หลายครั้งในพระคัมภีร์เดิม30

เครื่องบรรณาการจากโหราจารย์ – ทองคำ กำยาน มดยอบ – แน่นอนเป็นของมีราคาแพงมาก ผม และคนอื่นๆอีกหลายคน มีความเห็นว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งของเหล่านี้มาให้ เพื่อครอบครัวจะมีเงินพอสำหรับการเดินทางไปประเทศอียิปต์ บางคนหาความหมายของสิ่งเหล่านี้ทางฝ่ายวิญญาณ :

  • ทองคำ – ของบรรณาการสำหรับกษัตริย์
  • กำยาน – เป็นของที่ปุโรหิตใช้ในการนมัสการพระเจ้า
  • มดยอบ – ใช้ในการเก็บรักษาสภาพศพ

สิ่งนี้อาจอยู่ในความคิดคำนึงของมัทธิว ซึ่งผมไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้น มัทธิวบอกเราว่า พวกโหราจารย์ “กลับไปยังเมืองของตนทางอื่น” (2:12) บรูเนอร์แปลความตอนนี้ว่าเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ทุกคนที่มาหาพระเยซู มารับความรอด จะไม่มีวันกลับไปเดินทางเดิมอีก ผมไม่แน่ใจว่ามัทธิวต้องการสื่อเช่นนั้น หรือเพียงต้องการให้เรารู้ว่าพระเจ้านำให้โหราจารย์กลับไปทางอื่น เพื่อกันเฮโรดและให้มีเวลาพาพระเยซูหนีไปที่อียิปต์ได้ทัน ที่จริง สิ่งที่พวกโหราจารย์ทำดูออกจะเสี่ยง เพราะถ้าเฮโรดจับได้ ผมค่อนข้างแน่ใจว่าเขาคงไม่ปล่อยโหราจารย์พวกนี้ไว้แน่

พวกโหราจารย์ทำให้ผมนึกถึงอับราฮัม อาจเป็นได้ที่พวกโหราจารย์กับอับราฮัมมาจากถิ่นกำเนิดเดียวกัน ทั้งคู่เป็น “คนต่างชาติ” ในขณะที่พระเจ้าทรงเรียกให้มายังดินแดนพันธสัญญา ทั้งคู่ไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังจะไปที่ใดเมื่อจากบ้านเกิดมา ทั้งคู่เชื่อฟังพระเจ้า และได้พบกับพระผู้ช่วยให้รอด (ดูยอห์น 8:56) ทั้งคู่ด้วยความบังเอิญ มีดาวเป็นสื่อนำ :

อยู่มาพระดำรัสของพระเจ้ามาถึงอับรามด้วยนิมิตว่า “อับรามเอ๋ย เจ้าอย่ากลัวเลย เราเป็นโล่ของเจ้า บำเหน็จของเจ้าจะยิ่งใหญ่” อับรามทูลว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระ องค์จะทรงโปรดประทานอะไรแก่ข้าพระองค์ ด้วยว่าข้าพระองค์ยังไม่มีบุตรเลย และ เอลีเยเซอร์ชาวเมืองดามัสกัสคนนี้ จะเป็นผู้รับมรดกของข้าพระองค์” อับรามทูลอีกว่า “พระองค์มิได้ทรงประทานบุตรให้แก่ข้าพระองค์ แล้วคนที่เกิดในบ้านของข้าพระองค์ ก็จะเป็นผู้รับมรดกของข้าพระองค์” ครั้นแล้วพระดำรัสของพระเจ้ามาถึงอับรามว่า “คนนี้จะไม่ได้เป็นผู้รับมรดกของเจ้า แต่บุตรชายของเจ้าเองจะเป็นผู้รับมรดกของเจ้า” พระองค์จึงพาอับรามออกมากลางแจ้งแล้วตรัสว่า “มองดูฟ้า ถ้าเจ้านับดาวทั้งหลาย ได้ ก็นับไปเถิด” แล้วพระองค์ตรัสว่า “พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะมากมายเช่นนั้น” อับรามก็เชื่อพระเจ้า ความเชื่อนั้นพระองค์ทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน (ปฐมกาล 15:1-6)

เฮโรดและทั้งเยรูซาเล็ม

ในตอนต้น ผมเรียงให้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเยรูซาเล็มตามลำดับ บอกว่ามัทธิวไม่ได้เล่าว่าพวกโหราจารย์ไปพบเฮโรดก่อน เพราะว่าถ้าพวกเขารู้จักเฮโรดดี คงไม่กล้าเสี่ยงเข้าไกล้ เฮโรดคงได้ยินเรื่องโหราจารย์โดยบังเอิญ เพราะพวกเขาไปสอบถามชาวบ้านในเมืองเยรูซาเล็มว่า “กษัตริย์ของชาวยิว” นั้นอยู่ที่ไหน เพื่อจะได้ไปนมัสการ

ผมรู้สึกขอบคุณบรูเนอร์ ที่ชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ เมื่อมัทธิวพูดถึง “เฮโรด” บรูเนอร์กล่าวว่ามัทธิว “ถอดยศ” เฮโรดลงได้อย่างแนบเนียนมาก

บุคคลที่เด่นรองลงมาในตัวละครของมัทธิว คือคนที่มัทธิวเรียกตลอดเวลาว่า “กษัตริย์ เฮโรด จนกระทั่ง เมื่อพวกโหราจารย์ได้นมัสการพระกุมารเยซูแล้ว หลังจากนั้นเป็นต้นไป เฮโรดก็ถูกถอดยศลงมา ไม่มีการเรียกว่ากษัตริย์อีกต่อไป การนมัสการพระกุมารของพวกโหราจารย์ คือการราชาภิเษกของพระเยซู ดังนั้น ในเพลงคริสตมาสบางเพลง จึงมีเนื้อร้องว่า “วันนี้มีกษัตริย์เกิดใหม่” ’31

เมื่อเรื่องที่พวกโหราจารย์ถามหากษัตริย์เกิดใหม่ได้ยินไปถึงหูของเฮโรด ในทันทีท่านเรียกบรรดาผู้ เชี่ยวชาญธรรมบัญญัติมาพบ เพราะพวกนี้ต้องรู้เรื่องคำพยากรณ์เกี่ยวกับสถานที่เกิดของพระเมสซิยาห์ พวกเขาก็รู้จริงๆ โดยอ้างไปที่หนังสือมีคาห์ 5:2 และบอกกับเฮโรดอย่างมั่นใจว่าที่ใดคือสถานที่เกิดของบุตรดาวิด ตามที่ทรงสัญญาไว้

