Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2โครินธ์ บทที่ 8

ให้ด้วยใจกว้างขวาง

พระธรรม        2โครินธ์ 8:1-24

อ้างอิง          2คร.2:12-14;9:2,7-11;7:4;12:18;8:10-12;16,23;13:14;1คร.16:2;13:1;12:8;14:6;1:5;7:25.40

บทนำ           คริสเตียนเป็นผู้ให้โดยมีพระเยซูเป็นต้นแบบ และเป็นการให้แบบจริงใจและใจกว้าง ในคริสตจักรจึงควรเป็นชุมชนของคนทำดี ที่พร้อมให้กันเสมอ ไม่ว่าจะมีมากหรือน้อยตามที่ทุกคนให้ได้!

บทเรียน

8:1 “พี่น้องทั้งหลาย เราอยากให้ท่านรู้ถึงพระคุณของพระเจ้าที่พระองค์ประทานแก่คริสตจักรต่างๆ ในแคว้น​มาซิโดเนีย”

     (We want you to know, brothers, about the grace of God that has been given among the churches of Macedonia,) 

8:2 “เพราะในขณะที่พวกเขาเผชิญการทดสอบมากมายจากความยากลำบากนั้น ความยินดีที่เต็มล้นและความยากจนอย่างที่สุดของพวกเขาได้ล้นออกมาเป็นใจกว้างขวางยิ่ง”

     (for in a severe test of affliction, their abundance of joy and their extreme poverty have overflowed in a wealth of generosity on their part.)

8:3 “เพราะข้าพเจ้าเป็นพยานได้ว่าพวกเขาถวายตามความสามารถ ที่จริงก็เกินความสามารถ และทำด้วยความสมัครใจ”

     (For they gave according to their means, as I can testify, and beyond their means, of their own accord,)

8:4 “พวกเขาวิงวอนเราอย่างมาก ขอร้องให้มีส่วนในคุณความดีในการช่วยเหลือธรรมิกชนด้วย”

     (begging us earnestly for the favor of taking part in the relief of the saints)

8:5 “และไม่เหมือนที่เราคาดหมายไว้ แต่พวกเขาถวายตัวเองแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าก่อน แล้วจึงมอบตัวให้กับเราตามพระประสงค์ของพระเจ้า”

     (and this, not as we expected, but they gave themselves first to the Lord and then by the will of God to us.)

8:6 “เพราะเหตุนี้ เราจึงขอร้องทิตัสให้ไปช่วยพวกท่านในการทำคุณความดีนี้จนสำเร็จเช่นเดียวกับที่เขาเริ่มต้นไว้”

           (Accordingly, we urged Titus that as he had started, so he should complete among you this act  of grace.)

 8:7 “ดังนั้นเมื่อพวกท่านมีทุกสิ่งอย่างเหลือล้น คือความเชื่อ ฝีปาก ความรู้ ความกระตือรือร้นและความรักที่เรามีต่อพวกท่านท่านทั้งหลายก็จงมีคุณความดีนี้อย่างเหลือล้นด้วย”

      (But as you excel in everything—in faith, in speech, in knowledge, in all earnestness, and in our  love for you—see that you excel in this act of grace also.)

8:8 “ข้าพเจ้าไม่ได้พูดเป็นคำสั่ง แต่นำเรื่องความกระตือรือร้นของคนอื่นๆ มาทดสอบความรักของท่านทั้งหลายว่ามีความจริงใจหรือไม่”

               (I say this not as a command, but to prove by the earnestness of others that your love also is genuine.)

8:9 “เพราะว่าท่านทั้งหลายรู้จักพระคุณของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแล้วว่า แม้พระองค์ทรงมั่งคั่ง ก็ยังทรงยอมเป็นคนยากจนเพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนมั่งคั่ง เนื่องจากความยากจนของพระองค์”

    (For you know the grace of our Lord Jesus Christ, that though he was rich, yet for your sake he  became poor, so that you by his poverty might become rich)

8:10 “และข้าพเจ้าขอออกความเห็นในเรื่องนี้ว่า เมื่อปีกลายนี้ พวกท่านไม่เพียงเป็นพวกแรกที่ลงมือทำ แต่ยังเป็นพวกแรกที่มีความปรารถนาจะทำด้วย” 

       (And in this matter I give my judgment: this benefits you, who a year ago started not only to do this work but also to desire to do it.)

8:11 “บัดนี้พวกท่านก็ควรจะทำเสียให้เสร็จ เพื่อว่าความกระตือรือร้นที่ปรารถนาจะทำเป็นอย่างไร การทำให้เสร็จตามความสามารถที่มีอยู่ก็จะเป็นอย่างนั้น”

       (So now finish doing it as well, so that your readiness in desiring it may be matched by your completing it out of what you have.)

8:12 “เพราะว่าถ้ามีความกระตือรือร้นอยู่แล้ว พระเจ้าก็จะทรงรับตามที่เขามีอยู่ ไม่ใช่ตามที่เขาไม่มี” 

          (For if the readiness is there, it is acceptable according to what a person has, not according to  what he does not have.)

8:13 “ข้าพเจ้าไม่ได้หมายความจะให้งานของคนอื่นเบาลง และของพวกท่านหนักขึ้น แต่เป็นเรื่องของความเสมอภาค”

                 (For I do not mean that others should be eased and you burdened, but that as a matter of fairness)

8:14 “คือที่พวกท่านมีอยู่อย่างเหลือล้นในเวลานี้ ก็เพื่อช่วยเขาทั้งหลายที่ขัดสน และในยามที่เขาทั้งหลายมีอย่างเหลือล้น เขาก็จะได้ช่วยพวกท่านเมื่อขัดสน ซึ่งจะทำให้มีความเสมอภาคกัน” 

      (your abundance at the present time should supply their need, so that their abundance may  supply your need, that there may be fairness.)

8:15 “ตามที่เขียนไว้ว่า “คนที่เก็บได้มากนั้น ไม่มีเหลือ และคนที่เก็บได้น้อยก็ไม่ขาด

   (As it is written, “Whoever gathered much had nothing left over, and whoever gathered little had no lack.”)

8:16 “แต่ขอขอบพระคุณพระเจ้าผู้ทรงให้ทิตัสมีใจกระตือรือร้นเพื่อพวกท่านอยู่ในใจของเขา ซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่เรามีอยู่”

                 (But thanks be to God, who put into the heart of Titus the same earnest care I have for you.)

8:17 “เพราะเขาไม่เพียงรับคำขอร้องของเราเท่านั้น แต่ยังไปหาท่านทั้งหลายด้วยความกระตือรือร้นอย่างยิ่ง และเขาเองก็มีความตั้งใจอยู่แล้ว”

       (For he not only accepted our appeal, but being himself very earnest he is going to you of his own accord.) 

8:18 “เราส่งพี่น้องคนหนึ่งที่คริสตจักรทุกแห่งยกย่องในเรื่องการประกาศข่าวประเสริฐไปพร้อมกับเขาด้วย”

       (With him we are sending the brother who is famous among all the churches for his preaching of  the gospel.)

8:19 “และไม่เพียงเท่านั้น คริสตจักรต่างๆ ยังตั้งคนนี้ให้เป็นผู้ร่วมเดินทางกับเราและเป็นผู้ร่วมงานปรนนิบัติในคุณ‍ความดีนี้ ที่เราทำเพื่อถวายพระเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า และเพื่อแสดงถึงความกระตือรือร้นของเรา” 

   (And not only that, but he has been appointed by the churches to travel with us as we carry out this act of grace that is being ministered by us, for the glory of the Lord himself and to show our good will.)

8:20 “เราระวังตัวเช่นนี้เพื่อจะไม่ให้ใครติเตียนเราได้ ในเรื่องของบริจาคมากมายซึ่งเรารับมาแจกนั้น”

   (We take this course so that no one should blame us about this generous gift that is being administered by us,)

8:21 “เพราะเรามุ่งจะเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่เฉพาะในสายพระเนตรองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น แต่ในสายตาของคนทั้งหลายด้วย”

   (for we aim at what is honorable not only in the Lord’s sight but also in the sight of man.) 

8:22 “เราส่งพี่น้องอีกคนหนึ่งของเราไปกับเขาทั้งสอง เขาเป็นคนที่เราได้ทดสอบแล้วว่า มีความกระตือรือร้นในหลายๆ สิ่ง และบัดนี้เขายิ่งกระตือรือร้นมากขึ้น เพราะมีความมั่นใจในพวกท่านมาก” 

    (And with them we are sending our brother whom we have often tested and found earnest in  many matters, but who is now more earnest than ever because of his great confidence in you.)

8:23 “ส่วนทิตัส เขาเป็นหุ้นส่วนและผู้ร่วมงานของข้าพเจ้าในการรับใช้ท่านทั้งหลาย ส่วนพี่น้องสองคนนั้นของเราเขาเป็นตัวแทนของคริสตจักรทั้งหลายซึ่งเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระคริสต์”

   (As for Titus, he is my partner and fellow worker for your benefit. And as for our brothers, they  are messengers of the churches, the glory of Christ.)

8:24 “เพราะฉะนั้นจงสำแดงความรักของท่านและสิ่งที่เราได้อวดเกี่ยวกับท่านให้พวกเขาเห็น และสำแดงต่อหน้าคริสตจักรทั้งหลายด้วย”

                 (So give proof before the churches of your love and of our boasting about you to these men.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

 8:1       “พระคุณ” (the grace) –ในที่นี้เกี่ยวข้องกับการให้ด้วยใจเมตตา ในส่วนของผู้เชื่อ (ข.7)

มากกว่า “พระคุณของพระคุณของพระเยซูคริสต์ที่ประทานพระองค์” ในข้อ 9

“คริสตจักรต่าง ๆ ในแคว้นมาซิโดเนีย” (the churches of Macedonia) –กจ.16:9

8:2       “ความยินดีที่ล้นพ้น” (their abundance of joy) – ในพระพรแห่งข่าวประเสริฐ

“ล้นออกมาเป็นใจกว้างขวางยิ่ง” (overflowed in a wealth of generosity) = ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

–อพย.36:5;2คร.9:11

8:3       “พวกเขาถวายตามความสามารถ” (they gave according to their means) –ในฉบับอมตธรรมใช้

“พวกเขาถวายสุดความสามารถ” –1คร.16:2

8:4       “ขอร้องให้มีส่วน” (of taking part) –2คร.8:1

“ในคุณความดี” (the favor) = ในการรับใช้ – กจ.24:17

“ในการช่วยเหลือ”(of taking part) = เพื่อประชากรของพระเจ้า (อมตธรรม) –กจ.9:13;รม.15:26

8:6       “ดังนั้นเราจึงกระตุ้น” (Accordingly, we urged) –2คร.8:17;12:18

“ทิตัส” (            Titus) –2คร.2:13;8:16,23

= การเรี่ยไรเริ่มขึ้นในเมืองโครินธ์ โดยการจัดการดูแลของทิตัสในช่วงปีก่อน (ข.10;9:2) แต่ล้าช้าหรือไม่คืนหน้าเลย

อ.เปาโลจึงส่งทิตัสกลับไปพร้อมจดหมาย เพื่อทำให้การรับใช้ที่เปี่ยมคุณความดีหรือ “การจุนเจือด้วยใจเมตตา” นี้สำเร็จลุล่วง –2คร.8:10-11

8:7      “มีทุกสิ่งอย่างเหลือล้น” (excel in everything) = เป็นเลิศในทุกด้าน (อมตธรรม)

ปท.1คร.1:4-7;2คร.9:8

“ความรู้” (knowledge) –รม.15:14;1คร.1:5;12:8;13:1,2;14:6

8:8       “ข้าพเจ้าไม่ได้พูดเป็นคำสั่ง”(I say this not as a command) = ข้าพเจ้าไม่ได้สั่งท่านในเรื่องการสงเคราะห์ช่วยเหลือ เพราะความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ – 1คร.7:6

“ความกระตือรือร้นของคนอื่น ๆ” (the earnestness of others) = ตัวอย่างอันโดดเด่นของคริสตจักรในแคว้นมาซิโดเนีย (ข.1-5)

“ทดสอบความรัก…มีความจริงใจหรือไม่?” (that your love also is genuine) = พวกเขาพิสูจน์ได้ว่า พวกเขารักโดยการให้อย่างไม่เห็นแก่ตัว และมาจากใจจริง

8:9       “แม้พระองค์ทรงมั่งคั่ง ก็ยังทรงยอมเป็นคนยากจน” (that though he was rich, yet for your sake he became poor) = พระเยซูผู้ดำรงนิรันดร์ มั่งคั่ง ทรงสละทุกสิ่งมาบังเกิดเป็นมนุษย์ สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ไถ่บาปเรา (ฟป.2:7)

“เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนมั่งคั่ง เนื่องจากความยากจนของพระองค์” (so that you by his poverty might become rich) = แรงกระตุ้นให้คริสเตียนแสดงน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่แท้จริงไม่ว่าจะทางใด

8:10     “ข้าพเจ้าขอออกความเห็น” (I give my judgment) –1คร.7:25,40

          “ที่มีความปรารถนาจะทำด้วย” (also to desire to do it) = มีใจที่จะถวาย –1คร.16:2-3;2คร.9:2

8:11     “ความกระตือรือร้นที่ปรารถนาจะทำ” (so that your readiness in desiring) = ใจร้อนรน

–อพย.25:2;2คร.8:12,19;9:2

8:12    “ตามที่เขามีอยู่” (according to what a person has) –ข.11

= สิ่งสำคัญในการถวายคือ ความเต็มใจ ไม่ว่าทรัพย์นั้นจะมากหรือน้อยเพียงใดก็ตาม –มก.12:41-44; 2คร.12:42

= อ.เปาโลได้เสนอระบบการเก็บรวบรวมเงินที่ทำให้เมืองโครินธ์ในจดหมายฉบับก่อน (1คร.16:1-2)

8:13     “แต่เป็นเรื่องของความเสมอภาค” ( but that as a matter of fairness ) = เปาโลปรารถนาให้ผู้เชื่อในชุมชนคริสเตียนได้แบ่งปันสิ่งที่พวกเขามีอยู่แก่คนขัดสน เพื่อรักษาความเท่าเทียมกันในคริสตจักร เช่นเดียวกับอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร (อพย.16:18)

8:14     “ที่ขัดสน” (their need) –กจ.4:34;2คร.9:12

8:15     “คนที่เก็บได้มากนั้นไม่มีเหลือ และคนที่เก็บได้น้อยก็ไม่ขาด” (   Whoever gathered much had nothing left over, and whoever gathered little had no lack.) –อพย.16:18

8:16     “แต่ขอขอบพระคุณพระเจ้า” ( thanks be to God) –2คร.2:14

“ทิตัส” (            Titus) –2คร.2:13

= ทิตัสได้สร้างความสัมพันธ์ที่อยู่บนพื้นฐานของความไว้ใจและความรักกับพวกที่โครินธ์ (7:6-7,13-15) และเขาเป็นผู้จัดการเรี่ยไรเงินช่วยเหลือที่เริ่มตั้งแต่ปีก่อนนั้น

8:17     “เขาเองก็มีความตั้งใจอยู่แล้ว” (being himself very earnest) = ด้วยความคิดริเริ่มของเขาเอง

