Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม: “พระคัมภีร์สอนอย่างไรบ้างเกี่ยวกับ ‘เครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่?’ ” (a living sacrifice)

ตอบ: “พระคัมภีร์กล่าวถึง เครื่องบูชาที่มีชีวิตที่ชัดเจนที่สุดอยู่ในพระธรรมโรม 12:1

“พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต อันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการปรนนิบัติอันสมควรของท่านทั้งหลาย” 

เปาโลวิงวอนผู้เชื่อในกรุงโรม ให้ถวายตัวของพวกเขาเองแด่พระเจ้า

  1. ไม่ใช่เป็นเครื่องบูชาที่เอามาฆ่าให้ตายบนแท่นบูชาตามธรรมบัญญัติของโมเสสที่ได้กำหนดให้มีเครื่องศานติบูชา
  2. แต่เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ เพื่อจะปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า

“เครื่องบูชา” หมายความว่า “อะไรก็ตามที่อุทิศและถวายแด่พระเจ้า”

คำถามคือ

“ในฐานะผู้เชื่อเราจะอุทิศตัวและถวายตัวของเราแด่พระเจ้าเพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตได้อย่างไร?”

ในพระคัมภีร์บอกเราว่า

  • พระเจ้าทรงยอมรับเครื่องสัตวบูชาเป็นการไถ่บาปชั่วคราว แต่นั่นเป็นเพียงภาพจำลองที่บ่งบอกถึงการเสียสละของพระเยซูคริสต์ ที่เป็นดุจลูกแกะจากสวรรค์ ที่ทรงเสียสละครั้งใหญ่ที่สุดครั้งเดียว โดยถวายพระองค์ลบล้างบาปเราเป็นการถาวรบนไม้กางเขน ซึ่งทำให้เครื่องบูชาในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมกลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัยและไม่มีผลกระทบใดๆ อีกต่อไป (ฮีบรู 9:11-12)
  • พระเจ้าทรงพอพระทัยในการนมัสการของเราเพียงอย่างเดียว นั่นคือการถวายทั้งชีวิตของเราแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ให้อยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง
  • พระเจ้าทรงปรารถนาให้บรรดาผู้เชื่อ ยอมจำนนต่อพระเจ้าเพื่อเป็นเครื่องมือแห่งความชอบธรรม (โรม 6:12-13, 8:11-13)

เมื่อมองดูของเครื่องบูชาสูงสุดสำหรับเราผ่านมาทางพระเยซูคริสต์แล้ว คำขอนี้เป็นสิ่งที่ “สมเหตุสมผล”

คำถามต่อไป

  “เครื่องบูชาอันมีชีวิตนั้นควรเป็นอย่างไร ?”

  • เราเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตเพื่อพระเจ้าโดยการไม่ทำตามแบบอย่างในโลกนี้

โรม.12:2   “อย่าลอกเลียนแบบอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม”

แล้วโลกนี้ ในความหมายนี้คืออะไร?

1 ยอห์น 2:15-16  “อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าใครรักโลก ความรักของพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น 16เพราะว่าทุกสิ่งที่อยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้มาจากพระบิดา แต่มาจากโลก”

ทำให้เราเข้าใจว่าโลกหมายถึง

  1. ตัณหาของเนื้อหนัง
  2. ตัณหาของตา และ
  3. ความเย่อหยิ่งในชีวิต

สามสิ่งที่กล่าวมานี้คือตัณหาและสิ่งล่อลวงหลักๆ ของโลก

ตัณหาของเนื้อหนังประกอบด้วยทุกสิ่งที่ดึงดูดความกระหายของเรา มันเกี่ยวข้องกับความปรารถนาที่มากเกินจำเป็นของเราไม่ว่าจะเป็น

  • อาหาร เครื่องดื่ม
  • เพศ และ
  • สิ่งอื่นๆ ที่ตอบสนองต่อความต้องการทางร่างกายของเรา

ตัณหาของตาส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับวัตถุนิยมคือ

  • การโลภในสิ่งที่เราเห็นว่าเรายังไม่มี และ
  • อิจฉาคนที่มีในสิ่งที่เราอยากได้
  • ความเย่อหยิ่งในชีวิตนั้น หมายถึง ความทะเยอทะยานใดๆ ก็ตามที่ 1) ทำให้เราอวดตัว และ 2) ทำให้เราอยู่บนบัลลังก์ชีวิตของตัวเอง

คำถามต่อไป

“ถ้าอย่างนั้นผู้เชื่อจะไม่ทำตามอย่างโลกนี้ได้อย่างไร?”

