Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนจากพระธรรมดาเนียล (บทนำร่อง)

ดาเนียล (Daniel)

บทนำ

1) ผู้เขียน = ดาเนียล

  1. พระธรรมดาเนียล บ่งบอก  (ดนล.9:2;10:2)
  2. พระเยซูสนับสนุน  (มธ.24:15)  ซึ่งอ้างพระธรรมดาเนียล 9:27;11:31;12:11

ภูมิหลังของดาเนียล:

  • ดาเนียลเป็นอนุชนที่มีเชื้อสายผู้มีชาติตระกูลสูง ถูกจับตัวเป็นเชลยจากยูดาห์ไปยังบาบิโลน โดยเนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลน (605 ก.ค.ศ.; ดนล.1:1)  ในช่วงสมัยกษัตริย์ เยโฮยาคิมแห่งยูดาห์  (Jehoiakim, 609-597 ก.ค.ศ.)
  • ดาเนียลอาศัยอยู่ในบาบิโลนนับจากนั้นมาจวบจนสิ้นชีวิต
  • ดาเนียลรับใช้กษัตริย์ไซรัส (มิโด-เปอร์เซีย) ต่อไปอีกหลังจากที่บาบิโลนล่มสลาย (536 ก.ค.ศ.,10:1)
  1. เวลาที่เขียน

= ในช่วง ศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตศักราช เขียนเสร็จราว 530 ก.ค.ศ. (หลังกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซีย พิชิตบาบิโลนในปี 539 ก.ค.ศ. ได้ไม่นาน)

  1. เนื้อหาและประเด็นสำคัญของพระธรรมดาเนียล

เป็นเรื่องราวเหตุการณ์ชีวิตและนิมิตที่ดาเนียลได้เห็นจากช่วงเวลาที่เขาต้องถูกกวาดต้อนไปอยู่บาบิโลน ในปี 605 ก.ค.ศ. จนกระทั่งถึงปีที่ 3 ในสมัยการปกครองของกษัตริย์ไซรัส (Cyrus) (536 ก.ค.ศ. ;10:1)

ประเด็นสำคัญสรุปอยู่ในดาเนียล 9:17;5:21

= “พระเจ้าสูงสุดมีชัยและครอบครองทั่วสากลอยู่เหนือมวลอาณาจักรของมนุษย์เป็นนิตย์”

(7:11,26-27;8:25;9:27)  ปท. วว.11:15;ดนล.2:44;7:27

นั่นคือ พระเจ้าทรงอยู่เหนือประวัติศาสตร์ และอาณาจักรทั้งมวล ทรงสามารถตั้งและปลดกษัตริย์ได้ทั่วพิภพตามประสงค์, 2:21;4:34-37)

ทุกอาณาจักรจะผ่านไปและถูกแทนที่ด้วยอาณาจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ไม่มีวันล่มสลาย (2:44;7:27)

ดังนั้น แม้จะผ่านการทดสอบและความยากลำบาก แต่หากผู้เชื่อซื่อสัตย์ยืนหยัดจนถึงที่สุด พวกเขาก็จะได้รับสง่าราศี เกียรติและชีวิตนิรันดร์ในแผ่นดินของพระเจ้า (12:1-3)

  1. ลักษณะของการประพันธ์
  • เป็นการเล่าเรื่องเชิงประวัติศาสตร์ (ส่วนใหญ่ใน บทที่ 1-6)
  • เป็นคำพยากรณ์ถึงเหตุการณ์ในอนาคต(ส่วนใหญ่ใน บทที่ 7-12)

= วรรณกรรมเพื่อเสริมสร้างกำลังใจให้ประชากรของพระเจ้า

  • เชิงสัญลักษณ์
  • เชิงนิมิต
  • เชิงพยากรณ์

มีเนื้อหาสาระทางศาสนศาสตร์หลัก ๆ เป็นเรื่องอนาคตศาสตร์

โครงเรื่องของพระธรรมดาเนียล

  1. บทนำ : ภูมิหลัง(บทที่ 1 :ต้นฉบับภาษาฮีบรู)
  • ภูมิหลังด้านประวัติศาสตร์ (1:1 -2)
  • ดาเนียลและเพื่อนตกเป็นเชลย (1:3-7)
  • ชายหนุ่มผู้ซื่อสัตย์ทั้ง 4 (1:8-16)
  • ชายหนุ่มผู้สัตย์ซื่อทั้ง 4 ได้รับตำแหน่งสำคัญ (1:17-21)
  1. ชะตากรรมของชนชาติต่าง ๆ (บทที่ 2-7 : ต้นฉบับภาษาอาราเมค เริ่มที่ 2:4ข)
  • เนบูคัดเนสซาร์ทรงฝันเกี่ยวกับรูปปั้นมหึมา (บทที่ 3)
  • เนบูคัดเนสซาร์ทรงสร้างเทวรูปทองคำ และออกพระราชโองการให้ทุกคนนมัสการ (บทที่ 3)
  • เนบูคัดเนสซาร์เห็นนิมิตเรื่องต้นไม้ใหญ่ (บทที่ 4)
  • เบลชัสซาส์ และอาณาจักรล่มสลาย (บทที่ 5)
  • ดาเนียล ได้รับการช่วยให้รอดจากถ้ำสิงโต (บทที่ 6)
  • ดาเนียบฝันเกี่ยวกับสัตว์ ทั้ง 4 (บทที่ 7)
  1. ชะตากรรมของชาติอิสราเอล (บทที่ 8-12 : ต้นฉบับภาษาฮีบรู)
  • ดาเนียลเห็นนิมิตเกี่ยวกับ แกะผู้และแพะผู้ (บทที่ 8)
  • ดาเนียลอธิษฐานและเห็นนิมิตเรื่อง “70” ของ “7” (บทที่ 9)
  • ดาเนียลเห็นนิมิตเกี่ยวกับอนาคตของอิสราเอล (บทที่ 10-12)
  • พระเจ้าทรงสำแดงสิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น (บทที่ 10:1-3)
  • ทูตสวรรค์สำแดง (10:4-11:1)
  • คำพยากรณ์เกี่ยวกับเปอร์เซียและกรีซ (11:2-4)
  • คำพยากรณ์เกี่ยวกับอียิปต์ และซีเรีย (11:5-35)
  • คำพยากรณ์เกี่ยวกับปฏิปักษ์ของพระคริสต์ (11:34-45)
  • ความทุกข์ลำบากและการช่วยกู้ (12:1)
  • การเป็นขึ้นจากตาย (12:2-3)
  • คำสั่งสำหรับดาเนียล (12:4)
  1. สรุป (12:5-13)

 

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

พระธรรม: “1 ยอห์น 5 (จบ)”

พระธรรม        1ยอห์น 5:1-21

อ้างอิง            1ยน.1:10;2:13,23;3:4,14,21-23;4:6;5:5,11,16

บทนำ            คนที่เกิดจากพระเจ้าจะไม่ทำบาปและมีชัยชนะ เพราะความเชื่อและการเชื่อฟังพระเจ้า แล้วคุณเองมีชัยชนะอย่างนั้นในชีวิตของคุณหรือไม่?

บทเรียน

5:1 “คนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ ก็เกิดจากพระเจ้า และคนที่รักพระองค์ผู้ทรงให้กำเนิด ก็รักคนที่เกิดจากพระองค์ด้วย” 

     (Everyone who believes that Jesus is the Christ has been born of God, and everyone who loves  the Father loves whoever has been born of him.)

5:2 “โดยข้อนี้ เราจึงรู้ว่าเรารักคนทั้งหลายที่เป็นลูกของพระเจ้า คือเมื่อเรารักพระเจ้า และประพฤติตามพระบัญญัติ​ของพระองค์”

      (By this we know that we love the children of God, when we love God and obey his  commandments.) 

5:3 “เพราะว่าความรักต่อพระเจ้าเป็นอย่างนี้ คือเมื่อเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ และพระบัญญัติของพระองค์นั้นไม่เป็นภาระหนักเกินไป”

         (For this is the love of God, that we keep his commandments. And his commandments are not burdensome.)

5:4 “เพราะทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า ก็มีชัยเหนือโลก และความเชื่อของเรานี่แหละเป็นชัยชนะที่มีชัยเหนือโลก” 

     (For everyone who has been born of God overcomes the world. And this is the victory that has overcome the world—our faith. )

5:5 “ใครล่ะที่มีชัยเหนือโลก? ไม่ใช่ใครอื่น คือคนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้านั่นเอง”

        (Who is it that overcomes the world except the one who believes that Jesus is the Son of God?)

5:6 “นี่แหละคือผู้ที่ได้มาด้วยน้ำและพระโลหิต คือพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ด้วยน้ำเพียงอย่างเดียว แต่ด้วยน้ำและ​พระโลหิต และพระวิญญาณทรงเป็นพยาน เพราะพระวิญญาณทรงเป็นความจริง”

      (This is he who came by water and blood—Jesus Christ; not by the water only but by the water and the blood. And the Spirit is the one who testifies, because the Spirit is the truth.)

5:7 “มีพยานอยู่สามอย่างด้วยกัน” 

      (For there are three that testify:)

5:8 “คือพระวิญญาณ น้ำ และพระโลหิต และพยานทั้งสามอย่างนี้สอดคล้องกัน”

(the Spirit and the water and the blood; and these three agree. )

5:9 “ถ้าเรายอมรับพยานหลักฐานของมนุษย์ พยานหลักฐานของพระเจ้าก็ยิ่งใหญ่กว่า เพราะว่าเป็นพยานหลักฐานที่พระเจ้าทรงเป็นพยานอ้างถึงพระบุตรของพระองค์”

      (If we receive the testimony of men, the testimony of God is greater, for this is the testimony of God that he has borne concerning his Son.)

5:10 “คนที่เชื่อพระบุตรของพระเจ้าก็มีพยานอยู่ในตัว คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าก็ทำให้พระองค์เป็นผู้ตรัสมุสา เพราะเขาม่ได้เชื่อคำพยานที่พระเจ้าทรงเป็นพยานอ้างถึงพระบุตรของพระองค์” 

     (Whoever believes in the Son of God has the testimony in himself. Whoever does not believe  God has made him a liar, because he has not believed in the testimony that God has borne  concerning his Son.)

5:11 “และพยานหลักฐานนั้นก็คือ พระเจ้าประทานชีวิตนิรันดร์แก่เรา และชีวิตนี้มีอยู่ในพระบุตรของพระองค์” 

           (And this is the testimony, that God gave us eternal life, and this life is in his Son.)

5:12 “คนที่มีพระบุตรก็มีชีวิต คนที่ไม่มีพระบุตรก็ไม่มีชีวิต”

          (Whoever has the Son has life; whoever does not have the Son of God does not have life.)

5:13 “ข้อความเหล่านี้ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านทั้งหลายที่วางใจในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า เพื่อให้ท่านรู้ว่าทานมีชีวิตนิรันดร์” 

       (I write these things to you who believe in the name of the Son of God that you may know that you have eternal life.)

5:14 “และนี่เป็นความมั่นใจที่เรามีต่อพระองค์ คือถ้าเราทูลขอสิ่งใดที่เป็นพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟัง” 

        (And this is the confidence that we have toward him, that if we ask anything according to his will  he hears us.)

5:15 “และถ้าเรารู้ว่าพระองค์ทรงฟังเมื่อเราทูลขอสิ่งใด เราก็รู้ว่าเราได้รับสิ่งที่ทูลขอนั้นจากพระองค์”

        (And if we know that he hears us in whatever we ask, we know that we have the requests that we  have asked of him.)

5:16 “ถ้าใครเห็นพี่น้องของตนทำบาปชนิดที่ไม่นำไปสู่ความตาย ก็ให้คนนั้นทูลขอ และพระองค์ก็จะประทานชีวิตแก่คนที่ทำบาปซึ่งไม่นำไปสู่ความตาย บาปที่นำไปสู่ความตายก็มี ข้าพเจ้าไม่ได้บอกว่าให้อธิษฐานในเรื่องบาปอย่างนั้น” 

      (If anyone sees his brother committing a sin not leading to death, he shall ask, and God will give  him life—to those who commit sins that do not lead to death. There is sin that leads to death; I do not say that one should pray for that.) 

5:17 “การอธรรมทุกอย่างเป็นบาป แต่บาปที่ไม่นำไปสู่ความตายก็มีอยู่”

         (All wrongdoing is sin, but there is sin that does not lead to death.)

5:18 “เรารู้ว่าทุกคนที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาป แต่พระองค์ผู้ทรงบังเกิดจากพระเจ้าทรงคุ้มครองรักษาเขา และมารร้ายไม่แตะต้องเขา”

      (We know that everyone who has been born of God does not keep on sinning, but he who was  born of God protects him, and the evil one does not touch him.)

5:19 “เรารู้ว่าเราเกิดจากพระเจ้า แต่โลกทั้งหมดอยู่ในมือของมารร้าย”

         (We know that we are from God, and the whole world lies in the power of the evil one.)

5:20 “และเรารู้ว่าพระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาแล้ว และประทานสติปัญญาแก่เรา เพื่อให้เรารู้จักพระองค์ผู้ทรงสัตย์จริง และเราอยู่ในพระองค์นั้นโดยอยู่ในพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ พระองค์นี่แหละเป็นพระเจ้าแท้และเป็นชีวิตนิรันดร์”

       (And we know that the Son of God has come and has given us understanding, so that we may know him who is true; and we are in him who is true, in his Son Jesus Christ. He is the true God  and eternal life.)

