Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2โครินธ์ บทที่ 1

พระเจ้าแห่งการชูใจ

พระธรรม        2โครินธ์ 1:1-24

อ้างอิง             อฟ.1:3;1ปต.5:3;กจ.15:22;16:9:19:21;อสย.49:13;51;12;66:13;ยรม.17:5,7;รม.8:17;11:28;15:30,8-9; กท.6:17;ฟป.3:10;คส.1:24

 บทนำ            แม้จะรับใช้พระเจ้า แต่ใช่ว่าจะไม่มีปัญหา  แม้จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาในคริสตจักร แต่ก็อาจเกิดความขัดแย้งจนนำไปสู่ความเจ็บปวดใจ และส่งผล กระทบต่อแผนงานของพระเจ้า ดั้งนั้น เราต้องไม่หลงกลปล่อยให้มารหัวเราะเยาะเรา ที่มันทำให้แตกแยกกันได้!

บทเรียน

1:1 “เปาโล ผู้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ตามพระประสงค์ของพระเจ้า และน้องทิโมธี เรียนคริสตจักรของพระเจ้า​ที่เมืองโครินธ์ และธรรมิกชนทุกคนที่อยู่ทั่วแคว้นอาคายา”
(
Paul, an apostle of Christ Jesus by the will of God, and Timothy our brother, To the church of God that is at Corinth, with all the saints who are in the whole of Achaia:)

1:2 “ขอพระคุณและสันติสุข ซึ่งมาจากพระเจ้าพระบิดาของเรา และจากพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า จงมีกับ​ท่านทั้งหลายเถิด”

     (Grace to you and peace from God our Father and the Lord Jesus Christ.)

1:3 “สาธุการแด่พระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระบิดาผู้ทรงพระเมตตากรุณาพระเจ้าแห่งการหนุนใจทุกอย่าง”

      (Blessed be the God and Father of our Lord Jesus Christ, the Father of mercies and God of all  comfort, )

1:4 “พระองค์ผู้ทรงหนุนใจเราในความยากลำบากทั้งหมดของเรา เพื่อเราจะสามารถหนุนใจคนทั้งหลาย ที่มีความ​ยากลำบากอย่างใดอย่างหนึ่งได้ด้วยการหนุนใจ ซึ่งเราเองได้รับจากพระเจ้า” 

     (who comforts us in all our affliction, so that we may be able to comfort those who are in any  affliction, with the comfort with which we ourselves are comforted by God. )

1:5 “เพราะความรักของพระคริสต์มากท่วมท้นเราอย่างไร การหนุนใจของพระคริสต์ก็มากท่วมท้นเราอย่างนั้น 

      (For as we share abundantly in Christ’s sufferings, so through Christ we share abundantly in comfort too.)

1:6 “ที่เราทนความยากลำบากนั้น ก็เพื่อให้พวกท่านได้รับการหนุนใจและได้รับความรอด และที่เราได้รับการหนุน‍ใจ ก็เพื่อให้พวกท่านได้รับการหนุนใจด้วย ซึ่งท่านจะได้รับเมื่อสู้ทนความทุกข์เช่นเดียวกับที่เราทนอยู่นั้น” 

     (If we are afflicted, it is for your comfort and salvation; and if we are comforted, it is for your comfort, which you experience when you patiently endure the same sufferings that we suffer.)

1:7 “และเราก็มีความหวังแน่นอนในท่านทั้งหลาย เพราะรู้ว่าพวกท่านมีส่วนในความทุกข์ของเราอย่างไร ท่านก็จะมี​ส่วนในการหนุนใจของเราอย่างนั้น”

   (Our hope for you is unshaken, for we know that as you share in our sufferings, you will also share in our comfort.)

1:8 “พี่น้องทั้งหลาย เราอยากให้พวกท่านรู้ถึงความยากลำบากที่เกิดกับเราในแคว้นเอเชีย คือเราเผชิญความทุกข์​หนักอย่างยิ่งชนิดที่เกินกำลัง จนเราหมดหวังที่จะเอาชีวิตรอดมาได้

      (For do not want you to be unaware, brothers, of the affliction we experienced in Asia. For we were so utterly burdened beyond our strength that we despaired of life itself.)

1:9 “ที่จริงเรารู้สึกว่าถูกตัดสินให้ถึงที่ตายแล้ว ทั้งนี้เพื่อเราจะไม่ไว้ใจตัวเอง แต่ไว้ใจพระเจ้าผู้ทรงให้คนทั้งหลาย​เป็นขึ้นจากตาย 

      (Indeed, we felt that we had received the sentence of death. But that was to make us rely not on ourselves but on God who raises the dead. )

1:10 “พระองค์ทรงช่วยเราให้พ้นจากมรณภัยมาแล้ว และพระองค์จะทรงช่วยเราอีก เราหวังในพระองค์ว่าพระองค์​จะทรงช่วยเราต่อไปอีก 

    (He delivered us from such a deadly peril, and he will deliver us. On him we have set our hope  that he will deliver us again. )

1:11 “ในเมื่อพวกท่านก็มีส่วนช่วยโดยการทูลขอเผื่อเรา เพื่อคนจำนวนมากจะขอบพระคุณเพราะเรา เนื่องจากพระ‍คุณที่ประทานแก่เราผ่านคำทูลขอของคนจำนวนมากนั้น”

   (You also must help us by prayer, so that many will give thanks on our behalf for the blessing granted us through the prayers of many.)

1:12 “นี่เป็นสิ่งที่เราอวด คือมโนธรรมของเราเป็นพยานว่า เราประพฤติตัวในโลกด้วยความบริสุทธิ์ใจ และด้วย​ความจริงใจที่มาจากพระเจ้า ไม่ใช่ประพฤติโดยปัญญาของมนุษย์แต่โดยพระคุณของพระเจ้า และต่อพวก‍ท่านเราประพฤติยิ่งกว่านั้นเสียอีก”

     (For our boast is this, the testimony of our conscience, that we behaved in the world with simplicity and godly sincerity, not by earthly wisdom but by the grace of God, and supremely so toward you. )

1:13 “เพราะว่าเราไม่ได้เขียนเรื่องอื่นถึงท่าน นอกจากเรื่องที่พวกท่านสามารถอ่านและเข้าใจได้ ข้าพเจ้าหวังว่า​พวกท่านจะเข้าใจเราเป็นอย่างดี”

    (For we are not writing to you anything other than what you read and understand and I hope you  will fully understand)

1:14 “เหมือนที่ท่านเข้าใจบ้างแล้ว คือในวันของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พวกท่านจะภูมิใจในเราเช่นเดียวกับที่เราจะภูมิใจในท่าน”

     (just as you did partially understand us—that on the day of our Lord Jesus you will boast of us as we will boast of you.)

1:15 “และด้วยความแน่ใจในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าจึงอยากไปเยี่ยมพวกท่านก่อนเพื่อน เพื่อท่านจะได้รับพรสองเท่า”

       (Because I was sure of this, I wanted to come to you first, so that you might have a second experience of grace.)

1:16 “ข้าพเจ้าจะแวะเยี่ยมพวกท่านระหว่างที่เดินทางไปยังแคว้นมาซิโดเนีย และเมื่อกลับจากแคว้นมาซิโดเนีย ก็จะแวะเยี่ยมพวกท่านอีก แล้วขอท่านอุปการะข้าพเจ้า ให้เดินทางต่อไปยังแคว้นยูเดีย”

    (I wanted to visit you on my way to Macedonia, and to come back to you from Macedonia and  have you send me on my way to Judea.)

1:17 “เมื่อข้าพเจ้าตั้งใจเช่นนี้ ข้าพเจ้าทำด้วยความโลเลหรือ? และข้าพเจ้าวางแผนการตามอย่างมนุษย์ที่จะพูดว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” แบบส่งๆ หรือ?”

    (Was I vacillating when I wanted to do this? Do I make my plans according to the flesh, ready to say “Yes, yes” and “No, no” at the same time? )

1:18 “พระเจ้าทรงสัตย์จริงอย่างไร คำของเราที่กล่าวกับพวกท่านก็ไม่ใช่เป็นคำรับ หรือปฏิเสธแบบส่งๆ อย่างนั้น”

               (As surely as God is faithful, our word to you has not been Yes and No.)

1:19 “เพราะว่าพระบุตรของพระเจ้าคือพระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งข้าพเจ้ากับสิลวานัสและทิโมธี ประกาศแก่พวกท่านนั้นไม่ใช่ “จริง” หรือ “ไม่จริง” แบบส่งๆ แต่ในพระองค์ทุกอย่างล้วนแต่เป็นจริง”

      (For the Son of God, Jesus Christ, whom we proclaimed among you, Silvanus and Timothy and I,  was not Yes and No, but in him it is always Yes.)

1:20 “เพราะว่าพระสัญญาต่างๆ ของพระเจ้าล้วนแต่เป็นจริงโดยพระเยซู เพราะเหตุนี้เราจึงพูดว่าอาเมนโดย​พระองค์ ซึ่งเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า”

  (For all the promises of God find their Yes in him. That is why it is through him that we utter our Amen to God for his glory.)

1:21 “ผู้ทรงให้เรากับท่านทั้งหลายตั้งมั่นอยู่ในพระคริสต์ และผู้ที่ทรงเจิมเรานั้นคือพระเจ้า”

                 (And it is God who establishes us with you in Christ, and has anointed us, )

1:22 “และพระองค์ทรงประทับตราเรา และประทานพระวิญญาณไว้ในใจของเราเป็นมัดจำด้วย”

                 (and who has also put his seal on us and given us his Spirit in our hearts as a guarantee.)

1:23 “ขอพระเจ้าเป็นพยานฝ่ายจิตใจของข้าพเจ้าว่า ที่ข้าพเจ้ายังไม่ไปเมืองโครินธ์นั้น ก็เพื่อจะงดโทษพวกท่าน​ไว้ก่อน”

     (But I call God to witness against me—it was to spare you that I refrained from coming again to  Corinth.)

1:24 “เราไม่ได้เป็นนายบังคับความเชื่อของท่าน แต่เป็นผู้ร่วมงานกับพวกท่าน เพื่อให้ท่านได้รับความชื่นชมยินดีเพราะว่าพวกท่านตั้งมั่นอยู่ในความเชื่อแล้ว”

      (Not that we lord it over your faith, but we work with you for your joy, for you stand firm in your faith.)

 บทเรียน

1:1       “อัครทูต…ตามพระประสงค์ของพระเจ้า” (an apostle … by the will of God) –1คร.1:1

“และน้องทิโมธี” (Timothy our brother) = หลักฐานว่า ทิโมธีอยู่กับ อ.เปาโล ในขณะที่เขียนจดหมายฉบับนี้     = เป็นน้องผู้ร่วมเชื่อในพระคริสต์ (กจ.9:17;ฮบ.2:11)

“คริสตจักรของพระเจ้า” (the church of God) = ชุมชนของผู้เชื่อเป็นตัวแทนของคริสตจักรสากลที่อยู่ในท้องถิ่น (1คร.1:2)

“ธรรมิกชน” (the saints) = อีกวลีหนึ่งที่ใช้ หมายถึงคนของพระเจ้า (รม.1:7)

“แคว้นอาคายา” ( the whole of Achaia) = กรีซ (ที่แยกออกมาจากอาณาจักรมาซิโดเนียทางเหนือ)

= มีการคัดสำเนาจดหมายของ อ.เปาโลจากเมืองโครินธ์ส่งเวียนไปตามคริสตจักรต่าง ๆ )

1:2       “พระคุณและสันติสุข” (Grace to you and peace) –รม.1:7

1:3       “พระเจ้าพระบิดาของพระเยซูคริสต์” (the God and Father of our Lord Jesus Christ) –อฟ.1:3

“การหนุนใจ” (comfort) = ปลอบประโลมใจหรือชูใจ

= ผู้เชื่อได้รับการหนุนใจแบบนี้เมื่อเขาเผชิญกับการทนทุกข์เพราะเห็นแก่พระเยซูคริสต์ และจะทำให้เขาสามารถหนุนใจคนอื่นได้ด้วย (ข.4-7)

1:5       “ความรักของพระคริสต์มากท่วมท้นเราอย่างไร?” (For as we share abundantly in Christ’s sufferings) = บางทีแปลได้อีกว่า “เพราะเรามีส่วนในความทุกข์ของพระคริสต์มากมายเพียงไร” หรือ

“การทนทุกข์ของพระคริสต์หลั่งล้นเข้ามาในชีวิต” –รม.8:17;2คร.4:10;กท.6:17;ฟป.3:10;คส.1:24;     1ปต.4:13

1:6      “ได้รับความรอด” (salvation) –2คร.4:15

1:7       “พวกท่านมีส่วนในความทุกข์ของเราอย่างไร?” (you share in our sufferings) –2คร.4:15

1:8       “เรา” (we) = อ.เปาโลใช้สรรพนามพหูพจน์ตลอดจดหมายฉบับนี้ แต่ส่วนใหญ่หมายถึง อ.เปาโล คนเดียว นอกจากในบริบทที่เจาะจงชัดเจน

“ความยากลำบากที่เราได้เผชิญ” (of the affliction we experienced) -1คส.15:32

          “แคว้นเอเชีย” (Asia) = แคว้นของโรมันที่อยู่ในเอเชียน้อยด้านตะวันตก ปัจจุบันคือประเทศตุรกี –กจ.2:9

“เราเผชิญความทุกข์หนักอย่างยิ่งชนิดที่เกินกำลังจนเราหมดหวังที่จะเอาชีวิตรอดมาได้”

(For we were so utterly burdened beyond our strength that we despaired of life itself.           ) –อ.เปาโล

เจอความทุกข์ยากลำบาก โหดร้ายในชีวิตขนาดที่คิดว่า เหมือนรอดจากการถูกประหารชีวิตทีเดียว

1:9       “แต่ไว้ใจพระเจ้า” (but on God who raises the dead) = แต่พึ่งพระเจ้าที่มีพระคุณเพียงพอและความอ่อนแอของเราเป็นโอกาสที่พระเจ้าจะสำแดงอำนาจฤทธิ์เดชของพระองค์ออกมา (12:9-10;ฟป.4:13)

1:10     “เราหวังในพระองค์” (we have set our hope) –อฟ.1:18

1:11     “มีส่วนช่วยโดยการทูลขอเผื่อเรา” (You also must help us by prayer) –ปท. รม.15:31;อฟ.6:19-20

1:12     “มโนธรรมของเราเป็นพยานว่า” (the testimony of our conscience) –อ.เปาโลใช้จิตสำนึกของตัวเอง (และของพวกชาวโครินธ์ที่รู้จักพฤติกรรมของท่าน ) เป็นพยานหลักฐานในการแก้ต่างในเรื่องความน่าเชื่อถือของท่านที่ถูกคนโจมตีใส่ร้าย

“ต่อพวกท่านเราประพฤติยิ่งกว่านั้นเสียอีก” (supremely so toward you) = อย่างน้อย อ.เปาโลเคยอยู่ที่โครินธ์ราว 18 เดือน ในตอนแรกที่ท่านเดินทางมาครั้งแรก (กจ.18:11) ดังนั้น พวกชาวโครินธ์จะบ่ายเบี่ยงไม่ได้ในเรื่องชีวิตที่ซื่อสัตย์ของ อ.เปาโล

1:14     “ในวันของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” (on the day of our Lord Jesus) = เวลาที่พระคริสต์เสด็จกลับมา (ปท.1ธส.2:19-20)

1:15     “เพื่อท่านจะได้รับพรสองเท่า” ( you might have a second experience of grace            ) = “เพื่อให้พวกท่านได้ประโยชน์สองต่อ”

-อ.เปาโลกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงในแผนการเดินทางของท่านในข้อนี้ และในข้อที่ 16

-แรกเริ่มท่านวางแผนข้ามทะเลจาก เอเฟซัสมายังเมืองโครินธ์เพื่อเยี่ยมชาวโครินธ์ก่อนจะเดินทางไปแคว้นมาซิโดเนียทางเหนือจากนั้นจะเดินทางจากมาซิโดเนียกลับมาแวะเยี่ยมชาวโครินธ์อีกครั้ง

ดังนั้น พวกเขาจะได้รับประโยชน์จากการมาเยี่ยม 2 ครั้งสั้น ๆ ของท่าน

-นี่เป็นแผนการเดินทางในขณะที่ อ.เปาโล ยังมีความสัมพันธ์อันดีกับพวกเขา

-สิ่งที่(อาจ) เกิดขึ้น คือ เมื่อ อ.เปาโลเดินทางออกจากเอเฟซัส ตรงไปเยี่ยมชาวโครินธ์ (ซึ่งอาจเป็นการเยี่ยมที่ไม่ได้คิดไว้ล่วงหน้า) และมีเหตุการณ์ที่สร้างความเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่งแก่ทั้ง 2 ฝ่าย (2:1;7:8-9)

1:17     “ข้าพเจ้าทำด้วยความโลเลหรือ?” (Was I vacillating when I wanted to do this) = พวกที่ต่อต้าน อ.เปาโลพยายามชักจูง โน้มน้าวคริสเตียนที่โครินธ์ให้เชื่อว่า อ.เปาโลเป็นคนไม่น่าเชื่อถือที่เปลี่ยนแปลงการเดินทาง เอาแน่นอนไม่ได้ ไม่น่าไว้วางใจ

-คำถาม แบบไม่ต้องการคำตอบของ อ.เปาโลทั้ง 2 คำถามในข้อนี้ เป็นการปฏิเสธข้อกล่าวที่ว่า ท่านไม่จริงจังและพูดกำกวมว่า “ใช่” (มา) หรือ “ไม่ใช่” (ไม่มา) เพื่อทำให้ผู้อื่นไม่เข้าใจ

-แต่ไม่ว่าอย่างไร แผนการของ อ.เปาโลที่จะไปเยี่ยมชาวโครินธ์ก็ไม่ได้ยกเลิก เพียงแต่ปรับเปลี่ยนเท่านั้น

1:18     “ไม่ใช่เป็นคำรับหรือปฏิเสธแบบส่ง ๆ อย่างนั้น” (not been Yes and No) = ในตอนนี้ อ.เปาโล นำเข้าสู่ประเด็นข่าวประเสริฐที่ท่านประกาศกับชาวโครินธ์ว่า เป็นเรื่องความจริงที่ปราศจากการคลุมเครือ และพวกเขาก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ข่าวประเสริฐทั้งหมดเป็นจริงในพระเยซูคริสต์ด้วยประสบการณ์กับฤทธิ์อำนาจของข่าวประเสริฐที่พวกเขามี

1:19     “ประกาศแก่พวกท่าน” (proclaimed among you) = ในระหว่างการเดินทางไปเยี่ยมโครินธ์ ครั้งแรกของ อ.เปาโล (กจ.18:5)

“สิลวานัส” ( Silvanus) = สิลาส (กจ.15:22)

1:20     “อาเมน” (Amen) = คำที่ที่ประชุมกล่าวตอนจบคำอธิษฐานหรือคำสรรเสริญพระเจ้า (ปท. 1คร.14:16)

1:21     “ผู้ที่ทรงเจิมเรานั้นคือพระเจ้า” (For the Son of God, Jesus Christ, whom we) –อพย.29:7; 1ซมอ.16:13;อสย.61:1

1:22     “ประทับตรา” ( seal) –ฮกก.2:23;อฟ.1:13; ปท.อฟ .4:30

“เป็นมัดจำ” (guarantee            ) = ส่วนหนึ่งที่ให้เพื่อรับประกันว่า ส่วนที่เหลือทั้งหมดกำลังจะตามมา (รม.8:23)

1:23     “เพื่อจะงดโทษพวกท่านไว้ก่อน” (I refrained ) = การเปลี่ยนแปลงการเดินทาง ไปเยี่ยมชาวโครินธ์ ของ อ.เปาโล ไม่ได้เกิดจากความโลเลหรือเฉยเมย แต่มาจากความรักและความห่วงใยที่ท่านมีต่อพวกเขา

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณพร้อมมีชีวิตที่เต็มใจกระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า (อย่างเปาโลและทิโมธี) หรือไม่?   อย่างไร?
  2. คุณมีประสบการณ์อะไรบ้างกับความเมตตากรุณาจากพระเจ้า? (แบ่งปัน)
  3. มีเหตุการณ์ใดที่คุณซาบซึ้งต่อการหนุนใจของพระเจ้ามากที่สุดในชีวิตของคุณ? เมื่อไร? อย่างไร?
  4. คุณเคยทนความทุกข์ยากลำบากอะไรบ้างเพื่อช่วยคนบางคนให้รอด? แล้วผลเป็นอย่างไร?
  5. คุณเคยรู้สึกถูกบีบคั้นหนักหน่วงจน(แทบ)หมดหวังบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร? แล้วคุณรับมือหรือผ่านมาได้อย่างไร?
  6. มีเหตุการณ์อะไรในชีวิตบ้างที่ทำให้คุณเลิกไว้ใจตัวเองหรือมนุษย์คนใด แล้วหันมาไว้วางใจพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง? (แบ่งปัน)
  7. คุณเชื่อในพลังแห่งการอธิษฐานหรือไม่? มีประสบการณ์อะไรที่คุณจำไม่รู้ลืมเกี่ยวกับการอธิษฐานบ้าง? (แบ่งปัน)
  8. วันนี้ คุณกล้าพูดว่า “จิตสำนึก” หรือ “มโนธรรม” ของคุณสามารถเป็นพยานได้ 100 % ว่า คุณดำเนินชีวิตและประพฤติตนด้วยความบริสุทธิ์ และจริงใจต่อคนในคริสตจักรของคุณหรือไม่? ในเรื่องอะไร? มีอะไรยืนยัน?
  9. คุณเคยถูกกล่าวหาในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ไม่เป็นความจริง แต่ทำให้ตัวคุณ(หรือผู้กล่าวหา)เจ็บปวดใจบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? แล้วลงเอยอย่างไร?
  10. คุณมั่นใจอย่างเต็มที่หรือไม่ว่า หากพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาวันนี้ คุณจะได้รับการรับไปอยู่กับพระองค์แน่นอน? ทำไมจึงคิดอย่างนั้น?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1โครินธ์ บทที่ 16

ผู้ใดไม่รักองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง

พระธรรม        1โครินธ์ 16:1-24

อ้างอิง             กจ.24:17;20:7;18:21,12,19-24;16:1;14:27;15:33;16:6,9;9:13;2:1,9

บทนำ              มีสิ่งที่สำคัญในการรับใช้ของ อ.เปาโล อยู่ 4 ประการคือ

  1. พระเจ้า
  2. การเงิน
  3. โอกาส และ
  4. คน

สิ่งเหล่านี้ยังคงสำคัญต่อพวกเราในปัจจุบันนี้เช่นกัน!