คำตอบก็คือ 

โดยการ “ได้รับการเปลี่ยนแปลงจิตใจของเราใหม่” ซึ่งเราจะสามารถทำสิ่งนี้ได้โดยอาศัยฤทธิ์อำนาจจาก

  • พระวิญญาณบริสุทธิ์
  • พระวจนะของพระเจ้าอันบริสุทธิ์

 ในการเปลี่ยนแปลงตัวเรา โดย เราจำเป็นจะต้อง

  • ฟัง (โรม 10:17)
  • อ่าน (วิวรณ์ 1:3)
  • ศึกษา (กิจการ 17:11)
  • ท่องจำ (สดุดี 119:9-11) และ
  • ใคร่ครวญ (สดุดี 1:2-3) พระคัมภีร์

ย้ำอีกครั้งว่า เราจะเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตบริสุทธิ์ และพระเจ้าทรงใช้ได้ เมื่อเรามีวินัยให้พระวจนะของพระเจ้าได้

  • สั่งสอน และ
  • ตักเตือนจิตใจของเรา

โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงมีฤทธิ์อำนาจจะเปลี่ยนแปลงตัวเราที่อยู่ฝ่ายโลกให้ไปสู่ฝ่ายจิตวิญญาณได้อย่างแท้จริง ผ่านทางพระวจนะเหล่านั้น เพื่อ

  1. เราจะได้รับการสร้างให้ “…สมบูรณ์พร้อมสำหรับการดีทุกอย่าง” (2 ทิโมธี 3:16)

 และผลลัพธ์ที่จะตามมาก็คือ

  1. เราจะ “…สามารถพิสูจน์และยืนยันได้ว่าสิ่งใดคือพระประสงค์ของพระเจ้า  คือพระประสงค์อันดีอันเป็นที่พอพระทัยและสมบูรณ์พร้อมของพระองค์” (โรม 12:2)

อันเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับผู้เชื่อทุกคนที่จะเป็นเครื่องบูชาซึ่งมีชีวิตเพื่อพระเยซูคริสต์ ในโลกนี้ !

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม  “พระคัมภีร์สอนเรื่องการฟัง (Listen) ไว้อย่างไรบ้าง?”

ตอบ “พระคัมภีร์สอนเรื่อง การฟัง(Listening)ไว้มากมาย อาทิ

1.พระเจ้าตรัสว่าจะสดับคำอธิษฐานของเรา ถ้าเราร้องทูลพระองค์

“แล้วเจ้าจะร้องทูลเรา และมาอธิษฐานต่อเรา และเราจะฟังเจ้า” ~เยเรมีย์ 29:12 THSV11

2.พระเยซูคริสต์เชิญชวนให้เราฟังและเข้าใจคำสอนของพระองค์

“แล้วพระองค์ทรงเรียกฝูงชนและตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “จงฟังและเข้าใจเถิด” ~มัทธิว 15:10 THSV11

“ในเวลานั้นบรรดาคนเก็บภาษีและพวกคนบาปเข้ามาใกล้เพื่อจะฟังพระองค์” ~ลูกา 15:1 THSV11

3.พระเจ้าไม่ดูถูกคำทูลของคนของพระองค์หรือคนที่ขัดสน

“เพราะพระยาห์เวห์ทรงฟังคนขัดสน และมิได้ทรงดูหมิ่นคนของพระองค์ที่ถูกจำจอง” ~สดุดี 69:33 THSV11

4.พระเจ้าทรงบัญชาให้เราฟังปัญญาและหาความเข้าใจ

“จงเงี่ยหูของเจ้าฟังปัญญา จงเอียงใจของเจ้าเข้าหาความเข้าใจ” ~สุภาษิต 2:2 THSV11

5.พระเจ้าบัญชาให้เราฟังคำสอนของพ่อแม่

“ลูกเอ๋ย จงฟังคำสั่งสอนของพ่อเจ้า และอย่าทิ้งคำสอนของแม่เจ้า” ~สุภาษิต 1:8 THSV11

“ลูกทั้งหลายเอ๋ย จงฟังคำสั่งสอนของพ่อ และจงใส่ใจเพื่อจะได้ความรอบรู้” ~สุภาษิต 4:1 THSV11

 6.เราต้องไม่เป็นคนเย่อหยิ่ง หรือคนที่ชอบเยาะเย้ยที่ไม่ฟังคำตักเตือน

“บุตรชายที่มีปัญญาฟังคำสั่งสอนของบิดาตน แต่คนที่ชอบเยาะเย้ยไม่ฟังคำว่ากล่าว” ~สุภาษิต 13:1 THSV11

7.เราต้องฟังคนของพระเจ้า ถ้าเราเป็นคนฝ่ายพระเจ้า(ที่สอนทางของพระเจ้า)