5:21 “ลูกทั้งหลายเอ๋ย จงรักษาตัวให้พ้นจากรูปเคารพ”

       (Little children, keep yourselves from idols.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

5:1       “ทุกคนที่เชื่อ” (Everyone who believes)  = การเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์(1ยน.2:22;4:2,15) หรือ

ผู้ช่วยให้รอด (เมสสิยาห์) เป็นเครื่องหมายหนึ่งของการบังเกิดใหม่ เช่นเดียวกับความรักใน 4:7 – ยน.3:15

“ก็เกิดจากพระเจ้า” (born of God) –ยน.1:13;1ยน.2:23

“คนที่รักพระองค์ผู้ทรงให้กำเนิด ก็รักคนที่เกิดจากพระองค์ด้วย” (everyone who loves the Father loves whoever has been born of him)

บางฉบับแปลว่า  = ทุกคนที่รักบิดาย่อมรักบุตรของเขาด้วย (เป็นภาพของครอบครัวที่สนับสนุนกลมเกลียวกันเป็นหนึ่งภายใต้การนำของผู้เป็นบิดา)  -ยน.8:42

5:3       “เพราะว่า ความรักต่อพระเจ้าเป็นอย่างนี้คือ เมื่อเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์”

(For this is  the love of God, that we keep his commandments)

-ในบางฉบับแปลว่า “การรักพระเจ้าคือ การเชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้า”        ปท. ยน.14:15,21

“พระบัญญัติของพระองค์นั้นไม่เป็นภาระหนักเกินไป” (his commandments are not burdensome)

= “พระบัญชาของพระเจ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง”

= ไม่ใช่เพราะว่า พระบัญชาหรือพระบัญญัตินั้นง่าย แต่เพราะการบังเกิดใหม่จากพระเจ้า (ข.4) โดยความเชื่อ ทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาช่วยเหลือผู้นั้นให้เชื่อฟังได้

5:4       “ก็มีชัยเหนือโลก….เป็นชัยชนะที่มีชัยเหนือโลก”  (overcomes the world …is the victory that has  overcome the world) = การมีชัยชนะเหนือรูปแบบชีวิตที่บาป

“เพราะความเชื่อของเรานี่แหละ” (our faith) = การเชื่อทำให้ผู้เชื่อบังเกิดใหม่ และพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ภายในเขา และประทานกำลังให้แก่เขา ทำให้เขาเชื่อฟังพระเจ้าและมีชัยต่อโลกได้

ยอห์น พูดถึงชัยชนะใน 2 ลักษณะ

  1. ชัยชนะแรกเมื่อได้หันจากโลกมาสู่พระเจ้า โดยความเชื่อ (คำว่า “มีชัย” ในข้อนี้ = แสดงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้วในอดีต)
  2. ชัยชนะในการดำเนินชีวิตคริสเตียนในแต่ละวัน (คำว่า “ชัยชนะ” นี้เป็นกริยาในปัจจุบันกาล)

“โลก” (world) -2:15

5:5       “พระบุตรของพระเจ้า” (Son of God) = คำประกาศความเชื่อที่คู่ขนานกันใน 2:22;4:2;5:1

5:6       “น้ำและพระโลหิต” (water and blood)

  1. น้ำ เล็งเห็นถึงการบัพติศมาของพระเยซูคริสต์
  2. โลหิต เล็งถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์

พระเยซูเริ่มพระราชกิจเมื่อพระองค์รับบัพติศมาในน้ำ และสิ้นสุดพันธกิจเมื่อหลั่งโลหิตสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน

-ไม่ใช่ว่าพระเยซูมาเป็นมนุษย์แค่ก่อนการทนทุกข์บนไม้กางเขนอย่างที่พวกนอสติกในสมัยนั้นสอน

-ในจดหมายฉบับนี้ตลอดทั้งฉบับ ยอห์นจึงพยายามยืนยันว่า

พระเยซู = ทั้งพระเจ้าและมนุษย์ (1:1-4;4:2;5:5)  และเป็นพระเจ้าและมนุษย์มาตลอดจนถึงเวลาที่พระเยซูสิ้นพระชนม์  (6 ข.)   เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของมนุษย์ (2:2;4:16)

“พระวิญญาณทรงเป็นพยาน” (the Spirit is the one who testifie) = เป็นพยานว่า พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า 2 ทางคือ

  1. พระวิญญาณเสด็จลงมาเหนือพระเยซูคริสต์ ในขณะที่พระองค์ทรงรับบัพติศมา –ยน.1:32-34
  2. พระวิญญาณยืนยันคำพยานของอัครทูตในใจของผู้เชื่อ

-การรับบัพติศมาและการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู บนไม้กางเขน จึงเป็นข้อพิสูจน์ว่า พระองค์เป็น    พระคริสต์และพระบุตรของพระเจ้า (2:27;1คร.12:3)

5:7       “มีพยานอยู่สามอย่าง”( three that testify) = บัญญัติในพระคัมภีร์ เรียกร้องให้มี “พยาน 2 หรือ 3 ปาก”(ฉธบ.17:6)

5:9       “พยานหลักฐานของพระเจ้า” (the testimony of God ) -บางฉบับแปลว่า “คำพยานของพระเจ้า”

= คำพยานจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ข.6-8)   ปท. มธ.3:16-17;ยน.5:32,37:8:17,18

5:10     “มีพยานอยู่ในตัว” (the testimony in himself) =ผู้ที่เชื่อในพระบุตรของพระเจ้ามีคำพยานนี้อยู่ในใจ

–รม.8:16;กท.4:6

“ก็ทำให้พระองค์เป็นผู้ตรัสมุสา” (God has made him a liar) = ผู้ไม่เชื่อพระเจ้าก็กล่าวหาว่าพระองค์ตรัสมุสา –ยน.3:33;1ยน.1:10

5:11     “พระเจ้าประทานชีวิตนิรันดร์แก่เรา” (God gave us eternal life) = ให้แบบเปล่า ๆ ไม่คิดมูลค่าใด ๆ เป็นของขวัญสำหรับเรา –ยน.3:15,36

“ชีวิตนี้มีอยู่ในพระบุตรของพระองค์” (his life is in his Son) –ยน.3:36,1:4

5:12     “คนที่ไม่มีพระบุตรก็ไม่มีชีวิต” (whoever does not have the Son of God does not have life)

–ยน.3:15-16,36

5:13     “เพื่อให้ท่านรู้ว่าท่านมีชีวิตนิรันดร์” (may know that you have eternal life) = เป็นอีกข้อหนึ่งที่บอกถึงจุดประสงค์ของจดหมายฉบับนี้ (2:26) –มธ.25:46;1ยน.5:11

5:14     “นี่เป็นความมั่นใจ” (this is the confidence) –อฟ.3:12;1ยน.3:21

“ถ้าเราทูลขอสิ่งใดที่เป็นพระประสงค์ของพระองค์” ( if we ask anything according to his will he hears us.) –ลก.22:42;มธ.7:7; ปท.3:21-22

5:15     “เราก็รู้ว่า“ (we know) –1ยน.5:18-20

“เราได้รับสิ่งที่ทูลขอนั้นจากพระองค์” (we have the requests that we have asked of him.)

–1พกษ.3:12

5:16-17 = เป็นตัวอย่างของการวิงวอนแบบหนึ่งที่เรามั่นใจได้ว่า พระเจ้าจะทรงตอบ (ข.14-15)

“จะประทานชีวิตแก่คนที่ทำบาปซึ่งไม่นำไปสู่ความตาย” (God will give him life—to those who commit sins that do not lead to death.        ) –ยก.5:15

“บาปที่นำไปสู่ความตายก็มี” (sin that leads to death)

อาจหมายถึง

  1. ใจที่แข็งกระด้างและยืนกรานปฏิเสธความจริง (ไม่สนใจในหลักศีลธรรม/จริยธรรม/จรรยาใด ๆ ) (รวมทั้งการผิดศีลธรรมอย่างพวกนอสติก) = บาปที่ไม่ยอมกลับใจเช่นนี้ นำไปสู่ความตายฝ่ายจิตวิญญาณ
  1. บาปซึ่งผลทำให้ต้องตายฝ่ายร่างกาย โดยเชื่อว่า หากผู้เชื่อยังดึงดันทำบาปต่อไป พระเจ้าจะพิพากษาเขาโดยเอาชีวิตของเขาไป (ปท.1คร.11:30) ปท.อพย.23:21;ฮบ.6:4-6;10:26;ยรม.7:16;14:11

5:17     “การอธรรมทุกอย่างเป็นบาป” (All wrongdoing is sin) 1ยน.3:4

“แต่บาปที่ไม่นำไปสู่ความตายก็มีอยู่” (, but there is sin that does not lead to death) 1ยน.2:1;5:16

5:18-20  “เรารู้ว่า” (We know) = จดหมายฉบับนี้จบลงด้วยการย้ำใน 3 ข้อความ เพื่อยืนยันความจริงว่า “เรารู้” ซึ่งเป็นการสรุปประเด็นสำคัญบางประเด็นของจดหมาย

5:18     “ผู้ที่เกิดจากพระเจ้า” (who has been born of God) –1ยน.1:13

“พระองค์ผู้ทรงบังเกิดจากพระเจ้า” (he who was born of God)  = พระเยซูพระบุตรของพระเจ้า

          “มารร้าย” (the evil) –มธ.5:37

“ไม่แตะต้องเขา” (not touch him)  = ไม่อาจทำอันตรายเขา –ยน.14:30

5:19     “เรารู้ว่าเราเกิดจากพระเจ้า”(We know that we are from God)= เรารู้ว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า

-1ยน.4:6

“แต่โลกทั้งหมดอยู่ในมือของมารร้าย” ( the whole world lies in the power of the evil one)

= อยู่ภายใต้การควบคุมของมารร้าย (ยน.12:31;14:30;17:15)

5:20     “พระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาแล้ว” (the Son of God has come ) 1ยน.5:5

“ประทานสติปัญญาแก่เรา” ( given us understanding) = ประทานความเข้าใจแก่เรา –ลก.24:45

“เพื่อให้เรารู้จักพระองค์ผู้ทรงสัตย์จริง” (so that we may know him who is true) = รู้จักพระเจ้าที่แท้จริง คือพระเจ้าพระบิดา –ยน.17:3

“พระองค์นี่แหละเป็นพระเจ้าแท้” (He is the true God) = พระเจ้าพระบิดา (หรือพระเจ้าพระบุตรก็ได้)

          “เป็นชีวิตนิรันดร์” (eternal life)= จดหมายฉบับนี้เริ่มด้วยประเด็นนี้ (1:1-2) และเวลานี้จบลงด้วยประเด็นเดียวกัน  -มธ.25:46;1ยน.5:11

5:21     “ลูกทั้งหลายเอ๋ย” (Little children)   -บางฉบับแปลว่า “ลูกที่รัก”  -ยน.2:1

          “รูปเคารพ” (idols) –1คร.10:14;1ธส.1:9 = พระเทียมเท็จที่ต่อต้านพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว (ข.20)

คำถามนำอภิปราย

  1. วันนี้ คุณรักทุกคนที่เป็นบุตรของพระเจ้าเหมือนกันได้หรือไม่? มีใครบางคนที่คุณยังรักเขาไม่ได้บ้าง?  สิ่งนี้เปิดเผยอะไรเกี่ยวกับตัวคุณบ้าง?
  2. เราสามารถเป็นคริสเตียน โดยไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ได้หรือไม่? อย่างไร?
  3. คุณเคยรู้สึกว่า การปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้าเป็นเรื่องยากเกินกว่าที่จะทำได้หรือไม่? แล้วจะขัดกับที่พระคัมภีร์กล่าวไว้หรือไม่ที่ว่า “พระบัญญัติของพระองค์นั้น ไม่เป็นภาระหนักเกินไป” (1ยน.5:3)?
  4. คุณคิดว่า คุณมีชัยเหนือโลกแล้วหรือยัง? ในเรื่องใด? และอย่างไร?
  5. คุณเชื่อจริง ๆ หรือไม่ว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นทั้งมนุษย์แท้ และพระเจ้าแท้ที่ตายไถ่บาปของคุณแล้ว?คุณจะทำสิ่งใดเป็นการพิสูจน์ว่า คุณเชื่อในความจริงนี้บ้าง? และอย่างไร?
  6. หากขอให้คุณเขียน/พิมพ์/โพสต์ หรือส่งข้อความเพื่อยืนยันว่า ใครคนใดมีชีวิตนิรันดร์แล้ว เพราะเขามาเชื่อวางใจในพระคริสต์ คุณจะส่งข้อความนั้นไปให้ใคร? ทำไม?
  7. คุณมั่นใจไหมว่า เวลานี้คุณทูลขอสิ่งใดจากพระเจ้าแล้วพระองค์จะทรงรับฟังและประทานให้คุณตามที่คุณทูลขอ? ทำไมคุณรู้สึกเช่นนั้น? (เปรียบเทียบ 1ยอห์น 5:14-15)
  8. มีใครบ้างรอบตัวของคุณ (รวมทั้งตัวของคุณ) ที่กำลังกระทำบาปที่ไม่นำไปสู่ความตาย คุณจะทูลขอพระเจ้าเพื่อพวกเขาในเรื่องอะไร? ทำไม?
  9. คุณเชื่อหรือไม่ว่า คุณจะไม่ทำบาป และพระเจ้าจะคุ้มครองรักษาคุณ และมารร้ายจะไม่แตะต้องคุณ หากว่าคุณเกิดจากพระเจ้า (จริง ๆ) ? ทำไม? (แล้วจริง ๆ ในชีวิตเป็นแบบนั้นหรือไม่? อย่างไร?)
  10. คุณว่า ทำไมจดหมายฉบับนี้ ต้องจบลงด้วยการเตือนเราให้รักษาตัวให้พ้นจากรูปเคารพ? คุณมีอะไรเป็นรูปเคารพที่มีอิทธิพลเหนือชีวิตของคุณอยู่บ้าง? และคุณจะจัดการกับมันอย่างไร

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนพระธรรม 1ยอห์น (3)

พระธรรม        1ยอห์น 3:1-24

อ้างอิง             ยน.1:12,29;5:24;13:34;15:12,17;ปฐก.4:8

บทนำ              ชีวิตของคริสเตียนต้องสำแดงพระลักษณะของพระเจ้าออกมา หลักฐานที่พิสูจน์ว่า เราเป็นลูกของพระเจ้าคืออะไร บทเรียนในวันนี้จะบอกเรา!

บทเรียน

3:1 “ลองคิดดู พระบิดาได้ประทานความรักแก่เราเพียงไรที่เราได้ชื่อว่าเป็นลูกของพระเจ้า และเราก็เป็นอย่างนั้นเหตุที่ชาว‍โลกไม่รู้จักเรา ก็เพราะเขาไม่รู้จักพระองค์” 

    (See what kind of love the Father has given to us, that we should be called children of God; and so we are. The reason why the world does not know us is that it did not know him.)

3:2 “ท่านที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้เราเป็นลูกของพระเจ้า และเราจะเป็นอย่างไรต่อไปข้างหน้านั้นเรายังไม่รู้ แต่เรารู้ว่าในเวลาที่​พระองค์จะเสด็จมาปรากฏนั้น เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์เพราะว่าเราจะเห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น”

    (Beloved, we are God’s children now, and what we will be has not yet appeared; but we know that when he appears we shall be like him, because we shall see him as he is.)

3:3 “และทุกคนที่มีความหวังอย่างนี้ในพระองค์ ก็ชำระตนให้บริสุทธิ์เหมือนที่พระองค์ทรงบริสุทธิ์”

      (And everyone who thus hopes in him purifies himself as he is pure.)

3:4 “ทุกคนที่ทำบาปก็ประพฤติผิดธรรมบัญญัติ บาปเป็นสิ่งที่ผิดธรรมบัญญัติ” 

      (Everyone who makes a practice of sinning also practices lawlessness; sin is lawlessness.)