เป็นเรื่องเข้าใจได้ว่าทำไมเฮโรดถึงวุ่นวายใจมากกับข่าวการมาประสูติของ “กษัตริย์ชาวยิว” เฮโรดไม่ต้องการให้บัลลังก์ตนเองสั่นคลอน แม้จะชราแล้วก็ตาม.32 เพราะเฮโรดไม่ได้สืบทอดบัลลังก์มาอย่างถูกต้อง ไม่ใด้เป็นแม้กระทั่งสายเลือด “ยิวแท้” ส่วนผู้คนในกรุงเยรูซาเล็มที่หวั่นวิตก ก็เป็นเรื่องเข้าใจได้ง่าย เพราะถ้าเฮโรดเริ่มหวาดระแวง บรรดาคนใกล้ตัวคงไม่ปลอดภัยแน่ รวมไปถึงครอบครัวด้วย:

ท่านได้สังหารวงศ์วานที่เหลือของราช บัลลังก์ฮัสโมเนียน สั่งฆ่าพวกสภาแซน เฮดรินไปว่าครึ่ง ฆ่าเจ้าหน้าที่ประจำศาลไปกว่าสามร้อย ฆ่าภรรยาตนเอง นางมาเรียม รวมถึงอเล็กซานดร้ามารดาของนางด้วย ฆ่าบุตรของตนเอง แอนติ พาเธอร์ อริสโตบูลูส และอเล็กซานเดอร์ จนเมื่อวาระสุดท้ายมาถึง ก่อนตาย ท่านได้เรียกผู้คนในระดับสูงของเยรูซาเล็ม มารวมกันที่สนามกีฬาใหญ่ และ สั่งให้ฆ่าคนเหล่านี้ในทันทีที่มีการประกาศถึงการตายของท่าน คนที่มีจิตใจ โหดเหี้ยมผิดมนุษย์ และกลัวการแก่งแย่งขนาดนี้ การสั่งฆ่าเด็กทารกผู้ชาย ทั่วเมืองเบธเลเฮมจึงเป็นไปได้33

แต่เหตุใดบรรดาผู้นำศาสนาแห่ง เยรูซาเล็ม – มหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ – จึงตื่นตระหนก? อาจเป็นเพราะในพระคัมภีร์เดิม มีคำพยากรณ์อื่นๆอีก ซึ่งพวกเขาคุ้นเคยดี – เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการเสด็จมาของพระเมสซิยาห์ – ซึ่งฟังแล้ว น่าหวั่นใจ :

พระเจ้าตรัสว่า “วิบัติจงมีแก่ผู้เลี้ยงแกะ ผู้ทำลายและกระจายแกะของลานหญ้าของเรา” เพราะฉะนั้น พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสกับผู้เลี้ยงแกะผู้ดูแลประชากรของเรา ดังนี้ว่า “เจ้าทั้งหลายได้กระจายฝูงแกะของเราและได้ ขับไล่มันไปเสีย และเจ้ามิได้เอาใจ ใส่มัน พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด เราจะเอาใจใส่เจ้า เพราะการกระทำที่ชั่วของเจ้า แล้วเราจะ รวบรวมฝูงแกะของเราที่เหลืออยู่ออกจากประเทศทั้งปวง ซึ่งเราได้ขับไล่ให้เขาไปอยู่นั้น และจะนำเขากลับมายังคอกของเขา เขาจะมีลูกดกและทวีมากขึ้น พระเจ้าตรัสว่า เราจะตั้ง ผู้เลี้ยงแกะไว้เหนือเขา ผู้จะเลี้ยงดูเขาและเขาทั้งหลายจะไม่กลัวอีกเลย หรือครั่นคร้าม จะไม่ขาดไปเลย “พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง เมื่อเราจะเพาะอังกูรชอบธรรม ให้ดาวิด และท่านจะทรงครอบครองเป็นกษัตริย์และ กระทำกิจอย่างเฉลียวฉลาด และจะ ทรงประทานความยุติธรรมและ ความชอบธรรมในแผ่นดินนั้น ในสมัยของท่านยูดาห์จะรอดได้ และอิสราเอลจะอาศัยอยู่อย่างมั่นคง และนี่จะเป็นนามซึ่งเราจะเรียกท่าน คือ ‘พระเจ้าเป็น ความชอบธรรม ของเรา’ เพราะฉะนั้น พระเจ้าตรัสว่า ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง เมื่อคนของ เขาไม่กล่าวอีกต่อไปว่า ‘พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ตราบใด ผู้ซึ่งได้นำประชาชนอิสราเอลออกมา จากแผ่นดินอียิปต์’ แต่จะว่า ‘พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ตราบใด ผู้ซึ่งได้นำและพาเชื้อสาย แห่งประชาอิสราเอลออก มาจากแดนเหนือ และออกมาจากประเทศที่พระองค์ทรงขับไล่ ให้ไปอยู่นั้น’ แล้วเขาทั้งหลายจะได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินของเขาเอง” (เยเรมีย์ 23:1-8)

การเสด็จมาของกษัตริย์อิสราเอล “กษัตริย์ของชาวยิว” หมายถึงระบอบการปกครองใหม่ทั้งหมด การบริหารประเทศในรูปแบบใหม่ หลังจากได้ยินว่าพวกโหราจารย์กำลังตามหา “กษัตริย์องค์ใหม่ของชาวยิว” บรรยากาศในกรุงเยรูซาเล็มคงจะพอๆกับในวอชิงตันดีซี เมื่อพรรคใดพรรคหนึ่งมีชัยชนะอย่างถล่มทลายต่อคู่ต่อสู้ในการเลือกตั้ง ส่วนเรื่องทารกถูกสังหาร เราจะมาเรียนเจาะลึกในบทเรียนหน้า มาถึงตอนนี้ คงพอจะบอกได้ว่าเฮโรดนั้นเป็นฆาตรกรที่โหดเหี้ยมเพียงใด ทุกการฆาตกรรมวางแผนไว้ล่วงหน้า ต้องตายไม่มีพลาด เมื่อเฮโรดรู้เรื่องดาวประหลาด คงเตรียมการไว้ในใจ สั่งพวกโหราจารย์ ให้เดินทางกลับมาบอกถึงสถานที่ๆจะพบพระกุมาร เพื่อจะได้ไปนมัสการบ้าง บางทีเฮโรดอาจกลัวว่าแผนจะผิดพลาด ผมเกือบได้ยินเฮโรดพูดกับตัวเองว่า “ดาวดวงนี้มันปรากฏมาเกือบปีแล้ว แสดงว่า “กษัตริย์” องค์นี้น่าจะประมาณหนึ่งขวบ เพื่อกันพลาดคงต้องฆ่าเด็กทารกตั้งแต่สองขวบลงมา” เรา พบว่ามัทธิวไม่ได้พูดถึงการตายอันน่าสยดสยองของเฮโรดหลังจากนั้นไม่นาน ท่านรู้ดีว่า เมื่อเวลามาถึง คนชั่วร้ายจะต้องฟื้นขึ้น เพื่อมารับการลงโทษชั่วนิรันดร์ ซึ่งสาสมกันดีกับสิ่งที่ทำไว้

