Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนพระธรรมฮักกัย 2

พระธรรม        ฮักกัย 2:1-23

อ้างอิง            อสร. 3:12;ฮบ.12:26;อพย.28:9;29:45-46;กดว.19:11-22;ปฐก.12:2;38:18;ลนต.25:21;สดด.128:1-6;ยอล.2:14;2คร.1:22

บทนำ            ไม่ว่า เราตกต่ำหรือย่ำแย่มาสักเท่าไรในชีวิต ขอให้วันนี้ เราพร้อมให้พระเจ้าทรงชำระและใช้เรา เราจะมีโอกาสได้เห็นพระสิริและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในชีวิตของเรายิ่งกว่าเดิม เพียงแต่ขอให้เราเชื่อฟังและปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์ โดยแสวงหาแผ่นดิน และความชอบธรรมของพระองค์ก่อนความต้องการของเรา แล้วเราจะพบว่า เราจะได้รับการอวยพรที่อิ่มเอมใจมีสันติสุขมากยิ่งกว่าที่เราพยายามหาด้วยตัวของเราเอง

บทเรียน

2:1 “ณ วัน‍ที่ 21 เดือน​ที่ 7 พระ‍วจนะ​ของ​พระ‍ยาห์‌เวห์​มา​โดย​ทาง​ผู้‍เผย‍พระ‍วจนะ​ฮัก‌กัย ว่า” 

     (In the seventh month, on the twenty-first day of the month, the word of the Lord came by the hand of  Haggai the prophet, )

2:2 “จง​กล่าว​แก่​เศ‌รุบ‌บา‌เบล​บุตร​เช‌อัล‌ทิ‌เอล ผู้‍ว่า‍ราช‌การ​แคว้น​ยู‌ดาห์ กับ​มหา‍ปุ‌โร‌หิต​โย‌ชู‌วา​บุตร​เย‌โฮ‌ซา‌ดัก และ​กับ​ประ‌ชา‍ชน​ที่​เหลือ​อยู่ ว่า” 

    (“Speak now to Zerubbabel the son of Shealtiel, governor of Judah, and to Joshua the son of Jehozadak, the high priest, and to all the remnant of the people, and say,)

   2:3 “ใน​พวก‍เจ้า​ที่​เหลือ​อยู่​มี​ใคร​บ้าง​ที่​เคย​เห็น​พระ‍นิ‌เวศ​นี้​ประ‌กอบ​ด้วย​ศักดิ์‍ศรี​เมื่อ​ครั้ง‍ก่อน? และ​บัด‍นี้​พวก‍เจ้า​เห็นเป็น​อย่าง‍ไร? มอง‍ดู​แล้ว​เหมือน​ไม่‍มี​อะไร​เลย​ใช่​ไหม?” 

     (‘Who is left among you who saw this house in its former glory? How do you see it now? Is it not as nothing in your eyes?)

   2:4 “พระ‍ยาห์‌เวห์​ตรัส​ว่า แต่​บัด‍นี้ เศ‌รุบ‌บา‌เบล​เอ๋ย จง​เข้ม‍แข็ง​เถิด มหา‍ปุ‌โร‌หิต​โย‌ชู‌วา​บุตร​เย‌โฮ‌ซา‌ดัก​เอ๋ย จง​เข้ม‍แข็ง​เถิด และ​ประ‌ชา‍ชน​ทั้ง‍สิ้น​ของ​แผ่น‍ดิน​เอ๋ย จง​เข้ม‍แข็ง​เถิด พระ‍ยาห์‌เวห์​ตรัส​ดัง‍นี้​แหละ พระ‍ยาห์‌เวห์​จอม‍ทัพ​ตรัส​ว่า จง​ทำ‍งาน​เถิด เพราะ​เรา​อยู่​กับ​เจ้า​ทั้ง‍หลาย” 

     (Yet now be strong, O Zerubbabel, declares the Lord. Be strong, O Joshua, son of Jehozadak, the high priest. Be strong, all you people of the land, declares the Lord. Work, for I am with you, declares the Lord of hosts,)

     2:5 “ตาม​คำ​สัญญา​ที่​เรา​ได้​ทำ​ไว้​กับ​พวก‍เจ้า​เมื่อ​เจ้า​ทั้ง‍หลาย​ออก​จาก​อียิปต์และ​วิญ‌ญาณ​ของ​เรา​ดำรง​อยู่​ท่าม‍กลาง​พวก‍เจ้า อย่า​กลัว​เลย” 

     (according to the covenant that I made with you when you came out of Egypt. My Spirit remains in your midst. Fear not.)

2:6 “เพราะ​พระ‍ยาห์‌เวห์​จอม‍ทัพ​ตรัส​ดัง‍นี้​ว่า อีก​ไม่​นาน เรา​จะ​เขย่า​ท้อง‍ฟ้า​และ​โลก ทะเล​และ​แผ่น‍ดิน​แห้ง​อีก‍ครั้ง‍หนึ่ง” 

     (For thus says the Lord of hosts: Yet once more, in a little while, I will shake the heavens and the earth and the sea and the dry land.)

   2:7 “เรา​จะ​เขย่า​ประ‌ชา‍ชาติ​ทั้ง‍หมด และ​ทรัพย์‍สมบัติ​ของ​ประ‌ชา‍ชาติ​ทั้ง‍หมด​จะ​เข้า‍มา แล้ว​เรา​จะ​บรร‌จุ​นิ‌เวศ​นี้​ให้​เต็ม​ด้วย​ศักดิ์‍ศรี พระ‍ยาห์‌เวห์​จอม‍ทัพ​ตรัส​เช่น‍นี้” 

   (And I will shake all nations, so that the treasures of all nations shall come in, and I will fill this house with glory, says the Lord of hosts.)

2:8 “เงิน​เป็น​ของ​เรา และ​ทอง​ก็​เป็น​ของ​เรา พระ‍ยาห์‌เวห์​จอม‍ทัพ​ตรัส​ดัง‍นี้​แหละ” 

       (The silver is mine, and the gold is mine, declares the Lord of hosts.)

     2:9 “พระ‍ยาห์‌เวห์​จอม‍ทัพ​ตรัส​ว่า ศักดิ์‍ศรี​ของ​พระ‍นิ‌เวศ​หลัง​นี้​จะ​ยิ่ง‍ใหญ่​กว่า​หลัง​ก่อน และ​ใน​สถาน‍ที่​นี้ เรา​จะ​ให้​สันติ‍สุข” พระ‍ยาห์‌เวห์​จอม‍ทัพ​ตรัส​ดัง‍นี้​แหละ”

     (The latter glory of this house shall be greater than the former, says the Lordof hosts. And in this place I will give peace, declares the Lord of hosts.’”)

     2:10 “ณ วัน‍ที่ 24 เดือน​ที่9 ใน​ปี​ที่ 2 ของ​รัช‌กาล​พระ‍ราชา​ดา‌ริ‌อัส พระ‍วจนะ​ของ​พระ‍ยาห์‌เวห์​มา​ถึง​ผู้‍เผย‍พระ‍วจนะ​ฮัก‌กัยว่า” 

         (On the twenty-fourth day of the ninth month, in the second year of Darius, the word of the Lord came  by Haggai the prophet,)

2:11“พระ‍ยาห์‌เวห์​จอม‍ทัพ​ตรัส​ดัง‍นี้​ว่า จง​ถาม​บรร‌ดา​ปุ‌โร‌หิต​ใน​เรื่อง​ธรรม‍บัญญัติ​เถิด​ว่า” 

     (“Thus says the Lord of hosts: Ask the priests about the law:) 

     2:12 “ถ้า​คน​ไหน​ถือ​เนื้อ​บริ‌สุทธิ์​ไป​โดย​การ​ห่อ​ด้วย​ชาย‍เสื้อ‍คลุม และ​ชาย‍เสื้อ​นั้น​ไป​แตะ‍ต้อง​ขนม‍ปัง หรือ​แกง หรือ​เหล้า‍องุ่น          หรือ​น้ำ‍มัน หรือ​อาหาร​ใดๆ สิ่ง‍เหล่า‍นี้​จะ​บริ‌สุทธิ์​ไป​ด้วย​หรือ​ไม่?’” พวก​ปุ‌โร‌หิต​ตอบ​ว่า “ไม่” 

       (‘If someone carries holy meat in the fold of his garment and touches with his fold bread or stew  or wine or oil or any kind of food, does it become holy?’” The priests answered and said, “No.”)

2:13 “แล้ว​ฮัก‌กัย​จึง​ถาม​อีก​ว่า “ถ้า​คน​ไหน​ที่​เป็น​มลทิน​เพราะ​ไป​แตะ‍ต้อง​ศพ แล้ว​มา​แตะ‍ต้อง​สิ่ง‍เหล่า‍นี้ สิ่ง‍เหล่า‍นี้​จะ​เป็น​มลทิน​ไป​ด้วย​หรือ​ไม่?” บรร‌ดา​ปุ‌โร‌หิต​ตอบ​ว่า “เป็น​มลทิน​ด้วย” 

       (Then Haggai said, “If someone who is unclean by contact with a dead body touches any of these, does it become unclean?” The priests answered and said, “It does become unclean.”)

   2:14 “ฮัก‌กัย​จึง​ตอบ​ว่า “พระ‍ยาห์‌เวห์​ตรัส​ว่า ใน​สาย‍ตา​ของ​เรา ประ‌ชา‍ชน​พวก‍นี้​ก็​เป็น​อย่าง​นั้น ชน‍ชาติ​นี้​ก็​เป็น​อย่าง​นั้น และ​ผล‍งาน​ทุก‍อย่าง​ที่​มือ​ของ​พวก‍เขา​ทำ​ก็​เป็น​อย่าง‍นั้น และ​สิ่ง​ที่​พวก‍เขา​ถวาย‍บูชา​ที่‍นั่น ก็​เป็น​มลทิน” 

     (Then Haggai answered and said, “So is it with this people, and with this nation before me, declares the Lord, and so with every work of their hands. And what they offer there is unclean.)

   2:15 “แต่​บัด‍นี้ ให้​พิจาร‌ณา‍ดู​ตั้ง‍แต่​วัน‍นี้​เป็น‍ต้น​ไป ก่อน​ที่​ศิลา​ก้อน​หนึ่ง​จะ​วาง​ซ้อน​บน​ศิลา​อีก​ก้อน​หนึ่ง​ใน​พระ‍วิหาร​ของ​พระ‍ยาห์‌เวห์” 

(Now then, consider from this day onward. Before stone was placed upon stone in the temple of  the Lord,)

   2:16 “พวก‍เจ้า​เป็น​อย่าง‍ไร? เมื่อ​ใคร​มา​ยัง​กอง‍ข้าว​คิด​ว่า​จะ​ตวง​ได้ 200 กิโล‍กรัม แต่​ก็​ได้​เพียง 100 กิโล‍กรัม เมื่อ​ใคร​มา​ยัง​บ่อ​เก็บ​น้ำ‍องุ่น​คิด​ว่า​จะ​ตัก​ได้ 100 ลิตร แต่​ก็​ได้​เพียง 40 ลิตร” 

(how did you fare? When one came to a heap of twenty measures, there were but ten. When one came to the wine vat to draw fifty measures, there were but twenty.) 

   2:17 “พระ‍ยาห์‌เวห์​ตรัส​ว่า เรา​ได้​โจม‍ตี​พวก‍เจ้า​และ​ผล‍งาน​ทุก‍อย่าง​ที่​มือ​ของ​พวก‍เจ้า​ทำ​ด้วย​การ​ทำ‍ให้​ข้าว​ม้าน​และ​ขึ้น​รา และ​ด้วย​ลูก‍เห็บ แต่​เจ้า​ทั้ง‍หลาย​ไม่​มา‍หา​เรา”

           (I struck you and all the products of your toil with blight and with mildew and with hail, yet you  did not turn to me, declares the Lord.) 

   2:18 “บัด‍นี้ จง​พิจาร‌ณา‍ดู ตั้ง‍แต่​วัน‍นี้​เป็น‍ต้น​ไป คือ​วัน‍ที่ 24 เดือน​ที่ 9 คือ​ตั้ง‍แต่​วัน‍ที่​วาง​ราก‍ฐาน​พระ‍วิหาร​ของ​พระ‍ยาห์‌เวห์ จง​พิจาร‌ณา‍ดู​เถิด” 

       (Consider from this day onward, from the twenty-fourth day of the ninth month. Since the day that  the foundation of the Lord’s temple was laid, consider:)

   2:19 “ยัง​มี​เมล็ด‍ข้าว​ตก‍ค้าง​อยู่​ใน​ยุ้ง‍ฉาง​หรือ? เถา‍องุ่น ต้น‍มะเดื่อ และ​ต้น‍ทับ‌ทิม กับ​ต้น‍มะกอก​ยัง​ไม่​เกิด‍ผล​หรือ? ตั้ง‍แต่​วัน‍นี้​เป็น‍ต้น​ไป เรา​จะ​อวย‍พร​เจ้า

     (Is the seed yet in the barn? Indeed, the vine, the fig tree, the pomegranate, and the olive tree have yielded nothing. But from this day on I will bless you.”)

2:20 “พระ‍วจนะ​ของ​พระ‍ยาห์‌เวห์​มา​ถึง​ฮัก‌กัย​เป็น​ครั้ง‍ที่​สอง​ใน​วัน‍ที่ 24 ของ​เดือน​นั้น​ว่า” 

     (The word of the Lord came a second time to Haggai on the twenty-fourth day of the month,) 

2:21“จง​พูด​กับ​เศ‌รุบ‌บา‌เบล​ผู้‍ว่า‍ราช‌การ​แคว้น​ยู‌ดาห์​ว่า เรา​กำลัง​จะ​เขย่า​ท้อง‍ฟ้า​และ​แผ่น‍ดิน​โลก” 

     (“Speak to Zerubbabel, governor of Judah, saying, I am about to shake the heavens and the earth,) 

   2:22 “เรา​กำลัง​จะ​คว่ำ​บัล‌ลังก์​ของ​บรร‌ดา​ราช‌อาณา‌จักร และ​ทำ‍ลาย​พลัง​ของ​บรร‌ดา​ราช‌อาณา‌จักร​แห่ง​ประ‌ชา‍ชาติ​ทั้ง‍หลาย และ​เรา​จะ​คว่ำ​บรร‌ดา​รถ‍รบ​กับ​ผู้​ขับ‍ขี่ พวก​ม้า​กับ​ผู้​ขับ‍ขี่​ของ​มัน​จะ​ต้อง​ล้ม‍ลง คือ​ทุก​คน​จะ​ต้อง​ล้ม‍ลง​ด้วย​ดาบ​พวก‍พ้อง​ของ​เขา​เอง” 

     (and to overthrow the throne of kingdoms. I am about to destroy the strength of the kingdoms of the nations, and overthrow the chariots and their riders. And the horses and their riders shall go  down, everyone by the sword of his brother.)

2:23 “พระ‍ยาห์‌เวห์​จอม‍ทัพ​ตรัส​ว่า ใน​วัน‍นั้น​เรา​จะ​รับ​เจ้า โอ เศ‌รุบ‌บา‌เบล​บุตร​เช‌อัล‌ทิ‌เอล ผู้​รับ‍ใช้​ของ​เรา​เอ๋ย พระ‍ยาห์‌เวห์​ตรัส​ว่า เรา​จะ​ทำ​เจ้า​ให้​เป็น​เหมือน​แหวน‍ตรา เพราะ​เรา​ได้​เลือก‍สรร​เจ้า​แล้ว” พระ‍ยาห์‌เวห์​จอม‍ทัพ​ตรัส​ดัง‍นี้​แหละ”

     (On that day, declares the Lord of hosts, I will take you, O Zerubbabel my servant, the son of  Shealtiel, declares the Lord, and make you like a signet ring, for I have chosen you, declares  the Lord of hosts.”)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

2:1        “ณ วันที่ 21 เดือนที่ 7” (In the seventh month, on the twenty-first day of the month) = 17 ตุลาคมปี

520 ก่อน ค.ศ.     = วันสุดท้ายของเทศกาลอยู่เพิง

= เวลาแห่งการเฉลิมฉลองการเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูร้อน (ลนต.23:34-43) แม้ว่าพืชผลจะน้อย

(1:11;ยน.7:37) ปท. ฮกก.2:10,20; -กษัตริย์ซาโลมอนก็ถวายพระวิหารในช่วงเทศกาลนี้ (1พกษ.8:2)

2:2        “เศรุบบาเบล” (  Zerubbabel) –ฮกก.1:1

“มหาปุโรหิตโยชูวา บุตรเยโฮซาดัก” (Joshua the son of Jehozadak, the high priest) –1พศด.6:15

“ประชาชนที่เหลืออยู่” (to all the remnant of the people) –ฮกก.1:12

2:3        “ที่เหลืออยู่” (Who is left) = เชลยบางคนมีอายุมาก (อาจรวมทั้งฮักกัย) พอที่เคยเห็นพระวิหารอันโอ่อ่าตระการ และยิ่งใหญ่ของซาโลมอน (ที่ถูกทำลายโดยบาบิโลนเมื่อ 66 ปีก่อน)

“พระนิเวศนี้ประกอบด้วยศักดิ์ศรีเมื่อครั้งก่อน” (who saw this house in its former glory)

= พระวิหารของเศรุบบาเบลได้รับการยอมรับว่าเป็นวิหารที่ต่อเนื่องมาจากพระวิหารของซาโลมอน (ข.7,9)

“มองดูแล้วเหมือนไม่มีอะไรเลย” (Is it not as nothing in your eyes?) = รู้สึกเทียบกันไม่ได้เลย (อสร.3:12)

2:4        “จงเข้มแข็งเถิด….จงทำงานเถิด” ( Be strong…Work) = ดาวิดก็กล่าวเช่นนี้ (ใน 1พศด.28:20) เพื่อให้กำลังใจแก่ซาโลมอนในการสร้างพระวิหารพระเจ้าให้กำลังใจแก่โยชูวา บุตรนูนด้วยถ้อยคำที่คล้าย ๆ กัน (ยชว.1:6-,9,18)

“เราอยู่กับเจ้าทั้งหลาย” (I am with you) -1:13;1พศด.28:20

= พระเจ้าเดียวกันกับที่ช่วยซาโลมอนจะช่วยเสริมกำลังให้แก่เศรุบบาเบลและประชาชน

2:5        “วิญญาณของเรา” (My Spirit) = พระวิญญาณของพระเจ้าอยู่กับโมเสสและบรรดาผู้อาวุโส 70 คน เมื่อพวกเขานำประชาชนออกจากอียิปต์ และเดินทางผ่านถิ่นทุรกันดาร (กดว.11:16-17,25;อสย.63:11;สดด.51:11;ศคย.4:6) “อย่ากลัวเลย” (Fear not) -ข.4;ยชว.1:18;อสย.41:10

2:6        “อีกไม่นาน เราจะเขย่าท้องฟ้าและโลก” (in a little while, I will shake the heavens) = คำประกาศวันพิพากษาของพระเจ้าที่ใกล้จะมาถึงบรรดาประชาชาติ และเริ่มเป็นจริงจากการที่เปอร์เซียแพ้สงครามแก่อเล็กซานเดอร์มหาราช (ปี 333-330 ก.ค.ศ.) ใน ฮบ.12:26-27,โยงพระธรรมตอนนี้เข้ากับการพิพากษาบรรดาประชาชาติ เมื่อพระคริสต์เสด็จกลับมา (เบื้องหลังจากเขย่าประชาชาติในข้อนี้และในข้อ 21-22 คือ การพิพากษาต่ออียิปต์ที่ทะเลแดง ปท. อสย.14:16-17)

2:7        “เราจะเขย่าประชาชาติทั้งหมด และทรัพย์สมบัติของประชาชาติทั้งหมดจะเข้ามา” (I will shake all nations, so that the treasures of all nations shall come in) = บางฉบับแปลว่า “เราจะเขย่ามวลประชาชาติและสิ่งที่ประชาชาติทั้งหลายพึงปรารถนาจะหลั่งไหลมา”

คำว่า “ทรัพย์สมบัติ” นี้ จะหมายถึงคนหรือสิ่งของก็ได้ หากหมายถึงสิ่งของก็เป็นทรัพย์สิ่งของที่มีค่า (2พศด.20:25;32:37) อาทิ   สิ่งที่กษัตริย์ดาริอัสประทานให้แก่พระวิหาร (อสร.6:8)

-ข้อนี้จริงสอดคล้องกับ อสย.60:5 ที่บอกว่า ทรัพย์สมบัติของประชาชาติต่าง ๆ จะถูกนำมายังศิโยน

แต่หากหมายถึงคนก็เช่นเดียวกัน (ดนล.9:23) ซึ่งแปลคำฮีบรูคำเดียวกันนี้ว่า “ผู้ที่ทรงรักยิ่ง”

ปท. 1ซมอ.9:20 ในที่นี้อาจแปลว่า “ผู้ที่พึงปรารถนาจะมา” และอาจเล็งถึง “พระผู้ช่วยให้รอด”

(พระเมสิยาห์ –ดนล.11:37;มลค.3:1)

“ให้เต็มด้วยศักดิ์ศรี” (with glory) = เปี่ยมด้วยสง่าราศี

อาจหมายถึง = ความโอ่อ่าตระการทางวัตถุ (อสย.60:7,13) หรือการทรงสถิต(ด้วยพระเกียรติสิริ) ของพระเจ้า (อสย.40:34-35;1พกษ.8:10-11;อสค.10:4)

-ในความหมายหลังนี้ เชื่อมโยงกับพระสิริของพระเจ้ากับเมฆ ซึ่งปกคลุมสถานนมัสการ

-เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา การทรงสถิตอยู่ของพระเจ้าก็จะเด่นชัดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน (ลก.2:27,32)

2:8        “เงินเป็นของเรา และทองก็เป็นของเรา” (The silver is mine, and the gold is mine) = ให้จัดเตรียมไว้สำหรับวิหารของซาโลมอน (1พศด.29:2,7) และของเศรุบบาเบล (อสร.6:5)

2:9        “ศักดิศรี….จะยิ่งใหญ่กว่าหลังก่อน” (this house shall be greater than the former) = สง่าราศีรุ่งโรจน์กว่า เพราะว่า พระเมสิยาห์จะประทับที่นั่น (ข.7)

“หลังก่อน” = พระวิหารหลังเดิมที่ซาโลมอนสร้าง “สถานที่นี้” (in this place) = เยรูซาเล็ม (ศฟย.1:4)

