Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนพระธรรมยากอบ บทที่ 2

ความลำเอียง ความเชื่อ และการประพฤติ

พระธรรม        ยากอบ 2:1-26

อ้างอิง             ลนต.19:18;อพย.20:13-14;ฉธบ.5:17-18;ปฐก.22:1-4;15:6;2พศด.20:7;อสย.41:8;ยชว.2:1-21

บทนำ             คนของพระเจ้าต้องไม่เป็นคนลำเอียง เลือกชั้นวรรณะในการคบหาและในการให้บริการ ไม่เป็นคนที่ปากบอกว่าเชื่อในพระเยซูคริสต์ แต่พฤติกรรมไม่สอดคล้องเลย คนของพระเจ้าต้องเป็นคนที่มีการกระทำเป็นการพิสูจน์ถึงความเชื่อแท้ของเขาอยู่เสมอ!

บทเรียน

2:1 “พี่น้องของข้าพเจ้า ในเมื่อพวกท่านมีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งศักดิ์ศรีของเรานั้น ก็จงอย่า​ลำเอียง” 

(My brothers, show no partiality as you hold the faith in our Lord Jesus Christ, the Lord of glory.)

2:1 “เพราะว่าถ้ามีคนหนึ่งสวมแหวนทองคำและแต่งตัวดีเข้ามาในที่ประชุมของท่านทั้งหลาย และมีคนจนคนหนึ่งแต่ง‍ตัวซอมซ่อเข้ามาด้วย” 

(For if a man wearing a gold ring and fine clothing comes into your assembly, and a poor man in shabby clothing also comes in, )

2:3 “และท่านสนใจแต่คนที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอย่างดีและกล่าวกับเขาว่า “ขอเชิญนั่งที่นี่” ขณะเดียวกันท่านก็พูดกับคนจนนั้นว่า “ยืนอยู่ตรงนั้นแหละ” หรือ“มานั่งที่พื้นแทบเท้าเรา” 

(and if you pay attention to the one who wears the fine clothing and say, “You sit here in a good place,” while you say to the poor man, “You stand over there,” or, “Sit down at my feet,” )

2:4 “พวกท่านก็แบ่งชั้นวรรณะและตัดสินด้วยความคิดที่ชั่วร้ายไม่ใช่หรือ?” 

(have you not then made distinctions among yourselves and become judges with evil thoughts? )

2:5 “จงฟัง พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า พระเจ้าทรงเลือกคนยากจนในโลกนี้ให้เป็นคนมั่งมีในความเชื่อและเป็นผู้รับมรดกในอาณาจักรที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับผู้ที่รักพระองค์ไม่ใช่หรือ?” 

(Listen, my beloved brothers, has not God chosen those who are poor in the world to be rich in faith and heirs of the kingdom, which he has promised to those who love him?)

2:6 “แต่พวกท่านกลับดูถูกคนจน พวกคนมั่งมีไม่ใช่หรือที่กดขี่ข่มเหงท่าน? และพวกเขาไม่ใช่หรือที่ลากตัวท่านไป​ขึ้นศาล?” 

(But you have dishonored the poor man. Are not the rich the ones who oppress you, and the ones who drag you into court? )

2:7 “พวกเขาไม่ใช่หรือที่หมิ่นประมาทพระนามประเสริฐที่ใช้เรียกพวกท่าน?”

(Are they not the ones who blaspheme the honorable name by which you were called?)

2:8 “ถ้าพวกท่านปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพระเจ้าอย่างแท้จริงตามพระคัมภีร์ที่ว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตน‍เอง พวกท่านก็ทำดี”

(If you really fulfill the royal law according to the Scripture, “You shall love your neighbor as yourself,” you are doing well.)

2:9 “แต่ถ้าพวกท่านลำเอียง ท่านก็ทำบาป และถูกตัดสินว่าเป็นผู้ละเมิดโดยธรรมบัญญัติ” 

(But if you show partiality, you are committing sin and are convicted by the law as transgressors.)

2:10 “เพราะว่าใครที่รักษาธรรมบัญญัติทั้งหมด แต่ผิดอยู่ข้อเดียว คนนั้นก็ทำผิดธรรมบัญญัติทั้งหมด” 

(For whoever keeps the whole law but fails in one point has become accountable for all of it. )

2:11 “เพราะว่าพระองค์ผู้ตรัสว่า “ห้ามล่วงประเวณีผัวเมียเขา ก็ตรัสไว้ด้วยว่า “ห้ามฆ่าคนแม้ท่านไม่ได้ล่วงประเวณีแต่ได้ฆ่าคน ท่านก็เป็นผู้ละเมิดธรรมบัญญัติ” 

   (For he who said, “Do not commit adultery,” also said, “Do not murder.” If you do not commit adultery but do murder, you have become a transgressor of the law. )

2:12 “เช่นนั้นแหละ พวกท่านจงพูดและทำเหมือนอย่างคนที่จะถูกพิพากษาด้วยหลักเกณฑ์แห่งเสรีภาพ” 

       (So speak and so act as those who are to be judged under the law of liberty. )

2:13 “เพราะว่าการพิพากษาย่อมไม่เมตตาต่อคนที่ไม่แสดงความเมตตา ความเมตตาย่อมมีชัยเหนือการพิพากษา”

       (For judgment is without mercy to one who has shown no mercy. Mercy triumphs over judgment.)

2:14 “พี่น้องของข้าพเจ้า แม้ใครจะกล่าวว่าตนมีความเชื่อ แต่ไม่ได้ประพฤติตามจะมีประโยชน์อะไร? ความเชื่อนั้นจะช่วยให้เขารอดได้หรือ?” 

   (What good is it, my brothers, if someone says he has faith but does not have works? Can that faith save him? )

2:15 “ถ้าพี่น้องชายหญิงคนไหนขาดแคลนเสื้อผ้าและอาหารประจำวัน” 

       (If a brother or sister is poorly clothed and lacking in daily food,)

2:16 “แล้วมีใครในพวกท่านกล่าวกับเขาทั้งหลายว่า “ขอให้กลับไปอย่างเป็นสุข ให้อบอุ่น และอิ่มหนำสำราญเถิด” แต่ไม่ได้ให้สิ่งจำเป็นฝ่ายกายแก่พวกเขา จะมีประโยชน์อะไร?” 

(and one of you says to them, “Go in peace, be warmed and filled,” without giving them the things  needed for the body, what good is that?) 

2:17 “ทำนองเดียวกัน ลำพังความเชื่อ ถ้าไม่มีการปฏิบัติ ก็เป็นสิ่งที่ตายแล้ว”

   (So also faith by itself, if it does not have works, is dead.)

2:18 “แต่บางคนจะกล่าวว่า “ท่านมีความเชื่อและข้าพเจ้ามีการประพฤติ” จงแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นความเชื่อของท่านโดยไม่มีการประพฤติซิ แล้วข้าพเจ้าจะแสดงให้ท่านเห็นความเชื่อของข้าพเจ้าโดยการประพฤติ” 

(But someone will say, “You have faith and I have works.” Show me your faith apart from your works,  and I will show you my faith by my works. )

2:19 “ท่านเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียว นั่นก็ดี แม้พวกผีก็เชื่อและกลัวจนตัวสั่น” 

   (You believe that God is one; you do well. Even the demons believe—and shudder!)

2:20 “คนโฉดเขลาเอ๋ย ท่านต้องการให้พิสูจน์ว่าความเชื่อที่ไม่มีการประพฤตินั้นไร้ผลหรือ?” 

   (Do you want to be shown, you foolish person, that faith apart from works is useless? )

2:21 “อับราฮัมบรรพบุรุษของเรา ถวายอิสอัคบุตรของท่านบนแท่นบูชา จึงถูกชำระให้ชอบธรรมเพราะการประพฤติไม่ใช่หรือ?” 

(Was not Abraham our father justified by works when he offered up his son Isaac on the altar? )

2:22 “ท่านก็เห็นแล้วว่า ความเชื่อนั้นทำงานควบคู่กับการประพฤติของเขาและความเชื่อก็สมบูรณ์โดยการประพฤตินั้น”

(You see that faith was active along with his works, and faith was completed by his works; )

2:23 “และพระคัมภีร์ก็สำเร็จตามที่กล่าวไว้ว่า“อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และพระองค์ทรงถือว่าเขาชอบธรรม และเขาได้ชื่อว่าเป็นสหายของพระเจ้า 

   (and the Scripture was fulfilled that says, “Abraham believed God, and it was counted to him as righteousness”—and he was called a friend of God. )

2:24 “พวกท่านก็เห็นแล้วว่า คนหนึ่งคนใดจะถูกชำระให้ชอบธรรมได้ก็เพราะการประพฤติ และไม่ใช่เพราะความเชื่อเพียงอย่างเดียว” 

   (You see that a person is justified by works and not by faith alone.)

2:25   “เช่นเดียวกัน ราหับหญิงโสเภณีก็ถูกชำระให้ชอบธรรมเพราะการประพฤติไม่ใช่หรือ? เมื่อนางได้ต้อนรับพวกผู้‍สอดแนม และส่งเขาทั้งหลายไปโดยทางอื่น”

   (And in the same way was not also Rahab the prostitute justified by works when she received the  messengers and sent them out by another way? )

2:26   “กายที่ปราศจากจิตวิญญาณนั้นตายแล้วอย่างไร ความเชื่อที่ปราศจากการประพฤติก็ตายแล้วอย่างนั้น”

         (For as the body apart from the spirit is dead, so also faith apart from works is dead.)

ข้อมูลมีประโยชน์

2:1       “องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งศักดิ์ศรี” (Lord Jesus Christ, the Lord of glory) –บางฉบับแปลว่า

“องค์พระเยซูคริสต์เจ้าผู้ทรงพระเกียรติสิริ” –ยน.1:14;ฮบ.1:3;กจ.7:2;1คร.2:8

“…จงอย่าลำเอียง” ( …no partiality) –พระเจ้าไม่ลำเอียง (กจ.10:34) , เราผู้เชื่อก็ต้องไม่ลำเอียงเช่นกัน (ข.5-13;1ทธ.5:21;ฉธบ.1:17;ลนต.19:15;สภษ.24:23;กจ.10:34;ยก.2:9)

2:2       “มาในที่ประชุม” (comes into your assembly) = คำกรีกที่ใช้ในที่นี้เป็นรากศัพท์ของคำว่า “ธรรมศาลา”

2:4       “ตัดสินด้วยความคิดที่ชั่วร้าย” (  judges with evil thoughts) = ตัดสินคนด้วยความคิดอธรรม

–ปท. สดด.19:15

2:5-13 –ยากอบได้ให้เหตุผล 3 ประการว่าทำไมไม่ควรลำเอียงเข้าข้างคนรวย

  • คนรวยในสมัยนั้น ข่มเหงผู้เชื่อที่ยากจน (ข.5-7)
  • ความลำเอียงเป็นการละเมิดกฎบัญญัติแห่งความรักของพระเจ้า นับว่าเป็นบาป (ข.8-11)
  • การลำเอียงจะถูกพิพากษา (ข.12-13)

2:5       “พี่น้องที่รัก” (my beloved brothers) –ยก.1:16,19

“พระเจ้าทรงเลือกคนยากจน” ( God chosen those who are poor) –ปท. ลก.6:20-23;1คร.26-31

          “ในโลกนี้” ( in the world) = บางฉบับแปลว่า “ในสายตาชาวโลก” –โยบ 34:19;1คร.1:26-28

          “ให้เป็นคนมั่งมีในความเชื่อ” (to be rich in faith ) –ลก.12:21;วว.2:9

“อาณาจักรที่พระองค์ทรงสัญญา” (kingdom, which he has promised) = อาณาจักรที่จะเข้าได้ด้วยการบังเกิดใหม่ (1:18) และจะบรรลุถึงความสมบูรณ์ในอนาคต (มธ.25:34,46;3:2)

“บรรดาผู้ที่รักพระองค์” (to those who love him ) –ยก.1:12

2:6       “แต่พวกท่านกลับดูถูกคนจน” (you have dishonored the poor man) –1คร.11:22

“ที่ลากตัวท่านไปขึ้นศาล” (who drag you into court) –กจ.8:3,16:19

2:8       “ธรรมบัญญัติของพระเจ้า” (law according to the Scripture) = บัญญัติแห่งความรัก (ลนต.19:18) เป็นบัญญัติสูงสุดและเป็นต้นกำเนิดของบัญญัติอื่น ๆ ในเรื่องความสัมพันธ์ของมนุษย์และเป็นข้อที่รวมบทบัญญัติทั้งสิ้นเข้าไว้ด้วยกัน (มธ.22:36-40;รม.13:8-10)

“จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” (“You shall love your neighbor as yourself,”) –ลนต.19:18; มธ.5:43

2:9       “เป็นผู้ละเมิดโดยธรรมบัญญัติ” (convicted by the law as transgressors.) –ฉธบ.1:17

2:10     “ผิดอยู่ข้อเดียว” (fails in one point ) –ในฉบับอื่นแปลว่า “พลาดไปจุดเดียว”–ยก.3:2

“ก็ทำผิดธรรมบัญญัติทั้งหมด” (become accountable for all of it) = มีความผิดเท่ากับละเมิดพระประสงค์ของพระเจ้าและละเมิดพระบัญญัติของพระองค์ทั้งหมด ; ปท.มธ.5:18-19;23:23; กท.3:10;5:3

2:11     “ห้ามล่วงประเวณีผัวเมียเขา…ห้ามฆ่าคน” (Do not commit adultery… Do not murder) = ทั้ง 2 ข้อนี้ ละเมิดกฎแห่งความรักต่อเพื่อนบ้านอย่างชัดเจนที่สุด (ข.8)

2:12     “คนที่จะถูกพิพากษา” (who are to be judged) = คนที่จะรับการตัดสิน (ในเรื่องบำเหน็จ)

–1คร.3:12-15;2คร.5:10;วว.22:12;มธ.16:27

2:13     “ไม่เมตตาต่อคนที่ไม่แสดงความเมตตา” ( without mercy to one who has shown no mercy)

= ผู้ที่ไร้ความเมตตาจะถูกตัดสินลงโทษโดยไร้ความเมตตาปราณี –มธ.5:7;9:13;12:7;18:32-35

“ความเมตตาย่อมมีชัยเหนือการพิพากษา” (Mercy triumphs over judgment.) ถ้ามนุษย์มีความเมตตา พระเจ้าจะทรงเมตตาในวันพิพากษา (สภษ.21:13;มธ.5:7;6:14-15;18:21-35)

2:14-26 – ในข้อ 14-20,24,26 – คำว่า “ความเชื่อ” ไม่ได้ถูกใช้ในความหมายของความเชื่อแท้ที่ช่วยให้รอด แต่เป็นความเชื่อแบบที่พวกผีและเทพเชื่อ (ข.19) ซึ่งที่ไร้ประโยชน์ (ข.20) และไร้ชีวิต (ข.26) = เพียงการยอมรับความจริงในสมอง แต่ปราศจากการยอมรับและวางใจพระเยซูคริสต์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอด

-แต่ยากอบไม่ได้บอกว่า มนุษย์จะรอดโดยการประพฤติ เพราะมนุษย์จะได้รับการประกาศว่า เป็นผู้ชอบธรรม เฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าได้ โดยความเชื่อแท้เท่านั้น และความเชื่อเช่นนั้นต้องพิสูจน์ออกมาโดยการกระทำดี (รม.3:24)

2:14     “…จะมีประโยชน์อะไร” (What good is it) –มธ.7:26;ยก.1:22-25

2:15-16 –ตัวอย่างประกอบเรื่องความเชื่อเทียมนี้ขนานไปกับตัวอย่างประกอบเรื่องความรักเทียมใน 1ยน.3:7

-แต่ทั้ง 2 ตอนบอกว่า ทั้งความเชื่อและความรักล้วนเรียกร้องให้แสดงออกมาเป็นการกระทำ

2:15     “ขาดแคลนเสื้อผ้าและอาหารประจำวัน” (poorly clothed and lacking in daily food) –มธ.25:35-36

2:16     “จะมีประโยชน์อะไร?” (what good is that?) –ลก.3:11;1ยน.3:17-18

2:17     “ก็เป็นสิ่งที่ตายแล้ว” (is dead) = บางฉบับแปลว่า “ไร้ประโยชน์” –กท.5:6;ยก.2:20,26

2:18     “ท่านมีความเชื่อและข้าพเจ้ามีการประพฤติ” (You have faith and I have works) = คำอ้างผิด ๆ ที่ว่า ความเชื่อและการกระทำสามารถแยกกันได้

“จงแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นความเชื่อของท่านโดยไม่มีการประพฤติ” (Show me your faith apart from your works) = การกล่าวประชดประชันของยากอบที่ต้องการสื่อว่าไม่มีความเชื่อที่แยกจากการกระทำได้แบบนี้ –รม.3:28

“แล้วข้าพเจ้าจะแสดงให้ท่านเห็นความเชื่อของข้าพเจ้า โดยการประพฤติ” (and I will show you my faith by my works.) –ฮบ.11;มธ.7:16-17;ยก.3:15

2:19     “ท่านเชื่อว่าพระเจ้ามีเพียงองค์เดียวนั่นก็ดี” (You believe that God is one) –ฉธบ.6:4;มก.12:29;1คร.8:4-6

“แม้พวกผีก็เชื่อและกลัวจนตัวสั่น” ( Even the demons believe—and shudder!)- มธ.8:29;ลก.4:34

2:20     “ท่านต้องการให้พิสูจน์ว่า ความเชื่อที่ไม่มีการประพฤตินั้นไร้ผลหรือ?” (Do you want to be shown, you foolish person, that faith apart from works is useless? ) –มก.2:17,26

2:21     “อับราฮัม…ถวายอิสอัค…จึงถูกชำระให้ชอบธรรม เพราะการประพฤติไม่ใช่หรือ?” (Abraham… offered up his son Isaac… our father justified by works) –ปฐก.22:9,12

-ถ้าไม่ดูบริบทก็อาจดูขัดแย้งกับคำสอนที่ว่า เรารอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ –รม.3:28;กท.2:15-16

แต่ในตอนนี้ ยากอบใช้การกระทำที่ชอบธรรมเป็นหลักฐานของความเชื่อแท้ที่แสดงออกมา เพราะใน ปฐก.15:6 ที่ยกมาในข้อ 23 ยืนยันประเด็นว่า อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และความเชื่อนี้พระเจ้าทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมของเขา และการแสดงความเชื่อนี้ เกิดขึ้นก่อนที่เขาถวายอิสอัค อ.เปาโลก็เสริมว่า ความเชื่อที่ช่วยให้รอดก่อให้เกิดการกระทำ

2:22     “ความเชื่อนั้นทำงานควบคู่กับการประพฤติ” (faith was active along with his works) –ฮบ.11:17

“ความเชื่อก็สมบูรณ์ โดยการประพฤตินั้น” ( faith was completed by his works) –1ธส.1:3

2:23     “อับราฮัมเชื่อพระเจ้า…ทรงถือว่าเขาชอบธรรม” (Abraham believed God.. was counted to him as

righteousness) –ปฐก.15:6;รม.4:3

“เป็นสหายของพระเจ้า” (a friend of God) –2พศด.20:7;อสย.41:8

= พระเจ้ายอมรับฐานะความสัมพันธ์ของอับราฮัมกับพระองค์อย่างสมบูรณ์ –ปท.ยน.15:13-15
2:24     “ไม่ใช่เพราะความเชื่อเพียงอย่างเดียว” (not by faith alone) = ไม่ใช่การยอมรับเชื่อนี่เป็นการแค่ยอมรับความจริงทางสมองแค่นั้น (2:14-26)

2:25     “ราหับหญิงโสเภณี” (Rahab the prostitute ) = ยากอบไม่ได้สนับสนุนอาชีพโสเภณี แต่ชมเชยที่เธอมีความเชื่อ (ฮบ.11:31) ที่แสดงออกมาโดยการเสี่ยงช่วยคนสอดแนมของโยชูวา (ยชว.2;ฮบ.11:31)

2:26     “ความเชื่อที่ปราศจากการประพฤติก็ตายแล้วอย่างนั้น” ( faith apart from works is dead            )

–ยก.2:17,20

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยไม่พอใจคนบางคนที่เขาตัดสิน และปฏิบัติต่อคุณอย่างลำเอียงบ้างหรือไม่? เรื่องราวเป็นอย่างไร? แล้วคุณจัดการอย่างไร? ผลที่ออกมาเป็นอย่างไร?
  2. คุณเองเคยถูกกล่าวหาว่า ลำเอียงบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? และจริงหรือไม่? คุณแก้ไขปัญหานี้อย่างไร? ผลเป็นที่พอใจหรือไม่? ทำไม?
  3. คุณเคยลำเอียงเมื่อปฏิบัติต่อคนยากจนกับคนมั่งมีไม่เหมือนกันบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? แล้วเกิดอะไรตามมา?
  4. คุณเคยรู้สึกว่า ตัวคุณดีกว่าคนอื่น เพราะว่าคุณทำผิดบัญญัติน้อยกว่าเขาบ้างหรือไม่? นานหรือไม่กว่าคุณจะรู้ตัวว่า การผิดบัญญัติมากน้อยไม่ต่างกัน เพราะทั้ง 2 ก็ล้วนผิดบัญญัติทั้งคู่?
  5. คุณเคยถูกปฏิบัติอย่างไร้ความเมตตาบ้างไหม? ในเรื่องอะไร? หรือคุณเคยเป็นคนที่ไร้ความเมตตาต่อผู้อื่นบ้างไหม? เรื่องอะไร? แล้วผลที่ตามมาเป็นอย่างไร
  6. คุณเคยดำเนินชีวิตหรือประพฤติตัวโดยแยกความเชื่อ และความประพฤติออกจากกันบ้างหรือไม่? อย่างไร? แล้วคุณรู้สึกอย่างไร?
  7. คุณเคยประสบกับเหตุการณ์อะไรบ้างที่ทำให้คุณสะดุด เพราะคนบางคนพูดและทำตรงกันข้ามกัน หรือปากบอกว่า เชื่อในพระเจ้า แต่พฤติกรรมไม่สอดคล้องกับที่พูดหรืออาจขัดแย้งอย่างเห็นได้ชัดเจนด้วยซ้ำ?
  8. มีประสบการณ์ใดบ้างที่คุณแสดงความเชื่อออกมาเป็นการกระทำที่คุณจ่ายราคาแพงที่สุดในชีวิตของคุณ? เหตุการณ์นั้นสอนอะไรคุณบ้าง? และส่งผลอะไรต่อชีวิตของคุณในทุกวันนี้?
  9. ใครคือบุคคลที่คุณชื่นชอบที่สุดในพระคัมภีร์ ในเรื่องความเชื่อที่แสดงออกมาเป็นการกระทำ? ทำไม?
  10. ใครคือบุคคลในคริสตจักรของคุณที่คุณประทับใจในความเชื่อและการประพฤติ (การกระทำ)ของเขาที่สอดคล้องกัน? อย่างไร?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระธรรมยากอบ บทที่ 1

การทดสอบ & การทดลอง

พระธรรม        ยากอบ 1:1-27

อ้างอิง             กจ.15:13;26:7;15:23;1ปต.1:7;สภษ.2:3-6;สดด.51:6;119:113:103:15-16;102:4,11;85:12; 136:7;19:7;34:13;39:1;141:3

บทนำ             ชีวิตของเราหนีไม่พ้นการทดสอบและการทดลอง แล้วเราจะรับมือกับสิ่งเหล่านั้นอย่างไร?

อาจารย์ยากอบมีคำแนะนำที่ดีที่เราควรปฏิบัติตาม!

บทเรียน

1:1     “จาก ยากอบ ผู้รับใช้ของพระเจ้าและของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าถึงคนสิบสองเผ่าที่กระจัดกระจายอยู่นั้น ขอสวัสดีพี่น้อง”

(James, a servant of God and of the Lord Jesus Christ, To the twelve tribes in the Dispersion: Greetings.)

1:2   “พี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อพวกท่านพบกับการทดลองใจต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง”

(Count it all joy, my brothers, when you meet trials of various kinds,)

1:3   “เพราะพวกท่านรู้ว่าการทดสอบความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความทรหดอดทน” 

(for you know that the testing of your faith produces steadfastness.)

1:4   “และจงให้ความทรหดอดทนนั้นมีผลอย่างสมบูรณ์ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนที่สมบูรณ์และดีพร้อม โดยไม่ขาดสิ่งใดเลย”

(And let steadfastness have its full effect, that you may be perfect and complete, lacking in nothing.)

1:5   “แต่ถ้าใครในพวกท่านขาดสติปัญญา ให้คนนั้นทูลขอจากพระเจ้าผู้ประทานให้กับทุกคนด้วยพระทัยกว้างขวางและไม่ทรงตำหนิ แล้วเขาก็จะได้รับตามที่ทูลขอ” 

( If any of you lacks wisdom, let him ask God, who gives generously to all without reproach, and it will be given him.)

1:6   “แต่จงขอด้วยความเชื่อและไม่สงสัย เพราะว่าคนที่สงสัยนั้นเป็นเหมือนคลื่นในทะเลที่ถูกลมพัดซัดไปมา”

(But let him ask in faith, with no doubting, for the one who doubts is like a wave of the sea that is driven and tossed by the wind. )

1:7   “คนๆ นั้นจงอย่าคิดเลยว่าจะได้รับสิ่งใดจากองค์พระผู้เป็นเจ้า” 

(For that person must not suppose that he will receive anything from the Lord; )

1:8   “เขาเป็นคนสองจิตสองใจไม่มั่นคงในบรรดาทางของตน”

(he is a double-minded man, unstable in all his ways.)

1:9   “ให้พี่น้องที่ต่ำต้อยภาคภูมิใจเมื่อได้รับการเชิดชู”

(Let the lowly brother boast in his exaltation, )

1:10  “และคนมั่งมีก็ภาคภูมิใจเมื่อต่ำต้อยลง เพราะเขาจะร่วงโรยไปเหมือนดอกหญ้า”

(and the rich in his humiliation, because like a flower of the grass he will pass away. )

1:11  “เพราะว่าเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นพร้อมกับความร้อนแรงกล้าก็ทำให้หญ้าเหี่ยวแห้งและดอกหญ้าก็ร่วงหล่น แล้วความงามของมันก็สูญสิ้น คนมั่งมีก็เช่นกัน เขาจะสูญสลายไปในระหว่างที่เขากำลังวุ่นวายอยู่กับการดำเนินธุรกิจ”

(For the sun rises with its scorching heat and withers the grass; its flower falls, and its beauty perishes. So also will the rich man fade away in the midst of his pursuits.)

1:12  “คนที่สู้ทนต่อการทดลองใจก็เป็นสุข เพราะเมื่อเขาผ่านการทดสอบแล้ว เขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิตที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับคนทั้งหลายที่รักพระองค์”

( Blessed is the man who remains steadfast under trial, for when he has stood the test he will receive the crown of life, which God has promised to those who love him. )

1:13  “อย่าให้คนที่ถูกล่อลวงกล่าวว่า “พระเจ้าทรงล่อลวงข้าพเจ้า” เพราะว่าพระเจ้าจะไม่ถูกความชั่วล่อลวง และ​พระองค์เองก็ไม่ทรงล่อลวงใครเลย” 

(Let no one say when he is tempted, “I am being tempted by God,” for God cannot be tempted with evil, and he himself tempts no one.)

1:14  “แต่ทุกคนถูกล่อลวงด้วยตัณหาของตัวเอง คือถูกตัณหานั้นล่อลวงและชักนำ”

(But each person is tempted when he is lured and enticed by his own desire. )

1:15  “เมื่อตัณหาฟักตัวขึ้นแล้วก็ก่อให้เกิดบาป และเมื่อบาปเจริญเต็มที่แล้วก็ก่อให้เกิดความตาย”

(Then desire when it has conceived gives birth to sin, and sin when it is fully grown brings forth death.)

1:16  “พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า อย่าถูกหลอกเลย” 

(Do not be deceived, my beloved brothers.)

1:17  “ของประทานที่ดีและเลิศทุกอย่างนั้นมาจากเบื้องบน คือมาจากพระผู้สร้างแห่งบรรดาดวงสว่าง ในพระองค์ไม่มีการแปรปรวนหรือเงาของการเปลี่ยนแปลง”

(Every good gift and every perfect gift is from above, coming down from the Father of lights with whom there is no variation or shadow due to change. )

1:18  “เมื่อตั้งพระทัยแล้ว พระองค์ทรงให้เราบังเกิดด้วยพระวจนะแห่งความจริง เพื่อให้เราเป็นผลิตผลแรกของสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงสร้าง”

(Of his own will he brought us forth by the word of truth, that we should be a kind of firstfruits of his creatures.)

1:19 “พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงเข้าใจในเรื่องนี้ คือให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ” 

( Know this, my beloved brothers: let every person be quick to hear, slow to speak, slow to anger; )

1:20  “เพราะว่าความโกรธของมนุษย์ไม่ก่อให้เกิดความชอบธรรมของพระเจ้า” 

(for the anger of man does not produce the righteousness of God.)

1:21  “เพราะฉะนั้นจงขจัดความโสมมทุกอย่างและความชั่วที่มีอยู่ดาษดื่น และด้วยใจที่สุภาพอ่อนโยนจงน้อมใจรับพระวจนะที่ทรงปลูกฝังไว้แล้วนั้น ซึ่งสามารถช่วยจิตวิญญาณของพวกท่านให้รอดได้”

(Therefore put away all filthiness and rampant wickedness and receive with meekness the implanted word, which is able to save your souls.)