พระกุมารเยซู

เราคงต้องปล่อยเรื่องของเฮโรดให้เป็นอดีต และจบบทเรียนตอนนี้โดยมุ่งไปที่พระเยซู ผู้ทรงเข้ามาครอบครองความนึกคิดของเรา ในระหว่างศึกษาบทเรียนของพระกิตติคุณเล่มนี้ สิ่งแรกที่มัทธิวบอกเราถึงพระกุมาร คือพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ ตามที่บันทีกอยู่ในลำดับพงศ์ 1:1-17 และพระองค์ทรงเป็น พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นตามความหมายของพระนาม คือพระเจ้าท่ามกลางเรา ทารกน้อยนี้เป็นทั้งมนุษย์และพระเจ้าได้อย่างไร? โดยถือกำเนิดมาอย่างบริสุทธิ์ เด็กที่อยู่ในครรภ์นางมารีย์ ไม่ได้เกิดขึ้นจากชายใด แต่โดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ (1:18-25) เพราะการถือกำเนิดอย่างพิเศษเช่นนี้ ทารกนี้จึง “เป็นผู้ที่จะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา” (1:21) มัทธิวกล่าวว่า พระเยซูเป็นผู้ทำให้คำพยากรณ์ของผู้เผยพระวจนะ ในพระคัมภีร์เดิมเป็นจริงถึงสี่ครั้งในบทที่ 2 เราจะย้อนมาพูดเรื่องนี้อีกทีในบทเรียนหน้า ให้เรามาพิจารณาดูพระลักษณะขององค์พระผู้เป็นเจ้าในบทนี้ด้วยกัน

ประการแรก พระเยซูประสูติที่เบธเลเฮม ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคํญ แต่ไม่ควรมองข้าม ไม่ใช่ในมัทธิวเท่านั้น แต่ในพระกิตติคุณเล่มอื่นๆด้วย มัทธิวบอกเราว่าพระเยซูประสูติที่เบธเลเฮม (2:1) ตรงตามที่มีคาห์พยากรณ์ไว้ (2:6) ซึ่งเราเห็นได้ชัดเจน แต่หลังจากนั้น สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้พระ องค์ต้องเติบโตขึ้นในนาซาเร็ธ ในแคว้นกาลิลีแทน ดังนั้นพระองค์จึงถูกเรียกว่า “พระเยซูชาวนาซาเร็ธ” (มัทธิว 2:23 ฯลฯ) แต่ในสมัยของพระองค์ผู้คนเข้าใจผิด คิดว่าพระองค์เป็นชาวนาซาเร็ธโดยกำเนิด:

ฟีลิปไปหานาธานาเอลบอกเขาว่า “เราได้พบพระองค์ผู้ที่โมเสสได้กล่าวถึง ในหนังสือธรรมบัญญัติ และที่พวกผู้เผยพระวจนะได้กล่าวถึง คือ พระเยซู ชาวนาซาเร็ธบุตรโยเซฟ” นาธานาเอลถามเขาว่า “สิ่งดีอันใดจะมาจากนาซาเร็ธได้หรือ” ฟีลิปตอบว่า “มาดูเถิด” (ยอห์น 1:45-46)

เมื่อประชาชนได้ฟังดังนั้น บางคนก็พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะนั้นแน่” คนอื่นๆก็พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นพระคริสต์” แต่บางคนพูดว่า “พระคริสต์จะมาจากกาลิลีหรือ พระคัมภีร์กล่าวไว้มิใช่หรือ ว่าพระคริสต์จะมาจากเชื้อพระวงศ์ของดาวิด และมาจากหมู่บ้านเบธเลเฮม ชนบทซึ่งดาวิดเคยอยู่นั้น” (ยอห์น 7:40-42)

นิโคเดมัสผู้ที่ได้มาหาพระองค์คราวก่อนนั้น และเป็นคนหนึ่งในพวกเขา ได้กล่าว แก่พวกเขาว่า “กฎหมายของเราตัดสินคนใดโดยที่ยังไม่ได้ฟังเขาก่อน และรู้ว่า เขาได้ทำอะไรบ้างหรือ” เขาทั้งหลายตอบนิโคเดมัสว่า “ท่านมาจากกาลิลีด้วยหรือ จงค้นหาดูเถิด แล้วท่านจะเห็นว่าไม่มีผู้เผยพระวจนะเกิดขึ้นมาจากกาลิลี” (ยอห์น 7:50-52)

ทั้งมัทธิวและลูกา พูดอย่างชัดเจนว่าพระเยซูเป็น “ชาวนาซาเร็ธ” แท้ และเป็น “คนกาลิลี” และประสูติที่เบธเลเฮม พระองค์จึงทำให้คำพยากรณ์ในเรื่องสถานที่สำเร็จเป็นจริง

ประการที่สอง พระเยซูทรงเปิดเผยถึง “ความอ่อนแอ” บางอย่างให้เราเห็น แต่เป็น “ความอ่อนแอ” ที่ แข็งแกร่งกว่ามนุษย์ในหนังสือที่อาโปรกริปปาบันทึกไว้ มีแต่เรื่องราว “มหัศจรรย์” เหลือเชื่อหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับพระกุมารเยซู :

พระกุมารไม่ได้เป็นไปอย่างหนังสือที่ อาโปรกริปปาบันทึกไว้ หรือแม้แต่ในคัมภีร์ โกราน ที่พูดถึงพระสติปัญญาอันล้ำเลิศ หรือทรงทำอัศจรรย์ได้ตั้งแต่แบเบาะ พระองค์เป็นเพียงทารก ไม่มีรัศมีลอยอยู่เหนือศีรษะ ไม่มีแสงเปล่งออกมาจากพระ กาย และผู้คนยอมน้อมรับทารกน้อยนี้ (… ไม่ใช่นางมารีย์)35