“เราจะให้สันติสุข” (I will give peace) = ดูคำอวยพรของปุโรหิต ใน กดว.6:26

2:10      “ ณ วันที่ 24 เดือนที่ 9 ในปีที่ 2” (On the twenty-fourth day of the ninth month, in the second year of Darius) = 18 ธันวาคม ปี 520 ก.ค.ศ.      = เป็นเวลาปลูกพืชฤดูหนาว

2:11      “บรรดาปุโรหิต” (the priests) = ผู้ที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับความหมายที่ถูกต้องในบทบัญญัติต่าง ๆ

–ฉธบ.31:11;ยรม.18:18;มลค.2:7-9

2:12      “เนื้อบริสุทธิ์” (holy meat) = เนื้อจากสัตว์ซึ่งแยกไว้เป็นเครื่องบูชา

“สิ่งเหล่านี้จะบริสุทธิ์ไปด้วยหรือไม่?” (does it become holy?) = คำถามเกี่ยวกับการถ่ายเทความบริสุทธิ์ เนื้อที่บริสุทธิ์ทำให้เสื้อผ้า “บริสุทธิ์” เพราะสัมผัสกับเสื้อผ้านั้นโดยตรง (ลนต.6:27) แต่เสื้อผ้านั้นส่งต่อความบริสุทธิ์ไปยังวัตถุที่สามไม่ได้

2:13      “สิ่งเหล่านี้จะเป็นมลทินไปด้วยหรือไม่? “ (does it become unclean?”) = การเป็นมลทินตามระเบียบพิธีนั้นติดต่อ(ถ่ายเท) ได้ง่ายกว่าความบริสุทธิ์มาก

= คนที่เป็นมลทินไปสัมผัสสิ่งใดสิ่งนั้นก็เป็นมลทิน (กดว.19:11-13,22)

2:14      “ประชาชนพวกนี้…ผลงานทุกอย่าง…สิ่งที่พวกเขาถวายบูชา…ก็เป็นมลทิน” (this people… every work… every work… there is unclean      ) = แม้ประชาชนจะกลับมาสู่ดินแดนพระสัญญา อันบริสุทธิ์ แต่ความบริสุทธิ์นั้นไม่ได้ทำให้พวกเขาบริสุทธิ์แต่อย่างใด พวกเขาต้องเชื่อฟังพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างวิหารขึ้นใหม่ (ข.12-13)

2:15      “ก่อนที่ศิลาก้อนหนึ่งจะวางซ้อนบนศิลาอีกก้อนหนึ่ง” (Before stone was placed upon stone)

= ก่อนที่จะวางศิลารากฐาน = ก่อนวันที่ 24 เดือน 6 (1:14-15)

2:16      “กองข้าว” (a heap ) –ยรม.50:26

“ได้เพียง 100 กิโลกรัม…ได้เพียง 40 ลิตร” (twenty measures…… but twenty)

= บางฉบับแปลว่า “ได้เพียงสิบถึง…มีเพียง 20 ถัง”

= ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้นั้น เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับบาปของประชาชน (1:11;อสย.5:10)

“บ่อเก็บน้ำองุ่น” (the wine vat) = ปกติเป็นหลุมตื้นที่ขุดลงไปในหินแข็ง น้ำองุ่นที่ได้จากการย่ำจะไหลลงในหลุมนี้ และขังไว้จนกว่าจะเริ่มหมัก     จากนั้น น้ำองุ่นจะถูกถ่ายลงไหหรือถุงหนังเพื่อหมักและเก็บรักษาต่อไป

2:17      “โจมตี…ด้วยการทำให้ข้าวม้านและขึ้นรา และด้วยลูกเห็บ” (struck …with blight and with mildew and with hail) = คำสาปแช่งเพราะการไม่เชื่อฟังใน ฉธบ.28:22 (1พกษ.8:37;อมส.4:9)

= การโจมตีหรือตัวทำลายนี้ อาจเป็นผลมาจากลมร้อนตะวันออก (ปฐก.41:6)

“ลูกเห็บ” -ถูกส่งมาทำลายพืชผลและฝูงสัตว์ในอียิปต์ (อพย.9:25;สดด.78:47-48)

“แต่เจ้าทั้งหลายไม่มาหาเรา” (yet you did not turn to me) = เจ้าไม่ยอมกลับมา (อมส.4:6,8-11)

2:18      “วันที่วางรากฐานพระวิหาร” (Since the day that the foundation of the Lord’s temple) = วันที่จะได้รับการอวยพรเช่นเดียวกับวันที่วางฐานราก ในปี 536 ก.ค.ศ. (อสร.3:11) = คำเตือนไม่ให้ทำผิดพลาดซ้ำอีก

2:19      “เถาองุ่น ต้นมะเดื่อและต้นทับทิม กับต้นมะกอกเทศ” (the vine, the fig tree, the pomegranate, and the olive tree) –องุ่น มะเดื่อ และทับทิมสุกในเดือนสิงหาคม และกันยายน ส่วนมะกอกได้ผลตั้งแต่กันยายนถึงพฤศจิกายน -ก็เหมือนกับข้าวก่อนหน้านี้ คือ เก็บเกี่ยวได้น้อย (1:11)

“เราจะอวยพรเจ้า” (I will bless you) = เนื่องจากพวกเขาสนองตอบต่อคำของฮักกัย จึงได้รับการรับรองว่า พวกเขาจะได้รับความอุดมสมบูรณ์ในอนาคต (ปท. มลค.3:10)

2:20      “วันที่ 24 ของเดือนนั้น” (on the twenty-fourth day of the month) –ฮกก.1:15;2:1,10

2:21      “เขย่าท้องฟ้า และแผ่นดินโลก” (shake the heavens and the earth) –ข.5;อสย.14:16;อสค.38:19-20

2:22      “คว่ำ…คว่ำ” (overthrow …overthrow) = คำภาษาฮีบรู 2 คำ นี้ใช้กับเมืองโสโดม และโกโมราห์ ในปฐก.19:25;อมส.4:11

“รถรบ…ผู้ขับขี่…พวกม้า” (the chariots .. their riders. .. the horses) = เปรียบเทียบกับความหายนะของกองทัพของฟาโรห์ที่ทะเลแดง (อพย.15:1,4,19,21)

“ต้องล้มลงด้วยดาบของพวกพ้องของเขาเอง” (their riders shall go down, everyone by the sword of his brother) = ชะตากรรมของกองทัพมีเดียน (วนฉ.7:22), โกก (อสค.38:21), และชนชาติต่าง ๆ ที่ต่อสู้กับเยรูซาเล็มในยุคสุดท้าย (ศดย.14:13)

2:23      “ในวันนั้น” (On that day) = วันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า (อสย.2:11,17,20;10:20,27;ยอล.1:15;ศคย.2:11)

“ผู้รับใช้ของเราเอ๋ย” ( my servant) = คำศัพท์ที่ใช้กับผู้เผยพระวจนะ (อสย.20:3), ผู้นำทางการเมือง

(อสย.22:20), และพระเมสิยาห์ (อสย.41:8-9;42:1)

“แหวนตรา” (a signet ring) = ตราประทับชนิดหนึ่งซึ่งใช้เป็นดุจลงลายมือ (อสธ.8:8) ใช้สวมไว้ที่นิ้ว

(อสธ.3:16) และเช่นเดียวกับตราประทับอื่น ๆ (ปฐก.38:18) คือสามารถใช้เป็นของประกันหรือของมัดจำการจ่ายเงินให้ครบตามจำนวน

= การเอ่ยถึงการลบล้างคำสาปแช่งที่ตกแก่กษัตริย์เยโฮยาคีน ใน ยรม.22:24; ปท.วนฉ.17:2

= เศรุบบาเบลจะเป็นเครื่องรับประกันว่า พระสิริในอนาคตของพระวิหารจะเป็นที่ประจักษ์ให้เห็น

(ข้อ 6-7,9;ศคย.4:6-7)

“เราได้เลือกสรรเจ้าแล้ว” (I have chosen you) –อสย.41:8-9;42:1

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยมีโอกาสได้เห็น “ความยิ่งใหญ่” หรือ “ศักดิ์ศรี” ของสถานที่ใดบ้างที่ตอนนี้พังทลายหรือหายไปแล้ว? (แบ่งปัน)
  2. หากคุณสามารถเลือกกลับไปสู่อดีตยุคใดก็ได้ คุณอยากจะกลับไปเห็นความยิ่งใหญ่หรือความโอ่อ่าตระการของสถานที่ใด? ทำไม?
  3. คุณเคยได้รับมอบหมายให้ทำงานใดที่ยากมากสำหรับคุณบ้าง? งานอะไร? ใครมอบให้? ทำไมจึงยาก? แล้วคุณทำได้หรือสำเร็จหรือไม่? อย่างไร?
  4. คุณเคยมีประสบการณ์กับการที่พระเจ้าทรงสถิตกับคุณจนคุณไม่กลัว และสามารถทำให้งานที่ได้รับมอบหมายจาก     พระเจ้าจนสำเร็จบ้างไหม? (แบ่งปัน)
  5. คุณยอมรับได้อย่างจริงใจหรือไม่ว่า “เงินและทองหรือทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่เรามีล้วนแต่เป็นของพระเจ้า” แล้วคุณกระทำอะไรต่อทรัพย์เหล่านั้นเป็นการตอบสนองการยอมรับด้วยความเชื่อนั้นบ้าง? ต่อ  1) คริสตจักร? 2) งานของพระเจ้า?
  6. คุณเคยมีสันติสุขจากการได้เห็นพระเจ้าทรงทำกิจที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมในสถานที่ที่คุณอยู่บ้างหรือไม่? อย่างไร?
  7. ในชีวิตประจำวันของคุณ ทุกวันนี้ คุณมีชีวิตที่  1) บริสุทธิ์ หรือ 2) เป็นมลทิน มากกว่ากัน?ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?   มีอะไรที่คุณควรจะปรับเปลี่ยนแก้ไขหรือปรับปรุงบ้างไหม? อย่างไรและเมื่อไร?
  8. ในชีวิตที่ผ่านมาของคุณย้อนหลังไป 1 ปี คุณคิดว่า พระเจ้า   1) อวยพร หรือ 2) สาปแช่ง คุณ?ทำไมคุณคิดเช่นนั้น มีอะไรยืนยัน? (แบ่งปัน)
  9. คุณจะต้องทำอะไรบ้าง จึงจะมีโอกาสได้ยินพระเจ้าตรัสกับคุณว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราจะอวยพรเจ้า?

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนพระธรรมฮักกัย

พระธรรม        ฮักกัย 1:1-15

อ้างอิง             เอสรา 3:12;4:24-5:2;6:14

บทนำ             พระธรรมฮักกัย เป็นสารที่มาจากพระเจ้า ผ่านผู้เผยพระวจนะฮักกัย ในราวปี 520 ก.ค.ศ. หลังจากที่ชาวอิสราเอลเดินทางกลับมาจากเป็นเชลยในบาบิโลนแล้ว เป็นเวลานานพอควร แต่ก็ยังคงปล่อยให้พระวิหารอยู่ในสภาพปรักหักพังโดยไม่ได้บูรณะซ่อมแซมให้ดี พระเจ้าจึงตรัสผ่านฮักกัยเพื่อกระตุ้นเตือนพวกเขาให้สร้างพระวิหารขึ้นมาใหม่ และพระองค์สัญญาว่าจะประทานความรุ่งเรือง ความมั่งคั่ง และสันติภาพให้แก่ประชาชนที่ได้รับการชำระแล้ว

บทเรียน

1:1 “ณ วัน‍ที่ 1 เดือน​ที่ 6 ปี​ที่ 2 แห่ง​รัช‌กาล​พระ‍ราชา​ดา‌ริ‌อัส พระ‍วจนะ​ของ​พระ‍ยาห์‌เวห์​มา​โดย​ทาง​ผู้‍เผย‍พระ‍วจนะ​ฮัก‌กัย ถึง​เศ‌รุบ‌บา‌เบล​บุตร​เช‌อัล‌ทิ‌เอล ผู้‍ว่า‍ราช‌การ​แคว้น​ยู‌ดาห์ และ​ถึง​มหา‍ปุ‌โร‌หิต​โย‌ชู‌วา​บุตร​เย‌โฮ‌ซา‌ดัก​ว่า” 

   (In the second year of Darius the king, in the sixth month, on the first day of the month, the word of the Lord came by the hand of Haggai the prophet to Zerubbabel the son of Shealtiel, governor of Judah, and to Joshua the son of Jehozadak, the high priest: )

1:2“พระ‍ยาห์‌เวห์​จอม‍ทัพ​ตรัส​ดัง‍นี้​ว่า ประ‌ชา‍ชน​พวก‍นี้​กล่าว​ว่า ‘ยัง​ไม่​ถึง​เวลา​ที่​จะ​สร้าง​พระ‍นิ‌เวศ​ของ​พระ‍ยาห์‌เวห์’”

     (“Thus says the Lordof hosts: These people say the time has not yet come to rebuild the house of the Lord.”)

1:3 “แล้ว​พระ‍วจนะ​ของ​พระ‍ยาห์‌เวห์​จึง​มา​โดย​ผู้‍เผย‍พระ‍วจนะ​ฮัก‌กัย ว่า” 

     (Then the word of the Lord came by the hand of Haggai the prophet, )

1:4 “นี่‍เป็น​เวลา​ที่​พวก‍เจ้า​เอง​อาศัย​อยู่​ใน​บ้าน​ที่​มี​ไม้​บุ แต่​พระ‍นิ‌เวศ​นี้​ถูก​ทิ้ง​ให้​พัง‍ทลาย​หรือ? 

     (“Is it a time for you yourselves to dwell in your paneled houses, while this house lies in ruins? )

1:5 “เพราะ‍ฉะนั้น​บัด‍นี้​พระ‍ยาห์‌เวห์​จอม‍ทัพ​จึง​ตรัส​ว่า จง​พิจาร‌ณา​ความ​เป็น​อยู่​ของ​พวก‍เจ้า” 

     (Now, therefore, thus says the Lord of hosts: Consider your ways. )

1:6 “พวก‍เจ้า​หว่าน​มาก แต่​เก็บ‍เกี่ยว​น้อย พวก‍เจ้า​รับ‍ประ‌ทาน แต่​ไม่​เคย​อิ่ม พวก‍เจ้า​ดื่ม แต่​ก็​ไม่​หยุด​กระ‌หาย พวก‍เจ้า​นุ่ง‍ห่ม แต่​ก็​ไม่​อบอุ่น คน​ที่​ได้​ค่า‍จ้าง ก็​ได้​ค่า‍จ้าง​มา​ใส่​ถุง​ที่​มี​รู‍รั่ว”

     (You have sown much, and harvested little. You eat, but you never have enough; you drink, but you never have your fill. You clothe yourselves, but no one is warm. And he who earns wages does so to put them into a bag with holes.)

1:7“พระ‍ยาห์‌เวห์​จอม‍ทัพ​ตรัส​ดัง‍นี้​ว่า จง​พิจาร‌ณา‍ดู​ความ​เป็น​อยู่​ของ​พวก‍เจ้า 

   (“Thus says the Lord of hosts: Consider your ways. )

1:8 “พระ‍ยาห์‌เวห์​ตรัส​ว่า จง​ขึ้น​ไป​บน​เนิน‍เขา​และ​นำ​ไม้​มา​สร้าง​พระ‍นิ‌เวศ แล้ว​เรา​จะ​มี​ความ​พอ‍ใจ​ใน​พระ‍นิ‌เวศ​นั้นและ​เรา​จะ​ได้​รับ​เกียรติ”

   (Go up to the hills and bring wood and build the house, that I may take pleasure in it and that I may be glorified, says the Lord.)

1:9 “เจ้า​ทั้ง‍หลาย​คาด‍หวัง​มาก แต่​ดู‍ซิ​กลับ​ได้​น้อย และ​เมื่อ​พวก‍เจ้า​นำ​ผล​มา​ที่​บ้าน เรา​ก็​เป่า​มัน​ไป​เสีย เพราะ​เหตุ‍ใด? พระ‍ยาห์‌เวห์​จอม‍ทัพ​ตรัส​ว่า ก็​เพราะ​นิ‌เวศ​ของ​เรา​พัง‍ทลาย​อยู่ ส่วน​พวก‍เจ้า​ต่าง​ก็​ยุ่ง​อยู่​กับ​เรื่อง​บ้าน​ของ​ตัว​เอง” 

   (You looked for much, and behold, it came to little. And when you brought it home, I blew it away.  Why? declares the Lord of hosts. Because of my house that lies in ruins, while each of you busies himself with his own house.)

1:10 “เพราะ‍ฉะนั้น ท้อง‍ฟ้า​ที่​อยู่​เหนือ​พวก‍เจ้า​จึง​ระงับ​น้ำ‍ค้าง​ไว้ และ​แผ่น‍ดิน​ก็​ระงับ​พืช‍ผล​ของ​มัน​เสีย” 

   (Therefore the heavens above you have withheld the dew, and the earth has withheld its produce.)

1:11 “และ​เรา​ก็​เรียก​ความ​แห้ง‍แล้ง​มา​สู่​แผ่น‍ดิน​และ​เนิน‍เขา​ต่างๆ มา​สู่​ข้าว เหล้า‍องุ่น​ใหม่​และ​น้ำ‍มัน มา​สู่​ผล‍ผลิต​ต่างๆ ที่​มา​จาก​พื้น‍ดิน มา​สู่​มนุษย์​และ​สัตว์‍เลี้ยง และ​มา​สู่​ผล‍งาน​ทั้ง‍หมด​ที่​ทำ​จาก​มือ

   (And I have called for a drought on the land and the hills, on the grain, the new wine, the oil, on what the ground brings forth, on man and beast, and on all their labors.”)

1:12 “แล้ว​เศ‌รุบ‌บา‌เบล​บุตร​เช‌อัล‌ทิ‌เอล​และ​มหา‍ปุ‌โร‌หิต​โย‌ชู‌วา​บุตร​เย‌โฮ‌ซา‌ดัก​พร้อม​กับ​ประ‌ชา‍ชน​ทั้ง‍หมด​ที่​เหลือ​อยู่​ได้​เชื่อ‍ฟัง​พระ‍สุร‌เสียง​ของ​พระ‍ยาห์‌เวห์​พระ‍เจ้า​ของ​พวก‍เขา และ​ถ้อย‍คำ​ของ​ผู้‍เผย‍พระ‍วจนะ​ฮัก‌กัย เพราะ‍ว่า​พระ‍ยาห์‌เวห์​พระ‍เจ้า​ของ​เขา‍ทั้ง‍หลาย​ทรง​ใช้​ท่าน​มา และ​ประ‌ชา‍ชน​ก็​เกรง‍กลัว​เฉพาะ‍พระ‍พักตร์​พระ‍ยาห์‌เวห์” 

   (Then Zerubbabel the son of Shealtiel, and Joshua the son of Jehozadak, the high priest, with all the remnant of the people, obeyed the voice of the Lord their God, and the words of Haggai the prophet, as the Lord their God had sent him. And the people feared the Lord.)

1:13 “แล้ว​ฮัก‌กัย ทูต​ของ​พระ‍ยาห์‌เวห์​จึง​กล่าว​ถ้อย‍คำ​ของ​พระ‍องค์​แก่​ประ‌ชา‍ชน​ว่า “พระ‍ยาห์‌เวห์​ตรัส​ว่า เรา​อยู่​กับ​เจ้า​ทั้ง‍หลาย” 

   (Then Haggai, the messenger of the Lord, spoke to the people with the Lord’s message, “I am with you, declares the Lord.” )

1:14 “และ​พระ‍ยาห์‌เวห์​ทรง​เร้า​วิญ‌ญาณ‍จิต​ของ​เศ‌รุบ‌บา‌เบล​บุตร​เช‌อัล‌ทิ‌เอล ผู้‍ว่า‍ราช‌การ​แคว้น​ยู‌ดาห์ และ​ทรง​เร้า​วิญ‌ญาณ‍จิต​ของ​มหา‍ปุ‌โร‌หิต​โย‌ชู‌วา​บุตร​เย‌โฮ‌ซา‌ดัก และ​ทรง​เร้า​วิญ‌ญาณ‍จิต​ของ​ประ‌ชา‍ชน​ทั้ง‍หมด​ที่​เหลือ​อยู่ เขา‍ทั้ง‍หลาย​ก็​มา​และ​สร้าง​พระ‍นิ‌เวศ​ของ​พระ‍ยาห์‌เวห์​จอม‍ทัพ พระ‍เจ้า​ของ​เขา‍ทั้ง‍หลาย” 

     (And the Lord stirred up the spirit of Zerubbabel the son of Shealtiel, governor of Judah, and the  spirit of Joshua the son of Jehozadak, the high priest, and the spirit of all the remnant of the  people. And they came and worked on the house of the Lord of hosts, their God,)

1:15 “ณ วัน‍ที่ 24 ของ​เดือน​นั้น​คือ​เดือน​ที่ 6 ใน​ปี​ที่ 2 ของ​รัช‌กาล​พระ‍ราชา​ดา‌ริ‌อัส”

       (on the twenty-fourth day of the month, in the sixth month, in the second year of Darius the king.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

1:1       “ณ วันที่ 1 เดือนที่ 6 ปีที่ 2” (In the second year of Darius the king, in the sixth month, on the first day of the month) = ตรงกับวันที่ 29 สิงหาคม ปี 520 ก.ค.ศ.

“วันที่ 1” = วันขึ้นหนึ่งค่ำ เป็นวันซึ่ง (บางครั้ง) ผู้คนจะไปขอคำแนะนำชี้แนะจากผู้เผยพระวจนะ (2พกษ.4:22-23;อสย.1:14)

“พระราชาดาริอัส” (King Darius) = ดาริอัส ฮิสทาสเพส ผู้ปกครองเปอร์เซีย ตั้งแต่ปี 522 – 486 ก.ค.ศ.