“ส่วนเราอยู่ฝ่ายพระเจ้า ผู้ที่รู้จักพระเจ้าก็ฟังเรา และผู้ที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายพระเจ้าก็ไม่ฟังเรา ดังนั้นเราจึงรู้จักวิญญาณของความจริง และวิญญาณของความเท็จ” ~1 ยอห์น 4:6 THSV11

8.เราต้องรับการลงวินัยจากการไม่ยอมฟังคำตัดสินของคริสตจักรในเรื่องความผิดของเรา

“ถ้าเขาไม่ฟังคนเหล่านั้น จงไปแจ้งต่อคริสตจักร ถ้าเขายังไม่ฟังคริสตจักรอีก ก็ให้ถือว่าเขาเป็น  เหมือนคนต่างชาติหรือคนเก็บภาษี”  –มัทธิว 18:17 THSV11

9.เราต้องเรียนรู้บทเรียนดีๆจากคำตำหนิของคนมีปัญญา

“ฟังคำตำหนิของคนที่มีปัญญา ยังดีกว่าฟังเพลงของคนเขลา” ~ปัญญาจารย์ 7:5 THSV11

10.เราต้องไม่หลงติดกับเรื่องที่อยากฟังมากกว่าสนใจฟังความจริง

“พวกเขาจะเลิกฟังความจริงและหันไปฟังนิยายต่างๆ” ~2 ทิโมธี 4:4 THSV11

“คนทั้งหลายสนใจฟังเขา เพราะเขาทำวิทยาคมให้ผู้คนพิศวงหลงใหลมานานแล้ว” ~กิจการ 8:11 THSV11

11.เราต้องไม่เป็นคนของพระเจ้าที่ทำคอแข็ง ไม่ฟัง และไม่เชื่อฟังพระองค์

“แต่ประชากรของเราไม่ฟังเสียงของเรา อิสราเอลไม่เชื่อฟังเรา” –สดุดี 81:11 THSV11

“แต่พวกเขาก็ไม่ฟังหรือเงี่ยหูฟัง แต่ทำคอของเขาให้แข็ง เพื่อจะไม่ได้ยินและไม่รับคำตักเตือน’” ~เยเรมีย์ 17:23 THSV11

12.เราต้องฟังพระเจ้าและคำทักท้วงของพระองค์ และรีบปรับปรุงแก้ไขตัวเอง

“ประชากรของเราเอ๋ย จงฟังแล้วเราจะทักท้วงเจ้า โอ อิสราเอลเอ๋ย ถ้าเพียงแต่เจ้าจะฟังเรา” ~สดุดี 81:8 THSV11

13.เราต้องเป็นพยานถึงสิ่งดีที่พระเจ้าทรงกระทำต่อเราและคนอื่นๆ ให้คนทั้งหลายรับฟัง

“บรรดาผู้ที่ยำเกรงพระเจ้า ขอเชิญมาฟัง และข้าพเจ้าจะบอกว่า  พระองค์ได้ทรงทำอะไรเพื่อข้าพเจ้าบ้าง” ~สดุดี 66:16 THSV11

“คนทั้งหลายก็นิ่งฟังบารนาบัสกับเปาโลเล่าเรื่องหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ ซึ่งพระเจ้าทรงทำผ่านท่านทั้งสองท่ามกลางพวกต่างชาติ” ~กิจการ 15:12 THSV11

14.เราต้องอดทนในการรับฟัง หรือ ในการอธิบายหรือสอนพระวจนะให้คนที่สนใจรับฟัง

“เปโตรจึงอธิบายให้พวกเขาฟังตั้งแต่ต้นเป็นลำดับมาว่า” ~กิจการ 11:4 THSV11

“เขาทั้งหลายอุทิศตัวเพื่อฟังคำสอนของบรรดาอัครทูตและร่วมสามัคคีธรรม  รวมทั้งหักขนมปังและอธิษฐาน” ~กิจการ 2:42 THSV11

“มีหญิงคนหนึ่งในพวกที่ฟังเราชื่อลิเดีย นางมาจากเมืองธิยาทิรา เป็นคนขายผ้าสีม่วงและเป็นคนที่นับถือพระเจ้า หญิงคนนั้นมาฟังเรา และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดใจของนางให้สนใจถ้อยคำที่เปาโลกล่าว” ~กิจการ 16:14 THSV11

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

 

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม: ”พระคัมภีร์สอนอะไรบ้าง เกี่ยวกับ ความสุขแบบ Joy?”