บทเรียน

16:1 “เรื่อง​การ​เรี่ย‍ไร​เพื่อ​ช่วย​ธรร‌มิก‌ชน​นั้น ข้าพ‌เจ้า​สั่ง​คริสต‌จักร​ที่​แคว้น​กา‌ลา‌เทีย​ว่า​อย่าง‍ไร ท่าน‍ทั้ง‍หลาย​ก็​จง​ทำ​เช่น​นั้น​ด้วย”
(Now concerning the collection for the saints: as I directed the churches of Galatia, so you also are to do.)

16:2 “ทุก‍วัน​ต้น​สัปดาห์​ให้​พวก‍ท่าน​แต่‍ละ‍คน​แยก​เงิน​ออก​และ​สะสม​ไว้​ตาม​ราย‍ได้ เพื่อ​จะ​ไม่​ต้อง​เก็บ​เรี่ย‍ไร​เมื่อ​ข้าพ‌ เจ้า​มา​ถึง” 

(On the first day of every week, each of you is to put something aside and store it up, as he may prosper, so that there will be no collecting when I come.)

16:3 “และ​เมื่อ​ข้าพ‌เจ้า​มา​แล้ว​หาก​พวก‍ท่าน​รับ‍รอง​ใคร ข้าพ‌เจ้า​จะ​ส่ง​คน​นั้น​ให้​นำ​เงิน‍ถวาย​ของ​ท่าน​พร้อม​กับ​จด‍หมาย​ไป​ยัง​กรุง‍เย‌รู‌ซา‌เล็ม”
       (And when I arrive, I will send those whom you accredit by letter to carry your gift to Jerusalem.)

16:4 “และ​ถ้า​เห็น​ว่า​ข้าพ‌เจ้า​ควร​จะ​ไป​ด้วย พวก‍เขา​ก็​จะ​ไป​พร้อม​กับ​ข้าพ‌เจ้า”

                 (If it seems advisable that I should go also, they will accompany me.)

16:5 “เมื่อ​ข้าพ‌เจ้า​ข้าม​แคว้น​มา‌ซิ‌โด‌เนีย​แล้ว ข้าพ‌เจ้า​จะ​มา‍หา​ท่าน‍ทั้ง‍หลาย เพราะ​ว่า​ข้าพ‌เจ้า​จะ​ไป​ทาง​มา‌ซิ‌โด‌เนีย”

               (I will visit you after passing through Macedonia, for I intend to pass through Macedonia,)

16:6 “และ​ข้าพ‌เจ้า​อาจ​จะ​พัก​อยู่​กับ​ท่าน และ​อาจ​จะ​อยู่​จน‍ถึง​สิ้น‍ฤดู‍หนาว เพื่อ​ว่า​เมื่อ​ข้าพ‌เจ้า​จะ​ไป​ทาง​ไหน พวก‍ท่าน​จะ​ได้​ส่ง​ข้าพ‌เจ้า​ไป” 

       (and perhaps I will stay with you or even spend the winter, so that you may help me on my journey, wherever I go. )

16:7 “เพราะ‍ว่า​ข้าพ‌เจ้า​ไม่​ต้อง‍การ​พบ​พวก‍ท่าน​เฉพาะ​เมื่อ​ผ่าน​ไป​เท่า​นั้น แต่​ข้าพ‌เจ้า​หวัง​ว่า​จะ​ได้​อยู่​กับ​พวก‍ท่าน​ระยะ​หนึ่ง ถ้า​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า​ทรง​เห็น‍ชอบ ข้าพ‌เจ้า​จะ​ค้าง​อยู่​กับ​ท่าน​นานๆ หน่อย”
     (For I do not want to see you now just in passing. I hope to spend some time with you, if the  Lord permits.)

16:8 “และ​ข้าพ‌เจ้า​จะ​อยู่​ที่​เมือง​เอ‌เฟ‌ซัส​จน‍ถึง​เทศ‌กาล​เพ็น‌เท‌คอสต์”
(But I will stay in Ephesus until Pentecost,)

16:9 “เพราะ​ว่า​ที่​นี่​มี​ประตู​เปิด​ให้​ข้าพ‌เจ้า​อย่าง​กว้าง‍ขวาง​ที่​จะ​ทำ‍งาน​เกิด‍ผล และ​คน​ขัด‍ขวาง​ก็​มี​มาก​ด้วย”

                 (for a wide door for effective work has opened to me, and there are many adversaries.)

16:10 “เมื่อ​ทิ‌โม‌ธี​มา‍หา​ท่าน จง​ระวัง​อย่า​ทำ​ให้​เขา​ไม่​สบาย‍ใจ​เมื่อ​อยู่​กับ​พวก‍ท่าน เพราะ‍ว่า​เขา​ทำ‍งาน​ของ​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า​เหมือน​ข้าพ‌เจ้า”

                   (When Timothy comes, see that you put him at ease among you, for he is doing the work of the  Lord, as I am.)

16:11 “เพราะ‍ฉะนั้น​อย่า​ให้​ใคร​ดู‍หมิ่น​เขา แต่​จง​ส่ง​เขา​เดิน‍ทาง​ไป​โดย​สันติ‍สุข เพื่อ​เขา​จะ​กลับ‍มา‍หา​ข้าพ‌เจ้า เพราะ​ข้าพ‌เจ้า​กำลัง​คอย​เขา​กับ​พวก​พี่‍น้อง​อยู่”

               (So let no one despise him. Help him on his way in peace, that he may return to me, for I am  expecting him with the brothers.)

16:12 “ส่วน​เรื่อง​อ‌ปอล‌โล ซึ่ง​เป็น​พี่‍น้อง​ของ​เรา​นั้น ข้าพ‌เจ้า​ขอ‍ร้อง​เขา​อย่าง​มาก​เพื่อ​ให้​ไป​เยี่ยม​ท่าน‍ทั้ง‍หลาย​พร้อม​กับ​พวก​พี่‍น้อง แต่​เขา​ยัง​ไม่​ค่อย​อยาก​ไป​ใน​เวลา‍นี้ แต่​เมื่อ​มี​โอกาส​เขา​ก็​จะ​ไป”

       (Now concerning our brother Apollos, I strongly urged him to visit you with the other brothers, but it was not at all his will to come now. He will come when he has opportunity.)

16:13 “ท่าน‍ทั้ง‍หลาย​จง​ระมัด‍ระวัง จง​มั่น‍คง​ใน​ความ​เชื่อ จง​เป็น​คน​กล้า‍หาญ​จง​เข้ม‍แข็ง”

                  (Be watchful, stand firm in the faith, act like men, be strong.)

16:14 “จง​ทำ​ทุก‍สิ่ง​ด้วย​ความ​รัก”

                   (Let all that you do be done in love.)

16:15 “พี่‍น้อง​ทั้ง‍หลาย ท่าน​รู้​ว่า​ครอบ‍ครัว​ของ​ส‌เท‌ฟา‌นัส เป็น​คริส‌เตียน​พวก​แรก​ใน​แคว้น​อา‌คา‌ยา และ​พวก‍เขา​ได้​ถวาย​ตัว​ใน​งาน​ปรน‌นิ‌บัติ​บรร‌ดา​ธรร‌มิก‌ชน ข้าพ‌เจ้า​ขอ‍ร้อง​ท่าน‍ทั้ง‍หลาย” 

      (Now I urge you, brothers—you know that the household of Stephanas were the first converts in  Achaia, and that they have devoted themselves to the service of the saints— )

16:16 “ให้​นอบ‍น้อม​ต่อ​คน​เช่น‍นี้ และ​ต่อ​ทุก​คน​ที่​ร่วม​ทำ​งาน​และ​ตราก‌ตรำ”

                   (be subject to such as these, and to every fellow worker and laborer.)

16:17 “ข้าพ‌เจ้า​ชื่น‍ชม​ยินดี​ที่​ส‌เท‌ฟา‌นัส ฟอร์‌ทู‌นา‌ทัส และ​อา‌คาย‌คัส​มา‍หา เพราะ​พวก‍เขา​ได้​ชด‍เชย​การ​ที่​พวก‍ท่าน​ไม่‍ได้​มา​นั้น​จน​ครบ‍ถ้วน”

                   (I rejoice at the coming of Stephanas and Fortunatus and Achaicus, because they have made up for your absence, )

16:18 “เพราะ​ว่า​พวก‍เขา​ทำ​ให้​จิต‍ใจ​ของ​ข้าพ‌เจ้า​และ​ของ​พวก‍ท่าน​ชื่น‍บาน เพราะ‍ฉะนั้น​ท่าน‍ทั้ง‍หลาย​จง​ยอม‍รับ​คน​เช่น‍นี้”

                   (for they refreshed my spirit as well as yours. Give recognition to such people.)

16:19 “คริสต‌จักร​ต่างๆ ใน​แคว้น​เอ‌เชีย​ฝาก​คำ​ทัก‍ทาย​มา​ยัง​ท่าน‍ทั้ง‍หลาย อา‌ควิล‌ลา​และ​นาง​ปริส‌คา​กับ​คริสต‌จักร​ที่​อยู่​ใน​บ้าน​ของ​เขา​ฝาก​คำ​ทัก‍ทาย​มา​ยัง​พวก‍ท่าน​ใน​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า​เป็น​พิเศษ”
         (The churches of Asia send you greetings. Aquila and Prisca, together with the church in their  house, send you hearty greetings in the Lord. )

16:20 “พี่‍น้อง​ทุก‍คน​ฝาก​คำ​ทัก‍ทาย​มา​ยัง​ท่าน จง​ทัก‍ทาย​กัน​ด้วย​ธรรม‌เนียม​จูบ​อัน​บริ‌สุทธิ์”
(All the brothers send you greetings. Greet one another with a holy kiss.)

16:21 “คำ​ทัก‍ทาย​นี้​เป็น​ลาย‍มือ​ของ​ข้าพ‌เจ้า​เปา‌โล”
(I, Paul, write this greeting with my own hand.)

16:22 “ถ้า​ใคร​ไม่​รัก​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า ก็​ขอ​ให้​คน​นั้น​เป็น​ที่​แช่ง‍สาป ขอ​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า​เสด็จ​มา​เถิด” 

                   (If anyone has no love for the Lord, let him be accursed. Our Lord, come! )

16:23 “ขอ​พระ‍คุณ​ของ​พระ‍เยซู​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า​สถิต​กับ​ท่าน‍ทั้ง‍หลาย” 

                   (The grace of the Lord Jesus be with you.)

16:24 “ความ​รัก​ของ​ข้าพ‌เจ้า​อยู่​กับ​พวก‍ท่าน​ทุก​คน​ใน​พระ‍เยซู‍คริสต์”

         (My love be with you all in Christ Jesus. Amen.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

16:1     “เรื่องการเรี่ยไร” (concerning the collection) = อีกคำถามหนึ่ง อ.เปาโลตอบชาวโครินธ์ถามท่าน (ปท. 7:1;8:1;12:1)

“การเรี่ยไร” -2คร.8-9;รม.15:25-28

“ธรรมิกชน” (the saints) = ประชากรของพระเจ้าที่กรุงเยรูซาเล็ม (ปท. ข้อ 3;รม.15:26)

          “คริสตจักรที่แคว้นกาลาเทีย” (the churches of Galatia) = คริสตจักรต่าง ๆ ในกาลาเทีย

= การเรี่ยไรเงินช่วยเหลือผู้เชื่อที่เยรูซาเล็ม ขยายวงออกไปกว้างขวาง ทั้งในแคว้นกาลาเทีย และแคว้นมาซิโอเนีย (2คร.8:1;9:1-4)

อาจเป็นเพราะการกันดารอาหาร (กจ.11:28,ประมาณ ค.ศ.44 หรือ 46) และการถูกข่มเหง (กจ.8:1)

16:2     “ทุกวันต้นสัปดาห์” (the first day of every week ) = ทุกวันอาทิตย์ “ให้พวกท่านแต่ละคนแยกเงินออกและสะสมไว้ตามรายได้” (you is to put something aside and store it up) = ให้แต่ละคนนำเงินส่วนที่แยกไว้สำหรับงานของพระเจ้า ในระหว่างสัปดาห์มาถวายในการประชุมนมัสการในวันอาทิตย์ (กจ.20:7;วว.1:10)

16:3     “หากพวกท่านรับรองใคร” (those whom you accredit) = อ.เปาโลต้องการให้มีความโปร่งใสในทางการเงินจึงให้พวกเขาเสนอคนที่พวกเขาเห็นชอบ ให้ทำหน้าที่รับผิดชอบ ตรวจสอบและดูแลกองทุนที่ชาว โครินธ์ถวาย  (2 คร.8:16-21)

16:4     “ถ้าเห็นว่า ข้าพเจ้าควรจะไปด้วย” (If it seems advisable that I should go also) = อาจเพื่อดูแลธุระสำคัญนี้ หรือเพื่ออธิบายเรื่องเงินถวายเมื่อไปถึง

16:5     “เมื่อข้าพเจ้าข้ามแคว้นมาซิโดเนียแล้ว” (I will visit you after passing through Macedonia)

= หลังจาก อ.เปาโลออกจากเอเฟซัส (ข.8) ที่ซึ่ง อ.เปาโลเขียนจดหมาย 1 โครินธ์ ท่านก็วางแผนไปมาซิโดเนีย คงไปเยี่ยมชาวฟิลิปปี และคริสตจักรอื่น ๆ ในกรีซตอนเหนือ จากนั้นก็ไปโครินธ์ ตอนแรกท่านวางแผนไปโครินธ์ก่อน แล้วจึงไปมาซิโดเนีย แต่ต่อมาตัดสินใจว่าเปลี่ยนแผนน่าจะดีกว่า (2คร.1:12-2:4)

16:6    “อาจจะอยู่จนถึงสิ้นฤดูหนาว” ( I will stay with you or even spend the winter) = อาจเป็นช่วงที่พักในกรีซ 3 เดือนซึ่งเอ่ยถึงใน กิจการ 20:3

“พวกท่านจะได้ส่งข้าพเจ้าไป” (so that you may help me on my journey) = ช่วยเหลือการเดินทางในด้านอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็น รวมทั้งคำอธิษฐานเผื่อ แต่ อ.เปาโลได้บอกไว้ก่อนแล้วในจดหมาย (9:7-12) ว่า ท่านไม่ต้องการเป็นภาระทางการเงินต่อพวกชาวโครินธ์

16:7     “ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นชอบ” (if the Lord permits) –กจ.18:21

16:8     “จนถึงเทศกาลเพ็นเทคอสต์” ( stay in Ephesus until Pentecost)

= วันที่ 50 หลังวันปัสกา เมื่อพวกยิวฉลองเทศกาลถวายผลแรก (ลนต.23:10-16) ซึ่งเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ

16:9     “…ที่จะทำงานเกิดผล” (  effective work  ) –กจ.14:27

“คนขัดขวางก็มีมากด้วย” (there are many adversaries) = อาจหมายถึง ช่างเงิน ซึ่งทำแท่นบูชาจำลองของเทพเทวีอารเทมิส และประชาชนที่ถูกช่างพวกนี้ปลุกปั่น (กจ.19:23-34)

16:10   “เมื่อทิโมธีมาหาท่าน” ( Timothy comes) -.ใน กจ.19:22 อ.เปาโลส่งทิโมธีกับเอรัสทัส ไปแคว้นมาซิโดเนีย ซึ่งหลังจากนั้น ทิโมธีต้องไปโครินธ์ (1คร.4:17)

          “จงระวังอย่าทำให้เขาไม่สบายใจ” (see that you put him at ease among you) = ดูแลอย่าให้ทิโมธีหวั่นเกรงสิ่งใด เพราะทิโมธีเป็นคนขี้อาย (1ทธ.4:12;2ทธ.1:7) และ อ. เปาโลต้องการให้พวกชาวโครินธ์ปฏิบัติต่อทิโมธีอย่างมีใจเมตตา

16:11   “พวกพี่น้อง” ( the brothers)= อาจรวมถึง เอรัสทัส (ปท.กจ.19:22) ซึ่งเป็นผู้เชื่อจาก โครินธ์และเป็นหัวหน้าการคลังประจำเมือง (รม.16:23) บางคนอธิบายว่า เป็นเหมือนผู้อำนวยการฝ่ายกิจการสาธารณะของเมือง

16:12   “ส่วนเรื่อง อปอลโล” (Apollos) = ชาวโครินธ์ถาม อ.เปาโล (เหมือนกับที่ถามเกี่ยวกับเรื่องอื่น ๆ ใน 7:1;8:1;12:1;16:1) –ปท.1:12;3:4-6,22;4:6, ปท. กจ.18:24,27;19:1;ทต.3:13

16:15   “ครอบครัวของสเทฟานัส” (the household of Stephanas) อ.เปาโลเป็นผู้ให้บัพติศมาแก่บางคนที่     โครินธ์ (1:6) พวกเขาเป็นผู้กลับใจเชื่อกลุ่มแรก ๆ (รม.16:5) ในแคว้นอาคายา (กรีซ, กจ.18:12) รวมกับบางคนในเอเธนส์ซึ่งมาเชื่อก่อนหน้าไม่นาน (กจ.17:34)