-ดาริอัส เป็นผู้บัญชาให้จารึกข้อความอักษรคูนิฟอร์ม 3 ภาษา บน ผาเบฮิสทัน (ซึ่งอยู่ในอิหร่านในปัจจุบัน) ซึ่งทำให้เข้าใจวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์เมโสโปเตเมียโบราณ กระจ่างชัดมากขึ้น

“พระวจนะของพระยาห์เวห์” (the word of the Lord) –บางฉบับแปลว่า พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า (ข.3;2:2;ฮชย.1:1)

“ฮักกัย” (Haggai) -อสร.4:24-5:2;6:14

ชื่อ “ฮักกัย” แปลว่า “การรื่นเริง การเลี้ยงเฉลิมฉลอง”

“เศรุบาเบล” (Zerubbabel) –อสร.1:8

“บุตรเชอัลทิเอล” (son of Shealtiel) –1พศด.3:17-19,เชชบัสซาร์

“ผู้ว่าราชการ …มหาปุโรหิต” (governor ….the high priest) = ผู้นำพลเรือนและผู้นำศาสนาของชุมชนยิว ที่ได้รับการรื้อฟื้น

“โยชูวา” (Joshua) –อสร.2:2 = ได้รับการเอ่ยถึงร่วมกับเศรุบบาเบล –ในข้อ 12,14;2:2,4

“เยโฮซาดัก” (Jozadak) = ถูกเนบูคัดเนสซาร์ จับไปเป็นเชลยในบาบิโลน –1พศด.6:15

1:2       “พระยาห์เวห์จอมทัพ” (the Lord of hosts) = พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ ใช้มากกว่า 90 ครั้งในพระธรรมฮักกัย , เศคาริยาห์ และมาลาคี – ดู 1ซมอ.1:3;อสย.13:4

“ประชาชนพวกนี้” (These people) = ประชากรเหล่านี้ -2:14,

เพราะบาปพวกเขาถึงไม่ได้ถูกเรียกว่าเป็น    “ประชากรของเรา” – อสย.6:9-10;8:6,11-12;ยรม.14:10-11;อพย.17:4;ฮชย.1:9

“ยังไม่ถึงเวลา” (the time has not yet) = หลังจากที่วางรากฐานพระวิหารเสร็จแล้ว ในปี 536 ก.ค.ศ.      (ดู อสร. 3:8-10) ประชาชนก็ท้อใจและหยุดทำงานจนถึงปี 520 ก.ค.ศ. (อสร.4:2-5,24)

1:4       “บ้านที่มีไม้บุ” (paneled houses) = บ้านซึ่งกรุไม้อย่างดี ปกติพระราชวังมักกรุด้วยไม้สนสีดาห์ (1พกษ.7:3,7;ยรม.22:14-15)

1:5       “จงพิจารณาความเป็นอยู่ของพวกเจ้า” (Consider your ways) = จงใคร่ครวญให้ดี – ถูกกล่าวซ้ำ ในข้อ 17,2:15,18

1:6       “พวกเจ้าหว่านมากแต่เก็บเกี่ยวน้อย” (  You have sown much, and harvested little) = คำสาปของการไม่เชื่อฟัง (ฉธบ.28:38-39) ใน ลนต.26:20 ยังบรรยายถึงแผ่นดินที่ไม่เกิดผล เพราะถูกพระเจ้าสาป หรือพิพากษา

“ดื่ม…ไม่หยุดกระหาย” (you drink, but you never have your fill.) ปท. อสย.55:1-2 ประชาชนทำสิ่งใดก็จะไร้ผล ไม่ว่าสิ่งนั้นจะถูกต้องหรือไม่ –ปท. ฮชย.4:10-11;มคา.6:13-15

“ใส่ถุงที่มีรูรั่ว” ( put them into a bag with holes ) = การกันดารอาหารทำให้ราคาสินค้าสูงมากขึ้น

1:8       “เนินเขา…ไม้” ( Go up to the hills … wood) = คงเป็นไม้ที่มาจากภูเขาบริเวณใกล้เคียง เพื่อเพิ่มเติมไม้สนสีดาร์ที่ซื้อมาจากเลบานอนแล้ว (อสร.3:7)

“ความพึงพอใจ” (take pleasure) = ความพึงพอใจในพระนิเวศ และเครื่องบูชาที่ถวายที่พระนิเวศ (ปท.อสย.1:11)

“เราจะได้รับเกียรติ” (I may be glorified) = ชนชาติที่เชื่อฟังพระเจ้าจะนำคำสรรเสริญและการถวาย   พระเกียรติมาสู่พระเจ้า (ยรม.13:11)

1:9       “ต่างก็ยุ่งอยู่กับ”(busies himself with) = “สาละวนอยู่กับ” แปลได้ตรงตัวว่า “วิ่งไปหา”

1:10     “น้ำค้าง” (the dew) = ปกติมักมีมากในช่วงฤดูเพาะปลูก และมีค่าเทียบเท่ากับฝน (2ซมอ.1:21;  1พกษ.17:1)

1:11     “สู่แผ่นดินและเนินเขา” (the land and the hills) = ป่าเขา มีการเพาะปลูกบนภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบบขั้นบันได (สดด.104:13-15;อสย.7:25;ยอล.3:18)

“ข้าว เหล้าองุ่นใหม่และน้ำมัน” (the grain, the new wine, the oil) =พืชหลัก 3 ชนิดของแผ่นดินมักถูกเอ่ยถึงในบริบทของพระพรหรือคำสาปแช่ง (ฉธบ.7:13;ยอล.1:10)

“น้ำมัน” = น้ำมันมะกอก ถูกนำมาใช้เป็นอาหารและยา

1:12     “ประชาชนทั้งหมดเหลืออยู่” (all the remnant of the people) –อสย.1:9

“ได้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์” = เชื่อฟังพระดำรัสของพระยาห์เวห์

= แสดงถึงความเคารพยำเกรงและเชื่อฟัง –ปฐก.20:11;ฉธบ.31:12-13;มลค.1:6;3:5,16

1:13     “ทูตของพระยาห์เวห์” ( the messenger of the Lord) = ผู้สื่อสาร เป็นอีกชื่อหนึ่งสำหรับผู้เผยพระวจนะ

(2พศด.36:15-16;อสย.42:19) หรือปุโรหิต (มลค.2:7)

“เราอยู่กับเจ้าทั้งหลาย” (I am with you  ) = บ่งบอกว่าจะประสบความสำเร็จแน่นอน (2:4;ปฐก.26:3; กดว.14:9)

1:14     “เร้าวิญญาณจิต” (the spirit) = ดลใจ (อสร.1:5)

-พระเจ้าดลใจ(เร้าใจ) คนกลุ่มเดียวกันนี้ให้กลับสู่แผ่นดินมาตุภูมิและสร้างพระวิหารขึ้นใหม่

1:15     “ณ วันที่ 24 ของเดือนนั้น คือ เดือนที่ 6 ในปีที่ 2” (on the twenty-fourth day of the month, in the sixth month, in the second year) = วันที่ 21 กันยายน ปี 520 ก.ค.ศ.

คำถามนำอภิปราย

  1. ชื่อของ “ฮักกัย” หมายความว่าอะไร? ท่านเกิดที่ไหน ? และมีใครเป็นผู้เผยพระวจนะร่วมสมัยด้วย?
  2. หัวข้อหลักของพระธรรมฮักกัยคืออะไร? ทำไมวิหารหรือการสร้างพระวิหารจึงเป็นประเด็นสำคัญในชีวิตของอิสราเอล? (2ปต.2:5)
  3. ทำไมพระธรรมฮักกัยจึงได้รับการเรียกขานว่าเป็น “ผู้เผยพระวจนะ ผู้ประสบความสำเร็จ” และสิ่งที่ท่านเขียนถูกเรียกว่า “หนังสือแห่งการหนุนใจ”?
  4. พระธรรมตอนนี้ สอนบทเรียนคุณเกี่ยวกับเรื่อง “การผัดวันประกันพรุ่ง” ไว้อย่างไรบ้าง?
  5. คุณคิดว่า สิ่งที่มีความสำคัญลำดับแรก ๆ ในชีวิตของคริสเตียนคืออะไร? (มัทธิว 6:3) และคุณกำลังปฏิบัติตามนั้นอยู่หรือไม่? ทำไม?
  6. ทำไมการเชื่อฟังพระเจ้า จึงเป็นกุญแจสำคัญของการดำรงอยู่ในน้ำพระทัยของพระเจ้า? คุณคิดว่า คุณสอบผ่านในเรื่องนี้แล้วหรือไม่? ทำไม?
  7. คำตรัสของพระเจ้าที่ว่า “เราอยู่กับเจ้าทั้งหลาย” มีความหมายอะไรต่อชีวิตของคุณบ้าง? อย่างไร?(อพย.3:12;ยรม.1:8;มธ.28:20)ในวันนี้คริสตจักรไทยจำเป็นต้องได้รับการกระตุ้นเตือนในเรื่องใด?   ทำไม?
  1. ข้อพระธรรมในฮักกัย 1:9 “เจ้า​ทั้ง‍หลาย​คาด‍หวัง​มาก แต่​ดู‍ซิ​กลับ​ได้​น้อย และ​เมื่อ​พวก‍เจ้า​นำ​ผล​มา​ที่​บ้าน เรา​ก็​เป่า​มัน​ไป​เสีย เพราะ​เหตุ‍ใด? พระ‍ยาห์‌เวห์​จอม‍ทัพ​ตรัส​ว่า ก็​เพราะ​นิ‌เวศ​ของ​เรา​พัง‍ทลาย​อยู่ ส่วน​พวก‍เจ้า​ต่าง​ก็​ยุ่ง​อยู่​กับ​เรื่อง​บ้าน​ของ​ตัว​เอง” เรื่องนี้สะกิดใจคุณในเรื่องอะไรบ้าง? อย่างไร

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนพระธรรมยูดา (1)

พระธรรม        ยูดา 1:1-25

อ้างอิง               มธ.13:55;มก.6:3;2ปต.3:3;อพย.12:51;ศฟย.3:2;กดว.14:29-30;16:1-35;22:1-35;ฉธบ.34:6; ปฐก.19:1-24;4:3-8;5:18,21-24;ดนล.10:13,21,12:1;วว.12:7

บทนำ

ยูดา (ภาษาฮีบรู,ยูดาห์,ภาษากรีก, ยูดาส) ที่เขียนพระธรรมตอนนี้ น่าจะหมายถึง ยูดาสน้องชายขององค์พระเยซูคริสต์ ยูดาสเขียนเรื่องความรอดและเตือนให้ระวังและคัดค้านคนไร้ศีลธรรมที่พลิกผันพระคุณของพระเจ้า โดยนำคำสอนที่ปิดเบือนความจริงเข้ามาในคริสตจักร

บทเรียน

1:1        “ยูดาส ผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์และเป็นน้องชายของยากอบ เรียน คนทั้งหลายที่ได้รับการทรงเรียก ผู้เป็นที่รักของพระเจ้าพระบิดา และได้รับการคุ้มครองรักษาไว้เพื่อพระเยซูคริสต์

(Jude, a servant of Jesus Christ and brother of James, To those who are called, beloved in God the Father and kept for Jesus Christ)

1:2        “ขอพระเมตตา สันติสุข และความรักจงเพิ่มพูนแก่ท่านทั้งหลายยิ่งๆ ขึ้นเถิด

(May mercy, peace, and love be multiplied to you.)

1:3        “ท่านที่รักทั้งหลาย ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเขียนถึงท่านเรื่องความรอดที่เรามีร่วมกัน แต่ข้าพเจ้าเห็น ว่าจำเป็นจะ

ต้องเขียนวิงวอนท่านให้ต่อสู้เพื่อหลักความเชื่อที่ได้ทรงมอบให้กับพวกธรรมิกชนครั้งเดียวสำหรับตลอดไป”

(Beloved, although I was very eager to write to you about our common salvation, I found it necessary to write appealing to you to contend for the faith that was once for all delivered to the saints. )

1:4        “เพราะว่าบางคนได้แอบแฝงเข้ามาในหมู่ท่าน การลงโทษคนพวกนี้มีเขียนไว้นานแล้ว พวกเขาเป็นคน อธรรมที่ถือเอาพระคุณของพระเจ้าของเรามาบิดเบือนเป็นช่องทางทำความชั่วช้าลามก และได้ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นเจ้านายและองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแต่องค์เดียว”

(For certain people have crept in unnoticed who long ago were designated for this condemnation, ungodly people, who pervert the grace of our God into sensuality and deny our only Master and Lord, Jesus Christ.)

1:5        “ถึงพวกท่านจะรู้ข้อความเหล่านี้หมดแล้ว ข้าพเจ้าก็ปรารถนาให้ท่านระลึกว่าแม้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วย ชนชาติหนึ่งให้รอดพ้นจากแผ่นดินอียิปต์ แต่ภายหลังก็ทรงทำลายคนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อ”

(Now I want to remind you, although you once fully knew it, that Jesus, who saved a people out of the land of Egypt, afterward destroyed those who did not believe. )

1:6        “และพวกทูตสวรรค์ที่ไม่รักษาอำนาจครอบครองของตนเอง แต่ละทิ้งถิ่นฐานของตน พระองค์ก็ทรงจองจำ ไว้ด้วยโซ่อันไม่รู้จักสลายในที่มืดจนกว่าจะถึงเวลาพิพากษาในวันยิ่งใหญ่นั้น”

(And the angels who did not stay within their own position of authority, but left their proper dwelling, he has kept in eternal chains under gloomy darkness until the judgment of the great day)

1:7        “สำหรับเมืองโสโดม เมืองโกโมราห์ และเมืองต่างๆ ที่อยู่รอบๆ นั้นก็เช่นเดียวกัน ได้ประพฤติผิดศีลธรรม ทางเพศและมัวเมาในกามวิตถาร จึงเป็นตัวอย่างของการรับโทษในไฟนิรันดร์”

(just as Sodom and Gomorrah and the surrounding cities, which likewise indulged in sexual immorality and pursued unnatural desire, serve as an example by undergoing a punishment of eternal fire.)

1:8        “ในทำนองเดียวกันพวกนักเพ้อฝันเหล่านี้ทำให้ตัวเป็นมลทิน และปฏิเสธสิทธิอำนาจขององค์พระผู้เป็นเจ้า และพูดลบหลู่เทวทูตผู้มีศักดิ์ศรี”

(Yet in like manner these people also, relying on their dreams, defile the flesh, reject authority, and blaspheme the glorious ones. )

1:9        “แม้แต่มีคาเอลหัวหน้าทูตสวรรค์ เมื่อโต้เถียงกับมารเรื่องศพของโมเสส ท่านเองก็ยังไม่บังอาจพูดลบหลู่ มารเลย แต่พูดเพียงว่า “ให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดุว่าเจ้าเถิด” 

(But when the archangel Michael, contending with the devil, was disputing about the body of Moses, he did not presume to pronounce a blasphemous judgment, but said, “The Lord rebuke you.” )

1:10      “แต่ว่าคนเหล่านี้พูดลบหลู่สิ่งที่เขาเองไม่เข้าใจ และดังนั้นโดยสิ่งที่พวกเขารู้ตามสัญชาตญาณ อย่างสัตว์ที่ ไร้เหตุผล เขาจึงถูกทำลาย”

(But these people blaspheme all that they do not understand, and they are destroyed by all that they, like unreasoning animals, understand instinctively. )

1:11      “วิบัติมีแก่พวกเขา เพราะเขาดำเนินตามทางของคาอิน และปล่อยตัวทำตามความผิดพลาดของบาลาอัม เพราะเห็นแก่ได้ ฉะนั้นจึงพินาศไปอย่างกบฏของโคราห์”

(Woe to them! For they walked in the way of Cain and abandoned themselves for the sake of gain to Balaam’s error and perished in Korah’s rebellion. )

1:12      “คนเหล่านี้เป็นพวกที่ทำให้งานเลี้ยงเชื่อมความรักสามัคคีของพวกท่านเสื่อมเสียไป ขณะที่พวกเขาร่วมกิน เลี้ยงกับพวกท่านโดยปราศจากความยำเกรง เขาเป็นผู้เลี้ยงแกะที่เลี้ยงแต่ตัวเอง เป็นเมฆที่ไม่มีน้ำที่ถูกพัดลอยไปตามลม เป็นต้นไม้ที่ไร้ผลในฤดูที่ออกผลและตายมาสองหนแล้วเพราะถูกถอนออกทั้งราก”

(These are hidden reefs at your love feasts, as they feast with you without fear, shepherds feeding themselves; waterless clouds, swept along by winds; fruitless trees in late autumn, twice dead, uprooted; )

1:13      “เป็นคลื่นรุนแรงในทะเลที่ซัดฟองแห่งความบัดสีของตนเองขึ้นมา เป็นดวงดาวที่พลัดออกไปนอกวงโคจร ความมืดมิดถูกสงวนไว้สำหรับพวกเขาตลอดกาล”

(wild waves of the sea, casting up the foam of their own shame; wandering stars, for whom the gloom of utter darkness has been reserved forever.)

1:14      “คนเหล่านี้แหละที่เอโนคซึ่งเป็นคนชั่วอายุที่เจ็ดนับจากอาดัมพยากรณ์ไว้ว่า นี่แน่ะ องค์พระผู้เป็นเจ้ากำลัง เสด็จมาพร้อมกับผู้บริสุทธิ์ของพระองค์นับเป็นหมื่นๆ”

(It was also about these that Enoch, the seventh from Adam, prophesied, saying, “Behold, the Lord comes with ten thousands of his holy ones, )

1:15      “เพื่อทำการพิพากษาทุกคน และเพื่อทำให้คนอธรรมทุกคนสำนึกตัวถึงการอธรรมทุกอย่าง ที่พวกเขาทำไป ตามวิถีทางอธรรมนั้น และสำนึกตัวถึงความหยาบช้าทั้งหมด ที่คนบาปชั่วได้กล่าวร้ายต่อพระองค์”

(to execute judgment on all and to convict all the ungodly of all their deeds of ungodliness that they have committed in such an ungodly way, and of all the harsh things that ungodly sinners have spoken against him.” )

1:16      “คนเหล่านี้เป็นพวกช่างบ่นช่างติ ดำเนินชีวิตตามความปรารถนาชั่วของตัวเอง และปากของพวกเขาคุยโว โอ้อวด และยกยอผู้อื่นเพื่อหวังประโยชน์ของตน”

(These are grumblers, malcontents, following their own sinful desires; they are loud-mouthed boasters, showing favoritism to gain advantage.)

1:17      “แต่ว่าท่านที่รักทั้งหลาย พึงระลึกถึงคำพยากรณ์ของพวกอัครทูตของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”

(But you must remember, beloved, the predictions of the apostles of our Lord Jesus Christ. )

1:18      “ท่านเหล่านั้นบอกท่านว่า “ในวาระสุดท้ายจะมีคนที่ชอบเยาะเย้ยเกิดขึ้น ที่ดำเนินชีวิตตามความปรารถนา ชั่วของตัวเอง”

(They said to you, “In the last time there will be scoffers, following their own ungodly passions.” )

1:19      “คนเหล่านี้คือคนที่ก่อให้เกิดความแตกแยก หมกมุ่นอยู่ในโลกียวิสัย และปราศจากพระวิญญาณ”

            (It is these who cause divisions, worldly people, devoid of the Spirit. )

1:20      “แต่ท่านที่รักทั้งหลาย จงสร้างตัวของท่านขึ้นบนความเชื่ออันบริสุทธิ์ที่สุดของท่าน และจงอธิษฐานโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์”

(But you, beloved, building yourselves up in your most holy faith and praying in the Holy Spirit, )

1:21      “จงรักษาตัวให้อยู่ในความรักของพระเจ้าขณะคอยให้พระเมตตาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรานำท่านไปสู่ชีวิตนิรันดร์”

         (keep yourselves in the love of God, waiting for the mercy of our Lord Jesus Christ that leads to eternal life.) 

1:22      “และจงมีใจเมตตาคนที่ยังสงสัยอยู่”

(And have mercy on those who doubt;)

1:23      “จงช่วยคนให้รอดด้วยการฉุดเขาออกจากไฟ และจงเมตตาผู้อื่นด้วยความยำเกรงพระเจ้า และจงรังเกียจ แม้แต่เสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนด้วยกายที่เป็นมลทิน”

(save others by snatching them out of the fire; to others show mercy with fear, hating even the garment stained by the flesh.)

1:24      “แด่พระองค์ผู้ทรงสามารถปกป้องพวกท่านไม่ให้สะดุดล้ม และทรงตั้งพวกท่านอยู่เบื้องหน้าพระสิริของ พระองค์ โดยปราศจากตำหนิและมีความร่าเริงยินดี”

(Now to him who is able to keep you from stumbling and to present you blameless before the presence of his glory with great joy, )

1:25      “ขอพระเกียรติ ความยิ่งใหญ่ อานุภาพ และสิทธิอำนาจ จงมีแด่พระเจ้าองค์เดียว ผู้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ของเรา โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ทั้งในอดีตกาล ปัจจุบันกาล และในกาลต่อๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน”

(to the only God, our Savior, through Jesus Christ our Lord, be glory, majesty, dominion, and authority, before all time and now and forever. Amen.)