ตอบ: ”พระคัมภีร์กล่าวถึงความสุขแบบJoy ไว้ดังนี้

ในพระคัมภีร์ไบเบิลฉบับภาษาอังกฤษ อย่างเช่นในฉบับแปล English Standard Version มีคำว่า “Joy”,  “rejoice,” หรือ  joyful”  ปรากฎมากกว่า 430 ครั้ง เปรียบกับคำว่า  “happy” หรือ happiness” ที่ปรากฎเพียงแค่ 10 ครั้ง

ความสุขแบบ happy เป็นความสุขแบบชั่วคราวตามสถานการณ์ แต่ความสุขแบบ JOY เป็นความสุขแบบยั่งยืนที่ทำให้หัวใจของเราพึงพอใจในวิถีที่เป็นเอกลักษณ์และน่าพิศวงยิ่งนัก

ความสุขแบบ JOY เป็นคุณลักษณะพิเศษของคนของพระเจ้า ที่พบได้เมื่อพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย

ในภาษาไทย ส่วนใหญ่ แปลคำว่า  joy ว่า “ความชื่นชมยินดี”  หรือ “เรื่องน่ายินดี” หรือความยินดีเปี่ยมล้น อาทิ

“ขอพระเจ้าแห่งความหวังโปรดให้ท่านบริบูรณ์ด้วยความชื่นชมยินดี และสันติสุขในความเชื่อ เพื่อท่านจะได้เปี่ยมด้วยความหวังโดยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์” ~โรม 15:13 THSV11

“จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด” ~ฟีลิปปี 4:4 THSV11

“จนบัดนี้พวกท่านก็ยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเรา จงขอเถิดแล้วจะได้ เพื่อความชื่นชมยินดีของท่านจะมีเต็มเปี่ยม” ~ยอห์น 16:24 THSV11

“เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้านั้นไม่ใช่การกินและการดื่ม แต่เป็นความชอบธรรมและสันติสุขและความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์” -โรม 14:17 THSV11

“พระองค์ผู้ที่พวกท่านไม่เคยเห็น แต่พวกท่านยังรักพระองค์อยู่ แม้ว่าขณะนี้พวกท่านไม่เห็นพระองค์ แต่พวกท่านยังเชื่อและชื่นชมยินดี ด้วยความยินดีเป็นล้นพ้นสุดจะพรรณนา” ~1 เปโตร 1:8 THSV11

“พระองค์ทรงสำแดงวิถีแห่งชีวิตแก่ข้าพระองค์ ต่อพระพักตร์พระองค์มีความยินดีเปี่ยมล้น ในพระหัตถ์ขวาของพระองค์มีความเพลิดเพลินอยู่เป็นนิตย์” ~สดุดี 16:11 THSV11

บางทีก็แปลว่า “ความชื่นบาน” เช่น

“พระองค์ทรงทวีจำนวนคนในชาตินั้นขึ้น พระองค์ทรงเพิ่มพูนความชื่นบานของพวกเขา เขาทั้งหลายเปรมปรีดิ์เฉพาะพระพักตร์พระองค์ ดั่งความชื่นบานในฤดูเกี่ยวเก็บ ดั่งคนยินดีเมื่อเขาแบ่งของริบให้แก่กัน” ~อิสยาห์ 9:3 THSV11

“แล้วท่านพูดกับพวกเขาว่า “ไปเถิด ไปรับประทานไขมันและดื่มน้ำหวาน และส่งส่วนอาหารไปให้คนที่ไม่มีอะไรเตรียมไว้ เพราะว่าวันนี้เป็นวันบริสุทธิ์แด่องค์เจ้านายของเรา อย่าโศกเศร้าเลย เพราะความชื่นบานของตนในพระยาห์เวห์เป็นกำลังของท่าน” ” ~เนหะมีย์ 8:10 THSV11

“เมื่อพบพระวจนะของพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ก็กินเสีย พระวจนะของพระองค์เป็นความชื่นบานแก่ข้าพระองค์ และเป็นความปีติยินดีแห่งจิตใจของข้าพระองค์ ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าจอมทัพ เพราะว่าเขาเรียกข้าพระองค์ตามพระนามของพระองค์” ~เยเรมีย์ 15:16 THSV11

บางครั้งแปลว่า “เรื่องน่ายินดี” เช่น

“พี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อพวกท่านพบกับการทดลองใจต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง” ~ยากอบ 1:2 THSV11

หรือบางที ก็แปลว่า “ร่าเริง” เช่น

“ใจร่าเริงเป็นยาอย่างดี แต่จิตใจชอกช้ำทำให้กระดูกแห้ง” ~สุภาษิต 17:22 THSV11

บางครั้งแปลว่า “ความเปรมปรีดิ์”

“ไปเถิด ไปรับประทานอาหารของเจ้าด้วยความเปรมปรีดิ์ และไปดื่มเหล้าองุ่นของเจ้าด้วยความร่าเริงใจ เพราะพระเจ้าทรงเห็นชอบกับการงานของเจ้าแล้ว” ~ปัญญาจารย์ 9:7 THSV11

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ –

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม :  “พระคัมภีร์สอนอะไรบ้างเกี่ยวกับความซื่อสัตย์ (integrity)?”