ในมัทธิวบทที่ 2 ย้ำเตือนเราอีกครั้งถึงความเป็นมนุษย์ของพระเยซู ทรงบอบบางเหมือนทารกทั่วไป พระกุมารน้อยต้องการการดูแลเลี้ยงดูจากบิดามารดา ปกป้องให้พ้นภัยจากเงื้อมมือของเฮโรดผู้จ้องจะฆ่า ต้องมีคนพาหนีไปอียิปต์ และพากลับอิสราเอลเมื่อปลอดภัย โยเซฟเป็นผู้ที่พระเจ้าตรัสสั่งในความฝัน ให้เป็นผู้ปกป้องทารกน้อยนี้ให้พ้นภัย และถึงแม้ในท่ามกลางเหตุการณ์ต่างๆที่ แสดงว่าพระองค์เป็นมนุษย์ ยังมีเหตุการณ์บางอย่าง ที่สำแดงให้รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นมากกว่า พระองค์ทรงถือกำเนิดมาในฐานะ “กษัตริย์ของชาวยิว” (2:2) และเมื่อพระองค์ประสูติ มีดาวประหลาดปรากฏขึ้น เพื่อป่าวประกาศไป นำคนต่างชาติผู้มั่งคั่งจากแดนไกล เดินทางมาเพื่อนมัสการพระองค์ นำของบรรณาการมาถวาย – ทองคำ กำยาน และมดยอบ (2:11)36ทารกนี้เป็นเด็กพิเศษ และน่าอกสั่นขวัญแขวนสำหรับเฮโรดอย่างยิ่ง เด็กคนนี้ ในความเป็นมนุษย์และบอบบาง ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ไม่มีสิ่งใดมายับยั้ง ไม่ให้พระองค์ทำพระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จ ใครจะไปนึกว่าพระเจ้าทรงส่งพระผู้ช่วยให้รอด ลงมาในโลกนี้ ในฐานะทารกน้อย อ่อนแอบอบบาง ช่วยตนเองไม่ได้

ประการที่สาม มนุษย์เป็นปฏิปักษ์และต่อต้านพระเยซู โดยเฉพาะชาวยิวพี่น้องร่วมชาติ คำพยากรณ์ใน มัทธิว 2:23 ทำให้หลายคนวุ่นวายใจ:

ไปอาศัยในเมืองหนึ่งชื่อนาซาเร็ธ เพื่อจะสำเร็จตามพระวจนะ ซึ่งตรัสโดยผู้เผยพระวจนะ เขาจะเรียกท่านว่า ชาวนาซาเร็ธ

ผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ไม่มีพระคำตอนไหนที่กล่าวว่า “พระเยซูจะถูกเรียกว่า เป็นชาวนาซาเร็ธ” เจมส์ มอนท์โกเมอรี่ บอยส์ ชี้ให้เห็นข้อสังเกตุสำคัญสองประการ :

ข้อแรก เราต้องดูว่ามัทธิวเขียนพระคำข้อนี้โดยอ้างถึงคำพยากรณ์ของผู้เผยพระวจนะ (เป็นพหูพจน์ – โดยบรรดาผู้เผยพระวจนะ) มากกว่าที่ท่านพูดถึงในตอนอื่นๆ ‘เพื่อจะสำเร็จตามพระวจนะ ซึ่งตรัสโดยผู้เผยพระวจนะ’ (มัทธิว 1:22) หรือ ‘เพราะว่าผู้เผยพระวจนะได้เขียนไว้’ (มัท ธิว 2:5) ซึ่งเป็นการกล่าวแบบกว้างๆ ไม่ได้เจาะจงไปที่ข้อพระคำข้อหนึ่งข้อใดในพระคัมภีร์เดิม

นอกจากนี้ ท่านยังแทนคำกริยาที่ใช้ประจำเป็นต้นแบบ (ตรัส) ควบคู่ไปกับคำ hoti ซึ่งคือคำว่า “โดย” เกิดขึ้นครั้งเดียวในพระกิตติคุณฉบับนี้ มัทธิวคงไม่ได้เจาะจงไปที่พระคัมภีร์เดิมตอนใด ตอนหนึ่ง แต่พูดตามคำสอนในพระวจนะทั่วๆไป ดังนั้นท่านจึงพูดว่า ‘เพื่อจะสำเร็จตามพระ วจนะ ซึ่งตรัสโดยผู้เผยพระวจนะ เขาจะเรียกท่านว่าชาวนาซาเร็ธ ’37

บอยส์ส์กล่าวว่า ไม่มีที่ใดในพระคัมภีร์เดิมที่บ่งว่า พระเยซูจะถูกเรียกว่าเป็นชาวนาซาเร็ธ แล้วเราจะตอบปัญหานี้อย่างไร? ผมคิดว่าบอยส์มีคำอธิบายที่ดีที่สุด :

คำอธิบายที่เหมาะสม อาจเป็นได้ว่านาซาเร็ธเป็นสถานที่ๆน่ารังเกียจ เป็นหมู่บ้านที่ไม่มีใครอยากไป “ข้องแวะ” ด้วย เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนยิวว่าควรอยู่ห่างเอาไว้ สิ่งที่มัทธิวพยายามจะสื่อ คือสิ่งที่ผู้เผยพระวจนะทำนายว่า พระเมสซิยาห์จะเป็นที่ชิงชังรังเกียจ เป็นบุคคลที่ตกเป็นเหยื่อของความเกลียดชัง 38

บรูเนอร์ให้ความเห็นในทำนองเดียวกัน :

ตามเหตุผลทางทฤษฎี ผมอยากจะกล่าวถึง … ความเป็นไปได้ หรือน่าเป็นไปได้ว่าสำหรับมัทธิว ใครก็ตามถ้าได้ชื่อว่ามาจากนาซาเร็ธ หรือเป็นชาวนาซาเร็ธแล้ว เป็นเหมือนคนที่ถูกมองข้าม และเหตุนี้ ผู้เผยพระวจนะจึงพยากรณ์บ่อยครั้งว่าพระคริสต์จะอยู่ท่ามกลาง และเพื่อเราทั้งหลาย 39 ดังนั้นเมื่อ“ท่านถูกเรียกว่าเป็นชาวนาซาเร็ธ” ความหมายก็น่าจะแปลว่า “เป็นผู้ที่ถูกมองข้าม”40

ผมคิดว่าคำอธิบายของทั้งบอยส์และ บรูเนอร์นั้นดีมาก และสอดคล้องอย่างดีกับคำพยากรณ์ของบรรดาผู้เผยพระวจนะที่เล็งถึงพระเมสซิยาห์ ดังนั้นหลายต่อหลายครั้ง เราพบคำพยากรณ์ที่กล่าวว่าทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่ถูกเกลียดชัง :

ท่านได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอด ทิ้ง เป็นคนที่รับความเจ็บปวด และคุ้นเคยกับ ความเจ็บไข้และดังผู้หนึ่งซึ่งคนทนมองดูไม่ได้ ท่านถูกดูหมิ่น ท่านได้ถูกมนุษย์ ดูหมิ่นและทอดทิ้ง เป็นคนที่รับความเจ็บปวด และคุ้นเคยกับความเจ็บไข้ และดัง ผู้หนึ่งซึ่งคนทนมองดูไม่ได้ ท่านถูกดูหมิ่น (อิสยาห์ 53:3).41