ข้อมูลมีประโยชน์

1:1 “ยูดาส” (Jude) –มียูดาส 3 คน ในพระคัมภีร์ใหม่ คือ 1. ยูดาส อิสคาริโอท สาวกของพระเยซูคริสต์ ที่ตายตั้งแต่ก่อน

พระเยซูถูกตรึง     2. ยูดาส ผู้เป็น 1 ในอัครทูต 12 คน (ลก.6:16;กจ.1:13) 3. ยูดาส น้องชายขององค์พระเยซู

และยากอบ (มธ.13:55;มก.6:3) เชื่อกันว่า ผู้เขียนจดหมายยูดานี้คือ ยูดาสน้องชายของพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นน้อง

ชายของยากอบ (ข.1)

     “ได้รับการทรงเรียก” (who are called) –รม.8:28 การเรียกของพระเจ้าจะทำให้เกิดการตอบสนองในแง่บวกอยู่เสมอ

     คือเกิดผลสัมฤทธิ์ตามมา;   “ผู้เป็นที่รักของพระเจ้าพระบิดา” (beloved in God the Father)–ยน.3:16;รม.8:28-39

          “ได้รับการคุ้มครองรักษาไว้เพื่อพระเยซูคริสต์” (kept for Jesus Christ) = ได้รับการปกป้องโดยพระเยซูคริสต์ผู้

ผดุงทั้งจักรวาลไว้ด้วยกัน (คส.1:17;ฮบ.1:3) พระองค์ทำให้ผู้เชื่อ(บุตรของพระเจ้า) มั่นคงในความเชื่อและสามารถ

เข้าถึงมรดกนิรันดร์ของพวกเขา (ยน.6:37-40;17:11-12;1ปต.1:3-5)

1:2 “พระเมตตา” (mercy) –ปฐก.19:16;รม.9:22-23;ทต.3:5

     “สันติสุข” (peace) –รม.1:7 = การอยู่ดีมีสุข และปลอดภัย โดยมีพระเจ้าเป็นผู้จัดเตรียมให้ เฉพาะผู้ที่พักสงบอยู่กับ

     พระองค์ (รม.5:1;ฟป.4:7;กท.1:3;อฟ.1:2;ยน.14:27;20:19)

1:3 “ท่านที่รักทั้งหลาย” (Beloved, although) = บางฉบับแปลว่า “เพื่อนที่รัก” (ข.17,20) –2ปต.3:1

“ความรอดที่เรามีร่วมกัน” (about our common salvation) = ความตั้งใจเดิมของยูดาสคือ เขียนเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับหลักความเชื่อเรื่องความรอด ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องบาปโทษของบาป ความรัก และพระคุณของพระเจ้า รวมทั้งเรื่องการอภัยโทษบาป วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงหลังจากที่กลับใจและบังเกิดใหม่

          “หลักความเชื่อ” (the faith) = ข่าวประเสริฐและสิ่งที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นความจริงซึ่งผู้เชื่อทุกแห่งหนยึดถือ (1ทธ.4:6)

= หลักข้อเชื่อแห่งความจริงนี้กำลังถูกโจมตีและจำเป็นต้องได้รับการปกป้อง

“ทรงมอบให้…ครั้งเดียวสำหรับตลอดไป” (that was once for all delivered) = เป็นความจริงที่มีความสมบูรณ์ สิ้นสุดอยู่ในตัว แล้วไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ อีก

          “พวกธรรมิกชน” (to the saints) = บางฉบับแปลว่า “ประชากรของพระเจ้า” –รม.1:7;อฟ.1:1

1:4 “เพราะว่า” (For certain) บางฉบับแปลว่า “เนื่องจาก” = บอกเหตุผลที่ยูดาสรู้สึกว่าท่านถูกกดดันให้เปลี่ยนหัวข้อ

ในจดหมาย

          “การลงโทษคนพวกนี้มีเขียนไว้นานแล้ว” (people have crept in unnoticed who long ago) = คำพิพากษา

คนพวกนี้ได้ถูกบันทึกไว้นาน แล้ว

= อาจหมายถึง การกล่าวโทษคนอธรรมในพระคัมภีร์เดิมหรือหมายถึง คำพยากรณ์ของเอโนค (ข.14-15) หรือ

หมายถึง การพิพากษาจะตกลงมายังพวกเขาตั้งนานมาแล้ว เนื่องจากบาปที่พวกเขากระทำ (2ปต.2:3)

          “คนอธรรม” (ungodly people) = คนที่ไม่ยำเกรงพระเจ้า –ข.15,18

          “ถือเอาพระคุณของพระเจ้าของเรามาบิดเบือนเป็นช่องทางทำความชั่วลามก” (who pervert the grace of

our God into sensuality            ) = บางฉบับแปลว่า “พลิกผันพระคุณของพระองค์มาเป็นใบเบิกทางในทางทำผิด

          ศีลธรรม” = พวกเขาทึกทักเอาเองว่า การที่พวกเขารอดโดยพระคุณนั้น ทำให้พวกเขามีสิทธิ์เสรีที่จะทำบาปได้โดย

ไม่ยั้งมือยั้งใจ เพราะพระเจ้าทรงพระคุณและจะให้อภัยบาปทั้งสิ้น หรือยิ่งเราทำบาปมากเท่าไรก็ยิ่งทำให้พระคุณ

ของพระเจ้ายิ่งใหญ่มากขึ้นเท่านั้น (ปท. รม.5:20;6:1)

          “ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นเจ้านายและองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแต่องค์เดียว” (     deny our only

Master and Lord, Jesus Christ.            ) = คำว่า “เจ้านาย” นั้นบางฉบับแปลว่า “องค์เจ้าชีวิต” ที่หมายถึง ผู้มีอำนาจไร้

ขีดจำกัด หรือมีอำนาจปกครองแบบเบ็ดเสร็จ

-ในโครงสร้างภาษากรีก คำว่า “เจ้านาย” (เจ้าชีวิต) นี้กับคำว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า” หมายถึง บุคคลคนเดียวกัน

ซึ่งหมายถึงพระคริสต์ (ปท. 2ปต.2:1)

1:5 “ถึงพวกท่านจะรู้ข้อความเหล่านี้หมดแล้ว” (although you once fully knew it) –1ยน.2:20

     “ปรารถนาให้ท่านระลึกว่า” (I want to remind you) = อยากเตือนให้ระลึกว่า –2ปต.1:12-13;3:1-2

          “แต่ภายหลังก็ทรงทำลายคนเหล่านี้ที่ไม่เชื่อ”(afterward destroyed those who did not believe)=พวกที่ไม่เชื่อว่า

          พระเจ้าจะประทานดินแดนคานาอันให้เป็นเหตุให้พวกเขาที่เป็นผู้ใหญ่ล้มตายในถิ่นทุรกันดารและไม่ได้เข้าสู่ดินแดน

ตามที่พระเจ้าทรงสัญญาที่จะให้แก่พวกเขา -กดว.14:29-30;ฉธบ.1:32-36;2:15;สดด.106:26;1คร.10:1-5;ฮบ.3:16-19

1:6 “พวกทูตสวรรค์” (the angels) –2ปต.2:4

         “ไม่รักษาอำนาจครอบครองของตนเอง”(did not stay within their own position of authority)= พระเจ้ามอบหมาย

ให้ทูตสวรรค์แต่ละองค์มีความรับผิดชอบ และสิทธิอำนาจในพื้นที่ต่าง ๆ กันไป (ดนล.10:20-21 – กล่าวถึงเทพแต่ละองค์อาจเป็นทูตที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในแต่ละประเทศ)

-ทูตสวรรค์บางองค์ไม่ยอมทำงานตามที่ได้รับมอบหมายให้ทำ จึงกลายเป็นมารกับพวกสมุนของมัน–ปท.มธ.25:41)

         “แต่ละทิ้งถิ่นฐานของตน” (but left their proper dwelling) = ทูตสวรรค์เหล่านั้นได้รับการมอบหมายให้อยู่

ประจำท้องถิ่นเฉพาะ และมีหน้าที่รับผิดชอบ -บางคนตีความว่า พวกทูตสวรรค์เหล่านี้จะสวรรค์ลงมาสู่โลก (2ปต.2:4)

          “ทรงจองจำไว้ด้วยโซ่อันไม่รู้จักสลายในที่มืด จนกว่าจะถึงเวลาพิพากษาในวันยิ่งใหญ่นั้น” (he has kept in

eternal chains under gloomy darkness until the judgment of the great day) -2ปต.2:4,9

“วันยิ่งใหญ่นั้น” = วันพิพากษาสุดท้าย

1:7 “เมืองโสโดม เมืองโกโมราห์ และเมืองต่างที่อยู่รอบ ๆ นั้น” (Sodom and Gomorrah and the surrounding

cities) = เมืองเหล่านี้จะถูกพิพากษาลงโทษ เพราะกระทำการอธรรม –มธ.10:15;ฉธบ.29:23

“ประพฤติผิดศีลธรรมทางเพศและมัวเมาในกามวิตถาร” (in sexual immorality and pursued unnatural

desire) = บางฉบันแปลว่า “การวิตถาร” (กามวิปริต) หรือ “รักร่วมเพศ” (ปฐก.19:5)

“การรับโทษในไฟนิรันดร์” (a punishment of eternal fire) = พระเจ้าลงโทษ โสโดมและโกโมราห์ โดยเท

“ไฟกำมะถัน” (ปฐก.19:2-4) เป็นการบ่งบอกถึงไฟนิรันดร์ที่กำลังจะมาถึง

     1:5-7   = 3 ตัวอย่างการพิพากษาของพระเจ้า

1:8 “พวกนักเพ้อฝันเหล่านี้” (these people … relying on their dreams) = คนอธรรมที่อาจ

1) อ้างว่าพวกเขาได้รับการสำแดงพิเศษจากพระเจ้า     2) คลั่งไคล้แต่ในสิ่งที่ไร้แก่นสารที่ห่างไกลจากความจริง

“ทำให้ตัวเป็นมลทิน”(defile the flesh)=ปล่อยให้ตัวแปดเปื้อน โดยการรักร่วมเพศ ในเมืองทั้ง 2 (ข้อ 4,7;1คร.6:9,18)

          “ปฏิเสธสิทธิอำนาจขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (reject authority) 2ปต.2:10

“พูดลบหลู่เทวทูตผู้มีศักดิ์ศรี” (blaspheme the glorious ones) = บางฉบับแปลว่า กล่าวสบประมาทเทพเบื้องบน

–2ปต.2:20

1:9 “มีคาเอล” (Michael) –ดนล.10:13;21:1;วว.12:7

          “หัวหน้าทูตสวรรค์” (the archangel) = บางฉบับแปลว่า “เทพบดี” -1ธส.4:16

“โต้เถียงกับมารเรื่องศพของโมเสส” (contending with the devil, was disputing about the body of Moses)

     –ฉธบ.34:6

“ให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดุว่าเจ้าเถิด”   = บางฉบับแปลว่า ให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดการกับเจ้า -ศคย.3:2

-บางคนตีความว่า ยูดาสอ้างอิงงานเขียนชื่อว่า พันธสัญญาของโมเสส (ราวศตวรรษแรก) เหมือนที่ อ.เปาโลได้อ้างถึง

เช่นกัน อาทิ อาราทัส (กจ.17:28) ; เมนันเจอร์ (1คร.15:33) และเอปิเมนิเดส (ทต.1:12) เพื่อใช้ยืนยันให้ความ

กระจ่างหรือเป็นตัวอย่างประกอบ

1:10 “สิ่งที่เขาเองไม่เข้าใจ…อย่างสัตว์ที่ไร้เหตุผล” (that they do not understand… like unreasoning animals,

understand instinctively.) –2ปต.2:12;1คร.2:14

1:11“วิบัติมีแก่พวกเขา” (Woe to them) = คำเตือนถึงการพิพากษากำลังจะมาถึง (มธ. 23:13;15-16,23,25,27,29

“คาอิน…บาลาอัม…โคราห์” (Cain … Balaam’s … Korah’s ) = ตัวอย่างคน 3 คนในพระคัมภีร์เดิม ที่ยูดาสเตือน

ผู้อื่นให้อย่ากระทำตามที่ตามที่พวกเขากระทำ

“ตามแนวทางของคาอิน” (walked in the way of Cain) = ทางแห่งความเห็นแก่ตัวเองและทางแห่งความโลภ

–ปฐก.4:3-4 -และเป็นทางแห่งความเกลียดชังและการฆาตกรรม (1ยน.3:12)

ความผิดพลาดของบาลาอัม” (abandoned themselves for the sake of gain to Balaam’s error) = บาลาอัม มีความโลภอย่างรุนแรง (2ปต.2:15)

“กบฏของโคราห์” (perished in Korah’s rebellion) = การฮึกเหิมลุกขึ้นปลุกระดมคนให้ต่อต้านผู้นำที่พระเจ้า

แต่งตั้ง (กดว.16) -ยูดาสอาจกำลังพูดว่า ผู้สอนผิดเท็จสอนผิดในสมัยของท่าน กำลังกบฏต่อผู้นำของคริสตจักร

(ปท. 3ยน.9-10)

1:12-13 -ใน 2 ข้อนี้ยูดาสให้ภาพเปรียบเทียบ 6 ภาพ

  1. ความด่างพร้อยในงานเลี้ยงแห่งความรัก – 2ปต.2:13
  2. คนเลี้ยงแกะที่เลี้ยงแต่ตัวเอง แทนที่จะเลี้ยงแกะในการดูแลรับผิดชอบ –อสค .34:8-10
  3. เมฆที่ไร้ฝน=ผู้สอนเทียมเท็จ สัญญาว่าจะให้ฝนแก่แผ่นดินที่แห้งผาก สัญญาว่าจะให้ความจุใจ แต่สุดท้ายไม่มีอะไรเลย
  4. “ต้นไม้ที่ไม่ให้ผลตามฤดูกาล” = ถูกถอนรากถอนโคนตายซ้ำสอง ทั้ง ๆ ที่ต้นไม้ควรมีผลดกตามต้น
  5. “คลื่นคะนองในทะเล” = คลื่นที่ถูกลมซัด เอาสิ่งปฏิกูลเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ ดุจคนนอกศาสนาก็ชอบกวนสิ่งโสโครก

ทางศีลธรรมขึ้นมา (อสย.57:20)

  1. “ดาวที่เตลิดออกจากวงโคจร” = ดุจดาวตกที่ปรากฏขึ้นใสท้องฟ้าเพียงไม่นานแล้ว ก็หายลับไปในความมืดชั่ว

นิรันดร์ ผู้สอนเท็จก็ต้องพบจุดจบในนรกมืดมิดเช่นกัน

1:12 “ทำให้งานเลี้ยงเชื่อมความรักสามัคคีของท่านเสื่อมเสียไป” (    your love feasts, as they feast with you

without fear ) = บางฉบับแปลว่า เป็นรอยด่างพร้อยในงานเลี้ยงแห่งความรักของท่าน -2ปต.2:13;1คร.11:20-22

           “เป็นผู้เลี้ยงแกะที่เลี้ยงแต่ตัวเอง” (shepherds feeding themselves) –อสค.34:2,8,10

           “เป็นเมฆที่ไม่มีน้ำ” (waterless clouds            ) = เมฆที่ไร้ฝน -สภษ.25:14;2ปต.2:17

           “ที่ถูกมัดลอยไปตามลม” (swept along by winds) –อฟ.4:14

           “ถูกถอนออกทั้งราก” ( fruitless trees in late autumn) = ถูกถอนรากถอนโคน –มธ.15:13

1:13 “เป็นคลื่นรุนแรงในทะเล” (wild waves of the sea) = เป็นคลื่นคะนองในทะเล –อสน.57:20

           “ที่ซัดฟองแห่งความบัดสีของตนเองขึ้นมา” (casting up the foam of their own shame            ) = ซัดเอาความน่า

อับอายของตนเป็นฟองฟู่ -ฟป.3:19

     “ความมืดมิดถูกสงวนไว้สำหรับพวกเขาตลอดกาล” (darkness has been reserved forever) –2ปต.2:17

1:14 “เอโนค ซึ่งเป็นคนชั่วอายุที่เจ็ดนับจากอาดัม” (Enoch, the seventh from Adam) = หมายความว่า เอโนค

เป็นเชื้อสายของเสท (ปฐก.5:18-24;1พศด.1:1-3) ไม่ใช่ตามเชื้อสายของคาอิน (ปฐก.4:17)

-ถ้านับอาดัมเป็นรุ่นที่ 1 เอโนคก็เป็นรุ่นที่ 7 ยูดาสยกข้อความมาจากหนังสือเอโนค (ในสมัยศตวรรษแรกก่อน ค.ศ.)

ที่ได้รับการยอมรับกันมาก (ไม่ว่าจะได้รับการดลใจมากหรือไม่?)

“องค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังเสด็จมา” (the Lord comes) = การเสด็จมาครั้งที่ 2 ของพระคริสต์ และจะพิพากษา

   คนอธรรม (2ธส.1:6-7)

           “ผู้บริสุทธิ์ของพระองค์” (his holy ones) = น่าจะหมายถึงทูตสวรรค์ (ดนล.4:13-17;2ธส.1:7) แต่มีบางคนเชื่อ

ว่า เป็นผู้ชอบธรรมที่พระเจ้ารับขึ้นไปพร้อมกับองค์พระคริสต์เจ้า (1ธส.3:13)

1:15 “อธรรม…อธรรม…อธรรม” (ungodly … ungodliness .. ungodly) = ยูดาเน้นให้เห็นโทษของผู้สอนผิดในข้อ 4

ที่จะนำการพิพากษาที่น่ากลัวมาให้แก่พวกเขา

1:16 “คนเหล่านี้” (These are grumblers)= คนอธรรมที่เอ่ยถึงครั้งแรกในข้อ 4 และเอ่ยถึงต่อมาเรื่อย ๆ ว่าเป็น “คน

           เหล่านี้”(ข.10,12,14,19,ปท. ข.8)=พวกเขาเป็นผู้สอนผิดเพี้ยนที่ปล่อยตัวทำบาปและพลิกผันพระคุณของพระเจ้า

1:17 “พึงระลึกคำพยากรณ์ของพวกอัครทูตของพระเยซูคริสต์” (the predictions of the apostles of our Lord

Jesus Christ.) = ยูดาส กล่าวว่า การมาของพวกคนอธรรมเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดอะไร เพราะว่าอัครทูต

ได้ทำนายไว้แก่นแล้ว (กจ. 20:29;1ทธ.4:1;2ทธ.3:1-5;2ปต.2:1-3;3:2-3)

1:18 “ท่านเหล่านั้นบอกท่านว่า” (They said to you ) = คำกรีกที่ใช้ตอนนี้บ่งบอกว่า พวกอัครทูตได้เตือนไว้แล้ว

เตือนเล่าว่า คนเช่นนั้นจะมา; “วาระสุดท้าย” (In the last time) –ยก.5:3

“คนที่ชอบเยาะเย้ย” (there will be scoffers) 2ปต.3:3 และยูดาส พรรณนาว่า คนที่ชอบเยาะเย้ยมีนิสัยชอบทำ

ตามตัณหาอันเห็นแก่ตัวของตน

1:19 “คนเหล่านี้ คือ คนที่ก่อให้เกิดความแตกแยก” (It is these who cause divisions) = พวกนี้สร้างความ

แตกแยกขึ้นในคริสตจักร ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกสอนผิด ปฏิบัติกันเป็นปกติ แต่ก็อาจแปลได้อีกว่า “คนเหล่านี้แบ่ง

          แยกพวกท่านออกจากกัน” = อาจหมายถึงการที่พวกนอสติกแบ่งคนออกเป็นฝ่ายจิตวิญญาณ (พวกนอสติก)

และฝ่ายโลก (คนที่ไม่มีความหวัง)

           “หมกมุ่นอยู่ในโลกียวิสัย” ( worldly people) -บางฉบับแปลว่า “ทำตามสัญชาตญาณเท่านั้น”

= คำเสียดสีที่ยูดาสพรรณนาถึงพวกสอนผิด(อย่างพวกนอสติก) คิดว่าตัวเองอยู่ฝ่ายพระวิญญาณ และถือว่าคนอื่น

เป็นพวกอยู่ในโลกีย์ คือไม่มีพระวิญญาณ แต่กลายเป็นว่า พวกเขาเองต่างหากที่ไม่มีพระวิญญาณ (และไม่รอด

อย่างแน่นอน) –รม.8:9

1:20 “ท่านที่รักทั้งหลาย” (you beloved) = พวกผู้เชื่อแท้ ต่างจากผู้สอนผิดหรือเทียมเท็จ ซึ่งกล่าวถึง

            “ความเชื่ออันบริสุทธิ์” (holy faith) –ข.3; “โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์” (in the Holy Spirit) –บางฉบับแปลว่า

          “ในพระวิญญาณบริสุทธิ์”

= การตามการทรงนำ และโดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (รม.8:26-27;กท.4:6;อฟ.6:17-18)
1:21“จงรักษาตัวให้อยู่ในความรักของพระเจ้า” (keep yourselves in the love of God) = พระเจ้าจะปกป้องรักษา

ผู้เชื่อไว้ในความรักของพระองค์ (รม.8:35-39) และจะช่วยพวกเขาให้สามารถรักษาตัวให้อยู่ในความรักของ

พระองค์ ; “ชีวิตนิรันดร์” (eternal life) –ยน.3:15

1:22-23 “คนที่ยังสงสัย – ผู้อื่น” (who doubt) =คนที่ยังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพวกสอนเท็จหรือคนนอกศาสนา

1:23 “ฉุดเขาออกจากไฟ” ( out of the fire) = ช่วยเขาให้ออกมาจากปากเหว แห่งความพินาศ (อมส.4:11;ศคย.3:2;

1คร.3:15)

          “จงเมตตา…จงรังเกียจ” (show mercy…hating even) = แม้ในการแสดงความเมตา เราก็อาจติดกับดักของการ

ล่อลวงของบาปได้ ดังนั้นต้องระมัดระวังด้วยความยำเกรงพระเจ้า

“เสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนด้วยกายที่เป็นมลทิน” (the garment stained by the flesh) = บางฉบับแปลว่า “เสื้อผ้าที่แปดเปื้อนด้วยโลกีย์”

= คนอธรรมถูกเปรียบว่า เสื่อมทรามขนาดว่า เสื้อผ้ายังแปดเปื้อนมลทิน เพราะธรรมชาติบาปในตัวของพวกเขาเอง

1:24-25 –หลังจากที่ยูดาสได้กล่าวถึงคนอธรรม และสิ่งที่พวกเขากระทำ ท่านก็สรุปจดหมายนี้ โดยเน้นความสนใจไป

ที่พระเจ้า ผู้ทรงสามารถพิทักษ์รักษาผู้ที่วางใจในพระองค์ได้อย่างสมบูรณ์และสิ้นเชิง -ยน.5:44;1ทธ.1:17;

ฮบ.13:8;รม.11:36;16:25;2คร.4:14;คส.1:22

คำถามนำอภิปราย

  1. การที่คุณรู้ว่า คุณเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเรียก เป็นผู้ที่พระเจ้าทางรักและเป็นผู้ที่พระเจ้าจะคุ้มครองรักษาเสมอ สิ่งนี้ส่งผลอะไรต่อชีวิตของคุณบ้าง? อย่างไร?
  2. เวลานี้คุณเชื่อหรือไม่ว่า คุณรอดแล้ว? ทำไมคุณเชื่อเช่นนั้น?
  3. คุณแยกแยะออกหรือไม่ว่า คำสอนที่คุณกำลังรับฟังหรือผ่านอยู่นี้ ถูกต้องหรือว่าผิดเพี้ยน? คุณรู้ได้อย่างไร?
  4. คุณพร้อมที่จะร่วมกันต่อสู้ เพื่อหลักคำสอนหรือหลักข้อเชื่อที่ถูกต้อง(ตามพระคัมภีร์) หรือไม่? อย่างไร?
  5. มีคำสอนใดบ้างที่คุณเผชิญอยู่ในทุกวันนี้ ที่เข้าข่ายคำสอนที่บิดเบือนจากความจริงของพระเจ้า? อย่างไร?
  6. สภาพแวดล้อมและค่านิยมตามกระแสโลกของคนรอบตัวได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตและความคิดของคุณบ้าง?   อย่างไร?
  7. คุณเคยลบหลู่ในสิ่งที่คุณเองไม่เข้าใจบ้างหรือไม่? อย่างไร?
  8. คุณเคยปล่อยตัวดำเนินชีวิตตามหนทางหรือวิถีทางที่นำไปสู่อันตรายในเรื่องอะไรบ้าง? อย่างไร?
  9. คุณกำลังคบหาหรือคลุกคลีกับพวกที่ทำลายความรักสามัคคีของคนในคริสตจักรอยู่หรือไม่? คุณควรจะทำอะไรบ้างเพื่อ    แก้ไข?
  10. มีแบบอย่างของการกระทำหรือพฤติกรรมใดบ้างที่แสดงออกถึงการไม่ยำเกรงพระเจ้า หรือการเห็นแก่ตัว(ในคริสตจักรหรือในสังคมคริสเตียน) ที่คุณไม่ควรกระทำตามเป็นอย่างยิ่ง? ทำไม?