คำตอบ “พระคัมภีร์สอนเรื่องความซื่อสัตย์มากมาย โดยพระเยซูคริสต์ ตรัสยกตัวอย่างเรื่องหนึ่งให้พวกสาวกของพระองค์ฟังว่า

1.เศรษฐีคนหนึ่งมีพ่อบ้าน

2.คนมาฟ้องเศรษฐีว่าพ่อบ้านคนนั้นกำลังผลาญสมบัติของท่าน

3.เศรษฐีจึงเรียกพ่อบ้านมา บอกกับเขาว่า

‘เรื่องที่เราได้ยินเกี่ยวกับเจ้านั้นเป็นอย่างไรกัน? เอาบัญชีพ่อบ้านของเจ้ามา เพราะว่าเจ้าจะเป็นพ่อบ้านต่อไปไม่ได้’

4.พ่อบ้านคนนั้นจึงคิดในใจว่า “ข้าจะทำอะไรดี เพราะข้ากำลังจะถูกนายถอดออกจากหน้าที่แล้ว?

  • 1) จะไปขุดดินก็ไม่มีแรง
  • 2) จะไปขอทานก็อายเขา
  • 3) ข้ารู้แล้วว่าจะทำอะไรดี

เพื่อว่าเมื่อข้าถูกถอดจากหน้าที่แล้ว คนอื่นๆจะยังรับข้าไว้ในบ้านของเขา’ ” 

5.คนนั้นจึงเรียกลูกหนี้ของนายมาทีละคน แล้ว

  • ถามคนแรกว่า ‘ท่านเป็นหนี้นายของข้าพเจ้าเท่าไหร่?’ เขาตอบว่า ‘น้ำมันร้อยถัง’ พ่อบ้านจึงบอกเขาว่า ‘ไปเอาบัญชีของท่านมา นั่งลงแล้วแก้เป็นห้าสิบถังเร็วๆ เข้า’
  • ถามอีกคนหนึ่งว่า ‘ท่านเป็นหนี้เท่าไหร่?’ เขาตอบว่า ‘ข้าวสาลีร้อยกระสอบ’ พ่อบ้านจึงบอกว่า ‘เอาบัญชีของท่านมาแก้เป็นแปดสิบ’

6.เศรษฐีก็ชมพ่อบ้านอสัตย์นั้น

  • เพราะเขาทำด้วยความฉลาด
  • เพราะว่าลูกของยุคนี้รู้จักใช้ความฉลาดกับคนในสมัยของพวกเขามากกว่าลูกของความสว่าง

7.พระเยซูตรัสบอกให้เราทำตัวให้มีมิตรสหายด้วยเงินทองอธรรม เพื่อที่ว่าเมื่อสูญเสียมันไปแล้ว เขาจะได้ต้อนรับเราไว้ในที่อาศัยตลอดไป

8.พระเยซูคริสต์ตรัสเตือนสุดท้ายว่า

  •  “1) คนที่ซื่อสัตย์ในของเล็กน้อย จะซื่อสัตย์ในของมากด้วย และ
  •  2) คนที่ไม่ซื่อสัตย์ในของเล็กน้อยจะไม่ซื่อสัตย์ในของมากเช่นกัน
  •  3) คนไม่ซื่อสัตย์ในเงินทองอธรรม จะไม่มีใครมอบของเที่ยงแท้ให้แก่เขา
  •  4) คนไม่ซื่อสัตย์ในสิ่งที่เป็นของคนอื่น จะไม่มีใครมอบสิ่งที่เป็นของท่านให้แก่เขา”  ~ลูกา 16:1-12 THSV11

Integrity” หมายความว่า “การยึดถือหลักคุณธรรม ความซื่อสัตย์ ความสมบูรณ์ ความมั่นคง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” (Honesty, wholeness)

ดังนั้นไม่ว่าเราจะ

  • จนหรือรวย
  • เก่งหรือไม่เก่ง
  • โง่หรือฉลาด
  • ตำแหน่งสูงหรือต่ำ
  • ดังหรือธรรมดา ฯลฯ

ขอให้เราเป็นคนที่ซื่อสัตย์ ยึดมั่นในหลักธรรมของพระเจ้าตลอดไป

จะดีไหมครับ?