1:22  “แต่จงเป็นผู้ประพฤติตามพระวจนะ ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ฟังเท่านั้น มิฉะนั้นจะเป็นการหลอกตัวเอง” 

(But be doers of the word, and not hearers only, deceiving yourselves. )

1:23  “เพราะถ้าใครเป็นเพียงผู้ฟังพระวจนะและไม่ใช่ผู้ประพฤติตามผู้นั้นก็เป็นเหมือนคนที่ดูหน้าของตนเองในกระจกเงา” 

(For if anyone is a hearer of the word and not a doer, he is like a man who looks intently at his natural face in a mirror. )

1:24  “เพราะว่าเมื่อเห็นแล้วก็จากไป และลืมในทันทีว่าตนเองเป็นอย่างไร”

(For he looks at himself and goes away and at once forgets what he was like. )

1:25  “แต่ผู้ที่พินิจพิจารณาธรรมบัญญัติอันสมบูรณ์แบบซึ่งเป็นธรรมบัญญัติแห่งเสรีภาพและตั้งมั่นในธรรมบัญญัตินั้น ไม่ได้เป็นผู้ที่ฟังแล้วก็ลืมแต่เป็นผู้ที่ประพฤติตาม ผู้นั้นจะได้รับความสุขในการประพฤติของตน”

(But the one who looks into the perfect law, the law of liberty, and perseveres, being no hearer who forgets but a doer who acts, he will be blessed in his doing.)

1:26  “ถ้าใครคิดว่าตัวเองเป็นคนมีธรรมะแต่ไม่ได้ควบคุมลิ้นของตน เขาก็หลอกลวงจิตใจของตนเอง และธรรมะของคนนั้นก็ไม่มีประโยชน์”

(If anyone thinks he is religious and does not bridle his tongue but deceives his heart, this person’s religion is worthless. )

1:27  “ธรรมะที่บริสุทธิ์ไร้มลทินเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าพระบิดานั้น คือการช่วยเหลือเด็กกำพร้าและหญิงม่ายที่มีความทุกข์ร้อน และการรักษาตัวให้พ้นจากราคีของโลก”

(Religion that is pure and undefiled before God, the Father, is this: to visit orphans and widows in their affliction, and to keep oneself unstained from the world.)

ข้อมูลมีประโยชน์

1:1 “ยากอบ” (James) –กจ.15:13

“ผู้รับใช้ของพระเจ้า” (servant of God) -รม.1:1;ทต.1:1; “คนสิบสองเผ่า” (the twelve tribes) –กจ.26:7

“ที่กระจัดกระจายอยู่นั้น” (in the Dispersion) –ฉธบ.2:26;ยน.7:35;1ปต.1:1;กจ.15:23

1:2-3   “การทดลองใจ…ทำให้เกิดความอดทนบากบั่น” (the testing … produces steadfastness)

= ใช้ภาษาคล้าย ๆ กับข้อ 12 ซึ่งสร้างกรอบเกี่ยวกับความทุกข์ยากในจดหมายฉบับนี้

1:2 “พี่น้องของข้าพเจ้า” (my brothers) = ยากอบเรียกผู้อ่านว่า “พี่น้อง” -15 ครั้งในจดหมายฉบับนี้ ยากอบตักเตือนพวกเขาด้วยความรักฉันพี่น้อง

“การทดลองใจต่าง ๆ” (trials of various kinds) = ความทุกข์ยากนาน ๆ ประการ

= มีรากศัพท์คำเดียวกับคำว่า “ล่อลวง” ใน 1:13 เพียงแต่ 1:2-3 เน้นความยากลำบากซึ่งมาจากภายนอก แต่ใน

1:13-15 เน้นความยากลำบากด้านศีลธรรมภายในชีวิต เช่น การทดลองให้ทำบาป

“จงถือว่า เป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง” (Count it all joy) –มธ.5:11-12;กจ.5:41;รม.5:3;ฟป.4:4;1ปต.1:6;ฮบ.10:34; 12:11;ยก.1:12

1:3 “การทดสอบความเชื่อของท่านนั้น” (the testing of your faith) –1ปต.1:7

“ทำให้เกิดความทรหดอดทน” (produces steadfastness) –ฮบ.10:36

1:4 “มีผลอย่างสมบูรณ์” (have its full effect ) = เติบโตเต็มที่ –1คร.2:6

1:5 “สติปัญญา” (wisdom) = สิ่งที่จะช่วยให้เผชิญกับความทุกข์ยากลำบากได้ด้วยความชื่นชมยินดี (ข.2)

= ความสามารถในการนำความรู้อันลึกซึ้งมาปฏิบัติจริงได้ (3:13-18;สภษ.1:2-4;1:2;2:10-15;4:5-9;9:10-12)

          “ทูลขอจากพระเจ้า” (ask God) –1พกษ.3:9-10;สภษ.2:3-6

          “แล้วเขาก็จะได้รับตามที่ทูลขอ” (and it will be given him) –สดด.51:6;ดนล.1:17;2:21;มธ.7:7

1:6 “จงขอด้วยความเชื่อและไม่สงสัย” (let him ask in faith, with no doubting) –มธ.21:21;มก.11:24

= เมื่อทูลขอต้องเชื่อและไม่สงสัยเลย

“คลื่นในทะเลที่ถูกลมพัดซัดไปมา” (a wave of the sea that is driven and tossed by the wind) –อฟ.4:14

1:8 “เขาเป็นคนสองจิตสองใจ” ((he is a double-minded man) –สดด.119:113;ยก.4:8

“ไม่มั่นคงในบรรดาทางของตน” (unstable in all his ways) = เอาแน่อะไรไม่ได้ –2ปต.2:14;3:16

1:9-10 “พี่น้องที่ต่ำต้อย…คนมั่งมี” (the lowly brother ….. the rich) = คริสเตียนเผชิญกับความต่ำต้อย ยากลำบาก และยากจน ควรภูมิใจในการเชิดชูจากพระเจ้า (ให้มีฐานะสูงส่ง) (ข.9) และในฐานะผู้เชื่อและผู้รับมรดกจากพระเจ้า (2:5)

ส่วนคริสเตียนที่มั่งมี ก็ต้องไม่ภาคภูมิใจในทรัพย์สมบัติที่มี แต่ให้ภูมิใจที่พระเจ้ารักและทำให้เขาถ่อมตัวลง สอนเขาให้ตระหนักถึงความไม่ยั่งยืนของชีวิตและความมั่งมี (ข.10)

1:9 “ภาคภูมิใจเมื่อได้รับการเชิดชู” (boast in his exaltation) –มธ.23:12

1:10 “ร่วงโรยไปเหมือนดอกหญ้า” (like a flower of the grass he will pass away) –โยบ 14:2;สดด.103:15;

อสย.40:6-7;1ปต.2:24; ปท. ลก.12:15;20-21;1ทธ.6:8-10,17-19

1:11 “ความร้อนแรงกล้า” (with its scorching heat ) = ความร้อนก็แผดเผา –มธ.20:12

          “ทำให้หญ้าเหี่ยวแห้ง” ( withers the grass) –สดด.102:4,11

          “ความงามของมันก็สูญสิ้น” (its beauty perishes) = สูญสิ้นความงาม ; ปท.4:14;อสย.40:6-8

1:12 “คนที่สู้ทนต่อการทดลองใจก็เป็นสุข” (Blessed is the man who remains steadfast under trial,for when

he has stood the test) –ปฐก.22:1;ยก.1:2,5:11;1ปต.3:14

          “เป็นสุข” (Blessed) – ยรม.17:7-8;มธ.5:3-12;สดด.1:1;มธ.5:3;วว.1:3 “มงกุฎแห่งชีวิต” (the crown of life)

          “มงกุฎ” = ปกติคำนี้ใช้กับมงกุฎดอกไม้ที่สวมศีรษะของนักกรีฑา หรือผู้นำกองทัพที่ประสบชัยชนะ

(2ทธ.4:8;1ปต.5:4;วว.2:20)

          “ชีวิต” = ชีวิตนิรันดร์

          “ทรงสัญญาไว้กับคนทั้งหลายที่รักพระองค์” (God has promised to those who love him) –อพย.20:6; 1คร.2:9;8:3;ยก.2:5

1:13 “ถูกล่อลวง” (tempted) -ในบางฉบับแปลว่า “ถูกทดลองให้ทำบาป”

ใน 1:13 – 14 นี้ คำกริยาของคำว่า “ล่อล่วง” หมายถึงการทดลองหรือการทดสอบความเข้มแข็งทางศีลธรรม ในการยืนหยัดต่อต้านบาป (มธ.4:1)

“พระเจ้าจะไม่ถูกความชั่วล่อล่วง” (for God cannot be tempted with evil) = พระเจ้ามีพระลักษณะของความบริสุทธิ์สิ้นเชิง ไม่มีบาปใดจะล่อลวงพระเจ้าได้

          “พระองค์เองก็ไม่ทรงล่อลวงใครเลย” (and he himself tempts no one.)  –ปฐก.22:1

1:14 “ตัณหาของตัวเอง” (his own desire) = ตัณหาชั่วของตัวเอง = ความโน้มเอียงโดยสันดานที่จะทำบาปของคนแต่ละคน (ปท. ยรม.17:9) –สภษ.19:3; “ล่อลวงและชักนำ” (tempted when he is lured) = “ชักจูงให้ไปติดกับ”

= อธิบายถึงวิธีการล่าสัตว์เพื่อนำมาเปรียบให้เห็นว่า ตัณหาชั่วทำงานอย่างไร (ปท. 2ปต.2:14)

1:15 “ก่อให้เกิดบาป” (birth to sin) –ปฐก.3:6;โยบ 15:35;สดด.7:14;อสย.59:4

   “ก่อให้เกิดความตาย” (brings forth death) –รม.6:23

1:16 “อย่าถูกหลอกเลย” (not be deceived) –1คร.6:9 = เรามีตัวอย่างของคนที่ตกอยู่ในข่ายที่กล่าวมา 3 ขั้นตอน คือ ถูกล่อลวงด้วยตัณหาของตัวเอง จากนั้นก่อเกิดบาปและเกิดความตาย นั่นคือ ตัวอย่างของ เอวา

(ปฐก.3:6-22) และดาวิด (2ซมอ.11:2-17)

1:17 “ของประทานที่ดีและเลิศทุกอย่างนั้นมาจากเบื้องบน” (Every good gift and every perfect gift is from above) –ข.5;3:17;สดด.85:12;ยน.3:27;ยก.3:14,17

   “พระผู้สร้างแห่งบรรดาดวงสว่าง” (from the Father of lights) = พระเจ้าคือพระผู้สร้างสิ่งต่าง ๆ ในฟ้าสวรรค์ ซึ่งให้แสงสว่างแก่แผ่นดินโลก –ปฐก.1:16;สดด.136:7;ดนล.2:22;1ยน.1:5

   “ในพระองค์ไม่มีการแปรปรวน” (there is no variation) = พระเจ้าไม่เคยผันแปร -กดว.23:19;สดด.102:27;  มลค.3:6

1:18   “บังเกิด” (brought) = การบังเกิดใหม่ (ยน.1:13;3:3;5,7) ไม่ใช่หมายถึงการทรงสร้าง

   “ด้วยพระวจนะแห่งความจริง” (the word of truth) –บางฉบับแปลว่า “ผ่านทางข่าวประเสริฐ” –2ทธ.2:12

   “ผลิตผลแรก” (firstfruits) –ลนต.23:9-14 = ฟ่อนข้าว ฟ่อนแรก เป็นเครื่องบ่งชี้ว่า ในที่สุด ผลของการเกี่ยวเก็บ

            ทั้งหมดจะตามมา เช่นเดียวกับคริสเตียนยุคแรก เป็นเครื่องบ่งบอกว่า คนมากมายจะบังเกิดใหม่ในที่สุด (1คร.15:20)

1:19 “พี่น้องที่รัก” (beloved brothers) –ยก.1:16;2:5

             “ช้าในการพูด” (slow to speak) –สภษ.10:19;ยก.3:3-12;1:26

1:20  “ความโกรธของมนุษย์” (the anger of man) –มธ.5:22

1:21   “จงขจัด” (put away) –อฟ.4:22; “พระวจนะ” (word) = พระวจนะของพระเจ้า (1ปต.1:23)

   “ที่ทรงปลูกฝังไว้แล้วนั้น” (implanted) = บางฉบับแปลว่า “ที่ได้ปลูกฝังไว้ในท่าน” –อฟ.1:13

             “สามารถช่วยจิตวิญญาณของพวกท่านให้รอดได้” (which is able to save your souls) = แสดงถึงความรอดในอนาคต –ปท.1:14;9:28

1:22 “จงเป็นผู้ประพฤติตามพระวจนะ” ( be doers of the word) –มธ.7:21;ยก.2:14-20

1:25 “ธรรมบัญญัติอันสมบูรณ์แบบ” (the perfect law) = คำสอนด้านศีลธรรมและจริยธรรมของคริสต์ศาสนาที่มีฐานอยู่บนบทบัญญัติจากพระคัมภีร์เดิม ประกอบเป็นบัญญัติ 10 ประการ (สดด.19:7) และพระคริสต์นำสู่ความสมบูรณ์

   “เสรีภาพ” (liberty) = การเชื่อฟังบทบัญญัติด้านศีลธรรมได้มอบเสรีภาพน่ายินดีต่อคริสเตียน เพื่อเป็นไปตามจุดมุ่งหมายที่ถูกต้องมา (สดด.19:7;ยน.8:32;กท.2:4;ยก.2:12)

   “ได้รับความสุขในการประพฤติของตน” (he will be blessed in his doing) บางฉบับแปลว่า “ได้รับพรในสิ่งที่ตนทำ” –ยน.13:17

1:26-27 –เป็นตัวอย่างของคนที่ไม่ได้ปฏิบัติตามพระวจนะกับคนที่ปฏิบัติตาม

1:26   “เป็นคนมีธรรม” (is religious)

= “เคร่งศาสนา” = เคร่งศาสนาแต่ภายนอก เช่น ให้ทานแก่คนยากจน ถือศีลอดอาหาร การอธิษฐานในที่ประชุมนมัสการ (มธ.6:1-18

            “ควบคุมลิ้นของตน” (bridle his tongue) -3:1-12;สดด.34:13;39:1;141:3;ยก.3:2-12;1ปต.3:10

1:27   -ยรม.22:16

   “การช่วยเหลือ” (to visit) = การดูแล –มธ.25:36

       “เด็กกำพร้าและหญิงม่าย” (orphans and widows) –อพย.22:21-27;อสย.1:17;ฉธบ.14:29;โยบ.31:16,17, 21;สดด.146:9;อสย.1:17,23

“ราคีของโลก” (to keep oneself unstained from the world.) = มลพิษฝ่ายโลก –รม.12:2;ยก.4:4;2ปต.1:4,2:20

คำถามนำอภิปราย

  1. หากวันนี้ คุณได้รับมอบหมายให้เขียนข้อความเพื่อหนุนใจคน คุณอยากเขียนไปหนุนใจใคร เรื่องอะไร? ทำไม?
  2. คุณเคยเผชิญกับเรื่องทดลองใจ แต่กลับสามารถมีความยินดีได้บ้างหรือไม่? ทำได้อย่างไร?
  3. คุณเคยมีประสบการณ์กับการขาดสติปัญญาแล้วทูลขอจากพระเจ้า แล้วได้รับมาบ้างหรือไม่? อย่างไร? แบ่งปัน
  4. คุณเคยทูลขอบางอย่างจากพระเจ้า แล้วไม่ได้รับบ้างหรือไม่? คุณรู้สึกอย่างไร? ส่งผลกระทบต่อความเชื่อของคุณอย่างไร? แล้วบั้นปลายเป็นอย่างไร?
  5. คุณเคยเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้หรือไม่? อย่างไร?