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

สรุปจากผู้เข้าชั้นเรียน (คุณกฤติน ย้งปรีชา)

พระธรรมยูดา 1:1-24
 
- ความรอดที่มีร่วมกัน (Common Salvation) เรารอดด้วยพระคุณและความเชื่อเดียวกัน
- เชื่อกันว่า ยูดาสน้องชายพระเยซูคริสต์ เป็นผู้เขียนพระธรรมยูดา
- หนังสือพระธรรมยูดา เป็นการเตือนเรื่องของความเชื่อที่เทียมเท็จ
- ยูดาสเรียกผู้เชื่อว่า เป็นคนที่พระเจ้า"ทรงเรียก" พระเจ้า"รัก" และพระเจ้า"รักษาคุ้มครอง"
- ยูดาส (Judas,Judah,Jude) แปลว่าสรรเสริญ
- "ต่อสู้เพื่อหลักความเชื่อ" (contend for the faith)- ยูดา 1:3 - เป็นคำศัพท์ที่ใช้ในทางการทหาร ถือเป็นคำสั่งที่ต้องกระทำตาม
 
สิ่งที่ได้จากการเรียนวันนี้
 
- คำว่าเชื่องในพระคัมภีร์หมายถึง ความอ่อนโยน อ่อนสุภาพ
- เมื่อเราเป็นคนที่พระเจ้า"เรียก" "รัก" "รักษา" "คุ้มครอง" - คำถามก็คือ แล้วเราต้องกลัวอะไรอีก?
- พระเจ้ารักเราอยู่แล้ว ไม่ว่าเราจะเป็นคนดีหรือไม่ดี แต่เราต้องไม่ใช้ข้ออ้างในการทำตัวไม่น่ารัก
- ใครๆก็เชื่อ (Believe)ได้ แต่เราต้องนำความเชื่อมา "ปฏิบัติ"ให้กลายเป็นความศรัทธา (Faith)
- เมื่อมีความศรัทธา (Faith) มากเท่าไหร่ ความกลัว (Fear) จะยิ่งน้อยลง
- สิ่งสำคัญคือ เราศรัทธาในใคร? เราศรัทธาในอะไร? เราศรัทธาในสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่?
- คำสอนที่เทียมเท็จ มักจะ"ไต่เส้น" กับของจริง เราต้องเรียนรู้ที่จะสามารถแยกแยะได้

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระธรรมโอบาดีห์

พระธรรม        โอบาดีห์ 1-21

อ้างอิง             1พกษ.18:3-16;1พศด.3:21;7:3;8:38;9:16;12:9;27:19;2พศด.17:7;34:12;อสร.8:9;นหม.10:5;12:25; ยรม.49:9-10,14-16

บทนำ

โอบาดีห์ แปลว่า “ผู้รับใช้พระยาห์เวห์” หรือ “ผู้นมัสการพระยาห์เวห์”

ท่านอาจอยู่ร่วมสมัยกับเอลีชา (853-841 ก.ค.ศ.) หรือร่วมสมัยกับเยเรมีย์ (605-586 ก.ค.ศ)

แต่นักวิชาการเชื่อว่าน่าจะอยู่ร่วมสมัยกับ เยเรมีย์มากกว่าโอบาดีห์เป็นพระธรรมเล่มที่สั้นที่สุดในพระคัมภีร์เดิม มีเพียง 21 ข้อ!

บทเรียน

1:1 “นิมิต​ของ​โอ‌บา‌ดีห์ พระ‍ยาห์‌เวห์​องค์‍เจ้า‍นาย​ตรัส​เรื่อง​เอ‌โดม​ดัง‍นี้​ว่า พวก‍เรา​ได้‍ยิน​ข่าว​จาก​พระ‍ยาห์‌เวห์ ทูต​คน​หนึ่ง​ถูก​ส่ง​ไป​ท่าม‍กลาง​บรร‌ดา​ประ‌ชา‍ชาติ​ให้​พูด​ว่า “จง​ลุก‍ขึ้น​เถิด ให้​พวก‍เรา​ลุก‍ขึ้น​ทำ​สง‌คราม​กับ​เอ‌โดม”

     (1The vision of Obadiah. Thus says the Lord God concerning Edom: We have heard a report  from the Lord, and a messenger has been sent among the nations: “Rise up! Let us rise against her for battle!”)

1:2 “ดู‍เถิด เรา​จะ​ทำ​เจ้า​ให้​เล็ก​ท่าม‍กลาง​บรร‌ดา​ประ‌ชา‍ชาติ ให้​เจ้า​เป็น​ที่​ดู‍หมิ่น​อย่าง​มาก”

     (Behold, I will make you small among the nations; you shall be utterly despised.)

1:3 “ใจ​หยิ่ง‍จอง‌หอง​ของ​เจ้า​ได้​ล่อ‍ลวง​เจ้า​เอง เจ้า​ผู้​ซึ่ง​อาศัย​อยู่​ใน​ซอก‍หิน ที่​อาศัย​ของ​เจ้า​อยู่​สูง เจ้า​รำพึง​อยู่​ใน​ใจ​ว่า “ผู้‍ใด​จะ​ทำ​ให้​เรา​ลง‍มา​ยัง​พื้น‍ดิน”
(The pride of your heart has deceived you, you who live in the clefts of the rock, in your lofty  dwelling, who say in your heart, “Who will bring me down to the ground?”)

1:4 “แม้‍ว่า​เจ้า​เหิน​ขึ้น​ไป​สูง​เหมือน​นก‍อิน‌ทรี แม้‍ว่า​รัง​ของ​เจ้า​อยู่​ใน​หมู่​ดวง‍ดาว เรา​จะ​ฉุด​เจ้า​ลง‍มา​จาก​ที่‍นั่น พระ‍ยาห์‌เวห์​ตรัส​ดัง‍นี้​แหละ”

     (Though you soar aloft like the eagle, though your nest is set among the stars, from there I will bring you down, declares the Lord.)

1:5 “ถ้า​ขโมย​เข้า‍มา‍หา​เจ้า ถ้า​พวก​ปล้น​มา​ใน​เวลา​กลาง‍คืน (เจ้า​จะ​ถูก​ทำ‍ลาย​ย่อย‍ยับ​เพียง‍ใด) เขา​จะ​ขโมย​แค่​เพียง‍พอ​แก่​ตัว​มิ​ใช่​หรือ? ถ้า​คน​เก็บ​องุ่น​มา‍หา​เจ้า เขา​จะ​เก็บ​โดย​เหลือ​ไว้​บ้าง​มิ​ใช่​หรือ?”

     (If thieves came to you, if plunderers came by night— how you have been destroyed!— would they not steal only enough for themselves? If grape gatherers came to you, would they not leave gleanings?)

1:6 “เอ‌ซาว​จะ​ถูก​ปล้น​จน​หมด‍ตัว สมบัติ​ที่​ซ่อน​ไว้​ก็​ถูก​ค้น​ออก​มา”

     (How Esau has been pillaged, his treasures sought out!)

1:7 “เพื่อน​ร่วม‍สาบาน​ทั้ง‍สิ้น​ของ​เจ้า​ได้​ล่อ‍ลวง​เจ้า พวก‍เขา​ขับ‍ไล่​เจ้า​ไป​ถึง​พรม‍แดน พันธ‌มิตร​ของ​เจ้า​สู้​ชนะ​เจ้า​แล้ว ผู้​ที่​กิน​อาหาร​ของ​เจ้า​ก็​วาง​กับ‍ดัก​เจ้า เรื่อง​นี้​ไม่‍มี​ใคร​ทราบ​เลย”
     (All your allies have driven you to your border; those at peace with you have deceived you; they have prevailed against you; those who eat your bread have set a trap beneath you— you have no understanding.)

1:8 “ใน​วัน‍นั้น เรา​เอง​จะ​ขจัด​คน​มี​ปัญญา​ให้​สิ้น‍ไป​จาก​เอ‌โดม และ​จะ​เอา​ความ​เข้า‍ใจ​ไป​จาก​ภูเขา​เอ‌ซาวพระ‍ยาห์‌เวห์​ตรัส​ดัง‍นี้​แหละ”

     (Will I not on that day, declares the Lord, destroy the wise men out of Edom, and understanding out of Mount Esau?)

1:9 “โอ เท‌มาน​เอ๋ย นัก‍รบ​ของ​เจ้า​จะ​ขยาด ดัง‍นั้น​แหละ ทุก​คน​ที่​มา​จาก​ภูเขา​เอ‌ซาว​จะ​ถูก​ตัด​ชีวิต​ด้วย​การ​สัง‌หาร”

     (And your mighty men shall be dismayed, O Teman, so that every man from Mount Esau will be cut off by slaughter.)

1:10 “เพราะ​ความ​ทา‌รุณ​ที่​ทำ​แก่​ยา‌โคบ​น้อง​ของ​เจ้า ความ​อับอาย​จะ​คลุม​เจ้า​ไว้ เจ้า​จะ​ถูก​ตัด‍ขาด​เป็น​นิตย์”

       (Because of the violence done to your brother Jacob, shame shall cover you, and you shall be  cut off forever.)

1:11 “ใน​วัน‍ที่​เจ้า​ยืน​อยู่​ห่างๆ อย่าง​เฉย‌เมย ใน​วัน‍ที่​คน​ต่าง‍ด้าว​ขน​ทรัพย์‍สมบัติ​ของ​น้อง​เจ้า​ไป และ​คน​ต่าง‍ชาติ​เข้า‍มา​ทาง​ประตู​เมือง พวก‍เขา​จับ​ฉลาก​เอา​กรุง‍เย‌รู‌ซา‌เล็ม​กัน เจ้า​ก็​เหมือน​คน​เหล่า‍นั้น​คน​หนึ่ง”

       (On the day that you stood aloof, on the day that strangers carried off his wealth and foreigners entered his gates and cast lots for Jerusalem, you were like one of them.)

1:12 “เจ้า​ไม่​ควร​มอง‍ดู​ด้วย​ความ​พอ‍ใจ ใน​วัน‍ที่​น้อง​ของ​เจ้า​รับ​เคราะห์​ใน​เวลา​นั้น เจ้า​ไม่​ควร​เปรม‍ปรีดิ์​เย้ย​ประ‌ชา‍ชน​ยู‌ดาห์ใน​วัน‍ที่​พวก‍เขา​ถูก​ทำ‍ลาย เจ้า​ไม่​ควร​หัว‌เราะ‍เยาะ‌หยัน ใน​วัน‍ที่​เขา​ตก‍ทุกข์‍ได้‍ยาก”

       (But do not gloat over the day of your brother in the day of his misfortune; do not rejoice over the people of Judah in the day of their ruin; do not boast in the day of distress.)

1:13 “เจ้า​ไม่​ควร​เข้า​ประตู​เมือง​แห่ง​ประ‌ชา‍กร​ของ​เรา ใน​วัน‍นั้น เมื่อ​เขา​ถูก​ทำ‍ลาย เจ้า​ไม่​ควร​มอง‍ดู​ด้วย​ความ​พอ‍ใจ​ใน​เรื่อง​ภัย‍พิบัติ​ของ​เขา ใน​วัน‍นั้น เมื่อ​เขา​ถูก​ทำ‍ลาย เจ้า​ไม่​ควร​จะ​เข้า​ปล้น​ทรัพย์‍สิน​ของ​เขา​ไป ใน​วัน‍นั้น เมื่อ​เขา​ถูก​ทำ‍ลาย”

       (Do not enter the gate of my people in the day of their calamity; do not gloat over his disaster in the day of his calamity; do not loot his wealth in the day of his calamity.)

1:14 “เจ้า​ไม่​ควร​ยืน​สกัด​ทาง​แยก​ของ​เขา เพื่อ​จะ​สัง‌หาร​พวก​หลบ‍หนี​ของ​เขา เจ้า​ไม่​ควร​มอบ​ผู้​รอด​มา​ได้​ให้​แก่​ศัตรู​ของ​เขา ใน​วัน‍ที่​เขา​ตก‍ทุกข์‍ได้‍ยาก”

       (Do not stand at the crossroads to cut off his fugitives; do not hand over his survivors in the day of distress.)

1:15 “เพราะ​วัน​แห่ง​พระ‍ยาห์‌เวห์​มา​ใกล้​เพื่อ​ต่อ‍สู้​ประ‌ชา‍ชาติ​ทั้ง‍สิ้น​แล้ว เจ้า​ทำ​กับ​เขา​อย่าง‍ไร ก็​จะ​มี​ผู้​มา​ทำ​กับ​เจ้า​อย่าง​นั้น การ​กระ‌ทำ​ของ​เจ้า​จะ​กลับ‍มา​ตก​บน​ศีรษะ​ของ​เจ้า​เอง”

       (For the day of the Lord is near upon all the nations. As you have done, it shall be done to you;  your deeds shall return on your own head.)

1:16 “พวก‍เจ้า​เคย​ดื่ม​อยู่​บน​ภูเขา​บริ‌สุทธิ์​ของ​เรา​ฉัน‍ใด ประ‌ชา‍ชาติ​ทั้ง‍สิ้น​ก็​จะ​ดื่ม​ไม่​หยุด‍หย่อน​ฉัน‍นั้น พวก‍เขา​จะ​ดื่มแล้ว​กลืน​ลง‍ไป และ​จะ​เป็น​อย่าง​ที่​ไม่​เคย​เป็น”

       (For as you have drunk on my holy mountain, so all the nations shall drink continually; they shall  drink and swallow, and shall be as though they had never been.)

1:17 “แต่​จะ​มี​คน​ลี้‍ภัย​ใน​ภูเขา​ศิ‌โยน และ​ที่​นั้น​จะ​บริ‌สุทธิ์ และ​พงศ์‍พันธุ์​ของ​ยา‌โคบ​จะ​ได้​ครอบ‍ครอง ดิน‍แดน​อัน​เป็น​กรรม‍สิทธิ์​ของ​เขา”

       (But in Mount Zion there shall be those who escape, and it shall be holy, and the house of Jacob shall possess their own possessions.)

1:18 “พงศ์‍พันธุ์​ของ​ยา‌โคบ​จะ​เป็น​ไฟ พงศ์‍พันธุ์​ของ​โย‌เซฟ​จะ​เป็น​เปลว‍ไฟ และ​พงศ์‍พันธุ์​ของ​เอ‌ซาว​จะ​เป็น​ตอ‍ข้าวไฟ​และ​เปลว‍ไฟ​จะ​เผา‍ผลาญ​ตอ​นั้นพงศ์‍พันธุ์​ของ​เอ‌ซาว​จะ​ไม่​รอด‍ชีวิต​เลย เพราะ‍ว่า​พระ‍ยาห์‌เวห์​ตรัส​แล้ว”

       (The house of Jacob shall be a fire, and the house of Joseph a flame, and the house of Esau stubble; they shall burn them and consume them, and there shall be no survivor for the house of Esau, for the Lord has spoken.)

1:19 “คน​เหล่า‍นั้น​ที่​อยู่​ใน​เน‌เกบ​จะ​ได้​ภูเขา​เอ‌ซาว​เป็น​กรรม‍สิทธิ์ คน​เหล่า‍นั้น​ที่​อยู่​ใน​เนิน​เช‌เฟ‌ลาห์​จะ​ได้​แผ่น‍ดิน​ฟี‌ลิส‌เตีย​เป็น​กรรม‍สิทธิ์พวก‍เขา​จะ​ยึด​แผ่น‍ดิน​เอฟ‌รา‌อิม​และ​แผ่น‍ดิน​สะ‌มา‌เรีย​เป็น​กรรม‍สิทธิ์ และ​เบน‌ยา‌มิน​จะ​ได้​กิ‌เล‌อาด​เป็น​กรรม‍สิทธิ์”

       (Those of the Negeb shall possess Mount Esau, and those of the Shephelah shall possess the  land of the Philistines; they shall possess the land of Ephraim and the land of Samaria, and  Benjamin shall possess Gilead.)

1:20 “พวก​เชลย​อิสรา‌เอล ผู้​อยู่​คา‌นา‌อัน​ไป​จน‍ถึง​ศา‌เร‌ฟัท และ​พวก​เชลย​ชาว​เย‌รู‌ซา‌เล็ม​ที่​อยู่​ใน​เส‌ฟา‌ราด จะ​ได้​เมือง​ต่างๆ ใน​เน‌เกบ​เป็น​กรรม‍สิทธิ์”

       (The exiles of this host of the people of Israel shall possess the land of the Canaanites as far as  Zarephath, and the exiles of Jerusalem who are in Sepharad shall possess the cities of the  Negeb.)

1:21 “พวก​กู้​ชาติ​จะ​ขึ้น​ไป​ที่​ภูเขา​ศิ‌โยน เพื่อ​ปก‍ครอง​ภูเขา​เอ‌ซาว และ​อำนาจ​อธิป‌ไตย​นั้น​จะ​ตก‍เป็น​ของ​พระ‍ยาห์‌เวห์”

       (Saviors shall go up to Mount Zion to rule Mount Esau, and the kingdom shall be the Lord’s.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

1:1       “นิมิต” (            The vision) ในพระคัมภีร์เดิม นิมิตหมายถึง การสำแดงจากพระเจ้า (สภษ.29:18;อสย.1:1)

“โอบาดีห์” (Obadiah) ชื่อของ “โอบาดีห์” แปลว่า “ผู้รับใช้หรือผู้นมัสการพระยาเวห์” น่าจะอยู่ร่วมสมัยกับเยเรมีย์

“เอโดม”(Edom) –ปฐก.25:14;อสย.11:14;34:11;63:1-6;ยรม.49:7-22;อสค.25:12-14;32:29;อสม.1:11-12

= เป็นญาติกับอิสราเอล (ข.10) แต่เป็นปฏิปักษ์กับอิสราเอลตลอดมาหลายศตวรรษ (ปฐก.27:41-45; 32:1-21;33;36;อพย.15:15;กดว.20:14-21;ฉธบ.2:1-6;23:7-8;1ซมอ.22;สดด.52;2ซมอ.8:13-14;2พกษ.8:20-22;14:7;สดด.83; อสค.35;ยอล.3:18-16;อมส.11-12;9:11-12)

“พวกเรา” (We) = อาจหมายถึง

  1. โอบาดีห์ กับอิสราเอล
  2. โอบาดีห์ กับผู้เผยพระวจนะหลายคน (กล่าวโทษเอโดม)

“ทูตคนหนึ่งถูกส่งไป” (An envoy was sent) = ถูกส่งไปชนชาติต่างๆ เพื่อเรียกมาทำสงครามกับเอโดม

–อสย.18:2

“ลุกขึ้นเถิด ให้พวกเราลุกขึ้นทำสงครามกับเอโดม” (Rise, let us go against her for battle)

= แม้เอโดมจะรู้สึกมั่นคงปลอดภัย เพราะเชื่อมั่นในภูมิประเทศที่มั่นคงในหุบเขา และในเหล่านักปราชญ์ของพวกเขา (2-4,8-9) แต่โอบาดีห์ ก็ประกาศการพิพากษาของพระเจ้าต่อพวกเขาที่เป็นปฏิปักษ์ต่ออิสราเอล –ยรม.6:4-5

1:2       “เราจะทำเจ้าให้เล็ก” (I will make you small) = บางฉบับแปลว่า “เราจะทำให้เจ้าเล็กกระจ้อยร่อย” หรือหมายความว่า ”เราจะทำให้เจ้าเจียมเนื้อเจียมตัว” –กดว.24:18

1:3       “ใจหยิ่งจองหองของเจ้า” (The pride of your heart) –ข.12;ยรม.49:16

“ซอกหิน” (the clefts of the rock) = “ซอกแห่งเสลา”

เสลา เป็นเมืองหลวงของเอโดม ภายหลังคงเปลี่ยนชื่อมาเป็น “เปตรา” –ทั้งคำว่า “เสลา” และ “เปตรา” ล้วนแปลว่า “หิน” (ศิลา) หรือ “หน้าผา”

= พื้นที่ที่เต็มไปด้วยก้อนหินขรุขระ ตั้งอยู่ห่างจากปลายสุดทางใต้ของทะเลตายไปทางใต้ประมาณ 80.5 กิโลเมตร (2พกษ.14:7;อสย.16:1)

          “ผู้ใดจะทำให้เราลงมายังพื้นดิน” (“Who will bring me down to the ground?”) = “ใครเล่าจะสามารถดึงเราให้ลงไปอยู่ที่พื้นได้” –2พศด.25:11-12

1:4       “นกอินทรี” (the eagle) = นกที่สง่าและโดดเด่นในเรื่องสายตาอันเฉียบคม และพละกำลังที่แข็งแรง และพลังในการบิน (ฉธบ.28:49;อสย.40:31;ยรม.4:13;49:22;อสค.17:3)

“รังของเจ้า” (your nest) –อสย.10:14

          “ในหมู่ดวงดาว” (among the stars) = การเปรียบด้วยภาพเกินจริง หมายความถึงสภาพที่อยู่ในที่สูงและไม่อาจเข้าถึงได้โดยง่าย