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม:  “พระคัมภีร์สอนอะไรบ้างเกี่ยวกับ การเป็นผู้มีอิทธิพล (influencer) ที่ถวายเกียรติพระเจ้า และเป็นพระพรต่อคริสตจักร?”

คำตอบ:  “พระคัมภีร์สอนในเรื่องนี้ ไว้ดังนี้คือ ขอให้เราสั่งและสอนสิ่งเหล่านี้ เพื่อทำให้เราเป็น influencer ที่สำคัญต่อคริสตจักรและสังคม โดยให้เราทำ หรือไม่ทำดังนี้

1.อย่าให้ใครหมิ่นประมาทความอ่อนวัยของท่าน

(ราวๆ อายุ 30 ปีกว่า โดยปกติในสมัยนั้นคนอายุน้อยยังไม่ได้รับตำแหน่งหน้าที่ที่มีสิทธิอำนาจเช่นนั้น เพราะอาจทำให้คนอื่นกังขาในความเป็นผู้นำของพวกเขาได้)

2. จงเป็นแบบอย่างแก่บรรดาผู้เชื่อ ทั้งในด้าน

  • วาจา และ
  • การประพฤติ ทั้งในด้าน  ก. ความรัก  ข. ความเชื่อ และ  ค. ความบริสุทธิ์

3. จงอุทิศเวลา

  • ให้กับการอ่านพระคัมภีร์ในที่ประชุม
  • ให้กับการ  ก. เทศนา และ  ข. สั่งสอน

(จนกว่าข้าพเจ้าจะมา =  หมายความว่า  อาจารย์เปาโลเดินทางจากเมืองเอเฟซัสไปแคว้นมาซิโดเนีย แต่ท่านยังหวังว่าจะได้ร่วมทางกับทิโมธีอีกครั้งที่เอเฟซัส -3:14)

4. อย่าละเลยของประทานที่มีอยู่ในตัวท่าน ซึ่งประทานแก่ท่านตามคำเผยพระวจนะ (1:8)

เมื่อคณะผู้ปกครองวางมือบนตัวท่าน (แสดงถึงการมอบหมายให้เป็นผู้รับใช้ -กจ.6:6 ;ฮบ.6:1-2)

5. จงปฏิบัติหน้าที่เหล่านี้และทุ่มเทตัวเองให้กับหน้าที่ดังกล่าว เพื่อให้ทุกคนเห็นความก้าวหน้าของท่าน

 6. จงเอาใจใส่ทั้งตัวท่านและคำสอนของท่าน

 7. จงประพฤติสิ่งเหล่านี้อยู่เสมอ เพราะเมื่อทำอย่างนี้แล้ว ท่านจะสามารถช่วยทั้ง

  • ตัวท่าน และ
  • ทุกคนที่ฟังท่านให้รอดได้

(พระเจ้าเท่านั้นที่ช่วยเราให้รอดได้ แต่คริสเตียนที่เป็น influencer จะสามารถเป็นเครื่องมือของพระเจ้าในการนำความรอดไปถึงคนอื่นๆ) -1 ทิโมธี 4:11-16 THSV11

ใช่ครับ คริสตจักรต้องการ  “คน” ที่จะเป็น “influencer” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านจิตวิญญาณ ต่อผู้เชื่อทั้งหลาย สำหรับพันธกิจทั้งในและนอกคริสตจักร!

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม: “พระคัมภีร์สอนอะไรบ้างเกี่ยวกับรูปเคารพ?”

คำตอบ: พระคัมภีร์สอนไว้ดังนี้:

1. รูปเคารพเป็นผลงานของมือมนุษย์

“เพราะพระทั้งปวงของชนชาติทั้งหลายเป็นรูปเคารพ แต่พระยาห์เวห์ทรงสร้างฟ้าสวรรค์” ~1 พงศาวดาร 16:26 THSV11

“รูปเคารพของบรรดาประชาชาติเป็นเงินและทองคำ เป็นผลงานของมือมนุษย์” ~สดุดี 135:15 THSV11

2. พระเจ้าห้ามสร้าง หรือหันไปหลงนับถือรูปเคารพ

“ห้ามทำรูปเคารพสำหรับตน เป็นรูปสิ่งใดซึ่งมีอยู่ในฟ้าเบื้องบน หรือบนแผ่นดินเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน” ~อพยพ 20:4 THSV11

“อย่าหันไปนับถือรูปเคารพ และห้ามหล่อรูปเคารพไว้สำหรับตน เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า” ~เลวีนิติ 19:4  THSV11