3:5 “พวกท่านรู้อยู่แล้วว่าพระองค์ทรงปรากฏเพื่อกำจัดบาปของเราให้หมดไป และไม่มีบาปอยู่ในพระองค์เลย” 

      (You know that he appeared in order to take away sins, and in him there is no sin.)

3:6 “ผู้ที่อยู่ในพระองค์ไม่ทำบาปอีกต่อไป ส่วนผู้ที่ทำบาปอยู่เรื่อยๆ คนนั้นยังไม่เห็นพระองค์และยังไม่รู้จักพระองค์” 

(No one who abides in him keeps on sinning;no one who keeps on sinning has either seen him or known him.)

3:7 “ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้ใครชักจูงท่านให้หลง ผู้ที่ประพฤติชอบก็ชอบธรรมเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงชอบธรรม”

      (Little children, let no one deceive you. Whoever practices righteousness is righteous, as he is righteous.)

3:8 “ผู้ที่ทำบาปก็มาจากมาร เพราะว่ามารก็ทำบาปตั้งแต่เริ่มแรก พระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาปรากฏก็เพราะเหตุนี้คือเพื่อทำลายกิจการของมาร”

  (Whoever makes a practice of sinning is of the devil, for the devil has been sinning from the beginning. The reason the Son of God appeared was to destroy the works of the devil.)

3:9 “ผู้ที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาป เพราะเชื้อของพระเจ้าอยู่ในคนนั้นและเขาทำบาปไม่ได้ เพราะเขาเกิดจากพระเจ้า”

     (No one born of God makes a practice of sinning, for God’s seed abides in him, and he cannot keep on sinning because he has been born of God.) 

3:10 “เช่นนี้แหละ จึงเห็นได้ว่าใครเป็นลูกของพระเจ้า และใครเป็นลูกของมาร คือผู้ที่ไม่ได้ประพฤติชอบ และไม่รักพี่น้อง​ของตน ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า”

    (By this it is evident who are the children of God, and who are the children of the devil: whoever does not practice righteousness is not of God, nor is the one who does not love his brother.)

3:11 “นี่เป็นคำสั่งสอนที่ท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่เริ่มแรก คือให้เรารักกันและกัน” 

  (For this is the message that you have heard from the beginning, that we should love one another.)

3:12 “อย่าเป็นเหมือนอย่างคาอินที่มาจากมารและฆ่าน้องของตนเอง ทำไมเขาถึงฆ่าน้อง? ก็เพราะการกระทำของเขาชั่ว​ และการกระทำของน้องนั้นชอบธรรม”

   (We should not be like Cain, who was of the evil one and murdered his brother. And why did he murder him? Because his own deeds were evil and his brother’s righteous.)

 3:13 “พี่น้องเอ๋ย อย่าประหลาดใจที่โลกนี้เกลียดชังท่าน”

         (Do not be surprised, brothers, that the world hates you. )

3:14 “เรารู้ว่าเราได้พ้นจากความตายไปสู่ชีวิตแล้ว ก็เพราะเรารักพี่น้อง ผู้ที่ไม่รักก็ยังอยู่ในความตาย”

  (We know that we have passed out of death into life, because we love the brothers. Whoever does not love abides in death.) 

3:15 “ผู้ที่เกลียดชังพี่น้องของตนก็เป็นผู้ฆ่าคน และพวกท่านก็รู้อยู่แล้วว่าผู้ฆ่าคนนั้นไม่มีชีวิตนิรันดร์ดำรงอยู่ในตัวเขาเลย”

     (Everyone who hates his brother is a murderer,and you know that no murderer has eternal life abiding in him.)

3:16 “เช่นนี้แหละเราจึงรู้จักความรัก โดยที่พระองค์ได้ยอมสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อเรา และเราก็ควรจะสละชีวิต​ของเราเพื่อพี่น้อง”

        (By this we know love, that he laid down his life for us, and we ought to lay down our lives for the brothers.)

3:17 “แต่ถ้าใครมีทรัพย์สมบัติในโลกนี้ และเห็นพี่น้องของตนขัดสนแล้วยังไม่เปิดใจช่วยเขา ความรักของพระเจ้าจะดำรงอยู่​ในคนนั้นได้อย่างไร?”

       (But if anyone has the world’s goods and sees his brother in need, yet closes his heart against him, how does God’s love abide in him? )

3:18 “ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง”

        (Little children, let us not love in word or talk but in deed and in truth.)

3:19 “เช่นนี้แหละ เราก็จะรู้ว่าเราอยู่ฝ่ายสัจจะ และใจเราจะหมดกังวลเฉพาะพระพักตร์พระองค์” 

        (By this we shall know that we are of the truth and reassure our heart before him;)

3:20 “เมื่อใจของเรากล่าวโทษตัวเราเอง พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าใจของเรา และพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง”

       (for whenever our heart condemns us, God is greater than our heart, and he knows everything.)

3:21 “ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าใจของเราไม่ได้กล่าวโทษเรา เราก็มีความมั่นใจที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้า” 

        (Beloved, if our heart does not condemn us, we have confidence before God;)

3:22 “และเมื่อเราขอสิ่งใด ก็ได้สิ่งนั้นจากพระองค์ เพราะเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ และปฏิบัติตามชอบ‍พระทัยพระองค์”

     (and whatever we ask we receive from him, because we keep his commandments and do what pleases him.)

3:23 “และนี่เป็นพระบัญญัติของพระองค์ คือ ให้เราวางใจในพระนามของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ และให้เรารัก​กันและกัน ตามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้แก่เรา” 

    (And this is his commandment, that we believe in the name of his Son Jesus Christ and love one another, just as he has commanded us.)

3:24 “ทุกคนที่ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ก็อยู่ในพระองค์ และพระองค์สถิตอยู่ในคนนั้น เช่นนี้แหละ พวกเราจึงรู้​ว่kพระองค์สถิตอยู่ในเราคือโดยพระวิญญาณที่พระองค์ประทานแก่เรา”

   (Whoever keeps his commandments abides in God, and God in him. And by this we know that he  abides in us, by the Spirit whom he has given us.)

 ข้อมูลมีประโยชน์

3:1       “เป็นลูกของพระเจ้า” (children of God) –ยน.1:12;1ยน.3:2,10

“เขาไม่รู้จักพระองค์” (it did not know him)  -ยน.15:21;16:3

3:2       “พระองค์…พระองค์” (him … he) = พระคริสต์, คส.3:4;1ยน.2:28

“เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์” (we shall be like him) –รม.8:29;1คร.15:49;ฟป.3:21

3:3       “มีความหวัง” (hopes) = ความมั่นใจที่ไม่หวั่นไหวสั่นคลอนเกี่ยวกับอนาคต –รม.5:5

          “พระองค์” (him) = พระคริสต์

“ชำระตนให้บริสุทธิ์” (purifies himself) = โดยการหันออกจากบาป –2คร.7:1;2ปต.3:13-14;สดด.18:26

3:4       “บาปเป็นสิ่งที่ผิดธรรมบัญญัติ” (sin is lawlessness) –1ยน.5:17

3:5       “กำจัดบาปของเราให้หมดไป” (in order to take away sins) –ยน.1:29;3:17;1ยน.3:8

“ไม่มีบาปอยู่ในพระองค์เลย” (in him there is no sin.) –2คร.5:21

ได้ยืนยันความจริงนี้อีกหลาย ๆ ครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ (2คร.5:21;ฮบ.4:15;1ปต.3:18)

3:6       “ไม่ทำบาปอีกต่อไป” (no one who keeps on sinning) = ยอห์นไม่ได้หมายความว่า เราจะสมบูรณ์แบบจนไม่มีบาปใด ๆ เลย (1:8-10;2:1) แต่ท่านชี้แจงว่า ชีวิตของผู้เชื่อจะไม่ถูกกำหนดโดยบาป แต่โดยการกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง -1ยน.3:9;5:18

“ยังไม่เห็นพระองค์” (no one … has either seen him ) –3ยน.11

“ยังไม่รู้จักพระองค์” (or known him.)  -ยน.2:4

3:7       “ลูกทั้งหลายเอ๋ย” (Little children) = ลูกที่รัก  -1ยน.2:1

“ชักจูงท่านให้หลง” (let no one deceive you) = ให้หลงผิด –1ยน.2:26

“เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงชอบธรรม” (as he is righteous) –1ยน.2:29

3:8       “มาร” (devil) –ยอห์น พูดถึงมารในหลายครั้งหลายแง่มุม

  • มารคือ มารร้าย – ข.12;2:13-14;5:18-19
  • มารทำบาปมาตั้งแต่ปฐมกาล คือเป็นผู้แรกที่กบฏต่อพระเจ้ามาตั้งแต่ต้น ก่อนอาดัมและเอวาจะกระทำบาป (ยน.8:44)
  • มารเป็นผู้ยุยงส่งเสริมให้มนุษย์กระทำบาป และคนที่ทำบาปต่อ ๆ ไปก็เป็นคนของมาร (ข.8,12)
  • มารอยู่ในโลก (4:3) และคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าทั้งโลกก็อยู่ในกำมือของมัน (5:9)
  • มารไม่อาจทำอันตรายผู้เชื่อพระเจ้าได้ (5:18)
  • คริสเตียนมีชัยเหนือมาร (2:13-14;4:4) และพระคริสต์ ทรงทำลายกิจการของมาร –ฮบ.2:14

3:9       “ผู้ที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาป” (No one born of God makes a practice of sinning) = ไม่มีใครที่เกิดจากพระเจ้าแล้วยังคงทำบาปต่อไป –ยน.1:13;สดด.119:3;1ยน.3:6;5:18

“เชื้อของพระเจ้า” (God’s seed)   -บางฉบับแปลว่า “เมล็ดพันธุ์ของพระเจ้า”

= ภาพของการสืบพันธุ์ของมนุษย์ คือเชื้ออสุจิ (คำกรีกที่แปลว่า เมล็ดพันธุ์ คือ “สเปอร์มา”) ที่ให้ชีวิตและถ่ายทอดลักษณะของผู้เป็นพ่อ –1ปต.1:23

“เขาทำบาปไม่ได้” (he cannot keep on sinning) = เขาไม่อาจทำบาปต่อไป  ไม่ใช่ไม่ทำบาปเลย แต่เป็นชีวิตที่ไม่ได้ถูกกำหนดด้วยบาป (อีกต่อไป)

3:10     “ใครเป็นลูกของพระเจ้า” (who are the children of God) –1ยน.1:12;1ยน.3:1,2

“ใครเป็นลูกของมาร” (who are the children of the devil)  -1ยน.3:8

“ไม่รัก” (not love) –1ยน.4:8 ;     “พี่น้องของตน” (his brother) –1ยน.2:9

3:11     “ได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่แรก” (have heard from the beginning) –1ยน.2:7;1ยน.1:5

“ให้เรารักกันและกัน” (love one another) –ยน.13:34-35;15:12;1ยน.4:7,11,21,2ยน.5

3:12     “คาอิน” (Cain) –ฮบ.11:4, เขาเป็นฝ่ายมารและฆ่าอาแบลน้องของตน –ปฐก.4:8;มธ.5:37

“การกระทำของน้องนั้นชอบธรรม” (his brother’s righteous) –สดด.38:20;สภษ.29:10

3:13     “อย่าประหลาดใจที่โลกนี้เกลียดชังท่าน”(Do not be surprised,brothers,that the world hates you)

–ยน.15:18,19;17:14

3:14   “เรารู้ว่าเราได้พ้นจากความตายไปสู่ชีวิตแล้ว”(We know that we have passed out of death into life)                   –ยน.5:24;    “ผู้ที่ไม่รักก็ยังอยู่ในความตาย” (Whoever does not love abides in death) 1ยน.2:9

3:15     “เกลียดชังพี่น้องของตน” (hates his brother) -2:9-10

“ก็เป็นผู้ฆ่าคน” (a murderer) = เป็นฆาตกร, มธ.5:21-22;ยน.8:44;ยก.4:2

“ไม่มีชีวิตนิรันดร์ดำรงอยู่ในตัวเขาเลย” (has eternal life abiding in him.)-กท.5:20,21;วว.21:8

3:16     “ยอมสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อเรา” (laid down his life for us) –ยน.10:11

“เราก็ควรจะสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้อง” (we ought to lay down our lives for the brothers.)

–ยน.15:13;ฟป.2:17;1ธส.2:8

3:17-18 –ยก.2:14-17

3:17     “ไม่เปิดใจช่วยเขา” (closes his heart against him)–บางฉบับแปลว่า “ยังไม่สงสารเขา” -ฉธบ.15:7-8;

ยก.2:15-16

“ความรักของพระเจ้าจะดำรงอยู่ในคนนั้นได้อย่างไร?” (how does God’s love abide in him?)