          “งานปรนนิบัติ” (the service) = ที่ครอบครัวของสเทฟานัสทั้งครอบครัวกำลังรับใช้กันอยู่ (ปท.กจ.24:17)

16:16   “ให้นอบน้อมต่อคนเช่นนี้” (be subject to such as these) 1ธส.5:12;ฮบ.13:17

16:17   “สเทฟนัส ฟอร์ทูนาทัส และอาคายคัส” (Stephanas and Fortunatus and Achaicus) = อาจเป็นบุคคลที่ถือจดหมายจากชาวโครินธ์ไปถึง อ.เปาโล ตาม 7:1

= เป็นตัวแทนความรักของทั้งคริสตจักรโครินธ์ที่มีต่อ อ.เปาโล โดยชดเชยการที่พวกเขาไม่ได้มาหรือไม่ได้ให้แก่ อ.เปาโลก่อนหน้านี้จนครบถ้วน –2คร.11:9;ฟป.2:30

16:18   “ทำให้จิตใจของข้าพเจ้าและของพวกท่านชื่นบาน” (refreshed my spirit as well as yours)

= ฟื้นจิตใจของ อ.เปาโลและพวก อาจผ่านการเต็มใจของพวกเขาที่มาเพื่อรับคำแนะนำจาก อ.เปาโล และนำกลับไปให้ชาวโครินธ์ ซึ่งอย่างน้อยก็ทำให้ความสัมพันธ์ใหม่ระหว่าง เปาโลกับชาวโครินธ์กำลังจะเกิดขึ้นใหม่

16:19   “แคว้นเอเชีย”(Asia) = แคว้นหนึ่งของโรมัน (ปัจจุบันอยู่ที่ตุรกีตะวันตก) ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองเอเฟซัส และเมืองอื่นรอบ ๆ

ในช่วงที่ อ.เปาโลทำพันธกิจที่เอเฟซัสเป็นเวลานาน ทุกเมืองในแคว้นเอเชียได้ยินข่าวประเสริฐ คำทักทายของเปาโลในจดหมายจึงอาจรวมถึงคริสตจักรต่าง ๆ ในเมือง โคโลสี เลาดีเซีย และฮีเอราโปลิส (ปท.คส.4:13-16;วว.1:11) ซึ่งตั้งอยู่ที่ชายแดนแคว้นเอเซีย รวมทั้งคริสตจักรอื่น ๆ ในวิวรณ์ 2-3 ด้วย

“อาควิลลาและปริสคา” (Aquila and Prisca) = ทั้ง 2 สามีภรรยาช่วย อ.เปาโลตั้งคริสตจักรที่โครินธ์   (กจ.18:1-4)

“คริสตจักรที่อยู่ในบ้านของเขา” (church in their house) = เป็นเรื่องปกติของในยุคนั้นที่มีการประชุมกันเป็นคริสตจักรอยู่ที่บ้าน (ปท.รม .16:3-5;ฟม.2)

16:20   “ธรรมเนียมจูบอันบริสุทธิ์” (Greet one another with a holy kiss) –2คร.13:12;รม.16:16

การจุบหรือจุมพิตนี้ เป็นการแสดงความเคารพ และความรักซึ่งกันและกันในองค์พระผู้เป็นเจ้าที่คริสเตียนยุคแรกปฏิบัติต่อกันเป็นปกติ

= เป็นธรรมเนียมในตะวันออกโบราณ อาจปฏิบัติกันในธรรมศาลาสมัยศตวรรษแรก โดยการจุมพิตเพศเดียวกันและปฏิบัติกันต่อมาในคริสตจักรของชาวยิวและคนต่างชาติในยุคแรกด้วย

16:21   “คำทักทายนี้เป็นลายมือของข้าพเจ้าเปาโล” (I, Paul, write this greeting with my own hand) = “เขียนด้วยมือของข้าพเจ้าเอง” เปาโล ลงชื่อในจดหมายเอง และนี่เป็นนิสัยของท่าน (กท.6:11;คส.4:18;ฟม.19) เพื่อยืนยันว่า เป็นจดหมายของท่านจริง ๆ (2ธส.3:17) โดยปกติ อ.เปาโล ให้คนอื่นเขียนจดหมายตามคำบอกของท่าน (ปท.รม.16:22)

16:22   “ก็ขอให้คนนั้นเป็นที่แช่งสาป” (let him be accursed) = ขอให้คนที่ไม่ตอบสนองต่อข่าวประเสริฐต้องได้รับพระพิโรธจากพระเจ้า (ยน.3:36)

= คำสาปแช่งที่ขอให้พระเจ้าเป็นพยานถึงการไม่เชื่อของพวกที่ไม่เชื่อ (ปท. กท.1:8-9;รม.9:3)

          “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาเถิด” (Our Lord, come!) = จำนวนที่ใช้ในคริสตจักรยุคแรก เป็นคำวิงวอนขอให้พระคริสต์เสด็จกลับมาโดยเร็ว

16:23   “ขอพระคุณของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับท่านทั้งหลาย” (the grace of the Lord Jesus be with you.) = คำอวยพรที่ อ.เปาโลใช้เป็นปกติ (กท.6:18;อฟ.6:24;ฟป.4:23)

-คำอวยพรที่ยาวกว่านั้น มักอ้างถึงตรีเอกานุภาพของพระเจ้า เช่น ใน 2คร.13:14

16:24   “ความรักของข้าพเจ้าอยู่กับพวกท่านทุกคนในพระเยซูคริสต์” (My love be with you all in Christ Jesus.) = แม้ว่าพวกคริสเตียนชาวโครินธ์จะทำให้ อ.เปาโล ชอกช้ำใจ แต่ท่านก็ยังต้องการให้พวกเขารู้ว่า ท่านยังรักพวกเขาในฐานะผู้เชื่อพระคริสต์อยู่เช่นเดิม

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยเรี่ยไรเงินหรือสิ่งของช่วยผู้ใดบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? และอย่างไร?
  2. ปกติคุณถวายเงินรายได้เป็นประจำทุกสัปดาห์ที่คริสตจักรหรือไม่? ทำไม?
  3. ทุกสิ่งที่คุณทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องการเงิน ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่โบสถ์ที่ทำงาน หรือในพันธกิจใด ๆ คุณมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ทุกเวลาหรือไม่? ทำไม?
  4. คุณเปิดโอกาสให้ผู้ใดมีส่วนร่วมในการรับใช้ของคุณบ้างหรือไม่? และอย่างไร? หรือ คุณมีส่วนร่วมสนับสนุนในการรับใช้ของผู้รับใช้หรือผู้อื่นในเรื่องอะไรและอย่างไรบ้าง? (แบ่งปัน)
  5. เวลานี้ ประตูอะไรบ้างที่เปิดโอกาสให้คุณหรือคริสตจักรกระทำพันธกิจที่คุณคิดว่าควรสนับสนุนอย่างจริงจัง? อย่างไร? และเมื่อไร?
  6. เวลานี้คุณคิดว่า คุณเป็นบุคคลที่

……1) มั่นคงในความเชื่อ

……2) กล้าหาญ

……3) เข้มแข็ง

หรือไม่?   ทำไมคิดเช่นนั้น?

  1. มีสิ่งใดบ้างที่คุณสามารถใช้ยืนยันได้ว่า คุณได้ “กระทำทุกสิ่งด้วยความรัก” แล้วทั้งในบ้านและในคริสตจักรของคุณ? -คุณทำสิ่งนั้นเฉพาะครั้งคราวหรือเป็นนิสัยของคุณ?
  2. คุณและครอบครัวได้รู้จักกับพระเยซูคริสต์ แล้วหรือยัง? คุณและครอบครัวได้ถวายตัวในการรับใช้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อธรรมิกชนของพระเจ้าแล้วหรือไม่? อย่างไร?

  1. คุณได้แสดงการนอบน้อมต่อผู้รับใช้และธรรมิกชนที่ร่วมรับใช้พระเจ้าอย่างไรบ้าง?
  2. หากวันนี้ คุณสามารถส่งคำทักทายเพื่อชมเชยหรือให้กำลังใจให้กับผู้หนึ่งผู้ใดเป็นพิเศษ คุณอยากจะส่งคำ

     หนุนใจเรื่องอะไรไปให้แก่ใคร? ทำไม?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1โครินธ์ บทที่ 15 (ตอนที่ 2)

กายที่เป็นขึ้นจากตาย

พระธรรม        1โครินธ์ 15:35-58

อ้างอิง             รม.9:19;5:14;8:2,29;มธ.13:43;24:31;9:24;ลก.11:40;12:20;2คร.5:4;ยน.12:24;5:21;3:13,31; สดด.8:1,3;19:4-6;90:3;ฟป.3:20-21;คส.3:4;อฟ.6:12;วว.20:14

บทนำ      คนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์จริง ๆ จะมีความมั่นใจว่า เขาจะเป็นขึ้นมาจากความตาย เหมือนดังที่พระคริสต์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายเป็นผลแรก!

แล้วร่างกายของเขาจะเป็นอย่างไร นี่คือ สิ่งที่ อ.เปาโลได้อธิบายให้เรารับทราบในบทเรียนนี้

บทเรียน

15:35 “แต่​จะ​มี​คน​ถาม​ว่า “คน‍ตาย​ถูก​ทำ​ให้​เป็น​ขึ้น​มา​อย่าง‍ไร? และ​พวก‍เขา​จะ​มา​ด้วย​ร่าง‍กาย​แบบ​ไหน?”

                   (But someone will ask, “How are the dead raised? With what kind of body do they come?” )

 15:36 “โอ คน​เขลา สิ่ง​ที่​ท่าน​หว่าน​นั้น ถ้า​ไม่​ตาย​ก่อน​ก็​จะ​ไม่​งอก‍ขึ้น​ใหม่”

                   (You foolish person! What you sow does not come to life unless it dies. )

 15:37 “สิ่ง​ที่​ท่าน​หว่าน​นั้น จะ​เป็น​ข้าว​สาลี​หรือ​พืช​อื่นๆ ก็​ดี ท่าน​ไม่‍ได้​หว่าน​รูป‍ร่าง​ของ​ต้น​ที่​จะ​งอก‍ขึ้น​มา​นั้น แต่​หว่าน​เมล็ด​เปล่าๆ

     (And what you sow is not the body that is to be, but a bare kernel, perhaps of wheat or of  some other grain. )

15:38 “พระ‍เจ้า​ประ‌ทาน​รูป‍ร่าง​แก่​เมล็ด​นั้น​ตาม​ที่​พระ‍องค์​ทรง​ประ‌สงค์ และ​ประ‌ทาน​รูป‍ร่าง​ของ​มัน​เอง​แก่​เมล็ด​แต่​ละ​ชนิด” 

                   (But God gives it a body as he has chosen, and to each kind of seed its own body.)

15:39 “เนื้อ​นั้น​ไม่​เหมือน‍กัน​ทั้ง‍หมด เนื้อ​มนุษย์​ก็​อย่าง​หนึ่ง เนื้อ​สัตว์​ก็​อย่าง​หนึ่ง เนื้อ​นก​ก็​อย่าง​หนึ่ง เนื้อ​ปลา​ก็​อย่าง​หนึ่ง”

      (For not all flesh is the same, but there is one kind for humans, another for animals, another for  birds, and another for fish. )

15:40 “ร่าง‍กาย​สำหรับ​สวรรค์​ก็​มี และ​ร่าง‍กาย​สำหรับ​โลก​ก็​มี แต่​ว่า​รัศมี​ของ​ร่าง‍กาย​สำหรับ​สวรรค์​ก็​อย่าง‍หนึ่ง และ​

         รัศมี​ของ​ร่าง‍กาย​สำหรับ​โลก​ก็​อีก‍อย่าง‍หนึ่ง”

    (There are heavenly bodies and earthly bodies, but the glory of the heavenly is of one kind,  and the glory of the earthly is of another.)

15:41 “รัศมี​ของ​ดวง‍อา‌ทิตย์​ก็​อย่าง​หนึ่ง รัศมี​ของ​ดวง‍จันทร์​ก็​อย่าง‍หนึ่ง รัศมี​ของ​ดวง‍ดาว​ก็​อย่าง‍หนึ่ง ที่‍จริง​รัศมี​ของ​ดาว​ดวง​หนึ่ง​ก็​ต่าง‍กัน​กับ​รัศมี​ของ​ดาว​ดวง‍อื่นๆ”

    (There is one glory of the sun, and another glory of the moon, and another glory of the stars; for star differs from star in glory.)

15:42 “การ​เป็น​ขึ้น​มา​ของ​คน​ตาย​ก็​เหมือน‍กัน ร่าง‍กาย​ที่​ถูก​หว่าน‍ลง​นั้น​เสื่อม‍สลาย​ได้ ร่าง‍กาย​ที่​เป็น​ขึ้น​มา​นั้น​ไม่​เสื่อม‍สลาย”

  (So is it with the resurrection of the dead. What is sown is perishable; what is raised is imperishable.)

15:43 “สิ่ง​ที่​ถูก​หว่าน‍ลง​นั้น​ไร้​เกียรติ สิ่ง​ที่​เป็น​ขึ้น​มา​นั้น​มี​ศักดิ์‍ศรี สิ่ง​ที่​ถูก​หว่าน‍ลง​นั้น​อ่อน‍กำลัง สิ่ง​ที่​เป็น​ขึ้น​มา​นั้น​มี​พลัง”

               (It is sown in dishonor; it is raised in glory. It is sown in weakness; it is raised in power.)

15:44 “สิ่ง​ที่​ถูก​หว่าน‍ลง​นั้น​เป็น​กาย​เนื้อ​หนัง สิ่ง​ที่​เป็น​ขึ้น​มา​นั้น​เป็น​กาย​จิต‍วิญ‌ญาณ ถ้า​มี​กาย​เนื้อ​หนัง กาย​จิต‍วิญ‌ญาณ​ก็​มี​ด้วย”

     (It is sown a natural body; it is raised a spiritual body. If there is a natural body, there is also a spiritual body.)

15:45 “ดัง​ที่​เขียน​ไว้​ว่า “มนุษย์  คน​แรก​คือ​อา‌ดัม จึง​เป็น​ผู้​มี​ชีวิต” แต่​อา‌ดัม​สุด‍ท้าย​นั้น​เป็น​วิญ‌ญาณ​ผู้​ประ‌ทาน​ชีวิต”
(Thus it is written, “The first man Adam became a living being”; the last Adam became a life-giving spirit. )

15:46 “ร่าง‍กาย​แรก​นั้น​ไม่​ใช่​เป็น​กาย​จิต‍วิญ‌ญาณ แต่​เป็น​กาย​เนื้อ‍หนัง ร่าง‍กาย​ต่อ‍จาก‍นั้น​จึง​เป็น​กาย​จิต‍วิญ‌ญาณ”

               (But it is not the spiritual that is first but the natural, and then the spiritual.)

15:47 “มนุษย์​คน​แรก​นั้น​มา​จาก​ดิน​และ​เป็น​มนุษย์​ดิน มนุษย์​คน​ที่​สอง​นั้น​มา​จาก​สวรรค์”

               (The first man was from the earth, a man of dust; the second man is from heaven.)

15:48 “มนุษย์​ดิน​คน​นั้น​เป็น​อย่าง‍ไร มนุษย์​ดิน​ทั้ง‍หลาย​ก็​เป็น​อย่าง​นั้น มนุษย์​สวรรค์​คน​นั้น​เป็น​อย่าง‍ไร มนุษย์​สวรรค์​ทั้ง‍หลาย​ก็​เป็น​อย่าง​นั้น”

   (As was the man of dust, so also are those who are of the dust, and as is the man of heaven, so also are those who are of heaven.)

15:49 “และ​เช่น​เดียว​กับ​ที่​เรา​มี​ลักษณะ​ของ​มนุษย์​ดิน เรา​ก็​จะ​มี​ลักษณะ​ของ​มนุษย์​สวรรค์”

     (Just as we have borne the image of the man of dust, we shall also bear the image of the man of heaven.)

15:50 “พี่‍น้อง​ทั้ง‍หาย ข้าพ‌เจ้า​หมาย‍ความ‍ว่า เนื้อ​และ​เลือด​ไม่​สามารถ​มี​ส่วน​ใน​อาณา‌จักร​ของ​พระ‍เจ้า และ​สิ่ง​ที่​เสื่อม‍สลาย​ไม่‍มี​ส่วน​ใน​สิ่ง​ที่​ไม่​เสื่อม‍สลาย”

      (I tell you this, brothers: flesh and blood cannot inherit the kingdom of God, nor does the perishable inherit the imperishable.)

15:51 “นี่‍แน่ะ ข้าพ‌เจ้า​มี​ความ​ล้ำ‍ลึก​ที่​จะ​บอก​กับ​พวก‍ท่าน คือ​เรา​จะ​ไม่​ล่วง‍หลับ​หมด​ทุก‍คน แต่​จะ​ถูก​เปลี่ยน​ใหม่​ทุก‍คน”

                   (Behold! I tell you a mystery. We shall not all sleep, but we shall all be changed,)

15:52 “ใน​ชั่ว‍ขณะ​เดียว ใน​พริบ‍ตา‍เดียว เมื่อ​เป่า​แตร​ครั้ง​สุด‍ท้าย เพราะ‍ว่า​จะ​มี​การ​เป่า​แตร และ​พวก​ที่​ตาย​แล้ว​จะ​ถูก​ทำ​ให้​เป็น​ขึ้น​โดย​ปราศ‌จาก​ความ​เสื่อม‍สลาย แล้ว​เรา​จะ​ถูก​เปลี่ยน​ใหม่”

    (in a moment, in the twinkling of an eye, at the last trumpet. For the trumpet will sound, and the dead will be raised imperishable, and we shall be changed.)

15:53 “เพราะ‍ว่า​สิ่ง​ที่​เสื่อม‍สลาย​ได้​นี้​ต้อง​สวม​ด้วย​สิ่ง​ที่​เสื่อม‍สลาย​ไม่‍ได้ และ​สภาพ​ที่​ต้อง​ตาย​นี้​ต้อง​สวม​ด้วย​สภาพ​ที่​ม่​ตาย”

      (For this perishable body must put on the imperishable, and this mortal body must put on  immortality.)

15:54 “เมื่อ​สิ่ง​ที่​เสื่อม‍สลาย​ได้​นี้​สวม​ด้วย​สิ่ง​ที่​เสื่อม‍สลาย​ไม่‍ได้​และ​สภาพ​ที่​ต้อง‍ตาย​นี้​สวม​ด้วย​สภาพ​ที่​ไม่​ตาย เมื่อ‍นั้น​พระ‍วจนะ​ที่​เขียน​ไว้​จะ​สำเร็จ​ว่า “ความ​ตาย​ก็​ถูก​กลืน​เข้า​ใน​ชัย‍ชนะ​แล้ว”

       (When the perishable puts on the imperishable, and the mortal puts on immortality, then shall  come to pass the saying that is written: “Death is swallowed up in victory.”)

15:55 “โอ ความ​ตาย ชัย‍ชนะ​ของ​เจ้า​อยู่​ที่‍ไหน? โอ ความ​ตาย เหล็ก‍ใน​ของ​เจ้า​อยู่​ที่‍ไหน?”

               (“O death, where is your victory? O death, where is your sting?”)

15:56 “เหล็ก‍ใน​ของ​ความ​ตาย​นั้น​คือ​บาป และ​อำนาจ​ของ​บาป​คือ​ธรรม‍บัญญัติ”

                   (The sting of death is sin, and the power of sin is the law.)