“เราจะฉุดเจ้าลงมาจากที่นั่น” (I will bring you down) –อสย.14:13

1:5-6 = คู่ขนานกับ ยรม.49:9-10

1:5       “เก็บโดยเหลือไว้บ้างมิใช่หรือ?” (would they not leave gleanings?) = เหลือไว้บ้างนิดหน่อย

– ยรม.49:9

1:6       “ทรัพย์สมบัติที่ซ่อนไว้” (treasures sought out  ) นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกโบราณ ชื่อ ดิโอโดรัส สิคูลัส ระบุว่า ชาวเอโดม เก็บซ่อนทรัพย์สมบัติที่ได้จากการค้าขายไว้ในอุโมงค์ในซอกหิน

1:7       “ผู้ที่กินอาหารของเจ้า” (who eat your bread) = เพื่อนร่วมสำรับอาหารเดียวกับเจ้า – สดด.41:9

“วางกับดักเจ้า” (have set a trap) = การทรยศหักหลังโดยสหายที่เคยไว้ใจกันมาก่อน –ยรม.30:14;สดด.41:9

1:8      “ในวันนั้น” (on that day ) = วันหายนะของเอโดม (หรือวันในอนาคต –ข.15)

-ในพระคัมภีร์เดิม เอโดมมักเป็นภาพตัวแทนของมหาอำนาจในโลกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า และอาณาจักรของพระองค์

-การพิพากษาเอโดมจึงเป็นการเล็งถึงการที่พระเจ้าจะพิพากษาและกำจัดอำนาจที่ต่อต้านพระองค์อย่างสิ้นเชิงในภายหน้า (อมส.9:12)

“คนมีปัญญา” ( the wise men) = เอโดมเชื่อมั่นในบรรดาปราชญ์ของตนว่า พวกเขาจะทำให้เอโดมมั่นคงปลอดภัย (ยรม.49:7) ปท. โยม 5:12;อสย.29:14;  “เอลีฟัท” เพื่อนคนหนึ่งของโยบก็เป็นชาวเทมาน (ข.9)

“ภูเขาเอซาว” (Mount Esau) –เอซาวเป็นอีกชื่อหนึ่งของเอโดม (ปฐก.36:1)

1:9       “เทมานเอ่ย” (O Teman ) = เอโดมทั้งหลาย เหมือนใน ยรม.49:7,20;อมส.1:12

“เทมาน” แปลว่า”ใต้” –ปฐก.36:11,34

เอโดม คือ แดนใต้ (บางคนเชื่อว่า เทมานคือทาวิลานซึ่งอยู่ห่างจากเปตรา ไปทางตะวันออกประมาณ 5 กิโลเมตร)

1:10     “ความทารุณ” (the violence) = ความอำมหิตที่ทำต่อน้อง (ยอล.3:19)

“ยาโคบน้องของเจ้า” (your brother Jacob) = เอโดมนั้น โหดร้าย และสมควรถูกประณามและพิพากษา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อกระทำต่อพี่น้องชนชาติของพวกเขาเอง –สดด.137:7;อมส.1:11-12

“ความอับอาย” (shame ) = มักเกี่ยวกับความเปลือยเปล่า

          “ถูกตัดขาดเป็นนิตย์” (cut off forever) = ถูกทำลายให้หมดไปตลอดกาล

1:11     “จับฉลาก” (cast lots ) –โยบ 6:27;อสค.24:6;  “เอากรุงเยรูซาเล็มกัน” (for Jerusalem)

“คนแปลกหน้า…คนต่างชาติ” (  that strangers …. foreigners) = เอโดมปฏิบัติตัวเหมือนคนแปลกหน้าหรือต่างชาติ เมื่อมองดูหรือปล่อยให้คนแปลกหน้ามายึดบ้านเมืองหรือทรัพย์ของพี่น้อง(ยูดาห์)ของตนไป โดยไม่ช่วยอะไร โดยทำตัวเป็นเหมือนคนเหล่านั้น – อสค.24:6;อมส.1:6

1:12-14 = คำเตือนต่อเอโดมที่ทำตัวเป็นปฏิปักษ์ มีคำเตือน 8 ครั้งที่ดำเนินจากเรื่องทั่วไปสู่เรื่องที่เจาะจง

-มีตัวอย่างปฏิกิริยาของเอโดมต่อความหายนะของยูดาห์ใน สดด.137:7;อสค.35:13

1:12     “เจ้าไม่ควรมองดูด้วยความพอใจ” ( do not gloat over) = บางฉบับแปลว่า “เจ้าไม่ควรหยามหน้า

(น้องชาย)” -สภษ.24:17

“ในวันที่น้องของเจ้ารับเคราะห์” (the day of your brother in the day of his misfortune) –โยบ 31:29

“ไม่ควรเปรมปรีดิ์เย้ย” (do not rejoice over) = ไม่ควรกระหยิ่มยิ้มย่องทับถม –อสค.35:15

“ในวันที่พวกเขาถูกทำลาย” (in the day of distress) = ในวันที่พวกเขาพินาศ –สภษ.17:5

“ไม่ควรหัวเราะเยาะหยัน” (do not boast) = ไม่ควรคุยโวโอ้อวด –ข.3;ยรม.49:16;สดด.137:7

“ในวันที่เขาตกทุกข์ได้ยาก”(in the day of distress)=ในวันที่พวกเขาเดือดร้อน–อสค.25:6;มคา.4:11;7:8

1:13     “ไม่ควรมองดูด้วยความพอใจในเรื่องภัยพิบัติของเขา” (do not loot his wealth in the day of his calamity) บางฉบับแปลว่า “ไม่ควรสมน้ำหน้าที่พวกเขาป่นปี้” –อสค.35:5

1:14     “เจ้าไม่ควรยืนสกัดทางแยกของเขาเพื่อจะสังหารพวกหลบหนีของเขา” (Do not stand at the crossroads to cut off his fugitives) = เจ้าไม่ควรดักรออยู่ที่ทางแยก เพื่อคอยเล่นงานพวกเขาซึ่งหนีภัยมา –1พกษ.18:4

1:15     “วันแห่งพระยาห์เวห์” ( For the day of the Lord            ) = วันแห่งองค์ผู้เป็นเจ้า ในยุคสุดท้ายที่จะนำการพิพากษามาสู่ชนชาติต่าง ๆ (ทั้งเอโดม และชนชาติอื่น ๆ ซึ่งสะท้อนภาพในยุคสุดท้าย และความรอดสำหรับพงศ์พันธุ์ของยาโคบ (ข.17;อมส.5:18;ยอล.1:5)

“มาใกล้” (is near ) = ใกล้เข้ามาแล้ว –ยรม.46:10;อสค.30:3;ยอล.2:31;อมส.5:18

“ก็จะมีผู้มาทำกับเจ้าอย่างนั้น” (As you have done, it shall be done to you) = จะได้รับสิ่งนั้นตอบแทนกรรมที่เจ้าก่อขึ้น –ยรม.50:29;ฮบก.2:8

“จะกลับมาตกบนศีรษะของเจ้าเอง” (shall return on your own head) = กรรมที่เจ้าก่อไว้จะย้อนกลับมาตกบนหัวของเจ้า

= สถานการณ์จะกลับตาลปัดมาสนองคืนเอโดมที่เป็นปรปักษ์กับคนของพระเจ้า (ข.11-14) ในเอเสเคียล (35) สะท้อนหลักการลงโทษที่คล้ายกันคือ ลงโทษอย่างสมกับความผิดที่พวกเอโดมกระทำ

1:16     “พวกเจ้าเคยดื่มอยู่บนภูเขาบริสุทธิ์ของเราฉันใด” (For as you have drunk on my holy mountain) = พวกเอโดมเคยดื่มและดูหมิ่นภูเขาศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ด้วยการสำมะเลเทเมา –อสย.51:17;อพย.15:17

“ประชาชาติทั้งสิ้นก็จะดื่มไม่หยุดหน่อยฉันนั้น” (so all the nations shall drink continually)

          “ดื่ม” สัญลักษณ์ของการลงโทษ –ยรม.25:15-16;49:12

= ประชาชาติจะดื่มแล้วดื่มอีก ในสิ่งที่พวกเขาถูกบังคับให้ดื่มอย่างไม่หยุด นั่นคือ การพิพากษาของพระเจ้าที่เปรียบประดุจยาพิษอันขมขื่น

1:17     “แต่จะมีคนลี้ภัยในภูเขาศิโยน” (But in Mount Zion there shall be those who escape) = บนภูเขาศิโยนจะมีการช่วยกู้ พระพรจะมีแก่พงศ์พันธุ์ของยาโคบในยุคสุดท้ายจะมีการพิพากษาศัตรูของพระเจ้าและมีพระพรแก่ประชากรของพระองค์ –สดด.69:35;อสย.14:1-2;ยอล.2:32;อมส.9:11-15

“และที่นั่นจะบริสุทธิ์” (  and it shall be holy) –สดด.74:2;อสย.4:3

“เป็นกรรมสิทธิ์” (their own possessions) = เป็นดินแดนที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาจะมอบให้แก่พวกเขา

–ยรม.3:19;12:7;ศคย.8:12

1:18     “พงศ์พันธุ์ของยาโคบจะเป็นไฟ พงศ์พันธุ์ของโยเซฟจะเป็นเปลวไฟ” (   The house of Jacob shall be a fire, and the house of Joseph a flame) –ในข้อ 7 พระเจ้าบอกว่า จะทำลายโดยใช้ชนชาติอื่น ๆ

(ข.7) แต่ในตอนนี้จะบอกว่า ประชากรของพระเจ้าจะเป็นผู้ทำลายเอโดม

“พงศ์พันธุ์ของเอซาวจะไม่รอดชีวิตเลย” (there shall be no survivor for the house of Esau)

= พงศ์พันธุ์ของเอซาวเป็นดุจตอข้าวที่จะถูกเผาไหม้ (อสย.1:31ว ศคย.12:6) คำพิพากษาสูงสุดต่อ       พงศ์พันธ์ของเอซาวที่ชนชาติของเขาจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง –ยรม.49:10 ปท. อมส.9:12 กับ กจ.15:17

1:19     “คนเหล่านั้น…จะได้ภูเขาเอซาวเป็นกรรมสิทธิ์” (Those … shall possess Mount Esau) = เมื่อเอโดมสูญสิ้น คนอื่น ๆ จะเข้ามายึดครองดินแดนของเอโดม (ซึ่งน่าจะหมายถึงอิสราเอล)

“เนเกบ” (Negeb) –ปฐก.12:9;ยรม.33:13; “เนินเชเฟลาห์” (Shephelah) หรือเชิงเขา –มคา.1:10-15

“แผ่นดินฟิลิสเตีย”(the land of the Philistines)–ปฐก.10:14; “กิเลอาด”(Gilead)–ปฐก.31:21;พซม.4:1

1:20     “เศราฟัท” (Zarephath) –1พกษ.17:9-10;ลก.4:26

“เสฟาราด” (Sepharad) = ซาร์ดิสในเอเชียน้อย (ตุรกีในปัจจุบัน) แต่บางคน คิดว่า น่าจะเป็นสปาร์ตา (นครในกรีซ)

1:21     “พวกกู้ชาติ” (Saviors) –มาจากศิโยน และปกครองเทือกเขาของเอซาว ภูเขาศิโยนได้รับการเชิดชูเหนือภูเขาของเอซาว = เล็งถึงพระเมสาห์เป็นพระผู้ช่วยกู้ที่ล้ำเลิศ –ฉธบ.28:29;วนฉ.3:9

“อำนาจอธิปไตยนั้นจะตกเป็นของพระยาห์เวห์” (the kingdom shall be the Lord’s ) = ผลลัพธ์สุดท้ายที่จะเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์โลกนี้ –สดด.22:28; 47:9;66:4;ดนล.2:44;ศคย.14:9,16;มคล.1:14; วว.11:15

 

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณพร้อมจะเป็นโอบาดีห์ (ผู้รับใช้/ผู้นมัสการ) ของพระเจ้าในคริสตจักรที่คุณเป็นสมาชิกอยู่หรือไม่? ทำไม?
  2. เวลานี้คุณกำลังหยิ่งผยองหรือทระนงในความมั่นคงของตัวเองอยู่หรือไม่?
  3. บทเรียนในพระธรรม โอบาดีห์ นี้สอนอะไรคุณเป็นพิเศษและจะส่งผลกระทบต่อตัวของคุณมากน้อยแค่ไหน? และอย่างไร?
  4. เวลานี้มีใครที่เป็นญาติพี่น้องของคุณที่คุณไม่ชอบเขาหรือเป็นศัตรูกับเขาบ้าง? คุณไม่ชอบเขาเรื่องอะไร?
  5. เวลานี้มีใครในหมู่ญาติมิตรของคุณที่ตั้งหน้าตั้งตาเป็นศัตรูที่จ้องเล่นงานคุณบ้างหรือไม่?   ทำไมเขาจึงเป็นปฏิปักษ์ต่อคุณ? คุณจะแก้ไขความเป็นศัตรูกันนั้นให้หมดไปได้หรือไม่? อย่างไร?
  6. คุณเคยสะใจที่เห็นญาติมิตรหรือคนที่คุณไม่ชอบประสบเคราะห์กรรมบ้างหรือไม่? คุณจะทำเช่นนั้นต่อไปหรือไม่?ทำไม?
  7. คุณเคยเห็นคนที่เย่อหยิ่งทระนงตัวตกต่ำลงหรือไม่? เขาเป็นใคร? และมีบทเรียนสอนใจอะไรคุณบ้าง?
  8. คุณเคยถูกพระเจ้าทำให้ต้องถ่อมตัวถ่อมใจลงบ้างหรือไม่? เพราะอะไร? และอย่างไร และผลที่ตามมาคืออะไร?
  9. คุณเคยได้รับการกู้หรือช่วยเหลือในยามที่โจมตีเล่นงาน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนที่ควรจะอยู่เคียงข้างและปกป้องคุณบ้างหรือไม่) ? อย่างไร?
  10. คุณเคยมีประสบการณ์กับการที่ได้เห็นพระเจ้าเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ที่ดูไม่มีทางออกและทำให้เกิดผลลัพธ์ในบั้นปลายที่ดีเกินความคิดของคุณบ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร และอย่างไร?

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระธรรมยากอบ บทที่ 5

คำเตือนสติ

พระธรรม        ยากอบ 5:1-20

อ้างอิง            มธ.5:43-47;6:19;มก.6:13;1ปต.4:8;ฉธบ.24:14-15;1พกษ.17:1;18:1,42-45;สดด.103:8;สภษ.10:12; โยบ 1:21-22; 2:10

บทนำ

อย่าให้เราสนุกหรือจมอยู่กับบาปไม่ว่าจะเป็นบาปชนิดใด

อย่าให้เราตัดสินกล่าวโทษผู้ใด

อย่าให้ถอดใจยอมแพ้ในการยืนหยัดในทางดี

ขอให้ทรหดอดทนและเพียรรู้ทุกอุปสรรคปัญหา

ขอให้เรามีความเชื่อและอธิษฐานพระเจ้าในทุกเรื่องราว

ขอให้เราช่วยผู้ที่หลงผิดหรือหลงทางให้กลับมาหาพระเจ้า!

บทเรียน

5:1      “ฟังให้ดีนะ พวกคนมั่งมี จงร้องไห้และโอดครวญเพราะความทุกข์ที่กำลังจะเกิดกับท่านทั้งหลาย” 

(Come now, you rich, weep and howl for the miseries that are coming upon you.)

5:2      “ทรัพย์สมบัติของท่านก็ผุพัง เสื้อผ้าของพวกท่านก็ถูกแมลงกัดกิน”  

(Your riches have rotted and your garments are moth-eaten.)

5:3  “ทองและเงินของพวกท่านก็ขึ้นสนิม และสนิมนั้นก็จะเป็นพยานปรักปรำท่านและจะเผาผลาญเลือดเนื้อของพวกท่านเหมือนกับไฟ ท่านสะสมสมบัติไว้สำหรับวาระสุดท้าย”

(Your gold and silver have corroded, and their corrosion will be evidence against you and will eat your flesh like fire. You have laid up treasure in the last days.)

5:4   “นี่แน่ะ ค่าจ้างของคนเหล่านั้นที่เกี่ยวข้าวในนาของพวกท่านที่ท่านฉ้อโกงไว้นั้นก็ฟ้องร้องขึ้น และเสียงร้องทุกข์ของคนงานเหล่านั้นที่เกี่ยวข้าวก็ดังไปถึงพระกรรณขององค์พระผู้เป็นเจ้าจอมทัพแล้ว”

(Behold, the wages of the laborers who mowed your fields, which you kept back by fraud, are crying out against you, and the cries of the harvesters have reached the ears of the Lord of hosts. )

5:5   “ท่านทั้งหลายมีชีวิตอยู่ในโลกอย่างฟุ่มเฟือยและปล่อยตัว ทั้งยังบำรุงบำเรอจิตใจของท่านไว้เพื่อรอวันถูกฆ่า” 

(You have lived on the earth in luxury and in self-indulgence. You have fattened your hearts in a day of slaughter. )

5:6      “พวกท่านตัดสินลงโทษและฆ่าคนชอบธรรม และเขาก็ไม่ได้ต่อต้านท่าน”

(You have condemned and murdered the righteous person. He does not resist you.)

5:7      “เพราะฉะนั้น พี่น้องเอ๋ย จงอดทนจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา ดูซิ ชาวนายังรอคอยพืชผลอันล้ำค่าที่จะได้จากแผ่นดิน อดทนรอคอยจนกว่าฝนต้นฤดูและฝนชุกปลายฤดูจะมา” 

(Be patient, therefore, brothers, until the coming of the Lord. See how the farmer waits for the precious fruit of the earth, being patient about it, until it receives the early and the late rains. )

5:8      “ท่านทั้งหลายก็ต้องอดทนอย่างนั้น จงทำใจให้ดีไว้ เพราะการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว” 

(You also, be patient. Establish your hearts, for the coming of the Lord is at hand. )

5:9  “พี่น้องทั้งหลาย อย่าบ่นว่ากันและกัน เพื่อจะได้ไม่ต้องถูกพิพากษา นี่แน่ะ องค์พระผู้พิพากษาทรงยืนอยู่ที่หน้าประตูแล้ว”

(Do not grumble against one another, brothers, so that you may not be judged; behold, the Judge is standing at the door. )

5:10 “พี่น้องทั้งหลาย จงเอาอย่างการทนทุกข์และการอดทนของบรรดาผู้เผยพระวจนะซึ่งกล่าวในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า” 

(As an example of suffering and patience, brothers, take the prophets who spoke in the name of the Lord.)

5:11    “นี่แน่ะ เราถือว่าคนเหล่านั้นที่สู้ทนก็เป็นสุข ท่านได้ยินเรื่องความทรหดอดทนของโยบ และได้เห็นสิ่งที่องค์พระผู้‍เป็นเจ้าทรงทำให้เขาในบั้นปลาย คือว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมีความสงสารและความเมตตากรุณาเพียงไร”

(Behold, we consider those blessed who remained steadfast. You have heard of the steadfastness of Job, and you have seen the purpose of the Lord, how the Lord is compassionate and merciful.)

5:12    “พี่น้องของข้าพเจ้า ที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดก็คือ อย่าสาบาน ไม่ว่าจะทำโดยอ้างสวรรค์หรือโลกหรืออ้างคำสาบานอื่นใดก็ตาม ถ้าใช่ก็จงบอกว่าใช่ ถ้าไม่ใช่ก็จงบอกว่าไม่ใช่ เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่ถูกพิพากษา”

(But above all, my brothers, do not swear, either by heaven or by earth or by any other oath, but let your “yes” be yes and your “no” be no, so that you may not fall under condemnation.)

5:13    “มีใครในพวกท่านทนทุกข์หรือ? จงให้คนนั้นอธิษฐาน มีใครร่าเริงยินดีหรือ? จงให้คนนั้นร้องเพลงสรรเสริญ” 

(Is anyone among you suffering? Let him pray. Is anyone cheerful? Let him sing praise. )

5:14    “มีใครในพวกท่านเจ็บป่วยหรือ? จงให้คนนั้นเชิญบรรดาผู้ปกครองของคริสตจักรมา และให้ท่านเหล่านั้นอธิษฐานเผื่อเขาและชโลมเขาด้วยน้ำมันในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

(Is anyone among you sick? Let him call for the elders of the church, and let them pray over him, anointing him with oil in the name of the Lord.)

5:15    “การอธิษฐานด้วยความเชื่อจะรักษาผู้ป่วยให้หายโรค และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงให้เขาลุกขึ้นได้ และถ้าเขาเคยทำบาป พระองค์ก็จะทรงให้อภัย” 

(And the prayer of faith will save the one who is sick, and the Lord will raise him up. And if he has committed sins, he will be forgiven. )

5:16    “เพราะฉะนั้นท่านจงสารภาพบาปต่อกันและกัน และจงอธิษฐานเผื่อกันและกัน เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รับการรักษาโรค คำวิงวอนของผู้ชอบธรรมนั้นมีพลังมากและเกิดผล”

(Therefore, confess your sins to one another and pray for one another, that you may be healed. The prayer of a righteous person has great power as it is working.)

5:17    “เอลียาห์ก็เป็นมนุษย์ที่มีสภาพเหมือนอย่างเรา ท่านอธิษฐานอย่างจริงจังขอไม่ให้ฝนตก และฝนก็ไม่ตกต้องแผ่นดินถึงสามปีกับหกเดือน” 

(Elijah was a man with a nature like ours, and he prayed fervently that it might not rain, and for three years and six months it did not rain on the earth. )

5:18    “และเมื่อท่านอธิษฐานขออีกครั้งหนึ่ง สวรรค์ก็ให้ฝน และแผ่นดินก็ผลิตพืชผลของมัน”

(Then he prayed again, and heaven gave rain, and the earth bore its fruit.)

5:19    “พี่น้องของข้าพเจ้า ถ้าใครในพวกท่านถูกหลอกให้หลงผิดไปจากความจริงและมีคนนำเขากลับมา”

(My brothers, if anyone among you wanders from the truth and someone brings him back, )

5:20    “ให้คนนั้นรู้เถิดว่าผู้ที่นำคนบาปกลับจากทางผิดของเขา จะช่วยวิญญาณจิตของคนบาปนั้นให้รอดจากความตาย และจะทำให้บาปมากมายได้รับการอภัย”

(let him know that whoever brings back a sinner from his wandering will save his soul from death and will cover a multitude of sins.)