ประการที่สี่ พระเยซูทรงเป็นอิสราเอลใหม่ ในบทที่ 1 มัทธิวเชื่อมโยงพระเยซูเข้ากับอับราฮัมและดาวิด (1:1-17) ในบทที่ 2 มัทธิวขยายวงกว้างออกไปอีก แรกเราเห็นว่าพระเยซูถูกโยงเข้ากับโมเสส โมเสส “ผู้ช่วยกู้” ที่พระเจ้าเลือกให้มาช่วยประชากรของพระองค์ ดังนั้นกษัตริย์ (ฟาโรห์) จึงแสวงชีวิตของท่าน ตั้งแต่ยังเป็นทารก42 พระเจ้าช่วยกู้โมเสสเช่นเดียวกับที่ทรงช่วยพระเยซู มัทธิวยังโยงพระเยซูเข้ากับ ประเทศอิสราเอล เราจึงประหลาดใจที่ “คำพยากรณ์” ในพระธรรมโฮเซยาห์ 11:1 สำเร็จเป็นจริงในองค์พระเยซู :

ครั้นเขาไปแล้วก็มีทูตองค์หนึ่งของ พระเป็นเจ้า ได้มาปรากฏแก่โยเซฟใน ความฝันแล้วบอกว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้า เพราะว่าเฮโรดจะแสวงหากุมาร เพื่อจะประหารชีวิตเสียในเวลากลางคืนโยเซฟจึงลุกขึ้น พากุมารกับ มารดาไปยังประเทศอียิปต์ และได้อยู่ที่นั่นจนเฮโรดสิ้นพระชนม์ ทั้งนี้เกิด ขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า ซึ่งได้ตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า เราได้เรียกบุตรของเราให้ออกมาจากอียิปต์ (มัทธิว 2:13-15)

คนยิวคนไหนในสมัยของพระเยซู จะไปคิดว่าพระธรรมโฮเซยา 11:1 เป็นคำพยากรณ์ คำพยากรณ์ที่ เกิดขึ้นเป็นจริงข้อนี้ ทำให้หลายคนงงเพราะนึกไม่ถึง ให้เรามาดูเหตุผลของมัทธิวกัน ชาวอิสราเอลละ ทิ้งแผ่นดินคานาอัน ไปชีวิตต่างแดนที่ในอียิปต์ถึง 400 ปี เมื่อถึงเวลา พระเจ้าส่งโมเสสมาช่วยประชากรของพระองค์กลับคืนสู่ดินแดนพันธสัญญา (ดูปฐมกาล 15:12-21) ตามบันทึกของมัทธิว พระเยซูย้อนรอยอดีตอิสราเอล ในวัยทารก พระองค์ถูกนำไปอียิปต์ (สถานที่ๆพระเจ้าเตรียมไว้เพื่อปก ป้องประชากรของพระองค์ เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงปกป้องพระเยซู) หลังพลัดพรากจากบ้านไปอยู่ที่อียิปต์ พระองค์ทรงเดินทางกลับสู่มาตุภูมิ ดินแดนแห่งพันธสัญญา เช่นเดียวบรรพบุรุษอิสราเอลเคยทำในอดีต

พระเจ้าสัญญากับอับราฮัมว่า จะทรงอำนวยพระพรประชาชาติผ่านทางเชื้อสายของท่าน (ปฐมกาล 12:1-3) แต่เป็นเพราะความบาป ไม่มีผู้ใดในอิสราเอลชอบธรรมพอที่จะเป็นพระพรไปสู่ประชาชาติ พระเยซูทรงเป็นอิสราเอลที่สมบูรณ์แบบ เป็นตัวแทนที่เหมาะสมยิ่งของประเทศ พระเยซูทรงเป็น “เชื้อสาย” ที่กล่าวถึงนี้ เป็นแหล่งที่พระพรจากพระสัญญาอับราฮัมจะเทออกไหลไปสู่ผู้อื่น :

ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง ถึงแม้เป็นคำสัญญาของมนุษย์ เมื่อได้รับรองกันแล้ว ไม่มีผู้ใดจะล้มเลิกหรือเพิ่มเติมขึ้นอีกได้ บรรดาพระ สัญญา ที่ได้ประทานไว้แก่อับราฮัมและพงศ์พันธุ์ของท่านนั้น มิได้ตรัสว่า และแก่พงศ์พันธุ์ทั้งหลาย เหมือนอย่างกับว่าแก่คนมากคน แต่เหมือนกับว่าแก่คนผู้เดียวคือ แก่พงศ์พันธุ์ของท่าน ซึ่งเป็นพระคริสต์ (กาลาเทีย 3:15-16)

อิสราเอลเป็นชาติที่ดื้อดึงและชอบกบฏ แม้ผู้นำที่ยิ่งใหญ่อย่างโมเสส ดาวิด และซาโลมอน ก็ยังเป็นคนบาป มีเพียงพระเยซูเท่านั้น ผู้เป็น “บุตรของอับราฮัม” และเป็น “บุตรดาวิด” และเป็น “บุตรพระเจ้า” ด้วย พระองค์เท่านั้นเป็นผู้ทำให้อนาคตของอิสราเอลสำเร็จเป็นจริง เป็นแหล่งแห่งพระพรฝ่ายวิญญาณทุกอย่าง ดังนั้นมัทธิวจึงประกาศว่า พระเยซูทรงเป็นผู้ทำให้พระสัญญา เรื่องพระพรของพระเจ้า และความหวังของอิสราเอลสำเร็จเป็นจริงสมบูรณ์ :

ถ้าเจาะลึกลงไปอีก บรรดานักแปลความหมายพบว่า สิ่งที่พระเยซูทำในบทที่ 2 เหมือนกับสิ่งที่คนอิสราเอลในยุคโบราณเคยทำมาแล้ว พระองค์ทรงละจากแผ่นดินพันธสัญญาอิสราเอลไปยังประเทศเจ้าเก่าที่ใช้หลบภัย อียิปต์ เหมือนกับบุคคลสำคัญทั้งหลาย (จากอับราฮัมไปยังโยเซฟ) ได้ทำในครั้งโบราณ เหมือนกับโมเสสที่สองในอพยพ พระเยซูถูกเรียกให้ออกมาจากอียิปต์ กลับคืนสู่ดินแดนพันธสัญญาอีกครั้ง (‘เราได้เรียกบุตรของเราให้ออกมาจากอียิปต์’) ทั้งหมดนี้ มัทธิวบอกเราว่า “ดูสิ อิสราเอลใหม่!”43

มัทธิว 1 สอนเราเรื่องปฐมกาลใหม่ โดยย้อนประวัติศาสตร์การกำเนิดของบุตรอับราฮัมและบุตรดาวิดตามพระสัญญา มัทธิว 2 จึงสอนเราเรื่องการอพยพใหม่ การเข้าไปอาศัยและออกจากประเทศอียิปต์ของพระเยซู หรือโมเสสใหม่ พระเยซูทรงทำให้พระวจนะสำเร็จสมบูรณ์ ในฐานะของพระเมสซิยาห์ : มัทธิวบทที่ 1 แสดงให้เห็นโดยการสืบทอดลำดับพงศ์ของพระเยซู (อับราฮัม และดาวิด); มัทธิวบทที่ 2 แสดงให้เห็นถึงสถานที่ๆพระองค์เสด็จไป (เบธเลเฮม อียิปต์ อิสราเอล) … .44