15:57 “สาธุการ​แด่​พระ‍เจ้า ผู้​ประ‌ทาน​ชัย‍ชนะ​แก่​เรา โดย​พระ‍เยซู‍คริสต์​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า​ของ​เรา”

                   (But thanks be to God, who gives us the victory through our Lord Jesus Christ.)

15:58 “ฉะนั้น​พี่‍น้อง​ที่‍รัก​ของ​ข้าพ‌เจ้า จง​มั่น‍คง​อยู่ อย่า​หวั่น‍ไหว จง​ทำ​งาน​ของ​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า​ให้​บริ‌บูรณ์​ทุก​เวลา ท่าน‍ทั้ง‍หลาย​พึง​รู้​ว่า ใน​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า การ​ตราก‌ตรำ​ของ​ท่าน​จะ​ไม่​ไร้​ประ‌โยชน์”

    (Therefore, my beloved brothers, be steadfast, immovable, always abounding in the work of the Lord, knowing that in the Lord your labor is not in vain.)

ข้อมูลมีประโยชน์

15:35   “แต่จะมีคนถามว่า” (But someone will ask) –รม.9:19

“พวกเขาจะมาด้วยร่างกายแบบไหน?” (With what kind of body do they come?) –อสค.37:3

15:35-49 = เป็นการอธิบายลักษณะของกายที่เป็นขึ้นมาจากความตาย โดยเปาโลเปรียบเทียบกับการปลูกเมล็ด

พืช (15:36-38) ลักษณะของเนื้อ (15:39) ลักษณะของดวงดาว และร่างกายทางกายภาพ (15:40-41)

15:36   “โอ คนเขลา” (You foolish person) –ลก.11:40;12:20

“ถ้าไม่ตายเสียก็จะไม่งอกขึ้นใหม่” ( sow does not come to life unless it dies) –ยน.12:24

15:36-38 = ระบบโครงสร้างของพืช แม้จะมีระบบที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็มีความแตกต่างกัน เมล็ดพืชที่หว่านลงไปสัมพันธ์กับต้นใหม่ที่งอกขึ้นมา แต่ต้นที่งอกขึ้นมาใหม่นั้นก็แตกต่างและมีรูปร่างใหม่ตามที่พระเจ้าทรงออกแบบให้เป็น

15:38   “เมล็ดแต่ละชนิด” (to each kind of seed) –ปฐก.1:11

15:39   “เนื้อนั้นไม่เหมือนกันทั้งหมด” (not all flesh is the same) –แม้ลักษณะโครงสร้างของเนื้อมีความคล้ายคลึงกันมาก แต่ว่าสายพันธุ์นั้นมีความแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นเนื้อของมนุษย์ สัตว์ สัตว์ปีก และสัตว์น้ำ

15:40-41 –สิ่งที่ใช้เปรียบในตอนนี้ เป็นสิ่งที่ไม่มีชีวิต เช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว ซึ่งมีราศีหรือรัศมีที่ต่างกัน และสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ (ภูเขา, หุบเขา, ทะเล) กับราศีของมัน

-พระเจ้าจัดระเบียบอย่างแตกต่างกัน เพื่อให้บรรลุพระประสงค์ของพระองค์

15:41   “รัศมีของดวงอาทิตย์ก็เป็นอย่างหนึ่ง” (There is one glory of the sun) –สดด.19:4-6

“รัศมีของดวงดาวก็อย่างหนึ่ง” (another glory of the stars) –สดด.8:1,3

15:42   “การเป็นขึ้นมาของคนตาย” ( the resurrection of the dead ) –1คร.15:12

“ก็เหมือนกัน” (so is it) = ก็เช่นกัน –ดนล.12:3;มธ.13:43

          “ไม่เสื่อมสลาย” (imperishable) –คร.15:50,53-54

15:43   “สิ่งที่เป็นขึ้นมานั้นมีศักดิ์ศรี” (it is raised in glory) –ฟป.3:21;คส.3:4

15:44   “สิ่งที่เป็นขึ้นมานั้นเป็นกายจิตวิญญาณ” (it is raised a spiritual body) –1คร.15:50

15:42-44 – อ.เปาโลใช้ภาพเหล่านี้เปรียบเทียบกับการเป็นขึ้นมาจากตายของคนตาย พระเจ้าจะเปลี่ยน “กายธรรมชาติ” ที่เสื่อมสลายได้ และอ่อนแอเพราะบาป ให้กลายเป็นกายที่ไม่เสื่อมสลาย เปี่ยมด้วยศักดิ์ศรีและทรงพลัง และเหมาะที่จะอยู่กับพระเจ้าเป็นนิจนิรันดร์ ดำรงอยู่สืบเนื่องไป แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลง (ที่ดีขึ้น) ด้วย

15:44-49 – อ.เปาโลใช้ภาพเปรียบเทียบถึงความแตกต่างระหว่างกายธรรมชาติ กับกายฝ่ายจิตวิญญาณกับตัวแทน 2 คน (ข.21-22) คนแรกคือ อาดัมซึ่งมีธรรมชาติที่เกิดจากธุลีดิน (ปฐก.2:7) และกายธรรมชาติของเขาก็ถ่ายทอดต่อมาทางลูกหลาน  และคนที่สอง คือ พระเยซูคริสต์ หรืออาดัมคนที่ 2 (ยน.5:26) ผู้ทรงสละพระชนม์ไถ่บาปและเป็นขึ้นมาจากความตายและประทานกายวิญญาณแก่ผู้ที่พระองค์ทรงไถ่ ในวันที่พระองค์เสด็จกลับมา (ครั้งที่ 2) ซึ่งจะเป็นกายที่เหมือนกายของพระองค์ เมื่อเป็นขึ้นมาจากความตาย เป็นกายที่มีสง่าราศี (ปท. ลก.24:36-43; ฟป.3:21;1ยน.3:2)

15:44   “กายจิตวิญญาณ” (spiritual body) –1คร.15:50

15:45   “จึงเป็นผู้มีชีวิต” (became a living being)-ปฐก.2:7

“อาดัมสุดท้าย” ( last Adam) = อาดัมคนที่ 2 หรืออาดัมคนหลังนี้ หมายถึงพระเยซูคริสต์ –รม.5:14

“เป็นวิญญาณผู้ประทานชีวิต” ( a life-giving spirit) -ยน.5:21;6:57,58;รม.8:2

15:46   “ต่อจากนั้นจึงเป็นกายจิตวิญญาณ” ( then the spiritual) –1คร.15:44

15:47   “มาจากดิน และเป็นมนุษย์ดิน” ( from the earth, a man of dust) –ปฐก.2:7;3:19;สดด.90:3

“มนุษย์คนที่สองนั้นมาจากสวรรค์” ( the second man is from heaven) –ยน.3:13,31

15:48   “มนุษย์สวรรค์ทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้น” (as is the man of heaven, so also are those who are of heaven ) –ฟป.3:20-21

15:49   “และเช่นเดียวกับที่เรามีลักษณะของมนุษย์ดิน” (Just as we have borne the image of the man of dust) –ในฉบับอมตธรรม แปลว่า “คนฝ่ายโลกเป็นอย่างไร ชาวโลกก็เป็นอย่างนั้น” –ปฐก.5:3

“เราก็จะมีลักษณะของมนุษย์สวรรค์” (we shall also bear the image of the man of heaven)

= คนจากสวรรค์เป็นอย่างไร ชาวสวรรค์ก็เป็นอย่างนั้น –รม.8:29

15:50   “เนื้อและเลือดไม่สามารถมีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า” (flesh and blood cannot inherit the kingdom of God) = ร่างกายของมนุษย์ที่บาปนั้นเปราะบาง อ่อนแอ และเสื่อมสลายได้ (กท.1:16) ไม่เหมาะดำรงอยู่ในสวรรค์ -อฟ.6:12;ฮบ.2:14

-ดังนั้น คนที่พระเจ้าทรงไถ่ไว้ จะได้รับการเปลี่ยนแปลงร่างกายใหม่ที่จะไม่เสื่อมสลายไป และได้อยู่กับพระองค์เสมอไป นี่เป็นข้อโต้แย้งสุดท้ายของ อ.เปาโล ในเรื่องการเป็นขึ้นจากตายฝ่ายร่างกาย

“ไม่สามารถมีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า” (cannot inherit the kingdom of God)= ไม่สามารถรับอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก –มธ.25:34

“สิ่งที่เสื่อมสลายไม่มีส่วนในสิ่งที่ไม่เสื่อมสลาย”(nor does the perishable inherit the imperishable) –1คร.15:42,53,54

15:51   “ความล้ำลึก” (mystery) = เรื่องเกี่ยวกับร่างกายที่เป็นขึ้นมาจากตาย ซึ่งเมื่อก่อนไม่เข้าใจ แต่บัดนี้ได้รับการเปิดเผยแล้ว (รม.11:25) –1คร.13:2;14:2

“คือเราจะไม่ล่วงหลับหมดทุกคน” (We shall not all sleep)= ผู้เชื่อบางคนอาจไม่ต้องประสบกับความตายหรืออยู่ในหลุมฝังศพ (1ธส.4:15;มธ.9:24)

“แต่จะถูกเปลี่ยนใหม่ทุกคน” (but we shall all be changed) –2คร.5:4;ฟป.3:21

15:52   “ในชั่วขณะเดียวในพริบตาเดียว” (in a moment, in the twinkling of an eye) = ชั่วแวบเดียว = กายที่เสื่อมสลายจะกลายเป็นกายที่ไม่เสื่อมสลายในทันที

          “เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะว่าจะมีการเป่าแตร” (at the last trumpet. For the trumpet will sound) = เพราะเสียงแตรจะดังขึ้น แล้วกายจะเปลี่ยนไปเป็นกายอมตะ เมื่อมีเสียงเป่าแตรครั้งสุดท้ายเป็นการประกาศถึงการไถ่ที่สมบูรณ์ –มธ.24:31;1ธส.4:16-17

15:53-54 “สวม…สวม” (puts … puts) –สดด.109:29

15:56   “เหล็กในของความตายนั้นคือบาป” (The sting of death is sin) = บาปทำให้เราตกอยู่ใต้อำนาจของความตาย (รม.5:12-21)

“อำนาจของบาปคือธรรมบัญญัติ” (the power of sin is the law) = บทบัญญัติของพระเจ้าให้อำนาจแก่บาป เพราะบทบัญญัติเปิดเผยบาปของเรา และกล่าวโทษเรา เพราะบาปของเรา –รม.7:7-12;4:15

15:57  “สาธุการแด่พระเจ้า” (thanks be to God) –2คร.2:14

“ผู้ประทานชัยชนะแก่เรา” (who gives us the victory ) = ชัยชนะเหนือการลงโทษเพราะบาปที่บทบัญญัตินำมา (ข.56) เหนือความตายและหลุมฝังศพ (ข.54-55)

“โดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” (  through our Lord Jesus Christ.) –รม.8:37; ฮบ.2:14,15       = ผ่านการสิ้นพระชนม์ และการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ (รม.4:25)

15:58   “ฉะนั้น” (Therefore) = เหตุฉะนั้น เพราะการเป็นจากตายของพระเยซูคริสต์และของเรา เราจึงรู้ว่า การรับใช้พระเจ้าไม่ได้ไร้ประโยชน์

          “จงทำงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้บริบูรณ์ทุกเวลา” (always abounding in the work of the Lord) = จงทุ่มเททำงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างเต็มที่ –1คร.16:10

“การตรากตรำของท่านจะไม่ไร้ประโยชน์” (knowing that in the Lord your labor is not in vain)

= การงานของเราจะไม่สูญเปล่า พระเยซูคริสต์จะประทานบำเหน็จรางวัลให้แก่เรา ในวันที่พระองค์เสด็จกลับมา (มธ.25:21;ลก.19:17;1คร.2:7;2ทธ.4:17;ปท.อสย.65:23)

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยมีคำถามอยู่ในใจหรือเคยถูกคนอื่นถามคุณบ้างหรือไม่ ในเรื่องว่า คนตายจะเป็นขึ้นมาอย่างไร? แล้วคำตอบของคุณในเวลานั้นคืออะไร?
  2. หลังจากอ่านพระธรรมตอนนี้ คุณมีคำตอบต่อคำถามนี้ (ในข้อ 1) นั้นแตกต่างไปจากเดิมหรือไม่? อย่างไร?
  3. ถ้าเลือกหรือขอได้ คุณอยากให้ร่างกายใหม่ของคุณที่พระเจ้าประทานให้ มีลักษณะอย่างไร? ทำไม?
  4. คุณรู้สึกต่อองค์พระเยซูคริสต์แตกต่างไปจากเดิมบ้างหรือไม่ เมื่อคุณได้ตระหนักถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้กับคุณและเพื่อคุณ?
  5. คุณอยากจะเป็นคนที่พระเยซูคริสต์เสด็จมารับ เมื่อตอนคุณตายจากโลกนี้ไปแล้วหรือให้มาตอนที่คุณยังมีชีวิตอยู่? ทำไม?
  6. ใครเป็นบุคคลแรกที่คุณอยากพบหลังจากที่ทุกคนเป็นขึ้นมาจากความตาย? ทำไม?
  7. ประโยคแรกที่คุณจะพูด เมื่อคุณได้รับร่างกายใหม่ คืออะไร? และอะไรคือประโยคแรกที่คุณอยากจะทักทายองค์พระเยซูคริสต์?
  8. บทเรียนสำคัญที่สุดที่คุณได้รับจากบทเรียนในวันนี้คือ ………………………………………………..
  9. สิ่งที่คุณเรียนรู้ในวันนี้ ส่งผลประทบต่อการดำเนินชีวิต และการรับใช้ของคุณอย่างไรบ้าง? (แบ่งปัน)

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1โครินธ์ บทที่ 15

พวกที่น่าสมเพชที่สุด!

 พระธรรม        1โครินธ์ 15:12-34

อ้างอิง             ยน.11:24;1ธส.2:19;4:14;1คร.4:9;6:14;3:23;กจ.2:24;17:32;23:8;26:23;รม.4:25;5:12,14-18;8:38; 2ทธ.2:18;2ปต.1:11;มธ.9:24;22:44;1ปต.1:3;ดนล.2:44;7:14,27

บทนำ             หากพระคริสต์ไม่ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย พวกคริสเตียนจะเป็นพวกที่น่าสมเพชเวทนามากที่สุด เพราะหลงผิดหลงเชื่อความเท็จมาตลอด แต่เพราะว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากตายแล้วจริง ๆ พวกคริสเตียนจึงเป็นพวกที่มีความสุขที่สุด เพราะว่าพวกเรามั่นใจว่า พวกเราจะเป็นขึ้นมาจากตาย และอยู่กับพระเจ้าอย่างเป็นสุขตลอดไปเป็นนิตย์

บทเรียน

15:12 “ถ้า​เรา​ประ‌กาศ​ว่า​พระ‍คริสต์​ทรง​ถูก​ทำ​ให้​เป็น​ขึ้น​มา​จาก​ความ​ตาย​แล้ว ทำไม​บาง‍คน​ใน​พวก‍ท่าน​จึง​พูด​ว่า​การเป็น​ขึ้น​จาก​ความ​ตาย​ไม่‍มี?”

         (Now if Christ is proclaimed as raised from the dead, how can some of you say that there is no  resurrection of the dead?)

15:13 “ถ้า​การ​เป็น​ขึ้น​มา​จาก​ความ​ตาย​ไม่‍มี พระ‍คริสต์​ก็​ไม่​ทรง​ถูก​ทำ​ให้​เป็น​ขึ้น​มา”

          (But if there is no resurrection of the dead, then not even Christ has been raised. )

15:14 “ถ้า​พระ‍คริสต์​ไม่​ทรง​ถูก​ทำ​ให้​เป็น​ขึ้น​มา การ​ประ‌กาศ​ของ​เรา​นั้น​ก็​ไร้​ประ‌โยชน์ และ​ความ​เชื่อ​ของ​ท่าน‍ทั้ง‍หลาย​ก็​ไร้​ประ‌โยชน์​ด้วย”

          (And if Christ has not been raised, then our preaching is in vain and your faith is in vain.) 

15:15 “และ​คน​ก็​จะ​เห็น​ว่า​เรา​เป็น​พยาน‍เท็จ​ใน​เรื่อง​พระ‍เจ้า เพราะ​เรา​เป็น​พยาน​ว่า​พระ‍องค์​ทรง​ทำ​ให้​พระ‍คริสต์​เป็น​ขึ้น​มา​แล้ว แต่​ถ้า​คน‍ตาย​ไม่​ถูก​ทำ​ให้​เป็น​ขึ้น​มา​แล้ว พระ‍คริสต์​ก็​ไม่‍ได้​เป็น​ขึ้น​มา”

     (We are even found to be misrepresenting God, because we testified about God that he raised Christ, whom he did not raise if it is true that the dead are not raised. )

15:16 “เพราะ‍ว่า​ถ้า​คน‍ตาย​ไม่​ถูก​ทำ​ให้​เป็น​ขึ้น​มา พระ‍คริสต์​ก็​ไม่‍ได้​ทรง​ถูก​ทำ​ให้​เป็น​ขึ้น​มา”

                 (For if the dead are not raised, not even Christ has been raised.)

15:17 “และ​ถ้า​พระ‍คริสต์​ไม่‍ได้​ทรง​ถูก​ทำ​ให้​เป็น​ขึ้น​มา ความ​เชื่อ​ของ​พวก‍ท่าน​ก็​ไร้​ประ‌โยชน์ ท่าน​ก็​ยัง​คง​อยู่​ใน​บาป​ของ​ตน”

            (And if Christ has not been raised, your faith is futile and you are still in your sins.)

15:18 “และ​ถ้า​อย่าง‍นั้น​คน​ทั้ง‍หลาย​ที่​ล่วง‍หลับ​ใน​พระ‍คริสต์​ก็​พินาศ​ไป​ด้วย”

           (Then those also who have fallen asleep in Christ have perished.)

15:19 “ถ้า​เรา​มี​ความ​หวัง​ใน​พระ‍คริสต์​เพียง​แค่​ใน​ชีวิต​นี้ เรา​ก็​เป็น​พวก​น่า‍เวท‌นา​ที่‍สุด​ของ​คน​ทั้ง‍หมด”

           (If in Christ we have hope in this life only, we are of all people most to be pitied.)

15:20 “แต่​บัด‍นี้ พระ‍คริสต์​ทรง​ถูก​ทำ​ให้​เป็น​ขึ้น​มา​จาก​ความ​ตาย​แล้ว และ​ทรง​เป็น​ผล‍แรก​ของ​พวก​ที่​ล่วง‍หลับ​ไป”

               (But in fact Christ has been raised from the dead, the firstfruits of those who have fallen asleep.) 

15:21 “เพราะ​ว่า​ใน​เมื่อ​ความ​ตาย​เกิด‍ขึ้น​โดย​มนุษย์​คน​หนึ่ง การ​เป็น​ขึ้น​จาก​ความ​ตาย​ก็​เกิด‍ขึ้น​โดย​มนุษย์​คน​หนึ่ง​เช่น‍กัน”

               (For as by a man came death, by a man has come also the resurrection of the dead.)

15:22 “เพราะ‍ว่า​เช่น​เดียว​กับ​ที่​ทุก​คน​ต้อง​ตาย​โดย​เกี่ยว​เนื่อง​กับ​อา‌ดัม ทุก​คน​ก็​จะ​ได้​รับ​ชีวิต​โดย​เกี่ยว​เนื่อง​กับ​พระ‍คริสต์”

               (For as in Adam all die, so also in Christ shall all be made alive.)

15:23 “แต่​ว่า​จะ​เป็น​ไป​ตาม​ลำ‌ดับ คือ​พระ‍คริสต์​ทรง​เป็น​ผล​แรก ต่อ‍จาก‍นั้น​ก็​คือ​คน​ทั้ง‍หลาย​ที่​เป็น​ของ​พระ‍คริสต์​ใน​เวลา​ที่​พระองค์​เสด็จ​กลับ‍มา”

               (But each in his own order: Christ the firstfruits, then at his coming those who belong to Christ.)