…..1. คุณเคยต่ำต้อย/ตกต่ำแล้วพระเจ้ายกชูหรือยกขึ้นสูง?

…..2. คุณเคยอยู่สูง/มั่งมี แล้วถูกทำให้ตกต่ำลง?

  1. คุณเคยต่อสู้กับการทดลองใจเรื่องใดที่ยากที่สุดในชีวิต? แล้วคุณผ่านมาได้อย่างไร? (แบ่งปัน)
  2. คุณเคยถูกล่อลวงเพราะกิเลสตัณหาของตัวคุณเองบ้างไหม? เรื่องอะไร? แล้วคุณสู้กับมันอย่างไร? ผลคืออะไร?
  3. คุณเคยมีประสบการณ์อะไรกับข้อความใดในพระธรรมตอนนี้บ้าง? อย่างไร?

…..1. ไวในการฟัง

…..2. ช้าในการพูด

…..3. ช้าในการโกรธ

  1. คุณเคยเป็นผู้หนึ่งที่ฟังพระวจนะของพระเจ้าแล้วไม่ทำตามบ้างหรือไม่? ผลเป็นอย่างไร? หรือกลับกัน คุณเคยเป็นคนที่เมื่อก่อนไม่ฟังพระวจนะ แต่กลับมาฟังแล้วปฏิบัติตาม? เกิดผลอะไรตามมาบ้าง?
  2. คุณเคยสุขใจกับธรรมะที่บริสุทธิ์ข้อใดต่อไปนี้

…..1. การช่วยเหลือเด็กกำพร้า  

…..2. การช่วยเหลือหญิงม่ายที่ทุกข์ร้อน

…..3. การรักษาตัวให้พ้นราคีของโลก?

อย่างไร? แล้วเกิดอะไรตามมา?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระธรรมยากอบ (บทนำ)

I ใครคือผู้เขียนพระธรรมยากอบ?

  1. ยากอบ 1:1 เปิดเผยว่าผู้เขียนคือ (………………….)
  2. คำถามคือยากอบคนใด?
  • ยากอบ(……………………) ผู้มีน้องชายชื่อยอห์น?

มธ.4:17-22 “ตั้ง‍แต่​นั้น​มา พระ‍เยซู​ได้​ทรง​ตั้ง‍ต้น​ประ‌กาศ​ว่า “จง​กลับ‍ใจ​เสีย​ใหม่ เพราะ​ว่า​แผ่น‍ดิน​สวรรค์มา​ใกล้​แล้ว” 18ขณะ​ที่​พระ‍องค์​ทรง​ดำ‌เนิน​อยู่​ตาม​ชาย​ทะเล​กา‌ลิลี ก็​ทอด​พระ‍เนตร​เห็น​พี่​น้อง​ชาว​ประ‌มง​สอง​คน คือ​ซีโมน​ที่​เรียก‍ว่า​เป‌โตร กับ​อัน‌ดรูว์​น้อง‍ชาย กำ‌ลัง​ทอด‍แห​อยู่​ที่​ทะเล​สาบ 19พระ‍องค์​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “จง​ตาม​เรา​มา​เถิด และ​เรา​จะ​ตั้ง​ท่าน​ให้​เป็น​ผู้​หา​คน​ดั่ง​หา​ปลา” 20เขา​ทั้ง‍สอง​ได้​ละ​แห​ตาม​พระ‍องค์​ไป​ทันที 21ครั้น​พระ‍องค์​เสด็จ​ต่อ‍ไป ก็​ทอด‍พระ‍เนตร​เห็น​พี่‍น้อง​อีก​สอง​คน ชื่อ​ยา‌กอบ บุตร​เศ‌เบดี กับ​ยอห์น​น้อง‍ชาย​ของ​เขา​กำ‌ลัง​ชุน‍อวน​อยู่​ใน​เรือ​กับ​เศ‌เบดี​บิดา​ของ​เขา พระ‍องค์​ได้​ทรง​เรียก​เขา 22ใน​ทัน‍ใด​นั้น เขา​ทั้ง‍สอง​ก็​ละ​เรือ​และ​ลา​บิดา​ของ​เขา​ตาม​พระ‍องค์​ไป”

  • ยากอบ(………………………)

มธ.10:3 “ฟีลิป และ​บาร‌โธ‌โล‌มิว โธ‌มัส และ​มัท‌ธิว​คน​เก็บ​ภาษี ยา‌กอบ​บุตร​อัล‌เฟ‌อัส​และ​เลบ‌เบ‌อัส ผู้​ที่​มี​ชื่อ​อีก​ว่า​ธัด‌เด‌อัส”

  • ยากอบบิดาของ(………………………………………)

ลก.6:16 “ยู‌ดาส​บุตร​ของ​ยา‌กอบ และ​ยู‌ดาส อิส‌คา‌ริ‌โอท​ที่​เป็น​ผู้​อา‌ยัด​พระ‍องค์​ไว้​นั้น”

  • ยากอบ (………………….) ของพระเยซูคริสต์

มธ.13:55-56 “55คนนี้เป็นลูกช่างไม้มิใช่หรือ มีแม่ชื่อมารีย์ และน้องชายของเขาชื่อยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาสมิใช่หรือ 56และน้องสาวก็อยู่กับเรามิใช่หรือ เขาได้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้มาจากไหน

ยน.7:1-5 “หลัง‍จาก​นั้น​พระ‍เยซู​ก็​ได้​เสด็จ​ไป​ตาม​ที่​ต่างๆ​ใน​แคว้น​กา‌ลิลี ไม่​ประ‌สงค์​ที่​จะ​เสด็จ​ไป​ใน​แคว้น​ยู‌เดีย​เพราะ​พวก​ยิว​หา​โอ‌กาส​ที่​จะ​ฆ่า​พระ‍องค์ 2ขณะ​นั้น​ใกล้​จะ​ถึง​เทศ‌กาล​อยู่​เพิงของ​พวก​ยิว​แล้ว 3พวก​น้องๆ​ของ​พระ‍องค์​จึง​ทูล​พระ‍องค์​ว่า “ท่าน​จง​ออก‍จาก​ที่‍นี่​ไป​ยัง​แคว้น​ยู‌เดีย เพื่อ​ให้​เหล่า​สา‌วก​ของ​ท่าน​ได้​เห็น​กิจ‍การ​ที่​ท่าน​กำ‌ลัง​กระ‌ทำ​อยู่4เพราะ‍ว่า​ไม่‍มี​ผู้‍ใด​แอบ​ทำ​สิ่ง‍ใด​เงียบๆ​เมื่อ​ผู้‍นั้น​อยาก​ให้​ตัว​ปรา‌กฏ ถ้า​ท่าน​กระ‌ทำ​การ​เหล่า‍นี้ ก็​จง​สำ‌แดง​ตัว​ให้​ปรา‌กฏ​แก่​โลก​เถิด” 5แม้​พวก​น้องๆ​ของ​พระ‍องค์​ก็​มิ​ได้​วาง‍ใจ​ใน​พระ‍องค์”

1คร.15:7 “ภายหลังพระองค์ทรงปรากฏแก่ยากอบ แล้วแก่อัครทูตทั้งหมด

กาลาเทีย 2:9 “เมื่อ​ยา‌กอบ​กับ​เค‌ฟาส​และ​ยอห์น​ผู้​ที่​เขา​นับ‍ถือ​ว่า​เป็น​หลัก ได้​เห็น​พระ‍คุณ​ซึ่ง​ประ‌ทาน​แก่​ข้าพ‌เจ้า​แล้ว ก็​ได้​จับ​มือ‍ขวา​ของ​ข้าพ‌เจ้า​กับ​บาร‌นา‌บัส แสดง‍ว่า​เรา​เป็น​เพื่อน​ร่วม​งาน​กัน เพื่อ​ให้​เรา​ไป​หา​คน​ต่าง​ชาติ และ​ท่าน​เหล่า​นั้น​จะ​ไป​หา​พวก​ที่​ถือ​พิธี​เข้า​สุหนัต”

  1. ตามตำนานและตามประเพณีถือว่า ยากอบ ถูกประหารเพราะความเชื่อใน (………………….)
  2. ยากอบต้องเป็นผู้นำที่คริสตจักรยอมรับตั้งแต่เริ่มต้นตั้งคริสตจักร และเด่นชัดในการประชุมสภาฯ ใน กจ.15

เปาโลกล่าว ใน 1คร.9:5 “เราไม่มีสิทธิ์ที่จะพาพี่น้องซึ่งเป็นภรรยาไปไหนๆด้วยกันเหมือนอย่างพวกอัครทูตอื่นๆ และน้องๆขององค์พระผู้เป็นเจ้า และเคฟาสหรือ

  1. ยากอบเป็นยิวที่มีขนบธรรมเนียมประเพณีในการยึดบัญญัติของโมเสส + เป็นพวกธรรมบัญญัตินิยม
  2. ยากอบเอ่ยอ้างถึงคำตรัสของพระเยซูมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำเทศนาบนภูเขา

ยากอบ                                       คำเทศนาบนภูเขา

ยากอบ 1:2                                     มธ.5:10-12

ยากอบ 1:4                                     มธ.5:48

1:5                                                    7:7-12

1:22                                                  7:21-27

4:11-12                                              7:1-5

5:1-3                                                 6:19-21

II ยากอบเขียนถึงใคร?

 

  1. ยากอบเขียนจดหมายส่งไปให้คริสเตียนยิวที่กระจัดกระจายไป

“ถึงคนสิบสองเผ่าที่กระจัดกระจายอยู่นั้น”   (ยากอบ .1:1ข)

 กจ.2:9-11 “เช่น​ชาว​ปาร‌เธีย​และ​มี‌เดีย ชาว​เอ‌ลาม​และ​คน​ที่​อยู่​ใน​เขต‍แดน​เม‌โส‌โป‌เต‌เมีย และ​แคว้น​ยู‌เดีย​และ​แคว้น​คัป‌ปา‌โด‌เซีย ใน​แคว้น​ปอน‌ทัส​และ​เอ‌เชีย 10ใน​แคว้น​ฟรี‌เจีย แคว้น​ปัม‌ฟี‌เลีย​และ​ประ‌เทศ​อียิปต์​ใน​แขวง​เมือง​ลิเบีย​ซึ่ง​ขึ้น​กับ​นคร​ไซ‌รีน และ​คน​มา​จาก​กรุง​โรม ทั้ง​พวก‍ยิว​กับ​คน​เข้า​จา‌รีต​ยิว 11ชาว​เกาะ​ครีต​และ​ชาว​อา‌ระ‌เบีย เรา​ทั้ง‍หลาย​ต่าง​ก็​ได้​ยิน​คน​เหล่า‍นี้​กล่าว​ถึง​มห‌กิจ​ของ​พระ‍เจ้า ตาม​ภา‌ษา​ของ​เรา​เอง” 

  1. คำว่า “กระจัดกระจาย” “scattered” ใน ยก.1:1  (‘in the dispersion’)

= ใช้บ่งถึงพวกยิวที่อยู่อาศัยนอกแผ่นดินปาเลศไตน์

กจ.11:19 ปป “ฝ่าย​คน​ทั้ง‍หลาย​ที่​กระ‌จัด​กระ‌จาย​ไป เพราะ​การ​เคี่ยว‍เข็ญ​เนื่อง‍จาก​สเท‌เฟน ก็​พา​กัน​ไป​ยัง​เมือง​ฟีนิ‌เซีย​เกาะ​ไซ‌ปรัส และ​เมือง​อัน‌ทิ‌โอก​และ​ได้​กล่าว​พระ‍วจนะ​แก่​ยิว​พวก​เดียว”

III ทำไมยากอบเขียนจดหมายฉบับนี้?

1……………………………………………………………………………………

2……………………………………………………………………………………………………

3………………………………………………………………………………………………….

4……………………………………………………………………………………………………

5……………………………………………………………………………………………………

บทเรียนที่ได้รับในวันนี้คืออะไร?

1……………………………………………………………………………………

2……………………………………………………………………………………………………

3………………………………………………………………………………………………….

4……………………………………………………………………………………………………

5……………………………………………………………………………………………………

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนพระธรรมฟิเลโมน

ฟิเลโมนเพื่อนรัก

พระธรรม        ฟิเลโมน 1:1-25

อ้างอิง             คส.4:9-12,14,17,คส.1:7;กจ.12:12,25;13:13;15:37-39;19:29;27:2;1ทธ.4:10;2ทธ.4:11

บทนำ             มีใครบางคนที่ต้องการได้รับโอกาสใหม่ในชีวิต แต่คงจะเป็นไปไม่ได้ หากไม่มีผู้ใดช่วยเขาให้เริ่มต้นใหม่

หากคุณเป็นบุคคลคนนั้นที่จะช่วยเขาได้ คุณจะยอมหรือไม่?

บทเรียน

1:1      “จากเปาโลผู้ถูกคุมขังเพื่อพระเยซูคริสต์ และทิโมธีน้องของเรา ถึง ฟีเลโมนเพื่อนรักและผู้ร่วมงานของเรา” 

(Paul, a prisoner for Christ Jesus, and Timothy our brother,To Philemon our beloved fellow worker)

1:2      “และอัปเฟียน้องสาว ทั้งอารคิปปัส ผู้เป็นเพื่อนทหารร่วมกับเรา และคริสตจักรที่อยู่ในบ้านของท่าน”

(and Apphia our sister and Archippus our fellow soldier, and the church in your house:)

1:3      “ขอพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเรา และจากพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า ดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย”

(Grace to you and peace from God our Father and the Lord Jesus Christ.)

1:4      “ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าของข้าพเจ้าเสมอ เมื่อระลึกถึงท่านในการอธิษฐานของข้าพเจ้า” 

(I thank my God always when I remember you in my prayers,)

1:5      “เพราะข้าพเจ้าได้ยินเรื่องความรักและความเชื่อของท่านที่มีต่อพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า และต่อธรรมิกชนทุกคน” 

(because I hear of your love and of the faith that you have toward the Lord Jesus and for all the saints,)

1:6      “ข้าพเจ้าอธิษฐานขอให้การที่ท่านมีส่วนร่วมในความเชื่อจะเกิดผลมากในความรู้ซึ้งถึงสิ่งดีทุกอย่างที่เรามีในพระคริสต์”

(and I pray that the sharing of your faith may become effective for the full knowledge of every good thing that is in us for the sake of Christ.) 

1:7      “น้องเอ๋ย ความรักของท่านทำให้ข้าพเจ้ามีความยินดีและได้รับการชูใจอย่างมาก เพราะจิตใจของพวกธรรมิกชนแช่มชื่นขึ้นเนื่องจากท่าน”

(For I have derived much joy and comfort from your love, my brother, because the hearts of the saints have been refreshed through you.)