–1ยน.4:20, เป็นความรักที่พระเจ้าประทานเข้ามาในใจของผู้เชื่อ (รม.5:5) ต้องทำให้คริสเตียนสามารถรักผู้เชื่อและพระเจ้าได้

3:18     “แต่จงรักกันด้วยการกระทำ และด้วยความจริง” (but in deed and in truth) –อสค.33:31;รม.12:9

3:20     “พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าใจของเรา” (God is greater than our heart) = การที่เรารู้ว่าพระเจ้าแสดงความรักของพระองค์ออกมาอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อเป็นหลักฐานแห่งความรอดของเรา จะช่วยทำให้ใจที่หวั่นไหวของเรามั่นคง ขึ้นมาได้   เพราะพระเจ้าทรงรู้จักใจของเราทุกคน ไม่ว่าจะเชื่อในพระองค์หรือไม่

3:21     “ท่านที่รักทั้งหลาย” (Beloved) –บางฉบับแปลว่า “เพื่อนที่รัก”  -1คร.10:14

“เราก็มีความมั่นใจที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้า” (we have confidence before God) –อฟ.3:12;1ยน.5:14

3:22     “ก็ได้สิ่งนั้นจากพระองค์” (we receive from him) –บางฉบับแปลว่า “ได้รับทุกสิ่งที่เราทูลขอจากพระองค์”  -มธ.7:7

“เพราะเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์” (because we keep his commandments)

–ยน.14:15

“ปฏิบัติตามชอบพระทัยพระองค์” (do what pleases him.) –ยน.8:29;ฮบ.13:21

3:23     “ให้เราวางใจในพระนามของพระเยซูคริสต์” (we believe in the name of his Son Jesus Christ)

–ยน.6:29;ลก.24:47;ยน.1:12;3:18;20:31;1คร.6:11;1ยน.5:13

-ในข้อ 23 นี้ มีพระบัญชาอยู่ 2 ส่วนคือ

  1. ให้เชื่อวางใจในพระคริสต์ (ยน.6:29) –ขยายความใน 4:1-6
  2. ให้รักซึ่งกันและกัน (ยน.13:34-35) –ขยายความใน 4:7-12

3:24     “ทุกคนที่ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์” (Whoever keeps his commandments )

= ผู้ที่เชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์ –1ยน.2:3

“ก็อยู่ในพระองค์” (abides in God)  -1ยน.2:6;4:15

“โดยพระวิญญาณที่พระองค์ประทาแก่เรา” (by the Spirit whom he has given us) –1ธส.4:8; 1ยน.4:13

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณภูมิใจที่ได้ชื่อว่า เป็น “บุตรของพระเจ้า” หรือไม่? ทำไม?  (แล้วคุณภูมิใจที่เป็นลูกของพ่อแม่ของคุณหรือไม่?  ทำไม?)
  2. คุณมั่นใจสักแค่ไหนว่า ในวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาเพื่อ (รับผู้เชื่อไปกับพระองค์) คุณจะได้อยู่กับพระองค์ และได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระองค์? ทำไมจึงรู้สึกอย่างนั้น?
  3. คุณยังคงทำบาปเป็นปกติอยู่หรือไม่ หลังจากที่คุณประกาศตัวเป็นคริสเตียนแล้ว? คุณคิดว่า คุณจะรอดหรือไม่?  ทำไม?
  4. หากคุณเคยทำบาปอยู่ โดยเห็นเป็นเรื่องธรรมดา คุณจะประพฤติเช่นนั้นต่อไป โดยไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลยหรือไม่ ?  แต่หากคุณต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ คุณจะทำอะไรบ้าง? และอย่างไร? เมื่อไร?
  5. อะไรคือข้อพิสูจน์หรือตัวบ่งบอกว่า “เชื้อของพระเจ้า” (เมล็ดพันธุ์ของพระเจ้า) ดำรงอยู่ในตัวของคุณ?
  6. หากข้อพิสูจน์ว่า ใครเป็นลูกของพระเจ้ามีเพียง 2 ข้อคือ

…1) การประพฤติชอบ (ทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง)                            …2)  การรักพี่น้องทั้งหลาย

คุณมีปัญหากับข้อใด?  ทำไม?

  1. ชีวิตของคุณเวลานี้ เป็นเหมือนคาอินหรืออาแบล (น้องของคาอิน) อย่างไรบ้าง?
  2. เวลานี้ โลกนี้กำลังเกลียดชังคุณอยู่หรือไม่? ด้วยสาเหตุใด? คุณรับมืออย่างไร?
  3. คุณเคยเสียสละให้กับผู้ใดมากที่สุด? ในเรื่องอะไร? อย่างไร? แค่ไหน?  อะไรคือแรงจูงใจ และผลที่ตามมาคืออะไร?
  4. คุณเคยประทับใจกับความรักของบุคคลใดที่แสดงออกมาทั้งผ่าน

…1) คำพูด และ                               …2) การกระทำ

เขาแสดงออกมาอย่างไร? ต่อใคร? และ คุณตั้งใจกระทำตามนั้นหรือไม่? อย่างไร?.

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนพระธรรม 1ยอห์น (2)

1ยอห์น 2

พระธรรม        1ยอห์น 2:1-29

อ้างอิง             1ธส.2:11;1ยน.2:1,9,12,13,28;3:7,14;มธ.11:29;1คร.10:14;รม.8:34;13:11,12;3:25;กจ.20:30; 2คร.1:21;ยน.14:15;16:33;5:38;สภษ.27:20;คส.3:4;ทต.1:16;ลนต.19:17;ปฐก.3:6;2ปต.1:12

บทนำ            หากเรารู้จักกับพระเจ้า เราจะประพฤติตามพระบัญญัติของพระเจ้า เราจะแสดงออกมาโดยการรักคนอื่น อย่างที่พระคริสต์ทรงบัญชา!

บทเรียน

 2:1 “ลูกของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านทั้งหลายเพื่อท่านจะได้ไม่ทำบาป และถ้าใครทำบาปเราก็มีผู้ช่วยทูลขอพระบิดาเพื่อเรา คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเที่ยงธรรมนั้น”

     (My little children, I am writing these things to you so that you may not sin. But if anyone does sin, we have an advocate with the Father, Jesus Christ the righteous.)

2:2 “และพระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาลบบาปของเรา และไม่ใช่แค่บาปของเราเท่านั้น แต่ของทั้งโลกด้วย”

     (He is the propitiation for our sins, and not for ours only but also for the sins of the whole world.)

2:3 “ถ้าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ เราจะมั่นใจได้ว่าเรารู้จักพระองค์”

     (And by this we know that we have come to know him, if we keep his commandments.)

2:4 “ผู้ที่กล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์” แต่ไม่ได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ คนนั้นเป็นคนพูดมุสาและ​สัจจะไม่ได้อยู่ในเขาเลย”

      (Whoever says “I know him” but does not keep his commandments is a liar, and the truth is not in him)

2:5 “แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระวจนะของพระองค์ ความรักของพระเจ้าก็บริบูรณ์อยู่ในผู้นั้นอย่างแท้จริง เพราะเหตุนี้​แหละเราจึงรู้ว่าเราอยู่ในพระองค์”

      (but whoever keeps his word, in him truly the love of God is perfected. By this we may know that  we are in him: )

2:6 “ผู้ที่กล่าวว่าตนอยู่ในพระองค์ ผู้นั้นก็ควรดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์”

       (whoever says he abides in him ought to walk in the same way in which he walked.)

2:7 “ท่านที่รักทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนบัญญัติใหม่ถึงท่านเลย แต่เป็นบัญญัติเก่าซึ่งท่านเคยมีอยู่ตั้งแต่เริ่มแรกบัญญัติเก่านั้นคือคำซึ่งท่านได้ยินมาแล้ว”

     (Beloved, I am writing you no new commandment, but an old commandment that you had from the beginning. The old commandment is the word that you have heard.)

2:8 “อีกนัยหนึ่งก็กล่าวได้ว่าข้าพเจ้าเขียนบัญญัติใหม่ถึงพวกท่านซึ่งเป็นความจริงทั้งในพระองค์และในท่าน เพราะว่าความมืดนั้นกำลังจะผ่านพ้นไป และความสว่างแท้กำลังส่องอยู่แล้ว”

      (At the same time, it is a new commandment that I am writing to you, which is true in him and in you, because the darkness is passing away and the true light is already shining.)

2:9 “ผู้ที่กล่าวว่าตนอยู่ในความสว่าง ขณะที่ยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็ยังอยู่ในความมืด”

               (Whoever says he is in the light and hates his brother is still in darkness.)

2:10 “ผู้ที่รักพี่น้องของตนก็อยู่ในความสว่าง และในตัวเขานั้นไม่มีอะไรทำให้สะดุด”

               (Whoever loves his brother abides in the light, and in him there is no cause for stumbling.)

2:11 “แต่ผู้ที่เกลียดชังพี่น้องของตนก็อยู่ในความมืด และเดินในความมืดและไม่รู้ว่าตนกำลังไปไหน เพราะว่า​ความมืดทำให้ตาของเขาบอดไปเสียแล้ว”

       (But whoever hates his brother is in the darkness and walks in the darkness, and does not know where he is going, because the darkness has blinded his eyes.)

2:12 “ลูกทั้งหลายเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะว่าบาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว ด้วยเห็นแก่พระนาม​ของพระองค์”

       (I am writing to you, little children, because your sins are forgiven for his name’s sake.)

2:13 “ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านรู้จักพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่ปฐมกาล ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่ม ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านได้ชนะมารร้ายนั้น”

     (I am writing to you, fathers, because you know him who is from the beginning. I am writing to  you, young men, because you have overcome the evil one. I write to you, children, because you know the Father.)

2:14 “ท่านทั้งหลายที่เป็นลูก ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะพวกท่านรู้จักพระบิดา ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านรู้จักพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่ปฐมกาล ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่ม ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่านเพราะพวกท่านมีกำลังมาก และพระวจนะของพระเจ้าดำรงอยู่ในพวก‍ท่านและท่านชนะมารร้ายนั้นแล้ว”

     (I write to you, fathers, because you know him who is from the beginning. I write to you, young men, because you are strong, and the word of God abides in you, and you have overcome the evil one.)

2:15 “อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าใครรักโลก ความรักของพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น”

  (Do not love the world or the things in the world. If anyone loves the world, the love of the Father is not in him.)

2:16 “เพราะว่าทุกสิ่งที่อยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้มาจาก​พระบิดา แต่มาจากโลก”

       (For all that is in the world—the desires of the flesh and the desires of the eyes and pride of life—is not from the Father but is from the world.)

2:17 “และโลกกับสิ่งยั่วยวนของโลกกำลังผ่านพ้นไป แต่คนที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่​เป็นนิตย์”

        (And the world is passing away along with its desires, but whoever does the will of God abides forever.)

2:18 “ลูกทั้งหลายเอ๋ย บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว และตามที่พวกท่านได้ยินได้ฟังมาว่าศัตรูของพระคริสต์จะมาเดี๋ยวนี้ศัตรูของพระคริสต์จำนวนมากก็มาแล้ว เพราะฉะนั้นเราจึงรู้ว่าบัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว”

      (Children, it is the last hour, and as you have heard that antichrist is coming, so now many antichrists have come. Therefore we know that it is the last hour.)

2:19 “พวกเขาได้ออกไปจากเรา แต่เขาก็ไม่ได้เป็นของเรา เพราะว่าถ้าเขาเป็นของเรา เขาก็จะอยู่กับเราต่อไป แต่การที่เขาได้ออกไปนั้นแสดงให้เห็นชัดว่าเขาไม่ได้เป็นของเรา”

       (They went out from us, but they were not of us; for if they had been of us, they would have continued with us. But they went out, that it might become plain that they all are not of us.)

2:20 “แต่พวกท่านได้รับการชโลมจากพระองค์ผู้บริสุทธิ์แล้ว และท่านทุกคนก็มีความรู้”

        (But you have been anointed by the Holy One, and you all have knowledge. )

2:21 “ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงพวกท่าน ไม่ใช่เพราะท่านไม่รู้ความจริง แต่เพราะท่านรู้แล้ว และรู้ว่าคำมุสาไม่ได้มาจากความจริง”

      (I write to you, not because you do not know the truth, but because you know it, and because no lie is of the truth.)

2:22 “ใครล่ะเป็นคนที่โกหก ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากคนที่ปฏิเสธว่าพระเยซูไม่ใช่พระคริสต์ ผู้ที่ปฏิเสธพระบิดาและพระบุตร ผู้นั้นแหละเป็นศัตรูของพระคริสต์”

       (Who is the liar but he who denies that Jesus is the Christ? This is the antichrist, he who denies the Father and the Son.)

2:23 “ทุกคนที่ปฏิเสธพระบุตร ไม่มีพระบิดา ผู้ที่ยอมรับพระบุตรก็มีพระบิดาด้วย”

    (No one who denies the Son has the Father. Whoever confesses the Son has the Father also.)

2:24 “ท่านทั้งหลาย จงให้สิ่งที่ท่านได้ยินมาตั้งแต่ต้นนั้นดำรงอยู่กับท่านเถิด ถ้าสิ่งที่ท่านได้ยินตั้งแต่ต้นนั้นดำรงอยู่กับท่าน ท่านก็จะอยู่ในพระบุตรและในพระบิดาด้วย”

   (Let what you heard from the beginning abide in you. If what you heard from the beginning abides in you, then you too will abide in the Son and in the Father..)

2:25 “นี่แหละเป็นสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้กับเรา คือชีวิตนิรันดร์”

   (And this is the promise that he made to us—eternal life)

2:26 “ข้าพเจ้าเขียนข้อความนี้ถึงพวกท่าน กล่าวถึงพวกที่พยายามหลอกลวงท่าน”

  (I write these things to you about those who are trying to deceive you.)

2:27 “ส่วนท่านทั้งหลาย การชโลมซึ่งท่านได้รับจากพระองค์นั้นก็ดำรงอยู่กับท่าน และไม่จำเป็นต้องมีใครสอนท่านเพราะว่าการชโลมของพระองค์นั้นสอนท่านให้รู้ทุกสิ่ง และเป็นความจริง ไม่ใช่ความเท็จ การชโลมนั้นสอนพวกท่านแล้วอย่างไร ท่านจงอยู่ในพระองค์อย่างนั้น”

   (But the anointing that you received from him abides in you, and you have no need that anyone should teach you. But as his anointing teaches you about everything, and is true, and is no lie—just as it has taught you, abide in him.)

2:28 “และบัดนี้ลูกทั้งหลายเอ๋ย จงอยู่ในพระองค์ เพื่อว่าเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราจะได้มีความมั่นใจ และไม่ต้องหลบพระพักตร์พระองค์ด้วยความละอาย เมื่อพระองค์เสด็จมา”

       (And now, little children, abide in him, so that when he appears we may have confidence and not shrink from him in shame at his coming.)