… พระองค์เองคือภาพรวมของอิสราเอลทั้งหมด (เป็นตัวแทนของมนุษยชาติ) เป็นถ้วยที่ต้องดื่มจนหยดสุดท้าย เพื่อจะซึมซับเอาไว้ให้หมดสิ้น

“สิ่งที่อิสราเอลเคยเป็นมาทั้งหมด หลอมรวมอยู่ในพระบุคคลขององค์พระเยซู” (จากข้อเขียนของ Meier, Vis., 55, n. 19) พระเยซูคริสต์คืออิสราเอลใหม่ อิสราเอลทำในสิ่งที่พระคัมภีร์ทำนายไว้ทุกประการ ทุกสิ่งที่อิสยาห์เผยไว้สำเร็จเป็นจริงในองค์พระเยซูคริสต์ เกิดขึ้นเป็นจริงโดยคนอิสราเอลเพียงคนเดียว เป็นไปตามหลักการพระคัมภีร์ที่ออสการ์ คัลมานเรียกว่า “ปฏิรูปแบบถดถอย” เมื่อมนุษย์ล้มเหลว (ปฐก. 1-11) อิสราเอลถูกเลือกให้เป็นหนทางความรอดสำหรับมนุษย์ทั้งมวล (ปฐก. 12) เมื่ออิสราเอลล้มเหลว เยซูชาวนาซาเร็ธ คนอิสราเอลทำสำเร็จในนามและเพื่ออิสราเอลเอง (มัทธิว 1) และเมื่อ “การปฏิรูปเดินหน้า” พระเยซูทรงตั้งคริสตจักรของพระองค์เอง เพื่อประชากรใหม่ของพระเจ้า เป็นเกลือ เป็นแสงสว่าง และเป็นสาวกจากทุกชนชาติ (มัทธิว 5;13-16; 28:18-20) จนกว่าพระองค์เสด็จกลับมาเมื่อสิ้นยุค ในบุคคลของพระเยซูองค์เดียว ทรงขมวดของเดิมเสีย และเปิดฉากใหม่ด้วยคริสตจักรของพระองค์เป็นประวัติศาสตร์แห่งความรอดของ อิสราเอลเพื่อโลกมนุษย์ 45

บทสรุป

ผมขอสรุปบทเรียนนี้ด้วยข้อคิดบางประการ

ข้อแรก พระเยซูทรงแบ่งแยกมนุษย์ได้อย่างอัศจรรย์ เราเห็นข้อแตกต่างนี้ได้อย่างขัดเจนในมัทธิวบทที่ 2 ด้านหนึ่งคือพวกโหราจารย์ ที่เดินทางมาจากแดนไกล (อย่างยากลำบาก) มาเพื่อค้นหา และนมัสการกษัตริย์ของชาวยิว อีกด้านหนึ่งคือเฮโรดในฐานะผู้นำศาสนาและเป็นคนเยรูซาเล็ม เฮโรดได้ทำสิ่งโหดเหี้ยมที่สุด ตามสังหารพระกุมารเยซู ส่วนคนที่เหลือไม่ให้ความสนใจกับพระองค์ เมื่อมนุษย์เผชิญหน้าพระเยซู พวกเขาต้องตัดสินใจว่าจะน้อมรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยตามที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ หรือจะปฏิเสธพระองค์ เมื่อคุณศึกษาบทเรียนนี้ คุณเองคืออีกคนที่ต้องเลือก : จะรับพระเยซูในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของพระเจ้า หรือคุณจะปฏิเสธพระองค์ดี? ไม่มีทางสายกลางครับ ไม่เคยมี คุณอยากอยู่ฝ่ายไหน เฮโรด หรือโหราจารย์?

ข้อสอง บทเรียนตอนนี้เตือนเราว่า มีความรู้เรื่องพระเยซูตามพระคัมภีร์เท่านั้นไม่พอ เรา ต้องลงมือทำตามความรู้นั้นเพื่อจะรับความรอดได้ พวกโหราจารย์ต่างชาติไม่ได้มีความรู้เรื่องพระเยซูเท่ากับพวกผู้นำศาสนาในเยรูซาเล็ม ถึงกระนั้นพวกเขาทำตามเท่าที่รู้ ออกตามหาพระกุมารเยซู และนมัสการพระองค์ พวกเขาพบทางแห่งความรอด ; แต่ชาวเยรูซาเล็มเองกลับไม่พบ

นี่คือคำสอนทิ้งท้ายที่พระเยซูให้ไว้ในคำเทศนาบนภูเขาใช่หรือไม่?

“เหตุฉะนั้นผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น แต่เรือนมิได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา แต่ผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและไม่ประพฤติตามเขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่ โง่เขลา สร้างเรือนของตนไว้บนทราย ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น เรือนนั้นก็พังทลายลง และการซึ่งพังทลายนั้นก็ใหญ่ยิ่ง” (มัทธิว 7:24-27)

เมื่อคุณได้ยินเรื่องราวของพระเยซูแล้ว คุณได้ลงมือทำหรือยัง? อย่าลืมว่าแค่รู้อย่างเดียวไม่พอ

ข้อสาม บทเรียนตอนต้นของพระกิตติคุณมัทธิว จะช่วยเตรียมเราสำหรับเรื่องราวต่างๆที่จะตามมาของพระกิตติคุณเล่มนี้ เราเรียนรู้ว่าพระเยซูทรงเป็นทั้ง “บุตรพระเจ้า” และ “บุตรมนุษย์” เป็นมนุษย์และเป็นพระเจ้า ทุกสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำและตรัสในพระกิตติคุณเล่มนี้ นำไปสู่บทสรุปเพียงบทเดียว เมื่อพระองค์ถือกำเนิด มีบางคนปฏิเสธพระองค์ แต่ก็มีบางคนเชื่อ แม้เวลาผ่านไป ทุกอย่างยังเหมือนเดิม พระเยซูถูกประชากรของพระองค์เองปฏิเสธ (ยอห์น 1:11-12) แต่พวกต่างชาติต่างศาสนากลับยอมรับพระองค์ พระเยซูทรงเป็นอิสราเอลแท้ เป็นผู้ทำให้พระสัญญาสำเร็จเป็นจริง และเป็นความหวังของอิสราเอล คำนำของมัทธิวสำหรับพระกิตติคุณที่แสนมหัศจรรย์เล่มนี้ เตรียมเราให้พร้อมรับเรื่องราวยิ่งใหญ่ที่รอเราอยู่เบื้องหน้า