“จงระวังเถิด เกรงว่าท่านทั้งหลายจะหลงทำรูปเคารพแกะสลักสำหรับตัวเอง เป็นรูปสัณฐานสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นรูปตัวผู้หรือตัวเมีย” ~เฉลยธรรมบัญญัติ 4:16 THSV11

3. พระเจ้าบัญชาให้เรารักษาตัวให้พ้นหรือหลีกหนีจากการนับถือรูปเคารพ

“ลูกทั้งหลายเอ๋ย จงรักษาตัวให้พ้นจากรูปเคารพ” ~1 ยอห์น 5:21 THSV11

“เพราะฉะนั้น พวกที่รักของข้าพเจ้า จงหลีกหนีการนับถือรูปเคารพ” ~1 โครินธ์ 10:14  THSV11

4.เราไม่นับถือรูปเคารพแล้ว แม้ว่า เมื่อก่อนเราเคยนับถือเคารพ

“พวกท่านรู้แล้วว่าแต่ก่อนที่ยังเป็นคนต่างศาสนาอยู่นั้น พวกท่านถูกชักจูงและนำให้หลงไปนับถือรูปเคารพซึ่งพูดไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยทางใด” ~1 โครินธ์ 12:2 THSV11

5. เราควรมีใจอยากช่วยคนทั้งหลายให้มารู้จักพระเจ้าและออกห่างจากรูปเคารพ

“ขณะเปาโลกำลังคอยสิลาสกับทิโมธีอยู่ในกรุงเอเธนส์ ท่านมีความเดือดร้อนวุ่นวายใจเพราะเห็นรูปเคารพเต็มไปทั้งเมือง” ~กิจการ 17:16 THSV11

6. เราต้องจริงจังในการระวังตัวไม่ไปปรนนิบัติรูปเคารพที่พระเจ้าห้าม และต้องรับโทษ

เขาทั้งหลายปรนนิบัติรูปเคารพ ซึ่งพระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่เขาแล้วว่า “เจ้าอย่าทำอย่างนี้” ~2 พงศ์กษัตริย์ 17:12 THSV11

“คนอิสราเอลทำสิ่งชั่วในสายพระเนตรพระยาห์เวห์ ลืมพระยาห์เวห์พระเจ้าของตนเสีย ไปปรนนิบัติพระบาอัลทั้งหลายและบรรดาพระอาเช-ราห์” ~ผู้วินิจฉัย 3:7 THSV11

“อาโมนมีพระชนมายุ 22 พรรษาเมื่อทรงเป็นกษัตริย์ และทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 2 ปี พระมารดาของพระองค์มีพระนามว่า เมชุลเลเมท บุตรหญิงของฮารูสชาวโยทบาห์ พระองค์ทรงทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ เหมือนมนัสเสห์พระราชบิดาของพระองค์ทรงกระทำ พระองค์ทรงดำเนินในทางทั้งสิ้นที่พระราชบิดาของพระองค์ทรงดำเนิน และปรนนิบัติรูปเคารพซึ่งพระราชบิดาของพระองค์ทรงปรนนิบัติ และนมัสการรูปเหล่านั้น พระองค์ทรงละทิ้งพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพระองค์ และไม่ได้ทรงดำเนินในมรรคาของพระยาห์เวห์ ข้าราชการของอาโมนได้ร่วมกันคิดกบฏ และปลงพระชนม์พระราชาในพระราชวังของพระองค์” ~2 พงศ์กษัตริย์ 21:19-23 THSV11

“พระยาห์เวห์ตรัสว่า “ให้ดาบต่อสู้คนเคลเดีย และต่อสู้ชาวเมืองบาบิโลน และต่อสู้เจ้านายและนักปราชญ์ของเขา ให้ความแห้งแล้งอยู่เหนือน้ำทั้งหลายของเขา เพื่อน้ำนั้นจะได้แห้งไป เพราะเป็นแผ่นดินแห่งรูปเคารพ และพวกเขาก็บ้ารูปนั้น” ~เยเรมีย์ 50:35, 38 THSV11

“บุตรมนุษย์เอ๋ย เมื่อพงศ์พันธุ์อิสราเอลอาศัยอยู่ในแผ่นดินของตน เขาทำให้แผ่นดินเป็นมลทินด้วยวิถีและการกระทำของเขา ความประพฤติของเขาต่อหน้าเราก็เหมือนมลทินอันเกิดจากประจำเดือน เพราะฉะนั้น เราจึงระบายความโกรธของเราออกเหนือเขา ด้วยเรื่องโลหิตซึ่งเขาได้ทำให้ตกบนแผ่นดิน ด้วยเรื่องรูปเคารพซึ่งเขาทำให้แผ่นดินนั้นเป็นมลทิน เราจึงกระจายพวกเขาไปท่ามกลางบรรดาประชาชาติ และให้เขากระจัดกระจายไปตามประเทศต่างๆ เราพิพากษาเขาตามวิถีและการกระทำของเขา” ~เอเสเคียล 36:17-19 THSV11