–2คร.8:6

8:18     “พี่น้องคนหนึ่ง” (the brother) =อาจเป็นลูกาหรือบารนาบัส –2คร.12:18

“ที่คริสตจักรทุกแห่งยกย่องในเรื่องการประกาศข่าวประเสริฐ” (all the churches for his preaching of the gospel) –1คร.7:17;2คร.2:12

8:19     “ให้เป็นผู้ร่วมเดินทางไปกับเรา” ( to travel with us) = เปาโลได้วางแบบอย่างแก่ผู้นำคริสตจักรในเรื่องการจัดการดูแลเอาใจใส่เรื่องเงินทองอย่างโปร่งใส่ – 1คร..16:3-4;กจ.14:23;

8:20     “เราระวังตัวเช่นนี้ เพื่อจะไม่ให้ใครติเตียนเราได้” (We take this course so that no one should blame us) = เปาโลถือเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ใช่เฉพาะต่อพระเจ้าผู้ทอดพระเนตร แต่ต่อคนอื่นด้วย (ข.19,21) เพื่อให้เห็นว่า คนทำงานของพระเจ้าทำด้วยความโปร่งใสมีจริยธรรมถูกต้อง

8:21     “เพราะเรามุ่งจะเป็นคนสัตย์ซื่อ” (we aim at what is honorable ) = ทำให้ถูกต้อง เปาโลตกเป็นเป้าแห่งการใส่ร้ายป้ายสี (12:17-18) แต่ความซื่อสัตย์ของตัวแทนที่เปาโลส่งไป (ข.23) นั่นได้สะท้อนความซื่อสัตย์ของตัวเปาโลออกมาได้เป็นอย่างดี –รม.12:17;14-18;ทต.2:14

8:22     “ส่งพี่น้องอีกคนหนึ่ง” (  sending our brother) = เป็นพี่น้องคนที่ 2 ที่ไม่ทราบชื่อ (ปท. ข.18)

8:23     “หุ้นส่วนและผู้ร่วมงาน” (my partner and fellow worker ) 2:13;ฟม.17;ฟป.2:25

“พี่น้องสองคนนั้น” (for our brothers) –2คร.8:18.22

          “เขาเป็นตัวแทนของคริสตจักรทั้งหลาย” (they are messengers of the churches) = ตัวแทนที่ได้รับการเลือกสรรอย่างเหมาะสมจากสมาชิกส่วนใหญ่ของคริสตจักร (เพื่อไม่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเพื่อนพ้องที่เปาโลเลือกมาเองคนเดียว)-กจ.20:4

“เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระคริสต์” (the glory of Christ) = ให้เกียรติพระคริสต์จากความซื่อสัตย์อันโดดเด่นของพวกเขา

คำถามอภิปราย

  1. หากคุณถูกทดลองหรือทดสอบในเวลานี้ในเรื่องการถวายทรัพย์ คุณคิดว่า คุณจะสอบได้หรือสอบตกในเรื่องต่อไปนี้

……….1) การถวายสิบลด

……….2) การถวายพิเศษในวาระโอกาสต่าง ๆ

……….3) การถวายเพื่อช่วยคนขัดสน

ทำไมคุณตอบเช่นนั้น?

  1. คุณคิดว่า คุณเป็นคนที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่หรือเป็นคนเห็นแก่ตัว คุณพอใจเป็นเช่นนี้หรือคุณต้องการปรับเปลี่ยนตัวของคุณ? ทำไม? และอย่างไร?
  2. คุณเคยประทับใจในความใจกว้างของใครบ้าง? ในเรื่องอะไร? ทำไม? (แบ่งปัน)
  3. คุณเคยเกิดแรงบันดาลใจในการรับใช้หรือในการให้เพราะความกระตือรือร้นของใครบางคนบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร? แล้วลงเอยอย่างไร?
  4. หากดูที่พระเยซูคริสต์ ชีวิตของพระองค์เป็นแรงบันดาลใจให้แก่คุณในเรื่องใดมากที่สุด? ทำไม?
  5. มีอะไรบ้างที่คุณเคยตั้งใจทำและค้างไว้ยังทำไม่สำเร็จ และบัดนี้คุณคิดจะลงมือทำให้สำเร็จจริง ๆ ? ทำไมจึงตั้งใจทำเช่นนั้น?
  6. คุณอยากเห็นคริสตจักรของคุณมีบรรยากาศของการให้กันไปให้กันมา อย่างเสมอภาคหรือไม่? ในเรื่องอะไร? ทำไม?
  7. ในคริสตจักรของคุณมีคนอย่างทิตัสหรือไม่และ? เขาทำอะไรบ้างที่มีคุณค่าน่าทำตามอย่างไร?
  8. คุณเป็นคนมีระมัดระวังตัวในเรื่องการจัดการด้านการเงินหรือไม่? คุณเคยประสบเรื่องยุ่งยากเพราะประมาทหรือจัดการกับการใช้เงินไม่ถูกต้องบ้างหรือไม่? ผลเป็นอย่างไร

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2โครินธ์ บทที่ 7

ความยินดีในท่ามกลางความเศร้าโศก

พระธรรม        2โครินธ์ 7:1-16

อ้างอิง             1คร.10:14;5:12;2:3,13;2คร.1:3,4;2:2-4,9,13;4:8;10-13;17-18;7:4-8,13;10:6

บทนำ              ชีวิตเราอาจเผชิญกับเรื่องน่าเศร้าเสียใจ แต่เราสามารถมีความยินดีในท่ามกลางสถานการณ์เหล่านั้นได้ หากเรามีพระเจ้าและเพื่อนดี ๆ อยู่เคียงข้าง และคุณเองก็อาจได้รับการหนุนใจและหนุนใจผู้อื่นได้ในเวลาเดียวกัน!

พระธรรม

 7:1 “ท่านที่รักทั้งหลาย ในเมื่อเรามีพระสัญญาเช่นนี้ ขอให้เราชำระตัวเองให้ปราศจากมลทินทุกอย่างของเนื้อหนังและวิญญาณ จงมีความบริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ด้วยความเกรงกลัวพระเจ้า”

     (Since we have these promises, beloved, let us cleanse ourselves from every defilement of body  and spirit, bringing holiness to completion in the fear of God.)

7:2 “จงเปิดใจรับเราเถิด เราไม่ได้ทำผิดต่อใคร หรือทำลายใคร หรือเอาเปรียบใครเลย”

     (Make room in your hearts for us. We have wronged no one, we have corrupted no one, we have taken advantage of no one.)

7:3 “ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อจะลงโทษพวกท่าน เพราะข้าพเจ้าได้บอกก่อนหน้านี้แล้วว่า ท่านทั้งหลายอยู่ในใจของเรา จะตายหรือจะเป็นก็อยู่ด้วยกัน”

     (I do not say this to condemn you, for I said before that you are in our hearts, to die together and to live together.)

7:4 “ข้าพเจ้าไว้ใจและภูมิใจในพวกท่านมาก ข้าพเจ้าได้รับการหนุนใจอย่างบริบูรณ์ และมีความยินดีอย่างเหลือล้น​ใความยากลำบากทุกอย่างของเรา”

     (I am acting with great boldness toward you; I have great pride in you; I am filled with comfort. In  all our affliction, I am overflowing with joy.)

7:5 “เพราะว่าเมื่อมาถึงแคว้นมาซิโดเนียแล้ว ร่างกายของเราไม่ได้พักผ่อนเลย แต่พบความลำบากรอบด้าน ภายนอกมีการต่อสู้ ภายในมีความกลัว”

      (For even when we came into Macedonia, our bodies had no rest, but we were afflicted at every turn—fighting without and fear within.)

7:6 “แต่พระเจ้าผู้ทรงหนุนใจคนที่ท้อใจ ได้ทรงหนุนใจเราด้วยการมาของทิตัส”

               (But God, who comforts the downcast, comforted us by the coming of Titus,)

7:7 “และไม่เฉพาะเพียงการมาของเขาเท่านั้น แต่ยังด้วยการหนุนน้ำใจที่เขาได้รับจากพวกท่าน เขาบอกเราถึงความอาลัยและความโศกเศร้าของท่าน ทั้งความกระตือรือร้นของท่านทั้งหลายที่มีต่อข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้ายิ่งมีความยินดีมากขึ้น”

     (and not only by his coming but also by the comfort with which he was comforted by you, as he told us of your longing, your mourning, your zeal for me, so that I rejoiced still more.)

7:8 “เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้าทำให้ท่านเสียใจเพราะจดหมายฉบับนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่เสียใจ (แม้ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าจะเสียใจ เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าจดหมายฉบับนั้นทำให้พวกท่านเสียใจแม้เพียงชั่วขณะ)”

     (For even if I made you grieve with my letter, I do not regret it—though I did regret it, for I see that that letter grieved you, though only for a while.)

7:9 “แต่บัดนี้ข้าพเจ้ามีความยินดี ไม่ใช่เพราะพวกท่านเสียใจ แต่เพราะความเสียใจนั้นทำให้ท่านกลับใจ เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความเสียใจตามพระประสงค์ของพระเจ้า ท่านจึงไม่ได้รับผลร้ายจากเราเลย”

   (As it is, I rejoice, not because you were grieved, but because you were grieved into repenting.   For you felt a godly grief, so that you suffered no loss through us.)

7:10 “เพราะว่าความเสียใจตามพระประสงค์ของพระเจ้า ทำให้เกิดการกลับใจ ซึ่งจะนำไปสู่ความรอดและจะไม่ทำให้เสียใจ แต่ความเสียใจอย่างโลกนั้นย่อมนำสู่ความตาย”

       (For godly grief produces a repentance that leads to salvation without regret, whereas worldly grief produces death.)

7:11 “จงดูสิว่าความเสียใจตามพระประสงค์ของพระเจ้าเช่นนี้ นำไปสู่การเอาจริงเอาจังเพียงไร และยังทำให้เกิด การขวนขวายที่จะพิสูจน์ตัวเอง เกิดความขุ่นเคือง ความตื่นตัว ความอาลัย ความกระตือรือร้น และเกิดการลงโทษ พวกท่านพิสูจน์ตัวเองในทุกด้านแล้วว่าเป็นผู้ปราศจากความผิดในเรื่องนี้”

   (For see what earnestness this godly grief has produced in you, but also what eagerness to clear yourselves, what indignation, what fear, what longing, what zeal, what punishment! At every point you have proved yourselves innocent in the matter.)

7:12 “ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่านทั้งหลาย ก็ไม่ใช่เพราะเห็นแก่คนที่ทำผิด หรือเพราะเห็นแก่คนที่ต้องทนต่อการร้าย แต่เพื่อให้การเอาจริงเอาจังที่ท่านมีต่อเรา ปรากฏกับพวกท่านเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า”

     (So although I wrote to you, it was not for the sake of the one who did the wrong, nor for the sake of the one who suffered the wrong, but in order that your earnestness for us might be revealed to you in the sight of God.)

7:13 “เพราะเหตุนี้เราจึงได้รับการหนุนใจ นอกจากได้รับการหนุนใจแล้ว เรายังมีความยินดีมากยิ่งขึ้นเนื่องจากความยินดีของทิตัส เพราะพวกท่านทุกคนทำให้จิตใจของเขาสงบ”

    (Therefore we are comforted. And besides our own comfort, we rejoiced still more at the joy of Titus, because his spirit has been refreshed by you all.) 

7:14 “เพราะที่ข้าพเจ้าอวดเรื่องของท่านแก่ทิตัส ข้าพเจ้าก็ไม่ต้องละอายเลย แต่ทุกสิ่งที่เราพูดกับท่านทั้งหลายเป็น​ความจริงอย่างไร สิ่งที่เราอวดกับทิตัสก็ปรากฏเป็นจริงอย่างนั้น”

    (For whatever boasts I made to him about you, I was not put to shame. But just as everything we  said to you was true, so also our boasting before Titus has proved true. )

7:15 “และความรักที่เขามีต่อพวกท่านก็เพิ่มพูนขึ้น เมื่อเขาระลึกถึงความเชื่อฟังของพวกท่าน และการที่พวกท่านทุกคนต้อนรับเขาด้วยความเกรงกลัวและตัวสั่น” 

       (And his affection for you is even greater, as he remembers the obedience of you all, how you  received him with fear and trembling.)

7:16 “ข้าพเจ้าชื่นชมยินดี เพราะข้าพเจ้ามั่นใจพวกท่านได้อย่างเต็มที่”

                (I rejoice, because I have complete confidence in you.)

 ข้อมูลมีประโยชน์

7:1       “จงมีความบริสุทธิ์” (holiness) –1ธส.4:7;1ยน.3:3

7:2       “จงเปิดใจรับเราเถิด” (Make room in your hearts) = สรุปความคิดของ 6:13

“เราไม่ได้ทำผิด….ทำลาย…หรือเอาเปรียบใครเลย” (We have wronged …. corrupted … taken advantage of no one) = ผู้สอนผิดกล่าวหาเปาโลในหลายเรื่อง รวมทั้งว่า เปาโลไม่ยุติธรรม บ่อนทำลายและฉ้อฉล (ซึ่งล้วนแต่เป็นความผิดที่พวกเขาทำเอง)

7:3       “ท่านทั้งหลายอยู่ในใจของเรา” (you are in our hearts) = อีกครั้งที่เปาโลยืนยันถึงความรักอันลึกซึ้งที่ท่านมีต่อผู้เชื่อในเมืองโครินธ์และโน้มนำเขา (6:11-13 ให้พวกเขาสนองตอบด้วยความรักต่อท่าน)

7:4       “ข้าพเจ้าไว้ใจและภูมิใจในพวกท่านมาก” (I am acting with great boldness toward you)

–2คร.7:14;8:24

“ข้าพเจ้าได้รับการหนุนใจอย่างบริบูรณ์และมีความยินดีอย่างเหลือล้น” (I have great pride in you; I am filled with comfort ) = ข่าวคราวจากโครินธ์ ที่ อ.เปาโลรอคอยอย่างกระวนกระวายเป็นไปในทางดี และทำให้ อ.เปาโลมั่นใจขึ้นอีกครั้ง และมีความยินดีชื่นชมอย่างท่วมท้น เมื่อได้รับข่าวนั้น

7:5       “เพราะว่าเมื่อมาถึงแคว้นมาซิโดเนีย” ((For even when we came into Macedonia) = เมื่อ อ.เปาโลและทิตัสมาถึง ตอนนี้ อ.เปาโลกลับไปเล่าเรื่องต่อจากที่เริ่มไว้ใน 2:12-13 ซึ่งท่านได้บรรยายว่า ผิดหวังที่ไม่ได้พบกับทิตัสที่เมืองโตรอัส และกล่าวถึงการตัดสินใจเดินทางต่อไปยังแคว้นมาซิโดเนีย เพราะร้อนใจอยากทราบข่าวจากคริสตจักรที่เมืองโครินธ์