15:24 “แล้ว​ก็​จะ​เป็น​เวลา​อวสาน​ซึ่ง​พระ‍คริสต์​จะ​ทรง​มอบ​อาณา‌จักร​แด่​พระ‍เจ้า​พระ‍บิดา และ​จะ​ทรง​ทำ‍ลาย​ภูต‍ผี​ที่​ครอบ‍ครอง​ทั้ง‍หมด ภูต‍ผี​ที่​มี​สิทธิ‍อำนาจ​และ​ที่​มี​ฤทธา‌นุ‌ภาพ” 

        (Then comes the end, when he delivers the kingdom to God the Father after destroying every rule and every authority and power)

15:25 “เพราะ‍ว่า​พระ‍คริสต์​ทรง​ต้อง​ครอบ‍ครอง​จน‍กว่า​พระ‍เจ้า​จะ​ทรง​ปราบ​ศัตรู​ทั้ง‍หมด​ให้​อยู่​ใต้​พระ‍บาท​ของ​พระ‍คริสต์”

         (For he must reign until he has put all his enemies under his feet.)

15:26 “ศัตรู​ตัว​สุด‍ท้าย​ที่​จะ​ถูก​ทำ‍ลาย​คือ​ความ​ตาย”

         (The last enemy to be destroyed is death. )

15:27 “เพราะ‍ว่า “พระ‍เจ้า​ทรง​ให้​ทุก‍สิ่ง​อยู่​ใต้​อำนาจ​ภาย‍ใต้​พระ‍บาท​ของ​พระ‍บุตร” แต่​เมื่อ​พระ‍คัมภีร์​กล่าว​ว่า​ทรง​ให้​ทุก‍สิ่ง​อยู่​ใต้​อำนาจ​นั้น ก็​รู้​ชัด​กัน​อยู่​แล้ว​ว่า ยก​เว้น​พระ‍เจ้า​ผู้​ทรง​ให้​ทุก‍สิ่ง​อยู่​ใต้​อำนาจ​พระ‍องค์”

    (For “God has put all things in subjection under his feet.” But when it says, “all things are put  in subjection,” it is plain that he is excepted who put all things in subjection under him.)

15:28 “เมื่อ​ทุก‍สิ่ง​อยู่​ใต้​อำนาจ​พระ‍องค์​แล้ว เมื่อ​นั้น​พระ‍บุตร​พระ‍องค์​เอง​ก็​จะ​ทรง​อยู่​ใต้​อำนาจ​พระ‍เจ้า ผู้​ทรง​ให้​ทุก‍ สิ่ง​อยู่​ใต้​อำนาจ​พระ‍องค์ เพื่อ​พระ‍เจ้า​จะ​ทรง​เป็น​เอก​ใน​ทุก‍สิ่ง”

    (When all things are subjected to him, then the Son himself will also be subjected to him who put all things in subjection under him, that God may be all in all.)

15:29 “มิ‍ฉะนั้น พวก​ที่​ให้​รับ​บัพ‌ติศ‌มา​เพื่อ​คน‍ตาย​นั้น​จะ​ทำ​อย่าง‍ไร ถ้า​คน‍ตาย​ไม่​ถูก​ทำ​ให้​เป็น​ขึ้น​มา​เลย? และ​ทำไม​จึง​มี​การ​ให้​รับ​บัพ‌ติศ‌มา​เพื่อ​คน‍ตาย?”

      (Otherwise, what do people mean by being baptized on behalf of the dead? If the dead are not  raised at all, why are people baptized on their behalf?)

15:30 “และ​ทำไม​เรา​จึง​เสี่ยง​อัน‌ตราย​ตลอด‍เวลา?”

                (Why are we in danger every hour? )

15:31 “พี่‍น้อง​ทั้ง‍หลาย ข้าพ‌เจ้า​ตาย​ทุก​วัน ข้าพ‌เจ้า​ขอ​ยืน‍ยัน​โดย​ความ​ภูมิ‍ใจ​ใน​พวก‍ท่าน ที่​ข้าพ‌เจ้า​มี​ใน​พระ‍เยซู‍คริสต์​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า​ของ​เรา”

     (I protest, brothers, by my pride in you, which I have in Christ Jesus our Lord, I die every day!) 

15:32 “ถ้า​ข้าพ‌เจ้า​ต่อ‍สู้​กับ​สัตว์‍ป่า​ใน​เมือง​เอ‌เฟ‌ซัส​ด้วย​ความ​หวัง​แบบ​มนุษย์​เท่า​นั้น ข้าพ‌เจ้า​จะ​ได้​ประ‌โยชน์​อะไร ถ้า​คน‍ตาย​ไม่​ถูก​ทำ​ให้​เป็น​ขึ้น​มา ก็​ให้​เรา​กิน​และ​ดื่ม​เถิดเพราะ‍ว่า​พรุ่ง‍นี้​เรา​ก็​จะ​ตาย

     (What do I gain if, humanly speaking, I fought with beasts at Ephesus? If the dead are not raised, “Let us eat and drink, for tomorrow we die.” )

15:33 “อย่า​หลง‍ผิด​เลย “การ​คบ​คน​ชั่ว​ย่อม​ทำ‍ลาย​นิสัย​ที่​ดี‍งาม”

               (Do not be deceived: “Bad company ruins good morals.” )

15:34 “จง​มี​สติ​ขึ้น​มา​ใหม่​และ​อย่า​ทำ​บาป​อีก​เลย เพราะ‍ว่า​มี​บาง‍คน​ไม่​รู้‍จัก​พระ‍เจ้า ที่​ข้าพ‌เจ้า​พูด​เช่น‍นี้​ก็​เพื่อ​ให้​พวก‍ท่าน​ละ‍อาย‍ใจ”

       (Wake up from your drunken stupor, as is right, and do not go on sinning. For some have no knowledge of God. I say this to your shame.)

 ข้อมูลมีประโยชน์

 15:12-19 – คริสเตียนบางคนที่โครินธ์ไม่เชื่อเรื่องการเป็นขึ้นจากตายของร่างกาย เปาโลจึงให้ข้อสรปุในเรื่องนี้   ไว้หลายประการ

15:12   “พระคริสต์ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว” (Christ is proclaimed as raised from the dead) –อ.เปาโลใช้กิริยาที่แสดงถึงความแน่นอนว่า พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายทางฝ่ายร่างกาย แล้วทั้งหมด 7 ครั้งในพระคัมภีร์ตอนนี้ (ข.4,12-14,16-17,20)

15:19   “เราก็เป็นพวกน่าเวทนาที่สุดของคนทั้งหมด” (we are of all people most to be pitied) อ.เปาโล กล่าวว่า   หากชีวิตที่เชื่อในพระเยซูคริสต์มีประโยชน์ เฉพาะในปัจจุบัน แล้วต้องรับโทษจากบาป (รม.6:23) ผู้เชื่อก็น่าสมเพชยิ่งกว่าคนมีชีวิตแบบไม่มีความหวังที่ไม่เชื่อพระเจ้า (อฟ.2:12)

15:20   “พระคริสต์ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว” (Christ has been raised from the dead)

= พระคริสต์เป็นขึ้นมาจากตายจริง ๆ (ข.3-8)

“ผลแรกของพวกที่ล่วงหลับไป” (the firstfruits of those who have fallen asleep)

“ผลแรก” = ฟ่อนข้าวแรกที่ถวายแก่พระเจ้า

= สัญลักษณ์ว่า ผลที่เก็บเกี่ยวทั้งหมดนั้น เป็นของพระเจ้า และต้องอุทิศแด่พระเจ้า (ผ่านชีวิตที่อุทิศถวาย) –อพย.23:19;ลนต.2:12

= พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย เป็นตัวรับประกันว่า คนที่พระเจ้าทรงไถ่ทุกคนจะเป็นขึ้นจากตายด้วย (1ธส.4:13-18)

15:21   “ความตายเกิดขึ้นโดยมนุษย์คนหนึ่ง” (by a man came death) = สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียว

= ทางอาดัม (ปฐก.3:17-19;รม.5:12)

“การเป็นขึ้นจากความตาย ก็เกิดขึ้นโดยมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน” (by a man has come also the resurrection of the dead) = โดยทางพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นอาดัมคนที่ 2 หรือคนหลัง (ข.45; ปท.รม.5:12-21)

15:22   “ทุกคนต้องตายโดยเกี่ยวเนื่องกับอาดัม” (in Adam all die) = ทุกคนที่อยู่ในอาดัมหรือเป็นเชื้อสายของอาดัมต้องตาย

“ทุกคนก็จะได้รับชีวิตโดยเกี่ยวเนื่องกับพระคริสต์” ( in Christ shall all be made alive) = คนที่ผูกพันกับพระเยซูโดยความเชื่อจะได้รับชีวิตผ่านการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ (ยน.5:25;รม.5:17-18; 1ธส.4:16-17;วว.20:6)

15:23   “แต่ว่าจะเป็นไปตามลำดับ” (But each in his own order) = พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายเป็นคนแรก (ผลแรก) ในประวัติศาสตร์ (ค.ศ. 30) ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ก็จะเป็นขึ้นตามมา เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาครั้งที่ 2 ดังนั้น การเป็นขึ้นมาจากตายของพระเยซูคริสต์ จึงเป็นมัดจำสำหรับการเป็นขึ้นมาของเรา

15:24   “อวสาน” (the end) = จุดจบ การเสด็จกลับมาของพระเยซูจะเป็นการส่งมอบแผ่นดินแด่พระเจ้าและทำลายอำนาจบาปอย่างที่ต่อต้านพระองค์

15:25   “ทรงต้องครอบครอง” (must reign) = พระคริสต์จะทรงครอบครอง (วว.20:1-6) เมื่อได้ทำลายอำนาจครอบครองต่าง ๆ ลง และถวายแผ่นดินแด่พระเจ้าแล้ว แต่มีบางคนเชื่อว่า พระเยซูจะครอบครองโลกนี้ร่วมกับประชากรของพระองค์ในโลกนี้เป็นเวลา 1 พันปี ตามตัวอักษร (ปท.อสย.2:2-4;มีคาห์ 4:1-5)

-และก็มีบางคนเชื่อว่า ในทีนี้หมายถึง การครอบครองของพระเยซูคริสต์ในประวัติศาสตร์และในชีวิตของผู้เชื่อที่เป็นขึ้นจากตายในฝ่ายวิญญาณ (ซึ่งเป็นการครอบครองต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน)

“ภายใต้พระบาทของพระบุตร” (under his feet) = ชัยชนะที่สมบูรณ์ (ข.5; ปท. สดด.110:1;มธ.22:44;กจ.2:34;ฮบ.1:13)

15:26   “ศัตรูตัวสุดท้าย” (last enemy) –สดด.49:14;ยรม.9:21

-การทำลายความตายนี้จะเกิดขึ้นเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา (วว.20:14;21:4)

15:27   “ภายใต้พระบาทของพระบุตร” (under his feet) –สดด.8:6;ฮบ.2:5-9

15:28   “พระบุตรพระองค์เองก็ทรงอยู่ใต้อำนาจพระเจ้า” (all things in subjection under him) = พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคมีความเท่าเทียมกัน ในสภาวะแห่งความเป็นพระเจ้าและในพระเกียรติสิริ แต่ในที่นี้หมายถึงหน้าที่ในด้านใดด้านหนึ่งของแต่ละพระภาค (ยน.4:34;5:19;7:16) เช่น พระบุตรมาทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ถูกส่งมาโดยพระบิดา และพระบุตร เพื่อให้ความรอด และเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้เชื่อ

15:29   “บัพติศมาเพื่อคนตาย” (being baptized on behalf of the dead) = ในเวลานั้น มีการบัพติศมา ให้คนตายที่เมืองโครินธ์ แต่เปาโลไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม จึงมีการตีความหลากหลาย ดังนี้

  1. ผู้เชื่อรับบัพติศมาให้ผู้เชื่อที่ตายไปก่อนรับบัพติศมา เพื่อผู้ตายจะได้รับบัพติศมาด้วย
  2. ผู้เชื่อรับบัพติศมา เพราะคาดหวังว่า คนตายจะเป็นขึ้นจากตาย  ฯลฯ

-เปาโลเพียงต้องการยืนยันว่า เรื่องการเป็นขึ้นจากตายนั้นเป็นที่รับรู้กัน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะยอมรับการปฏิบัติเช่นนั้น

15:30   “และทำไมเราจึงเสี่ยงอันตรายตลอดเวลา?” (Why are we in danger every hour?)

-ปท.2คร.11:23-29

15:31   “ข้าพเจ้าตายทุกวัน” ( I die every day) = เปาโลเผชิญกับความเป็นจริงเรื่องความตายทุกวัน

-ปท. 2คร.4:8-12;11:23-26

“ความภูมิใจในพวกท่าน” (my pride in you) = ภูมิใจในการกลับใจและการเติบโตในพระคุณทั้ง ๆ พวกเขายังล้มเหลวอยู่บ้าง – ปท.1ธส.2:20

15:32   “ข้าพเจ้าสู้กับสัตว์ป่าในเมืองเอเฟซัส” (I fought with beasts at Ephesus?) = อาจตีความได้ทั้งในเชิงตามตัวอักษรและเชิงเปรียบเทียบ แต่น่าจะหมายถึงศัตรูในเมืองเอเฟซัสที่ดุร้ายเหมือนสัตว์ป่า (ปท.กจ.19)

          “ก็ให้เรากินและดื่มเถิด เพราะว่าพรุ่งนี้เราก็จะตาย” (Let us eat and drink, for tomorrow we die)

–อสย.22:13 -ถ้าไม่มีการเป็นขึ้นจากตาย ชีวิตอย่างนี้ก็อาจเหมาะสมกับเรา

15:33   “การคบคนชั่วย่อมทำลายนิสัยที่ดีงาม” (Bad company ruins good morals) = ข้อความที่ยกมาจากเรื่องขำขันของชาวกรีก ชื่อธาอิส ซึ่งประพันธ์โดยเมนันเดอร์ ที่มีผลงานเป็นที่รู้จักของชาวโครินธ์

-เปาโลประยุกต์ใช้ถ้อยคำนี้เพื่อกล่าวว่า คนที่สอนว่าไม่มีการเป็นขึ้นจากตาย (ข.12) เป็นเหมือน “คนชั่ว” หรือ “เพื่อนที่เลว” ซึ่งกำลังทำให้นิสัยที่ดีงาม (หรือนิสัยที่ดี) ของคนที่ยึดถือหลักคำสอนที่ถูกต้องนั้นเสื่อมทรามไป –ปท. สดด.1:1;สภษ.22:24-25

15:34   “อย่าทำบาปอีกเลย” (not go on sinning) = เลิกทำบาป

= บาปที่ไม่ยอมรับการเป็นขึ้นจากตาย และการสงสัยในการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ จะส่งผลลบต่อการดำเนินชีวิตของพวกเขา

“บางคนไม่รู้จักพระเจ้า” (some have no knowledge of God)= เปาโลกล่าวว่า น่าละอายที่แม้แต่ในคริสตจักรโครินธ์ก็มีคนไม่รู้จักพระเจ้า

 

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยเชื่อว่า ไม่มีการเป็นขึ้นจากตายบ้างไหม? แล้วทำไมคุณจึงเปลี่ยนมาเชื่อ?
  2. อะไรจะเกิดขึ้นหากว่า พระเยซูคริสต์ไม่เคยเป็นขึ้นมาจากความตายจริง ๆ และจะส่งผลกระทบต่อคุณอย่างไรบ้าง?
  3. ความหวังสูงสุดในชีวิตของคุณคืออะไร? ทำไม? และส่งผลต่อนิรันดร์กาลของคุณอย่างไร?
  4. คุณมีประสบการกับภูตผีปีศาจที่ครอบครองหรือมีฤทธิ์อำนาจบ้างหรือไม่ในชีวิต? อย่างไร? (แบ่งปัน)
  5. การที่คุณรู้ว่าพระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมาครอบครองทั้งหมด ส่งผลต่อวิถีคิด และวิถีการดำเนินชีวิตของคุณอย่างไรบ้าง?
  6. หากพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเท่าเทียมกับพระบิดาแต่ทรงยอมอยู่ใต้อำนาจของพระเจ้าพระบิดาในการกระทำราชกิจ คุณได้รับแบบอย่างหรือบทเรียนอะไรที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในครอบครัว   ที่ทำงาน ในคริสตจักรหรือในสังคมได้บ้าง? อย่างไร?
  7. คุณเชื่อในเรื่องบัพติศมาสำหรับหรือเพื่อคนตายหรือไม่? อย่างไร? ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตคริสเตียนของคุณหรือไม่? อย่างไร?
  8. คุณเคยมีประสบการกับความเสี่ยงตายเพราะการติดตามพระเยซูคริสต์บ้างหรือไม่? อย่างไร (แบ่งปัน)
  9. เคยมีใครหรืออะไรทำให้คุณหลงผิดไปจากความเชื่อหรือทางของพระเจ้าบ้างหรือไม่? อย่างไร? แล้วคุณจัดการอย่างไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1โครินธ์ 14 (ตอนที่ 2)

จงทำทุกสิ่งอย่างมีระเบียบ

พระธรรม        1โครินธ์ 14:26-15:11

อ้างอิง             รม.2:16;7:1;15:33;1คร.11:5,13;12:7-10,31;13:2;14:2,6,32-33,37,40;อฟ.5:22;1ยน.4:6;2คร.10:7; ปฐก.3:16;1ทธ.2:11-12;กจ.11:27;อสย.40:9

บทนำ

พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติสุข

ขอให้เรากระทำทุกอย่างในคริสตจักรอย่างมีระเบียบวินัย

พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรัก

ขอให้เราจงกระทำทุกอย่างด้วยความรักเมตตา

พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งฤทธานุภาพ

ขอให้เราจงนมัสการสรรเสริญพระองค์!

บทเรียน

 14:26 “เพราะฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาจะว่าอย่างไร? เมื่อพวกท่านมาชุมนุมกัน แต่ละคนก็มีเพลงสดุดี มีคำสอน มีคำ​วิวรณ์ มีการพูดภาษาแปลกๆ มีการแปลภาษาแปลกๆ จงทำทุกสิ่งเพื่อให้เขาเจริญขึ้น

 (What then, brothers? When you come together, each one has a hymn, a lesson, a revelation, a tongue, or an interpretation. Let all things be done for building up.)

14:27 “ถ้าใครจะพูดภาษาแปลกๆ จงให้พูดเพียงสองคนหรืออย่างมากที่สุก็สามคนและให้พูดทีละคน แล้วให้อีกคนหนึ่งแปล”

(If any speak in a tongue, let there be only two or at most three, and each in turn, and let someone interpret.)

14:28 “แต่ถ้าไม่มีใครแปลได้ก็ให้เขาอยู่เงียบๆ ในที่ประชุม และให้พูดกับตัวเอง และทูลต่อพระเจ้า

(But if there is no one to interpret, let each of them keep silent in church and speak to himself and to God.)

14:29 “ให้พวกผู้เผยพระวจนะพูดได้สองหรือสามคน และให้คนอื่นๆ วินิจฉัยสิ่งที่พูด

         (Let two or three prophets speak, and let the others weigh what is said.)

14:30 “ถ้ามีการทรงสำแดงแก่คนอื่นที่นั่งอยู่ด้วยกัน ให้คนแรกนั้นเงียบไว้ก่อน

         (If a revelation is made to another sitting there, let the first be silent.)