ข้อมูลมีประโยชน์

5:1       “ฟังให้ดีนะ” ( Come now) = “จงฟังเถิด” – ยก.4:13

“พวกคนมั่งมี” (you rich) = ไม่ใช่คริสเตียน (เหมือนใน 2:2,6) เพราะยากอบเตือนให้พวกเขากลับใจและคร่ำครวญเนื่องจากความทุกข์ลำเค็ญที่กำลังจะมาถึง

ข้อ 1-6 = คล้ายคำประกาศพิพากษาชนชาติต่าง ๆ ที่ไม่นับถือพระเจ้า ในพันธสัญญาเดิม (อสย.13-23;

ยรม.46-51;อสค.25-32;อมส.1:3-2:16;ศฟย.2:4-15)

5:2      “เสื้อผ้า” (garments) = เป็นหนึ่งในรูปแบบของความมั่งคั่ง ร่ำรวยในโลกสมัยนั้น (วนฉ.14:12-13;

กจ.20:33) -โยบ 13:28;สดด.39:11;อสย.50:9;มธ.6:16-20

5:3       “ขึ้นสนิม” (corroded) = เป็นผลมาจากกักตุน สนิมเป็นพยานปรักปรำและพิพากษาคนรวยที่เห็นแก่ตัว

“เผาผลาญ” = ภาษากรีกแปลตรงตัวว่า “จะกัดกิน”

“สำหรับวาระสุดท้าย” (in the last days) –กจ.2:17;1ทธ.4:1;2ธส.3:1;ฮบ.1:1-2;1ยน.2:18

5:4       “ฉ้อโกง” (by fraud) –ลนต.19:13;ยรม.22:12;มลค.3:5

“องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมทัพ” (the Lord of hosts) = พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ –ปฐก.17:1;1ซมอ.1:3

5:5       “ฟุ่มเฟือยและปล่อยตัว” (in luxury and in self-indulgence)= หรูหราและปรนเปรอตนเอง

–ลก.16:14-31

“บำรุงบำเรอจิตใจ….ไว้เมื่อรอวันถูกฆ่า” (You have fattened your hearts…of slaughter) = บางฉบับแปลว่า “ขุนตนเองไว้รอวันประหาร”

= วันพิพากษา ที่คนรวยที่ชั่วร้ายเป็นดุจโคกระบือที่ขุนตัวเองให้อ้วน เพื่อรอวันถูกฆ่า โดยไม่เฉลียวใจถึงความพินาศที่กำลังมาเยือน –อสค.16:49;อมส.6:1;ลก.16:19; ปท.ยรม.12:3;25:34

5:6       “ตัดสินลงโทษและฆ่า” (condemned and murdered) = อาจหมายถึง การใช้ความร่ำรวยและอำนาจควบคุมการตัดสินของศาล หรือผู้ที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้อง – ยก.4:2

5:7-8   “คนชอบธรรม” (the righteous person) –บางฉบับแปลว่า “คนที่ไม่มีความผิด” -ฮบ.10:38

“อดทน” (be patient) = อดทนต่อความไม่พอใจ และการแก้แค้นตอบโต

5:7       “เหตุฉะนั้น” (therefore) –ดู ข.1-6 เนื่องจากผู้เชื่อกำลังทนทุกเพราะน้ำมือของคนร้ายที่เลวร้าย พวกเขาจึงต้องอดทนและมองไปข้างหน้า รอคอยการเสด็จมาขององค์พระเยซูคริสต์ (1คร.1:7)

“อดทนรอคอย” (being patient about it ) –กท.6:9

“ฝนต้นฤดูและฝนชุกปลายฤดู” (the early and the late rains) = แปลตามตัวว่า ฝนฤดูใบไม้ร่วง และฝนฤดูใบไม้ผลิในอิสราเอล ฝนฤดูใบไม้ร่วงตกในเดือนตุลาคม และพฤศจิกายน ไม่นาน หลังจากหว่านเมล็ดพันธุ์ (ฉธบ.11:14;ยรม.5:24;อชย.6:3;ยอล.2:23)   และฝนฤดูใบไม้ผลิตกในเดือนมีนาคม และเมษายน ก่อนเก็บเกี่ยวไม่นาน (ฉธบ.11:14;ยรม.5:24;ฮชย.6:3;ยอล.2:23)

5:8       “การเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว” (the coming of the Lord is at hand) –1คร.1:7;รม.13:11

5:9       “อย่าบ่นว่ากันและกัน” (Do not grumble against one another) = ยากอบให้ทั้งผู้เชื่อ และผู้ไม่เชื่ออดทน (ข.7-8) –ยก.4:11

“องค์พระผู้พิพากษา” (the Judge) –สดด.94:2;1คร.4:5;ยก.4:12;1ปตร.4:5

“ทรงยืนอยู่ที่หน้าประตูแล้ว” (is standing at the door) = การเสด็จกลับมาครั้งที่ 2 ของพระคริสต์ และการพิพากษาเป็นวาระที่ใกล้เข้ามาแล้ว (รม.13:12;ฮบ.10:25;1ปต.4:7;วว.22:20) –มธ.24:33

= เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ในวาระสุดท้ายของโลก ที่เริ่มต้นจากการเสด็จมาบังเกิดของพระเยซูคริสต์ และการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ เป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่จะตามมา แม้ไม่ได้บอกว่าเมื่อใด แต่จะเกิดขึ้นแน่นอน    -ผู้เชื่อได้รับการเตือนให้เฝ้าระวังอยู่เสมอ

5:10     “ผู้เผยพระวจนะ” ( the prophets) = แบบอย่างแห่งความอดทนเมื่อเผชิญความทุกข์ยาก

ปท. มธ.5:12;23:31;กจ.7:52

5:11     “ความทรหดอดทนของโยบ” (the steadfastness of Job) = โยบไม่ได้อดทนแบบธรรมดา ไม่ได้อดทนแบบเฉย ๆ (โยบ 3:12:1-3;16:1-3;21:4) แต่อดทนบากบั่น (โยบ 1:20-22;2:9-10;13:15)

= ที่เดียวในพระคัมภีร์ใหม่ ที่เอ่ยชื่อของโยบ และมีเพียง 1คร.3:19 ที่ยกข้อความจาก โยบ 5:13 มาอ้างถึง

5:12     “อย่าสาบาน” (by any other oath) = ยากอบใช้คำที่คล้ายคลึงกับที่พระเยซูคริสต์ใช้มาก (มธ.5:33-37) ยากอบไม่ได้ปฏิเสธการให้สัตย์สาบานตามความจริง อย่างที่พระเจ้ากระทำต่ออับราฮัม (ฮบ.6:13) หรือ อย่างที่พระเยซูคริสต์ต่อหน้าคายาฟาส (มธ.26:63-64) หรืออย่างที่เปาโล (รม.1:9;9:1) หรือมนุษย์กระทำต่อหน้าพระเจ้า (อพย.22:11)

-แต่ยากอบกล่าวโทษการใช้พระนามของพระเจ้าอย่างพล่อย ๆ เพื่อรับประกันว่าพูดจริง

5:13     “อธิษฐาน” (pray ) –สดด.50:15; “เพลงสรรเสริญ” (sing praise) –คส.3:16

5:14     “บรรดาผู้ปกครอง” (the elders) –1ทธ.3:1;5:17

“น้ำมัน” (oil) = หนึ่งในตัวยาที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในโลกสมัยโบราณ (ปท.อสย.1:6;ลก.10:34)

-บางคนตีความว่า น้ำมันนี้ใช้เพื่อช่วยเสริมความเชื่อ   -บางคนตีความว่า เป็นยาในทางการแพทย์แต่ก็น่าจะเป็นเครื่องหมายแสดงว่าการรักษานั้น ไม่ว่าผ่านช่องทางใดก็ล้วนมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น

5:15     “การอธิษฐานด้วยความเชื่อ” (prayer of faith) –ข.15;มก.6:13

5:17     “เอลียาห์….อธิษฐาน” (Elijah …prayed) –เหตุการณ์ใน 1พกษ.17:1;18:41-46

“สามปีกับหกเดือน” (three years and six months) –ลก.4:25

= ตัวเลขครึ่งของเลขเจ็ด (1พกษ.18:1) ปท. วว.11:1-6

5:18     “ฟ้าก็ให้ฝน” (heaven gave rain) –สภษ.10:12;1ปต.4:8

“แผ่นดินก็ผลิตพืชผลของมัน” (the earth bore its fruit) –1พกษ.18:41-45

5:19     “พี่น้อง” (My brothers) –รม.1:13

“ถูกหลอกให้หลงผิดไปจากความจริง” (among you wanders from the truth)   -ยก.3:14

= ผู้ที่หลงอาจเป็นผู้ที่ประกาศตัวรับเชื่อ แต่ไม่มีความเชื่อแท้ (ปท. ฮบ.6:4-8;2ปต.2:20-21)

หรือ = คริสเตียนที่ทำบาป ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรื้อฟื้นกลับมาหาพระเจ้า

-สำหรับพวกแรก ความตายที่กล่าวถึงในข้อ 20 คือ ความตายครั้งที่ 2 (วว.21:8)

ส่วนพวกที่สอง หมายถึง ความตายฝ่ายกาย (ปท.1คร.11:29-32) ปท. 1ยน.5:16

“มีคนนำเขากลับมา” (someone brings him back ) –มธ.18:5

5:20    “จะช่วย” (will save) –รม.11:14

“จะทำให้บาปมากมายได้รับการอภัย” (will cover a multitude of sins) = ได้รับการลบล้าง

= พระเจ้าจะให้อภัยบาปแก่ผู้ที่หลงผิดไป (สภษ.10:12;1ปต.4:8)

คำถามนำอภิปราย

  1. เราเคยข่มเหงพวกคริสเตียนมาก่อนหรือไม่? เมื่อไร? อย่างไร? ทำไม?
  2. เราเคยฉ้อโกงผู้ใดมาก่อนหรือไม่? แล้วเกิดอะไรขึ้น? หรือคุณเคยถูกใครฉ้อโกงบ้าง? เรื่องอะไร แล้วผลเป็นอย่างไร?
  3. คุณเคยดำเนินชีวิตแบบฟุ่มเฟือยและปล่อยตัวหรือไม่? (หรือว่ากำลังทำอยู่) คุณเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตแบบนี้หรือยัง? หรือได้อย่างไร? ทำไมถึงเปลี่ยน? (หรือทำไมจึงไม่เปลี่ยน)
  4. มีเรื่องอะไรที่ทำให้คุณอดทนได้ยากที่สุด? ทำไม? และมีเรื่องอะไรบ้างที่คนบางคนต้องอดทนต่อคุณมาอย่างยาวนาน และคาดหวังให้คุณเปลี่ยนแปลง? คุณจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เขาได้หรือไม่? ทำไม?
  5. คุณเคยถูกบ่นว่าเรื่องอะไรบ้างในคริสตจักร? หรือคุณเคยบ่นว่าผู้ใดบ้างในเรื่องอะไร? ทำไม? แล้วคิดว่าสมควรแล้วหรือถูกต้องแล้วหรือไม่ที่ทำเช่นนั้น?
  6. คุณเคยมีประสบการณ์กับการที่พระเจ้าทรงแสดงความเมตตากรุณา และความสงสารแก่คุณหรือแก่คนที่เชื่อพระองค์หลังจากที่ได้อดทนรอคอยมาอย่างยาวนานบ้างหรือไม่? อย่างไร?
  7. คุณเคยทนทุกข์หรือเจ็บป่วยแล้วอธิษฐานขอพระเจ้าหรือรับการอธิษฐานเผื่อจาก(พี่น้อง)คริสตจักรด้วยความเชื่อและเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นบ้างหรือไม่? อย่างไร?
  8. คุณเคยมีประสบการณ์อื่น ๆ เกี่ยวกับการอัศจรรย์ที่ชัด ๆ ในเรื่องการอธิษฐานบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร และอย่างไร?
  9. คุณเคยช่วยใครที่หลงผิดไปจากความจริงให้กลับมาหาพระเจ้าบ้าง? อย่างไร? และเกิดอะไรขึ้น?

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระธรรมยากอบ บทที่ 4

จงระวังแรงจูงใจและท่าทีของคุณ

พระธรรม        ยากอบ 4:1-17

อ้างอิง             ทต.3:9;มธ.5:21-22;สดด.18:41;อสย.54:5;1คร.6:19;สภษ.3:34;อฟ.4:27;สดด.73:28;ลก.6:25;โยบ 5:11; รม.1:30;อสย.53:22;สภษ.27:1;โยบ 7:7;กจ.18:21;ลก.12:47

บทนำ

อะไรคือสาเหตุหรือต้นเหตุที่ทำให้คุณมีความทุกข์เจ็บปวด และขัดแย้งกับผู้อื่น?

มีอะไรบ้างที่เกิดจากแรงจูงใจ หรือทัศนคติ ผิด ๆ รวมทั้ง ทิฐิ หรือความหยิ่งทะนงของคุณ?

มีอะไรบ้างที่คุณรู้ว่า ไม่ดีแต่ก็ยังทำอยู่ และมีอะไรบ้างที่คุณรู้ว่าดี แต่คุณยังไม่ได้ทำ?

บทเรียน

4:1      “อะไรเป็นสาเหตุของสงคราม และการทะเลาะวิวาทกันในท่านทั้งหลาย? มันมาจากความปรารถนาชั่วของท่านที่ต่อสู้อยู่ภายในตัวพวกท่านไม่ใช่หรือ?”
(What causes quarrels and what causes fights among you? Is it not this, that your passions are at war within you?)

4:2      “ท่านทั้งหลายอยากได้แต่ไม่ได้ ท่านก็ฆ่ากัน พวกท่านโลภแต่ไม่ได้ ท่านก็ทะเลาะและทำสงครามกัน ท่านไม่มีเพราะไม่ได้ขอ” 

(You desire and do not have, so you murder. You covet and cannot obtain, so you fight and quarrel. You do not have, because you do not ask. )

4:3      “พวกท่านขอและไม่ได้รับเพราะขอผิด หวังจะเอาไปสนองความปรารถนาชั่วของตนเอง” 

(You ask and do not receive, because you ask wrongly, to spend it on your passions. )

4:4      “คนไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าท่านทั้งหลายรู้ว่าการเป็นมิตรกับโลกนั้นคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้าไม่ใช่หรือ? เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่ต้องการเป็นมิตรกับโลก ก็ตั้งตัวเป็นศัตรูกับพระเจ้า”

(You adulterous people! Do you not know that friendship with the world is enmity with God? Therefore whoever wishes to be a friend of the world makes himself an enemy of God. )

4:5      “ท่านคิดว่าเป็นสิ่งไร้สาระหรือที่พระคัมภีร์กล่าวว่า “พระวิญญาณที่พระเจ้าให้สถิตกับเรานั้นทรงหวงแหนอย่างยิ่ง?”

(Or do you suppose it is to no purpose that the Scripture says, “He yearns jealously over the spirit that he has made to dwell in us”? )

4:6      “แต่พระองค์ก็ประทานพระคุณมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นพระคัมภีร์จึงกล่าวว่า “พระเจ้าทรงต่อสู้คนที่หยิ่งจองหอง แต่ประทานพระคุณแก่คนที่ถ่อมใจ

(But he gives more grace. Therefore it says, “God opposes the proud, but gives grace to the humble.” )

4:7      “เพราะฉะนั้น พวกท่านจงนอบน้อมต่อพระเจ้า จงต่อสู้กับมาร แล้วมันจะหนีท่านไป”

(Submit yourselves therefore to God. Resist the devil, and he will flee from you. )

4:8      “พวกท่านจงเข้าใกล้พระเจ้า แล้วพระองค์จะเสด็จเข้ามาใกล้ท่าน พวกคนบาปเอ๋ย จงชำระมือให้สะอาด คนสองใจ จงชำระใจให้บริสุทธิ์” 

(Draw near to God, and he will draw near to you. Cleanse your hands, you sinners, and purify your hearts, you double-minded. )

4:9      “จงเป็นทุกข์ โศกเศร้า และร้องไห้ ให้เสียงหัวเราะของพวกท่านกลายเป็นความโศกเศร้า และความชื่นชมยินดีกลายเป็นความเศร้าสลด” 

(Be wretched and mourn and weep. Let your laughter be turned to mourning and your joy to gloom.)

4:10    “พวกท่านจงถ่อมใจลงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วพระองค์จะทรงยกชูท่าน”

(Humble yourselves before the Lord, and he will exalt you.)

4:11    “พี่น้องเอ๋ย อย่ากล่าวร้ายกันและกัน คนที่กล่าวร้ายพี่น้องหรือตัดสินพี่น้องของตน ก็กล่าวร้ายธรรมบัญญัติและตัดสินธรรมบัญญัติ ถ้าท่านตัดสินธรรมบัญญัติ ท่านก็ไม่ใช่ผู้ประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่เป็นผู้ตัดสิน” 

(Do not speak evil against one another, brothers. The one who speaks against a brother or judges his brother, speaks evil against the law and judges the law. But if you judge the law, you are not a doer of the law but a judge. )

4:12    “ผู้ที่ตั้งธรรมบัญญัติและผู้ที่ตัดสินมีแต่เพียงองค์เดียว ผู้ทรงสามารถช่วยให้รอดหรือทำลายก็ได้ แต่ท่านเป็นใคร ถึงได้ตัดสินเพื่อนบ้านของท่าน?”

(There is only one lawgiver and judge, he who is able to save and to destroy. But who are you to judge your neighbor?)

4:13    “ฟังให้ดีนะ ท่านทั้งหลายที่พูดว่า “วันนี้หรือพรุ่งนี้เราจะเข้าไปในเมืองนี้เมืองนั้น จะอยู่ที่นั่นสักปีหนึ่ง และจะค้าขายแล้วได้กำไร

(Come now, you who say, “Today or tomorrow we will go into such and such a town and spend a year there and trade and make a profit”— )

4:14    “แต่ท่านไม่รู้เรื่องของวันพรุ่งนี้ ชีวิตของพวกท่านเป็นเหมือนอะไร? ก็เป็นเหมือนหมอกที่ปรากฏอยู่เพียงชั่วครู่แล้วก็จางหายไป”

(yet you do not know what tomorrow will bring. What is your life? For you are a mist that appears for a little time and then vanishes.)

4:15    “แต่พวกท่านควรจะพูดว่า “ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรด เราจะยังมีชีวิตอยู่ และจะทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น” 

(Instead you ought to say, “If the Lord wills, we will live and do this or that.”)

4:16    “แต่เวลานี้ท่านกลับอวดอ้างด้วยความทะนงของตนเอง การอวดอ้างทุกอย่างนั้นล้วนเป็นความชั่ว”

(As it is, you boast in your arrogance. All such boasting is evil. )

4:17    “เพราะฉะนั้น คนที่รู้ว่าอะไรเป็นความดีที่ต้องทำ แต่ไม่ได้ทำ คนนั้นจึงมีบาป”

(So whoever knows the right thing to do and fails to do it, for him it is sin.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

4:1       “การทะเลาะวิวาท” (quarrels) –ทต 3:9

“ความปรารถนาชั่ว…ที่ต่อสู้อยู่ภายในตัวท่าน” (that your passions are at war within you) –รม.7:23

4:2      “ฆ่ากัน” (you murder) –ตัวอย่าง อาหับฆ่านาโบท (1พกษ.21:1-16; ดาวิดฆ่าอุรียาห์ (2ซมอ.11)

–มธ.5:21-22;ยก.5:6;1ยน.3:15

4:3       “ไม่ได้รับ” (do not receive) –สดด.18:41;มธ.7:7

“ขอผิด” (ask wrongly)= ขอด้วยแรงจูงใจผิด –สดด.66:18;1ยน.3:22;5:14

4:4      “คนไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า” (You adulterous people) = แปลตรงตัวได้ว่า “พวกล่วงประเวณี”

= หมายถึงคนไม่ซื่อสัตย์ฝ่ายจิตวิญญาณ รักโลกมากกว่ารักพระเจ้า

-มีตัวอย่างไม่ซื่อสัตย์ (ไม่ล่วงประเวณี) ฝ่ายวิญญาณใน อพย.34:15

-อสย.54:5;ยรม.3:20;ฮชย.2:2-5;3:1;9:1

“เป็นมิตรกับโลก” (know that friendship with the world ) -ยก.1:27

“เป็นศัตรูกับพระเจ้า” (  is enmity with God) ยน.15:19

4:5       “ทรงหวงแหนอย่างยิ่ง” (He yearns jealously)

= แปลได้อีกแบบว่า “อยากให้เราเป็นของพระเจ้าเท่านั้น” หรือ “หวงแหนอย่างแรงกล้า”

อาจแปลได้ว่า

  • พระเจ้าปรารถนาจะได้รับความซื่อสัตย์ และความรักจากมนุษย์อย่างเรา (ข.4) –อพย.20:5
  • พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ปรารถนาหรือหวงแหนการอุทิศชีวิตอย่างเต็มที่เต็มกำลังของเรา

4:6       “คนที่หยิ่งจองหอง…คนที่ถ่อมใจ” (the proud …to the humble.) –สภษ.3:34;มธ.23:12;1ปต.5:5

4:7-10  ประกอบด้วยคำสั่ง 10 คำสั่ง แต่ละคำสั่งในภาษากรีกเน้นให้ลงมือถอนรากถอนโคนความเย่อหยิ่งในทันที

4:7       “จงต่อสู้กับมาร” (Resist the devil) –อฟ.34:27;6:11;1ปต.5:6-9

4:8       “แล้วพระองค์จะเสด็จเข้ามาใกล้ท่าน” (he will draw near to you) –สดด.73:28;ศคย.1:3;มลค.3:7;

ฮบ.7:19

“จงชำระมือให้สะอาด” (Cleanse your hands) = จงล้างมือให้สะอาด –อสย.1:16

= ก่อนปุโรหิต (ในพระคัมภีร์เดิม/พันธสัญญาเดิม) เข้าใกล้พระเจ้าที่พลับพลา เขาต้องล้างมือและเท้าที่อ่างทองสัมฤทธิ์อันเป็นสัญลักษณ์ของการชำระฝ่ายวิญญาณ (อพย.30:17-21)