2:29 “ถ้าพวกท่านรู้ว่าพระองค์ทรงเที่ยงธรรม ท่านก็รู้ว่าทุกคนที่ประพฤติตามความเที่ยงธรรมนั้นเกิดมาจาก​พระองค์ด้วย”

     (If you know that he is righteous, you may be sure that everyone who practices righteousness has been born of him.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

2:1       “ลูกของข้าพเจ้าเอ๋ย” (My little children) –ในบางฉบับแปลว่า “ลูกที่รักของข้าพเจ้า”

-ยอห์นเป็นอัตรทูตอาวุโส นิยมใช้สำนวนนี้แสดงความเอ็นดูต่อผู้อ่าน (ข.12-13,28;3:7,18;4:14;5:21)

“ผู้ช่วยทูลขอ…เพื่อเรา” (we have an advocate with the Father ) = ทูลขอแก้ต่างเพื่อเราทั้งหลาย

คำนี้ในภาษากรีก หมายถึงผู้ที่พูดในนามของจำเลย (ยน.14:16)

“ผู้ทรงเที่ยงธรรม” (the righteous.) = องค์ผู้ชอบธรรม ในศาลของพระเจ้า ผู้ที่จะเป็นพยานแก้ต่างให้จำเลยต้องเป็นผู้ที่ไม่มีบาปอยู่ในตัว ปท.กจ.3:14

2:2       “เครื่องบูชาลบบาปของเรา” (the propitiation for our sins) –ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเรียกร้องให้มีการลงโทษบาปของมนุษย์ผู้กระทำ แต่ความรักของพระเจ้าเรียกร้องให้พระบุตรของพระเจ้าต้องลงมารับโทษเพื่อไถ่บาปของมนุษย์ที่สำนึกกลับใจ และรับความช่วยกู้ (1ยน.4:10)

-การตายไถ่บาปของพระคริสต์พระบุตรทำให้พระพิโรธของพระเจ้าต่อบาปของมนุษย์อย่างเราสงบลง เพราะพระพิโรธนั้นได้หันเหไปตกลงที่พระคริสต์แทน – รม.3:25

“…แต่ของคนทั้งโลกด้วย” (the whole world) = การอภัยโทษบาปมนุษย์ที่ผ่านการสิ้นพระชนม์บนกางเขนของพระคริสต์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่สำหรับคนทั้งโลก (ยน.1:29) โดยไม่ลำเอียง อย่างไรก็ตาม เขาจะต้องรับการอภัยบาปนั้นด้วยความเชื่อ (ยน.3:16)

2:3       “รู้จัก” (to know ) = ใน 1 ยอห์น มีการใช้คำกรีก 2 คำที่แปลว่า “รู้จัก” ทั้งหมด 42 ครั้ง โดยคำหนึ่ง คือ Gnosis” สัมพันธ์กับชื่อนอสติก ซึ่งเป็นลัทธิที่สอนผิด อ้างตัวว่า มีความรู้พิเศษเรื่องพระเจ้า

“ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์” (keep his commandments) –บางฉบับแปลว่า “เชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์”

นั่นคือ ผู้เชื่อนอกจากต้องไม่กบฏหรือดื้อดึงต่อพระเจ้าแล้ว (1:8-9) เขายังต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อฟังในเรื่องต่าง ๆ ด้วย

2:4       “สัจจะไม่ได้อยู่ในเขาเลย” (the truth is not in Him)–1ยน.1:6,8

2:5       “ความรักของพระเจ้าก็บริบูรณ์อยู่ในผู้นั้นอย่างแท้จริง” (in him truly the love of God is perfected) = ความรักของพระเจ้าที่มีต่อผู้เชื่อจะสมบูรณ์ ก็ต่อเมื่อความรักนั้นผลักดันให้ผู้เชื่อนั้นแสดงออกมาเป็นความประพฤติที่เชื่อฟัง (4:12) หรืออาจหมายความว่า ความรักที่เรามีต่อพระเจ้า จะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อเราแสดงออกมาเป็นการกระทำด้วยความเชื่อฟัง (ยน.13:16-18)

“เราอยู่ในพระองค์”(we are in him)=ความเป็นหนึ่งเดียวในฝ่ายวิญญาณจิตกับพระเจ้า(ยน.17:21;อฟ.1:1)

2:6       “ควรดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์” (to walk in the same way in which he walked) –มธ.11:29

2:7       “ท่านที่รักทั้งหลาย” (Beloved) บางฉบับแปลว่า “เพื่อนที่รัก”

= เป็นอีกสำนวนหนึ่งคล้าย “ลูกของข้าพเจ้าเอ๋ย” (ลูกที่รัก) ที่ยอห์นชอบใช้ คือใช้ 10 ครั้งในจดหมาย 2 ฉบับ ดังนี้ 3:2,21;4:1,7,11;3ยน.1-2,5,11

“บัญญัติใหม่” (new commandment) –ยน.13:34-35

เรื่องที่พระเจ้าสั่งให้รัก ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีมาตั้งแต่ในพระคัมภีร์เดิม –ลนต.19:18;มะ.22:39-40

-แต่ที่ว่าใหม่นั้น เห็นได้ชัดจาก

1) การที่พระเจ้าสำแดงความรักออกมาอย่างชัดเจน และในรูปแบบใหม่ที่ไม้กางเขน

2) การที่พระเยซูคริสต์อรรถาธิบายพระบัญญัติในพันธสัญญาเดิมในมุมมองและแนวทางใหม่ (มธ.5) ที่แปลกใหม่ในความคิดของผู้ฟัง

3) การที่ผู้เชื่อมีประสบการณ์ใหม่กับการเติบโตขึ้นในความรักที่มีต่อกัน

2:8       “ความสว่างแท้” (the true light) –ในพระคัมภีร์ใหม่ ใช้เฉพาะที่นี่ และใน ยน.1:9

วลีนี้หมายถึงข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นความสว่างของโลก (ยน.8:12)

2:9       “ความสว่าง…ความมืด” (the light … darkness) = ความสว่างแทนสิ่งดี จริงและบริสุทธิ์ ความมืดแทนสิ่งชั่วและสิ่งปลอม สิ่งไม่บริสุทธิ์ (ยน.3:19-21) ปท.1ยน1:5;3:14

“เกลียดชังพี่น้องของตน” (hates his brother) –ลนต.19:17;1ยน.2:11;3:10,15,16,4:20-21

-ความเกลียดชังในข้อนี้ และความรักในข้ออื่น ๆ (ข.10)

-ทั้ง 2 ไม่ใช่เป็นอารมณ์ แต่เป็นท่าที(ความตั้งใจ) ที่แสดงออกมาเป็นการกระทำ (3:15-16)

2:10     “สะดุด” (stumbling.) = ล้มลงในบาป –สดด.119:165;1ยน.2:11

2:11    “ผู้ที่เกลียดชังพี่น้องของตน” (whoever hates his brother) 1ยน.2:9

“เดินในความมืด” (walks in the darkness) -บางฉบับแปลว่า “เดินวนเวียนในความมืด” -1ยน.1:6

“ความมืดทำให้ตาของเขาบอดไปเสียแล้ว” (the darkness has blinded his eyes) –ยน.11:9;12:35

2:12     “ลูกทั้งหลายเอ๋ย” (little children) = ผู้อ่านของยอห์นทุกคน

“ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่านเพราะ” (I am writing to you) –ยอห์นกล่าวย้ำใน 3 ข้อ(2:12-14) นี้เพื่อให้ผู้อ่านมั่นใจว่า แม้จะมีการทดสอบอย่างหนักตามเนื้อความในจดหมาย แต่ยอห์นก็มั่นใจว่า พวกเขาได้รับความรอดแล้ว

“ด้วยเห็นแก่พระนามของพระองค์” (his name’s sake) –1ยน.3:23

= พวกเขารอดเพราะพระนามขององค์พระเยซูคริสต์ (3:23;5:13;กจ.4:12)

2:13     “ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา” (you, fathers  ) = ในบรรดาผู้อ่านและฟังจดหมายของยอห์น ซึ่งเป็นลูกที่รักฝ่ายจิตวิญญาณของยอห์นนั้น มีผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายจิตวิญญาณด้วย

“ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่ปฐมกาล” (who is from the beginning) –ข.14 หมายถึงพระคริสต์ (1:1)

          “ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่ม” (you, young men)= ในคริสตจักรมีคนที่มีระดับจิตวิญญาณที่แตกต่างกัน

“ท่านได้ชนะมารร้ายนั้น” (overcome the evil one.) –มธ.5:37;1ยน.2:14;ยน.16:33

2:14    “ท่านทั้งหลายที่เป็นลูก” (you) = “ลูกที่รัก” –1ยน.2:10

          “มีกำลังมาก”(are strong) = เข้มแข็ง (อฟ.6:10);   “ดำรงอยู่ในพวกท่าน” (in you) –ฮบ.4:12;ยน.5:38

2:15     “โลก” ( the world) = อาณาจักรของบาป (ข.16;ยก.4:4) ซึ่งถูกควบคุม โดยซาตานและถูกสร้างให้เป็นระบบที่ต่อต้านความชอบธรรม และพระเจ้า (ยน.1:9) ไม่ใช่หมายถึงมนุษย์โลก (ยน.3:16) หรือโลกที่     พระเจ้าทรงสร้าง (ยน.17:24)

“ความรักของพระบิดา” (the love of the Father ) = ความรักต่อพระบิดา –ยก.4:4

2:16     “ตัณหาของเนื้อหนัง” (the desires of the flesh ) –ปฐก.3:6;รม.13:14;อฟ.2:3

“ตัณหาของตา” (the desires of the eyes) –สภษ.27:20

2:17     “กำลังผ่านพ้นไป” (is passing away) = กำลังล่วงไป –ฮบ.12:27

“ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้า”(whoever does the will of God) = ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า

–มธ.12:50

2:18     “วาระสุดท้าย” ( the last hour) ยอห์นและผู้เขียนพันธสัญญาใหม่ท่านอื่น ๆ มองว่ายุคสุดท้ายเริ่มตั้งแต่พระเยซูเสด็จเข้ามาครั้งแรก (กจ.2:17;2ทธ.3:1) คำ ๆ นี้ยังมีนัยของความเร่งด่วนและใกล้จะมาถึงด้วย เป็นการเตือนให้ผู้เชื่อต้องตื่นตัวพร้อมสำหรับการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ (มธ.25:1-13)

“ศัตรูของพระคริสต์” (antichrists) = “ปฏิปักษ์ของพระคริสต์” หรือ “คนนอกกฎหมาย” (2ธส.2:3) และ “สัตว์ป่า” (วว.13:1-10) ที่มีมากกว่าจะปรากฏขึ้นก่อนพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา พวกนี้มีลักษณะอย่างไร?

  1. ปฏิเสธการบังเกิดมาเป็นมนุษย์ของพระคริสต์ (4:2,2ยน.7) และปฏิเสธเรื่องพระเยซูเป็นพระคริสต์ผู้ทรงเป็นพระเจ้า (ข.22)
  2. ปฏิเสธพระบิดา (ข.22)
  3. เป็นพวกที่ไม่มีพระบิดา( ข.23)
  4. เป็นคนโกหก (ข.22) และเป็นผู้ล่อลวง (2ยน.7)
  5. มีจำนวนมากมาย (ข.18)
  6. ออกไปจากคริสตจักร(ในสมัยของยอห์น) –ข.19

= ปฏิปักษ์พระคริสต์ในที่นี้เป็นพวกนอสติกในยุคก่อตัว

คำว่า “ศัตรู” หรือ “ปฏิปักษ์” นี้หมายถึง “ต่อต้าน”   ปท. 2ธส.2:4;วว.13:6-7

2:20     “ได้รับการชโลม” (have been anointed ) -บางฉบับแปลว่า “การเจิม” = พระวิญญาณบริสุทธิ์

(ข.27;ยน.14:16-17;15:26;16:13;กจ.10:38

“พระองค์ผู้บริสุทธิ์” (by the Holy One) = องค์บริสุทธิ์อาจหมายถึงพระเยซู (มก.1:24;ยน.6:69;กจ.2:27; 3:14;22:14) หรือพระบิดา (2พกษ.19:22;โยบ 6:10)

2:21     “ท่านรู้แล้ว” (you know ) –2ปต.1:12;ยด.5

2:22     “พระเยซูไม่ใช่พระคริสต์” (Jesus is the Christ) –พระเยซูผู้เป็นมนุษย์ก็คือ องค์พระคริสต์ผู้เป็นพระเจ้า (5:5,10) แต่พวกนอสติกปฏิเสธความจริงนี้

“ ปฏิเสธพระบิดาและพระบุตร” (he who denies the Father and the Son) –1ยน.4:3;2ยน7

2:23     “ผู้ที่ยอมรับพระบุตรก็มีพระบิดาด้วย” ( Whoever confesses the Son has the Father also)

–ใน 2ยน.9 มีความคิดอย่างเดียวกัน – ยน.8:19;14:7;1ยน.4:15,5:1

2:24     “ได้ยินมาตั้งแต่ต้น” (heard from the beginning ) = ได้ยินมาตั้งแต่แรก –1ยน.2:7

“จะอยู่ในพระบุตรและในพระบิดาด้วย” (too will abide in the Son and in the Father) –ยน.14:23; 15:4;1ยน.1:3;2ยน9

2:25     “คือชีวิตนิรันดร์” (eternal life) –มธ.25:46;ยน.3:15; ปท.มธ.19:16

2:26     “พยายามหลอกลวงท่าน” (trying to deceive you) –บางฉบับแปลว่า พยายามชักจูงให้ท่านหลงผิด

= เป็นอีกหนึ่งวัตถุประสงค์ของจดหมายฉบับนี้ในการเตือนให้ระวังคนพวกนี้

2:27     “ไม่จำเป็นต้องมีใครสอนท่าน” (you have no need that anyone should teach you) = เนื่องจากพระคัมภีร์สนับสนุนเรื่องการสอนพระ วจนะของพระเจ้า (มธ.28:20;1คร.12:28;อฟ.4:11;คส.3:16; 1ทธ.4:11;2ทธ.2:2,24) ยอห์นไม่ได้ปฏิเสธการสอนหรือครูสอนที่เป็นมนุษย์ แต่พวกนอสติกยืนกรานว่า

คำสอนของพวกอัครทูตไม่พอ ต้องเสริมด้วย “ความรู้ที่สูงกว่า” ของพวกเขา ยอห์นจึงประกาศว่า สิ่งที่ผู้อ่านเรียนรู้จากอัครทูตภายใต้การสำแดงให้เข้าใจโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้น ไม่เพียงแค่เพียงพอ แต่เป็นความจริงที่ต้องยึดถือไว้เป็นหเหนหลักปฏิบัติตามด้วย

“สอนท่าน” (teaches you) = พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการสอนเพื่อให้ความกระจ่างแก่เรา (ผู้อื่น) ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสำแดงความจริงใหม่ แต่พัฒนาความสามารถที่จะชื่นชมและรู้จักนำความจริงที่พระเจ้าทรงสำแดงแล้วไปใช้อย่างเหมาะสมและเกิดผลมากกว่าทำให้พระวจนะของพระเจ้ามีความหมายทั้งในด้านความคิด ความรู้ และในด้านการดำเนินชีวิต

“ทุกสิ่ง” (everything) = ทุกสิ่งที่จำเป็นต้องรู้ เพื่อได้รับความรอดและการดำเนินชีวิตคริสเตียนอย่างที่พระเจ้าประสงค์

2:28     “จงอยู่ในพระองค์” (abide in him) –บางฉบับแปลว่า “จงดำรงอยู่ในพระองค์สืบไป” –ข.24,27

“เมื่อพระองค์ทรงปรากฏ” (when he appears) –คส.3:4;1ยน.3:2

“มีความมั่นใจ” (have confidence) -3:21;4:17;5:14;อฟ.3:12

“เมื่อพระองค์เสด็จมา” (at his coming) 1ธส.2:19

2:29     “พระองค์ทรงเที่ยงธรรม” (he is righteous) –บางฉบับแปลว่า “พระองค์ทรงชอบธรรม” -1ยน.3:7

“ประพฤติตามความเที่ยงธรรมนั้น” (practices righteousness) –บางฉบับแปลว่า “ทำสิ่งที่ถูกต้อง”

= สมาชิกในครอบครัวของพระเจ้าต้องทำสิ่งที่ถูกต้องด้วยการดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์ชอบธรรมและเที่ยงธรรม

“เกิดมาจากพระองค์” (born of him) -ยน.1:13

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณคิดว่า คริสเตียนทำบาปได้หรือไม่? หากเขาทำบาปแล้วจะส่งผลกระทบอะไรบ้าง?
  2. พระเยซูคริสต์มีบทบาทสำคัญอะไรในชีวิตของคุณบ้าง? (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในส่วนที่เกี่ยวกับบาปของคุณ)
  3. เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า เรารู้จักพระเยซูคริสต์จริง ๆ แล้ว ? เราต้องสำแดงออกมาอย่างไร?
  4. หากเราประพฤติตามพระวจนะของพระเจ้าจริง ๆ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?
  5. คุณเคยพบคนที่ปากบอกว่ารักพระเจ้า หรือตัวเขาอยู่ในความสว่างแล้ว แต่ยังเกลียดชังพี่น้องของเขาบ้างหรือไม่? คุณรู้สึกอย่างไร? คุณจะเตือนสติเขาอย่างไร?
  6. คุณเชื่อหรือไม่ว่าบาปของคุณได้รับการอภัยแล้ว? ทำไมคุณเชื่อเช่นนั้น?
  7. คุณเป็นคริสเตียนที่อยู่ในประเภทใด

…..1) เด็ก                     …..2) คนหนุ่มสาว                          …..3) คนแก่

ทำไมคุณคิดเช่นนั้น?