14:31 “เพราะว่าพวกท่านทั้งหมดสามารถเผยพระวจนะได้ทีละน เพื่อให้ทุกคนได้เรียนรู้ และได้รับการหนุนใจ

         (For you can all prophesy one by one, so that all may learn and all be encouraged, )

14:32 “จิตวิญญาณของพวกผู้เผยพระวจนะนั้น ย่อมอยู่ในบังคับพวกผู้เผยพระวจนะ

         (and the spirits of prophets are subject to prophets. )

14:33 “เพราะว่าพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าแห่งความวุ่นวาย แต่ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติ ดังที่เป็นอยู่ในคริสตจักรทุกแห่งของธรรมิกชน

         (For God is not a God of confusion but of peace. As in all the churches of the saints)

14:34 “จงให้บรรดาผู้หญิงอยู่เงียบๆ ในคริสตจักร เพราะว่าพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้พูด แต่ให้มีความนอบน้อม​เหมือนที่ธรรมบัญญัติกล่าวไว้

       (the women should keep silent in the churches. For they are not permitted to speak, but should be in submission, as the Law also says.)

14:35 “ถ้าพวกเขาต้องการจะเรียนรู้สิ่งใด ก็ให้ถามสามีของตนที่บ้าน เพราะว่าการที่ผู้หญิงจะพูดในคริสตจักรนั้น​ก็เป็นเรื่องน่าอาย 

(If there is anything they desire to learn, let them ask their husbands at home. For it is shameful for a woman to speak in church.)

14:36 “พระวจนะของพระเจ้าเกิดมาจากพวกท่านหรือ? พระวจนมาถึงท่านพวกเดียวหรือ?”
         (Or was it from you that the word of God came? Or are you the only ones it has reached? )

 14:37 “ถ้าใครคิดว่าตนเป็นผู้เผยพระวจนะ หรืออยู่ฝ่ายพระวิญญาณก็จงยอมรับว่า ข้อความซึ่งข้าพเจ้าเขียนมาถึงพวกท่านนี้ เป็นพระบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า

         (If anyone thinks that he is a prophet, or spiritual, he should acknowledge that the things I am  writing to you are a command of the Lord.)

14:38 “และถ้าใครไมเอาใจใส่ข้อความนี้ คนนั้นก็จะไม่ได้รับการเอาใจใส่

         (If anyone does not recognize this, he is not recognized.) 

14:39 “ฉะนั้นี่น้องทั้งหลาย จงขวนขวายการเผยพระวจนะ ส่วนการพูดภาษาแปลกๆ นั้นก็อย่าห้ามเลย

         (So, my brothers, earnestly desire to prophesy, and do not forbid speaking in tongues.)

14:40 “แต่จงให้ทุกสิ่งมีความเหมาะสมและเป็นระเบียบเถิด”

         (But all things should be done decently and in order.)

 

 15:1 “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอให้คำนึงถึงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าเคยประกาศแก่ท่านทั้งหลายนั้น พวกท่านได้รับ​ไว้และได้ตั้งมั่นอยู่บนนั้นแล้ว

       (Now I would remind you, brothers, of the gospel I preached to you, which you received, in  which you stand,

15:2 “และท่านจะได้รับความรอดโดยข่าวประเสริฐนั้นถ้าพวกท่านยังยึดมั่นในคำที่ข้าพเจ้าประกาศนั้น นอกจากว่า​ท่านเชื่อแบบไร้ผล

       (and by which you are being saved, if you hold fast to the word I preached to you—unless you believed in vain.)

15:3 “เพราะว่าข้าพเจ้าได้มอบเรื่องสำคัญที่สุดที่ได้รับมานั้นแก่พวกท่านคือพระคริสต์วายพระชนม์เพราะบาปของ​เรา ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ 

       (For I delivered to you as of first importance what I also received: that Christ died for our sins in accordance with the Scriptures,)

15:4 “และทรงถูกฝังไว้ แล้ววันที่สามพระองค์ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมา ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ 

             (that he was buried, that he was raised on the third day in accordance with the Scriptures, )

15:5 “พระองค์ทรงปรากฏต่อเคฟาสแล้วต่ออัครทูตสิบสองคน

       (and that he appeared to Cephas, then to the twelve.)

15:6 “ต่อจากนั้น พระองค์ทรงปรากฏต่อพี่น้องกว่าห้าร้อยคนในเวลาเดียวกัน ที่ส่วนมากยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้แต่บ้างก็ล่วงหลับไปแล้ว

        (Then he appeared to more than five hundred brothers at one time, most of whom are still alive,  though some have fallen asleep.)

15:7 “ต่อจากนั้นพระองค์ทรงปรากฏต่อยากอบ แล้วต่ออัครทูทั้งหมด

             (Then he appeared to James, then to all the apostles. )

15:8 “หลังสุดพระองค์ทรงปรากฏต่อข้าพเจ้า ผู้เป็นเหมือนเด็กที่คลอดก่อนกำหนด

             (Last of all, as to one untimely born, he appeared also to me.)

15:9 “เพราะว่าข้าพเจ้าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในพวกอัครทูต และไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นอัครทูต เพราะว่าข้าพเจ้าได้​ข่มเหงคริสตจักรของพระเจ้า

             (For I am the least of the apostles, unworthy to be called an apostle, because I persecuted the church of God.)

15:10 “แต่โดยพระคุณของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงเป็นอย่างที่เป็นอยู่นี้ และพระคุณของพระองค์ที่ประทานแก่ข้าพเจ้า​นั้น ก็ไม่ไร้ประโยชน์ ตรงกันข้าม ข้าพเจ้าตรากตรำมากกว่าพวกเขาทั้งหมด ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเองเป็นคนทำ แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าซึ่งอยู่กับข้าพเจ้าที่ทำ

    (But by the grace of God I am what I am, and his grace toward me was not in vain. On the contrary, I worked harder than any of them, though it was not I, but the grace of God that is with me.)

15:11 “เพราะฉะนั้นตัวข้าพเจ้าหรือพวกเขาก็ดี เราต่างก็ประกาศเช่นนี้ และท่านทั้งหลายก็ได้เชื่อเช่นนี้

               (Whether then it was I or they, so we preach and so you believed.)

 ข้อมูลมีประโยชน์

 14:26   “มีเพลงสดุดี มีคำสอน มีคำวิวรณ์ มีการพูดภาษาแปลก ๆ มีการแปลภาษาแปลก ๆ”

(has a hymn, a lesson, a revelation, a tongue, or an interpretation) = องค์ประกอบในการนมัสการที่คริสตจักรในเมืองโครินธ์

-บางองค์ประกอบก็มาจากพันธสัญญาเดิม และการนมัสการในธรรมศาลา เช่น เพลงสดุดี และคำสั่งสอน (ลก.4:16-22)

-แต่อย่างไรก็ตาม ทุกองค์ประกอบล้วนเพื่อนมัสการพระเจ้า และเสริมสร้างคริสตจักรให้เข้มแข็งและเจริญเติบโตมากขึ้น

14:27-28 –กล่าวถึงข้อจำกัด 3 ข้อ ในเรื่องการพูดภาษาแปลก ๆ ในคริสตจักร (ข.28) คือ

  1. ต้องพูดในที่ประชุมเพียง 2-3 คนเท่านั้น
  2. ต้องไม่พูดพร้อมกันทีเดียว 2-3 คน
  3. ต้องมีการแปล

14:28   “แต่ถ้าไม่มีใครแปลได้ ก็ให้เขาอยู่เงียบ ๆ ในที่ประชุม” (But if there is no one to interpret, let each of them keep silent in church) = พูดเป็นนัย ๆ ว่า คนที่พูดภาษาแปลก ๆ ในคริสตจักรต้องแน่ใจว่า มีคนแปลได้จึงค่อยพูด

14:29   “ให้พวกผู้เผยพระวจนะพูดได้สองหรือสามคน” (Let two or three prophets speak) = ให้พูดได้         ทีละคน (ข.31) เช่นเดียวกับผู้ที่พูดภาษาแปลก ๆ (ข.27)

“ให้คนอื่น ๆ วินิจฉัยสิ่งที่พูด” ( let the others weigh what is said)= ให้คนอื่น ๆ ไตร่ตรองสิ่งที่เขาพูด หรือพิจารณาตัดสินว่า สิ่งที่ผู้เผยพระวจนะกล่าวนั้น เชื่อถือได้หรือไม่? (ข.32)

14:30   “การทรงสำแดง” ( revelation ) = การเผยพระวจนะในบทที่ 12-14 นี้ อาจมาทางสมาชิกคริสตจักรคนใดก็ได้ (ข.26,29-31) และอาจมีจุดประสงค์ในการสื่อสารบุคคลใดบุคคลหนึ่งในสถานการณ์ใดก็ได้

“การทรงสำแดง” นี้อาจประกอบด้วยคำพยากรณ์ (อากาบัส ใน กจ.11:28;21:10-11) พระบัญชาของพระเจ้า (กจ.13:1-2) หรือข้อความที่เสริมสร้าง ให้กำลังใจ หรือประเล้าประโลมใจ (ข.3)

14:32   “ย่อมอยู่ในบังคับของพวกผู้เผยพระวจนะ” (the spirits of prophets are subject to prophets.)        = การเผยพระวจนะก็เช่นเดียวกับการพูดภาษาแปลก ๆ ไม่ใช่ภาวะของอารมณ์ที่ควบคุมไม่ได้ อ.เปาโลเน้นว่าผู้ใช้ของประทานเหล่านี้ควรควบคุมตัวเองได้ ( ข.15,26-32,27-29)

14:33   “ไม่ใช่พระเจ้าแห่งความวุ่นวาย” (God is not a God of confusion) –อ.เปาโล เป็นห่วงว่า การนมัสการที่ไร้ระเบียบ และวุ่นวายในคริสตจักรที่เมืองโครินธ์ จะนำความเสื่อมเสียมาสู่พระนามของพระเจ้า ผู้ทรงเรียกพวกเขาให้มีสันติสุขและความเป็นหนึ่งเดียวกันผ่านทางพระเยซูคริสต์

“ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติ” (but of peace) = เป็นพระเจ้าแห่งความสงบสุข (1ธส.5:23)

“ดังที่เป็นอยู่ในคริสตจักรทุกแห่งของธรรมิกชน” (in all the churches of the saints )   = อาจแปลว่า “ในที่ประชุมทั้งปวงของประชากรของพระเจ้า” (อมตธรรม) = สำนวนที่ใช้ในพันธสัญญาใหม่ที่เน้นความเป็นสากล และความเป็นหนึ่งเดียวของคริสตจักรของพระเจ้าในโลกนี้ เป็นคริสตจักรสากลซึ่งสามารถมองเห็นได้ และต้องปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัตินี้ด้วยความเชื่อฟัง

14:34-35 –พระเจ้าสถาปนาการทรงสร้างตามลำดับ ดังนั้น เราต้องบริหารและใช้สิทธิอำนาจตามการออกแบบนั้น ผู้หญิงจึงสมควรยอมฟังสามี ทั้งที่บ้าน (อฟ.5:22) ในคริสตจักร (ข.34;1ทธ.2:11-12) และในที่สาธารณะโดยทั่วไป โดยให้ถือเป็นระเบียบปฏิบัติสากล (11:5-6)

-อ.เปาโลเชื่อว่า หากผู้เชื่อทุกคนใช้ของประทานฝ่ายจิตวิญญาณที่ตนมีในวิถีที่เคารพนับถือต่อกันและ     ยำเกรงพระเจ้า คริสตจักรจะเข้มแข็งขึ้น และการเคารพนับถือนี้ต้องสอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติในสังคมที่เป็นที่ยอมรับกันอยู่ในเวลานั้น ๆ

อย่างเช่น ในกรณีนี้ ในเวลานั้นการที่ผู้หญิงจะแสดงออกในการใช้สิทธิ์อย่างเต็มที่นั้น ยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับในสังคม จึงถือว่าเป็นที่น่าอับอายและไม่พึงกระทำ (ข.35) เพราะเป็นการไม่แสดงความเคารพประเพณีวัฒนธรรมของคนที่อยู่ร่วมกัน

ในกรณีเช่นนี้ ผู้หญิงควรจะอยู่เงียบ ๆ และแสดงออกในบางโอกาสที่เปิดให้

-อาทิ ใน 1คร.11: 5 – อ.เปาโลคาดหวังให้ผู้หญิงอธิษฐาน และเผยพระวจนะในที่ประชุมนมัสการ

-ในตอนนี้ อ.เปาโลจึงไม่ได้กำลังกำจัดบทบาทของผู้หญิง แต่เป็นการกำหนดทิศทางของการนมัสการให้เหมาะสม และเป็นระเบียบ (ข.40,34-35,27-31) ในวัฒนธรรมประเพณีที่พวกเขาอยู่ร่วม

-ในบริบทนี้ ผู้หญิงต่างพูดคุยหรือวิพากษ์วิจารณ์ถามไถ่กันเสียงดัง ในระหว่างที่มีการนมัสการ (มีการพูดเผยพระวจนะ และพูดภาษาแปลก ๆ ) อ.เปาโลจึงกำชับให้ไปพูดคุยกันกับสามีที่บ้าน (ข.35) แต่ อ.เปาโลไม่ได้ห้ามผู้หญิงพูดในคริสตจักรอย่างสิ้นเชิง (11:5) แต่ท่านห้ามพูดจากันวุ่นวายอย่างที่เห็นในข้อเหล่านี้

14:34   “เหมือนที่ธรรมบัญญัติกล่าวไว้” (as the Law also says ) ปท.กับ ปฐก.3:16;1ปต.3:16

14:36   “พระวจนะของพระเจ้าเกิดมาจากพวกท่านหรือ? พระวจนะมาถึงท่านพวกเดียวหรือ?” (Or was it from you that the word of God came? Or are you the only ones it has reached?

= อ.เปาโลกำลังถามแบบไม่ต้องการคำตอบ และถามในทำนองเสียดสีเล็ก ๆ เพื่อสะกิดเตือนพวกเขาให้สำนึกว่า พวกเขาทำตามใจและตามทางของตนเองแทนที่จะปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า

14:37   “เป็นบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (a command of the Lord) = อ.เปาโลกล่าวยืนยันว่า ผู้ที่มีของประทานอย่างแท้จริงจะตระหนักถึงสิทธิอำนาจของอัครฑูตอย่างที่ท่านมีนั้นมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า คำสั่งของท่านจึงเป็นบัญชาจากพระเจ้าที่สมควรปฏิบัติตาม

14:38   “และถ้าใครไม่เอาใจใส่ข้อความนี้ คนนั้นก็จะไม่ได้รับการเอาใจใส่”(If anyone does not recognize this, he is not recognized.) = ตัวเขาจะถูกละเลยโดยเปาโล และคริสตจักร รวมทั้งโดยพระเจ้า

14:39  “พี่น้องทั้งหลาย” (my brothers) –รม.1:13;กจ.1:14-16

“ส่วนการพูดภาษาแปลก ๆ นั้นก็อย่าห้ามเลย” (do not forbid speaking in tongues) = เปาโลไม่ได้ต่อต้านการพูดภาษาแปลก ๆ แต่พยายามแก้ไขให้พวกเขาใช้ภาษาแปลกๆ ในฐานะของประทานอย่างถูกต้องเหมาะสม

14:40   “แต่จงให้ทุกสิ่งมีความเหมาะสมและเป็นระเบียบเถิด” (But all things should be done decently)

= ให้เป็นไปตามที่ได้กำชับไว้ใน 14:26-35

 

15:2     “ถ้าท่านยังยึดมั่น” (if you hold) –ฮบ.3:14

“นอกจากว่า ท่านเชื่อแบบไร้ผล” (unless you believed in vain) = เชื่อโดยเปล่าประโยชน์ ความเชื่อในข่าวประเสริฐที่จริงใจเป็นความหวังเดียวที่คนบาปได้รับการไถ่บาปและได้รับแผ่นดินสวรรค์เป็นมรดก (ข.50,53-57)

15:3     “เพราะว่า ข้าพเจ้าได้มอบเรื่องสำคัญที่สุดที่ได้รับมานั้นแก่พวกท่าน” (I delivered to you as of first importance what I also received) = เปาโลอธิบายถึงประเพณีนิยมในการรับและส่งต่อข่าวสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวใจของข่าวประเสริฐ คือพระคริสต์ถูกตรึงสิ้นพระชนม์เพราะบาปของเรา (ฮบ.7:27;     1คร.1:23) ถูกฝัง(ตายจริง ๆ) และเป็นขึ้นจากตาย (15:20) ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์มาล่วงหน้า  (อสย.53:5-6,11-12)

15:4     “แล้ววันที่ 3” (on the third day) –ปท.มธ.12:40

-คนยิวนับเศษของวันเป็นหนึ่งวัน ดั้งนั้น 3 วันในที่นี้ = บ่ายวันศุกร์ + เสาร์ทั้งวัน + เช้าวันอาทิตย์ (ปท.ยน.20:26; สัปดาห์ต่อมา = แปดวันต่อมา = นับ 2 วันอาทิตย์

“ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์” (in accordance with the Scriptures) –ปท. สดด.16:8-11;อสย.53:10-12; ปท. ฮยช.6:2;ยนา 1:17

15:5-8 –พระเยซูคริสต์ทรงปรากฏตัว 6 ครั้งหลังจากเป็นขึ้นมาจากความตาย

15:5     “…เคฟาส แล้วต่ออัครทูตสิบสองตน” (…Cephas, then to the twelve ) –การปรากฏแก่เคฟาส

(หรือเปโตร) เป็นครั้งเดียวกับ ลก.24:34 ในเช้าวันอาทิตย์อีสเตอร์ และเป็นวันอาทิตย์ปรากฏต่อสาวก 12 คน (ลก.24:36-43;ยน.20:19-23)

“คำว่าอัครทูต 12 คน” ในที่นี้ หมายถึงอัครทูตกลุ่มแรกแม้ว่า ยูดาสจะไม่อยู่แล้วก็ตาม

15:6     “ทรงปรากฏต่อพี่น้องกว่าห้าร้อยคนในเวลาเดียวกัน” (appeared to more than five hundred brothers at one time) = อาจเป็นครั้งเดียวกันกับที่กาลิลี (มธ.28:10,16-20) ซึ่งสาวก 11 คน หรือมากกว่านั้นได้พบกับพระเยซูคริสต์ หลังจากทรงเป็นขึ้นจากตาย

“บ้างก็ล่วงหลับไปแล้ว” (some have fallen asleep) –ยน.11:11

15:7     “ยากอบ” (James) = น้องชายร่วมมารดาของพระเยซู (มธ.13:35) ไม่ใช่ยากอบบุตรเศเบดี หรือ ยากอบ บุตรอัลเฟอัส (มธ.10:2-3)

-ยากอบน้องชายพระเยซูนี้ เดิมไม่เชื่อพระเยซูคริสต์ (ยน.1:5) ต่อมาเข้าร่วมกับอัครทูต (กจ.1:14) และต่อมากลายเป็นผู้นำคริสตจักรในเยรูซาเล็ม (กจ.15:13)

15:8     “หลังสุด” (Last of all) = ในท้ายที่สุดพระเยซูปรากฎต่อเปาโลใน กจ.9:1-8 ในประมาณปี ค.ศ. 33

“ผู้เป็นเหมือนเด็กที่คลอดก่อนกำหนด” (as to one untimely born) = คลอดผิดปกติ และกลับใจจากวิถีชีวิตเดิมแบบฉับพลัน (กจ.9:3-6)

15:9     “ข้าพเจ้าได้ข่มเหงคริสตจักรของพระเจ้า” (I persecuted the church of God) –1ทธ.1:13; ซึ่งเท่ากับได้ข่มเหงองค์พระคริสต์ (กจ.9:4)

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยมีประสบการณ์กับบรรยากาศการนมัสการที่วุ่นวายบ้างหรือไม่? อย่างไร?(แบ่งปัน)
  2. คุณเคยสงสัยหรือสะดุดกับเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ใดมากที่สุด? แล้วคุณก้าวผ่านมาได้แล้วหรือยัง? (แบ่งปัน)
  3. คุณเข้าใจข้อพระธรรมที่ว่า “พระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าแห่งความวุ่นวาย แต่ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติ” อย่างไรบ้าง ? แบ่งปัน? และคุณนำมาปฏิบัติใช้จริงได้อย่างไร?
  4. ปกติผู้หญิงในโบสถ์ของคุณค่อนข้างเงียบ ๆ หรือพูดมากในการนมัสการพระเจ้าของคริสตจักรคุณ? มีปัญหาอะไรที่พึงแก้ไขบ้างหรือไม่? ทำไม?
  5. คุณคิดว่า อ.เปาโลเป็นพวกกดขี่ทางเพศหรือไม่ ในการสั่งให้ผู้หญิง “อยู่เงียบ ๆ ในคริสตจักร”? ทำไม?
  6. บทบาทที่ดีที่สุดสำหรับผู้หญิงในคริสตจักรคืออะไร?