-ในตอนนี้ อ.เปาโลอธิบายว่า เมื่อมาถึงมาซิโดเนียท่านรับการปลอบโยน เพราะทิตัสมาถึง ซึ่งทิตัสก็ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีในเมืองโครินธ์ และให้ความมั่นใจแก่ อ.เปาโล (ข.7) ถึงความ “อาลัย” และความ “กระตือรือร้น” ของชาวโครินธ์ ที่มีต่อท่าน รวมทั้ง “ความโศกเศร้า” หรือความเศร้าเสียใจอย่างลึกซึ้ง ที่พวกเขาได้แสดงออกเนื่องจากทำให้ อ.เปาโลทุกข์โศก เป็นเหตุที่ทำให้ อ.เปาโลมีความยินดีมากขึ้นกว่าก่อน –ปท.1:1;ฟป.4:14

7:6       “พระเจ้าผู้ทรงหนุนใจคนที่ท้อใจ” (God, who comforts the downcast) = ทรงปลอบประโลมคนที่ท้อแท้ (1:3; ปท. สดด.42:5,11;43:5)

7:8       “ทำให้ท่านเสียใจ เพราะจดหมายฉบับนั้น” ( I made you grieve with my letter) –อ.เปาโลเสียใจที่จำเป็นต้องเขียนจดหมายที่ทำให้ชาวโครินธ์เศร้าโศก จดหมายที่กล่าวถึงนี้ อาจหมายถึง 1 โครินธ์ หรือ 2โครินธ์ 10-13 แต่ดูเหมือน อ.เปาโลกล่าวถึง จดหมายฉบับที่หายไปแล้วมากกว่า และเป็นจดหมายที่ท่านเขียนขึ้น หลังจากที่ท่านแวะไปและทำให้พวกเขาเกิดความทุกข์โศกใน 2:1

7:10     “ความเสียใจตามพระสงค์ของพระเจ้า…ความเสียใจอย่างโลก” (godly grief produces …whereas worldly) = ความเศร้าเสียใจที่อยู่ในทางของพระเจ้า ที่แสดงออกมาโดยการกลับใจใหม่และมีประสบการณ์

กับพระคุณของพระเจ้า

แต่ความเสียใจอย่างโลกนั้นนำไปสู่ความตาย เพราะแทนที่จะเสียใจ ตามพระประสงค์ของพระเจ้า หรือเสียใจและกลับใจจากความชั่วร้ายของบาป กลับไปโศกเศร้าเสียใจโดยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง และเสียใจเพราะต้องรับผลอันเจ็บปวดเพราะบาปที่ตนเองก่อเกิดขึ้น

7:11    “ความกระตือรือร้น” (eagerness) –2คร.7:7

7:12     “ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่านทั้งหลาย” (I wrote to you) -2คร.2:3,9;7:8

“ก็ไม่ใช่เพราะเห็นแก่คนที่ทำผิด” (it was not for the sake of the one who did the wrong)

–1คร.5:1,2

7:13     “ทิตัส” (            Titus) –2คร.2:13;7:6

7:14     “ข้าพเจ้าอวดเรื่องท่านแก่ทิตัส” (I made to him about you ) –2คร.7:4

“สิ่งที่เราอวดกับทิตัส” (our boasting before Titus) –2คร.7:6

7:15     “ความเชื่อฟัง” ( obedience) = ดูเหมือนว่า เมื่อทิตัสออกจากเมืองโครินธ์ และรายงานต่อเปาโลก็ไม่มีกลุ่มต่อต้านที่แข็งแรงอีกแล้ว (10:1)

คำถามนำอภิปราย

  1. ในเวลานี้มีอะไรที่ทำให้กายและจิตวิญญาณของคุณแปดเปื้อนบ้าง? และคุณจะชำระตัวเองให้บริสุทธิ์ได้อย่างไร?
  2. เวลานี้คุณยังเปิดใจรับใครไม่ได้บ้าง? เพราะอะไร? และคุณจะอยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อไปหรือจะทำให้ดีกว่านั้น?และอย่างไร?
  3. คุณเคยเป็นเหตุให้ใครทำบาป หรือคุณเคยฉกฉวยหาประโยชน์จากใคร และเวลานี้คุณรู้สึกเสียใจ และกลับใจใหม่แล้วบ้างหรือไม่? หรือมีใครที่ทำบาปหรือหาประโยชน์จากคุณ แต่เวลานี้กลับใจใหม่แล้ว? อย่างไร?
  4. มีใครที่ทำผิดต่อคุณมาหลายครั้งแล้ว แต่คุณยังรักและให้อภัยเขาอยู่เสมอ? แล้วผลที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร? คุณรู้สึกอย่างไร?
  5. คุณเคยได้รับกำลังใจอย่างใหญ่หลวงจากใครบ้าง ในยามที่คุณเผชิญกับความยากลำบากจนคุณซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก? (แบ่งปัน)
  6. คุณเคยประสบกับสภาวะที่ถูกก่อกวนจนไม่ได้พัก และมีใจหวาดหวั่น แต่พระเจ้าทรงช่วยคุณไว้ บ้างหรือไม่?อย่างไร?
  7. คุณเคยช่วยหรือปลอบประโลมใจผู้ใดที่ทำให้เขามีกำลังต่อสู้ชีวิตต่อไปได้? แบ่งปัน
  8. คุณเคยทำให้ผู้ใดเสียใจ แต่คุณไม่เสียใจที่คุณได้ทำเช่นนั้นบ้างหรือไม่? ทำไม? และอย่างไร?
  9. เคยมีผู้ใดทำให้คุณเสียใจ แต่ได้เห็นคุณไม่โกรธเขาบ้างหรือไม่? ทำไม? และเรื่องอะไร?
  10. คุณเคยสุขใจ เพราะคนบางคนสุขใจบ้างหรือไม่? ทำไม? และอย่างไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2โครินธ์ บทที่ 6

อย่ารับพระคุณของพระเจ้าโดยไม่เกิดประโยชน์

พระธรรม        2โครินธ์ 6:1-18

อ้างอิง             1คร.3:9,16,21;4:10-13;5:10;6:6;8:9,13;9:12;10:21,32;15:2;2คร.5:20;4:2,7,10-11;1:8-10;11:23-25;10:4; 8:9;7:3

บทนำ

คนที่เชื่อพระเจ้าจะเป็นคนที่ไม่ได้อยู่เพื่อตัวเอง แต่อยู่เพื่อพระเจ้า และสนองพระคุณของพระองค์ เขาจะรักษาความบริสุทธิ์ในฐานะคนของพระเจ้า โดยไม่ประนีประนอมกับวิถีของซาตาน แต่จะอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้นเพื่อนำข่าวประเสริฐไปช่วยพวกเขาให้รอด

 

บทเรียน

6:1 “ในเมื่อเราทำงานร่วมกับพระเจ้า เราจึงขอร้องท่านทั้งหลายว่า อย่ารับพระคุณของพระเจ้าโดยไม่เกิด​ประโยชน์”

      (Working together with him, then, we appeal to you not to receive the grace of God in vain.)

6:2 “เพราะว่าพระองค์ตรัสว่า“ในเวลาโปรดปรานเราได้ฟังเจ้าในวันแห่งความรอดเราได้ช่วยเจ้า นี่แน่ะ บัดนี้เป็นเวลาแห่งความโปรดปราน นี่แน่ะ บัดนี้เป็นวันแห่งความรอด”

       (For he says, “In a favorable time I listened to you, and in a day of salvation I have helped you.” Behold, now is the favorable time; behold, now is the day of salvation.) 

6:3 “เราไม่ได้วางสิ่งกีดขวางบนหนทางของผู้ใดเลย เพื่องานปรนนิบัตินี้จะไม่ถูกติเตียน”

     (We put no obstacle in anyone’s way, so that no fault may be found with our ministry,)

6:4 “แต่เราแสดงตัวเป็นคนปรนนิบัติของพระเจ้าในทุกทาง โดยมีความทรหดอดทนเป็นอย่างมากในความยากลำบาก ความลำเค็ญ ในเหตุวิบัติ”

     (but as servants of God we commend ourselves in every way: by great endurance, in afflictions, hardships, calamities,) 

6:5 “การถูกเฆี่ยน และการถูกจำคุกในเหตุการณ์วุ่นวาย ในการตรากตรำ ในการอดหลับอดนอน ในการอดอาหาร” 

     (beatings, imprisonments, riots, labors, sleepless nights, hunger;) 

6:6 “โดยความบริสุทธิ์ ความรู้ ความอดทน และความกรุณา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยความรักอย่างจริงใจ”

     (by purity, knowledge, patience, kindness, the Holy Spirit, genuine love;)

6:7 “โดยถ้อยคำสัตย์จริง โดยฤทธิ์เดชของพระเจ้า โดยการใช้ความชอบธรรมเป็นอาวุธทั้งด้วยมือขวาและมือซ้าย”

     (by truthful speech, and the power of God; with the weapons of righteousness for the right hand and for the left; )

6:8 “ทั้งในขณะมีเกียรติและขณะไร้เกียรติ ขณะถูกดูหมิ่นและขณะได้รับการยกย่อง เมื่อถูกกล่าวหาว่าเป็นคนหลอกลวง แต่ยังเป็นคนซื่อสัตย์”

     (through honor and dishonor, through slander and praise. We are treated as impostors, and yet are true; )

6:9 “ว่าเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก แต่ยังเป็นคนที่ใครๆ รู้จักดี เป็นคนที่กำลังจะตาย แต่ดูสิ ยังมีชีวิตอยู่ เป็นคนถูกเฆี่ยนแต่ยังไม่ตาย”

     (as unknown, and yet well known; as dying, and behold, we live; as punished, and yet not killed;) 

6:10 “เป็นคนมีความทุกข์แต่ยังยินดีอยู่เสมอ เป็นคนยากจนแต่ยังทำให้คนจำนวนมากมั่งมี เป็นคนไม่มีอะไรเลยแต่ยังเป็นเจ้าของทุกสิ่ง”

   (as sorrowful, yet always rejoicing; as poor, yet making many rich; as having nothing, yet possessing everything.)

6:11 “ชาวโครินธ์เอ๋ย เราพูดกับท่านทั้งหลายอย่างไม่ปิดบังเลย และใจของเราก็เปิดกว้างต่อพวกท่าน”

       (We have spoken freely to you, Corinthians; our heart is wide open.) 

6:12 “เราไม่ได้ปิดใจต่อพวกท่าน แต่ความรู้สึกของพวกท่านต่างหากที่เป็นฝ่ายปิด”

       (You are not restricted by us, but you are restricted in your own affections.)

6:13 “ขอท่านตอบสนองเราในแบบเดียวกัน ข้าพเจ้าพูดกับพวกท่านเหมือนพูดกับลูกๆ คือขอพวกท่านจงเปิดใจให้กว้างด้วย”

       (In return (I speak as to children) widen your hearts also.)

6:14 “อย่าเข้าเทียมแอกกับคนที่ไม่เชื่อ เพราะว่าความชอบธรรมจะมีส่วนอะไรกับความอธรรม? และความสว่างจะมีส่วนกับความมืดได้อย่างไร?”

       (Do not be unequally yoked with unbelievers. For what partnership has righteousness with lawlessness? Or what fellowship has light with darkness? )

6:15 “พระคริสต์กับเบลีอัลจะไปด้วยกันได้อย่างไร? หรือคนที่เชื่อจะมีส่วนอะไรกับคนที่ไม่เชื่อ?”

       (What accord has Christ with Belial? Or what portion does a believer share with an unbeliever? )

6:16 “วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพ? เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า “เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขา เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา

   (What agreement has the temple of God with idols? For we are the temple of the living God; as God said, “I will make my dwelling among them and walk among them, and I will be their God,  and they shall be my people.)

6:17 “ฉะนั้นพวกเจ้าจงออกจากท่ามกลางพวกเขา และจงแยกตัวออกจากเขาทั้งหลาย องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสอย่าแตะต้องสิ่งที่ไม่สะอาด แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าไว้”

  (Therefore go out from their midst, and be separate from them, says the Lord, and touch no unclean thing; then I will welcome you,_             

6:18 “เราจะเป็นดังบิดา ของพวกเจ้า พวกเจ้าจะเป็น บุตรชาย บุตรหญิงของเราพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้น​ได้ตรัสดังนั้น”

       (and I will be a father to you, and you shall be sons and daughters to me, says the Lord  Almighty.”)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

6:1       “อย่ารับพระคุณของพระเจ้าโดยไม่เกิดประโยชน์” (not to receive the grace of God in vain.)

= “อย่าสักแต่รับพระคุณของพระเจ้า”

= การอยู่เพื่อตนเอง (ดู 5:15) เป็นการแสดงออกหนึ่งของการสักแต่รับพระคุณของพระเจ้า

6:2       “ในเวลาโปรดปราน” (In a favorable time) = “วาระแห่งความโปรดปราน”

= การยืนยันว่าพระราชกิจทั้งสิ้นของพระเจ้าที่ช่วยประชากรของพระองค์ในประวัติศาสตร์นั้นเป็นความจริง แต่เป็นความจริงในยุคแห่งพระคุณในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ระหว่างการเสด็จมาครั้งแรกกับครั้งที่ 2 ของพระคริสต์

          “บัดนี้” (now) = เน้นถึงความสำคัญเร่งด่วนในคำเชิญชวนของพระเจ้า (ดู สดด.32:6)

6:4-10 –เปรียบเทียบกับ 4:8-12

6:4       “แต่เราแสดงตัวเป็นคนปรนนิบัติของพระเจ้าในทุกทาง” (but as servants of God we commend ourselves in every way     ) = อ.เปาโลพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งเนื่องจากข่าวประเสริฐที่ท่านประกาศในโครินธ์ อยู่ในภาวะเสี่ยง แต่ท่านไม่เหมือนกับอัครทูตเทียม ซึ่งเป็นเพียงคนที่รับใช้ตัวเอง เพราะท่านรับใช้ในฐานะผู้รับใช้ของพระเจ้า

6:5       “การถูกจำคุก” (imprisonments)-กจ.16:23;อฟ.3:1;ฟป.1:13-14;คส.4:18;2ทธ.1:16;ฟป.1

6:7       “การใช้ความชอบธรรมเป็นอาวุธ” (with the weapons of righteousness) –อฟ.6:14-17

6:10     “ทำให้คนจำนวนมากมั่งมี” (  yet making many rich) = ความมั่งมีที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การมีทรัพย์สมบัติฝ่ายโลกมาก แต่เป็นความมั่งมีต่อพระพักตร์พระเจ้า (ลก.12:21)

-แม้ผู้เชื่อจะไม่มีทรัพย์สมบัติฝ่ายโลกเลย แต่เขาก็ยังมีทุกสิ่งในพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของทุกสิ่ง –1คร.1:4-5;3:21-23;อฟ.2:7;3:8:ฟป.4:19;คส.2:3

6:11-13 –อ.เปาโลเป็นคนเปิดเผยและมีความจริงใจอยู่เสมอในความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับคริสเตียนชาวโครินธ์

ปท.1:12-14;4:2

-แต่พวกผู้สอนเทียมในหมู่พวกเขา พยายามโน้มน้าวให้คนเชื่อว่า อ.เปาโลไม่ได้รักพวกเขาจริง ๆ

-ในเวลานี้ อ.เปาโลจึงต้องโน้มน้าว ชาวโครินธ์เหล่านี้ด้วยความอ่อนโยนว่า พวกเขาเป็นผู้รับประโยชน์จากความรัก ที่ อ.เปาโลมีต่อพวกเขา (1:11)

6:14     “อย่าเข้าเทียมแอกกับคนที่ไม่เชื่อ” ( Do not be unequally yoked with unbelievers) ปท.ฉธบ.22:10

-ถ้าคริสเตียนชาวโครินธ์จะเข้าไปมีส่วนร่วมกับผู้สอนเท็จจริง ๆ จนกลายเป็นผู้รับใช้ของซาตาน (11:13-14) ก็เท่ากับว่าพวกเขาไปเข้าเทียมแอกที่ไม่สามารถเข้ากันกับแอกของพระคริสต์ได้

-ซึ่งส่งผลกระทบต่อความกลมเกลียว และความสามัคคีธรรมซึ่งรวมพวกเขาให้เป็นหนึ่งเดียวในพระคริสต์

“ความสว่างจะมีส่วนกับความมืดได้อย่างไร?” (what fellowship has light with darkness?) -4:6

6:15     “เบลีอัล” (Belial) = ซาตาน (ฉธบ.13:13)

6:16    “วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพ?” ( What agreement has the temple of God with idols?) =ผู้เชื่อไม่สามารถกลับไปประนีประนอมกับการไหว้รูปเคารพที่พวกเขาได้ละทิ้งเพื่อมาหาข่าวประเสริฐ (ปท.1ธส.1:9)

“วิหารของพระเจ้าผู้ทรงประชนม์” (the temple of the living God)= ที่ได้สร้างขึ้นด้วย “ศิลาอันมีชีวิต”คือ ผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ (1ปต.2:5)

= ทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าร่วมกับสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์และมีมลทินได้ (ปท.1คร.6:19-20)

“เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา” ( I will be their God, and they shall be my people) = เป็นการยืนยันพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับประชากรของพระองค์ในพันธสัญญาเดิม (ยรม.7:23;ฮชย.1:9;ศคย.8:8)

6:17     “จงออกจากท่ามกลางพวกเขา” ( Therefore go out from their midst) –วว.18:4

 

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณคิดว่า หากประเมินดูชีวิตของคุณในวันนี้อย่างซื่อตรง คุณคิดว่า คุณอยู่ ณ จุดใด?

อยู่เพื่อตัวเอง                                                                                                                     อยู่เพื่อ

100 %                                                                                                                         พระเจ้า 100%

ทำไมคุณคิดอย่างนั้น?

  1. หากคุณถูกเรียกว่า “พวกที่สักแต่รับพระคุณของพระเจ้า?” คุณจะรู้สึกอย่างไร? ทำไม?
  2. คุณประทับใจและซาบซึ้งใน “ความโปรดปราน” และ “ความช่วยเหลือ” ของพระเจ้าที่มีต่อคุณในเรื่องใดมากที่สุด? อย่างไร?
  3. ชีวิตของคุณในเวลานี้มีอะไรบ้างที่ทำให้คนอื่นสะดุดและส่งผลกระทบต่อการกระทำพันธกิจรับใช้พระเจ้าของคุณ? แล้วคุณจะจัดการอย่างไรกับสิ่งเหล่านั้น? อย่างไร? และทำไม?
  4. คุณพิสูจน์ตนเองอย่างไรว่า คุณเป็นคนของพระเจ้าหรือผู้รับใช้ของพระองค์? คุณได้จ่ายราคาอะไรบ้าง ในการพิสูจน์ตัวของคุณเอง?
  5. ในเวลานี้มีกี่คน ใครบ้าง? ที่ได้รับการช่วยนำมาให้พบความรอดในพระเยซูคริสต์ผ่านทางคุณ? และมีกี่คนที่เติบโตเป็นสาวกแท้หรือผู้ใหญ่ในพระคริสต์บ้างแล้ว?
  6. คุณเป็นคนที่เปิดใจกว้างในการรับฟังเหตุผลหรือความคิดเห็นของผู้อื่นก่อนตัดสินพวกเขาหรือไม่? มีคนยืนยันได้ไหม? ผลที่ตามมาเป็นอย่างไร?
  7. เวลานี้คุณกำลังกระทำอะไรอยู่ที่เข้าข่าย “เทียมแอกกับผู้ไม่เชื่อ” บ้าง? ผลเป็นอย่างไร? คุณจะปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยนอะไรบ้างหรือไม่? อย่างไร? ทำไม?
  8. คุณสนับสนุนหรือคัดค้านการที่คริสเตียนแต่งงานกับผู้ไม่เชื่อ ? ทำไม?
  9. คุณสนับสนุนหรือคัดค้านการที่คริสเตียนเข้าหุ้นหรือทำธุรกิจกับคนไม่เป็นคริสเตียนหรือไม่? ทำไม?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2โครินธ์ บทที่ 5

พระธรรม        2โครินธ์ 5:1-21

อ้างอิง             อสย.38:12;รม.6:6-7;4:8;16:3;1:17;8:23;1คร.1:30;15:47,53-54,13:12;1ธส.4:1;2คร.5:4,18:1:22, 4:18,2;3:11;11:1, 16-18;12:11;10:4;6:1

บทนำ           เราจะอยู่ในร่างกายชั่วคราวนี้ไม่นาน แล้วเราจะได้รับกายใหม่อันอมตะมาแทนที่

ในขณะที่เรายังอยู่ เราได้รับมอบหมายพันธกิจแห่งการคืนดีกับพระเจ้าให้เราประกาศออกไป

วันนี้ คุณได้กระทำหน้าที่นี้แล้วหรือยัง?
บทเรียน

5:1 “เพราะเรารู้ว่าถ้าเรือนกายบนโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ถูกทำลายไป เราก็ยังมีที่อาศัยซึ่งมาจากพระเจ้า ที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์ และอยู่อย่างถาวรนิรันดร์ในสวรรค์”

  (For we know that if the tent that is our earthly home is destroyed, we have a building from God, a house not made with hands, eternal in the heavens.)

5:2 “เพราะว่าในร่างกายนี้ เราคร่ำครวญและปรารถนาจะสวมใส่ที่อาศัยของเราที่มาจากสวรรค์”

     (For in this tent we groan, longing to put on our heavenly dwelling,)

5:3 “เพราะเมื่อสวมแล้ว เราก็จะไม่เปลือย”

     (if indeed by putting it on we may not be found naked.)

5:4 “เพราะว่าเราที่อยู่ในเรือนกายนี้คร่ำครวญและเป็นทุกข์หนัก ไม่ใช่เพราะปรารถนาจะอยู่ตัวเปล่า แต่ปรารถนาจะสวมใส่กายใหม่ เพื่อกายที่ต้องตายนั้นจะถูกกลืนโดยชีวิตอมตะ”

     (For while we are still in this tent, we groan, being burdened—not that we would be unclothed, but that we would be further clothed, so that what is mortal may be swallowed up by life.)

5:5 “แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้เตรียมเราไว้สำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ และพระองค์ประทานพระวิญญาณเป็นมัดจำแก่เรา”

     (He who has prepared us for this very thing is God, who has given us the Spirit as a guarantee.)

5:6 “เพราะฉะนั้นเรามั่นใจอยู่เสมอและรู้แล้วว่า ขณะที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า”

    (So we are always of good courage. We know that while we are at home in the body we are away from the Lord,) 

5:7 “เพราะว่าเราดำเนินโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยสิ่งที่มองเห็น”

     (for we walk by faith, not by sight.)

5:8 “และเรามั่นใจและพอใจที่จะไปจากร่างกายนี้และอาศัยอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่า”

     (Yes, we are of good courage, and we would rather be away from the body and at home with the Lord.)

5:9 “ฉะนั้นเราตั้งเป้าว่าจะอาศัยอยู่ในกายนี้ก็ดีหรือจะจากไปก็ดี เราก็จะเป็นคนที่พระเจ้าพอพระทัย”

     (So whether we are at home or away, we make it our aim to please him.)

 5:10 “เพราะว่าเราทุกคนจำเป็นต้องปรากฏตัวต่อหน้าบัลลังก์ของพระคริสต์ เพื่อแต่ละคนจะได้รับสิ่งที่สมกับการกระทำในกายนี้ ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว”

   (For we must all appear before the judgment seat of Christ, so that each one may receive what is due for what he has done in the body, whether good or evil.)

5:11 “เพราะฉะนั้น ในเมื่อเรารู้จักเกรงกลัวองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว เราจึงชักชวนคนทั้งหลาย เราเป็นอย่างไรก็​ปรากฏชัดต่อพระเจ้า และข้าพเจ้าหวังว่าจะปรากฏชัดต่อมโนธรรมของท่านด้วย” 

  (Therefore, knowing the fear of the Lord, we persuade others. But what we are is known to God,  and I hope it is known also to your conscience.)

5:12 “เราไม่ได้ยกย่องตัวเองกับท่านทั้งหลายอีก แต่จะให้ท่านมีโอกาสเอาเราไปอวด เพื่อพวกท่านจะมีข้อโต้ตอบพวกที่ชอบอวดสิ่งที่ปรากฏ แทนที่จะอวดสิ่งที่อยู่ในจิตใจ”

       (We are not commending ourselves to you again but giving you cause to boast about us, so that you may be able to answer those who boast about outward appearance and not about what is in the heart.)

5:13 “เพราะว่าถ้าเราเป็นเหมือนคนเสียสติ ก็เพราะเห็นแก่พระเจ้า หรือถ้าเราเป็นเหมือนคนปกติก็เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลาย”

       (For if we are beside ourselves, it is for God; if we are in our right mind, it is for you.) 

5:14 “เพราะว่าความรักของพระคริสต์ควบคุมเราอยู่ เรามั่นใจเช่นนี้ว่ามีผู้หนึ่งสิ้นพระชนม์เพื่อทุกคน ดังนั้นทุกคนจึงตายแล้ว”

 (For the love of Christ controls us, because we have concluded this: that one has died for all, therefore all have died;)

5:15 “และพระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อทุกคน เพื่อบรรดาคนที่มีชีวิตอยู่จะไม่อยู่เพื่อตัวเองอีกต่อไป แต่จะอยู่เพื่อ​พระองค์ที่สิ้นพระชนม์ และทรงเป็นขึ้นมาเพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย”

  (and he died for all, that those who live might no longer live for themselves but for him who for their sake died and was raised.)

5:16 “เพราะฉะนั้นตั้งแต่นี้ไป เราจะไม่พิจารณาใครตามมาตรฐานของโลก แม้ว่าเมื่อก่อนเราเคยพิจารณา​พระคริสต์ตามมาตรฐานของโลกก็จริง แต่เดี๋ยวนี้เราจะไม่พิจารณาพระองค์เช่นนั้นอีก”

       (From now on, therefore, we regard no one according to the flesh. Even though we once  regarded Christ according to the flesh, we regard him thus no longer.) 

5:17 “ฉะนั้นถ้าใครอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”

       (Therefore, if anyone is in Christ, he is a new creation. The old has passed away; behold, the  new has come.)

5:18 “สิ่งทั้งหมดนี้เกิดจากพระเจ้า ผู้ทรงให้เราคืนดีกับพระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์ และประทานพันธกิจในเรื่องการคืนดีนี้แก่เรา” 

       (All this is from God, who through Christ reconciled us to himself and gave us the ministry of reconciliation;)

5:19 “คือพระเจ้าทรงให้โลกนี้คืนดีกับพระองค์โดยพระคริสต์ ไม่ทรงถือโทษในความผิดของพวกเขา และทรงมอบเรื่องราวการคืนดีนี้ให้เราประกาศ”

    (that is, in Christ God was reconciling the world to himself, not counting their trespasses against them, and entrusting to us the message of reconciliation.)

5:20 “เพราะฉะนั้นเราจึงเป็นทูตของพระคริสต์โดยที่พระเจ้าทรงขอร้องท่านทั้งหลายผ่านทางเรา เราจึงวิงวอนท่านในนามของพระคริสต์ให้คืนดีกับพระเจ้า”

       (Therefore, we are ambassadors for Christ, God making his appeal through us. We implore you on behalf of Christ, be reconciled to God.)

5:21 “พระเจ้าทรงทำพระองค์ผู้ทรงไม่มีบาปให้บาป เพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์”

  (For our sake he made him to be sin who knew no sin, so that in him we might become the righteousness of God.)

 ข้อมูลมีประโยชน์

5:1     “เรือนกายบนโลกที่เราอาศัยอยู่”(the tent that is our earthly home)= “เต็นท์ฝ่ายโลกนี้ที่เราอาศัยอยู่”

= ร่างกายในปัจจุบันของเรา (ยน.1:14;1ปต.1:13)

= เหมือนกับเต็นท์ซึ่งเป็นที่อาศัยชั่วคราวและไม่มั่นคง ร่างกายของเราก็เปราะบาง และกำลังเสื่อมสลาย (4:10-12,16)

“ที่อาศัยซึ่งมาจากพระเจ้า…อยู่อย่างถาวรนิรันดร์ในสวรรค์” (have a building from God,… eternal in the heavens.          ) = มั่นคง, แข็งแรง,ถาวร

“ที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์”(not made with hands) = เป็นงานของพระเจ้า ซึ่งสมบูรณ์แบบ และถาวร (ฮบ.9:11)

5:2       “เราคร่ำครวญ” (we groan) = โหยหาความสมบูรณ์ที่จะเป็นขึ้นมา เมื่อได้สวมกายวิญญาณอันเปี่ยมด้วยสง่าราศี (ปท. 1คร.15:42-49)

“จะสวมใส่ที่อาศัยของเราที่มาจากสวรรค์” (to put on our heavenly dwelling) =ที่อาศัยนิรันดร์ที่พระเจ้าจัดเตรียมให้ (เปรียบเทียบในเชิงเหมือนคริสเตียนสวมเสื้อผ้า)

5:3      “จะไม่เปลือย” ( not be found naked.) = จะไม่ปราศจากเสื้อผ้าที่คลุมกาย เป็นสภาพของผู้ที่ถูกปลดเปลื้องเต็นท์ (กายฝ่ายโลก) นี้ด้วยความตาย

5:4       “กายที่ต้องตาย” (what is mortal) = ร่างกายที่ประกอบจากดินของเราในปัจจุบัน

“ถูกกลืน” (swallowed) = การมีส่วนในชีวิตที่เป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ (4:10) เปรียบกับภาพดั้งเดิมของความตายและหลุมศพที่กลืนกินกายของมนุษย์ (สดด.49:14) ปท.อสย.25:8;1คร.15:54

5:5       “พระองค์ประทานพระวิญญาณ” (who has given us the Spirit) -พระวิญญาณได้นำผลของการทรงไถ่ของพระเยซูคริสต์มาสู่จิตใจของผู้เชื่อ และทำให้ฤทธิ์อำนาจแห่งการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระคริสต์เป็นจริงในประสบการณ์ชีวิตของเราแต่ละคน(ที่เชื่อ) ปท. 4:10-16

= สิ่งที่ให้หลักประกันว่า ผู้เชื่อจะถูกเปลี่ยนแปลงไปให้เป็นดุจกายอันมีสง่าราศีในบั้นปลาย (ฟป.3:21)

“เป็นมัดจำ” (guarantee) -1:22

= ส่วนหนึ่งที่ให้ไว้เพื่อเป็นหลักประกันว่า ส่วนที่เหลือทั้งหมดกำลังจะตามมา (รม.8:23)

5:6       “ขณะที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า” ( while we are at home in the body we are away from the Lord) = ขณะที่ยังอยู่ในกายดิน (เต็นท์ฝ่ายโลก) รู้สึกว่า เราอยู่ห่างจาก   พระเจ้า แต่เราไม่ได้สูญเสียการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าในการดำเนินชีวิตประจำวันในโลกนี้

5:7       “โดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยสิ่งที่มองเห็น” ( by faith, not by sight) -4:18 ปท.1คร.13:12

5:8       “ไปจากร่างกายนี้ และอาศัยอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า” (   we would rather be away from the body and at home with the Lord.) = ภาพของชีวิตคริสเตียนหลังจากตายจากโลกนี้ (ฟป.1:23) เมื่อไม่ได้อยู่ในร่างกายเดิมนี้อีกต่อไป

5:9       “จะอาศัยอยู่ในกายนี้หรือจะจากไปก็ดี” (we are at home or away) = ไม่ว่าเราจะมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว จากไปอยู่กับพระเจ้าก็ตาม

5:10     “ต้องปรากฏตัวต่อหน้าบัลลังก์ของพระคริสต์” (appear before the judgment seat of Christ) = เราต้องรายงานสิ่งที่เราทำในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ (ในฐานะคริสเตียน) ต่อพระเจ้า – ปท.1คร.3:11-15;3:13

“สิ่งที่สมกับการกระทำในกายนี้” (what is due for what he has done in the body) = แม้ร่างกายจะกำลังเสื่อมลงไป แต่เราต้องรับผิดชอบทุกการกระทำของเราในขณะที่ยังอยู่ในร่างกายนี้

5:11     “เกรงกลัวองค์พระผู้เป็นเจ้า” ( the fear of the Lord)= เรายำเกรงพระเจ้าเพราะว่าพระองค์คือผู้ที่เราต้องเข้ารายงานตัวในสิ่งที่เรากระทำ (ข.10; ปฐก.20:11;สภษ.1:7)

          “เราจึงชักชวนคนทั้งหลาย” ( we persuade others) = อ.เปาโลจำเป็นต้องโน้มน้าวใจสมาชิกคริสตจักรโครินธ์บางคนว่า ท่านเองเป็นอัครทูตที่แท้จริง ไม่ใช่เป็นหนึ่งในครูสอนเท็จที่แอบแฝงหรือลุกล้ำเข้ามาในคริสตจักร

5:12     “อวดในสิ่งที่ปรากฏ” (to boast about outward appearance) = ภูมิใจในสิ่งที่มองเห็น

= การอวดอ้างของผู้สอนเท็จเป็นเพียงฉากบังหน้า สิ่งที่พวกเขาสนใจจริง ๆ ไม่ใช่จิตวิญญาณที่แท้จริงและล้ำลึก แต่สนใจในเงินทองความนิยมชมชอบ และความสำคัญของตนเอง

5:13     “คนเสียสติ…คนปกติ” ( beside ourselves… in our right mind) = ศัตรูของ อ.เปาโลอาจกำลังกล่าวหาว่า เปาโลกำลังทนทุกข์เพราะคลั่งศาสนา อ.เปาโลไม่ปฏิเสธว่า เปาโลทุ่มเทเพื่อข่าวประเสริฐและหากว่าการทำนั้นถูกเรียกว่า วิกลจริต ท่านก็ยินดีรับไว้จดหมายทั้งฉบับยืนยันว่า อ.เปาโลเต็มใจและชื่นชมยินดีกับการทนทุกข์ยากลำบาก เพื่อข่าวประเสริฐได้ (12:10)

= แต่แท้จริง อ.เปาโลตระหนักดีว่า สิ่งที่ท่านทำนั้น ไม่ได้แปลกประหลาดอะไรเลย เพราะเป็นการกระทำที่มีเหตุผลและมีใจหนักแน่นมั่นคงอยู่เสมอ และหลีกเลี่ยงโวหารอันเลิศหรู และชั้นเชิงในการพูดทุกรูปแบบ (ปท. 1คร.2:1-5)

5:14     “ความรักของพระคริสต์”(love of Christ) = ที่แสดงออกผ่านการสิ้นพระชนม์เพื่อมนุษย์อย่างเราบนไม้กางเขน

-บางคนตีความว่า ข้อความนี้น่าจะหมายถึง “ความรักที่เรามีต่อพระคริสต์”

“ผู้หนึ่ง” (that one)= พระเยซูพระบุตรผู้เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์

“คนทั้งปวงจึงตายแล้ว” (has died for all) = พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อคนทั้งปวง พระองค์จึงรวบรวมคนทั้งปวงเข้ามาในการสิ้นพระชนม์ของพระองค์

-แต่สำหรับคนที่เชื่อและเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์เป็นการตายต่อบาป และต่อตัวเอง เพื่อให้เวลานี้ เขาอยู่ในและอยู่กับพระองค์ผู้เป็นขึ้นมาจากความตาย (ข.15;รม.6:1-11)

-อย่างไรก็ตาม บางคนตีความว่า

“คนทั้งปวง” ในตอนนี้น่าจะหมายถึง “ผู้เชื่อ” เท่านั้น -รม.6:6,7;กท.2:20;คส.3:3

5:16     “เมื่อก่อนเราเคยพิจารณาพระคริสต์ตามมาตรฐานของโลก” (Even though we once regarded Christ according to the flesh) = อ.เปาโลกำลังสารภาพยอมรับว่า ก่อนที่ท่านกลับใจท่านเคยมีทัศนคติต่อพระคริสต์ตามแบบโลก คือ พิจารณาตามแบบมนุษย์เท่านั้น –2คร.10:4;11:18

5:17     “ในพระคริสต์” (in Christ) = การเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ ผ่านทางความเชื่อในพระองค์ และการมอบถวายชีวิตแด่พระองค์ (รม.6:11;อฟ.1:1;ฟป.2:1)

“เขาเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว” (he is a new creation) = การไถ่ การรื้อฟื้น และการทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าในการทรงสร้างสำเร็จบริบูรณ์ (4:6) และทุกสิ่งนี้เกิดขึ้นในพระคริสต์ (คส.1:16;ฮบ.1:2)

ปท. รม.8:19-23;อฟ.2:10

5:18     “สิ่งทั้งหมดนี้เกิดจากพระเจ้า” (All this is from God) = พระเจ้าเป็นผู้เริ่มต้นการไถ่ (ยน.3:16;รม.5:8)

พระองค์ทรงค้ำจุนและนำไปสู่ความความสมบูรณ์ (ฟป.1:6) –รม.11:36

“พันธกิจในเรื่องการคืนดี” (the ministry of reconciliation) = ทุกคนที่ได้คืนดีกับพระเจ้ามีสิทธิพิเศษ และภารกิจในการประกาศเรื่องการคืนดี (ข.19) ต่อคนทั่วทั้งโลก (รม.5:10)

5:19     “ไม่ทรงถือโทษในความผิดของพวกเขา” (not counting their trespasses against them) –รม.4:8

5:20     “เราจึงเป็นทูตของพระคริสต์” (we are ambassadors for Christ ) –2คร.6:1;อฟ.6:20

“ให้คืนดีกับพระเจ้า” (be reconciled to God) –อสย.27:5

5:21     “พระองค์ผู้ทรงไม่มีบาป” (who knew no sin) –ฮบ.4:15;7:26;1ปต.2:22,24;1ยน.3:5
“ให้บาป” (to be sin) = ให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป

“เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์” (become the righteousness of God) –รม.1:17; 1คร.1:30

นี่เป็นการสรุปเนื้อหาของข่าวประเสริฐ คือ พระคริสต์ผู้ทรงชอบธรรมแบกรับบาปและโทษแทนเราที่กางเขน         -ทำให้เราเป็นคนชอบธรรมได้คืนดีกับพระเจ้า –ปท.1คร.1:30

คำถามนำอภิปราย

  1. หากวันนี้ คุณต้องจากโลกนี้ไป คุณมั่นใจหรือไม่ว่า คุณจะได้รับร่างกายใหม่จากพระเจ้า เพื่ออยู่ในสวรรค์     นิรันดร์? ทำไมคุณเชื่อเช่นนั้น?
  2. เวลานี้คุณดำเนินชีวิตโดยความเชื่อในพระเจ้า (ตามพระวจนะ) หรือตามตรรกะเหตุผลของคุณเอง? และส่งต่อชีวิตของคุณอย่างไรบ้าง?
  3. คุณเคยมีความคิดที่อยากจะไปอยู่กับพระเจ้ามากกว่ามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ต่อไปบ้างหรือไม่? ทำไม แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไร?
  4. คุณเคยตั้งเป้าที่จะทำให้พระเจ้าได้รับเกียรติและพอพระทัยในสิ่งที่คุณคิด พูด และทำบ้างหรือไม่?
  • ยากหรือง่าย? ทำไม?
  • แล้วทำได้หรือไม่? สุดท้าย ผลออกมาเป็นอย่างไร?
  1. ถ้าวันนี้ คุณต้องให้การต่อหน้าพระบัลลังก์พิพากษาของพระเจ้า คุณพร้อมหรือไม่? ทำไม?
  2. ทุกวันนี้ คุณดำเนินชีวิตที่ขัดกับจิตสำนึก
  • ของตัวคุณอง
  • ของคนอื่นบ้างหรือไม่?ในเรื่องใด? แล้วคุณจัดการอย่างไร?
  1. คุณได้ทำอะไรในฝ่ายจิตวิญญาณบ้างที่เป็นความภูมิใจของคนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อคนในคริสตจักรของคุณ?
  2. คุณเคยรับใช้พระเจ้ามากจนคนอื่นคิดว่า เสียสติบ้างหรือไม่? อย่างไร? แล้วส่งผลอะไรบ้าง?
  3. คุณเป็นคนชอบพิจารณาผู้อื่นต่อไปนี้ตามทัศนะของโลกหรือไม่?
  • คนในโบสถ์
  • คนในวงการคริสเตียน
  • แม้แต่พระเจ้าเอง?

ผลคืออะไร?

  1. คุณเป็นทูตของพระคริสต์ในการประกาศเรื่องพันธกิจแห่งการคืนดีของพระองค์หรือไม่? และจะทำอย่างไร? เมื่อไร? ที่ไหน? กับใคร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2โครินธ์ บทที่ 4

ของมีค่าในภาชนะดิน

 พระธรรม        2โครินธ์ 4:1-18

อ้างอิง             1คร.7:25;4:5;1:13,18-20,23;12:9;2คร.1:11;2:12,17;5:7,11;3:14;13:9;9:11

บทนำ              ไม่ว่าเราจะเป็นใคร หรือมีสภาพเช่นใด นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ พระเยซูคริสต์และข่าวประเสริฐอันทรงฤทธานุภาพของพระองค์ต่างหากที่สำคัญ ขอแต่เพียงให้เราเป็นภาชนะบริสุทธิ์ที่พร้อมให้พระองค์ทรงใช้แค่นี้ก็เกินพอแล้ว!

บทเรียน

4:1 “เพราะเหตุนี้เมื่อเรามีพันธกิจนี้โดยได้รับพระเมตตา เราจึงไม่ย่อท้อ”

     (Therefore, having this ministry by the mercy of God, we do not lose heart. )

4:2 “เราได้ละทิ้งการกระทำต่างๆ ที่แอบแฝงและน่าอับอายไปแล้ว เราไม่ใช้อุบายและไม่ได้บิดเบือนพระวจนะของพระเจ้า แต่โดยการเปิดเผยความจริง เราเสนอตัวเราต่อมโนธรรมของทุกคนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า”

     (But we have renounced disgraceful, underhanded ways. We refuse to practice cunning or to tamper with God’s word, but by the open statement of the truth we would commend ourselves to everyone’s conscience in the sight of God.)

4:3 “แต่ถ้าแม้ข่าวประเสริฐของเรายังถูกปิดบังไว้อีก ก็ถูกปิดบังไว้จากพวกที่กำลังจะพินาศ”

     (And even if our gospel is veiled, it is veiled to those who are perishing. )

4:4 “คือในกรณีของพวกเขา พระของยุคนี้ได้ทำให้ความคิดของคนที่ไม่เชื่อมืดมนไป เพื่อไม่ให้เห็นความสว่างของข่าวประเสริฐ คือเรื่องพระสิริของพระคริสต์ผู้ทรงเป็นพระฉายาของพระเจ้า”

     (In their case the god of this world has blinded the minds of the unbelievers, to keep them from seeing the light of the gospel of the glory of Christ, who is the image of God.)

4:5 “เพราะว่าเราไม่ได้ประกาศตัวเอง แต่ประกาศว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และประกาศว่าตัวเราเองเป็นทาสของท่านทั้งหลายเพราะเห็นแก่พระเยซู” 

   (For what we proclaim is not ourselves, but Jesus Christ as Lord, with ourselves as your servants  for Jesus’ sake.)

4:6 “เพราะว่าพระเจ้าผู้ตรัสว่าให้ความสว่างส่องออกมาจากความมืด ทรงส่องสว่างเข้ามาในใจของเรา เพื่อให้เรามีความสว่างแห่งความรู้ถึงพระสิริของพระเจ้า ที่ปรากฏบนพระพักตร์ของพระคริสต์”

     (For God, who said, “Let light shine out of darkness,” has shone in our hearts to give the light of the knowledge of the glory of God in the face of Jesus Christ.)

4:7 “แต่เรามีของล้ำค่านี้อยู่ในภาชนะดิน เพื่อให้เห็นว่า ฤทธิ์เดชอันเลิศนั้นเป็นของพระเจ้า ไม่ได้มาจากตัวเราเอง”

     (But we have this treasure in jars of clay, to show that the surpassing power belongs to God and not to us.)

4:8 “เราเผชิญความยากลำบากรอบด้าน แต่ก็ไม่ถูกบดขยี้ เราสับสนแต่ก็ไม่หมดหวัง”

     (We are afflicted in every way, but not crushed; perplexed, but not driven to despair; )

4:9 “เราถูกข่มเหงแต่ก็ไม่ถูกทอดทิ้ง เราถูกตีให้ล้มลง แต่ก็ไม่ถูกทำลาย”

     (persecuted, but not forsaken; struck down, but not destroyed; )

4:10 “เราแบกความตายของพระเยซูไว้ในร่างกายเสมอ เพื่อว่าชีวิตของพระเยซูจะปรากฏในร่างกายของเราด้วย”

       (always carrying in the body the death of Jesus, so that the life of Jesus may also be manifested

       in our bodies.) 

4:11 “เพราะว่าเราที่มีชีวิตอยู่นั้น ถูกมอบไว้กับความตายอยู่เสมอเพราะเห็นแก่พระเยซู เพื่อชีวิตของพระเยซูจะ​ปรากฏในร่างกายเนื้อหนังที่ต้องตายของเรา”

  (For we who live are always being given over to death for Jesus’ sake, so that the life of Jesus  also may be manifested in our mortal flesh. )

4:12 “ฉะนั้นความตายจึงกำลังทำการอยู่ในเรา แต่ชีวิตกำลังทำการอยู่ในท่านทั้งหลาย”

       (So death is at work in us, but life in you.)

4:13 “และเรามีใจเชื่อเช่นเดียวกับที่เขียนไว้ว่า“ข้าพเจ้าเชื่อฉะนั้นข้าพเจ้าจึงพูด เราก็เชื่อฉะนั้นเราจึงพูดด้วย”

       (Since we have the same spirit of faith according to what has been written, “I believed, and so I  spoke,” we also believe, and so we also speak, )

4:14 “เรารู้ว่าพระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นขึ้นมานั้น จะทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระเยซูด้วย และจะทรงพาเราเข้าเฝ้าพร้อมกับท่านทั้งหลาย”

 (knowing that he who raised the Lord Jesus will raise us also with Jesus and bring us with you  into his presence.) 

4:15 “เพราะว่าทุกๆ สิ่งก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของท่าน เพื่อว่าเมื่อพระคุณมาถึงคนจำนวนมากขึ้น การขอบพระคุณก็จะมีมากยิ่งขึ้น อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า”

       (For it is all for your sake, so that as grace extends to more and more people it may increase thanksgiving, to the glory of God.)

4:16 “ฉะนั้นเราจึงไม่ย่อท้อ ถึงแม้ว่าสภาพภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่สภาพภายในนั้นก็ได้รับการเปลี่ยนใหม่ทุกๆ วัน”

    (So we do not lose heart. Though our outer self is wasting away, our inner self is being renewed day by day.)

4:17 “เพราะว่าความยากลำบากชั่วคราวและเล็กน้อยของเรา จะทำให้เรามีศักดิ์ศรีนิรันดร์มากมายอย่างไม่มีที่เปรียบ”

       (For this light momentary affliction is preparing for us an eternal weight of glory beyond all comparison,)

4:18 “เราไม่ได้เอาใจใส่ในสิ่งที่มองเห็น แต่เอาใจใส่ในสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะว่าสิ่งที่มองเห็นนั้นไม่ยั่งยืน แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้นถาวรนิรันดร์”

   (as we look not to the things that are seen but to the things that are unseen. For the things that  are seen are transient, but the things that are unseen are eternal.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

4:1       “พันธกิจนี้” (ministry) -3:6

“ได้รับพระเมตตา” (mercy)   = เมื่อพระเจ้าทรงเรียก และมอบหมายภารกิจใดให้ผู้รับใช้ของพระองค์ กระทำ พระองค์ก็จะเมตตาประทานกำลังที่จำเป็นให้ เพื่อที่เขาจะสามารถยืนหยัดเผชิญกับความยากลำบากและการทดลองได้

“เราจึงไม่ย่อท้อ” (we do not lose heart) = ไม่ท้อใจ

4:2       “ละทิ้งการกระทำต่าง ๆ ที่แอบแฝงและน่าอับอายไปแล้ว” (renounced disgraceful, underhanded ways) = อ.เปาโลกำลังพาดพิงถึงผู้สอนผิดในเมืองโครินธ์ โดยท่านกล้าแตกต่างและยืนหยัดได้ต่อจิตสำนึกของทุกคนและต่อมโนธรรมของตัวเอง ด้วย

“เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า” (in the sight of God) = ไม่มีอะไรละอายต่อพระเจ้าในสิ่งที่ท่านทำและพูดอย่างตรงไปตรงมา และไม่มีการปิดบังแอบแฝงหรือใช้เล่ห์เหลี่ยม (ปท.1:12,18-24)

4:3       “ถ้าแม้ข่าวประเสริฐของเรายังถูกปิดบังไว้อีก” (if our gospel is veiled) -3:13-18

4:4       “พระของยุคนี้” (the god of this world) = มารที่มีอิทธิพลต่อคนที่ไม่เชื่อทำให้พวกเขาไม่เดินตามทางของพระเจ้าและถือมารเป็นพระของเขา

คำว่า “ยุคนี้” ใช้เพื่อแสดงให้เป็นความแตกต่างกับยุคนิรันดร์ที่กำลังจะมาถึง เป็นยุคที่พระเจ้าทรงชำระล้างสรรพสิ่งให้พ้นจากความเสื่อมทรามตลอดกาล –กท.1:4

“ทำให้ความคิดของคนที่ไม่เชื่อมืดมนไป” (blinded the minds of the unbelievers) = มืดบอดไป     อ.เปาโล ยังใช้ภาพของผ้าคลุมซึ่งปกปิดสง่าราศีของพระเจ้า ทำให้คนที่ปฏิเสธข่าวประเสริฐไม่เห็น       (3:13-18)

“พระฉายาของพระเจ้า” (the image of God) = พระคริสต์ ผู้เป็นทั้งพระบุตรที่บังเกิดเป็นมนุษย์ และเป็นหนึ่งในพระภาคของพระเจ้าที่สำแดงและสะท้อนพระเกียรติสิริพระเจ้าให้ เราเห็นอย่างแท้จริง (ฮบ.1:3)

พระคริสต์เป็นพระฉายของพระเจ้า ซึ่งมนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาตามนั้น และ(มนุษย์ที่รับการไถ่) ก็กำลังถูกเปลี่ยนแปลงให้มีสง่าราศีเพิ่มขึ้น (3:18) และเมื่อพระคริสต์กลับมา เราจะเป็นเหมือนพระองค์ (1ยน.3:2)

4:5       “เราไม่ได้ประกาศตัวเอง” (we proclaim is not ourselves) = ไม่เหมือนผู้สอนเท็จที่พยายามทำให้ว่าตัวเขาเองสำคัญ (ปท.1คร.2:2)
4:6       “ให้ความสว่างส่องออกมาจากความมืด” (Let light shine out of darkness) = คำตรัสแบบเดียวกับที่พระเจ้าตรัสในตอนสร้างโลก (ปฐก.1:2-4) และจะตรัสอีกครั้งในการสร้างใหม่หรือการให้บังเกิดใหม่ (5:17;ยน.3:3;1ปต.1:3) = ความมืดแห่งบาปถูกขับไล่ด้วยความสว่างแห่งข่าวประเสริฐ

“ความสว่างแห่งความรู้ถึงพระสิริของพระเจ้า” (the light of the knowledge of the glory of God)

= ความรู้แห่งพระเกียรติสิริของพระเจ้าที่ถูกต้อง สำแดงออกมาในพระพักตร์ของพระคริสต์ซึ่งสะท้อน     พระสิริของพระเจ้าในสวรรค์ (ยน.1:14)

4:7       “ของล้ำค่า” (treasure) = ข่าวประเสริฐ

“ภาชนะดิน” (jars of clay) = ความเปราะบางและความไม่คู่ควรของ อ.เปาโล ที่เปรียบเหมือนภาชนะดินที่ดูไร้ค่า และไม่ได้สวยงามน่าสนใจ

“ฤทธิ์เดชอันเลิศนั้นเป็นของพระเจ้า” (power belongs to God) = พระเจ้าสำแดงฤทธานุภาพอันเปี่ยมล้นของพระองค์

4:8-12   -ปท.11:23-26

4:10     “เราแบกความตายของพระเยซูไว้ในร่างกายเสมอ” (always carrying in the body the death of Jesus) = เปาโลมีความเปราะบางอย่าง “ภาชนะดิน” (ข.7) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อท่านต้องเผชิญแบกรับความยากลำบากและการข่มเหงต่าง ๆ เพื่อเห็นแก่ข่าวประเสริฐและการร่วมในการทนทุกข์ของพระคริสต์ (1:5;รม.8:17;คส.1:24)

          “เพื่อว่าชีวิตของพระเยซูจะปรากฏในร่างกายของเราด้วย” (so that the life of Jesus may also be manifested in our bodies ) = ความอ่อนแอของมนุษย์เปิดโอกาสให้ฤทธิ์อำนาจแห่งชัยชนะของพระเจ้า

= ฤทธิ์อำนาจของพระเยซูคริสต์หลังจากเป็นขึ้นมาจากความตาย (ฟป.3:10)

4:12     “ความตาย” (death) -1คร.15:31

4:13     “ข้าพเจ้าเชื่อ ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงพูด” (“I believed, and so I spoke,”) = “ข้าพเจ้ายังเชื่อ ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงได้พูด”

= ความเชื่อนำไปสู่การเป็นพยาน ดังนั้น อ.เปาโล จึงได้ทุ่มเทและเดินทางนำข่าวประเสริฐไปประกาศอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

4:14     “พระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นขึ้นมา” (he who raised the Lord Jesus) = พระเจ้า (กจ.2:24)

          “จะทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระเยซูด้วย” (will raise us also with Jesus) –รม.8:11;1คร.15:20

4:16     “ฉะนั้นเราจึงไม่ย่อท้อ” (So we do not lose heart) = ย้ำในข้อ 1 แสดงว่า อ.เปาโล ยังคงมีใจปลาบปลื้มยินดีต่อไป

“สภาพภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป” (Though our outer self is wasting away) = เนื่องจากความทุกข์ยากที่เขาทนรับอยู่

“แต่สภาพภายในนั้นก็ได้รับการเปลี่ยนใหม่ทุกวัน” (our inner self is being renewed day by day)

= กำลังได้รับการฟื้นขึ้นใหม่ โดยเปลวไฟแห่งชีวิต ที่เป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์กำลังลุกโชนอยู่ภายใน และไม่มีวันมอดดับลง

4:17     “ความยากลำบากชั่วคราวและเล็กน้อยของเรา” (this light momentary affliction) = เมื่อมองดูด้วยมุมมองจากนิรันดร์กาล ความยากลำบากทั้งหลายของคริสเตียนก็จะไร้ความหมายไปในทันที

          “จะทำให้เรามีศักดิ์ศรีนิรันดร์มากมายอย่างไม่มีที่เปรียบ” (is preparing for us an eternal weight of glory beyond all comparison) =ศักดิ์ศรีนิรันดร์นั้นยิ่งใหญ่กว่า การทนทุกข์ทั้งมวลที่คน ๆ หนึ่งอาจเผชิญในชีวิตนี้ (รม.8:17-18)

4:18     “สิ่งที่มองเห็น…สิ่งที่มองไม่เห็น” ( look not to the things …that are unseen) = ประสบการณ์และสถานการณ์ต่าง ๆ ที่พบในปัจจุบันเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ แต่ก็ชั่วคราวและคงอยู่ประเดี๋ยวเดียว ถ้าเรามองสิ่งเหล่านั้น เราอาจท้อใจ (ข.1,17) แต่ความจริงที่มองไม่เห็น (ปท.ฮบ.11:1,7,26-27) เป็นสิ่งนิรันดร์แลไม่เสื่อมสูญ เราจึงควรหันไปจากสิ่งชั่วคราวในโลก และมองไปที่สิ่งนิรันดร์เหล่านั้น (ฟป.3:20;ฮบ.12:2)

 คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยท้อใจหรือย่อท้อกับการกระทำภารกิจใดบ้างไหม? ทำไม?
  2. คุณเคยยืนหยัดในการประกาศหรือสอนความจริงของพระเจ้า โดยไม่ยอมบิดเบือนหรือประนีประนอมให้ผิดคำสอนบ้างหรือไม่? (แบ่งปัน)
  3. คุณเคยประกาศหรือเป็นพยานแล้วผู้รับฟังปิดตาปิดใจบ้างไหม? คุณคิดว่า อะไรเป็นสาเหตุ แล้วคุณแก้ไขอย่างไร?
  4. คุณเคยเห็นคนที่เปิดใจรับฟังข่าวประเสริฐแล้วชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดเจนบ้างไหม? (แบ่งปัน)
  5. คุณเคยเผชิญความยากลำบากรอบด้าน สับสน ถูกข่มเหงและถูกตีให้ล้ม แต่ไม่หมดหวังบ้างไหม? อย่างไร? (แบ่งปัน)
  6. คุณเคยมีความคิดพร้อมตายเพื่อพระเยซูคริสต์และข่าวประเสริฐของพระองค์หรือไม่? เมื่อใด? ที่ไหน? และทำไม?
  7. คุณเคยมีประสบการณ์กับชีวิตและฤทธิ์เดชของพระเยซูคริสต์ปรากฎหรือสำแดงในหรือผ่านชีวิตของคุณบ้างไหม? (แบ่งปัน)
  8. เคยมีคนขอบคุณพระเจ้าหรือขอบคุณคุณที่เป็นพยานและประกาศข่าวประเสริฐแก่เขาบ้างหรือไม่?(แบ่งปัน)
Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2โครินธ์ บทที่ 3

พันธกรแห่งพันธสัญญาใหม่

พระธรรม        2โครินธ์ 3:1-18

อ้างอิง             รม.16:1;1:17;3:21-22;5:4-5;8:24-25;กจ.18:27;2คร.5:12;3:6-9,13;10:12,18;12:11;1คร.16:3; 9:2;13:12

บทนำ              ชีวิตของเราควรเป็นตัวอย่างแห่งการเปลี่ยนโดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพระวจนะของพระเจ้าที่ใคร ๆ ก็เห็นชัด ชีวิตเราควรเกิดผลในการนำคนให้รู้จักพระคริสต์และสร้างคนนั้นให้เติบโตเป็นสาวกแท้ของพระองค์ดุจเป็นจดหมายแนะนำตัวสำหรับคุณ!

บทเรียน

3:1 “เราเริ่มจะยกย่องตัวเองอีกแล้วหรือ? หรือว่าเราต้องการจดหมายแนะนำตัวต่อพวกท่าน หรือมาจากพวกท่านเหมือนอย่างคนบางคนหรือ?”

     (Are we beginning to commend ourselves again? Or do we need, as some do, letters of recommendation to you, or from you?)

3:2 “ท่านเองเป็นจดหมายแนะนำตัวของเราที่จารึกไว้ในดวงใจของเรา ให้ทุกคนรู้และอ่าน”

     (You yourselves are our letter of recommendation, written on our hearts, to be known and read by all.)

3:3 “ท่านปรากฏเป็นจดหมายของพระคริสต์ ที่เราเป็นผู้ส่งและไม่ได้เขียนด้วยน้ำหมึก แต่ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ไม่ได้เขียนบนแผ่นศิลา แต่เขียนบนแผ่นดวงใจมนุษย์”

   (And you show that you are a letter from Christ delivered by us, written not with ink but with the  Spirit of the living God, not on tablets of stone but on tablets of human hearts.)

3:4 “เรามีความมั่นใจเช่นนี้ในพระเจ้าโดยพระคริสต์”

     (Such is the confidence that we have through Christ toward God.)

3:5 “ไม่ใช่เพราะมีความสามารถในตัวเราเองที่จะถือว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดจากตัวเราเอง แต่ความสามารถนั้นมาจากพระเจ้า” 

     (Not that we are sufficient in ourselves to claim anything as coming from us, but our sufficiency is  from God,)

3:6 “ผู้ประทานให้เราสามารถเป็นผู้ปรนนิบัติแห่งพันธสัญญาใหม่ ที่ไม่ใช่เป็นไปตามตัวอักษรที่เขียนไว้แต่เป็นไปตามพระวิญญาณ ด้วยว่าตัวอักษรที่เขียนไว้นั้นทำให้ตาย แต่พระวิญญาณประทานชีวิต”

     (who has made us sufficient to be ministers of a new covenant, not of the letter but of the Spirit.  For the letter kills, but the Spirit gives life.)

3:7 “แต่ถ้าการปรนนิบัติที่ทำให้ตายคือตามตัวอักษรที่จารึกไว้บนแผ่นศิลานั้นยังมาด้วยรัศมี (แม้จะเป็นรัศมีที่จางหายไป) ที่ทำให้พวกอิสราเอลไม่อาจเพ่งดูหน้าของโมเสสเพราะรัศมีบนใบหน้าของท่าน”

   (Now if the ministry of death, carved in letters on stone, came with such glory that the Israelites could not gaze at Moses’ face because of its glory, which was being brought to an end, )

3:8 “การปรนนิบัติตามพระวิญญาณก็จะมีรัศมียิ่งกว่านั้นอีกไม่ใช่หรือ?”

        (will not the ministry of the Spirit have even more glory?)

3:9 “เพราะว่าถ้าการปรนนิบัติที่เกี่ยวกับการลงโทษยังมีรัศมี การปรนนิบัติที่เกี่ยวกับความชอบธรรมจะยิ่งมีรัศมี​มากกว่านั้นหลายเท่า”

       (For if there was glory in the ministry of condemnation, the ministry of righteousness must far exceed it in glory.)

3:10 “อันที่จริงรัศมีที่เคยมีนั้นก็อับแสงไปแล้ว ในกรณีนี้เป็นเพราะมีรัศมีที่ยิ่งใหญ่กว่า”

       (Indeed, in this case, what once had glory has come to have no glory at all, because of the glory that surpasses it.)

3:11 “เพราะว่าถ้าสิ่งที่จางหายไปยังมาด้วยรัศมี สิ่งที่ยั่งยืนก็จะยิ่งมาด้วยรัศมีมากกว่านั้นหลายเท่านัก”

       (For if what was being brought to an end came with glory, much more will what is permanent  have glory.)

3:12 “เมื่อมีความหวังเช่นนั้นแล้วเราจึงพูดด้วยความกล้าอย่างยิ่ง”

                (Since we have such a hope, we are very bold, )

3:13 “และเราไม่เหมือนโมเสสที่เอาผ้าคลุมไว้บนใบหน้า เพื่อไม่ให้ชนอิสราเอลเพ่งดูการสิ้นสุดของรัศมีที่ค่อยๆ จางหายไปนั้น”

   (not like Moses, who would put a veil over his face so that the Israelites might not gaze at the outcome of what was being brought to an end.)

3:14 “แต่ความคิดของพวกเขามืดมัวไป เพราะว่าตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อเขาทั้งหลายอ่านพันธสัญญาเดิมผ้าคลุมนั้นยังคงอยู่ ไม่ได้ถูกเปิดออก เพราะผ้าคลุมนั้นจะถูกเปิดออกโดยพระคริสต์”

   (But their minds were hardened. For to this day, when they read the old covenant, that same veil remains unlifted, because only through Christ is it taken away.)

3:15 “แต่ว่าจนถึงทุกวันนี้ เมื่อใดที่อ่านคำของโมเสส ผ้าคลุมนั้นยังปิดบังใจของเขาไว้”

       (Yes, to this day whenever Moses is read a veil lies over their hearts.)

3:16 “แต่ถ้าใครหันมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ผ้าคลุมนั้นก็จะถูกเปิดออก”

                   (But when one turns to the Lord, the veil is removed.)

3:17 “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น”

                 (Now the Lord is the Spirit, and where the Spirit of the Lord is, there is freedom.)

3:18 “แต่เราทุกคนไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้ว และมองดูพระรัศมีขององค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วเราก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระฉายาของพระองค์โดยมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป เหมือนอย่างศักดิ์ศรีที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นพระวิญญาณ”

   (And we all, with unveiled face, beholding the glory of the Lord, are being transformed into the same image from one degree of glory to another. For this comes from the Lord who is the Spirit.)

ข้อมูลมีประโยชน์

3:1       “เราเริ่มจะยกย่องตัวเองอีกแล้วหรือ?” (Are we beginning to commend ourselves again?)

= อ.เปาโลตระหนักว่า ศัตรูหรือครูสอนเท็จในโครินธ์อาจบิดเบือนสิ่งที่ท่านเขียนและพูดไปในทางผิด จึงพูดดักคอไว้ก่อน

“จดหมายแนะนำตัว” (letters of recommendation) = จดหมายรับรอง, อ.เปาโล ไม่จำเป็นต้องมีจดหมายรับรองเหมือนพวกสอนผิดต้องการและใช้วิธีที่ไม่เหมาะสมในการได้จดหมายแนะนำนั้นมา

3:2       “ให้ทุกคนรู้และอ่าน” (to be known and read by all) = ชีวิตได้รับการเปลี่ยนแปลงด้วยฤทธิ์เดชจากอำนาจของข่าวประเสริฐ ซึ่งเห็นได้ผ่านการสำแดงที่เห็นได้ชัดเจน

3:3       “จดหมายของพระคริสต์” (a letter from Christ) = อ.เปาโลเป็นเพียงเครื่องมือที่อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า

“ไม่ได้เขียนด้วยน้ำหมึก” (written not with ink) = อย่างที่เขียนในแผ่นหนังหรือแผ่นหญ้าพาไพรัสที่หมึกอาจจางหรือลบออกได้ง่าย

“แต่ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์” (but with the Spirit of the living God )

= พระวิญญาณของพระเจ้าเป็นผู้ประทานชีวิต (ข.6) และชีวิตที่ทรงประทานเป็นนิรันดร์ และปราศจากข้อบกพร่อง

“ไม่ได้เขียนบนแผ่นศิลา” (not on tablets of stone) = อย่างที่ภูเขาซีนาย (ข.6)

“บนแผ่นดวงใจมนุษย์” ( but on tablets of human hearts) –ยรม.31:33;อสค.11:19;36:26

-อ.เปาโลอธิบายความสำคัญของความแตกต่างระหว่างพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ในข้อ 7-18

3:4-5 –ตอบคำถามจาก 2:16

3:6       “ผู้ปรนนิบัติแห่งพันธสัญญาใหม่”(ministers of a new covenant) –ผู้ปรนนิบัติ =พันธกร, คนรับใช้

“แห่ง” = “ให้กับ” (รม.15:16;คส.1:7;4:7;1ทธ.4:6)

“พันธสัญญาใหม่” – ยรม.31:31

3:7-18  -อ. เปาโลปกป้องพันธกิจแห่งพันธสัญญาใหม่ในพระคริสต์ โดยเปรียบเทียบประสบการณ์ของโมเสส พันธกรแห่งพันธสัญญาเดิมที่ซีนายกับเปาโล ในฐานะพันธกรแห่งพันธสัญญาใหม่

-รัศมีบนใบหน้าของโมเสสจางหาย แต่รัศมีที่เพิ่มขึ้นใน ข.18 สะท้อนบนใบหน้าของผู้ที่เป็นพันธกรแห่งพันธสัญญาใหม่

3:7    “มาด้วยรัศมี” (came with such glory) = บทบัญญัติในพันธสัญญาเดิม เป็นสิ่งบริสุทธิ์ชอบธรรม ดีงาม และอยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ (รม.7:12,14)

-ความชั่วร้ายอยู่ในจิตใจและในการทรงนำของคนที่ละเมิดบทบัญญัติ ที่นำโทษจากบทบัญญัติและโทษจากความตายมาสู่ตนเอง

“รัศมี” = พระเกียรติสิริของพระเจ้าเมื่อพระองค์ประทานบทบัญญัติและเป็นรัศมีที่สะท้อนบนใบหน้าของโมเสสเมื่อท่านลงมาจากภูเขา (อพย.34:29-30)

3:9       “การปรนนิบัติที่เกี่ยวกับการลงโทษ” (ministry of condemnation) –ฉธบ.27:26;2คร.3:7

“การปรนนิบัติที่เกี่ยวกับความชอบธรรม จะยิ่งมีรัศมีมากกว่านั้นหลายเท่า”( the ministry of righteousness must far exceed it in glory) –รม.1:17

= พันธกิจที่นำความชอบธรรม และชีวิตมาให้ (ไม่ใช่ความตาย) –อสย.46:13

3:11     “สิ่งที่จางหายไป” (brought to an end) = สิ่งที่กำลังเลือนหายคือ พันธสัญญาเดิมแห่งซีนายซึ่งจะไม่ดำรงอยู่ตลอดไป จะถูกแทนที่โดยพันธสัญญาใหม่ที่ไม่เลือนหาย แต่มีรัศมีเจิดจ้ากว่าในเวลาอันสมควร (ฮบ.8:7-13)

3:13     “โมเสสที่เอาผ้าคลุมไว้บนใบหน้า” (Moses, who would put a veil over his face  ) –อพย.34:33-35

-จุดประสงค์ของผ้าคลุมหน้าก็คือ เพื่อไม่ให้คนอิสราเอลเห็นรัศมีที่กำลังจางหายไป

3:14     “เพราะว่าตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อเขาทั้งหลายอ่านพันธสัญญาเดิม ผ้าคลุมหน้ายังคงอยู่”

(For to this day, when they read the old covenant, that same veil remains unlifted) = ผ้าคลุมหน้าที่บังไม่ให้พวกเขาเห็นรัศมีที่กำลังจางหายไปจากใบหน้าของโมเสส และที่ขวางกั้นไม่ให้พวกเขารับรู้ถึงความไม่ยั่งยืน และความไม่เพียงพอของพันธสัญญาเดิม ซึ่งเป็นผ้าคลุมหน้าที่ต้องถูกเอาออกไปเมื่ออยู่ในพระคริสต์

3:17     “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ” ( the Lord is the Spirit) = ประโยคที่ควรเชื่อมโยงกับท้าย ข้อ 6 ที่ว่า “แต่พระวิญญาณประทานชีวิต”

= การประกาศกล่าวโทษ และความตายที่มีต่อผู้ไม่ได้ประพฤติตามบทบัญญัติจะเป็นโมฆะและถูกแทนที่ด้วยพระคุณแห่งพันธสัญญาใหม่ เมื่อผู้นั้นหันกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระคุณแห่งพันธสัญญาใหม่ เป็นพระคุณที่ให้ชีวิตและให้แบบเปล่า ๆ

“…พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น” (…the Spirit of the Lord is, there is freedom) –ยน.8:32-33,36

3:18     “ไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้ว” (unveiled face) = แตกต่างจากโมเสส

“เราก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระฉายของพระองค์ โดยมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป”

(being transformed into the same image from one degree of glory to another.           )

= พระคริสต์ทรงเป็นพระเกียรติสิริอันเจิดจ้าและบริบูรณ์ของพระเจ้า (ฮบ.1:2-3)

= รัศมีของพระองค์เป็นนิรันดร์ไม่มีวันจางหายไป อันเป็นรัศมีที่พระองค์มีส่วนร่วมกับพระบิดามาตั้งแต่ก่อนสร้างโลกนี้ (ยน.17:5)

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยมีประสบการณ์กับการต้องทำหรือขอหนังสือรับรองตัวบ้างหรือไม่? เพื่อให้ใคร? อย่างไร?
  2. คุณจำเป็นต้องยกย่องตัวเองหรือขอเอกสารแนะนำตัวจากคนในคริสตจักรของคุณหรือไม่? ทำไม?
  3. หากให้สรุปมาเหลือเพียงประโยคเดียว คุณสามารถพรรณนาถึงตัวของคุณในสายตาคนอื่นว่าอย่างไร? ทำไม? (มีอะไรเป็นจุดเด่นของคุณที่คนอื่น ๆ เห็นชัด)
  4. มีผู้ใดหรือใครบ้างที่สามารถเป็น “จดหมายแนะนำตัว” ของคุณที่ชัดเจนที่สุด? อย่างไร?
  5. คุณมีประสบการณ์อะไรกับการประทานชีวิตของพระวิญญาณในชีวิตของคุณ? (แบ่งปัน)
  6. มีเรื่องใดบ้างในพระคัมภีร์เดิมที่คุณเชื่อว่าเป็นเสมือน “รัศมีที่อับแสง” หรือ “กำลังอับแสง” บ้าง? ทำไมคุณคิดอย่างนั้น?
  7. คุณเคยมีประสบการณ์กับการอ่านพระคัมภีร์แล้วรู้สึกเหมือนผ้าคลุมถูกเปิดออกบ้างไหม? ข้อไหน? ตอนไหน? และอย่างไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2โครินธ์ บทที่ 2

จงให้อภัยเถิด!

พระธรรม        2โครินธ์ 2:17

อ้างอิง             2คร.12:21;10:6;9:13;8:18-22;7:6-13;15-16;5:12;4:3-4;3:5-6;1คร.5:1-2,4-8;1:18

บทนำ           อาจจะมีคนบางคนกระทำผิดบางอย่างที่ต้องได้รับการลงวินัย หรือการลงโทษ อาจจะมีบางเวลาที่การลงโทษ/ลงวินัยคน ๆ นั้นสมควรยุติลง และเป็นเวลาแห่งการเล้าโลมใจให้โอกาสเริ่มต้นใหม่แก่คนผู้นั้น การให้อภัยแก่คนทำผิดที่กลับใจใหม่เป็นสิ่งที่เราสมควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง!

บทเรียน

 2:1 “เพราะข้าพเจ้าตั้งใจไว้ว่าจะไม่มาทำให้พวกท่านเกิดความทุกข์โศกอีก” 

               (For I made up my mind not to make another painful visit to you.)

2:2 “เพราะถ้าข้าพเจ้าทำให้พวกท่านทุกข์โศก ใครเล่าจะทำให้ข้าพเจ้ายินดี ถ้าไม่ใช่คนที่ข้าพเจ้าทำให้ทุกข์โศก?” 

               (For if I cause you pain, who is there to make me glad but the one whom I have pained? )

2:3 “ข้าพเจ้าเขียนข้อความนั้นเพื่อว่า เมื่อมาถึงแล้วข้าพเจ้าจะไม่ได้รับความทุกข์โศกจากคนเหล่านั้นที่ควรจะทำให้ข้าพเจ้าชื่นชมยินดี ข้าพเจ้ามั่นใจในท่านทุกคนว่า เมื่อข้าพเจ้ายินดี พวกท่านทุกคนก็จะยินดีด้วย” 

     (And I wrote as I did, so that when I came I might not suffer pain from those who should have  made me rejoice, for I felt sure of all of you, that my joy would be the joy of you all. )

2:4 “เพราะว่าข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงพวกท่านด้วยความยากลำบากและระทมใจอย่างยิ่งรวมทั้งน้ำตาไหลมากมาย ไม่ใช่เพื่อจะทำให้พวกท่านทุกข์โศก แต่เพื่อให้ท่านรู้จักความรักมากมายที่ข้าพเจ้ามีต่อท่านทั้งหลาย”

     (For I wrote to you out of much affliction and anguish of heart and with many tears, not to cause  you pain but to let you know the abundant love that I have for you.)

2:5 “ถ้าคนไหนทำให้เกิดความทุกข์โศก คนนั้นก็ไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าทุกข์โศกเพียงคนเดียว แต่ยังทำให้พวกท่านเป็นทุกข์ด้วยบ้าง (ที่ว่า “บ้าง” นั้นก็เพื่อจะไม่พูดแรงเกินไป)” 

     (Now if anyone has caused pain, he has caused it not to me, but in some measure—not to put it  too severely—to all of you.)

2:6 “การที่คนส่วนมากได้ลงโทษคนนั้นก็พอแล้ว” 

     (For such a one, this punishment by the majority is enough,)

2:7 “ฉะนั้นท่านทั้งหลายควรจะยกโทษและปลอบใจคนนั้นมากกว่า เพื่อว่าเขาจะไม่จมลงในความทุกข์มากมาย”

(so you should rather turn to forgive and comfort him, or he may be overwhelmed by excessive sorrow.) 

2:8 “ดังนั้นข้าพเจ้าขอร้องพวกท่านให้ยืนยันความรักต่อคนนั้นใหม่” 

     (So I beg you to reaffirm your love for him.)

2:9 “นี่คือเหตุที่ข้าพเจ้าได้เขียนถึงพวกท่านก่อนหน้านี้ คือจะทดสอบพวกท่านดูว่าท่านจะยอมเชื่อฟังในทุกเรื่อง หรือไม่” 

     (For this is why I wrote, that I might test you and know whether you are obedient in everything.)

2:10 “ถ้าพวกท่านยกโทษให้ใคร ข้าพเจ้าก็จะยกโทษให้เขาด้วย และถ้าข้าพเจ้ายกโทษเรื่องอะไรไป (ถ้ามีเรื่องใดที่ข้าพเจ้าจะต้องยกโทษให้) ข้าพเจ้าก็ทำเฉพาะพระพักตร์พระคริสต์เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลาย” 

     (Anyone whom you forgive, I also forgive. Indeed, what I have forgiven, if I have forgiven anything, has been for your sake in the presence of Christ,)

2:11 “เพื่อไม่ให้ซาตานได้เปรียบเรา เพราะเรารู้กลอุบายของมันแล้ว”

     (so that we would not be outwitted by Satan; for we are not ignorant of his designs.)

2:12 “เมื่อข้าพเจ้าไปถึงเมืองโตรอัสเพื่อประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์นั้น มีช่องทางเปิดให้กับข้าพเจ้าโดยองค์พระผู้เป็นเจ้า”

       (When I came to Troas to preach the gospel of Christ, even though a door was opened for me in the Lord,)

2:13 “แต่ข้าพเจ้ายังไม่มีความสบายใจเลย เพราะไม่พบทิตัสน้องของข้าพเจ้าที่นั่น ข้าพเจ้าจึงอำลาพวกนั้นและเดินทางไปยังแคว้นมาซิโดเนีย”

       (my spirit was not at rest because I did not find my brother Titus there. So I took leave of them  and went on to Macedonia.)

2:14 “แต่ขอบพระคุณพระเจ้า ผู้ทรงนำเราด้วยความมีชัยในขบวนฉลองชัยเสมอมาในพระคริสต์ และพระองค์ประ‌ทานกลิ่นหอมที่เกิดจากการรู้จักพระองค์ ให้ปรากฏทั่วทุกแห่งโดยเรา” 

     (But thanks be to God, who in Christ always leads us in triumphal procession, and through us  spreads the fragrance of the knowledge of him everywhere.)

2:15 “เพราะว่าเราเป็นกลิ่นหอมหวานที่พระคริสต์ถวายแด่พระเจ้าในหมู่คนที่กำลังจะรอด และในหมู่คนที่กำลังจะพินาศ”

                 (For we are the aroma of Christ to God among those who are being saved and among those  who are perishing, )

2:16 “สำหรับพวกหนึ่งเป็นกลิ่นของความตายที่นำไปสู่ความตาย และอีกพวกหนึ่งเป็นกลิ่นของชีวิตที่นำไปสู่ชีวิตใครเล่าเหมาะสมกับพันธกิจที่กล่าวมานี้” 

         (to one a fragrance from death to death, to the other a fragrance from life to life. Who is sufficient  for these things? )

2:17 “เพราะว่าเราไม่เหมือนคนมากมายที่หากำไรจากพระวจนะของพระเจ้า แต่เรากล่าวโดยพึ่งพระคริสต์อย่างคนที่จริงใจ เหมือนอย่างคนที่มาจากพระเจ้า และอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า”

    (For we are not, like so many, peddlers of God’s word, but as men of sincerity, as commissioned by God, in the sight of God we speak in Christ.)

 ข้อมูลมีประโยชน์

 2:1       “…จะไม่ทำให้พวกท่านเกิดความทุกข์โศกอีก” (…not to make another painful visit to you) = จะไม่แวะมาทำให้เจ็บปวดอีกครั้ง (2คร.1:23) อ.เปาโล ทำให้ชาวโครินธ์เจ็บปวดมาแล้วครั้งหนึ่ง จึงไม่อยากไปเยี่ยมในลักษณะเดียวกันอีก แม้ว่าท่านจะมีสิทธิอำนาจที่สามารถใช้ได้เมื่อจำเป็น (ปท.13:2)

-ไม่ใช่เกิดขึ้นในครั้งแรกตอนที่ตั้งคริสตจักร ดังนั้น ต้องเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งยืนยันใน 12:14;13:1

-อ.เปาโลบอกว่า จะไปเยี่ยมอีกเป็นครั้งที่ 3

-การไปเยี่ยมครั้งที่ 2 อาจอยู่ในช่วงระหว่างการเขียน 1 โครินธ์ กับ 2 โครินธ์

2:2       “เพราะถ้าข้าพเจ้าทำให้พวกท่านทุกข์โศก” (if I cause you pain) –2คร.7:8

2:3       “ข้าพเจ้าเขียนข้อความนั้น” (I wrote as I did) –2คร.2:4,9;7:8,12

“จะไม่ได้รับความทุกข์โศก” (I might not suffer pain) –2คร.12:21

“ข้าพเจ้ามั่นใจ” (I felt sure ) –2คร.7:16;8:22;กท.5:10;2ธส.3:4;ฟม.21

2:4       “เพราะว่าข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงพวกท่าน” (I wrote to you) – 2คร.2:3,9;7:8,12

2:5-11  -ในตอนนี้กำลังกล่าวถึง สมาชิกคนหนึ่งในคริสตจักร โครินธ์ ที่ทำผิดร้ายแรง และคริสตจักรได้ลงวินัยเขา และในเวลานี้ อ.เปาโลปรามชาวโครินธ์ว่า พวกเขาควรยุติการลงโทษได้แล้ว เพราะว่า ผู้กระทำผิดได้สำนึกผิดจริง ๆ และกลับใจจากบาปนั้นแล้ว พวกเขาจึงควรเห็นใจและต้อนรับคน ๆ นั้นให้กลับคืนสู่สามัคคีธรรมของคริสตจักร (เรื่องนี้อาจเกิดขึ้นในตอนที่ อ.เปาโลไปเยี่ยมเยียน และอาจส่งให้มีการลงวินัยผู้นั้น (3-4) แต่บางทัศนะเชื่อว่า อ.เปาโล หมายถึงเหตุการณ์ใน 1 โครินธ์ 5)

2:5       “ถ้าคนไหนทำให้เกิดความทุกข์โศก” (if anyone has caused pain) -1คร.5:1,2

2:6       “ได้ลงโทษ” (this punishment) –1คร.5:4,5;2คร.7:11

2:7       “ท่านทั้งหลายควรจะยกโทษและปลอบใจคนนั้นมากกว่า” (you should rather turn to forgive and comfort him) -กท.6:1;อฟ.4:32;คส.3:13;2คร.1:3-7

2:9       “จะทดสอบพวกท่านดูว่า ท่านจะยอมเชื่อฟังในทุกเรื่องหรือไม่?“ (I might test you and know whether you are obedient in everything.) –2คร.7:15;10:6

2:11     “เพื่อไม่ให้ซาตานได้เปรียบเรา” (so that we would not be outwitted by Satan) –เพื่อไม่ให้เสียทีซาตาน (มธ.16:23;1ยน.3:8; ปท.อุบายของซาตาน –ปฐก.3:1;ลก.22:31;ยน.8:44;1ปต.5:8

2:12     “เมืองโตรอัส” (Troas ) –เปาโล เดินทางจากเอเฟซัสขึ้นไปเมืองโตรอัส (ซึ่งอยู่บนชายฝั่งทะเล อีเจียน กจ.16:8) หวังจะพบทิตัสที่นั่น และอาจได้ข่าวเกี่ยวกับคริสตจักรโครินธ์ จึงเดินทางไปแคว้นมาซิโดเนีย     (ข.13) บางทีอาจไปเมืองฟิลิปปี

“มีช่องทางเปิดให้กับข้าพเจ้า” (a door was opened for me) -กจ.14:27;วว.3:8;

ปท. 1คร.16:9;คส.4:3

2:13     “น้องของข้าพเจ้า” (my brother ) –ปท.8:23 -อ.เปาโลให้เกียรติและวางใจมอบหมายให้ทิตัสเป็นผู้จัดการรวบรวมทุนในโครินธ์ เพื่อช่วยเหลือคริสเตียนที่ขัดสนในกรุงเยรูซาเล็ม (8:6) และให้เขาถือจดหมายไปยังเมืองโครินธ์ (8:16-17)

2:14     “แต่ขอบคุณพระเจ้า” (But thanks be to God) = ในตอนนี้ อ.เปาโลพักเรื่องการเดินทางของท่านลง แล้วออกนอกเรื่องไป (ก่อนจะกลับเข้ามาอีกทีใน 7:5) แต่ยังคงเกี่ยวข้องกับประเด็นของจดหมายฉบับนี้ โดยพรั่งพรูความเชื่อที่มีชัยออกมาเป็นคำขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าที่มีพระคุณเพียงพอเสมอสำหรับในทุกสถานการณ์

“ผู้ทรงนำเราด้วยความมีชัย” ( who in Christ always leads us in triumphal procession) =ภาพแห่งชัยชนะของกองทัพโรม ที่แม่ทัพจะนำทหารของตน รวมทั้งเชลยศึกมาในขบวนฉลองรื่นเริง โดยมีผู้คนเฝ้าดู ปรบมือยินดีและบรรยากาศเต็มไปด้วยกลิ่นหอมซึ่งถูกเผาอยู่ตามถนนหนทาง –(ปท.1คร.4:9)

“ให้ปรากฏทั่วทุกแห่ง” (of the knowledge of him everywhere) –1ธส.1:8

2:15     “เพราะว่าเราเป็นกลิ่นหอมหวาน” (For we are the aroma) –ปฐก.8:21;อพย.29:18;กดว.15:31; 2คร.2:14

“ในหมู่คนที่กำลังจะพินาศ” (among those who are perishing) –1คร.1:18

2:16     “กลิ่นของความตาย…กลิ่นของชีวิต” (a fragrance from death to death… a fragrance from life to life.) -กลิ่นของข่าวประเสริฐผ่านคำพยานที่ดีของคริสเตียนเป็นกลิ่นหอมหวาน แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของผู้รับ ซึ่งมีอยู่ 2 ประเภท คือ “คนที่กำลังจะรอด” กับ “คนที่กำลังจะพินาศ” (ข.15)

-สำหรับพวกที่ 2 นั้น คริสเตียนที่เป็นพยาน(ไม่ใช่เพราะข่าวประเสริฐ) คือ กลิ่นแห่งความตาย เพราะว่าพวกเขาปฏิเสธพระคุณของพระเจ้าที่จะช่วยชีวิตของเขา เขาจึงต้องได้รับความตายซึ่งเป็นการเลือกของตัวเขาเอง แต่สำหรับคนที่ต้อนรับข่าวประเสริฐและพระคุณของพระเจ้า คำพยานของคริสเตียนก็เป็นดุจกลิ่นหอมหวานแห่งชีวิต

“ใครเล่าเหมาะสมกับพันธกิจที่กล่าวมานี้” (Who is sufficient for these things? ) -3:4-6

2:17     “เราไม่เหมือนคนมากมายที่หากำไรจากพระวจนะของพระเจ้า” (we are not, like so many, peddlers of God’s word) = ไม่เร่ขายพระวจนะของพระเจ้าเพื่อหากำไร

-อ.เปาโลกำลังหมายถึง ผู้สอนเทียมเท็จที่แทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรโครินธ์ ทั้งไม่จริงใจ เย่อหยิ่ง อวดตัว

สร้างภาพให้ดึงดูดใจผู้อื่น แต่สิ่งที่พวกเขาสนใจคือ เงินจากสมาชิกที่เชื่อคนง่าย (ปท. มคา.3:5,11)

-แต่ อ.เปาโล เทศนาด้วยความจริงใจ ไม่คิดเงิน และระวังตัวไม่ให้เป็นภาระทางการเงินของคริสตจักร

โครินธ์ (11:7-9;1คร.9:7-15)

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยทำให้ผู้ใดเจ็บปวดบ้าง? เรื่องอะไร? เป็นความผิดของผู้ใด? คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง?
  2. คุณเคยทำให้ผู้ใดเสียใจ แต่เกิดผลดีในภายหลังบ้างไหม? เรื่องอะไร?
  3. คุณเคยจัดการกับผู้ที่กระทำผิดในคริสตจักรหรือในที่อื่นใด ที่สร้างความเศร้าเสียใจให้แก่คุณ และหลาย ๆ คนบ้างไหม? คุณทำอย่างไร? แล้วผลออกมาคืออะไร?
  4. คุณเคยเห็นการลงโทษหรือลงวินัยกับบุคคลหนึ่งบุคคลใดที่หนักเกินไปหรือยาวนานเกินไปกับกรณีใดกรณีหนึ่งที่คุณคิดว่า น่าจะเพียงพอแล้วบ้างหรือไม่? แล้วคุณทำอะไรบ้าง?
  5. คุณเคย “ยืนยันความรัก” ต่อคนกระทำผิดคนใดหรือขอให้คนอื่นกระทำเช่นนั้นบ้างหรือไม่? เหตุการณ์คืออะไร? และคุณทำอย่างไร? แล้วผลออกมาเป็นอย่างไร?
  6. เวลานี้มีเรื่องใดบ้างที่คุณรู้ว่า ควรทำ แต่คุณยังคงไม่ยอมเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้าหรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงดลใจคุณให้กระทำ เพราะว่าใจของคุณไม่ยอมยกโทษให้แก่ผู้ที่กระทำบางอย่างที่ทำให้คุณรู้สึกเจ็บปวดบ้าง? คุณจะทำเช่นนี้ต่อไปหรือปรับเปลี่ยนอะไรบ้าง? อย่างไร?
  7. เวลานี้มีประตู หรือช่องทางในการประกาศข่าวประเสริฐใดบ้างที่พระเจ้าให้คุณได้เห็น? แล้วคุณจะทำอะไรหรือไม่? และอย่างไร เพื่อฉวยโอกาสนั้นด้วยความเชื่อฟังพระเจ้า?
  8. เวลานี้ คุณกำลังเป็นกลิ่นหอมของพระคริสต์อยู่หรือไม่? อย่างไร? มีผู้ใดบ้างที่ได้รับความรอด เพราะชีวิตของคุณเป็นกลิ่นหอมแห่งชีวิตของพระคริสต์?

ก………………………………………………..

ข…………………………………………………

** มีผู้ใดบ้างที่ปฏิเสธความรอดที่คุณนำเสนอให้ และคุณเสียใจมาก? แล้วคุณจะช่วยเขาได้อย่างไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์