ข้อสี่ มัทธิวเปลี่ยนมุมมองการอ่านพระคัมภีร์เดิมของเรา มัท ธิวมองเห็นพระเยซูในพระคัมภีร์เดิม ในที่ๆเราไม่คาดคิด เป็นเพราะในหลายๆด้าน พระเยซู อิสราเอลใหม่ ทรงเป็นคำตอบสุดท้ายในพระสัญญาของพระเจ้า เป็นความหวังของอิสราเอล ท่านเห็นพระเยซูในการอพยพออกจากอียิปต์ (โฮเชยา 11:1) ท่านเห็นพระเยซูในที่ๆเราไม่เห็น บางทีสิ่งนี้บอกว่าเราควรมองหาพระเยซูในพระคัมภีร์เก่าให้มากกว่าเดิม และบ่อยกว่าด้วย เราจึงไม่ประหลาดใจเมื่อได้อ่านจากปลายปากกาของ อ.เปาโล :

และได้รับประทานอาหารทิพย์ทุกคน และได้ดื่มน้ำทิพย์ทุกคน เพราะว่าเขาได้ดื่มน้ำซึ่งไหลออกมาจากพระศิลาที่ติดตามเขามา พระศิลานั้นคือพระคริสต์ (1 โครินธ์ 10:3-4)

ขอให้เรามองหาพระเยซูเมื่อเราอ่านพระคัมภีร์เดิม พระองค์ทรงอยู่ที่ั่นั่นมากกว่าที่เราคิด

ข้อห้า มัทธิวมี “วิสัยทัศน์” ในพระราชกิจ ไม่ใช่เฉพาะตอนจบของพระกิตติคุณเท่านั้น (28:18-20) มีตั้งแต่เริ่มแรกทีเดียว เหตุ ใดผู้เขียนชาวยิว เขียนพระกิตติคุณเพื่อคนยิว จึงเขียนเรื่องคนต่างชาติตั้งแต่สองบทแรก หรือเป็นเพราะส่วนสำคัญที่สุดในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ คือข่าวประเสริฐเรื่องความรอดและพระพรที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้แก่ชนทุกชาติ ไม่ใช่แค่อิสราเอล พระสัญญาอับราฮัมเป็นพระสัญญาแห่งพระพรที่มีให้ทั้งอิสราเอล และมนุษยชาติ นี่คือเหตุที่พระเยซูทรงสำแดงเรื่องชาวต่างชาติให้เห็นชัดเจนในพระกิตติคุณ ลูกา 4:16-30 และที่มัทธิวรวมเชื้อสายคนต่างชาติอยู่ในลำดับพงศ์ของท่าน และอีกครั้งในบทที่ 2 ด้วย พวกเราในฐานะคนต่างชาติ ควรมองเห็นว่าเรามีทางเลือกในเรื่องความบาป และการที่พระเยซูอภัยให้ โดยชดใช้ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง พวกยิวด้วยต้องรับผิดชอบต่อการกบฏและการปฏิเสธพระองค์ มัทธิวเป็นหนังสือแห่งพระกิตติคุณ ; เป็นการประกาศข่าวประเสริฐเรื่องของขวัญแห่งชีวิตนิรันดร์ และการอภัยโทษบาปที่พระเจ้าทรงมอบให้แก่มนุษย์ทุกคน

เป็นพระกิตติคุณที่จบลงด้วยคำสั่ง สั่งให้เรานำข่าวดีนี้ไปบอกกับทุกชนชาติ เป็นสิ่งที่เราพึงกระทำ แต่ อยากให้เราเรียนรู้ด้วยว่า ถึงแม้มนุษย์ล้มเหลวในการทำตามพระมหาบัญชา ที่ให้ไปเป็น “แสงสว่างแก่ประชาชาติ” แต่พระเจ้าจะทรงนำคนที่พระองค์เลือกสรรไว้ให้มาถึงพระองค์ได้ ถึงแม้อิสราเอลล้มเหลวในการเป็น “แสงสว่างแก่คนต่างชาติ” พระเจ้าทรงมุ่งไปยังโหราจารย์ นำพวกเขามานมัสการพระกุมารเยซู แต่นี่ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะไม่ทำตามพระมหาบัญชา ; แต่เป็นการหนุนใจว่าพระเจ้าไม่มีวันปล่อยให้ผู้ที่พระองค์เลือกสรรไว้หลงหาย ไป ไม่ว่าจะบาปแคไหน ไม่ว่าเราจะอยู่ไกลสุดหล้าฟ้าเขียวแค่ไหนก็ตาม

เมื่อเราย้อนนึกถึงเรื่องพระเจ้า “ทรงเรียก” พวกโหราจารย์มา ทำให้เราอดคิดถึงคำพูดของ อ.เปาโลใน หนังสือเอเฟซัสที่กล่าวถึงความรักและพระคุณของพระเจ้า ที่ทรงเรียกให้คนต่างชาติมาพบพระองค์ :

เหตุฉะนั้นท่านจงระลึกว่า เมื่อก่อนท่านเคยเป็นคนต่างชาติตามเนื้อหนัง และพวกที่รับพิธีเข้าสุหนัตซึ่งกระทำแก่เนื้อหนังด้วยมือ เคยเรียกท่านว่า เป็นพวกที่มิได้เข้าสุหนัต จงระลึกว่า ครั้งนั้นท่านทั้งหลายเป็นคนอยู่นอกพระคริสต์ ขาดจากการเป็นพลเมืองอิสราเอล และไม่มีส่วนในบรรดาพันธสัญญาซึ่งทรงสัญญาไว้นั้น ไม่มีที่หวัง และอยู่ในโลกปราศจากพระเจ้า แต่บัดนี้ในพระเยซูคริสต์ ท่านทั้งหลายซึ่งเมื่อก่อนอยู่ไกล ได้เข้ามาใกล้โดยพระโลหิตของพระคริสต์ (เอเฟซัส 2:11-13)

โดย : Robert L (Bob) Deffinbaugh

ได้รับอนุญาตและเป็นลิขสิทธิของ https://bible.org/

แปล : อรอวล ระงับภัย (Church of Joy)

20 นอกเหนือจากที่กล่าวมา พระวจนะคำที่นำมาใช้ทั้งหมดมาจาก NET Bible (The NEW ENGLISH TRANSLATION) หรือ THE NET BIBLE เป็นการแปลพระคัมภีร์ใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่นำฉบับแปลภาษาอังกฤษเดิมที่แปลไว้แล้วมาเรียบเรียงใหม่ แต่เป็นการแปลโดยใช้ผู้เชี่ยวชาญพระคัมภีร์มากกว่า 20 ท่าน แปลตรงจากฉบับภาษาฮีบรู อาราเมค และภาษากรีก วัตถุประสงค์ในการแปลคือต้องการเผยแผ่พระวจนะโดยสื่ออีเลคโทรนิค เพื่อใช้ในระบบอินเตอร์เน็ท หรือเก็บไว้เป็นซีดี (compact disk) ทุกคนในโลกที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ท สามารถคัดลอกนำ NET Bible ไปใช้ส่วนตัวได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ นอกจากนี้ ผู้ใดต้องการแบ่งปันพระวจนะกับผู้อื่น สามารถคัดลอกหรือพิมพ์แจกจ่ายเพื่อการศึกษาได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้ง สิ้น เว็บไซด์ที่ใช้คือ : www.netbible.org.