…..1) เทศนา (สั่งสอน)
…..2) สอน

…..3) นำนมัสการ

…..4) นำประชุม

…..5) บริหารคริสตจักร

…..6) ให้กำลังใจ

…..7) ให้คำปรึกษาแนะนำ

…..8) ช่วยเหลือ

…..9) เป็นพี่เลี้ยง

….10) อื่น ๆ ………………………………..

ทำไมคุณคิดเช่นนั้น?

  1. คุณเชื่อในข่าวประเสริฐจริง ๆ หรือไม่? มีอะไรเป็นตัวพิสูจน์ยืนยันว่า คุณเชื่อเช่นนั้นจริง ๆ ? (แบ่งปัน)

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1โครินธ์ 14 (ตอนที่ 1)

ภาษาแปลก ๆ vs การเผยพระวจนะ

พระธรรม        1โครินธ์ 14:1-25

อ้างอิง             1คร.12:1-10;31;11:5,13,24;3:11;2:15;13:2;2คร.8:7

บทนำ              ภาษาแปลก ๆ เป็นของประทานอย่างหนึ่งที่เรายอมรับได้ เพราะปรากฎอยู่ในพระคัมภีร์ แต่ก็มีคำแนะนำว่า เพื่อเป็นประโยชน์ต่อคริสตจักร ภาษาแปลก ๆ จะต้องถูกใช้ควบคู่กับการแปลด้วย  ส่วนการเผยพระวจนะนั้นมีประโยชน์ตรงที่สามารถเสริมสร้างคริสตจักรได้โดยไม่ต้องมีการแปลอีก

บทเรียน

14:1 “จง​มุ่ง​หา​ความ​รัก และ​ขวนขวาย​ของประทาน​จาก​พระวิญญาณ โดยเฉพาะ​อย่างยิ่ง​การ​เผยพระวจนะ”

                (Pursue love, and earnestly desire the spiritual gifts, especially that you may prophesy.)

14:2 “เพราะว่า​คน​ที่​พูดภาษาแปลกๆ นั้น ไม่ได้​พูด​กับ​มนุษย์ แต่​ทูล​ต่อ​พระเจ้า เพราะว่า​ไม่มี​ใคร​เข้าใจ​ได้ เขา​พูดเป็น​ความ​ล้ำลึก​โดย​พระวิญญาณ”

       (For one who speaks in a tongue speaks not to men but to God; for no one understands him, but he utters mysteries in the Spirit.)

14:3 “แต่​ผู้​ที่​เผยพระวจนะ​นั้น พูด​กับ​มนุษย์​เพื่อ​ให้​เจริญขึ้น ให้​มี​การ​ชูใจ​และ​การ​ปลอบใจ”

       (On the other hand, the one who prophesies speaks to people for their up building and   encouragement and consolation.)

14:4 “คน​ที่​พูดภาษาแปลกๆ นั้น​ก็​ทำ​ให้​ตัว​เอง​เจริญขึ้น แต่​ผู้เผยพระวจนะ​นั้น​ทำ​ให้​คริสตจักร​เจริญขึ้น”

       (The one who speaks in a tongue builds up himself, but the one who prophesies builds up the  church.)

14:5 “ข้าพเจ้า​ต้องการ​ให้​พวกท่าน​ทุก​คน​พูดภาษาแปลกๆ แต่​ยิ่งกว่านั้น ข้าพเจ้า​ต้องการ​ให้​พวกท่าน​เผยพระวจนะ  เพราะ​ว่า​คน​ที่​เผยพระวจนะ​นั้น​ก็​ใหญ่​กว่า​คน​ที่​พูดภาษาแปลกๆ นอกจาก​ว่า​มี​คน​แปล​ได้ เพื่อ​คริสตจักร​จะ​ได้​รับ​ความ​เจริญ”

       (Now I want you all to speak in tongues, but even more to prophesy. The one who prophesies is  greater than the one who speaks in tongues, unless someone interprets, so that the church may be built up.)

14:6 “แต่​ว่า​พี่น้อง​ทั้งหลาย ถ้า​ข้าพเจ้า​มาหา​ท่าน​และ​พูดภาษาแปลกๆ จะ​เป็น​ประโยชน์​อะไร​ต่อ​พวกท่าน หาก​ข้าพเจ้า​ไม่​พูด​กับ​พวกท่าน​ด้วย​คำ​วิวรณ์ คำ​ที่​ให้​ความ​รู้ คำ​เผยพระวจนะ หรือ​คำ​สั่งสอน?

    (Now, brothers, if I come to you speaking in tongues, how will I benefit you unless I bring you some revelation or knowledge or prophecy or teaching?)

14:7“แม้​แต่​สิ่ง​ไม่มี​ชีวิต​ที่​ทำ​เสียง​ได้ เช่น​ปี่​และ​พิณ ถ้า​ไม่ให้​เสียง​สูง​ต่ำ​ที่​แตกต่าง​กัน คน​จะ​รู้​ทำนอง​ที่​เป่า​หรือ​ดีด​ได้​อย่างไร?”

      (If even lifeless instruments, such as the flute or the harp, do not give distinct notes, how will  anyone know what is played?)

14:8 “ถ้า​แตร​ให้​เสียง​ไม่​ชัดเจน ใคร​จะ​เตรียมตัว​เข้า​ทำ​ศึกสงคราม?”

       (And if the bugle gives an indistinct sound, who will get ready for battle? )

14:9 “ท่านทั้งหลาย​ก็​เป็น​เช่นนั้น คือ​ใน​การ​พูดภาษาแปลกๆ ถ้า​ท่าน​ไม่​ใช้​ถ้อยคำ​ที่​เข้าใจ​ได้ คน​จะ​เข้าใจ​คำพูด​นั้น​ด้​อย่างไร? สิ่ง​ที่​ท่าน​พูด​นั้น​จะ​หาย​ไป​กับ​สายลม”

   (So with yourselves, if with your tongue you utter speech that is not intelligible, how will anyone know what is said? For you will be speaking into the air.)

14:10 “แน่​นอน ใน​โลก​นี้​มี​ภาษา​มากมาย และ​ไม่มี​ภาษา​ใด​ที่​ปราศจาก​ความหมาย”

     (There are doubtless many different languages in the world, and none is without meaning,)

 14:11 “เพราะฉะนั้น ถ้า​ข้าพเจ้า​ไม่​เข้าใจ​ความหมาย​ของ​ภาษา​นั้นๆ ข้าพเจ้า​จะ​กลายเป็น​คน​ต่าง​ภาษา​กับ​คน​ที่​พูดและ​คน​ที่​พูด​นั้น​จะ​เป็น​คน​ต่าง​ภาษา​กับ​ข้าพเจ้า​ด้วย”

         (but if I do not know the meaning of the language, I will be a foreigner to the speaker and the speaker a foreigner to me.)

14:12 “ท่านทั้งหลาย​ก็​เป็น​เช่น​นั้น เมื่อ​ท่าน​กำลัง​ขวนขวาย​ของประทาน​จาก​พระวิญญาณ ก็​จง​พยายาม​เพิ่มพูน​สิ่ง​ที่​จะ​ทำ​ให้​คริสตจักร​เจริญขึ้น”

         (So with yourselves, since you are eager for manifestations of the Spirit, strive to excel in  building up the church.)

14:13 “ฉะนั้น​คน​ที่​พูดภาษาแปลกๆ ก็​ควร​อธิษฐาน​ขอ​ให้​แปล​ได้​ด้วย”

         (Therefore, one who speaks in a tongue should pray that he may interpret.)

14:14 “เพราะ​ถ้า​ข้าพเจ้า​อธิษฐาน​เป็น​ภาษา​แปลกๆ จิตวิญญาณ​ของ​ข้าพเจ้า​อธิษฐาน​ก็​จริง แต่​ความ​คิด​ก็​ไม่​เป็น​ประโยชน์”

         (For if I pray in a tongue, my spirit prays but my mind is unfruitful.)

14:15 “เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้า​ควร​ทำ​อย่างไร? ข้าพเจ้า​จะ​อธิษฐาน​ด้วย​จิตวิญญาณ​และ​ด้วย​ความ​คิด และ​จะ​ร้อง‍เพลง​ด้วย​จิตวิญญาณ​และ​ด้วย​ความ​คิด”

  (What am I to do? I will pray with my spirit, but I will pray with my mind also; I will sing praise  with my spirit, but I will sing with my mind also.)

14:16 “มิฉะนั้น​ถ้า​ท่าน​สรรเสริญ​พระเจ้า​ด้วย​จิตวิญญาณ คน​ที่​อยู่​ใน​กลุ่ม​ที่​ไม่​เข้าใจ​จะ​ว่า “อาเมน” กับ​คำ​ขอบพระ‍คุณ​ของ​ท่าน​ได้​อย่างไร ใน​เมื่อ​เขา​ไม่​รู้​ว่า​ท่าน​พูด​อะไร?”

    (Otherwise, if you give thanks with your spirit, how can anyone in the position of an outsider  say “Amen” to your thanksgiving when he does not know what you are saying?)

14:17 “เพราะ​ว่า​แม้​ท่าน​จะ​ขอบพระคุณ​อย่าง​ไพเราะ แต่​คนอื่น​ก็​ไม่​เจริญขึ้น”

         (For you may be giving thanks well enough, but the other person is not being built up.)

14:18 “ข้าพเจ้า​ขอบพระคุณ​พระเจ้า ข้าพเจ้า​พูดภาษาแปลกๆ มาก​กว่า​ท่านทั้งหลาย​อีก”
         (I thank God that I speak in tongues more than all of you.)

14:19 “แต่​ว่า​ใน​คริสตจักร​ข้าพเจ้า​ต้องการ​ที่​จะ​พูด​สัก​ห้า​คำ​ด้วย​ความ​คิด เพื่อ​สอน​คนอื่น​ดีกว่า​ที่​จะ​พูด​หมื่น​คำ​เป็น​ภาษา​แปลกๆ”

         (Nevertheless, in church I would rather speak five words with my mind in order to instruct  others, than ten thousand words in a tongue.)

14:20 “พี่น้อง​ทั้งหลาย อย่า​เป็น​เหมือน​เด็ก​ใน​ด้าน​ความ​คิด แต่​ใน​เรื่อง​ความ​ชั่วร้าย​จง​เป็น​เหมือน​ทารก และ​ใน​ด้าน​ความ​คิด​จง​เป็น​เหมือน​ผู้ใหญ่”

         (Brothers, do not be children in your thinking. Be infants in evil, but in your thinking be mature.)

14:21 “ใน​ธรรมบัญญัติ​มี​เขียน​ไว้​ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า​ตรัส​ว่า ‘ด้วย​ภาษา​อื่นๆและ​ด้วย​ริมฝีปาก​ของ​คน​ต่าง​ภาษาเรา​จะ​พูด​กับ​ชนชาติ​นี้ถึงกระนั้นพวกเขา​ก็​จะ​ไม่​ฟัง​เรา’”

   (In the Law it is written, “By people of strange tongues and by the lips of foreigners will I speak to this people, and even then they will not listen to me, says the Lord.” )

14:22 “ฉะนั้น​การ​พูดภาษาแปลกๆ จึง​ไม่​เป็น​หมายสำคัญ​สำหรับ​พวก​ที่​เชื่อ แต่​สำหรับ​พวก​ที่​ไม่​เชื่อ แต่​การ​เผยพระ‍วจนะ​นั้น ไม่​ใช่​สำหรับ​พวก​ที่​ไม่​เชื่อ แต่​สำหรับ​พวก​ที่​เชื่อ​แล้ว”

       (Thus tongues are a sign not for believers but for unbelievers, while prophecy is a sign not for unbelievers but for believers. )

14:23 “เพราะฉะนั้น​ถ้า​ทั้ง​คริสตจักร​มา​ชุมนุม​กัน และ​ทุก​คน​ต่าง​ก็​พูดภาษาแปลกๆ และ​มี​คน​ที่​ไม่​รู้ หรือ​คน​ที่​ไม่​เชื่อ​เข้ามา พวกเขา​ก็​จะ​พูด​ว่า​ท่านทั้งหลาย​เป็น​บ้า​ไม่​ใช่​หรือ?”

   (If, therefore, the whole church comes together and all speak in tongues, and outsiders or unbelievers enter, will they not say that you are out of your minds?)

14:24 “แต่​ถ้า​ทุกคน​เผยพระวจนะ คน​ที่​ไม่​เชื่อ​หรือ​คน​ที่​ไม่​รู้​เข้ามา เขา​ก็​จะ​ถูก​ตักเตือน​และ​ได้​รับ​การ​วินิจฉัย​โดย​ทุก​คน”
         (But if all prophesy, and an unbeliever or outsider enters, he is convicted by all, he is called to  account by all,)

14:25 “ความ​ลับ​ใน​ใจ​ของ​เขา​จะ​ถูก​ทำ​ให้​ปรากฏ เขา​ก็​จะ​ทรุด​ตัว​ลง​ซบหน้า​นมัสการ​พระเจ้า​กล่าว​ว่า พระเจ้า​สถิต​อยู่​ท่ามกลาง​พวกท่าน​อย่าง​แน่นอน”
         (the secrets of his heart are disclosed, and so, falling on his face, he will worship God and declare that God is really among you.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

14:1     “จงมุ่งหาความรัก และขวนขวายของประทานจากพระวิญญาณ” ( Pursue love, and earnestly desire the spiritual gifts) = ความรักเป็นหนทางที่ทำให้ของประทานฝ่ายวิญญาณมีคุณค่าและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

“การเผยพระวจนะ” (prophesy) -12:10

14:2     “พูดภาษาแปลก ๆ” (speaks in a tongue) = เป็นสิ่งที่ลึกลับ ไม่เข้าใจจนกว่าจะมีคนแปลออกมา ภาษาแปลก ๆ ในตอนนี้ หมายถึง ภาษาที่มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่เข้าใจ

“เป็นความล้ำลึกโดยพระวิญญาณ” (utters mysteries in the Spirit.) = ไม่ได้พูดออกมาจากความคิดของเขาเอง (ข.14-15)

14:3     “เพื่อให้เจริญขึ้น ให้มีการชูใจและปลอบใจ” (for their upbuilding and encouragement and consolation.) = การเผยพระวจนะสามารถเสริมสร้างและให้กำลังใจผู้ฟัง

14:4    “ทำให้ตัวเองเจริญขึ้น” (builds up himself) = เสริมสร้างตัวเองเป็นส่วนตัว ให้อุทิศตนเองมากขึ้น

14:5     “ต้องการให้พวกท่านทุกคนพูดภาษาแปลก ๆ “ (want you all to speak in tongues) –เปาโลไม่ได้ต่อต้านของประทานใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาแปลก ๆ หากว่าใช้อย่างเหมาะสม

“คนที่เผยพระวจนะนั้นใหญ่กว่าคนที่พูดภาษาแปลก ๆ” (The one who prophesies is greater than the one who speaks in tongues) = เพราะใช้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมมากกว่า และเป็นที่เข้าใจ จึงเสริมสร้างคริสตจักรได้

“นอกจากว่ามีคนแปลได้” (unless someone interprets) = จึงจะมีประโยชน์ เช่นเดียวกับการเผยพระวจนะ (ข.13)

14:6     “จะเป็นประโยชน์อะไรต่อพวกท่าน” (will I benefit you unless I bring you ) = หากพูดภาษาแปลก ๆ โดยไม่ได้แปลสิ่งที่พูดให้เข้าใจ คริสตจักรก็ไม่ได้รับประโยชน์หรือการเสริมสร้างใด ๆ

14:7     “ปี่และพิณ” (the flute or the harp) = เครื่องดนตรีที่รู้จักกันดีในอาณาจักรกรีก บางทีก็แปลว่า “ขลุ่ยและพิณ”

          “ถ้าไม่ให้เสียงสูงต่ำที่แตกต่างกัน” (do not give distinct notes) = “ถ้าไม่เล่นตามโน้ต” การเล่นโน้ตตัวเดียวซ้ำ ๆ ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ในการทำให้คนจับทำนองเพื่อเข้าใจหรือชื่นชมบทเพลงได้

14:8     “แตร…ใครจะเตรียมตัวเข้าทำศึกสงคราม” (the bugle … who will get ready for battle ) = ชาวกรีกคุ้นเคยกับการใช้เป็นสัญญาณออกศึกและคนยิวคุ้นเคยกับใช้แตรเขาสัตว์ (กดว.10:9;ยชว.6:4,9)

= เปาโลกำลังย้ำอีกครั้งว่า เสียงที่เปล่งออกมาต้องสื่อความหมายได้ (ชัดเจน)

14:9     “ไม่ใช้ถ้อยคำที่เข้าใจได้” (utter speech that is not intelligible) = เวลาพูดให้เราพูดด้วยภาษาที่ผู้ฟังเข้าใจดีกว่าพูดภาษาแปลก ๆ ที่คนไม่เข้าใจ (นอกจากมีผู้แปลให้เข้าใจ)

14:10   “ภาษามากมาย” (many different languages ) = ภาษานานาภาษาซึ่งในตอนนี้ อาจหมายถึงภาษาแปลก ๆ ในอีกความหมาย (หรืออีกประเภท) หนึ่งนั่นคือ เป็นภาษาต่างด้าวที่ผู้พูดไม่รู้จัก (แต่ผู้ฟังที่รู้จักเข้าใจได้)

14:12   “จงพยายามเพิ่มพูนสิ่งที่จะทำให้คริสตจักรเจริญขึ้น” ( strive to excel in building up the church)

= ในฉบับอมตธรรมแปลว่า “จงพยายามที่จะเป็นเลิศในของประทานซึ่งเสริมสร้างคริสตจักร”

= หลักการพื้นฐานของบทที่ 14

14:14   “ความคิดก็ไม่เป็นประโยชน์” (my mind is unfruitful) = เมื่อคนใดคนหนึ่งอธิษฐานหรือพูดเป็นภาษาแปลก ๆ ความคิดของเขาไม่ได้ใช้งานเพื่อกำหนดว่าจะใช้ภาษาอะไร

14:15-17 “อธิษฐาน…ร้องเพลง…สรรเสริญพระเจ้า จะว่าอาเมนกับคำขอบพระคุณของท่านได้อย่างไร?”

(pray …. sing ….praise say “Amen” to your thanksgiving when he does not know what you are saying?)    = ทั้งหมดที่กล่าวมาคือองค์ประกอบที่ใช้ในนมัสการทั้งในพระคัมภีร์เดิม (1พศด.16:36; นหม.5:13;8:6;สดด.104:33;136:1;148:1) และในพันธสัญญาใหม่ (รม.11:36;อฟ.5:18-20)

“อาเมน” (Amen) = “เป็นจริง” หรือ “ขอให้เป็นเช่นนั้น”

= คำที่แสดงว่าเห็นด้วยกับถ้อยคำที่ได้ยิน (รม.1:25)

ดังนั้น ในการทำสิ่งดังกล่าว ในที่ประชุม จึงจำเป็นต้องมีการแปลความหมายของภาษาแปลก ๆ เหล่านั้น

14:15   “จงอธิษฐานด้วยจิตวิญญาณและด้วยความคิดและจะร้องเพลงด้วยจิตวิญญาณและด้วยความคิด”

( pray with my spirit, but I will pray with my mind also; I will sing praise with my spirit, but I will sing with my mind also.