“คนสองใจ” (you double-minded) สดด.119:13;ยก.1:8

“จงชำระใจให้บริสุทธิ์” (purify your hearts) –สดด.24:4;ยรม.4:14

4:9      “จงเป็นทุกข์ โศกเศร้า และร้องไห้” (Be wretched and mourn and weep) = หมายถึงการกลับใจใหม่

“ความชื่นชมยินดีกลายเป็นความเศร้าสลด” (your joy to gloom) ลก.6:25

4:10     “แล้วพระองค์จะทรงยกชูท่าน” (he will exalt you) -โยบ 5:11;ยก.4:6;1ปต.5:6

4:11     “กล่าวร้ายกันและกัน…ก็กล่าวร้ายธรรมบัญญัติ” (who speaks against …speaks evil against the

law and judges the law ) –2:8;อพย.20:16;สดด.15:3;50:19-20;สภษ.6:16,19

= การพูดกล่าวร้ายพี่น้องคือการกล่าวร้ายพระบัญญัติแห่งความรักของพระเจ้า –รม.1:30;2คร.12:20;

1ปต.2:1;มธ.7:1;ยก.1:22

4:12     “ผู้ที่ตัดสินมีแต่เพียงองค์เดียว” (There is only one …judge) -อสย.33:22;ยก.5:9

“ผู้ทรงสามารถช่วยให้รอดหรือทำลายก็ได้” (who is able to save and to destroy) –มธ.10:28

“แต่ท่านเป็นใคร ถึงได้ตัดสินเพื่อนบ้านของท่าน” (who are you to judge your neighbor) มธ.7:1

4:13-5:6 -ในยากอบ 4:13-17 กล่าวถึงพ่อค้าที่เดินทางค้าขายกับการโอ้อวด

ในยากอบ 5:1-6 ยากอบเตือนเจ้าของที่ดินที่มั่งมีเรื่องการใช้ความมั่งคั่งอย่างไม่ถูกต้อง

4:13    “ฟังให้ดีนะ” (Come now ) –ยก 5:1

“และจะค้าขายแล้วได้กำไร” (trade and make a profit ) –สภษ.27:1;ลก.12:18-20

4:14     “เหมือนหมอก…ปรากฏอยู่เพียงชั่วครูแล้วก็จางหายไป” (For you are a mist that appears for a

little time and then vanishes.) –โยบ 7:7; (อึดใจเดียว);สดด.39:5;144:4;อสย.2:22

คำว่า “หมอก” เปรียบได้กับ “เงา” –1พศด.29:15;   เมฆ (โยบ 7:9)   เงาในยามเย็น (สดด.102:3)

4:15     “ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรด” (If the Lord wills ) = ถ้าเป็นพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า

–กจ.18:21

4:16     “การอวดอ้างทุกอย่างนั้น ล้วนเป็นความชั่ว” ( All such boasting is evil) –1คร.5:6

4:17     “คนที่รู่ว่าอะไรเป็นความดีที่ต้องทำ แต่ไม่ได้ทำ คนนั้นจึงมีบาป” (So whoever knows the right

thing to do and fails to do it, for him it is sin) –ลก.12:47;ยน.9:41

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยทะเลาะหรือต่อสู้กับใครบางคน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในคริสตจักรหรืองค์กรที่คุณอยู่) หรือไม่? คุณคิดว่า ต้นตอหรือต้นเหตุของการต่อสู้กันคืออะไร? คู่ควรที่จะต่อสู้กันอย่างที่เป็นอยู่ใหม่? ทำไม?
  2. คุณเคยอยากได้ และขอแล้วไม่ได้รับบ้างไหม คุณรู้สึกอย่างไร? โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคุณอยากได้และขอจาก

…..1) พระเจ้า?

…..2) คนที่คุณรัก?

…..3) คนใกล้ตัวของคุณ?

  1. คุณคิดว่า ทำไมคุณจึงไม่ได้รับ? เวลานี้คุณคิดว่าคุณเป็นมิตรกับโลกอยู่หรือไม่? คุณรู้ไหมว่า การเป็นมิตรกับโลกคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า? ทำไม? หากคุณเป็น คุณคิดจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร?
  2. คุณคิดว่า คุณยอมจำนนต่อพระเจ้าแล้วหรือยัง? ทำไม? แล้วเกิดผลอะไรตามมาบ้าง?
  3. คุณเคยต่อสู้กับมารแบบหนักที่สุดในเรื่องใด? แล้วผลเป็นอย่างไร?
  4. ประสบการณ์ที่ทำให้คุณเสียใจ ร้องไห้และกลับใจใหม่ที่คุณไม่เคยลืมเลยในชีวิตนี้ คือเหตุการณ์อะไร? ที่ไหน? อย่างไร? ทำไม? แล้วผลเป็นอย่างไร?
  5. คุณเคยมีประสบการณ์กับการที่พระเจ้ายกชูคุณขึ้นมาหรือไม่? เรื่องอะไร? คุณคิดว่า อะไรเป็นสาเหตุ?
  6. คุณเคยเจ็บปวดเพราะถูกคนตัดสินหรือกล่าวร้ายคุณบ้างไหม? เรื่องอะไร? แล้วคุณผ่านมาได้อย่างไร? หรือคุณเคยตัดสินหรือกล่าวร้ายผู้ใดแล้วรู้สึกสำนึกเสียใจบ้างหรือไม่?
  7. คุณเคยมั่นใจตัวเองหรือแผนการความสามารถของคุณจนโอ้อวด แล้วตอนท้ายต้องเจ็บปวดเพราะไม่เป็นไปตามที่คิดหรือวางแผนบ้างไหม? อย่างไร?
  8. บทเรียนที่ล้ำค่าที่สุดจากพระธรรมตอนนี้ที่คุณได้รับจากพระเจ้าคืออะไร?………………………………………….

 

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระธรรมยากอบ บทที่ 3

ลิ้น

จงควบคุมมัน ก่อนที่มันจะทำลายคุณ!

พระธรรม        ยากอบ 3:1-18

อ้างอิง            อฟ.4:11;ยก.5:19;2:18;1:17;มธ.7:1-16;5:9;1คร.11:7;รม.2:21;3:9-20;14:19;12:9;1พกษ.8:46;  สดด.39:1;32:9; 12:3-4;73:8-9;140:3;ฟป.1:11

บทนำ

ลิ้นเป็นอวัยวะที่เล็ก ๆ แต่สามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ ทั้งต่อคนพูด คนรอบข้าง และต่อโลกนี้ได้อย่างไม่มีขีดจำกัด

ลิ้นสามารถฆ่าคนหรือรักษาคนให้รอดได้

ดังนั้น จงระวังคำพูดที่ออกจากลิ้นของคุณ!

บทเรียน

3:1“พี่น้องของข้าพเจ้า อย่าเป็นอาจารย์กันมากนักเลย เพราะท่านทั้งหลายก็รู้ว่าเราที่เป็นคนสอนนั้น จะต้องถูก​พิพากษาที่เข้มงวดยิ่งขึ้น”

(Not many of you should become teachers, my brothers, for you know that we who teach will be judged with greater strictness.)

3:2 “เพราะว่าเราทำผิดพลาดมากมายกันทุกคน ถ้าใครไม่เคยทำผิดทางคำพูด คนนั้นก็เป็นคนดีพร้อมและสามารถ​บังคับทั้งตัวได้ด้วย”

  (For we all stumble in many ways. And if anyone does not stumble in what he says, he is a perfect man, able also to bridle his whole body.)

3:3“ถ้าเราเอาบังเหียนใส่ปากม้าเพื่อให้พวกมันเชื่อฟัง เราก็สามารถบังคับมันได้ทั้งตัว” 

     (If we put bits into the mouths of horses so that they obey us, we guide their whole bodies as well.)

3:4“หรือดูเรือซิ แม้ว่ามันจะใหญ่และถูกพัดให้แล่นไปด้วยลมแรง เรือเหล่านั้นก็ยังถูกบังคับด้วยหางเสือเล็กๆ ไปใน​ทิศทางที่นายท้ายต้องการจะให้ไป” 

(Look at the ships also: though they are so large and are driven by strong winds, they are guided by a very small rudder wherever the will of the pilot directs. )

3:5“ลิ้นก็เช่นเดียวกัน เป็นอวัยวะเล็กๆ แต่คุยอวดในเรื่องใหญ่โตคิดดูซิ ไฟเพียงนิดเดียวแต่สามารถทำให้ป่าใหญ่ลุก‍ไหม้ได้”

  (So also the tongue is a small member, yet it boasts of great things.How great a forest is set ablaze by such a small fire! )

3:6“และลิ้นนั้นเป็นไฟ ลิ้นเป็นโลกชั่วร้ายที่ตั้งอยู่ท่ามกลางอวัยวะต่างๆ ของเรา มันทำให้ทั้งกายเป็นมลทิน และ​เผาผลาญวงจรของชีวิต และตัวมันเองก็ถูกเผาผลาญโดยไฟนรก” 

  (And the tongue is a fire, a world of unrighteousness. The tongue is set among our members, staining the whole body, setting on fire the entire course of life, and set on fire by hell. )

3:7“เพราะว่าสัตว์ทุกชนิด ทั้งนก ทั้งสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ในทะเลนั้นทำให้เชื่องได้และมนุษย์ทำให้พวกมันเชื่องมาแล้ว”

(For every kind of beast and bird, of reptile and sea creature, can be tamed and has been tamed by mankind, )

3:8“แต่ลิ้นนั้นไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำให้เชื่องได้ ลิ้นเป็นสิ่งชั่วร้ายที่อยู่ไม่สุขและเต็มไปด้วยพิษร้ายถึงตาย”

       (but no human being can tame the tongue. It is a restless evil, full of deadly poison. )

3:9 “เราสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระบิดาด้วยลิ้นนั้น และเราก็แช่งด่ามนุษย์ผู้ที่พระเจ้าทรงสร้างตามพระฉายา​ของพระองค์ด้วยลิ้นนั้น” 

(With it we bless our Lord and Father, and with it we curse people who are made in the likeness of God.)

3:10“คำสรรเสริญและคำแช่งด่าออกมาจากปากเดียวกัน พี่น้องของข้าพเจ้า อย่าให้เป็นอย่างนั้น” 

(From the same mouth come blessing and cursing. My brothers, these things ought not to be so. )

3:11“บ่อน้ำพุจะมีทั้งน้ำจืดและน้ำเค็มพุ่งออกมาจากช่องเดียวกันได้หรือ?” 

       (Does a spring pour forth from the same opening both fresh and salt water? )

3:12“พี่น้องของข้าพเจ้า ต้นมะเดื่อจะออกผลเป็นมะกอกได้หรือ? และเถาองุ่นจะออกผลเป็นมะเดื่อได้หรือ? บ่อน้ำพุ​เค็มย่อมทำให้เกิดน้ำจืดไม่ได้”

(Can a fig tree, my brothers, bear olives, or a grapevine produce figs? Neither can a salt pond yield fresh water.)

3:13“มีใครบ้างในท่านทั้งหลายที่มีปัญญาและมีความเข้าใจ? ให้เขาแสดงออกมาด้วยความประพฤติที่ดีงาม คือด้วย​การกระทำที่สุภาพอ่อนโยนพร้อมด้วยปัญญาของเขา” 

(Who is wise and understanding among you? By his good conduct let him show his works in the meekness of wisdom.)

3:14 “แต่ถ้าหากในใจของพวกท่านมีความขมขื่นเพราะริษยาและมีความมักใหญ่ใฝ่สูง ก็อย่าโอ้อวดและอย่าต่อ‍ต้านความจริงด้วยการโกหก”

   (But if you have bitter jealousy and selfish ambition in your hearts, do not boast and be false to the truth. )

3:15“ปัญญาอย่างนี้ไม่ใช่ปัญญาที่มาจากเบื้องบน แต่เป็นปัญญาฝ่ายโลก ฝ่ายเนื้อหนังและฝ่ายผีปีศาจ” 

       (This is not the wisdom that comes down from above, but is earthly, unspiritual, demonic. )

3:16“เพราะว่าที่ไหนมีความริษยาและความมักใหญ่ใฝ่สูง ที่นั่นก็มีความวุ่นวายและการทำชั่วทุกอย่าง” 

       (For where jealousy and selfish ambition exist, there will be disorder and every vile practice.)

3:17 “แต่ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก แล้วจึงเป็นความสงบสุข การผ่อนหนักผ่อนเบา การยอม‍รับฟัง การเต็มเปี่ยมด้วยความเมตตาและผลดีต่างๆ ไม่มีการลำเอียง ไม่มีการหน้าซื่อใจคด” 

(But the wisdom from above is first pure, then peaceable, gentle, open to reason, full of mercy and good fruits, impartial and sincere.)

3:18“และพวกที่สร้างสันติ ซึ่งหว่านด้วยสันติ ก็จะได้รับผลคือความชอบธรรม”

         (And a harvest of righteousness is sown in peace by those who make peace.)

 ข้อมูลมีประโยชน์

3:1       “อย่าเป็นอาจารย์กันมากนักเลย” (Not many of you should become teachers) –อฟ.4:11

“ต้องถูกพิพากษาที่เข้มงวดยิ่งกว่า” (will be judged with greater strictness.) –เพราะอาจารย์มีอิทธิพลต่อชีวิตผู้อื่นมากกว่า จึงต้องรับผิดชอบมากกว่าในสิ่งที่พูดสอน และทำ -ปท. มธ.23:1-33;

ลก.20:46-47;ฮบ.13:17

3:2       “เราทำผิดพลาดมากมายกันทุกคน” (we all stumble in many ways) –1พกษ.8:46;รม.3:9-20; ยก.2:10;1ยน.1:8

“ใครไม่เคยทำผิดทางคำพูด” (anyone does not stumble in what he says ) –สดด.39:1;สภษ.10:19; 1ปต.3:10

          “คนนั้นก็เป็นคนดีพร้อม” (he is a perfect man ) = เพราะลิ้นเป็นสิ่งที่ควบคุมยากที่สุด ดังนั้นหากใคร

ควบคุมลิ้นของตนได้เป็นอย่างดี ก็เท่ากับว่า เขาสามารถควบคุมด้านอื่นๆ ในชีวิตของเขาได้ด้วย

–มธ.12:37

“สามารถบังคับทั้งตัวได้ด้วย” (able also to bridle his whole body )- ยก.1:26

3:3       “เราก็สามารถบังคับมันได้ทั้งตัว” (we guide their whole bodies as well.) –สดด.32:9

3:5       “แต่คุยอวดในเรื่องใหญ่โต” (yet it boasts of great things) –สดด.12:3-4;78:8-9

3:6      “ลิ้นนั้นเป็นไฟ” (the tongue is a fire) –สภษ.16:27

“ลิ้นเป็นโลกชั่วร้าย” (a world of unrighteousness.) –บางฉบับแปลว่า “โลกแห่งความชั่วร้าย”=โลกที่ตกต่ำทำบาป

“มันทำให้ทั้งกายเป็นมลทิน” ( staining the whole body) -บางฉบับแปลว่า “ทำให้คนทั้งคนเสื่อมทรามไป” –มธ.15:11,18-19

= เพราะลิ้นเป็นสาเหตุของบาปหลาย ๆ อย่าง เปรียบเทียบ –มก.7:20-23

“ตัวมันเองก็ถูกเผาผลาญโดยไฟนรก” (setting on fire the entire course of life, and set on fire by hell.) = สำนวน เปรียบเทียบเพื่อบอกแหล่งที่มาของความชั่วร้ายของลิ้น ว่ามาจากมารร้ายที่ตัวมันเองก็ต้องลงนรก –ยน.8:44;มธ.5:22;ลก.16:23

3:8       “เต็มไปด้วยพิษร้ายถึงตาย” (full of deadly poison) = เต็มด้วยพิษร้ายที่ทำลายชีวิต –สดด.140:3; รม.3:13

3:9       “ทรงตามพระฉายาของพระองค์” (who are made in the likeness of God.) –เพราะว่ามนุษย์ถูกสร้างตามแบบอย่างของพระองค์ ให้มีคุณลักษณะเป็นเหมือนพระองค์ – ปฐก.1:26-27

ดังนั้น การแช่งด่า/สาปแช่งมนุษย์ ก็เปรียบเหมือนการแช่งสาปพระเจ้า (ปฐก.9:6;1คร.11:7)

3:11-12 – คำพูดที่สะอาดบริสุทธิ์จะออกมาจากใจที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่จากพระเจ้าเท่านั้น

3:11     “น้ำจืดและน้ำเค็ม” (both fresh and salt water) –ในภาษากรีกใช้คำว่า “ขม”–มีรากศัพท์เดียวกันใน 3:15 –“ขมขื่น”

3:12     “เถาองุ่นจะออกผลเป็นมะเดื่อได้หรือ?” (a grapevine produce figs) –มธ.7:16

3:13     “แสดงออกมา” (show) –ยก.2:18; “การกระทำ” (his works) –1ปต.2:12

“พร้อมด้วยปัญญาของเขา” ( wisdom) –บางฉบับแปลว่า “ซึ่งมาจากสติปัญญา” -ยก.1:5

3:14     “มีความมักใหญ่ใฝ่สูง” (ambition) –ในบางฉบับแปลว่า “ทะเยอทะยานอย่างเห็นแก่ตัว”

–2คร.12:20;ยก.3:16

“อย่าต่อต้านความจริงด้วยการโกหก”(do not boast and be false to the truth.) –ยก.5:19

3:15     “ปัญญาที่มาจากเบื้องบน” (the wisdom that comes down from above   ) = ปัญญาที่มาจากสวรรค์ คือมาจากพระเจ้า -1:5,17;3:17;1คร.2:6-16;ดนล.4:26

“เป็นปัญญาฝ่ายโลก ฝ่ายเนื้อหนังและฝ่ายผีปีศาจ” (is earthly, unspiritual, demonic) = ไม่ได้อยู่ฝ่ายพระวิญญาณของพระเจ้า –1ทธ.4:1

3:16     “ความมักใหญ่ใฝ่สูง” (selfish ambition exist) = ความทะเยอทะยานอย่างเห็นแก่ตัว – ยก.3:14; กท.5:20-21

“ที่นั่นก็มีความวุ่นวาย” (there will be disorder) –แต่พระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าแห่งความวุ่นวาย พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งสันติ(สุข) –1คร.14:33

3:17     “ความสงบสุข” (then peaceable) = การรักสันติ –ฮบ.12:11

“เต็มเปี่ยมด้วยความเมตตา” (full of mercy) –ลก.6:36

          “ไม่มีความลำเอียง” (impartial) -2:1-13; “ไม่มีการหน้าซื่อใจคด” (sincere) –มีความจริงใจ –รม.12:9

3:18     “ พวกที่สร้างสันติ” (those who make peace) = ตรงข้ามกับข้อ 16 ความบาดหมางกันไม่มีทางทำให้พระเจ้าพอพระทัยได้ –มธ.5:9;รม.14:19

“จะได้รับผลคือ ความชอบธรรม” (harvest of righteousness) = จะได้เก็บเกี่ยวผลแห่งความชอบธรรม–สภษ.11:18;อสย.32:17;ฮชย.10:12;ฟป.1:11

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยคิดจะเป็นอาจารย์สอนพระคัมภีร์หรือไม่? ทำไม?
  2. คุณรู้หรือไม่ว่า การเป็นอาจารย์นั้นมีความรับผิดชอบสูง และต้องถูกพิพากษาอย่างเข้มงวด? แล้วคุณยังอยากจะเป็นต่อไปหรือไม่?
  1. คุณได้เตรียมตัวเองอย่างไร เพื่อให้พระเจ้าสามารถใช้คุณได้อย่างมีประสิทธิภาพในฐานะอาจารย์ผู้สอน พระคัมภีร์?
  2. คุณต้องระมัดระวัง ในเรื่องอะไรบ้าง ในการทำหน้าที่เป็นอาจารย์ผู้สอนพระคัมภีร์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการพูดจา?)
  3. คุณเคยเป็นคนดีพร้อมบ่อยครั้งไหม? หมายความว่า มีกี่วันที่คุณไม่ได้ทำผิดทางวาจาเลย (ไม่ว่าจะโดยการพูด การเขียน หรือการพิมพ์(โพสต์) ต่าง ๆ ? คุณทำได้อย่างไร?
  4. คุณเคยได้รับผลกระทบที่ทำให้คุณเจ็บปวดเพราะ
  • คำพูดของคุณเอง?
  • คำพูดของคนอื่น?

หรือไม่? ทำไม? และอย่างไร? (แบ่งปัน)

  1. คริสตจักรของคุณเคยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงหรือเสียหายเพราะคำพูดของคุณหรือของคนอื่น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำคริสตจักร) บ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร? และอย่างไร?
  2. คุณคิดว่าคุณเป็นคนที่สามารถควบคุม ลิ้นหรือปากของคุณได้ในระดับใด

…..1) ดีมาก (ได้หมด)

…..2) ได้ค่อนข้างมาก (ได้ส่วนใหญ่)

…..3) ได้บ้าง (ปานกลาง)

…..4) ไม่ค่อยได้ (ได้น้อยมาก/หรือไม่ได้เลย)

ทำไมคุณคิดเช่นนั้น?

  1. ในเวลานี้ยังมีสิ่งใดต่อไปนี้บ้างที่ทำให้คุณรู้สึกขมขื่น

…..1) ความริษยา

…..2) ความมักใหญ่ใฝ่สูง

…..3) การโอ้อวด

…..4) การโกหก/การต่อต้านความจริง

…..5) ความวุ่นวาย

…..6) การทำชั่วทุกอย่าง

เรื่องเป็นอย่างไร? แล้วคุณรับมือกับมันอย่างไร?

  1. คุณมีประสบการณ์ที่ดีอันเป็นผลของการมี “ปัญญา” และ “ความเข้าใจ” ในเรื่องใดต่อไปนี้ ในชีวิตและในคริสตจักรของคุณบ้าง? (แบ่งปัน)

…..1) การประพฤติที่ดีงาม การกระทำที่สุภาพอ่อนโยนพร้อมปัญญา

…..2) ความบริสุทธิ์

…..3) ความสงบสุข

…..4) การผ่อนหนักผ่อนเบา

…..5) การยอมรับฟัง

…..6) กาเต็มเปี่ยมด้วยความเมตตา และผลดีต่าง ๆ

…..7)การไม่ลำเอียง

…..8) การไม่หน้าซื่อใจคด

…..9) การสร้างสันติ

….10) ความชอบธรรม

 

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์