21 จากหนังสือของ J. W. Shepard, The Christ of the Gospels, p. 41. Everett Harrison in his book, Introduction to the New Testament (Grand Rapids: Eerdmans, 1964

22 ดูยอห์น 21:25

23 ดูข้อ 1: “หลังจากพระเยซูได้ทรงบังเกิด ในเยรูซาเล็ม… .” และจากอายุของเด็กๆที่ถูกฆ่า เราจึงรู้ว่าพระเยซูไม่ได้อยู่ในรางหญ้า แต่อาศัยอยู่ในบ้าน (2:11)

24 เหตุใดมัทธิวจึงบอกเราว่า “ดาว” ดวงนั้นปรากฎอีกครั้ง และเหล่าโหราจารย์ยินดียิ่งนักที่ได้เห็นดาว ดวงนั้นอีก (2:9-10)?

25 เฟรเดอริค บรูเนอร์ พยายามอธิบายว่าเหตุใดพระเจ้าจึงให้ดาวนำทางโหราจารย์มา มากกว่าเปิดเผยโดยทางพระวจนะ: “นักดาราศาสตร์ต่างชาติที่น่ารังเกียจเหล่านี้ ไม่มีสิ่งใดดีเลยได้แต่กราบไหว้รูปเคารพ แต่กลับถูกนำมาอิสราเอล แทนชนชาติที่รับการเปิดเผยมาก่อนทางพระวจนะ ชาวต่างชาติกลับเป็นพวกที่ติดตามแสวงหา ในขณะที่ประชากรของพระเจ้านั่งเฉยอยู่กับที่ พวกต่างชาติน่ารังเกียจกลับเชื่อพระวจนะ คนของพระเจ้าไม่ใส่ใจ” นี่คือสิ่งที่มัทธิวค้นพบตั้งแต่ศตวรรษแรก (จากหนังสือของ Bruner, The Christbook: A Historical/Theological Commentary, Waco, Texas: Word Books, 1987, vol. 1, pp. 47-48) ถ้าผมเรียงลำดับเหตุการณ์ถูกต้อง โหราจารย์อาจไม่เคยรู้เรื่องคำพยากรณ์ของมีคาห์ 5:2 มาก่อน แต่อาจได้รับการบอกเล่าว่าจะมี “กษัตริย์ชาวยิว” มาบังเกิดที่เบธเลเฮม

26 บรูเนอร์หน้า 45

27 “สำหรับคนอิสราเอล พวกโหราจารย์เป็นคนต่างชาติที่กราบไหว้รูปเคารพ และยังยึดถือเช่นนั้นจนถึง พระคัมภีร์ใหม่ และถูกพูดถึงในแง่ไม่ดีนัก (ตัวอย่างเช่น กิจการ 8:9-24 ซีโมนคนทำวิทยาคม และใน กิจการ 13:6-11 เอลีมาสหรือบารเยซู (ผู้ทำนายเท็จ ) พวกเขาเป็นพวกแสวงหาคำตอบหรือสอนผู้อื่น ให้แสวงหาจากสิ่งทรงสร้างไม่ใช่จากพระผู้สร้าง พวกเขาคิดคำนวณ และใช้สติปัญญาของตนเอง (เช่น เรื่องจักรราศี) แสวงหาความหมายจากสิ่งต่างๆ คนอิสราเอลจึงรังเกียจพวกหมอดูต่างชาติพวกนี้” บรูเนอร์ หน้า 45

28 เรื่องดาราศาสตร์ในสมัยนั้น อ่านได้จาก Michael Green, Matthew For Today: Expository Study of Matthew (Dallas, Texas: Word Publishing, 1989), pp. 49-50.

29 มุมมองนี้ดูได้จากหนังสือของ James Montgomery Boice, The Gospel of Matthew (Grand Rapids, Michigan: Baker Books, 2001), vol. 1, p. 30.

30 บรูเนอร์ หน้า 50. ตอนผมอ่านผมว่าบรูเนอร์ไม่ถูกต้องทีเดียวนัก ที่กล่าวว่าหลังจากโหราจารย์นมัสการพระเยซูแล้ว คำว่า”กษัตริย์” ถูกถอดไป น่าจะเป็นหลังจากอ้างข้อพระคำมีคาห์ 5:2 แล้วจึงเหลือแค่ “เฮโรด” เฉยๆใน 2:7 อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตุของบรูเนอร์นั้นน่าสนใจมาก

31 ถ้าข้อมูลของผมถูกต้อง เฮโรดน่าจะครอบครองมาแล้วประมาณ 33 ปี (กรีน หน้า48) คงอยู่ในราว 40 ปีก่อนคริสตกาล และปกครองจนถึงสมัยพระเยซู ดังนั้นเมื่อท่านตายน่าจะอายุราวๆ 70 ปี คนแก่ขนาดนี้กลัวเด็กทารกทำไม? หรือท่านเป็นเหมือนเราทั้งหลาย ชอบคิดว่าความตายยังอยู่ห่างไกล

32 กรีน หน้า 52

33 ดู 1 โครินธ์ 1:25

34 บรูเนอร์ หน้า 49

35 มีการเอ่ยถึงการ “นมัสการ” พระเยซูเพียงครั้งเดียวในพระกิตติคุณมาระโก แต่ในมัทธิวพูดถึงสิบครั้ง; … .” บรูเนอร์ หน้า 49

36 บอยส์ vol. 1, หน้า. 42

37 บรูเนอร์ vol. 1, หน้า 42

38 ไอบิด vol. 1, หน้า 42

39 ไอบิด หน้า 62

40 ไอบิด หน้า. 62

41 ให้ดูสดุดี 22:6-8, 13, 17; 69:9, 19-21; อิสยาห์ 49:7; 50:6; ดาเนียล 9:26

42 เรามองเห็นสิ่งที่เชื่อมโยงกันระหว่างพระเยซูและดาวิด ดาวิดได้รับการเจิมตั้งโดยซามูเอลให้เป็น กษัตริย์อิสราเอลองค์ใหม่ แต่ก็ต้องหลบหนีซาอูลกษัตริย์อิสราเอลในตอนนั้นซึ่งแสวงชีวิตของกษัตริย์ องค์ใหม่อยู่ตลอดเวลา

43 บรูเนอร์ หน้า 57

44 ไอบิด หน้า 59

45 บรูเนอร์ หน้า 60