1:8      “เพราะเหตุนี้ แม้โดยพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้ามีใจกล้าพอจะสั่งให้ท่านทำในสิ่งที่ควรทำ” 

(Accordingly, though I am bold enough in Christ to command you to do what is required,)

1:9      “แต่โดยความรัก ข้าพเจ้าจะขอร้องท่านดีกว่า ข้าพเจ้าเปาโลผู้เป็นทูตของพระเยซูคริสต์ และขณะนี้ถูกคุมขังเนื่องจากการประกาศพระองค์”

(yet for love’s sake I prefer to appeal to you—I, Paul, an old man and now a prisoner also for Christ Jesus—)

1:10    “ข้าพเจ้าขอร้องท่านเรื่องโอเนสิมัสลูกของข้าพเจ้า ผู้ซึ่งได้มาเป็นบุตรระหว่างที่ข้าพเจ้าถูกคุมขังอยู่”

(I appeal to you for my child, Onesimus, whose father I became in my imprisonment.) 

1:11    “(เมื่อก่อนนั้นเขาไม่เป็นประโยชน์ต่อท่าน แต่เดี๋ยวนี้เขาเป็นประโยชน์ทั้งต่อท่านและข้าพเจ้า)” 

(Formerly he was useless to you, but now he is indeed useful to you and to me.)

1:12    “ข้าพเจ้าส่งเขาผู้ซึ่งเป็นดังดวงใจของข้าพเจ้ามายังท่าน” 

(I am sending him back to you, sending my very heart.)

1:13    “ข้าพเจ้าอยากจะหน่วงเหนี่ยวตัวเขาไว้เพื่อปรนนิบัติข้าพเจ้าแทนท่าน ในระหว่างที่ข้าพเจ้าถูกคุมขังเพราะ​ข่าวประเสริฐ” 

(I would have been glad to keep him with me, in order that he might serve me on your behalf during my imprisonment for the gospel,) 

1:14    “แต่ว่าข้าพเจ้าไม่ต้องการจะทำสิ่งใดลงไปนอกจากท่านจะเห็นชอบด้วย เพื่อว่าความดีของท่านจะไม่เป็นไปด้วยความฝืนใจ แต่เป็นไปด้วยความเต็มใจ”

(but I preferred to do nothing without your consent in order that your goodness might not be by compulsion but of your own accord.) 

1:15    “อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้เขาจากท่านไปชั่วระยะหนึ่ง เพื่อท่านจะได้เขากลับคืนมาตลอดไป” 

(For this perhaps is why he was parted from you for a while, that you might have him back forever,) 

1:16    “เขาไม่ได้เป็นทาสอีกต่อไป แต่ดียิ่งกว่าทาส คือเป็นพี่น้องที่รัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับข้าพเจ้า และสำหรับท่านเขาเป็นมากยิ่งกว่านั้นอีก ทั้งในฐานะที่เขาเป็นอยู่ในสังคมและในฐานะที่เป็นคนขององค์พระผู้เป็นเจ้า” 

(no longer as a bondservant but more than a bondservant, as a beloved brother—especially to me, but how much more to you, both in the flesh and in the Lord.)

1:17    “เพราะฉะนั้นหากท่านถือว่าข้าพเจ้าเป็นเพื่อนร่วมงาน ก็จงรับเขาไว้เหมือนที่รับข้าพเจ้า” 

(So if you consider me your partner, receive him as you would receive me.)

1:18    “ถ้าเขาทำผิดต่อท่านหรือเป็นหนี้อะไรไว้ จงคิดเอาจากข้าพเจ้า”

(If he has wronged you at all, or owes you anything, charge that to my account.) 

1:19    “ข้าพเจ้า เปาโลเขียนด้วยมือของข้าพเจ้าเองว่า ข้าพเจ้าจะชดใช้ให้ ข้าพเจ้าจะไม่พูดเรื่องที่ท่านเป็นหนี้ข้าพเจ้า แม้กระทั่งตัวของท่านเอง”

(I, Paul, write this with my own hand: I will repay it—to say nothing of your owing me even your own self.) 

1:20    “นี่แน่ะ น้องเอ๋ย ขอให้ข้าพเจ้าได้ประโยชน์จากท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด และให้ใจของข้าพเจ้าแช่มชื่นในพระคริสต์”

(Yes, brother, I want some benefit from you in the Lord. Refresh my heart in Christ.)

1:21    “ข้าพเจ้ามั่นใจว่าท่านจะเชื่อฟังจึงได้เขียนจดหมายถึงท่าน เพราะรู้ว่าท่านจะทำยิ่งกว่าที่ข้าพเจ้าขอ”

(Confident of your obedience, I write to you, knowing that you will do even more than I say.)

1:22    “นอกจากนั้น ขอท่านจัดเตรียมที่พักไว้ให้ข้าพเจ้าด้วย เพราะข้าพเจ้าหวังว่าจะกลับไปหาท่านทั้งหลายอีกตามคำอธิษฐานของพวกท่าน”

(At the same time, prepare a guest room for me, for I am hoping that through your prayers I will be graciously given to you.)

1:23    “เอปาฟรัส ผู้ที่ถูกขังร่วมกับข้าพเจ้าเพื่อพระเยซูคริสต์ ฝากคำทักทายมายังท่าน”

 Epaphras, my fellow prisoner in Christ Jesus, sends greetings to you, 

1:24    “มาระโก อาริสทารคัส เดมาส และลูกาซึ่งเป็นพวกเพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้าก็ฝากคำทักทายมายังท่านด้วย”

(and so do Mark, Aristarchus, Demas, and Luke, my fellow workers.)

1:25    “ขอพระคุณของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าดำรงอยู่กับจิตวิญญาณของท่านทั้งหลายเถิด”

(The grace of the Lord Jesus Christ be with your spirit.)

ข้อมูลมีประโยชน์

1:1-2 –เปาโล เขียนจดหมายฉบับนี้ร่วมกับทิโมธี แต่เปาโลใช้สรรพนาม “ข้าพเจ้า” แทนสรรพนาม “เรา” ซึ่งเป็น   “พหูพจน์”

1:1       “เปาโล” (Paul) –รม.1:1

ในสมัยก่อนผู้เขียนจดหมายจะใส่ชื่อของตนไว้ตอนต้นของจดหมาย –เรื่องราวของเปาโลปรากฏอยู่ใน

กจ.9:1-30;13:1-28:31;2คร.6:3-10;11:21-12:10;กท.1:13-24;ฟป.3:4-14;1ทธ.1:12-16

“ผู้ถูกคุมขัง” (a prisoner) = นักโทษ – อฟ.3:1;ฟป.1:13;ฟม.9,23

“ทิโมธี” (Timothy) –คส.1:1;2คส.ฟป., 1-2ธส; ฟม.;กจ.16:1; “น้องของเรา” (our brother) –2คร.1:1

“ฟิเลโมน” (Philemon) = ผู้เชื่อในพระคริสต์คนหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองโคโลสีหรือบริเวณใกล้เคียงและเป็นนายของทาสคนหนึ่งที่มีนามว่า โอเนสิมัส

“ผู้ร่วมงานของเรา” (fellow worker) –ฟป.2:25

1:2      “อัปเฟีย” (Apphia) = อาจเป็นภรรยาของฟิเลโมน

“อารคิปปัส” (Archippus) = เพื่อนร่วมงานของเปาโลที่ถูกเรียกว่า “เพื่อนทหาร” –คส.4:17

“คริสตจักรที่อยู่ในบ้านของท่าน” (the church in your house) –รม.16:5

1:3     “พระคุณและสันติสุข” (Grace to you and peace)

“พระคุณ” = การได้รับในสิ่งที่เราไม่สมควรจะได้รับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระคุณที่พระเจ้าประทานให้แก่มนุษย์ผู้เป็นคนบาป ผ่านการสละพระชนม์ของพระคริสต์เพื่อไถ่บาปมนุษย์อย่างเรา

“สันติสุข”(peace) = การอยู่อย่างดีมีสุข และปลอดภัยที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ (เฉพาะสำหรับผู้ที่พักสงบอยู่ในพระองค์) –รม.5:1;ฟป.4:7;กท.1:3;อฟ.1:2;ยน.14:27;20:19

                   “ดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย” (to you) = มีแก่ท่าน – รม.1:7

1:4      “ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้าของข้าพเจ้าเสมอ” (I thank my God always when) –รม.1:8;ฟป.1:3-4

“เมื่อระลึกถึงท่านในการอธิษฐาน” (I remember you in my prayers) -รม.1:10

1:5       “ความรักและความเชื่อ….ที่มีต่อพระเยซูคริสต์พระผู้เป็นเจ้า” (your love and of the faith …. have toward the Lord Jesus) –กจ.20:21

“…และต่อธรรมิกชนทุกคน” (for all the saints) = ประชากรของพระเจ้า –รม.1:7;อฟ.1:1;คส.1:4;

                   1ธส.3:6

1:7       “ความรักของท่าน ทำให้ข้าพเจ้ามีความยินดีและได้รับการชูใจอย่างมาก” (I have derived much joy and comfort from your love ) -บางฉบับแปลว่า “ความรักของท่านเป็นกำลังใจให้ข้าพเจ้า และทำให้ข้าพเจ้าชื่นชมยินดียิ่งนัก” –2คร.7:4,13

“จิตใจของพวกธรรมิกชนแช่มชื่นขึ้นเนื่องจากท่าน” (the hearts of the saints have been refreshed through you) –เพราะได้รับความเห็นอกเห็นใจและความรัก –ฟม.12,20;รม.15:32;1คร.16:18

1:9       “จะขอร้องท่านดีกว่า” (I prefer to appeal to you) –1คร.1:10

“ถูกคุมขังเนื่องจากการประกาศพระองค์” (a prisoner also for Christ Jesus) –อฟ.3:1;ฟม.1,23

1:10     “โอเนสิมัส” (Onesimus) –คส.4:9; “ลูกของข้าพเจ้า” (my child) –1ธส.2:11;1ทธ.1:2;

                   “ข้าพเจ้าถูกคุมขังอยู่” (my imprisonment) –กจ.21:33

1:11     “ไม่เป็นประโยชน์…เป็นประโยชน์” (useless … useful) –เปาโลเล่นคำจากความหมายของโอเนสิมัส ชื่อ “โอเนสิมัส” แปลว่า “มีประโยชน์” (useful)

1:13     “ถูกคุมขัง” (imprisonment) = ถูกจำจอง –กจ.21:33;ฟม.10

1:14     “ไม่เป็นไปด้วยความฝืนใจ” (not be by compulsion) –2คร.9:7;1ปต.5:2

1:16     “เขาไม่ได้เป็นทาสอีกต่อไป” (no longer as a bondservant) –1คร.7:22

“เป็นพี่น้องที่รัก” (beloved brother) –มธ.23:8;กจ.1:16;1ทธ.6:2

1:17-19 –มาร์ติน ลูเธอร์ ให้ภาพเปรียบเทียบว่า เหมือนกับที่พระเยซูคริสต์ทูลขอพระเจ้าพระบิดาเพื่อมนุษย์อย่าง

เรา เปาโลก็ขอร้องฟิเลโมน เพื่อโอเนสิมัส

1:17     “เป็นเพื่อนร่วมงาน” (partner) = เป็นหุ้นส่วน –2คร.8:23

1:18     “จงคิดเอาจากข้าพเจ้า” (charge that to my account.) –ปฐก.43:9

1:19     “ข้าพเจ้าเปาโล เขียนด้วยมือของข้าพเจ้าเอง” (I, Paul, write this with my own hand) –1คร.16:21

“เรื่องที่ท่านเป็นหนี้ข้าพเจ้า” (your owing me) = อาจเป็นเพราะเปาโลเป็นผู้นำฟิเลโมนมาเชื่อในพระคริสต์

1:20     “ขอให้ข้าพเจ้าได้ประโยชน์…ให้ใจของข้าพเจ้าแช่มชื่นในพระคริสต์” (I want some benefit … Refresh my heart in Christ) –เป็นการเล่นคำตามชื่อของโอเนสิมัส อีกครั้ง –1คร.16:18;ฟม.7

1:21     “มั่นใจ” (Confident) –2คร.2:3

1:22    “นอกจากนั้น” (At the same time) = อีกอย่างหนึ่ง หมายถึงเรื่องรองที่เกี่ยวข้องกับผู้เขียนที่วางแผนจะได้พบผู้รับอีกครั้ง เมื่อไร และอย่างไร

          “หวังว่า” (hoping) –ฟป.1:25;2:24;ฮบ.13:19

                   “ตามคำอธิษฐานของพวกท่าน” (your prayers) –2คร.1:11;ฟป.1:19

1:23     “เอปาฟรัส” (Epaphras) –คส.1:7;4:12; ชื่อนั้นแปลว่า “มีเสน่ห์” หรือ “หล่อ”

“เพื่อนนักโทษ” ( fellow prisoner) –รม.16:7;คส.4:10;ฟม.1

1:24     “มาระโก อาริสทารคัส” (Mark, Aristarchus) –กจ.12:12;19:29

“เดมาสและลูกา” (Demas, and Luke) –คส.4:14;2ทธ.4:10

1:25     “พระคุณ” (The grace) –รม.1:7

“ดำรงอยู่กับจิตวิญญาณของท่านทั้งหลายเถิด” (be with your spirit) –กท.6:18

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยสูญเสียหรือถูกคุมขังเพราะการประกาศเรื่องราวของพระเยซูคริสต์บ้างหรือไม่? อย่างไร? (แบ่งปัน)
  2. มีใครที่นับว่าเป็นเพื่อนรักหรือเพื่อนร่วมงานของคุณ ที่คุณประทับใจมากที่สุด? ทำไม?
  3. คุณเคยไปร่วมนมัสการหรือสามัคคีธรรมกับพี่น้องในคริสตจักรตามบ้านบ้างหรือไม่? ที่ไหน? แล้วคุณรู้สึกอย่างไร?
  4. เวลาคุณอธิษฐานคุณมักคิดถึงผู้ใด ที่ทำให้อธิษฐานเผื่อเขา? เรื่องอะไร? ทำไม?
  5. มีผู้ใดบ้างที่ทำให้คุณยินดีและได้รับการชูใจอย่างมาก จากชีวิต คำพูด และการกระทำของเขา? อย่างไร?
  6. คุณเคยต้องการสิ่งใด และใช้การขอร้องแทนที่จะสั่งบ้างหรือไม่? แล้วได้ผลเป็นอย่างไร? หรือคุณได้รับบทเรียนอะไรจากเรื่องดังกล่าวบ้าง?
  7. คุณเคยขอร้องอะไรเพื่อใครบางคนเป็นพิเศษหรือไม่? ในเรื่องอะไร? จากใคร? แล้วผลเป็นอย่างไร?
  8. คุณเคยยอมเสียสละผลประโยชน์ส่วนตัวเพื่อเห็นแก่ผู้ใดบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? และผลที่ตามมาคืออะไร?
  9. คุณเคยได้ผู้ใดที่เมื่อก่อนเป็นคนที่อยู่ใต้อำนาจของคุณ มาเป็นพี่น้องในความเชื่อของคุณบ้างหรือไม่? อย่างไร? แล้วผลเป็นอย่างไร?
  10. คุณเคยได้รับประโยชน์อะไรจากคนที่คุณเคยนำมาเชื่อพระคริสต์ หรือคนที่อยู่ในทีมของคุณ? แล้วคุณรู้สึกอย่างไรบ้าง?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระธรรมโยนาห์ บทเรียนที่ 4

ข้าตายเสียดีกว่าอยู่!

พระธรรม        โยนาห์ 4:1-11

อ้างอิง             มธ.20:11;ยรม.20:7-8;ฉธบ.4:31;สดด.103:8;86:5,15;ยรม.8:3;ปฐก.4:6;1พกษ.19:4;ยอล.1:12

บทนำ             เรามักต้องการความเมตตา แต่บ่อยครั้งเราเองกลับกลายเป็นคนที่ไร้ความเมตตา

เรามักต้องการให้อภัยแก่ความผิดพลาด หรือผิดบาปของเรา แต่เราเองกลับไร้ซึ่งใจที่จะให้อภัยแก่ผู้อื่นที่ทำผิดพลาด

ขอให้เรากลับใจและช่วยตัวเองและเมตตาต่อคนอื่นที่กลับใจจะดีกว่า

บทเรียน

4:1      “แต่เหตุการณ์นี้ไม่เป็นที่พอใจโยนาห์อย่างยิ่ง และท่านโกรธ” 

(But it displeased Jonah exceedingly, and he was angry.)

4:2      “ท่านจึงอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่ในประเทศของข้าพระองค์ ข้าพระองค์พูดแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ? นี่เป็นเหตุให้ข้าพระองค์รีบหนีไปเมืองทารชิช เพราะข้าพระองค์ทราบว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณ และพระกรุณา กริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และเปลี่ยนพระทัยไม่ลงโทษ” 

(And he prayed to the Lord and said, “O Lord, is not this what I said when I was yet in my country? That is why I made haste to flee to Tarshish; for I knew that you are a gracious God and merciful, slow to anger and abounding in steadfast love, and relenting from disaster. )

4:3      “ข้าแต่พระยาห์เวห์ เพราะฉะนั้น เวลานี้ ขอพระองค์ทรงเอาชีวิตของข้าพระองค์ไปเสีย เพราะว่าข้าพระองค์ตายเสียก็ดีกว่าอยู่

(Therefore now,O Lord, please take my life from me, for it is better for me to die than to live.”)

4:4      “และพระยาห์เวห์ตรัสว่า “การที่เจ้าโกรธเช่นนี้ดีแล้วหรือ?” 

(And the Lord said, “Do you do well to be angry?”

4:5      “แล้วโยนาห์ก็ออกไปนอกเมือง นั่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองนั้น และท่านทำเพิงไว้สำหรับตัวท่านเองที่นั่น ท่านนั่งอยู่ใต้ร่มเพิงคอยดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับเมืองนั้น”

(Jonah went out of the city and sat to the east of the city and made a booth for himself there. He sat under it in the shade, till he should see what would become of the city.)

4:6      “และพระยาห์เวห์พระเจ้าทรงกำหนดให้ต้นละหุ่งต้นหนึ่งงอกขึ้นมาเหนือโยนาห์ ให้เป็นที่กำบังศีรษะของท่าน เพื่อบรรเทาความร้อนรุ่ม ดังนั้นโยนาห์จึงมีความยินดีอย่างยิ่งเรื่องต้นละหุ่งนั้น”

(Now the Lord God appointed a plant and made it come up over Jonah, that it might be a shade over his head, to save him from his discomfort. So Jonah was exceedingly glad because of the plant. )

4:7      “แต่ในเช้าวันรุ่งขึ้น พระเจ้าทรงกำหนดให้หนอนตัวหนึ่งมากัดกินต้นละหุ่งต้นนั้น จนมันเหี่ยวไป

(But when dawn came up the next day, God appointed a worm that attacked the plant, so that it withered.)

4:8      “เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว พระเจ้าทรงกำหนดให้ลมตะวันออกที่ร้อนผากพัดมา และแสงแดดก็แผดลงบนศีรษะของโยนาห์จนท่านอ่อนเพลียไป และท่านก็ทูลขอว่า ให้ท่านตายเสียเถิด ท่านว่า “ข้าตายเสียก็ดีกว่าอยู่

(When the sun rose, God appointed a scorching east wind, and the sun beat down on the head of Jonah so that he was faint. And he asked that he might die and said, “It is better forme to die than to live.” )

4:9      “แต่พระเจ้าตรัสกับโยนาห์ว่า “ที่เจ้าโกรธเพราะต้นละหุ่งนั้นดีแล้วหรือ?” ท่านทูลว่า “ที่ข้าพระองค์โกรธถึงอยากตายนี้ดีแล้ว พระเจ้าข้า” 

(But God said to Jonah, “Do you do well to be angry for the plant?” And he said, “Yes, I do well to be angry, angry enough to die.” )

4:10    “และพระยาห์เวห์ตรัสว่า “เจ้าหวงต้นไม้ซึ่งเจ้าไม่ได้ลงแรงปลูกและไม่ได้ทำให้มันเจริญ มันงอกเจริญขึ้นในคืนเดียว แล้วก็ตายไปในคืนเดียว” 

(And the Lord said, “You pity the plant, for which you did not labor, nor did you make it grow, which came into being in a night and perished in a night. )

4:11    “ไม่สมควรหรือที่เราจะห่วงใยนีนะเวห์นครใหญ่นั้น ซึ่งมีพลเมืองมากกว่า 120,000 คน ผู้ไม่ทราบว่าข้างไหนมือขวาข้างไหนมือซ้าย และมีสัตว์เลี้ยงจำนวนมากด้วย

(And should not I pity Nineveh, that great city, in which there are more than 120,000 persons who do not know their right hand from their left, and also much cattle?)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

4:1       “ไม่เป็นที่พอใจโยนาห์อย่างยิ่งและท่านโกรธ” (displeased Jonah exceedingly, and he was angry) = โยนาห์โกรธที่พระเจ้าทรงมีพระทัยเมตตาต่อนีนะเวห์ที่เป็นศัตรูของอิสราเอล

= โยนาห์ต้องการให้พระเจ้าทรงดีต่ออิสราเอลเท่านั้น โดยไม่ให้ทรงเมตตาต่อคนต่างชาติอย่างนีนะเวห์

-โยนาห์ 4:4;มธ.20:11;ลก.15:28

4:2       “อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์” (prayed to the Lord ) = โยนาห์อธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยความโกรธ ไม่ใช่ด้วยความทุกข์ลำเค็ญเหมือนใน 2:1-2

“นี่เป็นเหตุให้ข้าพระองค์รีบหนีไปเมืองทารชิช” (That is why I made haste to flee to Tarshish) -1:3

          “เพราะข้าพระองค์ทราบว่า” (for I knew that) = รู้อยู่ว่า –ยรม.20:7-8

          “พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณ” (a gracious God and merciful) –ฉธบ.4:31;สดด.103:8

“กริ้วช้า” (slow to anger            ) = ไม่เหมือนโยนาห์ที่โกรธง่าย (ข.1,9)

“…และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง” (…abounding in steadfast love) –อพย.34:6-7;22:27;

สดด.86:5,15 = คำประกาศครั้งที่ 3 และครั้งสุดท้ายของโยนาห์ (1:9;2:9)

          “เปลี่ยนพระทัยไม่ลงโทษ” (relenting from disaster) –กดว.14:18;ยอล.2:13

4:3       “เวลานี้ ขอพระองค์ทรงเอาชีวิตของข้าพระองค์ไปเสีย” (please take my life from me) –1พกษ.19:4

= สำหรับโยนาห์ การที่พระเจ้าทรงเมตตาต่อชาวนีนะเวห์ เป็นจุดจบของสิทธิพิเศษที่อิสราเอลมีอยู่ในพระเจ้า

-โยนาห์เพิ่งยินดีที่พระเจ้าช่วยเขาให้รอดตาย (2:2-9) แต่ในตอนนี้ชาวนีนะเวห์ได้รับความเมตตาจากพระเจ้าให้รอดตายเช่นกัน โยนาห์เองกลับอยากตาย –กดว.11:15

ข้าพระองค์ตายเสียก็ดีกว่าอยู่” (me to die than to live. ) –โยบ 7:15;ยรม.8:3

4:4       “การที่เจ้าโกรธเช่นนี้ดีแล้วหรือ” (Do you do well to be angry?)
บางฉบับแปลว่า “เจ้ามีสิทธิอะไรที่จะโกรธ” –ปฐก.4:6;มธ.20:11-15

4:5       “ทำเพิง…ใต้ร่มเพิง” (made a booth … under it )= เพิงนี้บังแสงแดดได้ไม่ค่อยดี เพราะข้อต่อไปพระเจ้าให้มีไม้เลื้อยโตขึ้นให้ร่มเงามากขึ้นเพื่อกันแดด

          “คอยดูเหตุการณ์” ( see what would become) = โยนาห์ยังคาดหวังที่จะเห็นชาวนีนะเวห์ถูกทำลาย

4:6       “พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงกำหนดให้” (the Lord God appointed) = บางฉบับแปลว่า “พระเจ้าทรงบันดาลให้” -วลีที่มีลักษณะเช่นนี้ปรากฎใน ข้อ 7-8;1:17

          “ทรงกำหนดให้” (made it) –ยนา.1:17

“ต้นละหุ่งต้นหนึ่งงอกขึ้นมาเหนือ” (a plant and made it come up over) = ไม้เลื้อย ซึ่งเป็นพุ่มสูงกว่า 3-5 เมตร มีใบใหญ่ให้ร่มเงา

= พระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยพระคุณให้ความร่มเย็นและความสุขแก่ผู้เผยพระวจนะ โยนาห์ผู้ดื้อและหัวแข็ง

4:7       “จนมันเหี่ยวไป” (so that it withered.) –ยอล.1:12

4:8       “ให้ท่านตายเสียเถิด” (he might die )= อยากตาย; 1พกษ.19:4

“ข้าตายเสียก็ดีกว่าอยู่” (It is better for me to die than to live.    )

4:9       “ที่เจ้าโกรธเพราะต้นละหุ่งนั้นดีแล้วหรือ?” (Do you do well to be angry for the plant?) -ยนา.4:4; = เจ้ามีสิทธิจะโกรธเรื่องเถาไม้เลื้อยนี้หรือ?

4:10     “มันงอกเจริญขึ้นในคืนเดียว แล้วก็ตายไปในคืนเดียว” (which came into being in a night and perished in a night. ) = การมีคุณค่าอยู่เพียงสั้น ๆ

4:11     “ไม่สมควรหรือที่เราจะห่วงใย” (should not I pity) = ภารกิจที่พระเจ้ามอบหมายให้โยนาห์ไปทำ แสดงถึงความเมตตากรุณาของพระเจ้าที่มีต่อนีนะเวห์ และพระดำรัสสุดท้ายที่พระเจ้าตรัสกับโยนาห์ ประกาศย้ำถึงความรักห่วงใยของพระองค์ที่มีต่อทุกชีวิต ทั้งคนและสัตว์

          “นีนะเวห์นครใหญ่นั้น” (that great city) –ยนา.1:2;3:2

          “ผู้ไม่ทราบว่าข้างไหนมือขวาข้างไหนมือซ้าย” (who do not know their right hand from their left) = ชาวนีนะเวห์ต้องการความเมตตากรุณาจากรพะเจ้าเหมือนเด็กเล็ก ๆ ที่ต้องการความเมตตาสงสารจากผู้เป็นพ่อ

“มีสัตว์เลี้ยงจำนวนมากด้วย” (and also much cattle) = พระเจ้าทรงห่วงใยแม้แต่สัตว์เลี้ยงทั้งหลาย (ปท.3:8)

พระเจ้าไม่เพียงคุ้มครองปกป้องมนุษย์และสัตว์ (สดด.36:6;นหม.9:6;สดด.145:16) แม้แต่คนชั่วพระองค์ก็ไม่ปรารถนาจะให้พวกเขาต้องตาย แต่ต้องการให้กลับใจหันจากทางชั่วและมีชีวิตอยู่ (อสค.33:11;16:6; 18:23;23:11; ปท. 2ปต.3:9

= พระเจ้าจึงตำหนิใจที่แข็งกระด้างของโยนาห์ (และชาวอิสราเอล) ที่ปรารถนาให้พระพิโรธของพระเจ้าตกแก่ศัตรูของตนและประกาศถึงพระเมตตาคุณของพระองค์

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยไม่พอใจและโกรธเพระเจ้าบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร?
  2. ผลจากการที่คุณโกรธหรือไม่พอใจพระเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? มีอะไรที่เกิดขึ้นบ้าง?
  3. คุณเคยรู้อยู่แล้วว่า พระเจ้ามีพระประสงค์หรือพระทัยในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่คุณรับไม่ได้บ้างหรือไม่? เรื่องอะไร?
  4. คุณเคยหนีจากพระเจ้าไปไกลบ้างหรือไม่? อย่างไร? เพราะอะไร?
  5. คุณเคยประชดประชันพระเจ้าบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร?
  6. คุณเคยคิดว่าคุณมีสิทธิ์โกรธทั้ง ๆ ที่คุณไม่มีสิทธิ์จริง ๆ บ้างหรือไม่? เรื่องอะไร?
  7. คุณเคยมีความสุขกับบางสิ่ง แล้วต่อมาพระเจ้าทรงทำลายความสุขนั้นบ้างหรือไม่? แล้วปฏิกิริยาของคุณเป็นอย่างไร?
  8. คุณเคยอยากตายบ้างหรือไม่? ทำไม?   แล้วตอนหลังคุณจัดการกับความรู้สึกเช่นนั้นอย่างไร? แล้วผลเป็นอย่างไร? (แบ่งปัน)

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระธรรมโยนาห์ บทเรียนที่ 3

พระเจ้าทรงอดกลั้นพระทัยด้วยเมตตา

พระธรรม        โยนาห์ 3:1-10

อ้างอิง             ยนา.1:1,6;ยรม.7:3;18:7-10,16;25:5;สดด.130:1;85:3

บทนำ              แม้พระเจ้าทรงประกาศลงโทษมนุษย์ที่ทำบาป แต่หากผู้ใดกลับใจใหม่ สำนึกเสียใจในบาป พระเจ้าก็ทรงเมตตาระงับการลงโทษไว้ เพื่อพวกเขาผู้สำนึกตัวจะไม่พินาศ!

บทเรียน

3:1      “แล้วพระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงโยนาห์เป็นครั้งที่สองว่า” 

(Then the word of the Lord came to Jonah the second time, saying, )

3:2      “จงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์นครใหญ่ และจงประกาศข่าวแก่เมืองนั้นตามที่เราบอกเจ้า” 

(“Arise, go to Nineveh, that great city, and call out against it the message that I tell you.” )

3:3      “ดังนั้น โยนาห์จึงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์ ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ นีนะเวห์เป็นนครใหญ่โตมโหฬาร ถ้าจะเดินข้ามเมืองก็กินเวลาสามวัน” 

(So Jonah arose and went to Nineveh, according to the word of the Lord. Now Nineveh was an exceedingly great city, three days’ journey in breadth. )

3:4      “โยนาห์ตั้งต้นเดินเข้าไปในเมืองได้ระยะทางเดินวันหนึ่ง และท่านก็ร้องประกาศว่า “อีกสี่สิบวัน นีนะเวห์จะถูกทำลาย” 

(Jonah began to go into the city, going a day’s journey. And he called out, “Yet forty days, and Nineveh shall be overthrown!” )

3:5      “คนนีนะเวห์ได้เชื่อพระเจ้า พวกเขาได้ประกาศให้อดอาหาร และได้สวมผ้ากระสอบ ตั้งแต่ผู้ใหญ่ที่สุดจนถึงผู้น้อยที่สุด”

(And the people of Nineveh believed God. They called for a fast and put on sackcloth, from the greatest of them to the least of them.)

3:6      “เมื่อข่าวนี้ลือไปถึงกษัตริย์แห่งนีนะเวห์ พระองค์ทรงลุกขึ้นจากพระที่นั่ง และเปลื้องฉลองพระองค์ออก แล้วทรงสวมผ้ากระสอบแทน และประทับบนกองขี้เถ้า”

(The word reached the king of Nineveh, and he arose from his throne, removed his robe, covered himself with sackcloth, and sat in ashes. )

3:7      “พระองค์ทรงออกพระราชกฤษฎีกา ประกาศไปทั่วนครนีนะเวห์ว่า “โดยอำนาจกษัตริย์และขุนนางทั้งหลาย คนหรือสัตว์เลี้ยงไม่ว่าขนาดใหญ่หรือขนาดกลาง อย่าลิ้มรสสิ่งใด อย่ากินอาหาร และอย่าดื่มน้ำ” 

(And he issued a proclamation and published through Nineveh, “By the decree of the king and his nobles: Let neither man nor beast, herd nor flock, taste anything. Let them not feed or drink water, )

3:8      “ให้ทั้งคนและสัตว์เลี้ยงนุ่งห่มผ้ากระสอบ ให้ร้องทูลต่อพระเจ้าอย่างจริงจัง เออ ให้ทุกคนหันกลับจากการประพฤติชั่ว และเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำ” 

(but let man and beast be covered with sackcloth, and let them call out mightily to God. Let everyone turn from his evil way and from the violence that is in his hands. )

3:9      “ใครจะรู้ได้? พระเจ้าอาจจะทรงหันและเปลี่ยนพระทัย พระองค์อาจจะทรงหันจากพระพิโรธอันรุนแรง เพื่อเราจะไม่พินาศ

(Who knows? God may turn and relent and turn from his fierce anger, so that we may not perish.”)

3:10    “เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรการกระทำของพวกเขาที่ได้หันจากการประพฤติชั่ว พระเจ้าก็เปลี่ยนพระทัยเรื่อง​ความหายนะที่พระองค์ตรัสว่าจะนำมาสู่พวกเขา พระองค์ไม่ทรงลงโทษเขา”

(When God saw what they did, how they turned from their evil way, God relented of the disaster that he had said he would do to them, and he did not do it.)

ข้อมูลมีประโยชน์

3:1       “โยนาห์” ( Jonah) ยนา 1:1

3:3       “ลุกขึ้น” (arose) = โยนาห์ทำตามคำสั่งของพระเจ้าแบบไม่เต็มใจ เพราะยังอยากเห็นชาวนีนะเวห์ถูกทำลาย (4:1-5)

“นีนะเวห์เป็นนครใหญ่โตมโหฬาร” (Nineveh was an exceedingly great city) = ใน 4:11 บอกว่า นครนี้มีประชากรกว่า 120,000 คน

-จากหลักฐานทางโบราณคดี บ่งบอกว่า นครนีนะเวห์มีอาณาเขตโดยรอบประมาณ 13 กิโลเมตร

“ถ้าจะเดินข้ามเมืองก็กินเวลาสามวัน” (three days’ journey in breadth) = พื้นที่ใหญ่ที่อาจรวม อีก 3 เมืองได้แก่ เรโหโบทอีร์ คาลาห์ และเรเสน (ที่กล่าวถึงใน ปฐก.10:11-12) เข้ามาด้วย

นีนะเวห์ใหญ่ มีอาณาเขตโดยรอบประมาณ 97 กิโลเมตร หรือ วลี “กินเวลาสามวัน” อาจเป็นสำนวนที่ใช้เปรียบเทียบกับระยะทางที่ไกลพอประมาณ (ปฐก.30:36;อพย.3:18;ยชว.9:16-17)

3:5-6    “อดอาหาร….สวมผ้ากระสอบ …ประทับบนกองขี้เถ้า” (for a fast … covered himself with sackcloth … sat in ashes) = เครื่องหมายของการถ่อมใจกลับใจตามธรรมเนียมของคนสมัยนั้น

(1พกษ.21:27;นหม.9:1)

3:5       “คนนีนะเวห์ได้เชื่อพระเจ้า” (the people of Nineveh believed God) = หันมาหาพระเจ้าจริง ๆ

– ปท. มธ.12:41

-ไม่ว่าจะเชื่อลึกซึ้งหรือไม่ลึกซึ้งไปกว่าพวกชาวลูกเรือใน 1:16 แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยอมรับฟังคำเตือนของโยนาห์อย่างจริงจังและรีบสนองตอบในทันทีทันใด (แต่อิสราเอลกลับไม่ได้ทำ)

3:6       “กษัตริย์แห่งนีนะเวห์” ( the king of Nineveh) = กษัตริย์ของอัสซีเรีย

3:7       “อย่าลิ้มรสสิ่งใด อย่ากินอาหาร และอย่าดื่มน้ำ” (Let neither… taste anything. Let them not feed or drink water) –2พศด.20:3;อสร.10:6

3:8       “สัตว์เลี้ยงนุ่งห่มผ้ากระสอบ” (beast be covered with sackcloth) = ไม่ใช่เรื่องปกติ (4:11) แสดงถึงการแสวงหาพระเมตตาของพระเจ้าอย่างเร่งด่วนของชาวนีนะเวห์

“ให้ร้องทูลต่อพระเจ้าอย่างจริงจัง” (call out mightily to God) = ให้ร้องทูลวิงวอนพระเจ้าอย่างเร่งด่วน –สดด.130:1;ยนา.1:6

“ให้ทุกคนหันกลับจากการประพฤติชั่ว” (everyone turn from his evil way) –ยรม.25:5;7:3

“เลิกการทารุณ” (from the violence) –โยน 16:17

3:9       “ใครจะรู้ได้?” (Who knows?) –2ซมอ.12:22

“พระเจ้าอาจจะทรงหันและเปลี่ยนพระทัย” (God may turn and relent) = บางฉบับแปลว่า “พระเจ้าอาจจะทรงอดกลั้นพระทัยไว้ และด้วยพระเมตตา”

= พระเจ้าทางสำแดงพระเมตตาแก่มนุษย์ที่กลับใจ โดยยกเลิกการลงโทษที่เคยประกาศไว้ (ข.10)

–ยรม.18:7-10

“พระองค์อาจจะทรงหันจากพระพิโรธอันรุนแรงเพื่อเราจะไม่พินาศ” (turn from his fierce anger so that we may not perish.”) –ยอล.2:14;สดด.85:3

3:10     “พระเจ้าก็เปลี่ยนพระทัย” (God relented) = ในบางฉบับแปลว่า “พระเจ้า…ก็ทรงเอ็นดูสงสาร”

–อมส.7:6

“เรื่องความหายนะที่พระองค์ตรัสว่าจะนำมาสู่พวกเขา” (of the disaster that he had said he would do to them) = ไม่ได้ทำลายพวกเขา -ยรม.18:8

“พระองค์ไม่ทรงลงโทษเขา” (he did not do it.) = พระเจ้าไม่ได้จัดการพวกเขาตามที่พระองค์ทรงคาดโทษไว้ -อพย.32:14

 

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยมีประสบการณ์กับการที่พระเจ้าตรัสกับคุณโดยตรง (เป็นส่วนตัว) บ้างไหม? อย่างไร? ในเรื่องอะไร?
  2. พระเจ้าเคยตรัสกับคุณทางใดบ้างต่อไปนี้

……….1) ผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า ที่ได้ยินได้ฟังหรือได้อ่าน

……….2) ผ่านการตรัสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในใจ

……….3) ผ่านทางคำพูด หรือข้อเขียนของคนอื่น ๆ

แล้วคุณตอบสนองอย่างไร?

  1. เรื่องใดเป็นเรื่องที่ยากที่สุดเท่าที่คุณเคยเผชิญมาในการกระทำตามพระบัญชา(หรือพระดำรัส) ของพระเจ้าด้วยความเชื่อฟัง? อย่างไร?
  2. เคยมีผู้ใดกลับใจมาหาพระเจ้า เพราะการเป็นพยานหรือการประกาศของคุณบ้าง? อย่างไร?
  3. คุณเคยเห็นการตอบสนองต่อข่าวดีที่คุณประกาศแบบไม่คาดคิดหรือเกินความคิดบ้างหรือไม่? อย่างไร?
  4. คุณเคยมีประสบการณ์กับการถืออดอาหารอธิษฐานเผื่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร? แล้วผลเป็นอย่างไร?
  5. คุณเคยมีประสบการณ์กับการเปลี่ยนพระทัยของพระเจ้าด้วยพระเมตตาบ้างหรือไม่? อย่างไร?
  6. คุณเคยเห็นผู้ใดที่เลิกทำชั่วแบบเห็น ๆ แล้วรอดพ้นจากหายนะที่รออยู่บ้าง? (แบ่งปัน)

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระธรรมโยนาห์ บทเรียนที่ 2

บทเพลงและคำทูลวิงวอนจากท้องปลา

พระธรรม        โยนาห์ 2:1-10

อ้างอิง             สดด.18:6;86:6,13;69:1-2;50:14,23;120:1;71:11-12;18:14;42:4,7;31:22;30:3;11:4;18:6;3:8

บทนำ             เมื่อคุณไม่เชื่อฟังพระเจ้า หรือดื้อกบฏต่อพระเจ้า ผลกระทบต่อชีวิตของคุณคือ ความทุกข์ยากลำบาก และในที่สุดคุณก็จะหนีไปให้พ้นจากพระพักตร์ของพระเจ้า ดังนั้น อย่าให้เราคิดที่จะทำตามใจหรืออารมณ์ของเราโดยพยายามหนี้ไปให้พ้นจากพระพักตร์ของพระองค์เลย เพราะจะเปล่าประโยชน์อย่างแน่นอน!

บทเรียน

2:1      “แล้วโยนาห์ก็อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน จากภายในท้องปลานั้นว่า”

(Then Jonah prayed to the Lord his God from the belly of the fish,) 

2:2  “ข้าพระองค์ร้องทูลพระยาห์เวห์ในยามยากลำบาก และพระองค์ทรงตอบข้าพระองค์ ข้าพระองค์ร้องทูลจากท้องของแดนคนตายและพระองค์ทรงฟังเสียงข้าพระองค์”

(saying,“I called out to the Lord, out of my distress, and he answered me;out of the belly of Sheol I cried, and you heard my voice.)

2:3   “เพราะพระองค์ทรงเหวี่ยงข้าพระองค์ลงไปในที่ลึกในก้นบึ้งแห่งทะเลและน้ำก็ท่วมล้อมรอบข้าพระองค์ไว้บรรดาคลื่นเล็กและใหญ่ของพระองค์ท่วมข้าพระองค์แล้ว”

(For you cast me into the deep, into the heart of the seas, and the flood surrounded me; all your waves and your billows passed over me.)

2:4      “ข้าพระองค์จึงทูลว่า ‘ข้าพระองค์ถูกไล่ให้พ้นจากพระเนตรของพระองค์ข้าพระองค์จะเงยหน้าดูพระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์อีกได้อย่างไร?’

(Then I said, ‘I am driven away from your sight; yet I shall again look upon your holy temple.’)

2:5      “น้ำก็ท่วมมิดตัวข้าพระองค์ที่ลึกก็อยู่รอบตัวข้าพระองค์สาหร่ายทะเลก็พันศีรษะข้าพระองค์อยู่”

(The waters closed in over me to take my life; the deep surrounded me; weeds were wrapped about my Head)

2:6      “ที่รากแห่งภูเขาทั้งหลายข้าพระองค์ลงไปยังแผ่นดินซึ่งกลอนประตูปิดกั้นข้าพระองค์ไว้เป็นนิตย์แต่กระนั้นก็ดี ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์พระองค์ยังทรงนำชีวิตของข้าพระองค์ขึ้นมาจากหลุมมรณะ”

(at the roots of the mountains. I went down to the land whose bars closed upon me forever; yet you brought up my life from the pit, O Lord my God.)

2:7      “เมื่อชีวิตของข้าพระองค์กำลังจะหลุดลอยข้าพระองค์ระลึกถึงพระยาห์เวห์และคำอธิษฐานของข้าพระองค์มาถึงพระองค์เข้าสู่พระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์”

(When my life was fainting away, I remembered the Lord, and my prayer came to you, into your holy temple.)

2:8      “คนที่กราบไหว้รูปเคารพไร้สาระย่อมละทิ้งความจงรักภักดีของพวกเขาเสีย”

( Those who pay regard to vain idols forsake their hope of steadfast love.)

2:9      “แต่ข้าพระองค์จะถวายสัตวบูชาแด่พระองค์พร้อมด้วยเสียงขอบพระคุณข้าพระองค์บนไว้อย่างไร ข้าพระองค์จะแก้บนอย่างนั้นความรอดนั้นมาจากพระยาห์เวห์

(But I with the voice of thanksgiving will sacrifice to you; what I have vowed I will pay. Salvation belongs to the Lord!”)

2:10    “แล้วพระยาห์เวห์ตรัสสั่งปลานั้น มันก็สำรอกโยนาห์ออกไว้บนแผ่นดินแห้ง”

(And the Lord spoke to the fish, and it vomited Jonah out upon the dry land.)

ข้อมูลมีประโยชน์

2:2-9   =ตอนนี้เป็นบทสดุดีขอบคุณพระเจ้าที่ทรงช่วยชีวิตจากทะเลซึ่งโยนาห์ร้องทูลขณะที่เขากำลังดำดิ่งลงสู้ก้นทะเล เขาสำนึกในพระคุณของพระเจ้า เมื่อสำนึกว่า ตัวเองสมควรตาย แต่พระเจ้ายังทรงสำแดงพระเมตตาให้เขาอย่างน่าอัศจรรย์

-สำนวนภายในบทเพลงสดุดีตอนนี้ แสดงให้เห็นว่า โยนาห์คุ้นเคยกับพระธรรมสดุดีเป็นอย่างดี

2:2       “ข้าพระองค์ร้องทูลพระยาห์เวห์ในยามยากลำบาก”(I called out to the Lord, out of my distress)

–พคค.3:55;สดด.18:6;120:1

“และพระองค์ทรงตอบข้าพระองค์” ( and he answered me) -สดด.118:5

“ท้องของแดนคนตาย” ( out of the belly of Sheol) = ห้วงลึกของแดนมรณา หลุมฝังศพ –สดด.86:13

= ภาพเปรียบเทียบประสบการณ์เฉียดตายของโยนาห์ในท้องทะเล (สดด.30:3; ปท.ปฐก.37:35)

2:3       “พระองค์ทรงเหวี่ยงข้าพระองค์ลงไปในที่ลึก” (you cast me into the deep ) = ห้วงลึก – สดด.88:6

= โยนาห์รับรู้ว่าลูกเรือ(1:15) เป็นผู้กระทำการพิพากษาแทนพระเจ้า

          “บรรดาคลื่นเล็กและใหญ่ของพระองค์” (all your waves and your billows) –2ซมอ.22:5

“ท่วมข้าพระองค์แล้ว” ( passed over me) = ท่วมมิดข้าพระองค์ –สดด.42:7

2:4       “ข้าพระองค์ถูกไล่ให้พ้นจากพระเนตรของพระองค์” (I am driven away from your sight)

–สดด.31:22;ยรม.7:15

“ข้าพระองค์จะเงยหน้าดูพระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์อีกได้อย่างไร?” ( I shall again look upon your holy temple. ) = คำแปลจากภาษากรีก ส่วนภาษาฮีบรูตอนนี้ เขียนไว้ว่า “แท้จริงข้าพระองค์จะเงยหน้าดูพระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์อีก” (I shall again look upon your holy temple.) = แสดงถึงความคาดหวังอย่างเต็มที่เหมือนในคำอธิษฐานในพระธรรมสดุดี เช่น สดุดี 5:7;27:4-6

ข้อสังเกต

  1. “พระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์” (upon your holy temple.) ใน 2:4

= พระวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม –1พกษ.8:48

  1. “พระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์” (into your holy temple.) ใน 2:7

= วิหารในสวรรค์ของพระเจ้า

-ชาวอิสราเอลถือว่าที่ประทับของพระเจ้าทั้ง 2 แห่งนี้ สัมพันธ์กันและกัน จนไม่อาจแยกออกจากกันได้ (1พกษ.8:38-39)

2:5       “สาหร่ายทะเลก็พันศีรษะข้าพระองค์อยู่” (weeds were wrapped about my head) –สดด.69:1-2

2:6       “ที่รากแห่งภูเขาทั้งหลาย” ( the roots of the mountains. )

บางฉบับแปลว่า “ข้าพระองค์จมลงมาถึงรากภูเขา”   -โยบ 28:9

“ข้าพระองค์ลงไปยังแผ่นดิน ซึ่งกลอนประตูปิดกั้นข้าพระองค์ไว้เป็นนิตย์” ( I went down to the

land whose bars closed upon me forever;) = แผ่นดินเบื้องล่างบังข้าพระองค์ไว้เป็นนิตย์

“พระองค์ยังทรงนำชีวิตของข้าพระองค์ขึ้นมาจากหลุมมรณะ” ( you brought up my life from the pit,) = จากเหวหรือหลุมฝังศพ –ข.2;สดด.28:1;30:1-3

2:7       “ข้าพระองค์ระลึกถึงพระยาห์เวห์” ( I remembered the Lord,) –สดด.77:11-12

“คำอธิษฐานของข้าพระองค์” (my prayer came to you) –2พศค.30:27

          “เข้าสู่พระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์” (into your holy temple) –สดด.11:4;18:6

2:8       “กราบไหว้รูปเคารพไร้สาระ” (pay regard to vain idols) = เทวรูปอันไร้ค่า –ฉธบ.32:21;1ซมอ.12:21

2:9       “ถวายสัตวบูชาแด่พระองค์” ( sacrifice to you) = ถวายเครื่องบูชา -สดด.50:14,23;ฮบ.13:15

“พร้อมด้วยเสียงขอบพระคุณ” (the voice of thanksgiving) = ด้วยบทเพลงโมทนาพระคุณ –สดด.42:4

          “ข้าพระองค์บนไว้อย่างไร ข้าพระองค์จะแก้บนอย่างนั้น” (I have vowed I will pay)

“ปฏิญาณ” –กดว.30:2;ปญจ.5:4-5;สดด.50:14;56:12;61:8;65:1;66:13-15;116:12-19

“ความรอดนั้นมาจากพระยาห์เวห์” (Salvation belongs to the Lord!) –อพย.15:2;สดด.3:8

= สุดยอดของคำอธิษฐานขอบพระคุณของโยนาห์ และเป็นคำประกาศความเชื่อครั้งที่ 2 ของเขา (1:9)

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณอธิษฐานต่อพระเจ้าครั้งสุดท้ายเมื่อไร? ในเรื่องอะไร?
  2. คุณเคยทุกข์ยากลำบากมากที่สุดในชีวิต ในเรื่องอะไร? เมื่อไร? จนทำให้คุณต้องอธิษฐานขอพระเจ้าช่วยเหลือ?
  3. พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของคุณโดยช่วยคุณให้รอดพ้นจากความทุกข์ยากลำบากอย่างไร?
  4. คุณเคยรู้สึกเหมือนพระเจ้าขับไล่หรือทอดทิ้งคุณบ้างหรือไม่? เพราะอะไร?
  5. คุณเคยเห็นพระเจ้าทรงช่วยเหลือหรือตอบคำอธิษฐานของใครบ้างที่หนุนใจหรือประทับใจคุณมากที่สุด?     ในเรื่องอะไร? และอย่างไร?
  6. คุณเคยมีประสบการณ์กับการรู้สึกได้ว่า คำอธิษฐานของคุณได้ขึ้นไปถึงพระเจ้าแล้ว? อย่างไร?
  7. คุณเคยนับถือมาก่อนแล้วละทิ้งการกราบไหว้รูปเคารพเหล่านั้นบ้างหรือไม่? ง่ายหรือยาก? เพราะอะไร?
  8. คุณเคยบนต่อพระเจ้าในเรื่องอะไร? อย่างไร? และทำไม? แล้วคุณเคยแก้บนในเรื่องอะไรที่คุณจำได้ไม่เคยลืม

บทเรียนเสริม

(โยนาห์ 2 บทเพลงและคำทูลวิงวอนจากท้องปลา)

 การอัศจรรย์ 7 อย่าง (โยนาห์ 1-2)

  1. พระเจ้าทรงส่ง (…………………..) มาเหนือทะเล (1:4)
  2. พระเจ้าทรงนำให้การ (………………….) ตกแก่โยนาห์ (1:7)
  3. พระเจ้าทรงทำให้ทะเล (………………….) (1:15)
  4. พระเจ้าทรงจัดเตรียม (………………….) มากลืนโยนาห์ลงไป (1:7)
  5. พระเจ้าทรงช่วยให้โยนาห์รอดอยู่ในท้องปลา (………………….) (1:17;2:6)
  6. พระเจ้าทรงให้ปลานำโยนาห์ไปส่งถึง (………………….) (2:10)
  7. พระเจ้าทรงทำให้ปลานั้น (………………….) โยนาห์ ออกมาไว้ที่ริมฝั่ง (2:10)

คำอธิษฐานที่คุณควรมี

  1. เมื่อมี(…………………………..) คุณทำอะไร?

สดุดี 18:6 “เมื่อมีความทุกข์ลำบาก ข้าพเจ้าร้องทูลพระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าของข้าพเจ้า จากพระวิหารของพระองค์ พระองค์ทรงสดับเสียงของข้าพเจ้า และเสียงร้องของข้าพเจ้าได้ยินไปถึงพระกรรณของพระองค์”

สดุดี 86:6-7 “ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอเงี่ยพระโสตฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์ ขอทรงสดับเสียงวิงวอนของข้าพระองค์ ในวันที่ข้าพระองค์ทุกข์ใจ ข้าพระองค์จะร้องทูลพระองค์ เพราะพระองค์จะทรงตอบข้าพระองค์”

  1. เมื่อคุณ(………………………….)ความช่วยเหลือจากพระเจ้า พระองค์จะทำอะไร?

สดุดี 31:21-22 “สาธุการ​แด่​พระ‍ยาห์‌เวห์ เพราะ​พระ‍องค์​ทรง​สำแดง​ความ​รัก‍มั่น‍คง​แก่​ข้า‍พระ‍องค์​อย่าง​อัศ‌จรรย์ เมื่อ​ข้า‍พระ‍องค์​อยู่​ใน​เมือง​ที่​ถูก​ล้อม ข้า‍พระ‍องค์​ตก‍ใจ กล่าว​ว่า “ข้า‍พระ‍องค์​ถูก​ตัด‍ขาด​ไป​พ้น​สาย‍พระ‍เนตร​ของ​พระ‍องค์​แล้ว” แต่​พระ‍องค์​ทรง​สดับ​เสียง​วิง‍วอน​ของ​ข้า‍พระ‍องค์ เมื่อ​ข้า‍พระ‍องค์​ทูล​ขอ​ความ​ช่วย‍เหลือ​จาก​พระ‍องค์”

สดุดี 32:6-8 “เพราะ‍ฉะนั้น ขอ​ให้​ผู้​จง‍รัก‍ภักดี​ทุก​คน​อธิษ‌ฐาน​ต่อ​พระ‍องค์ ใน​เวลา​ที่​จะ​พบ​พระ‍องค์​ได้ ใน​เวลา​น้ำ‍ท่วม​มาก น้ำ​จะ​ไม่​มา​ถึง​คน​นั้น พระ‍องค์​ทรง​เป็น​ที่‍กำ‌บัง​ของ​ข้า‍พระ‍องค์ พระ‍องค์​ทรง​ปก‍ป้อง​ข้า‍พระ‍องค์​จาก​ความ​ยาก‍ลำ‌บาก พระ‍องค์​ทรง​ล้อม​ข้า‍พระ‍องค์​ไว้​ด้วย​เพลง​ฉลอง​การ​ช่วย‍กู้เส-ลาห์ เรา​จะ​แนะ‍นำ​และ​สอน​เจ้า​ถึง​ทาง​ที่​เจ้า​ควร​จะ​เดิน​ไป เรา​จะ​ให้​คำ‍ปรึก‌ษา​แก่​เจ้า​และ​เฝ้า‍ดู​เจ้า​อยู่”

  1. คุณควรอธิษฐานต่อพระเจ้าใน(……….)ใด? หรือ(……….)ใด?

สดุดี 5:1-3 “ข้า‍แต่​พระ‍ยาห์‌เวห์ ขอ​เอียง​พระ‍โสต​สดับ​ถ้อย‍คำ​ของ​ข้า‍พระ‍องค์ ขอ​ทรง​ฟัง​เสียง​คร่ำ‍ครวญ​ของ​ข้า‍พระ‍องค์ ข้า‍แต่​พระ‍เจ้า พระ‍มหา‍กษัตริย์​ของ​ข้า‍พระ‍องค์ ขอ​ทรง​ฟัง​เสียง​ร้อง‍ทูล​ของ​ข้า‍พระ‍องค์ เพราะ​ข้า‍พระ‍องค์​อธิษ‌ฐาน​ต่อ​พระ‍องค์ ข้า‍แต่​พระ‍ยาห์‌เวห์ (ยาม‍เช้า​)พระ‍องค์​ทรง​สดับ​เสียง​ข้า‍พระ‍องค์ (ยาม‍เช้า)​ข้า‍   พระ‍องค์​เตรียม​คำ​อธิษ‌ฐาน​แด่​พระ‍องค์ และ​เฝ้า‍คอย‍อยู่”

สดุดี 55:16-17 “ส่วน​ข้าพ‌เจ้า ข้าพ‌เจ้า​จะ​ร้อง‍ทูล​พระ‍เจ้า และ​พระ‍ยาห์‌เวห์​จะ​ทรง​ช่วย​ข้าพ‌เจ้า​ให้​รอด ทั้ง​เวลา​(เย็น) เวลา(​เช้า) และ​เวลา(​เที่ยง) ข้าพ‌เจ้า​ร้อง‍ทุกข์​และ​คร่ำ‍ครวญ และ​พระ‍องค์​จะ​ทรง​ฟัง​เสียง​ของ​ข้าพ‌เจ้า”

  1. คุณควรมี(……….))อย่างไรในการอธิษฐานขอคำตอบจากพระเจ้า?

สดุดี 69:13 “ข้า‍แต่​พระ‍ยาห์‌เวห์ แต่​ส่วน​ข้า‍พระ‍องค์ ข้า‍พระ‍องค์​อธิษ‌ฐาน​ต่อ​พระ‍องค์ ข้า‍แต่​พระ‍เจ้า ใน​เวลา​อัน​เหมาะ‍สม โดย​ความ​รัก‍มั่น‍คง​อัน​อุดม​ของ​พระ‍องค์ ขอ​ทรง​ตอบ​ข้า‍พระ‍องค์​โดย​การ​ช่วย‍กู้​ที่​แน่‍นอน​ของ​พระ‍องค์”

69:16 “ข้า‍แต่​พระ‍ยาห์‌เวห์ ขอ​ทรง​ตอบ​ข้า‍พระ‍องค์ เพราะ​ความ​รัก‍มั่น‍คง​ของ​พระ‍องค์​นั้น​ล้ำ‍เลิศ ขอ​ทรง​หัน​มา‍หา​ข้า‍พระ‍องค์​ตาม​พระ‍กรุณา​อัน​อุดม​ของ​พระ‍องค์”

35:13 “ส่วน​ข้า‍พระ‍องค์ เมื่อ​พวก‍เขา​ป่วย ข้า‍พระ‍องค์​สวม​ผ้า‍กระ‌สอบ ข้า‍พระ‍องค์​ถ่อม‍ตัว​ลง​ด้วย​การ​อด‍อาหารข้า‍พระ‍องค์​ซบ‍หน้า‍ลง​ที่​อก อธิษ‌ฐาน”

        5. นอกจากอธิษฐานขอเพื่อตัวเอง เราควรจะอธิษฐานขอเพื่อ(……….)อีก?

สดุดี 122:6-9 “จง​อธิษ‌ฐาน​ขอ​สันติ‍ภาพ​ให้​เย‌รู‌ซา‌เล็ม​ว่า “ขอ​บรร‌ดา​ผู้​ที่​รัก​เธอ​จง​จำ‌เริญ ขอ​สันติ‍ภาพ​จง​มี​อยู่​ภาย‍ใน​กำ‌แพง​ของ​เธอ และ​ขอ​ให้​ความ​ปลอด‍ภัย​อยู่​ภาย‍ใน​ป้อม​ของ​เธอ” เพื่อ​เห็น‍แก่​พี่‍น้อง​และ​มิตร‍สหาย ข้าพ‌เจ้า​จะ​พูด​ว่า “สันติ‍ภาพ​จง​มี​อยู่​ภาย‍ใน​เธอ” เพื่อ​เห็น‍แก่​พระ‍นิ‌เวศ​ของ​พระ‍ยาห์‌เวห์​พระ‍เจ้า​ของ​เรา ข้าพ‌เจ้า​จะ​หา​ความ​ดีให้เธอ​

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์