  1. เวลานี้คุณกำลังมีปัญหาในการต่อสู้กับเรื่องใดมากที่สุด?

…..1) ตัณหาของเนื้อหนัง     …..2) ตัณหาของตา                               …..3) ความทะนงในลาภยศ

อย่างไร? และผลเป็นเช่นใด?

  1. คุณคิดว่า ศัตรูของพระคริสต์เข้ามาในประเทศไทยแล้วหรือยัง?   ในรูปแบบใด? คุณรู้ได้อย่างไร? และคุณจะรับมืออย่างไร?
  2. คุณคิดว่า จำเป็นต้องมีการสำแดงหรือการเปิดเผยใหม่ ๆ จากพระเจ้านอกเหนือพระคัมภีร์หรือไม่? (ในเรื่องอะไร? ) ทำไม?

 

ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนพระธรรม 1ยอห์น (1)

พระธรรม        1ยอห์น 1:1-10

อ้างอิง              ยน.1:2,14;3:19-21;11:25;14:6,15; 15:27;19:35;1ยน.2:1,11-12,28;3:1,11;4:10-12;5:17

บทนำ              เราทุกคนล้วนทำบาป เราไม่อาจมีสามัคคีธรรมกับพระเจ้าได้ แต่โดยพระคุณ พระเยซูคริสต์ทรงรักโทษบาปแทนเรา ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ ทรงประทานชีวิตนิรันดร์และทำให้เราสามารถมีสามัคคีธรรมกับพระเจ้า พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณได้ ดังนั้น ขอให้เราดำเนินชีวิตในความจริงและในความสว่างด้วยความรักอย่างที่พระเจ้าทรงพระประสงค์

บทเรียน

1:1 “เราขอแจ้งเกี่ยวกับสิ่งที่มีมาตั้งแต่ปฐมกาล ซึ่งเราได้ยิน ได้เห็นกับตา ได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรานั้นคือพระวาทะแห่งชีวิต”

  (That which was from the beginning, which we have heard, which we have seen with our eyes,  which we looked upon and have touched with our hands, concerning the word of life)

1:2 “(และชีวิตที่ว่านี้ปรากฏขึ้น เราได้เห็น และเป็นพยาน และประกาศชีวิตนิรันดร์นี้กับพวกท่าน เป็นชีวิตที่ดำรงอยู่​กับพระบิดาและมาปรากฏแก่เรา)” 

  (the life was made manifest, and we have seen it, and testify to it and proclaim to you the eternal life, which was with the Father and was made manifest to us)

1:3 “สิ่งที่เราได้เห็นและได้ยินนั้น เราก็ประกาศให้พวกท่านรู้ด้วย เพื่อท่านจะได้มีสามัคคีธรรมกับเรา และเราก็มี​สามัคคีธรรมกับพระบิดา และกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์”

  (that which we have seen and heard we proclaim also to you, so that you too may have fellowship with us; and indeed our fellowship is with the Father and with his Son Jesus Christ.)

1:4 “และเราเขียนข้อความเหล่านี้เพื่อความชื่นชมยินดีของเราจะได้เต็มเปี่ยม”

       (And we are writing these things so that our joy may be complete.)

1:5 “นี่เป็นข้อความที่เราได้ยินจากพระองค์ และบอกกับพวกท่าน คือว่าพระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และความมืด​ในพระองค์ไม่มีเลย”

 (This is the message we have heard from him and proclaim to you, that God is light, and in him is  no darkness at all.)

1:6 “ถ้าเราจะว่า เรามีสามัคคีธรรมกับพระองค์ขณะที่ยังเดินอยู่ในความมืด เราก็โกหก และไม่ได้ดำเนินชีวิตตาม​ความจริง” 

 (If we say we have fellowship with him while we walk in darkness, we lie and do not practice the truth.)

1:7 “แต่ถ้าเราเดินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างที่พระองค์สถิตในความสว่าง เราก็มีสามัคคีธรรมซึ่งกันและกันและพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ก็ชำระเราให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น” 

 (But if we walk in the light, as he is in the light, we have fellowship with one another, and the blood of Jesus his Son cleanses us from all sin. )

1:8 “ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่มีบาป เราก็หลอกตัวเอง และสัจจะไม่ได้อยู่ในตัวเราเลย”

       (If we say we have no sin, we deceive ourselves, and the truth is not in us.)

1:9 “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระ​เราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” 

   (If we confess our sins, he is faithful and just to forgive us our sins and to cleanse us from all unrighteousness.)

1:10 “ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่ได้ทำบาป ก็เท่ากับเราทำให้พระองค์เป็นผู้ตรัสมุสา และพระดำรัสของพระองค์ก็ไม่ได้อยู่​ในตัวเราเลย”

    (If we say we have not sinned, we make him a liar, and his word is not in us.)

ข้อมูลมีประโยชน์

1:1-4 = บทนำของจดหมาย 1ยอห์น ใช้ประธานเดียวกันและคำหลายคำที่เหมือนกับบทนำของพระธรรมยอห์น

(1:1-4) อาทิ คำว่า ปฐมกาล, พระวาทะ และชีวิต ฯลฯ

1:1       “สิ่งที่มีมาตั้งแต่ปฐมกาล” (was from the beginning) = ที่ดำรงอยู่มาตั้งแต่แรก, ยน.1:2

“เรา” (we) = ยอห์น และอัครทูตคนอื่น ๆ

“ได้ยิน…ได้เห็นกับตา ได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรา” (have heard, have seen with our eyes which we looked upon and have touched with our hands) = ยอห์นได้พิจารณาพระวาทะ

แห่งชีวิต (พระเยซูคริสต์) อย่างละเอียดถี่ถ้วน และยืนยันว่า พระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่นิรันดร์ กาลได้มาบังเกิดเป็นมนุษย์ (ยน.1:14) ที่มีเลือดมีเนื้อ!

“ได้เห็นกับตา” (have seen with our eyes) –ลก.24:48;ยน.1:14;19:35;กจ.4:20;2ปต.1:16;1ยน.4:14

“จับต้องด้วยมือ” (touched with our hands) –ยน.20:27

“พระวาทะแห่งชีวิต” (concerning the word of life) = พระเจ้าผู้เป็นชีวิตและทรงสำแดงชีวิต (ข.2) พระองค์สำแดงความเป็นพระเจ้าแท้และมนุษย์แท้

1:2       “และชีวิตที่ว่านี้ปรากฏขึ้น” (the life was made manifest) –ยน.1:1-4;11:25;14:6;1ทธ.3:16;

1ปต.2:20;1ยน.3:5,8

“เราได้เห็นและเป็นพยาน” (we have seen it, and testify) –ยน.15:27

“ชีวิต…ชีวิตนิรันดร์” (you the eternal life) = องค์พระเยซูคริสต์ พระองค์ได้รับการขนานนามว่า “ชีวิต” เพราะทรงเป็นผู้ทรงมีชีวิตอยู่ในพระองค์เอง (ยน.11:25;14:6) พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต และทรงมีสิทธิ์สูงสุดเหนือชีวิตทั้งหลายด้วย (5:11)

-จดหมายฉบับนี้เริ่มต้นและจบลงด้วยเรื่องชีวิตนิรันดร์ –มธ.25:46

1:3       “จะได้มีสามัคคีธรรมกับเรา” (may have fellowship with us) = มีส่วนร่วมกับเรา มีความรู้สึกร่วมใน

ประสบการณ์ที่เราได้ยิน ได้เห็น ได้สัมผัสกับองค์พระเยซูผู้เสด็จมาเป็นมนุษย์ (ข.1)

“สามัคคีธรรม” = การเป็นหนึ่งเดียวในฝ่ายจิตวิญญาณของพระคริสต์กับผู้ที่เชื่อในพระองค์

เปรียบดัง องุ่นกับแขนง (ยน.15:1-5) และศีรษะกับกาย (1คร.12:12;คส.1:18) และพระบิดากับผู้เชื่อ (6-7)

1:4       “ความชื่นชมยินดีของเรา” (that our joy ) –1ยน.2:1

= ความชื่นชมยินดีของยอห์นในองค์พระเยซูคริสต์ จะไม่สมบูรณ์ ถ้าผู้อ่านจดหมาย ฉบับนี้ไม่มีส่วนร่วมในความรู้ที่แท้จริงเรื่องพระเยซูคริสต์ (2ยน.12;ฟป.2:2)

          “จะได้เต็มเปี่ยม” (may be complete) –ยน.3:29

1:5       “นี่เป็นข้อความที่เราได้ยินจากพระองค์” (This is the message we have heard from him)

–1ยน.3:11        = จากพระเยซูคริสต์

“พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง” ( that God is light ) = ความสว่างเป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งที่ดี สิ่งที่จริง สิ่งที่บริสุทธิ์ –1ทธ.6:16
“ความมืด” (darkness) = สัญลักษณ์แทนสิ่งชั่วร้าย และสิ่งเท็จ (ยน.3:19-21)

1:6-7    “ยังเดินอยู่ในความมืด…เดินในความสว่าง” = 2 วิถีชีวิตที่แบบหนึ่งบริสุทธิ์ และเป็นจริง กับอีกแบบหนึ่งที่ผิดพลาดและชั่วร้าย

1:6       “เรา” (we) = ยอห์น และผู้อ่านจดหมายทั้งหลาย

“มีสามัคคีธรรมกับพระองค์” (have fellowship with him ) = ดำเนินชีวิตอย่างเป็นหนึ่งเดียวในฝ่ายพระวิญญาณกับพระเจ้า

“เดิน…ดำเนิน” (walk) = ภาพของการใช้ชีวิต

“เดินอยู่ในความมืด” (walk in darkness) –ยน.3:19-21;8:12;2คร.6:14;อฟ.5:8;1ยน.2:11

          “ไม่ได้ดำเนินชีวิตตามความจริง” (not practice the truth.) –ยน.3:19-21;1ยน.2:4;4:20

1:7       “เดินอยู่ในความสว่าง” (we walk in the light) = ดำเนินชีวิตตามความจริงและความบริสุทธิ์ -อสย.2:5

“ชำระเราให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น” (cleanses us from all sin) = จากบาปทั้งปวง – ฮบ.9:14; วว.1:5;7:14

คำว่า “บาป” –เป็นคำสำคัญในพระธรรมเล่มนี้ ปรากฏ 27 ครั้งในภาษากรีก

1:8       “ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่มีบาป” (If we say we have no sin) = ถ้าเราอ้างว่าเราไม่มีบาป -สภษ.20:9; ยรม.2:35;รม.3:9-19;ยก.3:2

“สัจจะไม่ได้อยู่ในตัวเราเลย” (the truth is not in us) = ความจริงไม่ได้อยู่ในตัวของเราเลย – ยน.8:44; 1ยน.2:4

1:9       “ทรงซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม” (he is faithful and just) = ชี้ให้เห็นว่าการสนองตอบของพระเจ้าต่อผู้ที่สารภาพบาปต่อพระองค์นั้น จะสอดคล้องกับพระลักษณะของพระองค์และกับพระเมตตากรุณาคุณของพระเจ้าที่มีต่อประชากรของพระองค์ (สดด.143:1;ศคย.8:8)

= พระเจ้าสัตย์ซื่อต่อพระสัญญาของพระองค์ที่จะยกโทษให้ (ยรม.31:34;มคา.7:18-20;ฮบ.10:22-23)

          “ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา” (to forgive us our sins) = ก็จะอภัยบาปของเรา เพื่อเป็นการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับเรา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกบาปขวางกั้นไว้ (ปท. มธ.6:12) –สดด.32:5;51:2;สภษ.28:13

“ทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” (to cleanse us from all unrighteousness)

–มคา.7:18-20;ฮบ.10:22;1ยน.1:7

1:10     “เราไม่ได้ทำบาป” (we have not sinned ) = พวกลัทธินอสติก ไม่ยอมรับว่าการกระทำผิดศีลธรรมของคนเรานั้นเป็นบาป –1ยน.1:8

“เราทำให้พระองค์เป็นผู้ตรัสมุสา” (we make him a liar  ) -1ยน.5:10

“พระดำรัสของพระองค์ก็ไม่ได้อยู่ในตัวเราเลย” (his word is not in us) –ยน.5:38;1ยน.2:14

 คำถามนำอภิปราย

 

 

  1. คุณเคยมีประสบการณ์กับพระเจ้าแบบเป็นส่วนตัวหรือไม่? ในเรื่องอะไร? เป็นอย่างไร? เมื่อไร และ ที่ไหน? (แบ่งปัน)
  2. คุณได้เป็นพยานเรื่องประสบการณ์นั้นแก่ใครบ้างหรือไม่? ผลเป็นอย่างไร?
  3. ในเวลานี้มีใครบ้างที่มารู้จักกับพระเจ้า และมีสามัคคีธรรมร่วมกับคุณ เพราะคำพยานของคุณบ้าง?
  4. ใครคือคนที่นำคุณให้มีสามัคคีธรรมกับพระเจ้า และพี่น้องคนอื่น ๆ ? เมื่อไร? ที่ไหน? และอย่างไร?
  5. ประสบการอะไรในชีวิตที่ทำให้คุณมีความชื่นชมยินดีอย่างเต็มเปี่ยม(มากที่สุด)? (แบ่งปัน)
  6. คุณเคยรู้สึกสับสนที่เห็นคนบางคนบอกว่า เขามีสามัคคีธรรมกับพระเจ้า แต่ยังเดินอยู่ในความมืดบ้างหรือไม่? อย่างไร? (แบ่งปัน)
  7. คุณเองเคยดำเนินชีวิตขัดกับคำพูดของคุณบ้างหรือไม่? ในเรื่องใด แล้วคุณจัดการกับสภาวะเช่นนี้อย่างไร?
  8. มีบาปอะไรบ้างที่คุณเห็นมากที่สุด ในท่ามกลางคนที่บอกว่า พวกเขาเชื่อพระเจ้าแล้ว? คุณจะช่วยอะไรพวกเขาได้บ้าง ในเรื่องนี้? และอย่างไร?
  9. สำหรับคุณเอง มีบาปอะไรที่รบกวนชีวิตของคุณมากที่สุด? แล้วคุณจัดการกับมันอย่างไร? ได้ผลหรือไม่?
  10. คุณยอมรับหรือไม่ว่า คุณเองก็ทำบาป? การยอมรับเช่นนี้ ส่งผลต่อความคิดและการดำเนินชีวิตของคุณอย่างไรบ้าง?

 

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียนพระธรรม 3ยอห์น

พระธรรม        3ยอห์น 1:1-15

อ้างอิง             กจ.20:33,35;19:29; 1130;รม.16:23;1คร.1:14;2ยน.1; ยน.15:21;1ทธ.3:7;อฟ.6:23

บทนำ

 

ในคริสตจักรของคุณมีคนดี ๆ ที่คุณชื่นชม และนำเขามาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตหรือการรับใช้ของคุณบ้างไหม?

และมีใครที่คุณรู้สึกรับไม่ได้ในความอยากเป็นใหญ่หรือการทำอะไรเอาแต่ใจของเขาเองบ้างหรือไม่?

คุณได้ทำอะไรบ้างที่จะทำให้คริสตจักรของคุณเป็นคริสตจักรที่ดำรงและดำเนินอยู่ในความจริงอย่างที่พระคริสต์ต้องการ?

 

บทเรียน

1:1 “จาก ข้าพเจ้าผู้ปกครอง เรียน กายอัสที่รัก ผู้ซึ่งข้าพเจ้ารักอย่างแท้จริง”

     (The elder to the beloved Gaius, whom I love in truth.)

1:2 “ท่านที่รัก ข้าพเจ้าอธิษฐานขอให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรง และมีความสุขความเจริญทุกอย่าง ดังที่จิตวิญญาณ​ของท่านกำลังเจริญอยู่นั้น”

     (Beloved, I pray that all may go well with you and that you may be in good health, as it goes well  with your soul.)

1:3 “ข้าพเจ้าชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง เมื่อพี่น้องบางคนมาหาและเป็นพยานถึงชีวิตของท่านอย่างจริงจังว่าท่านกำลัง​ประพฤติตามความจริง”

     (For I rejoiced greatly when the brothers came and testified to your truth, as indeed you are walking in the truth.) 

1:4 “ไม่มีอะไรทำให้ข้าพเจ้ายินดียิ่งไปกว่านี้ คือที่ได้ยินว่าลูกๆ ของข้าพเจ้าประพฤติตามความจริง”

     (I have no greater joy than to hear that my children are walking in the truth.)

1:5 “ท่านที่รัก เมื่อท่านทำสิ่งใดให้พี่น้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้แก่แขกแปลกหน้า ก็เป็นการแสดงความซื่อสัตย์ของ​ท่าน” 

     (Beloved, it is a faithful thing you do in all your efforts for these brothers, strangers as they are,)

1:6 “แขกเหล่านั้นเป็นพยานเรื่องความรักของท่านต่อหน้าคริสตจักรแล้ว ถ้าท่านจะช่วยจัดส่งพวกเขาให้สมกับที่​พระเจ้าทรงใช้เขาก็จะเป็นพระคุณยิ่ง” 

     (who testified to your love before the church. You will do well to send them on their journey in a  manner worthy of God.)

1:7 “เพราะพวกเขาเดินทางไปเพื่อรับใช้พระนามนั้น โดยไม่ได้รับสิ่งใดจากคนนอกเลย” 

     (For they have gone out for the sake of the name, accepting nothing from the Gentiles. )

1:8 “ฉะนั้นเราควรต้อนรับคนอย่างนี้ เพื่อเราจะเป็นผู้ร่วมงานกันเพื่อความจริง”

     (Therefore we ought to support people like these, that we may be fellow workers for the truth.)

1:9 “ข้าพเจ้าเคยเขียนบางสิ่งบางอย่างถึงคริสตจักร แต่ดิโอเตรเฟส คนที่อยากจะเป็นใหญ่เป็นโตในพวกเขา ไม่​ยอมรับเรา” 

       (I have written something to the church, but Diotrephes, who likes to put himself first, does not acknowledge our authority.)

1:10 “เพราะเหตุนี้ ถ้าข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าจะเปิดเผยพฤติกรรมของเขาที่กล่าวใส่ความเราด้วยถ้อยคำเลวทราม เท่า​นั้นยังไม่พอ ตัวเขาเองยังไม่ยอมรับรองพี่น้องเหล่านั้น ทั้งยังกีดกันคนที่ต้องการจะรับรองพวกเขา และไล่ออก​จากคริสตจักร”

(So if I come, I will bring up what he is doing, talking wicked nonsense against us. And not content with that, he refuses to welcome the brothers, and also stops those who want to and puts   them out of the church.)

1:11 “ท่านที่รัก อย่าเลียนแบบสิ่งที่ชั่ว แต่จงเลียนแบบสิ่งที่ดี คนที่ทำดีมาจากพระเจ้า คนที่ทำชั่วไม่เคยเห็นพระเจ้า

       (Beloved, do not imitate evil but imitate good. Whoever does good is from God; whoever does evil has not seen God.)

1:12 “ทุกคนก็เป็นพยานให้เดเมตริอัส และสัจจะเองก็เป็นพยานอยู่ในตัว เราก็เป็นพยานด้วย และท่านก็รู้ว่าคำ​พยานของเราเป็นความจริง”

   (Demetrius has received a good testimony from everyone, and from the truth itself. We also add  our testimony, and you know that our testimony is true.)

1:13 “ข้าพเจ้ามีหลายเรื่องที่จะเขียนถึงท่าน แต่ไม่อยากจะเขียนด้วยปากกาและน้ำหมึก”

               (I had much to write to you, but I would rather not write with pen and ink.) 

1:14 “ข้าพเจ้าหวังว่าจะได้พบท่านในเร็วๆ นี้ และจะได้พูดกันต่อหน้า”

     (I hope to see you soon, and we will talk face to face.)

1:15 “ขอสันติสุขจงมีแก่ท่าน เพื่อนๆ ฝากคำทักทายมายังท่าน ขอฝากคำทักทายมายังเพื่อนทีละคนทุกคน”

       (Peace be to you. The friends greet you. Greet the friends, each by name.)

 

ข้อมูลมีประโยชน์

 

1:1       “ผู้ปกครอง” (The elder ) = ผู้อาวุโส –2ยน.1;กจ.11:30

          “กายอัส” (Gaius) = ผู้เชื่อคนหนึ่งในคริสตจักรในแคว้นเอเซีย ชื่อกายอัส เป็นชื่อโรมที่นิยมใช้ทั่วไป

-กจ.19:29;รม.16:23;1คร.1:14

“ผู้ซึ่งข้าพเจ้ารักอย่างแท้จริง” (  whom I love in truth) = ในบางฉบับแปลว่า “ผู้ซึ่งข้าพเจ้ารักในความจริง”

1:3       “พี่น้อง” (the brothers) –กจ.1:16;3ยน.5,10

“กำลังประพฤติตามความจริง” (walking in the truth) = ดำเนินในความจริงต่อไป –2ยน.4;3ยน 4

1:4       “ลูก ๆ ของข้าพเจ้า” (my children) = อาจเป็นคนที่ยอห์นนำมาเชื่อหรืออยู่ในการดูแลฝ่ายจิต

วิญญาณจากยอห์น (1ยน.2:1)
“ประพฤติตามความจริง” (walking in the truth.)            –3ยน.3

1:5       “เมื่อท่านทำสิ่งใดให้พี่น้อง” (all your efforts for these brothers) -บางฉบับแปลว่า “ท่านสัตย์ซื่อใน การปฏิบัติต่อพวกพี่น้อง”

= คริสตจักรยุคแรกให้ความเอื้อเฟื้อ และการสนับสนุนแก่ผู้ประกาศเผยแพร่ข่าวประเสริฐของพระคริสต์

(ที่ยอห์นอาจเป็นผู้ส่งไป) -2ยน.10

“แขกแปลกแหน้า” (strangers) = พวกผู้ประกาศข่าวประเสริฐที่อาจแปลกหน้าต่อหน้าเขา – รม.12:13;

ฮบ.13:2

1:6       “ช่วยจัดส่งพวกเขา” (send them) –1คร.16:11:2คร.1:16

“สมกับที่พระเจ้าทรงใช้เขา” (manner worthy of God) –บางฉบับแปลว่า “อย่างสมพระเกียรติของ

พระเจ้า” –อฟ.4:1

1:7       “เพื่อรับใช้พระนามนั้น” (the sake of the name) = บางฉบับแปลว่า “เพื่อพระคริสต์” –กจ.4:12; ยน.15:21

“โดยไม่ได้รับสิ่งใดจากคนนอกเลย” (accepting nothing from the Gentiles.) –บางฉบับแปลว่า “โดยไม่ได้รับความอนุเคราะห์ใด ๆ จากคนนอกศาสนาเลย” -กจ.20:33,35

1:9       “ข้าพเจ้าเคยเขียน” (I have written) –บางฉบับแปลว่า “ข้าพเจ้าได้เขียนถึงคริสตจักร”

“คริสตจักร” (the church) = สุภาพสตรีใน 2ยน.1

“ดิโอเตรเฟส” ( Diotrephes) = ผู้นำคริสตจักรคนหนึ่งที่ใช้อำนาจเผด็จการในคริสตจักร เป็นผู้มีอิทธิพลมากจนสามารถไล่คนออกนอกคริสตจักรได้ (ข.10)

1:10    “ถ้าข้าพเจ้ามา” (if I come) –2ยน12; 3ยน14

“กล่าวใส่ความเราด้วยถ้อยคำเลวทราม” (talking wicked nonsense against us  ) = บางฉบับแปลว่า “นินทาว่าร้ายเรา” -สภษ.15:8;2ธส.3:11;1ทธ.5:13

“เท่านั้นยังไม่พอ ตัวเขาเองยังไม่ยอมรับรองพี่น้องเหล่านั้น” (And not content with that he refuses to welcome the brothers)  = บางฉบับแปลว่า “…เขายังไม่ต้อนรับพวกพี่น้อง” -3ยน.5

“ไล่ออกจากคริสตจักร” (puts them out of the church) –ยน.9:22,34

1:11   “จงเลียนแบบสิ่งที่ดี” (imitate good) –สดด.34:14;37:27

“คนที่ทำดีมาจากพระเจ้า” (Whoever does good is from God) –1ยน.2:29

                   “ทำดี” ในที่นี้ = การทำดีเป็นประจำ ไม่ใช่ทำดีแต่เป็นชั่วครั้งชั่วคราว –ปท.รม.12:21

                   “ไม่เคยเห็นพระเจ้า” (not seen God) –1ยน.3:6,9,10

1:12  “ทุกคนก็เป็นพยานให้เดเมตริอัส” (Demetrius has received a good testimony from everyone)

–บางฉบับแปลว่า “ทุกๆ คนล้วนกล่าวชมเชยเดเมตริอัส” –1ทธ.3:7

= ตรงกันข้ามกับ ดิโอเตรเฟส (9-10) -3ยน9-10

“ท่านก็รู้ว่า คำพยานของเราเป็นความจริง” (you know that our testimony is true) –ยน.19:35;21:24

1:13-14 –ดู 2ยน.12-13 ที่มีบทสรุปที่คล้ายคลึงกัน

1:14     “จะได้พูดกันต่อหน้า” (will talk face to face) = บางฉบับแปลว่า “จะได้พบปะพูดคุยกัน” –2ยน12

“ขอสันติสุขจงมีแก่ท่าน” (Peace be to you) = คำอวยพร (รม.1:7;อฟ.6:23)

“มายังเพื่อนทีละคนทุกคน” (the friends, each by name) = มายังเพื่อน ๆ แต่ละคน (ยน.10:3)

 

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณเคยเขียนจดหมาย (หรืออีเมล) ถึงใครในเรื่องเกี่ยวกับคริสตจักรบ้างหรือไม่? ทำไม? แล้วผลเป็นอย่างไร?
  2. มีใครบ้างไหมที่คุณสามารถกล่าวได้เต็มปากว่า เขาเป็นเพื่อนหรือ ซึ่งท่านรักอย่างแท้จริง หรือรักในความจริง? ทำไมจึงกล้าพูดเช่นนั้น?
  3. มีผู้ใดบ้างที่ทำให้คุณยินดี เพราะชีวิตของเขา? ในเรื่องอะไรบ้าง? อย่างไร? (โดยเฉพาะในด้านจิตวิญญาณ)
  4. ในคริสตจักรของคุณ คุณคิดว่า ผู้ใดสมควรได้รับการโหวตให้เป็น “ผู้ประพฤติตามความจริง” อย่างแท้จริง ทำไมคุณเลือกเขา?
  5. คุณคิดว่า คริสตจักรของคุณปฏิบัติต่อแขกแปลกหน้าอยู่ในระดับใด?

…..1) ดีมาก

…..2) ดี

…..3) ปากกลาง

…..4) พอใช้

…..5) ต้องปรับปรุง

ทำไมคุณคิดเช่นนั้น? …………………

  1. มีผู้ใดเป็นแขกแปลกหน้าที่รับใช้พระเจ้า ซึ่งคุณคิดว่าเราควรส่งเสริมสนับสนุนเขา? ทำไม? และอย่างไร?
  2. ในคริสตจักรของคุณมีคนเหล่านั้นอยู่หรือไม่?

…..1) กายอัส ซึ่งเป็นคนดี(ผู้นำ) ที่น่ารัก

…..2) เดเมตริอัส ผู้ทำดีที่ทั้งคริสตจักรยอมรับ

…..3) ดิโอเตรเฟส ผู้อยากเป็นใหญ่ กร่าง และใช้อำนาจโดยพลการ

คุณปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร?

  1. เวลานี้ คุณกำลังเลียนแบบสิ่งที่ชั่ว หรือเลียนแบบสิ่งที่ดี? ในเรื่องอะไร? คุณจะทำเช่นนั้นต่อไปหรือไม่? อย่างไร? ทำไม?
  2. คุณเคยอยู่ในสถานการณ์ที่อยากจะพูดคุยกับ “ใครบางคน” แบบหน้าต่อหน้ามากกว่าการเขียนหรือการพิมพ์บ้างหรือไม่? ในเรื่องอะไร? แล้วได้ตามประสงค์นั้นหรือไม่? อย่างไรและทำไม?
-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

บทเรียน 2ยอห์น

2ยอห์น

พระธรรม        2ยอห์น 1-13

อ้างอิง             ยน.13:34;15:12,17

บทนำ              ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน มักมีผู้สอนเทียมเท็จเดินทางประกาศเผยแพร่คำสอนที่ผิดเพี้ยนไปจากพระวจนะของพระเจ้าที่ปรากฏอยู่ในท่ามกลางผู้เชื่อในพระคัมภีร์ ที่น่าห่วงใยก็คือ มีผู้ที่เชื่อพระเจ้าจำนวนไม่น้อยที่ถูกหลอกลวง หลงเชื่อคำสอนเหล่านั้น และออกไปนอกทางที่ควรเดิน ในขณะที่ก็มีบางคนที่จิตใจใสซื่อบริสุทธิ์กลับถูกหลอกลวงให้สนับสนุนผู้สอน (เท็จ) เหล่านั้น โดยไม่รู้ตัว เราต้องช่วยกันสอดส่องดูแลปกป้องความเชื่อที่ถูกต้อง และผู้เชื่อในการดูแลของเราให้พ้นจากพิษภัยของคำของผู้สอนเท็จเหล่านั้น

บทเรียน

1:1 “จาก ข้าพเจ้าผู้ปกครอง เรียน ท่านสุภาพสตรีที่ทรงเลือกไว้ และลูกๆ ของท่าน ผู้ซึ่งข้าพเจ้ารักอย่างแท้จริงและไม่ใช่แต่ข้าพเจ้าเท่านั้น ทุกคนที่รู้ความจริงก็รักด้วย” 

     (The elder to the elect lady and her children, whom I love in truth, and not only I, but also all who know the truth)

1:2 “ทั้งนี้เพราะความจริงที่อยู่ในเราและจะดำรงอยู่กับเราชั่วนิรันดร์”

    (because of the truth that abides in us and will be with us forever)

1:3 “พระคุณ พระเมตตา และสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดา และจากพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระบิดา จะดำรง​อยู่กับเราในความจริงและในความรัก”
     (Grace, mercy, and peace will be with us, from God the Father and from Jesus Christ the Father’s Son, in truth and love.)

1:4 “ข้าพเจ้าชื่นชมยินดีอย่างยิ่งที่พบว่าลูกของท่านบางคนดำเนินชีวิตตามความจริง ตรงตามที่เราได้รับพระบัญชา​จากพระบิดา”

    (I rejoiced greatly to find some of your children walking in the truth, just as we were commanded by the Father.)

1:5 “ท่านสุภาพสตรีที่รัก เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่าน ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าเขียนบัญญัติใหม่ถึงท่าน แต่เป็นบัญญัติที่​เรามีอยู่แล้วตั้งแต่เริ่มแรก นั่นก็คือให้เรารักกันและกัน”
    (And now I ask you, dear lady—not as though I were writing you a new commandment, but the  one we have had from the beginning—that we love one another.)

1:6 “และความรักนั้นก็คือการที่เราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ ตามที่ท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่​เริ่มแรก จงประพฤติตามนั้น”

   (And this is love, that we walk according to his commandments; this is the commandment, just as you have heard from the beginning, so that you should walk in it.) 

1:7 “เพราะว่ามีผู้ล่อลวงจำนวนมากออกมาในโลก เป็นพวกที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เสด็จมาเป็นมนุษย์ คน​ ประเภทนั้นแหละเป็นผู้ล่อลวงและเป็นศัตรูของพระคริสต์”

  (For many deceivers have gone out into the world, those who do not confess the coming of Jesus Christ in the flesh. Such a one is the deceiver and the antichrist.)

1:8 “จงระวังตัวให้ดี เพื่อว่าพวกท่านจะไม่สูญเสียสิ่งที่ท่านทำมาแล้ว แต่จะได้รับบำเหน็จเต็มที่”

   (Watch yourselves, so that you may not lose what we have worked for, but may win a full reward.) 

1:9 “ผู้ที่ล่วงเกินและไม่อยู่ในคำสั่งสอนของพระคริสต์ก็ไม่มีพระเจ้า ผู้ที่อยู่ในคำสั่งสอนของพระคริสต์มีทั้งพระบิดา​และพระบุตร”

   (Everyone who goes on ahead and does not abide in the teaching of Christ, does not have God. Whoever abides in the teaching has both the Father and the Son.)

1:10 “ถ้าใครมาหาท่านและไม่นำคำสั่งสอนนี้มาด้วย อย่ารับเขาไว้ในบ้าน และอย่าทักทายเขาเลย”

   (If anyone comes to you and does not bring this teaching, do not receive him into your house or  give him any greeting, )

1:11 “เพราะว่าผู้ที่ทักทายเขา ก็มีส่วนร่วมในการทำชั่วของเขา”

    (for whoever greets him takes part in his wicked works.)

1:12 “ข้าพเจ้ายังมีอีกหลายเรื่องที่จะเขียนถึงพวกท่าน แต่ไม่อยากใช้กระดาษและน้ำหมึกเขียน ข้าพเจ้าหวังว่าจะ​มาหาท่าน และพูดคุยกับท่านเอง เพื่อความชื่นชมยินดีของเราจะได้เต็มเปี่ยม”
   (Though I have much to write to you, I would rather not use paper and ink. Instead I hope to come to you and talk face to face, so that our joy may be complete.)

1:13 “ลูกๆ ของน้องสาวที่ได้ทรงเลือกไว้ ก็ฝากคำทักทายมายังท่าน”

   (The children of your elect sister greet you.)

ข้อมูลมีประโยชน์

1:1      “ผู้ปกครอง” (The elder ) = ผู้อาวุโส -กจ.11:30;3ยน

-ยอห์น อาจทำหน้าที่ผู้ปกครอง(ผู้อาวุโส) ในคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัส ในบั้นปลายชีวิตของท่าน (เปโตรก็มีตำแหน่งเดียวกัน –1ปต.5:1)

“ท่านสุภาพสตรี” (lady) =

  • สตรีคริสเตียนคนหนึ่งในแคว้นเอเชีย หรือ
  • บุคคลาอธิษฐานซึ่งเป็นคำเปรียบเทียบที่หมายถึงคริสตจักรท้องถิ่น

“ที่ทรงเลือกไว้” (the elect) –รม.16:13;1ปต.5:13;2ยน.13

“ลูก ๆ ของท่าน” (her children) =

  • บุตรของสตรีคริสเตียนผู้นั้น หรือ
  • สมาชิกคริสตจักรท้องถิ่นที่นั่น

“รักอย่างแท้จริง” (love in truth) = บางฉบับแปลว่า “รักในความจริง” –ยน.1:14,2ยน3

“ทุกคนที่รู้จักความจริงก็รักด้วย” (also all who know the truth) –ยน.8:32;1ทธ.2:4

1:2       “ความจริง” (the truth    ) –2ปต.1:12

          “ที่อยู่ในเรา” (that abides in us) -ยน.14:17;1ยน.1:8

1:3       “พระคุณ พระเมตตา และสันติสุข” (Grace, mercy, and peace ) –รม.1:7;9:22-23

1:4       “ลูกของท่านบางคนดำเนินชีวิตตามความจริง” (your children walking in the truth) –3ยน.3,4

1:5       “บัญญัติใหม่” ( a new commandment ) –1ยน.2:7-8

“บัญญัติที่เรามีอยู่แล้วตั้งแต่เริ่มแรก” (  the one we have had from the beginning) 1ยน.2:7

1:6       “และความรักนั้นก็คือ” (And this is love) –1ยน.2:5

“ประพฤติตาม” (we walk according to his commandments) = ดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติด้วย

–ยน.14:15

1:7-11  = คำสอนของพวกนอสติก (สอนเท็จ) ที่สอนว่า พระบุตรของพระเจ้าไม่ได้บังเกิดเป็นมนุษย์ (ยน.1:14)

เพียงแต่เสด็จมาสถิตอยู่กับมนุษย์ที่ชื่อว่า ”เยซู” แค่ชั่วคราว ตั้งแต่วันที่รับบัพติศมาจนถึงก่อนจะถูกตรึงบนไม้กางเขน (1ยน.2:22;4:2,3)

1:7       “พระเยซูคริสต์เสด็จมาเป็นมนุษย์” (the coming of Jesus Christ in the flesh) –1ยน.4:2-3

“ศัตรูของพระคริสต์” (the antichrist.) -บางฉบับแปลว่า “ปฏิปักษ์” ของพระคริสต์( 1ยน.2:18)

= เป็นผู้ที่ล่อลวงคนให้หลงตาม –1ยน.4:1

1:8       “…ได้รับบำเหน็จเต็มที่” (…win a full reward) = จะได้รับรางวัลเต็มที่

= งานที่ทำอย่างซื่อสัตย์จนบรรลุความสำเร็จ จะนำรางวัลหรือบำเหน็จมาให้ในอนาคต

-มก.9:41;10:29-30;ลก.19:16-19;ฮบ.10:35-36;11:26;มธ.10:42;1คร.3:8

1:9       “ผู้ที่ล่วงเกิน” (who goes on ahead) ในบางฉบับแปลว่า “ผู้ใดวิ่งล้ำหน้าไป”

= หมายถึงพวกนอสติก ซึ่งถือว่าตัวเองนั้นก้าวไปไกลกว่าคำสอนของเหล่าอัครทูต

“ไม่อยู่ในคำสั่งสอนของพระคริสต์” (does not abide in the teaching of Christ) = คำสอนที่แท้จริงเรื่องพระคริสต์ ในฐานะพระเจ้าที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์ –1ยน.2:23;ยน.8:31

“มีทั้งพระบิดาและพระบุตร” (   has both the Father and the Son) –1ยน.22:3

1:10    “อย่ารับเขาไว้ในบ้าน และอย่าทักทายเขาเลย” (do not receive him into your house or

give him any greeting) = ไม่ให้ที่พักพิงและอาหารแก่พวกสอนเท็จที่เดินทางมาประกาศ (เหมือนกับที่กระทำเป็นปกติต่อผู้ที่เดินทางมาหา) เพราะจะเป็นการสนับสนุนส่งเสริมหรือเป็นการลงทุนกับพวกสอนเท็จ ในกิจการที่ชั่วของผู้สอนผิด และทำให้คำพวกนั้นและคำสอนของพวกเขากลายเป็นที่ยอมรับของสาธารณชน (ข.11)   -รม.16:17

1:11     “เพราะว่าผู้ที่ทักทายเขาก็มีส่วนร่วมในการทำชั่วของเขา” (for whoever greets him takes part in his wicked works) –1ทธ.5:22

1:12     “กระดาษและน้ำหมึก” (paper and ink) = กระดาษทำมาจากต้นกกพาไพรัส ซึ่งหาได้ง่ายและราคาถูก

คำว่า “น้ำหมึก” นี้ ในภาษากรีกมีความหมายว่า

                    “สีดำ” = ทำมาจากถ่าน น้ำยางไม้หรือน้ำมันผสมให้เข้ากัน

“หวังว่าจะมาหาท่านและพูดคุยกับท่านเอง” (hope to come to you and talk face to face)

–3ยน.13,14

“เพื่อความชื่นชมยินดีของเราจะได้เต็มเปี่ยม” (  so that our joy may be complete) = จะเต็มบริบูรณ์ (1ยน.1:4;ยน.3:29)

“ลูก ๆ ของน้องสาวที่ได้ทรงเลือกไว้” (   The children of your elect sister) = บางฉบับแปลว่า

                   “พระเจ้าได้ทรงเลือกสรรน้องสาวของท่านไว้”

น้องสาว ในที่นี้อาจหมายถึง

  1. สตรีคริสเตียนคนหนึ่ง หรือ
  2. คริสตจักรท้องถิ่น(2ยน1)

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณมีคริสตจักรที่คุณมีส่วนร่วมรับใช้อย่างแข็งขันหรือไม่?   คุณมีบทบาทอย่างไรในคริสตจักรที่คุณอยู่?
  2. คุณรักและยึดมั่น “ความจริง” ในพระวจนะของพระเจ้าจริง ๆ หรือไม่? และคุณรัก “คริสตจักร” และ “พี่น้องในคริสตจักร” เพราะความจริงนั้นหรือไม่?
  3. คุณมีประสบการณ์กับ “พระคุณ”, “พระเมตตา” และ “สันติสุข” จากพระเจ้าอย่างไรบ้าง?
  4. คุณรู้สึกชื่นชมยินดีที่เห็น “บางคน” ดำเนินชีวิตในความจริงเหมือนที่พระเจ้าบัญชาให้เรากระทำหรือไม่? โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องใด?
  5. เวลานี้ คุณและคนในคริสตจักรได้ปฏิบัติตาม “พระบัญญัติแห่งความรัก” ของพระเจ้าหรือไม่? อย่างไร?
  6. เวลานี้ มีผู้ล่อลวงหรือสอนเท็จเดินทางแพร่คำสอนไปทั่ว คุณเคยเจอะเจอะพวกเหล่านี้หรือไม่?พวกเขาสอนอะไรบ้างที่แตกต่าง ล้ำหน้า ((เกินเลย) หรือขัดกับคำสอน (ความจริง) อันมีหลักของพระเจ้า? และส่งผลกระทบอะไรบ้าง?
  7. คุณเคยเห็นใครบางคน “สูญเสียสิ่งที่ได้ทำไว้” และพลาดไปจากรางวัลที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้บ้างหรือไม่? เพราะอะไร? (ในเรื่องอะไร?)
  8. เราจะทำอย่างไรหากว่า วันนี้มีคนที่สอนผิดเพี้ยนไปจากพระคัมภีร์เข้ามาหาคุณ
  • ที่บ้าน
  • ที่กลุ่ม
  • ที่คริสตจักรของคุณ ฯลฯ  ทำไม

คุณอาจจะติดต่อสื่อสารกับคนอื่นในคริสตจักรของคุณผ่านทางช่องทางต่าง ๆ อยู่แล้ว อาทิ ช่องทางมีเดียที่ หลากหลาย แต่คุณเห็นด้วยหรือไม่ว่า ไม่มีช่องทางใดดีเท่ากับการได้พูดคุยกันหน้าต่อหน้า?  ทำไม?

ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์