= อ.เปาโลตั้งใจที่จะอธิษฐานและร้องเพลงด้วยความคิดและจิตวิญญาณในเวลาเดียวกัน

14:19   “แต่ว่าในคริสตจักร” (in church) –เปาโลย้ำว่าในคริสตจักร การพูดและการอธิษฐานควรต้องเข้าใจได้เพื่อสอนหรือเตือนสติกันได้หรือหากเป็นภาษาแปลก ๆ ต้องแปลได้

14:20   “ในเรื่องความชั่วร้ายจงเป็นเหมือนทารก” (Be infants in evil) = คือ ไม่มีความปรารถนาชั่วหรือแรงจูงใจผิด ๆ ที่ต้องการเป็นเลิศในเรื่องของประทานฝ่ายจิตวิญญาณเพื่อตัวเอง เช่น การพูดภาษาแปลก ๆ

14:21-22 –อ.เปาโลอ้างพระธรรมอิสยาห์ 28 เพื่อชี้ให้เห็นว่า ภาษาของคนต่างภาษาอย่างชาวอัสซีเรีย จะเป็น

หมายสำคัญแก่พวกอิสราเอลที่ไม่เชื่อ เพื่อเตือนว่า การพิพากษากำลังจะมาถึง

-อ.เปาโล สรุปว่า ภาษาแปลก ๆ เป็นหมายสำคัญเรื่องการพิพากษาแก่ผู้ไม่เชื่อ (ปท. ข.22) ดังตัวอย่างใน กิจการ 2:4-12; ในขณะที่การเผยพระวจนะเป็นหมายสำคัญแก่ผู้เชื่อ (ข.22) เพราะเป็นการสื่อสารความจริงของพระเจ้าแก่ผู้ที่เต็มใจรับ (ปท. มธ.13:11-16)

14:21   “ในธรรมบัญญัติ” (In the Law) – ยน.10:34;12:34; ปท. 15:25;รม.3:19

14:22   “การพูดภาษาแปลก ๆ จึงไม่เป็นหมายสำคัญสำหรับพวกที่เชื่อ” (Thus tongues are a sign not for believers ) –เพราะว่าผู้เชื่อไม่ได้ต้องการหมายสำคัญเรื่องการพิพากษาของพระเจ้า เหมือนอย่างที่ผู้ไม่เชื่อจำเป็นต้องได้รับ

14:23   “คนที่ไม่รู้” (outsiders) = อาจหมายถึงคนที่สงสัยใคร่รู้หรือคนที่ยังไม่เข้าใจในข่าวประเสริฐอย่างแท้จริง

          “คนที่ไม่เชื่อ” ( unbelievers ) =คนที่ไม่มีทีท่าว่าจะมีความเชื่อที่สามารถช่วยให้เขารอด

“เป็นบ้าไม่ใช่หรือ?” (you are out of your minds?) = ในสภาพบรรยากาศของการที่ทุกคนกำลังพูดภาษาแปลก ๆ กันจนสับสนวุ่นวายไปหมด อาจทำให้คนเห็นคิดว่า กำลังเสียสติกันแล้ว ทำให้ผู้ที่มาเยี่ยมเยียนอาจถูกสภาวะนั้นผลักใสให้ออกไป สิ่งที่คาดหวังว่าจะเป็นหมายสำคัญจึงกลับส่งผลในด้านลบกับผู้ที่ยังไม่รอด

14:24  “แต่ถ้าทุกคนเผยพระวจนะ” (But if all prophesy) = การกล่าวพระวจนะของพระเจ้าด้วยภาษาท้องถิ่นที่ตั้งใจสื่อความหมายแก่ผู้เชื่อที่ส่งผลบวกแก่ผู้ที่ไม่เชื่อ เพราะว่าเขาได้ยิน เข้าใจและสำนึกในบาปของตน (แต่การเผยพระวจนะก็มีข้อจำกัดเช่นกัน –ดู ข้อ 29-32)

14:25   “ความลับในใจ” (the secrets of his heart) –รม.2:16

“พระเจ้าสถิตอยู่ท่ามกลามพวกท่านอย่างแน่นอน” (God is really among you) –อสย.45:14; ศคย.8:23

คำถามอภิปราย

  1. ทำไมเราควรที่จะมุ่งหาหรือดำเนินในวิถีแห่งความรัก?
  2. ทำไม เราควรขวนขวายหรือใฝ่หาของประทานจากพระวิญญาณ? และแตกต่างจากการมุ่งขอของประทานอย่างเจาะจงอย่างไรบ้าง?
  3. ทำไมเราควรใฝ่หาของประทานในการเผยพระวจนะมากกว่า การพูดภาษาแปลกๆ และของประทานอื่น ๆ
  4. หากว่า การพูดภาษาแปลก ๆ นั้นเป็นการทูลต่อพระเจ้าที่ไม่มีใครเข้าใจได้ และเป็นความล้ำลึก โดย         พระวิญญาณ ทำไมจึงมีความสำคัญน้อยกว่าการเผยพระวจนะ?
  5. การเผยพระวจนะ ช่วยทำให้คริสตจักรเจริญขึ้นอย่างไร?
  6. ทำไมปัจจุบันนี้มีคนอธิษฐานและไม่มีคนแปล แต่ยังอธิษฐานกันอยู่ให้เห็นกันมากมาย?
  7. เราจะทำอย่างไรจึงจะสามารถอธิษฐาน ร้องเพลง และสรรเสริญพระเจ้าได้ด้วยความคิดและจิตวิญญาณไปพร้อม ๆ กันได้?
  8. คุณเคยอยู่ในเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่ไม่รู้จะอาเมนอย่างไร เพราะว่าคนรอบตัวคุณ อธิษฐานเป็นภาษาแปลก ๆ บ้างหรือไม่?
  9. คุณเคยมีประสบการณ์กับการได้เห็นการพูดภาษาแปลก ๆ เป็นหมายสำคัญ ทำให้ผู้ไม่เชื่อกลับใจมาเชื่อพระเจ้าบ้างไหม? (แบ่งปัน)
  10. คุณเคยเข้าไปในที่ ๆ คนกำลังอธิษฐานเป็นภาษาแปลก ๆ แล้วออกอาการเหมือนคนบ้า(ที่ฟังไม่รู้เรื่อง) บ้างหรือไม่? (แบ่งปัน) หรือคุณเคยได้รับการตักเตือนหรือการหนุนใจเพราะการเผยพระวจนะที่เข้าใจได้ชัดเจนบ้างไหม? (แบ่งปัน)

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1โครินธ์ บทที่ 13

ความรัก

พระธรรม        1โครินธ์ 13:1-13

อ้างอิง             1คร.14:2;1คร.12:9;8:2;5:2;2คร.8:7;มก.16:17;สดด.131:2;สภษ.10:12;17:9;กจ.11:27;2:45;2ยน.4;  3ยน.3,4

บทนำ              ความรักเป็นคำที่คนพูดกันมากที่สุด แต่กลับมีอยู่ในการครอบครองน้อยที่สุด

เป็นสิ่งที่คนอยากได้มากที่สุด แต่กลับมอบให้แก่กันน้อยที่สุด

เวลานี้ คุณมีความรักดังที่กล่าวนี้ไหม?

บทเรียน

13:1 “แม้ข้าพเจ้าจะพูดภาษาแปลกๆ ที่เป็นภาษามนุษย์หรือทูตสวรรค์ได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้อง​หรือฉาบที่กำลังส่งเสียง”

       (If I speak in the tongues of men and of angels, but have not love, I am a noisy gong or a clanging cymbal.)

13:2 “แม้ข้าพเจ้าจะเผยพระวจนะได้ จะรู้ความล้ำลึกทุกอย่างและมีความรู้ทั้งสิ้น และแม้จะมีความเชื่อมากยิ่งที่จะ​ย้ายภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย” 

    (And if I have prophetic powers, and understand all mysteries and all knowledge, and if I have  all faith, so as to remove mountains, but have not love, I am nothing. )

13:3 “แม้ข้าพเจ้าจะบริจาคสิ่งของของข้าพเจ้าทุกอย่างหรือยอมให้เอาตัวไปเผาไฟ แต่ไม่มีความรัก ก็จะไม่เป็น​ประโยชน์กับข้าพเจ้า”

       (If I give away all I have, and if I deliver up my body to be burned, but have not love, I gain nothing.)

13:4 “ความรักนั้นก็อดทนนานและมีใจปรานี ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง”

          ( Love is patient and kind; love does not envy or boast; it is not arrogant )

13:5 “ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด”

             (or rude. It does not insist on its own way; it is not irritable or resentful;)

13:6 “ไม่ชื่นชมยินดีในความอธรรม แต่ชื่นชมยินดีในความจริง”

             (it does not rejoice at wrongdoing, but rejoices with the truth. )

13:7 “ความรักทนได้ทุกอย่าง เชื่ออยู่เสมอ มีความหวังและความทรหดอดทนอยู่เสมอ”

             (Love bears all things, believes all things, hopes all things, endures all things.)

13:8 “ความรักไม่มีวันเสื่อมสูญ แม้การเผยพระวจนะก็จะเสื่อมสลายไป แม้การพูดภาษาแปลกๆ ก็จะเลิกพูดกันแม้วิชาความรู้ก็จะเสื่อมสลายไป”

     (Love never ends. As for prophecies, they will pass away; as for tongues, they will cease; as for  knowledge, it will pass away.)

13:9 “เพราะว่าเรารู้เพียงบางส่วน และก็เผยพระวจนะเพียงบางส่วน”

            (For we know in part and we prophesy in part, )

13:10 “แต่เมื่อความสมบูรณ์มาถึงแล้ว ที่เป็นเพียงบางส่วนนั้นก็จะสูญไป”

       (but when the perfect comes, the partial will pass away. )

13:11 “เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก หาเหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกอาการของเด็ก” 

         (When I was a child, I spoke like a child, I thought like a child, I reasoned like a child. When I  became a man, I gave up childish ways.)

13:12 “เพราะว่าเวลานี้เราเห็นสลัวๆ เหมือนดูในกระจก แต่ในเวลานั้นจะเห็นแบบหน้าต่อหน้า เวลานี้ข้าพเจ้ารู้​เพียงบางส่วน แต่เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า”

       (For now we see in a mirror dimly, but then face to face. Now I know in part; then I shall know  fully, even as I have been fully known.)

13:13 “และบัดนี้ ทั้งสามสิ่งนี้ยังดำรงอยู่ คือความเชื่อ ความหวังและความรัก แต่ความรักนั้นใหญ่ที่สุดในสาม​สิ่งนี้

         (So now faith, hope, and love abide, these three; but the greatest of these is love.)

ข้อมูลมีประโยชน์

13:1     “ภาษาแปลก ๆ “ (the tongues) –มก.16:17;1คร.13:8

“ภาษามนุษย์ หรือทูตสวรรค์” (of men and of angels) = อาจเป็นการเปรียบเทียบโดยใช้ภาษาเกินจริงคือ ต่อให้เราสามารถพูดภาษาต่างๆ ของมนุษย์ได้ รวมทั้งภาษาฑูตสวรรค์ก็พูดได้ด้วย แต่ไม่ได้พูดด้วยความรัก ก็ไม่มีค่าอะไร มีแต่แค่เสียงเท่านั้น

“ความรัก” (love ) = การสละความเห็นแก่ตัวเพื่อสวัสดิภาพของผู้อื่นเหมือนที่พระเยซูคริสต์กระทำบนไม้กางเขน (ยน.3:16;13:34-35;อฟ.5:25;1ยน.3:16)

13:2     “ความล้ำลึกทุกอย่างและมีความรู้ทั้งสิ้น” (understand all mysteries) = เปาโลอาจใช้ภาษาเปรียบเทียบเกินจริงอีกครั้ง เพื่อแสดงถึงขอบเขตของความเข้าใจ คนเราอาจมีความรู้ที่ไม่จำกัด แต่ถ้าไม่ได้ครอบครองและใช้ด้วยความรัก เขาก็ไม่มีค่าอะไรเลย

“ความเชื่อมากยิ่งที่จะย้ายภูเขาไปได้” (all faith, so as to remove mountains)= อีกครั้งที่ อ.เปาโลใช้ภาษาเกินจริง เพื่อให้เห็นภาพความสามารถพิเศษในการวางใจพระเจ้าเพื่อเอาชนะอุปสรรคที่หวาดกลัวหรืออุปสรรคขัดขวางขนาดใหญ่ (ปท. ศคย.4:7;มธ.17:20)

13:3     “ยอมให้เอาตัวไปเผาไฟ” (my body to be burned) = การยอมพลีโดยยอมให้เอาตัวเองไปเผาไฟ เหมือนบรรพชนแห่งความเชื่อในยุคแรกที่ประสบ แม้เป็นการเสียสละขั้นสูงสุด แต่หากไม่ได้เกิดจากความรักก็ไร้ประโยชน์

13:1-3 –จะเห็นได้ว่า ใน 3 ข้อนี้ กล่าวถึงตัวอย่างของประทาน 4 อย่าง คือ “ภาษาแปลก ๆ …เผยพระวจนะ…ความเชื่อ…บริจาค(ให้)” และประกาศว่า แม้จะเป็นของประทานหรือการสำแดงที่ยิ่งใหญ่จากพระเจ้า แต่จะไม่มีค่าอะไรเลย หากไม่มีความรักเป็นแรงจูงใจในการกระทำสิ่งเหล่านั้น

13:4-7  = คำอธิบายถึงความรักในเชิงบวก และเชิงลบ

13:4    “ไม่หยิ่งผยอง” (not arrogant) –8:1 , กล่าวถึงความรู้ทำให้หยิ่งผยอง แต่ความรักจะทำให้เราถ่อมใจลง

13:5     “ไม่หยาบคาย” (rude) =อาจเป็นการพูดอ้อมถึงการนมัสการที่ปราศจากระเบียบ ตามใจของพวกเขา (11:18-22)

13:6     “ไม่ชื่นชมยินดีในความอธรรม” ( not rejoice at wrongdoing) = ไม่ยินดีในความชั่ว เหมือนที่พวกเขาบางคนทำในบทที่ 5 – ปท. 2ธส.2:12

“แต่ชื่นชมยินดีในความจริง” (rejoices with the truth) –2ยน.4;3ยน.3,4

13:7     “ความรักทนได้ทุกอย่าง”(Love bears all things)=ในบางฉบับแปลว่า ความรักปกป้องคุ้มครองอยู่เสมอ

“เชื่ออยู่เสมอ” (believes all things) = วางใจอยู่เสมอ

“ทรหดอดทนอยู่เสมอ” (endures all things) = อดทนบากบั่นอยู่เสมอ –1คร.13:8,13

13:8     “ไม่มีวันเสื่อมสูญ” (never ends) = ไม่มีวันสิ้นสุด ไม่มีวันถูกแทนที่ด้วยสิ่งใด (ข.13)

“การเผยพระวจนะ…การพูดภาษาแปลก ๆ …วิชาความรู้” (As for prophecies… as for tongues… as for knowledge) = ทั้ง 3 สิ่งนี้ จะสิ้นสุดเพราะถูกจำกัดโดยธรรมชาติ (ข.9) และไม่มีความจำเป็นอีกต่อไปเมื่อความสมบูรณ์มาถึง (ข.10) –1คร.13:1-2;1คร.8:2

13:9     “รู้เพียงบางส่วน” (know in part ) –1คร.8:2;13:12

13:10   “เมื่อความสมบูรณ์มาถึงแล้ว” (when the perfect comes) = ความสมบูรณ์พร้อม , ในภาษากรีกคำนี้

= “จบสิ้น” หรือ “บรรลุผลสำเร็จ”, (เป็นผู้ใหญ่) หรือ “สมบูรณ์”   ปท. ข้อ 12 ;ฟป.3:12 =ดูเหมือนว่า เปาโลกำลังพูดถึงการเสด็จกลับมาครั้งที่ 2 ของพระเยซูคริสต์

13:11   “อาการของเด็ก” ( was a child) = วิถีทางอย่างเด็ก –สดด.131:2

13:12   “เห็นสลัวๆ เหมือนดูในกระจก” ( see in a mirror dimly) = กระจกในสมัยนั้น ทำมาจากโลหะขัดมัน (อาจเป็นสัมฤทธิ์) ซึ่งเงาสะท้อนไม่ชัดเหมือนกระจกสมัยนี้ ( ปท. ยก.1:23) –โยบ 26:14;36:26

“จะเห็นแบบหน้าต่อหน้า” (face to face) –ปฐก.32:20;โยบ 19:26;1ยน.3:2

“รู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า” (know fully, even as I have been fully known) = คริสเตียนจะรู้จักพระเยซูคริสต์อย่างเต็มที่แจ่มแจ้งอย่างไม่มีทางจำกัด เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา

13:13   “ยังดำรงอยู่” (So now ) = อยู่ในบัดนี้และตลอดไป

“ความเชื่อ ความหวัง และความรัก” (faith, hope, and love) –1ธส.1:3;รม.5:2-5;กท.5:5;อฟ.4:2-5; คส.1:4-5;1ธส.1:3;5:8;ฮบ.6:10-12

“แต่ความรักนั้นใหญ่ที่สุด” (but the greatest of these is love) –เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก

(1ยน.4:8) และพระเจ้าบัญชาให้เรารักกันและกัน (ยน.13:34-35; ปท. รม.13:10;1คร.8:1;กท.5:6; อฟ.4:16;5:20;ฟป.1:9;คส.3:14;1ปต.4:8)

= ความรักเข้ามาแทนที่ของประทานต่าง ๆ เพราะว่าความรักยืนยงกว่าของประทานทุกอย่าง วันหนึ่งของประทานทั้งหลายที่ใฝ่หากันเหล่านี้ จะไม่จำเป็นอีกต่อไป แต่ความรักยังคงเป็นหลักการสำคัญในทุกกิจกรรมที่พระเจ้าและคนของพระองค์กระทำ

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยสาละวนกับการวิ่งล่าหาของประทานบ้างไหม? แล้วคุณได้อะไรบ้าง?
  2. คุณเคยจัดลำดับของประทานว่า ของประทานใดสำคัญกว่าของประทานอื่น ๆ บ้างหรือไม่? แล้วผลเป็นอย่างไร?
  3. คุณเคยทะเลาะหรือขัดแย้งกับผู้ใดเรื่องของประทานบ้างหรือไม่? คุณคิดว่าคุ้มค่าที่ทะเลาะกันไหม?
  4. หากให้คุณเลือกของประทานได้ตามใจคุณ คุณจะเลือกอะไร? ทำไม?
  5. คุณคิดว่าในคริสตจักรของคุณเวลานี้ ต้องการของประทานใดมากที่สุด? ทำไม?
  6. คุณลักษณะของความรักประการใดที่คุณขาดมากที่สุด? และส่งผลอะไรต่อคุณบ้าง?
  7. ใครเป็นคนที่มีคุณลักษณะของความรักดังกล่าวแบบใกล้เคียงมากที่สุดหรือครบถ้วนที่สุดที่คุณรู้จัก?
  8. “อาการของเด็ก”อะไรบ้างที่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวหรือคนในคริสตจักรของคุณ?
  9. เวลานี้ คุณคิดว่า คริสตจักรของคุณต้องการคุณลักษณะของความรักมากที่สุด? ทำไม?
  10. คุณคิดว่า ทำไมความรักจึงสำคัญที่สุด?

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer