Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระธรรมโยนาห์ บทที่ 1

หนีพระเจ้า?

พระธรรม        โยนาห์ 1:1-17

อ้างอิง            มธ.12:39-41;16:4;ลก.11:29-32;ปฐก.10:11;สดด.139:7;107:23-26,29;96:9;18:6;120:1;สภษ.21:30;พคค.3:55

บทนำ            คุณเคยหนีพระเจ้าทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่ควรบ้างหรือไม่?

คุณเคยดื้อรั้นต่อพระเจ้า และไม่ยอมทำในสิ่งที่พระเจ้าบัญชาบ้างหรือไม่?

แล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไร?

บทเรียน

1:1      “พระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงโยนาห์ บุตรอามิททัยว่า” 

(Now the word of the Lord came to Jonah the son of Amittai, saying, )

1:2      “จงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์นครใหญ่ และร้องกล่าวโทษชาวเมืองนั้น เพราะความชั่วของเขาทั้งหลายได้ขึ้นมาอยู่ต่อหน้าเราแล้ว” 

(“Arise, go to Nineveh, that great city, and call out against it, for their evil has come up before me.” )

1:3      “แต่โยนาห์ได้ลุกขึ้นหนีไปยังเมืองทารชิชจากพระพักตร์พระยาห์เวห์ ท่านได้ลงไปยังเมืองยัฟฟา และพบเรือกำปั่นลำหนึ่งกำลังไปเมืองทารชิช ดังนั้นท่านจึงชำระค่าโดยสาร และลงเรือเดินทางร่วมกับเขาทั้งหลายไปยังเมืองทารชิช ให้พ้นจากพระพักตร์พระยาห์เวห์”

(But Jonah rose to flee to Tarshish from the presence of the Lord. He went down to Joppa and found a ship going to Tarshish. So he paid the fare and went down into it, to go with them to Tarshish, away from the presence of the Lord.)

1:4      “แต่พระยาห์เวห์ทรงให้เกิดลมใหญ่ขึ้นเหนือทะเล จึงเกิดพายุใหญ่ในทะเลนั้น จนเรือกำปั่นจะอับปาง” 

(But the Lord hurled a great wind upon the sea, and there was a mighty tempest on the sea, so that the ship threatened to break up.)

1:5      “แล้วบรรดาลูกเรือก็กลัว ต่างก็ร้องขอต่อพระของตน และโยนสินค้าในเรือกำปั่นลงในทะเล เพื่อให้เรือเบาขึ้น แต่โยนาห์ได้ลงไปนอนหลับสนิทอยู่ในท้องเรือ”

(Then the mariners were afraid, and each cried out to his god. And they hurled the cargo that was in the ship into the sea to lighten it for them. But Jonah had gone down into the inner part of the ship and had lain down and was fast asleep.)

1:6      “นายเรือจึงมาหาท่านและพูดกับท่านว่า “เจ้าหลับทำไม? อะไรกันนี่? ลุกขึ้นซิ จงร้องขอต่อพระของเจ้า บางทีพระนั้นจะทรงระลึกถึงพวกเราบ้าง เพื่อเราจะไม่พินาศ

(So the captain came and said to him, “What do you mean, you sleeper? Arise, call out to your god! Perhaps the god will give a thought to us, that we may not perish.”)

1:7      “เขาทั้งหลายก็พูดกันว่า “มาเถอะ ให้เราจับฉลากกัน เพื่อเราจะรู้ว่า ใครเป็นต้นเหตุให้ภัยนี้เกิดขึ้นกับเรา” ดังนั้นเขาก็จับฉลาก ฉลากนั้นตกที่โยนาห์” 

(And they said to one another, “Come, let us cast lots, that we may know on whose account this evil has come upon us.” So they cast lots, and the lot fell on Jonah. )

1:8      “พวกเขาจึงพูดกับท่านว่า “จงบอกเรามาเถิดว่า ภัยซึ่งเกิดขึ้นแก่เรานี้ ใครเป็นต้นเหตุ? เจ้ามีอาชีพอะไร? และเจ้ามาจากไหน? ประเทศของเจ้าชื่ออะไร? เจ้าเป็นคนชาติไหน?” 

(Then they said to him, “Tell us on whose account this evil has come upon us. What is your occupation? And where do you come from? What is your country? And of what people are you?” )

1:9      “แล้วท่านตอบพวกเขาว่า “ข้าเป็นคนฮีบรู และข้าเกรงกลัวพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ผู้ทรงสร้างทะเลและแผ่นดินแห้ง” 

(And he said to them, “I am a Hebrew, and I fear the Lord, the God of heaven, who made the sea and the dry land.” )

1:10    “คนเหล่านั้นก็กลัวกันใหญ่ จึงพูดกับท่านว่า “เจ้าทำอะไรอย่างนี้?” เพราะคนเหล่านั้นทราบแล้วว่า ท่านกำลังหลบหนีจากพระพักตร์พระยาห์เวห์ เพราะท่านบอกกับพวกเขาอย่างนั้น”

(Then the men were exceedingly afraid and said to him, “What is this that you have done!” For the men knew that he was fleeing from the presence of the Lord, because he had told them.)

1:11    “พวกเขาจึงพูดกับท่านว่า “เราควรจะทำอย่างไรแก่เจ้า เพื่อทะเลจะได้สงบลงเพื่อเรา?” เพราะทะเลยิ่งกำเริบมากขึ้นทุกที”

(Then they said to him, “What shall we do to you, that the sea may quiet down for us?” For the sea grew more and more tempestuous. )

1:12    “ท่านจึงตอบเขาทั้งหลายว่า “จงจับข้าโยนลงทะเลก็แล้วกัน ทะเลก็จะสงบลงเพื่อพวกท่าน เพราะข้ารู้ว่า พายุใหญ่นี้เกิดขึ้นกับพวกท่าน ก็เพราะตัวข้าเอง” 

(He said to them, “Pick me up and hurl me into the sea; then the sea will quiet down for you, for I know it is because of me that this great tempest has come upon you.”)

1:13    “อย่าง‍ไร​ก็​ตาม พวก​ลูก‍เรือ​ก็​ช่วย​กัน​ตี‍กรร‌เชียง​อย่าง​แข็ง‍ขัน​เพื่อ​จะ​นำ​เรือ​กลับ​เข้า​ฝั่ง แต่​ทำ​ไม่‍ได้ เพราะ​ทะเล​ยิ่ง​กำ‌เริบ​มาก‍ขึ้น ต้าน​พวก‍เขา​ไว้ 

(Nevertheless, the men rowed hard to get back to dry land, but they could not, for the sea grew more and more tempestuous against them. )

1:14    “ดัง‍นั้น พวก‍เขา​จึง​ร้อง‍ทูล​พระ‍ยาห์‌เวห์​ว่า “ข้า‍แต่​พระ‍ยาห์‌เวห์ ข้า‍พระ‍องค์‍ทั้ง‍หลาย​ขอ​วิง‍วอน​ต่อ​พระ‍องค์ ขอ​อย่า​ให้ พวก‍ข้า‍พระ‍องค์​พินาศ เพราะ​ชีวิต​ของ​ชาย​ผู้‍นี้​เลย ขอ​อย่า​ให้​โทษ​ของ​การ​ทำ​ให้​โลหิต​ที่​ไร้​ความ​ผิด​ตก​มา​เหนือ​ข้า‍พระ‍องค์‍ทั้ง‍หลาย ข้า‍แต่​พระ‍ยาห์‌เวห์ เพราะ​พระ‍องค์​ได้​ทรง​ทำ​สิ่ง​ที่​พระ‍องค์​พอ‍พระ‍ทัย” 

(Therefore they called out to theLord, “O Lord, let us not perish for this man’s life, and lay not on us innocent blood, for you, O Lord, have done as it pleased you.” )

1:15    “พวก‍เขา​จึง​จับ​โย‌นาห์​โยน​ลง​ทะเล แล้ว​ทะเล​ก็​เงียบ‍สงบ​จาก​ความ​รุน‍แรง” 

(So they picked up Jonah and hurled him into the sea, and the sea ceased from its raging. )

1:16    “คน​เหล่า‍นั้น​ก็​เกรง‍กลัว​พระ‍ยาห์‌เวห์​ยิ่ง‍นัก พวก‍เขา​จึง​ได้​ถวาย​สัตว‌บูชา​แด่​พระ‍ยาห์‌เวห์​และ​ได้​บน‍บาน​ไว้”

(Then the men feared the Lord exceedingly, and they offered a sacrifice to the Lord and made vows.)

1:17    “และ​พระ‍ยาห์‌เวห์​ทรง​กำ‌หนด​ให้​ปลา​มหึมา​ตัว‍หนึ่ง​กลืน​โย‌นาห์​เข้า​ไป โย‌นาห์​ก็​อยู่​ใน​ท้อง‍ปลา​นั้น​สาม​วัน​สาม​คืน”

(And the Lord appointed a great fish to swallow up Jonah. And Jonah was in the belly of the fish three days and three nights.)

ข้อมูลมีประโยชน์

1:1       “พระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงโยนาห์” (Now the word of the Lord came to Jonah)

–มธ.12:39-41;16:4;ลก.11:21-32

“อามิททัย” (Amittai) –2พกษ.14:25

1:2       “นีนะเวห์” (Nineveh) –ปฐก.10:11;นฮม.1:1

“นครใหญ่” (great city) -3:2-3;4:11

-นิมโรด เป็นผู้สร้างนครนีนะเวห์ และเรียกขานกันมาว่า “นครใหญ่” –ปฐก.10:12

-ราว 700 ก.ค.ศ. กษัตริย์เซนนาเคอริบ สถาปนานีนะเวห์ให้เป็นเมืองหลวงของอัสซีเรีย ซึ่งต่อมาล่มสลาย ในปี 612 ก.ค.ศ.

-นีนะเวห์อยู่ห่างไกลจากกัทเฮเฟอร์บ้านเกิดของโยนาห์ ราว 800 กิโลเมตร

“ความชั่วของเขาทั้งหลายได้ขึ้นมาอยู่ต่อหน้าเราแล้ว” (for their evil has come up before me)

= ได้ดังกระฉ่อน   ปท.โสโดม และโกโมราห์ (ปฐก.18:20-21)

-ในพระธรรมตอนนี้ กล่าวถึง การทารุณ (3:8) และการประพฤติชั่ว (3:8-10) ของนครนี้ แต่ในพระธรรม

นาฮูม ได้บรรยายถึงนีนะเวห์ว่า มีการวางแผนร้ายต่อสู้พระเจ้า เล่นคาถาอาคม และการเอารัดเอาเปรียบทางการค้า (นฮม.1:11;2:12-13;3:1,4,16,19)

1:3       “หนี” (to flee) –โยนาห์ให้เหตุผลไว้ใน 4:2 –ใน สดด.139:7-2 ยืนยันว่า การพยายามหนีจากพระเจ้านั้นการเปล่าประโยชน์

“ทารชิช” (Tarshish) –อาจเป็นเหมืองทาร์เทสซัสในตอนเหนือของสเปน ซึ่งเป็นอาณานิคมเหมืองแร่ของฟินิเซียที่อยู่ใกล้ กิบรัลทาร์

การตั้งใจมุ่งหน้าไปทิศตรงข้ามกับนีนะเวห์อย่างสุดกู่นี้ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของโยนาห์ที่จะหนีจากงานที่พระเจ้ามอบหมายให้ทำ –ปฐก.10:4

“ยัฟฟา” (Joppa) –ยชว.19:46;กจ.9:36,43

1:4-16 =นักวิชาการบางส่วนมองดูเหตุการณ์นี้เป็นปริศนาธรรมว่า ชาวต่างชาติ (มีพวกกัปตัน/ลูกเรือเป็นสัญลักษณ์) ถูกข่มขวัญด้วยการ พิพากษาของพระเจ้า (พายุ) โดยมีอิสราเอล(โยนาห์) อยู่ท่ามกลางพวกเขา หากโยนาห์(อิสราเอล) ไม่ทำตามพันธกิจที่ได้รับมอบหมายจากพระบัญชาจากพระเจ้าให้สำเร็จลุล่วง พวกลูกเรือ (ชนชาติทั้งหลาย) ก็จะไม่มีทางรอด

-ดังนั้น เพื่อช่วยให้ลูกเรือรอด โยนาห์เองต้องตาย (1:1;กจ.27:13-44)

1:4-5    -พันธกิจของโยนาห์คือ นำคำเตือนเรื่องการพิพากษาของพระเจ้าไปสู่คนต่างชาติ แต่การไม่เชื่อฟังและไม่ยอมทำตามคำบัญชาของโยนาห์ กลับทำให้คนในเรือต้องประสบพบภัยก่อน

1:4       “พระยาห์เวห์ทรงให้เกิดลมใหญ่” (the Lord hurled a great wind ) = แสดงให้เห็นถึงฤทธานุภาพสูงสุดของพระเจ้า ซึ่งไม่เพียงแค่นั้น พระองค์ยังให้ปลาใหญ่( ข.17) มากลืนตัวโยนาห์, สำรอกเขาออกมาจากท้อง (2:10) ให้มีเถาไม้เลื้อย (4:6), และมีหนอน (4:7) และลมตะวันออกอันร้อนระอุเกิดขึ้น (4:8)

1:5       “พระของตน” ( his god ) = เทพเจ้าที่พวกเขาศรัทธา , ลูกเรือคงมาจากหลายภูมิหลังจากหลายท่าเรือที่มีการนมัสการหลายเทพเจ้า (ปฐก.28:15)

1:6       “นายเรือจึงมาหาท่าน” (the captain came) = นายเรือ(กัปตัน)เป็นห่วงทุกคนบนเรือ ผิดกับโยนาห์ ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าที่ไม่มีความเมตตา ในการนำคำเตือนของพระเจ้าไปเตือน ไปบอกชาวนีนะเวห์

1:7       “มาเถอะ ให้เราจับฉลากกัน” (Come, let us cast lots) = การจับฉลากเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันอย่างกว้างขวาง ในตะวันออกใกล้สมัยโบราณ (อาจใช้ไม้หรือก้อนหินทำเป็นเครื่องหมายมาใส่ในภาชนะ แล้วเขย่าออกมาคล้ายเสี่ยงเซียมซี) –อพย.28:30;นหม.11:1;สภษ.16:33;อสค.21:2;กจ.1:26

“ฉลากนั้นตกที่โยนาห์” (the lot fell on Jonah ) = โดยการจับฉลาก พระเจ้าเปิดเผยว่า ใครเป็นต้นเหตุของภัยพิบัติ -ยชว.7:10-18,14-26;1ซมอ.14:37-44;กดว.32:23;สภษ.16:33

1:9       “คนฮีบรู” (Hebrew) ปฐก.14:3

“พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ผู้ทรงสร้างทะเลและแผ่นดินแห้ง” ( the Lord, the God of heaven, who made the sea and the dry land) –อสร.1:2

-พวกชาวเรือเข้าใจว่า โยนาห์หมายถึงพระเจ้าสูงสุด เพราะในศาสนาต่าง ๆ ของชาวตะวันออก(ใกล้)

โบราณเชื่อว่า เทพเจ้าสูงสุดเป็นเจ้าเหนือทะเล (ยชว.3:10)

-นี่เป็นคำประกาศความเชื่อครั้งแรกของโยนาห์ และตามมาอีกใน 2:9 และ 4:2

แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ยอมทำตามพันธกิจที่พระเจ้ามอบหมายให้ทำที่นีนะเวห์

1:10     “เจ้าทำอะไรอย่างนี้” (What is this that you have done) = เจ้าทำอะไรลงไป? = คำตำหนิ

1:12     “จงจับข้าโยนลงทะเล” (“Pick me up and hurl me into the sea) = ภาพที่โยนาห์พร้อมตายเพื่อช่วยชีวิตลูกเรือ ที่แตกต่างและขัดกับที่เขาอยากให้ชาวนีนะเวห์พินาศก่อนหน้านี้ และหลังจากเหตุการณ์นี้ (4:5)

1:13     “ช่วยกันตีกรรเชียง” (rowed) = คำฮีบรูที่ให้ภาพของ “การขุด” (ด้วยพาย) เพื่อแสดงว่า ใช้แรงพยายามอย่างมาก

= ภาพที่พวกลูกเรือต้องฝืนใจโยนโยนาห์ลงทะเล เปรียบเทียบกับการที่โยนาห์ฝืนใจไปเตือนนีนะเวห์ถึง   การพิพากษาที่ใกล้เข้ามา

1:14     “ร้องทูลพระยาห์เวห์” (called out to the Lord)= ก่อนหน้านี้ พวกคนในเรือร้องเรียกเทพเจ้าของตน (ข.5) แต่ในเวลานี้พวกเขาสิ้นหวังแล้ว จึงร้องทูลวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าของโยนาห์

1:15     “ทะเลก็เงียบสงบจากความรุนแรง” (the sea ceased from its raging) –สดด.107:28;ลก.8:24

1:16     “ก็เกรงกลัวพระยาห์เวห์ยิ่งนัก” (feared the Lord exceedingly) = พวกเขายอมรับอำนาจของพระเจ้าแห่งอิสราเอลว่า เป็นผู้ควบคุมเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยยอมรับว่า พระองค์เป็นผู้ทรงฤทธิ์อำนาจก่อเกิดพายุและทำให้สงบได้

-และยอมรับว่า พระเจ้าเป็นผู้สมควรต่อการยอมรับและการนมัสการ (แต่จะตัดทิ้งเทพเจ้าหรือพระอื่น ๆ หรือไม่ไม่ได้บอกไว้) -มก.4:41

“ได้บนบานไว้” (made vows) –กดว.30:2;สดด.66:13-14

1:17     “พระยาห์เวห์ทรงกำหนดให้” (the Lord appointed) = ทรงบันดาลให้ , ทรงให้ , ทรงใช้ (4:6-8)

“ปลามหึมา” (a great fish) –สดด.74:13;อสค.32:2

“สามวันสามคืน” (three days and three nights) –เช่นเดียวกับใน มธ.12:40

= อาจหมายถึง ระยะเวลาหนึ่งวันเต็ม ๆ กับเวลาไม่เต็มอีก 2 วัน (มธ.12:40;1คร.15:4)

ในพระคัมภีร์ใหม่ ใช้ประสบการณ์ของโยนาห์ในท้องปลา เพื่อเล็งถึงการฝังพระศพ การเป็นขึ้นจากตาย และออกจากอุโมงค์ของพระเยซูคริสต์ – มธ.12:40;มธ.16:4;ลก.11:29-30

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยตระหนักว่า พระเจ้าตรัสกับคุณหรือสั่งคุณในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างเจาะจงบ้างหรือไม่? คุณรู้ได้อย่างไรว่ามาจากพระเจ้า
  2. ในเหตุการณ์ตามข้อที่ 1 นั้น คุณ
  • เชื่อฟัง – ทำตาม หรือไม่? ทำไม? หรือหาก
  • ไม่เชื่อฟัง – และไม่ทำตาม? ทำไม?แล้วผลเป็นอย่างไร?
  1. คุณเคยหาทางหนีไปให้ไกลจากพระบัญชาหรือน้ำพระทัยของพระเจ้าที่คุณรู้หรือไม่? ทำไม ? และอย่างไร?
  2. มีเหตุการณ์ใดบ้างที่คุณรู้ว่า พระเจ้าใช้มาเพื่อจัดการกับคุณ และทำให้คนอื่นพลอยเดือดร้อนไปด้วยหรือไม่? อย่างไร? (แบ่งปัน)
  1. คุณเคยถูกคนอื่นจับได้หรือไม่ว่าคุณเองเป็นสาเหตุหรือตัวปัญหาในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง? (แบ่งปัน)
  2. คุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งในชีวิตที่คุณทำให้คนอื่นเจ็บปวด หรือทุกข์ทรมานเพราะคุณบ้าง? (แบ่งปัน)
  3. คุณเคยเสียสละตัวคุณเองอย่างยิ่งใหญ่มากที่สุดบ้างหรือไม่? ในเหตุการณ์ใด? คุณรู้สึกภูมิใจกับการเสียสละนั้นหรือไม่? ทำไม ? อย่างไร?
  4. คุณเคยเห็นความพยายามที่จะช่วยตัวเองของผู้ใดที่ไปไม่รอดบ้างหรือไม่? คุณรู้สึกอย่างไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคุณรู้ว่า คุณเป็นสาเหตุของปัญหานั้น ที่มีแต่คุณคนเดียวเท่านั้นที่ช่วยเขาได้ แล้วคุณทำอะไรบ้าง?
  1. คุณเคยทำให้ผู้อื่นเกรงกลัวหรือยำเกรงพระเจ้าบ้างหรือไม่? ในเรื่องใด และผลเป็นอย่างไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระธรรมโยนาห์ บทนำ

  1. พระธรรมโยนาห์ เป็น 1 ในหมวดหนังสือ (พระธรรม)ของพระคัมภีร์เดิม ที่เรียกว่า “………………………………….. “
  2. พระธรรมในหมวดของผู้เผย(………………………………….) ที่มีอยู่ 12 เล่ม เรียกว่า ( ……………………. )
  1. ในหมวดผู้เผย (………………………………………..) นี้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ

3.1   ผู้เผยพระวจนะของอิสราเอล

๑) ………………………………

๒) ………………………………

๓) ………………………………

3.2  ผู้เผยพระวจนะของยูดาห์

๑) ………………………………

๒) ………………………………

๓) ………………………………

๔) ……………………………..

๕) ………………………………

๖) ………………………………

3.3  ผู้เผยพระวจนะหลังจากที่ยูดาห์/อิสราเอล ถูกเนรเทศ

๑) ………………………………

๒) ………………………………

๓) ………………………………

4.  โยนาห์เผยพระวจนะในช่วงกษัตริย์ 2 พระองค์ คือ

4.1 ……………………………….

4.2 ……………………………….

โยนาห์เผยพระวจนะ ในช่วงปี 784-772 B.C. หรือบางตำราว่า ช่วง 800-750 B.C

5.  ข้อมูลเกี่ยวกับตัวโยนาห์

5.1 ชื่อ “โยนาห์” (Jonah) แปลว่า (……………………………….)

5.2 โยนาห์เป็นบุตร อามิททัย (1:1) ที่มาจาก กัทเฮเฟอร์ (2พกษ.14:25) ในเศบูลุน (ยชว.19:10,13)

5.3โยนาห์อยู่ในยุคที่ กษัตริย์เยโรโบอัมที่ 2 (793-753 C) สามารถกอบกู้อาณาเขตเดิมของอิสราเอลกลับคืนมาได้ (จากอารัม/ซีเรีย/ดามัสกัส)

ก) อิสราเอลเสียดินแดนให้ดามัสกัส และถูกควบคุมกิจการภายใน (2พกษ.13:7)

ข) กษัตริย์เยโฮอาชแห่งอิสราเอลยึดดินแดนกลับคืนมาได้จากดามัสกัส (ขณะที่ดามัสกัสทำศึกกับอัสซีเรีย (2พกษ.13:25)

ค) กษัตริย์เยโรโบอัมที่ 2 ฉวยโอกาสที่อัสซีเรียมีความวุ่นวายภายใน กอบกู้อาณาเขตทางเหนือของอิสราเอลกลับคืนมาได้อย่างสมบูรณ์

5.4 เอลีชา (797 ก.ค.ศ.) เคยทูลเยโฮอาช กษัติรย์อิสราเอลว่า จะมีชัยเหนือดามัสกัส (ซีเรีย) ในอนาคต (2พกษ.13:14-19)

โยนาห์ก็พยากรณ์ว่า เยโรโบอัม (ที่2) จะกอบกู้ดินแดนได้สำเร็จ (2พกษ.14:25)

ต่อมาพวกอิสราเอลเริ่มเห่อเหิมในอำนาจใหม่ของตน พระเจ้าจึงส่งอาโมส และโฮเชยา ป่าวประกาศว่า     พระเจ้าจะไม่ละเว้นพวกเขาอีกต่อไป (อมส.7:8;8:2) และจะส่งพวกเขาไปเป็นเชลยไกลจากดามัสกัสไปอีก (อมส.5:27) นั่นคือ ไปถึงอัสซีเรีย (ฮชย.9:3;10:6;11:5) และในช่วงนี้ พระเจ้าทรงส่งโยนาห์ไปเตือนนีนะเวห์ ถึงภัยที่จะมาจากการตัดสินของพระเจ้า

6.  พระคัมภีร์ใหม่กล่าวถึง โยนาห์ ใน

-มัทธิว ……………………………………….

-ลูกา   ………………………………………..

-มัทธิว ……………………………………….

 

ศจ.ธงชัย  ประดับชนานุรัตน์

 

 

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2โครินธ์ บทที่ 13

คำตักเตือน และคำทักทายสุดท้าย

พระธรรม        2โครินธ์ 13:1-13

อ้างอิง             ฉธบ.17:6;19:15;2คร.1:23;10:8;12:14-21;1คร.1:23-25;2:3;5:4;6:14;11:28

บทนำ              ชีวิตการรับใช้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แต่ในความยากลำบากที่เผชิญ ทำให้เรามีประสบการณ์กับฤทธานุภาพของพระคริสต์ในชีวิตของเรา ดังนั้น ไม่ว่าจะยากหรือง่าย ขอให้เรายึดมั่นในพระคุณ ความรัก และสันติสุขของพระเจ้าของเราเสมอไป

บทเรียน

13:1 “ครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สามที่ข้าพเจ้ามาหาพวกท่าน “ข้อกล่าวหาใดๆ ต้องมีพยานสองสามปากจึงจะเป็นที่เชื่อถือได้” 

     (This is the third time I am coming to you. Every charge must be established by the evidence of two or three witnesses.)

13:2 “ข้าพเจ้าเคยเตือนพวกที่ทำบาปก่อนหน้านั้นและพวกที่เหลือทั้งหมด บัดนี้ข้าพเจ้าขอเตือนอีกในระหว่างที่ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ด้วย เหมือนกับที่เคยเตือนเมื่อข้าพเจ้าอยู่ด้วยในการเยี่ยมครั้งที่สองนั้นว่า เมื่อข้าพเจ้ามาอีกข้าพเจ้าจะไม่งดโทษใครเลย” 

    (I warned those who sinned before and all the others, and I warn them now while absent, as I did when present on my second visit, that if I come again I will not spare them)

13:3 “ในเมื่อท่านทั้งหลายอยากได้หลักฐานที่ว่าพระคริสต์ตรัสทางข้าพเจ้า พระคริสต์ไม่ทรงอ่อนแอต่อท่าน แต่ทรงฤทธานุภาพมากในพวกท่าน”

       (since you seek proof that Christ is speaking in me. He is not weak in dealing with you, but is  powerful among you.)

13:4 “เพราะว่าแม้พระองค์ทรงถูกตรึงเพราะทรงยอมอ่อนแอ แต่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่เพราะฤทธานุภาพของพระเจ้า เพราะว่าถึงแม้เราอ่อนแอในพระองค์ แต่ต่อพวกท่าน เราจะมีชีวิตอยู่ด้วยกันกับพระองค์เนื่องด้วยฤทธานุภาพของพระเจ้า”

   (For he was crucified in weakness, but lives by the power of God. For we also are weak in him, but in dealing with you we will live with him by the power of God.)

13:5 “จงพิจารณาตัวเองดูว่าท่านทั้งหลายดำรงอยู่ในความเชื่อหรือไม่ จงพิสูจน์ตัวเอง พวกท่านไม่ตระหนักว่า​พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในท่านทั้งหลายหรือ? นอกจากพวกท่านไม่สามารถผ่านการพิสูจน์”

   (Examine yourselves, to see whether you are in the faith. Test yourselves. Or do you not realize this about yourselves, that Jesus Christ is in you?—unless indeed you fail to meet the test! )

13:6 “ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะรู้ว่าเราไม่ใช่เป็นพวกที่ไม่สามารถผ่านการพิสูจน์” 

                 (I hope you will find out that we have not failed the test. )

13:7 “และเราอธิษฐานต่อพระเจ้าขอให้ท่านทั้งหลายไม่ทำชั่วใดๆ นั้น ไม่ได้ทำเพื่อให้เห็นว่าเราสามารถผ่านการพิสูจน์ แต่เพื่อให้พวกท่านทำสิ่งที่ดี แม้จะดูเหมือนว่าเราเองไม่สามารถผ่านการพิสูจน์ก็ตาม”

  (But we pray to God that you may not do wrong—not that we may appear to have met the test, but that you may do what is right, though we may seem to have failed.) 

13:8 “เพราะว่าเราไม่อาจจะทำสิ่งใดที่ขัดกับความจริง แต่ทำเพื่อความจริง”

       (For we cannot do anything against the truth, but only for the truth. )

13:9 “เพราะว่าเมื่อเราอ่อนแอ และพวกท่านเข้มแข็ง เราก็ยินดี เราอธิษฐานเพื่อสิ่งนี้ คือการที่ท่านทั้งหลายจะกลับสู่สภาพดีดังเดิม” 

       (For we are glad when we are weak and you are strong. Your restoration is what we pray for.)

13:10 “เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงเขียนสิ่งเหล่านี้ในระหว่างที่ข้าพเจ้าไม่อยู่ด้วย เพื่อว่าเมื่อมาถึงแล้วข้าพเจ้าจะไม่ต้องทำด้วยความเข้มงวด ในการใช้สิทธิอำนาจที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานให้แก่ข้าพเจ้า เพื่อการเสริมสร้างไม่ใช่เพื่อการทำลาย”

   (For this reason I write these things while I am away from you, that when I come I may not have to be severe in my use of the authority that the Lord has given me for building up and not for tearing down.)

13:11 “สุดท้ายนี้ พี่น้องทั้งหลาย ขอลาก่อน จงกลับสู่สภาพดีดังเดิม จงฟังคำขอร้องของข้าพเจ้า จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จงอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และพระเจ้าแห่งความรักและสันติสุขจะสถิตกับท่านทั้งหลาย” 

   (Finally, brothers, rejoice. Aim for restoration, comfort one another, agree with one another, live in peace; and the God of love and peace will be with you. 

13:12 “จงทักทายกันด้วยธรรมเนียมจูบอันบริสุทธิ์”

         (Greet one another with a holy kiss.)

13:13 “ธรรมิกชนทุกคนฝากทักทายพวกท่าน” 

         (All the saints greet you.)

13:14 “ขอให้พระคุณของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า ความรักของพระเจ้า และการมีส่วนกันที่มาจาก​พระวิญญาณบริสุทธิ์ จงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายทุกคนเถิด”

         (The grace of the Lord Jesus Christ and the love of God and the fellowship of the Holy Spirit be with you all.

 

ข้อมูลมีประโยชน์

13:1     “ครั้งที่สาม” (the third time) = ครั้งที่ 3 ที่มาเยี่ยม (มาหา) -2:1;12:14

“ข้อกล่าวหาใด ๆ ต้องมีพยานสองสามปาก” (Every charge must be established by the evidence of two or three witnesses.) –ฉธบ.17:16;19:15;มธ.18:16

13:2     “พวกที่ทำบาปก่อนหน้านั้น” (who sinned before           ) –12:21

          “พวกที่เหลือทั้งหมด” (all the others) = อาจเป็นชาวโครินธ์ที่อยู่ข้างเคียงกับผู้สอนเทียมเท็จ

“ในระหว่างที่ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ด้วย” (while absent) –2คร.13:10

“จะไม่งดโทษใครเลย” (will not spare them) –2คร.1:23

13:3     “อยากได้หลักฐานที่ว่าพระคริสต์ตรัสทางข้าพเจ้า” (seek proof that Christ is speaking in me.)

-10:10

13:4     “ถูกตรึงเพราะทรงยอมอ่อนแอ” (he was crucified in weakness) -12:10;ปท.8:9;ฟป.2:6-8;1คร.1:25;1ปต.3:13

“ฤทธานุภาพของพระเจ้า”(  the power of God.) –รม.1:4;6:4;1คร.6:14

          “อ่อนแอ” (weak) –1คร.2:3;2คร.13:9

13:5     “จงพิจารณาตัวเอง…จงพิสูจน์ตัวเอง” (Examine yourselves, … Test yourselves.)

ปท.2ปต.1:10-11;1คร.11:28;พคค.3:40;ยน.6:6

“พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในท่าน” (Jesus Christ is in you  ) –รม.8:10

13:7     “ทำสิ่งดี” (may do what is right ) = ทำสิ่งที่ถูกต้อง = เพื่อ อ.เปาโลจะได้ไม่ต้องอ้างหรือแสดงสิทธิอำนาจในการลงวินัยเมื่อท่านมาถึง

13:8     “ไม่อาจจะทำสิ่งใดที่ขัดกับความจริง” (cannot do anything against the truth) = อ.เปาโลจะใช้สิทธิอำนาจของความเป็นอัตรทูตของท่านในการสนับสนุนความจริงเท่านั้น

13:9     “เราอ่อนแอ” (we are weak) = ไม่จำเป็นต้องให้หลักฐานที่แสดงความเข้มแข็งในการเป็นอัครทูตของ อ.เปาโล (ปท.12:9-10) – 1คร.2:3

          “พวกท่านเข้มแข็ง” ( you are strong) –2คร.4:12

“กลับสู่สภาพดีดังเดิม” (restoration) –กท.6:1;2คร.13:11;อฟ.4:13

13:10   “ไม่ต้องทำด้วยความเข้มงวด” (not have to be severe) = ไม่ต้องใช้อำนาจอย่างเข้มงวด –2คร.1:23

“เพื่อการเสริมสร้างไม่ใช่เพื่อการทำลาย” (for building up and not for tearing down) -10:8

13:11-13   -คำสั่งสอนและคำทักทายในตอนสรุปนี้แสดงถึงความเชื่อมั่น

13:11   “พี่น้องทั้งหลาย” (brothers) –รม.1:13;1ธส.4:1;2ธส.3:1

“จงอยู่ร่วมกันอย่างสันติ” ( live in peace) –มก.9:50

“พระเจ้าแห่งความรัก” (God of love) –1ยน.4:8,16

“และสันติสุข” (and peace) –1ธส.5:23;ฮบ.13:20;รม.15:33;อฟ.6:23

13:12   “ธรรมเนียมจุบอันบริสุทธิ์” (Greet one another with a holy kiss.) –1คร.16:20;รม.16:16

13:13   “ธรรมิกชนทุกคน”( All the saints ) =ประชากรของพระเจ้า – รม.1:7

13:14   “พระคุณ…ความรัก..การมีส่วนกัน” ( The grace of the Lord Jesus Christ and the love of God and the fellowship) = บทอวยพรในรูปตรีเอกานุภาพ อันเป็นส่วนหนึ่งของธรรมเนียมประเพณีการนมัสการของคริสเตียนในสมัยนั้น  -ฟป.2:1;ฟป.4:23;กท.6:18;2ทธ.4:22;ฟม.25

ปท. สะท้อนพันธสัญญาเดิมเรื่องพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย –ปฐก.26:3;อสย.7:14;วว.21:3

 

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยไปเยี่ยมใครหรือกลุ่มใดเป็นครั้งที่ 3 บ้าง?(แบ่งปัน)
  2. คุณเคยเผชิญกับผู้ใดที่ทำบาปซ้ำซาก ไม่ยอมกลับใจใหม่บ้างหรือไม่? แล้วคุณรับมือกับกรณีดังกล่าวอย่างไร? ผลเป็นอย่างไร?
  3. คุณเคยอ่อนแอแต่ได้รับพลังหรือฤทธิ์เดชจากพระเจ้าในการปรนนิบัติรับใช้บ้างหรือไม่? อย่างไร (แบ่งปัน)
  4. หากวันนี้ คุณสำรวจตัวเองอย่างจริงใจ คุณคิดว่า คุณอยู่ในสภาพใด

……….1) เข้มแข็ง มั่นคงในความเชื่อเต็ม 100 %
………2) ความเชื่อของคุณมีปานกลางถึงมาก

……….3) คุณเชื่อปานกลางลงต่ำ

……….4) คุณไม่มั่นคงในความเชื่อ

ทำไมคุณเลือกข้อดังกล่าวนั้น?

  1. คุณคิดว่า เวลานี้คุณผ่านการทดสอบจากพระเจ้าหรือไม่? ทำไมคุณคิดอย่างนั้น?
  2. คุณเคยทำให้ผู้ใดเข้มแข็งขึ้นบ้าง? ในเรื่องอะไร? และอย่างไร?
  3. คุณเคยใช้อำนาจอย่างเข้มงวดในการจัดการหรือเสริมสร้างผู้ใดบ้าง? อย่างไร?
  4. คุณพร้อมเสียสละมากแค่ไหน ในการรักษาความสงบสันติ และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในคริสตจักร ในคณะ หรือในชุมชนคริสเตียน?

สิ่งที่คุณจะทำเพื่อเกิดสิ่งเหล่านั้นคือ
1)……………………………………………………………………………………..

2)……………………………………………………………………………………..

3)……………………………………………………………………………………..
ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2โครินธ์ บทที่ 12

อ่อนแอลงเมื่อใด…ก็จะเข้มแข็งขึ้นเมื่อนั้น!

พระธรรม        2โครินธ์ 12:1-21

อ้างอิง             2คร.11:5,11,16.30;10:8;8:6,16;6:4;13:1,4;2:1,4;1คร.1:11;3:3;2:3,10;15:9-10;4:14-18;10:14

บทนำ              ความเข้มแข็งของคริสเตียน ไม่ได้อยู่ที่ความสามารถหรือกำลังของตัวเอง แต่ขึ้นอยู่กับพระคริสต์ที่ทรงสถิตภายในตัวของเราทางพระวิญญาณบริสุทธิ์

ทุกครั้งที่เราถ่อมตัวถ่อมใจลงเพราะความอ่อนแอ พระเจ้าก็ทรงมีพื้นที่มากขึ้นที่จะสำแดงฤทธิ์เดชผ่านในชีวิตของเรา!

บทเรียน

12:1 “ข้าพเจ้าจำเป็นต้องอวด แม้ว่าจะไม่มีประโยชน์ แต่ข้าพเจ้าจะพูดต่อไปถึงนิมิตและการสำแดงที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า

       (I must go on boasting. Though there is nothing to be gained by it, I will go on to visions and revelations of the Lord.)

12:2 “ข้าพเจ้ารู้จักชายคนหนึ่งที่อยู่ในพระคริสต์ เมื่อสิบสี่ปีที่แล้วเขาถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นที่สาม (จะไปทั้งร่างกายหรือไปโดยไม่มีร่างกายข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้าทรงรู้)” 

  (I know a man in Christ who fourteen years ago was caught up to the third heaven—whether in the body or out of the body I do not know, God knows.)

12:3 “ข้าพเจ้ารู้ว่าชายคนนี้ (จะไปทั้งร่างกายหรือไม่มีร่างกายข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้าทรงรู้) 

(And I know that this man was caught up into paradise—whether in the body or out of the body I do not know, God knows—)

12:4 “ถูกรับขึ้นไปยังเมืองบรมสุขเกษม และได้ยินถ้อยคำที่บอกไม่ได้ซึ่งไม่อนุญาตให้มนุษย์กล่าวถึง” 

       (and he heard things that cannot be told, which man may not utter.) 

12:5 “สำหรับชายคนนั้นข้าพเจ้าอวดได้ แต่สำหรับตัวข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าจะไม่อวดเลย นอกจากจะอวดเรื่องความอ่อนแอของข้าพเจ้า”

       (On behalf of this man I will boast, but on my own behalf I will not boast, except of my Weaknesses)

12:6 “เพราะว่าถ้าข้าพเจ้าอยากจะอวดข้าพเจ้าก็ไม่ใช่คนโง่เขลา เพราะว่าข้าพเจ้าจะพูดความจริง แต่ข้าพเจ้างดไว้ เพื่อจะไม่มีใครประเมินข้าพเจ้าสูงกว่าสิ่งที่เขาได้เห็นในตัวข้าพเจ้าหรือฟังจากข้าพเจ้า” 

  (though if I should wish to boast, I would not be a fool, for I would be speaking the truth; but I refrain from it, so that no one may think more of me than he sees in me or hears from me.)

12:7 “และเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวเกินไป เนื่องจากการสำแดงอันยิ่งใหญ่ ก็ทรงให้มีหนามในเนื้อของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นทูตของซาตานที่คอยโบยตีข้าพเจ้าเพื่อข้าพเจ้าจะไม่ยกตัวเกินไป”

    (So to keep me from becoming conceited because of the surpassing greatness of the revelations, a thorn was given me in the flesh, a messenger of Satan to harass me, to keep me from becoming conceited.)

12:8 “เรื่องหนามนั้น ข้าพเจ้าวิงวอนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงสามครั้ง เพื่อขอให้มันหลุดไปจากข้าพเจ้า”

       (Three times I pleaded with the Lord about this, that it should leave me.)

12:9 “แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าแล้วว่า “การมีพระคุณของเราก็เพียงพอกับเจ้า เพราะว่าความอ่อนแอมีที่ไหน ฤทธานุภาพของเราก็ปรากฏเต็มที่ที่นั่น” เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจะอวดบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้ามากขึ้นด้วยความยินดีอย่างยิ่ง เพื่อว่าฤทธานุภาพของพระคริสต์จะอยู่ในข้าพเจ้า”

       (But he said to me,“My grace is sufficient for you, for my power is made perfect in weakness.” Therefore I will boast all the more gladly of my weaknesses, so that the power of Christ may rest upon me.)

12:10 “เพราะเหตุนี้ เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงพอใจในบรรดาความอ่อนแอ ในการถูกเยาะเย้ยต่างๆ ในความลำบาก ในการถูกข่มเหง ในเหตุวิบัติต่างๆ เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะเข้มแข็งมากเมื่อนั้น”

  (For the sake of Christ, then, I am content with weaknesses, insults, hardships, persecutions,  and calamities. For when I am weak, then I am strong.)

12:11 “ข้าพเจ้าเป็นคนโง่เขลาไปแล้วสิ พวกท่านบังคับข้าพเจ้าให้เป็น เพราะว่าข้าพเจ้าสมควรจะได้รับการยกย่องจากท่าน เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ด้อยกว่าพวกอัครทูตพิเศษเลย แม้ข้าพเจ้าจะไม่วิเศษอะไรเลย”

(I have been a fool! You forced me to it, for I ought to have been commended by you. For I was not at all inferior to these super-apostles, even though I am nothing.) 

12:12 “และคุณลักษณะต่างๆ ของอัครทูตก็ประจักษ์ชัดในหมู่พวกท่านแล้ว โดยความทรหดอดทนอย่างยิ่ง โดย​หมายสำคัญต่างๆ โดยการอัศจรรย์และการแห่งฤทธานุภาพต่าง ๆ”

         (The signs of a true apostle were performed among you with utmost patience, with signs and wonders and mighty works.)

12:13 “พวกท่านได้รับการปฏิบัติแย่กว่าคริสตจักรอื่นๆ ในเรื่องใดบ้าง? มีเพียงเรื่องนี้คือข้าพเจ้าไม่ได้เป็นภาระกับพวกท่าน ความผิดข้อนี้ขอโปรดอภัยให้ข้าพเจ้าเถิด”

         (For in what were you less favored than the rest of the churches, except that I myself did not burden you? Forgive me this wrong!)

12:14 “นี่แน่ะ ข้าพเจ้าเตรียมพร้อมที่จะมาเยี่ยมพวกท่านเป็นครั้งที่สาม และจะไม่เป็นภาระกับท่าน เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ต้องการสิ่งใดของท่านทั้งหลาย แต่ต้องการตัวท่าน เพราะว่าไม่สมควรที่ลูกๆ จะสะสมไว้สำหรับพ่อแม่ แต่พ่อแม่สมควรจะสะสมไว้สำหรับลูก” 

       (Here for the third time I am ready to come to you. And I will not be a burden, for I seek not what is yours but you. For children are not obligated to save up for their parents, but parents for their children.)

12:15 “และข้าพเจ้ามีความยินดีอย่างยิ่งที่จะสละทุกสิ่งและสละตัวเองจนหมดเพื่อเห็นแก่ท่านทั้งหลาย เมื่อ​ข้าพเจ้ารักท่านมากขึ้น พวกท่านกลับจะรักข้าพเจ้าน้อยลงหรือ?” 

         (I will most gladly spend and be spent for your souls. If I love you more, am I to be loved less?)

12:16 “พวกท่านคงยอมรับว่าข้าพเจ้าเองไม่ได้เป็นภาระกับท่าน แต่ก็ยังมีการพูดว่าข้าพเจ้าเป็นคนเจ้าเล่ห์ใช้อุบายจับท่าน” 

       (But granting that I myself did not burden you, I was crafty, you say, and got the better of you by deceit.)

12:17 “ข้าพเจ้าเอาเปรียบพวกท่านผ่านคนหนึ่งคนใดในคนเหล่านั้นที่ข้าพเจ้าส่งไปเยี่ยมพวกท่านหรือ?”

       (Did I take advantage of you through any of those whom I sent to you? )

12:18 “ข้าพเจ้าขอร้องให้ทิตัสไป และส่งพี่น้องอีกคนหนึ่งไปด้วย ทิตัสเอาเปรียบพวกท่านหรือ? เราทั้งสองดำเนินการด้วยจิตใจอย่างเดียวกันและเดินตามรอยเดียวกันไม่ใช่หรือ?”

  (I urged Titus to go, and sent the brother with him. Did Titus take advantage of you? Did we not act in the same spirit? Did we not take the same steps?)

12:19 “พวกท่านคงคิดอยู่ตลอดมาว่าเราแก้ตัวกับพวกท่าน เราพูดในพระคริสต์เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าว่า ท่านที่รักทั้งหลาย ทุกสิ่งที่เราทำนั้นก็เพื่อความเจริญของพวกท่าน

    (Have you been thinking all along that we have been defending ourselves to you? It is in the sight of God that we have been speaking in Christ, and all for your up building, beloved.)

12:20 “เพราะว่าข้าพเจ้ากลัวว่าเมื่อมาถึง ข้าพเจ้าอาจจะพบว่าพวกท่านไม่เป็นเหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าอยากเห็น และพวกท่านก็จะพบว่าข้าพเจ้าไม่เป็นเหมือนอย่างที่ท่านอยากเห็น คือกลัวว่าจะมีการทะเลาะวิวาทกัน ริษยากัน ฉุนเฉียวต่อกัน ชิงดีกัน พูดใส่ร้ายกัน ซุบซิบกัน มีความเย่อหยิ่งจองหองและความวุ่นวาย” 

  (For I fear that perhaps when I come I may find you not as I wish, and that you may find me not as you wish—that perhaps there may be quarreling, jealousy, anger, hostility, slander,  gossip, conceit, and disorder.) 

12:21 “ข้าพเจ้ากลัวว่าเมื่อข้าพเจ้ามาอีก พระเจ้าจะทรงให้ข้าพเจ้าต้องอับอายต่อหน้าพวกท่าน และข้าพเจ้าจะต้องโศกเศร้าที่หลายๆ คนทำผิด และไม่ได้กลับใจจากมลทิน จากการล่วงประเวณี และจากการลามกที่พวกเขาทำอยู่นั้น”

   (I fear that when I come again my God may humble me before you, and I may have to mourn over many of those who sinned earlier and have not repented of the impurity, sexual immorality, and sensuality that they have practiced.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

12:1     “จำเป็นต้องอวด” (boasting) = ต้องโอ้อวดต่อไป –2คร.11:16,30;12:5,9

“นิมิตและการสำแดง” ( visions and revelations ) –1คร.2:10;2คร.12:7

12:2     “ชายคนหนึ่งที่อยู่ในพระคริสต์” (a man in Christ) –รม.16:3

          “เขาถูกรับขึ้นไป” (was caught up) –กจ.8:39;2คร.12:1; = เปาโล

“สิบสี่ปีที่แล้ว” ( fourteen years ago) = ช่วงแรกของพันธกิจของ อ.เปาโล ก่อนออกเดินทางประกาศรอบแรก (กจ.13:4-14,28)

“สวรรค์ชั้นที่สาม” (to the third heaven) –อฟ.4:10

= เชื่อกันว่า มีสถานที่อยู่เหนือสวรรค์ชั้นแรกคือ บรรยากาศโลกขึ้นไปและไกลกว่าสวรรค์ชั้นนอกในอวกาศและหมู่ดาวไปสู่ที่ประทับของพระเจ้า -ใน ฮบ.4:14 จึงใช้คำว่า “ผ่านฟ้าสวรรค์” เพื่อพรรณนาถึงการที่

พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากตาย และรับพระเกียรติสิริ โดยเสด็จผ่าน “ฟ้าสวรรค์”

คำว่า “เมืองบรมสุขเกษม” –นหม.2:8;ลก.23:43;วว.2:7

ที่ผู้เชื่อที่ตายในเวลานี้ จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า (5:8;ฟป.1:23)

12:3-4 “พระเจ้าทรงรู้” (God knows) –ข.2,4 ;ปท.2คร.11:11

“เมืองบรมสุขเกษม” (the paradise) –ลก.23:43;วว.2:7

12:5     “ความอ่อนแอของข้าพเจ้า” (my weaknesses) = 1คร.2:3;2คร.12:9,10

12:6     “ถ้าข้าพเจ้าอยากจะอวด” (I should wish to boast) = เลือกจะอวด –2คร.10:6

“ไม่ใช่คนโง่เขลา” (I would not be a fool) = จะไม่เป็นเช่นคนโง่ –2คร.11:16;12:11

12:7     “การสำแดงอันยิ่งใหญ่” (greatness of the revelations) –1คร.2:10;2คร.12:1

          “หนามในเนื้อ” (a thorn was given me in the flesh) –กวด.33:55

“ทูตของซาตาน” (a messenger of Satan) –มธ.4:10; ปท. โยบ.2:7

12:8     “วิงวอน…ถึงสามครั้ง เพื่อขอให้มันหลุดไปจากข้าพเจ้า” (Three times I pleaded …., that it should leave me) –มธ.26:39,44

12:9     “การมีพระคุณของเราก็เพียงพอสำหรับเจ้า” (My grace is sufficient for you) = ทางออกที่ดีกว่าการเอาหนามออกไปจาก เปาโล เพราะความอ่อนแอของมนุษย์ เปิดโอกาสให้พระเจ้าทรงสำแดงฤทธิ์เดช

–รม.3:24

“ฤทธานุภาพของเรา” (  my power) –ฟป.4:13

“ความอ่อนแอ” (weakness) -1คร.2:3;1พกษ.19:12

12:10   “พอใจในบรรดาความอ่อนแอ” (content with weaknesses) = ชื่นชม – มธ.5:12

“ในความลำบาก” (hardships) –2คร.6:4

“ในการถูกข่มเหง” (persecutions) –2ธส.1:4

“จะเข้มแข็งมาก” (strong) –2คร.13:4

= เปรียบได้กับใน ฟิลิปปี 4:13 (ปท.13:4)

12:11   “ข้าพเจ้าเป็นคนโง่เขลาไปแล้วสิ” (I have been a fool!   ) = ข้าพเจ้าได้ทำตนเองให้เป็นคนโง่ไปแล้วสิ

-11:1

“พวกท่านบังคับข้าพเจ้าให้เป็น”(You forced me to it) = พวกท่านก็เป็นผู้ผลักดันให้ข้าพเจ้าเป็นอย่างนี้

= คริสเตียนชาวโครินธ์ กดดันให้ อ.เปาโล ต้องเขียนเรื่องราวของตัวท่านออกมาอย่างที่เป็นไป เพราะพวกเขาเชื่อและยอมรับคำกล่าวอ้างและคำกล่าวหาของพวก “ยอดอัครทูต” (เทียม) เหล่านั้น (11:5) ซึ่งแทรกซึมเข้ามาอยู่ท่ามกลางพวกเขา และท้าทายสิทธิอำนาจของ อ. เปาโล

12:12   “หมายสำคัญ…การอัศจรรย์…การแห่งฤทธานุภาพต่าง ๆ “ (signs …wonders …mighty works)

–ฮบ.2:4, อ.เปาโลได้สำแดงสิ่งต่าง ๆ ท่ามกลางคำต่าง ๆ เพื่อยืนยันกล่าวหาฐานะอัครทูตแท้ของท่าน

12:13   “ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นภาระกับพวกท่าน” (myself did not burden you?) = ข้าพเจ้าไม่เคยเป็นภาระแก่พวกท่าน – 11:7,9,12

“ความผิดข้อนี้ขอโปรดอภัยให้ข้าพเจ้าเถิด” (Forgive me this wrong!) = ถ้อยคำประชดประชันในสิ่งที่กล่าวถึงใน 11:7-12

12:14   “เป็นครั้งที่สาม” (the third time) -2:1;13:1

“ลูก ๆ” (children) -6:13, อ.เปาโลเป็นบิดาฝ่ายวิญญาณของพวกเขา

“สะสมไว้สำหรับพ่อแม่” (save up for their parents) –1คร.4:14,15

“พ่อแม่สมควรจะสะสมไว้สำหรับลูก” (parents for their children) –สภษ.19:14

12:15   “สละทุกสิ่งและสละตัวเองจนหมดเพื่อเห็นแก่ท่านทั้งหลาย” (spend and be spent for your souls)

= ฟป.2:17;1ธส.2:8

12:16   “เป็นคนเจ้าเล่ห์ใช้อุบายจับท่าน” (got the better of you   by deceit) = ใช้กลเม็ดดักจับท่าน

= เป็นการพูดเสียดสีสะท้อนการใส่ร้ายที่พวกอัครทูตเทียมเท็จใช้กล่าวหา อ.เปาโล กล่าวหาว่า อ.เปาโล อ้างเรื่องการเรี่ยไรเงินช่วยเหลือคริสเตียนยากไร้ที่กรุงเยรูซาเล็ม และจะเอาเงินเข้ากระเป๋า เปาโลเอง

12:18   “ข้าพเจ้าขอร้อง” (urged) –2คร.8:6,16

“ทิตัส…พี่น้องอีกคนหนึ่ง” (Titus …. the brother ) –8:6,16-17,18,23;2คร.2:13

12:19   “เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า” (the sight of God) –รม.9:1; ปท.1คร.4:3-4

“ทุกสิ่งที่เราทำนั้นก็เพื่อความเจริญของพวกท่าน” (all for your up building) = เพื่อเสริมสร้างพวกท่าน -10:8;รม.14:19

12:20   “ไม่เป็นเหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าอยากเห็น” (not as I wish) = ไม่เติบโต ไม่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ ไม่มีระเบียบและแตกแยก -1คร.14:33;13:1-4;4:19,21;1:11;3:3;กท.5:20;รม.1:29-30;2คร.2:1-4

12:21   “ต้องโศกเศร้า” (to mourn) –2คร.2:1,4

“หลาย ๆ คนทำผิด” (many of those who sinned) = ทำบาป, 2คร.13:2

“ล่วงประเวณีและจากการลามก” (sexual immorality, and sensuality) -1คร.5:1,11;6:13,16,18-19

คำถามนำอภิปราย

  1. ปกติคุณเป็นคนชอบอวดหรือชอบพูดโอ้อวดหรือไม่? ผลเป็นอย่างไร?

คุณเคยอยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องอวดบ้างหรือไม่? อย่างไร? แบ่งปัน

  1. คุณมีประสบการณ์ในเรื่องอะไรบ้างที่คุณมักจะนำมาเล่าหรือนำมาอวดบ่อย ๆ ? แล้วปฏิกิริยาของผู้รับฟังเป็นอย่างไร? ถวายเกียรติแด่พระเจ้ามากหรือไม่?
  2. คุณเคยมีประสบการณ์กับนิมิตหรือการสำแดงจากพระเจ้าเป็นส่วนตัวบ้างไหม? ในเรื่องอะไร? และส่งผลกระทบต่อชีวิตของคุณอย่างไรบ้าง?
  3. คุณมี “หนามในเนื้อ” อะไรในชีวิตบ้าง? สิ่งนั้นทำให้คุณเจ็บปวดหรือทำให้คุณเรียนรู้อะไรบ้าง?
  4. คุณมีประสบการณ์กับคำตรัสของพระคริสต์ต่อไปนี้หรือไม่?

“การมีพระคุณของเราก็เพียงพอกับเจ้า เพราะว่าความอ่อนแอมีที่ไหน ฤทธานุภาพของเราก็ปรากฏเต็มที่ที่นั่น” (2โครินธ์12:9) อย่างไร? (แบ่งปัน)

  1. เวลานี้คุณสามารถพูดได้อย่างเต็มปากในเรื่องใดต่อไปนี้ได้บ้าง?

“เพราะเหตุนี้ เมื่อเห็นพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงพอใจใน

…..1) บรรดาความอ่อนแอ

…..2) การถูกเยาะเย้ยต่าง ๆ

…..3) ความลำบาก

…..4) การถูกข่มเหง

…..5) เหตุวิบัติต่าง ๆ”   (2 โครินธ์ 12:10)

ทำไม?

  1. คุณเคยมีปัญหาประเภทใดบ้าง?
  • รับใช้คริสตจักรและได้รับการตอบแทน(เป็นภาระ)
  • รับใช้คริสตจักรและไม่ได้รับการตอบแทน(เป็นภาระ)? อย่างไร? และทำไม?
  1. คุณได้ลงทุน สะสมและสละตัวเองในเรื่องอะไรมากมายแค่ไหน เพื่อคริสตจักรของพระเจ้าที่คุณเป็นสมาชิก?หรือรับผิดชอบเป็นผู้นำอยู่? (แบ่งปัน)
  2. คุณเคยถูกกล่าวหาอะไรบ้างจาก(คนใน) คริสตจักรของคุณบ้าง? แล้วคุณรับมืออย่างไร?
  3. คุณได้ทำหรือนำความเจริญอะไรที่จับต้องได้มาสู่สมาชิกหรือคริสตจักรของคุณบ้าง? คุณเคยเสียใจหรืออับอายในเรื่องอะไรบ้างเกี่ยวกับ(คนใน)คริสตจักรของคุณ?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2โครินธ์ บทที่ 11

อวดเมื่อจำเป็นต้องอวด!

พระธรรม        2โครินธ์ 11:1-33

อ้างอิง             2คร.5:13-16;6:4-5;10:4;8:7;12:11-15;4:14;กจ.18:12;16:22-23;18:3;14:19;20:3;21:31;27:1-44

บทนำ

ศึกนอกใดก็ไม่หนักเท่าศึกใน

อาจารย์เปาโลเผชิญกับการต่อต้านและการข่มเหงมากมายจากผู้ไม่เชื่อ แต่ท่านก็ไม่หวั่นไหว

แต่การต่อต้านและการโจมตีจากภายในคริสตจักรที่ท่านรักต่างหากที่เป็นเรื่องสุดที่จะทนได้ของท่าน

คุณเคยมีประสบการณ์เช่นนี้ในคริสตจักรของคุณบ้างหรือไม่?

 

บทเรียน

11:1 “ข้าพเจ้าอยากขอให้ท่านทั้งหลายอดกลั้นต่อความโง่เขลาเล็กๆ น้อยๆ ของข้าพเจ้า แต่ที่จริงท่านก็อดกลั้นอยู่แล้ว”

       (wish you would bear with me in a little foolishness. Do bear with me!) 

11:2 “เพราะว่าข้าพเจ้าหวงแหนพวกท่านอย่างที่พระเจ้าทรงหวงแหน เพราะว่าข้าพเจ้าหมั้นท่านไว้กับสามีคนเดียวเพื่อถวายพวกท่านให้เป็นหญิงพรหมจารีบริสุทธิ์แด่พระคริสต์” 

    (For I feel a divine jealousy for you, since I betrothed you to one husband, to present you as a  pure virgin to Christ.)

11:3 “แต่ข้าพเจ้ากลัวว่า งูนั้นล่อลวงนางเอวาด้วยอุบายของมันอย่างไร ความคิดของท่านทั้งหลายก็จะถูกทำให้หลงไปจากความซื่อ และความบริสุทธิ์ต่อพระคริสต์อย่างนั้น” 

   (But I am afraid that as the serpent deceived Eve by his cunning, your thoughts will be led astray from a sincere and pure devotion to Christ.) 

11:4 “เพราะว่าถ้าใครมาเทศนาถึงพระเยซูอีกองค์หนึ่ง ซึ่งไม่ใชองค์ที่เราเคยเทศนานั้น หรือถ้าพวกท่านรับพระวิญญาณ ซึ่งแตกต่างจากที่ท่านเคยรับนั้น หรือรับข่าวประเสริฐซึ่งแตกต่างกับที่พวกท่านเคยรับไว้แล้ว ท่านทั้งหลายก็ช่างอดกลั้นดีจริง ๆ” 

  (For if someone comes and proclaims another Jesus than the one we proclaimed, or if you receive a different spirit from the one you received, or if you accept a different gospel from the one you accepted, you put up with it readily enough.)

11:5 “เพราะข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าไม่ด้อยกว่าอัครทูตพิเศษเหล่านั้นแม้แต่น้อยเลย 

       (Indeed, I consider that I am not in the least inferior to these super-apostles.) 

11:6 “แม้ข้าพเจ้าพูดไม่เก่ง แต่ข้าพเจ้าก็มีความรู้ดี ที่จริงเราแสดงข้อนี้ต่อพวกท่านเสมอในทุกเรื่องแล้ว”

  (Even if I am unskilled in speaking, I am not so in knowledge; indeed, in every way we have made this plain to you in all things.)

11:7 “ข้าพเจ้าทำผิดหรือที่ถ่อมใจลงเพื่อยกชูท่านขึ้น เพราะข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าแก่พวกท่านโดยไม่คิดเงิน”

    (Or did I commit a sin in humbling myself so that you might be exalted, because I preached God’s gospel to you free of charge?)

11:8 “ข้าพเจ้าปล้นคริสตจักรอื่นๆ ด้วยการรับเงินอุดหนุนจากพวกเขา เพื่อปรนนิบัติท่านทั้งหลาย”

       (I robbed other churches by accepting support from them in order to serve you.)

11:9 “และเมื่อข้าพเจ้าอยู่กับพวกท่าน และกำลังขัดสนอยู่นั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ป็นภาระกับใคร เพราะว่าพี่น้องที่มาจากแคว้นมาซิโดเนียได้จัดเตรียมสิ่งที่ข้าพเจ้าขัดสนให้กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทำตัวไม่ให้เป็นภาระกับพวกท่านในทุกด้าน และข้าพเจ้าจะทำตัวเช่นนี้ต่อไป” 

 (And when I was with you and was in need, I did not burden anyone, for the brothers who came from Macedonia supplied my need. So I refrained and will refrain from burdening you in anyway.

11:10 “ความจริงของพระคริสต์อยูในข้าพเจ้าอย่างไร จะไม่มีใครในแคว้นอาคายาที่สามารถห้ามข้าพเจ้าอวดเรื่องนี้อย่างนั้น” 

       (As the truth of Christ is in me, this boasting of mine will not be silenced in the regions of Achaia.)

11:11 “เพราะอะไร? เพราะข้าพเจ้าไม่รักพวกท่านหรือ? พระเจ้าทรงทราบดีว่าข้าพเจ้ารักพวกท่าน”

         (And why? Because I do not love you? God knows I do!)

11:12 “และสิ่งใดที่ข้าพเจ้าทำ ข้าพเจ้าก็จะทำต่อไป เพื่อปิดโอกาสคนพวกนั้นที่ชอบฉวยโอกาสให้คนยอมรับว่าเหมือนกับเรา ในสิ่งที่พวกเขาอวด” 

    (And what I am doing I will continue to do, in order to undermine the claim of those who would like to claim that in their boasted mission they work on the same terms as we do.)

11:13 “เพราะว่าคนพวกนั้นเป็นอัครทูตปลอม เป็นคนงานที่หลอกลวง พวกที่ปลอมตัวเป็นอัครทูตของพระคริสต์”

    (For such men are false apostles, deceitful workmen, disguising themselves as apostles of Christ.)

11:14 “การทำเช่นนั้นไม่ประหลาดเลย เพราะว่าซาตานเองก็ยังปลอมตัวเป็นทูตสวรรค์ของความสว่าง”

         (And no wonder, for even Satan disguises himself as an angel of light.)

11:15 “เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ผู้ปรนนิบัติของซาตาน จะปลอมตัวเป็นผู้ปรนนิบัติของความชอบธรรม บั้นปลายของพวกเขาจะเป็นไปตามการกระทำของเขา”

   (So it is no surprise if his servants, also, disguise themselves as servants of righteousness. Their end will correspond to their deeds.)

11:16 “ข้าพเจ้าขอพูดซ้ำว่าอย่าให้ใครคิดว่าข้าพเจ้าเป็นคนโง่เขลา แต่ถ้าพวกท่านคิดว่าข้าพเจ้าเป็นเช่นนั้น ก็จงยอมรับข้าพเจ้าอย่างคนโง่เขลาเถิด เพื่อว่าข้าพเจ้าจะอวดได้บ้าง” 

  (I repeat, let no one think me foolish. But even if you do, accept me as a fool, so that I too may boast a little.) 

11:17 “(การที่ข้าพเจ้าพูดอย่างนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้พูดตามหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่พูดอย่างคนโง่เขลาที่อวดด้วยความมั่นใจตัวเอง” 

       (What I am saying with this boastful confidence, I say not as the Lord would but as a fool.)

11:18 “เพราะในเมื่อหลายๆ คนอวดตามเนื้อหนัง ข้าพเจ้าก็จะอวดบ้าง)” 

       (Since many boast according to the flesh, I too will boast.) 

11:19 “เพราะว่าการที่พวกท่านอดลั้นต่อคนโง่เขลาทั้งหลายด้วยความยินดีนั้น คงจะเป็นเพราะท่านฉลาดสิ” 

         (For you gladly bear with fools, being wise yourselves!)

11:20 “เพราะว่าพวกท่านช่างอดกลั้นจริงๆ เมื่อมีใครมาเอาท่านไปเป็นทาส หรือมีใครมาเอาท่านไปเป็นเหยื่อ และเมื่อมีใครมาเอาเปรียบพวกท่าน หรือมีใครยกตัเองขึ้นเป็นใหญ่ หรือมีใครตบหน้าพวกท่าน”

    (For you bear it if someone makes slaves of you, or devours you, or takes advantage of you, or puts on airs, or strikes you in the face.)

11:21 “ข้าพเจ้าต้องพูดด้วยความละอายว่า เราเองอ่อนแอเกินไปในเรื่องนี้ แต่ว่าใครกล้าอวดในเรื่องใด (ข้าพเจ้าพูดอย่างคนโง่เขลา) ข้าพเจ้าก็กล้าอวดเรื่องนั้นเหมือนกัน” 

  (To my shame, I must say, we were too weak for that! But whatever anyone else dares to boast of—I am speaking as a fool—I also dare to boast of that.)

11:22 “พวกเขาเป็ชาติฮีบรูหรือ ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนกัน เขาเป็นชนชาติอิสราเอลหรือ ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนกันพวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมหรือ ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนกัน”

  (Are they Hebrews? So am I. Are they Israelites? So am I. Are they offspring of Abraham? So am I. )

11:23 “เขาเป็นคนปรนนิบัติของพระคริสต์หรือ ข้าพเจ้าเป็นดีกว่าพวกขาเสียอีก (ข้าพเจ้าพูดอย่างคนบ้า) ข้าพเจ้าตรากตรำยิ่งกว่าพวกเขา ข้าพเจ้าติดคุกมากกว่าพวกเขา ข้าพเจ้าถูกโบยตีมากมาย ข้าพเจ้าหวิดตายบ่อยๆ” 

   (Are they servants of Christ? I am a better one—I am talking like a madman—with far greater  labors, far more imprisonments, with countless beatings, and often near death.)

11:24 “พวกยิวเฆี่ยนข้าพเจ้าห้าครั้ง ครั้งละสามสิบเก้าที”

         (Five times I received at the hands of the Jews the forty lashes less one.) 

11:25 “ข้าพเจ้าถูกตีด้วยไม้สามครั้ง ถูกก้อนหินขว้างครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเผชิญภัยเรือแตกสามครั้ง ข้าพเจ้าลอยอยู่ในทะเลวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง” 

 (Three times I was beaten with rods. Once I was stoned. Three times I was shipwrecked; a night and a day I was adrift at sea; )

11:26 “ข้าพเจ้าเดินทางบ่อยๆ ข้าพเจ้าเผชิญภัยในแม่น้ำ เผชิญโจรภัย เผชิญภัยจากชนชาติของข้าพเจ้าเอง เผชิญภัยจาคนต่างชาติ เผชิญภัยในเมือง เผชิญภัยในป่า เผชิญภัยในทะเล เผชิญภัยจากพี่น้องจอมปลอม” 

         (on frequent journeys, in danger from rivers, danger from robbers, danger from my own people,  danger from Gentiles, danger in the city, danger in the wilderness, danger at sea, danger from false brothers;)

11:27 “ต้องตรากตรำและลำบาก ต้องอดหลับอดนอนบ่อยๆ ต้องหิวและกระหาย ต้องอดข้าวบ่อยๆ ต้องทนหนาวและเปลือยกาย” 

   (in toil and hardship, through many a sleepless night, in hunger and thirst, often without food, in cold and exposure.) 

11:28 “นอกจากนั้นยังมีสิ่งอื่นทีกดดันข้าพเจ้าอยู่ทุกๆ วัน คือความกังวลเกี่ยวกับคริสตจักรทั้งหมด” 

         (And, apart from other things, there is the daily pressure on me of my anxiety for all the Churches)

11:29 “ใครบ้างที่อ่อนแอและข้าพเจ้าไม่อ่อนแอด้วย ใครบ้างที่ถูกชักนำให้หลง และข้าพเจ้าไม่ทุกข์ร้อน”

         (Who is weak, and I am not weak? Who is made to fall, and I am not indignant?)

11:30 “ถ้าข้าพเจ้าจำเป็นต้องอวด ข้าพเจ้าก็จะอวดสิ่งที่แสดงถึงความอ่อนแอของข้าพเจ้า” 

(If I must boast, I will boast of the things that show my weakness.)

11:31 “พระเจ้าคือพระบิดาของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงสมควรแก่การสรรเสริญเป็นนิตย์ พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้าไม่ได้โกหก” 

(The God and Father of the Lord Jesus, he who is blessed forever, knows that I am not lying.) 

11:32 “ผู้ว่าารเมืองของกษัตริย์อาเรทัสในกรุงดามัสกัส ให้คนเฝ้ากรุงดามัสกัสไว้เพื่อจะจับข้าพเจ้า”

(At Damascus, the governor under King Aretas was guarding the city of Damascus in order to seize me,)

11:33 “แต่เขาเอาข้าพเจ้าใส่กระบุงใหญ่และหย่อนลงทางหน้าต่างบนกำแพงเมือง ข้าพเจ้าจึงพ้นจากเงื้อมมือของท่านผู้ว่าการ”

(but I was let down in a basket through a window in the wall and escaped his hands.)

ข้อมูลมีประโยชน์

11:1     “อดกลั้น” (bear            ) –มธ.17:17;2คร.11:4,19,20

“ความโง่เขลาเล็ก ๆ น้อย ๆ ของข้าพเจ้า” (a little foolishness) = อ.เปาโลต้องพูดถึงตัวเอง เมื่อเปรียบเทียบกับพันธกิจของท่านกับพวกสอนเท็จ ซึ่งดูเหมือนเป็นการโอ้อวดแบบโง่ ๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้

–2คร.5:13;11:16-17,21

11:2     “หวงแหน” (jealousy) = อ.เปาโลไม่สามารถทนให้มีคู่แข่งของพระคริสต์และข่าวประเสริฐอยู่ในคริสตจักร

“หมั้นท่านไว้กับสามีคนเดียว” (I betrothed you to one husband) = อ.เปาโล ในฐานะพ่อฝ่ายวิญญาณของคริสเตียนชาวโครินธ์ (ปท.6:13) ได้หมั้นผู้เชื่อ(เจ้าสาว) ไว้กับพระคริสต์ (เจ้าบ่าว)

(มธ.9:15;ยน.3:29;อฟ.5:23-32;วว.19:7-9;21:2;ฮชย.2:19)

“หญิงพรหมจารีบริสุทธิ์“ (you as a pure virgin) = ไม่แปดเปื้อนคำสอนเท็จ (ข.3-4)

11:3     “งูนั้นล่อลวงนางเอวาด้วยอุบายของมัน” (the serpent deceived Eve by his cunning) –ปฐก.3:1-7

11:4     “เทศนาถึงพระเยซูอีกองค์หนึ่ง” (proclaims another Jesus than the one we proclaimed)  = “เทศนาเรื่องพระเยซูต่างจากที่เราได้เทศนาไว้” (ตามคำสอนของพวกยิว)

“รับพระวิญญาณซึ่งแตกต่างจากที่ท่านเคยรับนั้น” (receive a different spirit from the one you received) = วิญญาณแห่งการพันธนาการ , วิญญาณแบบโลก- ปท. 8:15;1คร.2:12;กท.2:4;คส.2:20-23;

= วิญญาณแห่งความกลัว แทนที่จะเป็นวิญญาณแห่งเสรีภาพ ความรัก ความยินดี สันติสุข และฤทธิ์อำนาจ (ปท.3:17;รม.14:17;กท.2:4;5:1,22; อฟ.3:20;คส.1:11;2ทธ.1:7)

“ข่าวประเสริฐซึ่งแตกต่างกับที่พวกท่านเคยรับไว้แล้ว” (you accept a different gospel from the one you accepted) = “ข่าวประเสริฐอื่น” กท.1:6-7

“ช่างอดกลั้นดีจริง ๆ ” (put up with it readily enough) = “ทนรับสิ่งเหล่านั้นได้ง่ายดายเสียจริง”

= พวกเขาไม่รู้จักแยกแยะ และอะลุ่มอล่วยกับพวกล่อลวงที่อยู่ท่ามกลางพวกเขา –1คร.11:1

11:5     “อัครทูตพิเศษเหล่านั้น” (these super-apostles) = บางฉบับแปลว่า “ยอดอัครทูต”

อ.เปาโลเสียดสีพวกอัครฑูตเท็จที่แทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรโครินธ์ ที่ลำพองในตัวเอง (ปท.10:12)

–2คร.12:11;กท.2:6

11:6     “แม้ข้าพเจ้าพูดไม่เก่ง” (Even if I am unskilled in speaking) = “ถึงแม้จะไม่ใช่นักพูดที่ได้รับการฝึกฝน” ในการใช้ทักษะ ข้ออ้างอิง และลีลาสำนวนโวหารเหมือนแบบมืออาชีพ (10:10) –1คร.1:17

“แต่ข้าพเจ้าก็มีความรู้ดี” (so in knowledge; indeed) = อ.เปาโลมีความรู้ในเรื่องพระคริสต์อย่างแท้จริง

–2คร.8:7;อฟ.3:4

11:7     “ทำผิดหรือ” (commit a sin) –2คร.12:13

          “ประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า” (preached God’s gospel) –รม.1:1

“โดยไม่คิดเงิน” (free of charge) = ศัตรูของ อ.เปาโลโจมตีท่านเรื่องไม่ยอมรับเงินค่าสอน ซึ่งถือว่า เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า คำสอนของ อ.เปาโลนั้นไร้ค่า โดยปกติพวกผู้สอนเหล่านั้น เรียกร้องค่าตอบแทนจากการบริการแบบ “มืออาชีพ” พวกเขาจึงตำหนิ อ.เปาโลที่ลดตัวเอง และทำเสื่อมเสีย โดยการไม่เคารพกฎที่ผู้สอนสมควรได้รับค่าตอบแทนตามวิชาชีพของพวกเขา (ปท.1คร.9:9-14,18)

11:8     “ข้าพเจ้าปล้นคริสตจักรอื่นๆ “ (I robbed other churches)= ยอมรับการสนับสนุนจากคริสตจักรที่ท่านตั้งขึ้นมา –ฟป.4:15,19

11:9     “ไม่ได้เป็นภาระกับใคร” (not burden anyone) = ภาระทางการเงิน (2:17)

= เป็นการเสริมคำสอนของ อ.เปาโล ว่า การประกาศข่าวประเสริฐ เป็นของขวัญ โดยไม่เรียกร้องสิ่งตอบแทน (รม.6:23)

“พี่น้องที่มาจากแคว้นมาซิโดเนีย” (the brothers who came from Macedonia) – 1:1

= พวกเขานำเงินเรี่ยไรมาจากคริสตจักรต่าง ๆ ในแค้วนนั้น (กจ.18:5) โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคริสตจักรที่ ฟิลิปปี 4:15

11:12   “สิ่งใดที่ข้าพเจ้าทำข้าพเจ้าก็จะทำต่อไป” ( And what I am doing I will continue to do) = ไม่มีใครหรืออะไรสามารถขวาง อ.เปาโล ในการประกาศข่าวประเสริฐแบบไม่คิดค่าตอบแทนได้

11:13   “พวกที่ปลอมตัวเป็นอัครทูตของพระคริสต์” (For such men are false apostles) = อัครทูตพิเศษในข้อ 5 ซึ่งในตอนนี้ อ.เปาโล เปิดเผยว่า พวกนั้นเป็นอัครทูตเทียมเท็จ และเป็นผู้รับใช้ของซาตาน (ข.14) ซึ่งปิดบังตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา

11:14   “ทูตสวรรค์ของความสว่าง” (angel of light ) = ที่แท้จริงคือ เจ้าแห่งความมืด

11:16   “อย่าให้ใครคิดว่าข้าพเจ้าเป็นคนโง่เขลา” (let no one think me foolish) –1คร.11:1

11:17   “ไม่ได้พูดตามหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (I say not as the Lord would) –1คร.7:12,25

“แต่พูดอย่างคนโง่เขลา” (but as a fool) –2คร.11:21

11:18   “อวดตามเนื้อหนัง” (boast according to the flesh) –บางฉบับแปลว่า “อวดแบบชาวโลก”

-2คร.5:16;10:4

“ข้าพเจ้าก็จะอวดบ้าง” (I too will boast) –2คร.11:21;ฟป.3:3,4

11:19   “พวกท่านอดกลั้นต่อคนโง่เขลาทั้งหลายด้วยความยินดีนั้น” (For you gladly bear with fools)    บางฉบับแปล = “ท่านทนรับคนโง่เหล่านี้” –2คร.11:1

= ย้อนดูคำตำหนิในข้อ 4 ซึ่งมีน้ำเสียงประชดประชันเหมือนกัน

ในข้อ ข.4 – พวกเขายอมทนฟังคำสอนผิด ๆ ใน ข.19 นี้ –พวกเขาเต็มใจให้ผู้สอนผิดปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร้เกียรติ

“คงจะเป็นเพราะท่านฉลาดสิ” (being wise yourselves) = ท่านช่างฉลาดเสียจริง!   –1คร.4:10

11:20   “เอาท่านไปเป็นทาส” (makes slaves of you or) = โดยการบีบบังคับด้วยกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่มนุษย์กำหนดขึ้น (ปท.กท.5:1) -กท.2:4;4:9;5:1

“เอาท่านไปเป็นเหยื่อ” (devours you) = “ขูดรีดท่าน” –มก.12:40

“เอาเปรียบพวกท่าน” (takes advantage of you) = เอารัดเอาเปรียบท่าน

= ชาวโครินธ์ขาดวิจารณญาณ และเปิดรับการตบตาจากการแสดงออกภายนอก และชั้นเชิงในการพูดอันเฉลียวฉลาด

“ยกตัวเองขึ้นเป็นใหญ่” (puts on airs ) = เพื่อควบคุมสมาชิกคริสตจักร (ปท.1:24)

“ตบหน้าพวกท่าน” (strikes you in the face) = ใช้ความรุนแรงเพื่อข่มให้ชาวโครินธ์ยอมจำนน

11:21   “เราเองอ่อนแอเกินไปในเรื่องนี้” (we were too weak for that) = อ่อนแอเกินกว่าจะทำเช่นนั้น

= เมื่อเปรียบกับความหยาบกระด้างของพวกนักหลอกลวง(เทียมเท็จ) ท่าทีหรือการกระทำของ อ.เปาโล ที่ถือว่าอ่อนแอ หรือ อ.เปาโล อาจกำลังประชดประชันพวกเขาอยู่ –2คร.10:1,10

“ข้าพเจ้าก็กล้าอวดเรื่องนั้นเหมือนกัน” (I also dare to boast of that ) –2คร.11:17-18;ฟป.3:4

11:22   “เป็นชาติฮีบรู…ชนชาติอิสราเอล…พงศ์พันธุ์ของอับราฮัม” (Are they Hebrews? … Israelites? …offspring of Abraham?) = คำอ้างของอัครฑูตเทียมเท็จ ที่บอกว่า พวกเขาเป็นยิวที่ดีกว่าคริสเตียนต่างชาติ ที่ยึดเหยียดแนวปฏิบัติต่าง ๆ ของชาวยิวที่ให้พวกเขาปฏิบัติ ซึ่งขัดกับที่ อ.เปาโล สอน (รม.2:28-29;1คร.12:13;กท.3:28-29;อฟ.2:11-18;คส.3:11, ปท. กจ.22:3-5;26:4-5;ฟป.3:5-6)

11:23   “คนปรนนิบัติของพระคริสต์” (they servants of Christ) –ผู้รับใช้ของพระคริสต์ –ที่ อ.เปาโลเป็นยิ่งกว่าพวกเขามากมาย

“หวิดตายบ่อย ๆ“ (often near death ) = เผชิญกับความตายครั้งแล้วครั้งเล่า –ปท. 4:8-11

11:24-25 “เฆี่ยน…ตี” (beaten) = ในที่นี้เอ่ยถึงการเฆี่ยน 8 ครั้ง – 5 ครั้ง ด้วยมือ เจ้าหน้าที่ชาวยิว

(ปท.ฉธบ.25:3;มก.15:15) และ 3 ครั้งโดยเจ้าหน้าที่ชาวโรมันซึ่งใช้ไม้ตะบอง (กจ.16:22)

-ปกติ พลเมืองโรมันจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายจากการถูกลงโทษโดยการเฆี่ยน เปาโลมีสัณชาติโรม แต่ถูกเฆี่ยน – กจ.16:37;22:25

11:24   “ครั้งละสามสิบเก้าที” (the forty lashes less one) –ฉธบ.25:3

11:25   “ถูกตีด้วยไม้ 3 ครั้ง” (Three times I was beaten with rods) -กจ.16:22

“ถูกก้อนหินขว้างครั้งหนึ่ง” (Once I was stoned) = วิธีประหารตามแบบแผนของคนยิว –ปท. ยน.8:59; กจ.7:57-59;14:19-20

“เผชิญภัยเรือแตกสามครั้ง” (Three times I was shipwrecked) –ในกิจการกล่าวถึงเรือแตกเพียงครั้งเดียว (กจ.27:39-44)

-เรือแตก 3 ครั้งนี้อาจเกิดขึ้นในระหว่างเดินทางที่เอ่ยถึงใน กจ.9:30;11:25-26;13:4;13;14:26;16:17; 18:18-19,21-22

11:26   “เผชิญโจรภัย” (danger from robbers) -กจ.14:24

“เผชิญภัยจากชนชาติของข้าพเจ้าเอง” (danger from my own people) –กจ.9:23

“เผชิญภัยจากคนต่างชาติ” (danger from Gentiles) –กจ.14:5

11:27   “ต้องตรากตรำและลำบาก” ( (in toil and hardship) –กจ.18:3;คส.1:29

11:28-29 –เปาโลรู้สึกได้ถึงความอ่อนแอของสมาชิกที่อ่อนแอ ถ้าใครในพวกเขาถูกชักจูงให้ทำบาป อ.เปาโลไม่

เพียงจะโกรธคนที่ชักจูงเท่านั้น แต่ยังรู้สึกอับอายเนื่องจากการทำผิดและยังปรารถนาที่จะให้คนที่สะดุดหรือล้มลงได้รับการรื้อฟื้น -1คร.7:17;รม.14:1;1คร.2:3

11:30   “จะอวดสิ่งที่แสดงถึงความอ่อนแอของข้าพเจ้า” (will boast of the things that show my weakness)

= ความอ่อนแอเปิดทางให้ อ.เปาโล อวดเรื่องพลังที่มาจากพระคุณของพระเจ้าในชีวิตของท่าน

– กท.6:14;2คร.11:16;12:5,9;1คร.2:3

11:31   “เป็นนิตย์” (forever) –รม.1:25;9:5

“ทรงทราบ” (knows) –รม.1:9;2คร.11:11

11:32-33 –อ.เปาโลเชื่อมเหตุการณ์นี้เข้ากับตอนนี้ เพราะเหตุการณ์นี้เป็นตัวอย่างของความอับอาย (ข.30) ที่ท่านต้องทนทุกข์

11:32   “กษัตริย์อาเรทัส” (King Aretas) = อาเรทัสที่ 4 เป็นพ่อตาของเฮโรด อันทิพาสและปกครองอาณาจักร

นาบาเทีย ในอาหรับตั้งแต่ราว ปี 9 ก่อน ค.ศ. จนถึง ค.ศ. 40 จักรพรรดิ คาลิกูลาแห่งโรมอาจประทานเมืองดามัสกัสให้แก่กษัตริย์อาเรทัส เพราะครั้งหนึ่งเคยเป็นดินแดนของพระองค์

“กรุงดามัสกัส” (the city of Damascus) –กจ.9:2

“เพื่อจะจับข้าพเจ้า” (to seize me) –กจ.9:24

11:33  “ทางหน้าต่างบนกำแพงเมือง” (through a window in the wall) = จากช่องกำแพงเมือง –กจ.9:25

          ปท. ยชว.21:5;1ซมอ.19;12

 

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยทำให้ผู้รับใช้ของพระเจ้าต้องกระตุ้นหรือเตือนสติแก้ไขความคิดหรือพฤติกรรมของคุณบ้างหรือไม่? ในเรื่องใด? และคุณสนองตอบอย่างไร?
  2. คุณเคยถูกชักจูงให้เขวไปจากความเชื่อหรือความจงรักภักดีต่อพระคริสต์หรือไม่? อย่างไร?
  3. คุณเคยเชื่อผิดหรือไขว้เขวจากความเชื่อที่ถูกบ้างหรือไม่? อย่างไร? แบ่งปัน
  4. คุณเคยเชื่อคำพูดหรือคำสอนของนักเทศน์ภายนอกโบสถ์ยิ่งกว่าศิษยาภิบาลโบสถ์ ของคุณหรือไม่?   ในเรื่องอะไร? แล้วผลเป็นอย่างไร?
  5. คุณเคยลดตัวลงเพื่อยกชูคนอื่นขึ้นบ้างหรือไม่? อย่างไร?
  6. คุณเคยถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องอวดบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร?
  7. คุณเคยเจอซาตานปลอมตัวมาเป็นทูตของความสว่างบ้างไหม? แบ่งปัน
  8. คุณเคยเจ็บปวดหรือการเสียสละเพื่อติดตามพระคริสต์ที่มากที่สุดของคุณคืออะไร? แล้วคุณฝ่าฟันมาได้อย่างไร?
  9. คุณเคยอวดความอ่อนแอของคุณบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร และทำไม?

ศ.จ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2โครินธ์ บทที่ 10

จงปกป้องพันธกิจ

พระธรรม        2โครินธ์ 10:1-18

อ้างอิง             1คร.4:21;3:23,6;2:3-5;1:12,17-19,31;14:37;2:9,12;3:1;5:12;6:7;7:12;9:13;2คร.10:10:1-2,8,12-13, 16-18;13:10

บทนำ              แม้ว่าเราจะรับใช้พระเจ้าอย่างซื่อสัตย์ แต่ก็อาจไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายหรือราบรื่น เพราะบางทีอาจมีศัตรูที่เข้ามารบกวนหรือล่อลวงคนของเราจนหันเหไปจากเรา และจากสิ่งที่เราพร่ำสอน หรือที่หนักและเจ็บปวดที่สุดก็คือ เมื่อคนภายในทีมหรือในคริสตจักรของคุณเล่นงานคุณหรือทรยศต่อคุณ แต่กระนั้น เราต้องไม่ท้อ และยังคงยืนหยัดต่อสู้และปกป้องพันธกิจของพระเจ้าและคนของพระองค์จนถึงที่สุด

บทเรียน

10:1 “ข้าพเจ้า เปาโล ขอร้องพวกท่านด้วยตัวเอง โดยเห็นแก่ความสุภาพอ่อนโยนและความกรุณาของพระคริสต์ ข้าพเจ้าผู้เป็นคนถ่อมตัวมื่ออยู่กับท่านทั้งหลาย แต่เมื่ออยู่ห่างก็เป็นคนห้าวหาญต่อพวกท่าน”

  (I, Paul, myself entreat you, by the meekness and gentleness of Christ—I who am humble when  face to face with you, but bold toward you when I am away!)

10:2 “คือข้าพเจ้าขอร้องท่านว่าเมื่อมาอยู่กับพวกท่าน อย่าให้ข้าพเจ้าต้องห้าวหาญ ด้วยความมั่นใจที่ทำให้​ข้าพเจ้าคิดว่า จะต้องกล้าหาญต่อบางคนซึ่งคิดว่าเราดำเนินชีวิตตามแบบมนุษย์ทั่วๆไป”

  (I beg of you that when I am present I may not have to show boldness with such confidence as I count on showing against some who suspect us of walking according to the flesh.)

10:3 “เพราะว่า ถึงแม้ว่าเราดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายมนุษย์ แต่เราก็ไม่ได้สู้รบตามแบบมนุษย์ทั่วๆ ไป” 

               (For though we walk in the flesh, we are not waging war according to the flesh.) 

10:4 “เพราะว่าอาวุธของเราที่ใช้สู้รบไม่ใช่แบบมนุษย์ แต่เป็นฤทธานุภาพจากพระเจ้าที่จะทำลายป้อมปราการได้คือทำลายเหตุผลปลอมทั้งหลาย” 

       (For the weapons of our warfare are not of the flesh but have divine power to destroy strongholds.) 

10:5 “และความเย่อหยิ่งทุกรูปแบบที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และจะยึดกุมความคิดทุกประการให้มาเชื่อฟังพระคริสต์” 

     (We destroy arguments and every lofty opinion raised against the knowledge of God, and take  every thought captive to obey Christ,) 

10:6 “และเราพร้อมจะลงโทษทุกคนที่ไม่เชื่อฟัง เมื่อพวกท่านเชื่อฟังอย่างสมบูรณ์แล้ว”

               (being ready to punish every disobedience, when your obedience is complete.)

10:7 “จงดูสิ่งที่ปรากฏกับตา ถ้าใครมั่นใจว่าตัวเขาเป็นของพระคริสต์ ก็ให้เขาคิดถึงตัวเองดูอีกอย่างนี้ว่า เมื่อเขาเป็นของพระคริสต์ เราก็เป็นของพระคริสต์เหมือนกัน” 

     (Look at what is before your eyes. If anyone is confident that he is Christ’s, let him remind himself that just as he is Christ’s, so also are we.)

10:8 “ถึงแม้ข้าพเจ้าจะอวดมากไปสักหน่อย ในเรื่องสิทธิอำนาจของเราที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานให้ไว้เพื่อเสริมสร้าง ไม่ใช่เพื่อทำลายพวกท่าน ข้าพเจ้ก็จะไม่ได้รับความอับอาย” 

  (For even if I boast a little too much of our authority, which the Lord gave for building you up and not for destroying you, I will not be ashamed.) 

10:9 “ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้ดูราวกับว่า ข้าพเจ้าทำให้ท่านกลัวด้วยจดหมาย” 

                 (I do not want to appear to be frightening you with my letters.) 

10:10 “เพราะมีบางคนพูดว่า “จดหมายของเปาโลนั้นมีน้ำหนักและมีอำนาจมากก็จริง แต่ตัวเขาดูอ่อนแอเมื่อมาถึงและคำพูดของเขก็ใช้ไม่ได้” 

         (For they say, “His letters are weighty and strong, but his bodily presence is weak, and his  speech of no account.” )

10:11 “จงให้คนเหล่านั้นเข้าใจอย่างนี้ว่า เราพูดไว้ในจดหมายอย่างไรเมื่อไม่อยู่ เราก็จะทำอย่างนั้นเมื่ออยู่เช่นกัน” 

                   (Let such a person understand that what we say by letter when absent, we do when present.) 

10:12 “เพราะว่าเราไม่กล้าเทียบชั้นหรือเปรียบเทียบตัวเองกับบางคนที่ยกย่องตัวเอง แต่เมื่อพวกเขาเอาตัวเองเป็นเครื่องวัดกันและกัน และเอาตัวเองเปรียบเทียบกันและกันแล้ว พวกเขาก็ปราศจากความเข้าใจ”

   (Not that we dare to classify or compare ourselves with some of those who are commending themselves. But when they measure themselves by one another and compare themselves with one another, they are without understanding.)

10:13 “ส่วนเราจะไม่อวดเกินขอบเขต แต่จะอวดในขอบเขตที่พระเจ้าทรงจัดไว้ให้ และขอบเขตนั้นก็ครอบคลุมถึงพวกท่านด้วย” 

       (But we will not boast beyond limits, but will boast only with regard to the area of influence God assigned to us, to reach even to you.) 

10:14 “เพราะว่าเราไม่ได้ทำเลยขอบเขตของตนเอง นอกจากว่าเราไม่เคยมาหาท่าน เราเป็นพวกแรกที่นำข่าว‍ประเสริฐของพระคริสต์มายังพวกท่าน” 

  (For we are not overextending ourselves, as though we did not reach you. For we were the first  to come all the way to you with the gospel of Christ.)

10:15 “เราไม่ได้อวดเกินขอบเขต ไม่ได้อวดในการงานของคนอื่น แต่เราหวังว่า เมื่อความเชื่อของท่านเจริญขึ้นขอบเขตงานของเราจะขยายออกไปอย่างกว้างขวางในพวกท่าน” 

  (We do not boast beyond limit in the labors of others. But our hope is that as your faith increases, our area of influence among you may be greatly enlarged,) 

10:16 “เพื่อว่าเราจะได้ประกาศข่าวประเสริฐในที่ที่อยู่เลยขอบเขตของพวกท่าน โดยไม่อวดสิ่งที่อยู่ในขอบเขตของคนอื่นที่ทำไว้แล้วนั้น” 

         (so that we may preach the gospel in lands beyond you, without boasting of work already done in another’s area of influence.) 

10:17 “ถ้าครจะอวด ก็จงอวดองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด

         (“Let the one who boasts, boast in the Lord.” )

10:18 “เพราะว่าคนที่ยกย่องตัวเองจะไม่ได้รับการรับรอง แต่คนที่พระเจ้าทรงยกย่องต่างหากจะได้รับ”

       (For it is not the one who commends himself who is approved, but the one whom the Lord  commends.)

 ข้อมูลมีประโยชน์

10:1     “เปาโล” (Paul) –กท.5:อฟ.3:1

“ความสุภาพอ่อนโยนและความกรุณาของพระคริสต์” (the meekness and gentleness of Chris  )

–มธ.11:29

10:2     “ห้าวหาญ” (boldness) –1คร.4:21

          “ตามแบบมนุษย์ทั่วๆ ไป” (according to the flesh.) บางฉบับแปลว่า “ตามมาตรฐานของโลกนี้”

–รม.12:2

10:3     “ไม่ได้สู้รบตามแบบมนุษย์ทั่วๆ ไป” ( not waging war according to the flesh) = บางฉบับแปลว่า “ไม่ได้สู้รบตบมืออย่างที่โลกทำ” –2คร.10:2

10:4     “อาวุธของเราที่ใช้สู้รบ” (the weapons of our warfare   ) = อ.เปาโลเตรียมตัวเข้าสงคราม แต่ไม่ใช้อาวุธที่มาจากโลกหรือจากความเย่อหยิ่งของมนุษย์ (ปท.1:17;4:2) –2คร.6:7

“แต่เป็นฤทธานุภาพจากพระเจ้า” (but have divine power) –1คร.2:5

“ทำลายเหตุผลปลอมทั้งหลาย” (destroy strongholds) = บางฉบับแปลว่า “ทำลายล้างที่มั่นต่าง ๆ ได้” –ยรม.1:10;23:29;2คร.10:8;13:10

= เหตุผลหรือที่มั่นของประเด็นโต้แย้งและคำแอบอ้างทั้งหลาย (ข.5) ที่ยกขึ้นมาอ้าง

10:5     “ขัดขวางความรู้ของพระเจ้า” (against the knowledge of God) = การยกเหตุผลหรือคำอ้างทั้งหลายในข้อ 4 มาท้าทายความรู้ของพระเจ้า (ปท.รม.1:18-33) ซึ่งเป็นเหตุผลจอมปลอมที่อัครฑูตเทียมเท็จใช้เพื่อสั่นคลอนความเชื่อของคริสเตียนในโครินธ์ (1คร.2:13-14) –อสย.2:11-12;1คร.1:19

“ให้มาเชื่อฟังพระคริสต์” (obey Christ) –2คร.9:13

10:6     “ทุกคนที่ไม่เชื่อฟัง” (every disobedience ) = เป็นส่วนหนึ่งของคนที่เอาแต่ได้หรืออยู่ฝ่ายเดียวกับพวกครูสอนเท็จ

“เชื่อฟังอย่างสมบูรณ์แล้ว” (obedience is complete) –2คร.2:9;7:15

10:7     “จะดูสิ่งที่ปรากฏกับตา” (Look at what is before your eyes) = แปลได้อีกว่า “พวกท่านมองแต่เพียงภายนอก”

“เขาเป็นของพระคริสต์” (he is Christ’s ) = สะท้อนผู้ที่บอกว่า เขาอยู่ฝ่ายพระคริสต์ (1คร.1:12) และผู้ที่สอนผิดในโครินธ์ซึ่งอ้างว่ามีจิตวิญญาณที่สูงกว่าเปาโล ทั้งที่เปาโลได้รับการแต่งตั้งจากพระเยซูผู้เป็นขึ้นมาจากความตาย (กจ.9:3-9;22:6-11;26:12-18) และเป็นผู้รับข่าวประเสริฐที่ประกาศโดยการสำแดงของพระคริสต์ (กท.1:12;ปท.2คร.12:2-7) -เปาโลอ้างว่า ท่านก็เป็นของพระคริสต์เช่นกัน

10:8     “สิทธิอำนาจ…ประทานให้ไว้เพื่อเสริมสร้าง” (authority… gave for building you up) = เป้าหมายเบื้องต้นของสิทธิอำนาจของอัครฑูตเปาโลคือ เพื่อเสริมสร้างไม่ใช่เพื่อทำลายหรือฉุดลง (13:10)

10:9     “ทำให้ท่านกลัวด้วยจดหมาย” ( to be frightening you with my letters.    ) = แปลได้อีกว่า “ข่มขวัญท่านด้วยจดหมายของข้าพเจ้า” -2:3-4;7:8-9;บทที่ 10-13;1คร.4:14-21

10:10   “จดหมายของเปาโลนั้นมีน้ำหนักและมีอำนาจมากก็จริง” (His letters are weighty and strong)

= อ.เปาโลเขียนจดหมายถึงชาวโครินธ์อย่างน้อย 3 ฉบับ

“แต่ตัวเขาดูอ่อนแอ” (but his bodily presence is weak  ) = ตัวเขาไม่น่าประทับใจ, 1คร.2:3;2คร.10:1;กท.4:13-14

          “คำพูดของเขาก็ใช้ไม่ได้” ( his speech of no account) -10:1-13:14;2คร.11:6

= ศัตรูของ อ.เปาโลใช้วาทะศิลป์อันช่ำชองเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์และสูบเงินจากผู้ฟังที่ไม่มั่นคง แต่เปาโลพูดแตกต่างออกไปคือ เรียบง่าย ตรงไปตรงมา และไม่คิดมูลค่าใด ๆ (11:7) และเปาโลประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ถูกตรึงและเป็นขึ้นจากตายที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้เชื่ออันเป็นหลักฐานของฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่อยู่ในสิ่งที่ท่านพูด (ปท.1คร.2:1-5)

10:12   “บางคนที่ยกย่องตัวเอง” (some of those who are commending themselves) 2คร.3:1;10:18

“เอาตัวเองเป็นเครื่องวัด” (measure themselves) = ผู้สอนเท็จในโครินธ์เอาตัวเองมาเป็นตัววัด ราวกับว่า ไม่มีมาตรฐานที่สูงกว่าพวกเขามาเป็นตัวเปรียบ แต่เปาโลอวดองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น (ข.17;ปท. 1คร.1:31)

10:13   “จะอวดในขอบเขตที่พระเจ้าทรงจัดไว้ให้” (will boast only with regard to the area of influence God assigned to us) = ที่พระเจ้าขีดวงไว้ให้, ภาพที่เปาโลวาดไว้เป็นภาพของการแข่งขันในการวิ่ง ซึ่งต้องกำหนดลู่ให้นักวิ่ง

“ขอบเขต” (วง) ในที่นี้จึงน่าจะแปลว่า “ลู่” -ข.15,16;รม.12:3

เพราะฉะนั้น การที่พวกสอนเท็จแทรกซึมเข้ามาในคริสตจักรโครินธ์ก็เท่ากับว่า พวกเขาข้ามลู่เข้ามาอยู่ในลู่ของเปาโล บางคนตีความว่า “ลู่” นี้หมายถึง “ขอบเขตของสิทธิอำนาจตามที่ได้รับมอบหมาย”

10:14   “ข่าวประเสริฐของพระคริสต์” ( the gospel of Christ) –2คร.2:12

“มายังพวกท่าน” ( the way to you) –1คร.3:6

10:15   “เราไม่ได้อวดเกินขอบเขต” (We do not boast beyond limit) = เราไม่ได้ออกนอกขอบเขต –2คร.10:13

“ไม่ได้อวดในการงานของคนอื่น” (in the labors of others) = ไม่ได้อวดอ้างผลงานที่คนอื่นทำไว้

– รม.15:20

“ความเชื่อของท่านเจริญขึ้น” (as your faith increases) = “ความเชื่อของท่านเจริญเติบโตต่อไป”

–2ธส.1:3

10:16   “จะได้ประกาศข่าวประเสริฐ” (preach the gospel ) –รม.1:1;2คร.2:12

“ในที่ที่อยู่เลยขอบเขตของพวกท่าน” ( in lands beyond you) บางฉบับแปลว่า “ในดินแดนต่าง ๆ ที่อยู่ไกลจากท่านออกไป” -กจ.19:21   = อาจหมายถึงสเปน (รม.15:24,28)

10:17   “ถ้าใครจะอวด ก็จงอวดองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด” (who boasts, boast in the Lord) –ยรม.9:24; สดด.34:2;44:8;1คร.1:31

= อวดในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงทำให้เรา (กท.6:14) และเพื่อเรา (รม.15:18;กจ.14:27)

10:18   “คนที่ยกย่องตัวเอง” (who commends himself ) –2คร.10:12

“คนที่พระเจ้าทรงยกย่อง” (the one whom the Lord commends) = คนที่พระเจ้าชมเชย – รม.2:29

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยถูกคนพวกเดียวกันเยาะเย้ยถากถางบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร? แล้วคุณรับมืออย่างไร?
  2. ในชีวิตการติดตามหรือการรับใช้พระเจ้า คุณเคยเจอการท้าทายที่ใหญ่ที่สุดในเรื่องอะไร? จากใคร? แล้วผลเป็นอย่างไร?
  3. คุณเคยมีประสบการณ์รับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าในชีวิตแบบชัดเจนบ้างหรือไม่? ในเรื่องใด?
  4. คุณเคยเห็นสิทธิอำนาจของพระเจ้าสำแดงผ่านผู้ใดบ้างทางช่องทางใด ทำไมคุณจึงเชื่อว่า นั่นเป็นสิทธิอำนาจที่มาจากพระเจ้า?
  5. คุณคิดว่า สิทธิอำนาจของพระเจ้าที่คุณหรือคนอื่นได้รับนั้นสามารถวัดดูได้จากอะไรเพื่อพิสูจน์ว่า เป็นมาจากพระเจ้าจริง ๆ ?
  6. คุณคิดว่า คุณเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย และเป็นคนที่ต่อหน้าและลับหลังเป็นเหมือนกันหรือไม่? คนอื่นคิดอย่างเดียวกับที่คุณคิดหรือไม่? ทำไม?
  7. คุณเคยจำเป็นต้องอวดตัวทั้ง ๆ ที่ไม่อยากบ้างหรือไม่? ในสถานการณ์เช่นใด? แล้วทำไมต้องทำเช่นนั้น?
  8. คุณเคยโอ้อวดอะไรเกินเลยไปบ้างหรือไม่? (หรือเห็นคนบางคนทำเช่นนั้น) เรื่องอะไร แล้วผลเป็นอย่างไร?พระเจ้าสอนอะไรคุณบ้าง?
  9. ใจของ อ.เปาโลคิดแต่จะประกาศข่าวประเสริฐของพระคริสต์ คุณมีจิตใจเช่นเดียวกันนี้หรือไม่? แล้วเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของคุณ?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

2โครินธ์ บทที่ 9

ถวายเพื่อช่วยธรรมิกชน

พระธรรม        2โครินธ์ 9:1-15

อ้างอิง             1ธส.4:9;กจ.9:13;24:17:18:12;2คร.8:10-14,19,23-24;7:4,14;9:3,5;12:17-18;2คร.1:11;4:15;2:14; 1คร.16:2;1:5

บทนำ             ตัวชี้ชัดว่า เรารักพระเจ้าจริงหรือไม่?  ให้ดูที่ว่า เราได้ให้ด้วยใจกว้างขวางแก่คนที่จำเป็นอยู่หรือไม่?  หากเราให้เช่นนั้นโดยทำให้ผู้รับขอบคุณพระเจ้า (ไม่ใช่ขอบคุณเรา) เราก็ได้พิสูจน์แล้วว่า เรารักพระเจ้าจริงๆ!

บทเรียน

9:1 “เพราะว่าข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องเขียนถึงท่านเกี่ยวกับเรื่องการช่วยเหลือบรรดาธรรมิกชน”

      (Now it is superfluous for me to write to you about the ministry for the saints,) 

9:2 “เพราะว่าข้าพเจ้ารู้ว่าท่านทั้งหลายพร้อมอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจึงพูดอวดเรื่องพวกท่านกับพวกมาซิโดเนียว่า พวก​อาคายาจัดเตรียมไว้พร้อมตั้งแต่ปีกลายแล้ว และความกระตือรือร้นของพวกท่านก็เร้าใจพวกเขาเป็นอย่างมาก”

     (for I know your readiness, of which I boast about you to the people of Macedonia, saying that  Achaia has been ready since last year. And your zeal has stirred up most of them.) 

9:3 “แต่ข้าพเจ้าส่งพี่น้องเหล่านี้ไปก็เพื่อไม่ให้การโอ้อวดของเราเกี่ยวกับพวกท่านในเรื่องนี้ต้องสูญเปล่า และเพื่อท่านจะจัดเตรียมให้พร้อมตามที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้ว”

   (But I am sending the brothers so that our boasting about you may not prove empty in this matter, so that you may be ready, as I said you would be.) 

9:4 “มิฉะนั้น ถ้าชาวมาซิโดเนียบางคนมากับข้าพเจ้า และพบว่าท่านไม่ได้เตรียมพร้อม อย่าว่าแต่พวกท่านเลย เราเองก็จะขายหน้าที่มั่นใจอย่างนี้ด้วย” 

  (Otherwise, if some Macedonians come with me and find that you are not ready, we would be humiliated—to say nothing of you—for being so confident.)

9:5 “เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงคิดว่าจำเป็นต้องขอร้องพี่น้องเหล่านี้เพื่อให้ไปหาพวกท่านก่อน และให้ไปจัดเตรียมของบริจาคที่พวกท่านสัญญาไว้นั้น การเตรียมพร้อมเช่นนี้จะแสดงถึงการให้ด้วยความสมัครใจ ไม่ใช่ด้วยความ​ฝืนใจ”

      (So I thought it necessary to urge the brothers to go on ahead to you and arrange in advance for the gift you have promised, so that it may be ready as a willing gift, not as an exaction.)

9:6 “นี่แหละคนที่หว่านเพียงเล็กน้อยก็จะเก็บเกี่ยวได้เพียงเล็กน้อย คนที่หว่านมากก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก”

     (The point is this: whoever sows sparingly will also reap sparingly, and whoever sows bountifully will also reap bountifully.) 

9:7 “แต่ละคนจงให้ตามที่เขาคิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่ให้ด้วยความเสียดาย ไม่ใช่ให้ด้วยความจำใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนที่ให้ด้วยใจยินดี”

               (Each one must give as he has decided in his heart, not reluctantly or under compulsion, for God loves a cheerful giver.) 

9:8 “และพระเจ้าสามารถประทานพรทุกอย่างแก่ท่านทั้งหลายอย่างเหลือล้น เพื่อว่าเมื่อมีทุกอย่างเพียงพออยู่เสมอท่านยังจะมีเหลือล้นสำหรับการดีทุกย่างด้วย”

      (And God is able to make all grace abound to you, so that having all sufficiency in all things at all times, you may abound in every good work.) 

9:9 “ตามที่เขียนไว้ว่า“เขาแจกจ่าย เขาให้แก่บรรดาคนยากจน ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่เป็นนิตย์

         (As it is written, “He has distributed freely, he has given to the poor; his righteousness endures  forever.”

9:10 “และพระองค์ผู้ประทานเมล็ดพืชแก่คนที่หว่าน และอาหารแก่คนที่กิน ก็จะประทานเมล็ดพืชแก่พวกท่าน และจะทรงเพิ่มพูเมล็ดพืชของท่าน ทั้งจะทรงให้การเก็บเกี่ยวแห่งความชอบธรรมของท่านเจริญขึ้น”

    (He who supplies seed to the sower and bread for food will supply and multiply your seed for  sowing and increase the harvest of your righteousness.) 

9:11 “โดยทรงให้ท่านทั้งหลายมั่งคั่งขึ้นในทุกสิ่ง เพื่อบริจาคด้วยใจกว้างขวางอยู่เสมอ และจะทำให้เกิดการขอบพระคุณพระเจ้าผ่านเรา”

    (You will be enriched in every way to be generous in every way, which through us will produce thanksgiving to God.) 

9:12 “เพราะการปรนนิบัติในงานรับใช้นี้ ไม่เพียงเป็นการจัดหาให้กับธรรมิกชนที่ขัดสนเท่านั้น แต่ยังทำให้มีการขอบพระคุณพระเจ้าอย่างมากมายเหลือล้นด้วย”

       (For the ministry of this service is not only supplying the needs of the saints but is also overflowing in many thanksgivings to God.) 

9:13 “โดยผลของการปรนนิบัตินี้ พวกเขาจะสรรเสริญพระเจ้าในเรื่องที่ท่านทั้งหลายยอมเชื่อฟังสมกับที่กล่าวยอมรับข่าวประเสริฐของพระคริสต์ และในเรื่องที่ท่านแบ่งปันกับพวกเขาและทุกคนด้วยใจกว้างขวาง”

       (By their approval of this service, they will glorify God because of your submission that comes  from your confession of the gospel of Christ, and the generosity of your contribution for them and  for all others,)

9:14 “และเขาก็จะวิงวอนขอเพื่อท่านทั้งหลายและคิดถึงท่าน เพราะเหตุพระคุณของพระเจ้าที่อยู่ในท่านอย่าง​มากมาย”

       (while they long for you and pray for you, because of the surpassing grace of God upon you.) 

9:15 “ขอขอบพระคุณพระเจ้า เพราะของประทานที่เกินความคาดคิดซึ่งพระองค์ประทานนั้น”

       (Thanks be to God for his inexpressible gift!)

ข้อมูลมีประโยชน์

9:1       “ไม่จำเป็น” (superfluous) –1ธส.4:9

“การช่วยเหลือ” (the ministry ) –ในบางฉบับแปลว่า “การรับใช้” –กจ.24:17

“บรรดาธรรมิกชน” (the saints) –กจ.9:13

9:2       “พร้อมอยู่แล้ว” (readiness) = กระตือรือร้นอยู่แล้วที่จะช่วย –2คร.8:11,12,19

“อวด” (boast) –2คร.7:4,14;8:24

“พวกมาซิโดเนีย… พวกอาคายา” (the people of Macedonia… Achaia) = อาคายาคือ กรีช แยกมาจากแคว้นมาซิโดเนียทางเหนือ

9:3       “ส่งพี่น้องเรานี้ไป” (sending the brothers) –บางฉบับแปลว่า ข้าพเจ้าส่งพี่น้องเหล่านั้นมา –2คร.8:23

“ตามที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้ว” (I said you would be) –1คร.16:2

9:4       “ชาวมาซิโดเนีย” (Macedonians) –รม.15:26

9:5       “พี่น้องเหล่านั้น” (the brothers) –2คร.9:3

          “การให้ด้วยความสมัครใจ” (willing gift) = ให้ด้วยใจกว้างขวาง –ฟป.4:17

“ไม่ใช่ด้วยความฝืนใจ” (not as an exaction) –2คร.12:17-18

9:6       “หว่านเพียงเล็กน้อยก็จะเก็บเกี่ยวได้เพียงเล็กน้อย” (whoever sows sparingly will also reap sparingly) –ปท. สภษ.11:24-25;22:8-9;ลก.6:38;กท.6:7,9

9:7       “จงให้ตามที่เขาคิดหมายไว้ในใจ” (must give as he has decided in his heart) –อพย.25:2;2คร.8:12

          “ไม่ใช่ให้ด้วยความจำใจ” (not reluctantly) = ไม่ให้ด้วยถูกผลักดันหรือกดดัน –ฉธบ.15:10

“ให้ด้วยใจยินดี” (cheerful giver) –รม.12:8

9:8       “พรทุกอย่าง…เหลือล้น…ทุกอย่างพอเพียงอยู่เสมอ” (all grace abound to you, so that having all sufficiency in all things at all times) = พระเจ้าสามารถทำให้ คริสเตียนแต่ละคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ได้อย่างไม่จำกัด โดยพระคุณและพระพรเหลือล้นที่พระเจ้าประทานมาให้ตามความจำเป็น -อฟ.3:20;ฟป.4:19

9:9-10  “ความชอบธรรม” (his righteousness) –ดูคำอธิบายใน สดุดี 1:5

9:9       “เขาแจกจ่าย” (He has distributed freey) –มลค.3:10

“ดำรงอยู่เป็นนิตย์” (endures forever) –สดด.112:9

9:10     “ประทาน…อาหารแก่คนที่กิน” (bread for food will supply) –อสย.55:10

= พระเจ้าประทานอาหารฝ่ายกายเลี้ยงดูชีวิตของมนุษย์อย่างมากล้น พระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าผู้ประทานอาหารและบำรุงรักษาจิตวิญญาณของผู้ที่เชื่อในพระองค์ให้เติบโต และรับใช้ได้เช่นกัน

“ความชอบธรรม” (your righteousness) –ฮชย.10:12

9:11     “ทรงให้ท่านทั้งหลายมั่งคั่งในทุกสิ่ง” (will be enriched in every way) –ในบางฉบับแปลว่า “ในทุกด้าน” –1คร.1:5

“เพื่อบริจาคด้วยใจกว้างขวางอยู่เสมอ” (to be generous in every way) = เพื่อจะสามารถเอื้อเฟื้อ

เผื่อแผ่ –2คร.9:5

“ทำให้เกิดการขอบคุณพระเจ้าผ่านเรา” (which through us will produce thanksgiving to God)

–2คร.1:11;4:15

9:12     “ไม่เพียง…ให้กับธรรมิกชนที่ขัดสนเท่านั้น” (not only supplying the needs of the saints) = ผลของการช่วยด้วยใจกว้างขวางเผื่อแผ่ของชาวโครินธ์ จะไปไกลเกินเยรูซาเล็มไปถึงคริสตจักรทั้งหมด ทำให้เกิดการ“ขอบพระคุณพระเจ้า”และสรรเสริญพระองค์อย่างแพร่กระจาย (ข.11,13-14) –2คร.8:14;2คร.1:11

9:13     “การปรนนิบัติ” (this service) –2คร.8:4

“จะสรรเสริญพระเจ้า” (they will glorify God) –มธ.9:8

“ยอมเชื่อฟังสมกับที่กล่าวยอมรับข่าวประเสริฐของพระคริสต์” (your submission that comes from your confession of the gospel of Christ) –2คร.2:12

“แบ่งปัน…ด้วยใจกว้างขวาง” (the generosity … contribution.) = ด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ –2คร.9:5

9:14     “พระคุณของพระเจ้าที่อยู่ในท่านอย่างมากมาย” (the surpassing grace of God upon you)            = พระคุณล้นพ้นที่พระเจ้าประทานแก่ท่าน

= เห็นได้จากความห่วงใยที่พวกเขามีต่อพี่น้องผู้เชื่อที่ลำบากเดือดร้อน

9:15     “ของประทานที่เกินความคาดคิด” ( his inexpressible gift) = พระบุตรของพระเจ้าเอง –ยน.3:16

พระเจ้าเป็นผู้เริ่มประทานพระองค์เองแก่เราโดยส่งพระบุตรลงมาในโลกนี้ การให้ของคริสเตียนจึงเป็นเพียง

แค่การสนองตอบด้วยความสำนึกในพระคุณ –ปท.8:9;1ยน.4:9-11

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยประทับใจในความใจกว้างของผู้ใดบ้างในการถวายเพื่อช่วยผู้อื่น(ที่มีความจำเป็น) จนคุณอดอวดเขาไม่ได้หรือไม่? ในเรื่องอะไร?
  2. คุณเคยเสียใจที่ใครบางคนไร้น้ำใจ หรือไม่ได้ใจกว้างอย่างที่เขาพูดบ้างหรือไม่? อย่างไร? (แบ่งปัน)
  3. คุณเคยซาบซึ้งใจกับการให้ด้วยความสมัครใจของใครบางคนที่มีต่อชีวิตหรืองานของคุณบ้าง? อย่างไร?
  4. คุณเคยเห็นคนที่ได้รับการอวยพรจากพระเจ้ามากเพราะเขาหว่านมากบ้างไหม? อย่างไร?
  5. คุณเคยถวายเงินแล้วรู้สึกเสียดายบ้างไหม? ทำไม? แล้วคุณทำอย่างไร?
  6. คุณเคยมีประสบการณ์กับการที่พระเจ้าอวยพรคุณ (และครอบครัว) จนคุณมีเหลือสำหรับการทำดีบ้างไหม? อย่างไร?
  7. มีกี่คนที่เคยขอบคุณพระเจ้าเพราะการที่คุณให้หรือการจัดหาปัจจัยที่จำเป็นให้แก่คนบางคนที่ขัดสนหรือไม่? (แบ่งปัน)

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์