7. เราควรกล้าหาญในการเอารูปเคารพออกจากชีวิต และ ครอบครัวของเรา

“ในปีที่ยี่สิบแห่งรัชกาลเยโรโบอัมพระราชาแห่งอิสราเอล อาสาได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระราชาแห่งยูดาห์ และทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 41 ปี พระอัยกีของพระองค์มีพระนามว่า มาอาคาห์ บุตรหญิงของอาบีชาโลม อาสาทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ เหมือนอย่างดาวิดบรรพบุรุษของพระองค์ พระองค์ทรงกวาดล้างพวกเทวทาสเสียจากแผ่นดิน และรื้อถอนรูปเคารพทั้งสิ้น ซึ่งบรรพบุรุษของพระองค์ทำไว้” ~1 พงศ์กษัตริย์ 15:9-12 THSV11

8.เราต้องตระหนักไว้ว่า การนับถือรูปเคารพเป็นหนึ่งในการงานของเนื้อหนัง

“การงานของเนื้อหนังนั้นเห็นได้ชัด คือการล่วงประเวณี การโสโครก การเสเพล การนับถือรูปเคารพ การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การวิวาทกัน การริษยากัน การฉุนเฉียวกัน การใฝ่สูง การทุ่มเถียงกัน การแตกก๊กกัน การอิจฉากัน การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆ ในทำนองนี้ซึ่งข้าพเจ้าเคยเตือนพวกท่านมาก่อนว่า คนที่ประพฤติเช่นนั้นจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า” ~กาลาเทีย 5:19-21 THSV11

9. เราต้องจัดการกับรูปเคารพที่ปรากฎอยู่ในทุกรูปแบบ อย่างเช่น ความโลภ

“เพราะฉะนั้นจงประหารโลกียวิสัยในตัวท่าน คือการล่วงประเวณี การโสโครก ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ (ซึ่งเป็นการบูชารูปเคารพ)” ~โคโลสี 3:5 THSV11

10. เราต้องเตือนตัวเองไว้เสมอว่า วันหนึ่งพระเจ้าจะกำจัดรูปเคารพอย่างสิ้นเชิง

“เราจะกำจัดรูปเคารพของเจ้าเสีย และทำลายเสาศักดิ์สิทธิ์จากท่ามกลางเจ้า เจ้าจะมิได้กราบลง ต่อผลงานที่มือของเจ้าประดิษฐ์ขึ้นอีกต่อไป” ~มีคาห์ 5:13 THSV11

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม : “คริสตจักรสุขภาพดีเป็นอย่างไร?”

ตอบ: “พระคัมภีร์สอนว่า คริสตจักรสุขภาพดีควรมีคุณลักษณะ และคุณภาพ ในเรื่องต่อไปนี้คือเป็น

1.คริสตจักรที่แข็งแรง(ในความเชื่อ)และสมาชิกเพิ่มพูน

“คริสตจักรทั้งปวงจึงเข้มแข็งในความเชื่อ และคริสตสมาชิกก็เพิ่มขึ้นทุกๆ วัน” ~กิจการ 16:5 THSV11

2.คริสตจักรที่มีความสุข และสันติจากพระเจ้า

“เพราะว่าพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าแห่งความวุ่นวาย แต่ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติ ดังที่เป็นอยู่ในคริสตจักรทุกแห่งของธรรมิกชน” ~1 โครินธ์ 14:33 THSV11

3.คริสตจักรที่สมาชิกรู้วิถีปฏิบัติตนตามหลักการแห่งพระประสงค์ของพระเจ้าด้วยความชื่นบาน

“ถ้าข้าพเจ้ามาช้า ท่านก็จะได้รู้ว่าควรประพฤติอย่างไรภายในครอบครัวของพระเจ้า ซึ่งเป็นคริสตจักรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ เป็นหลักและเป็นรากฐานแห่งความจริง” ~1 ทิโมธี 3:15 THSV11

4.คริสตจักรที่อยู่ในสภาพแวดล้อมแห่งการยอมรับกัน(แม้ต่างกัน)

“อย่างไรก็ตาม องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดสภาพแต่ละคนมาอย่างไร และพระเจ้าทรงเรียกแต่ละคนในสภาพอย่างไร ก็ให้เขาดำเนินต่อไปอย่างนั้น ข้าพเจ้าสั่งคริสตจักรทั้งหมดให้ทำเช่นนี้” ~1โครินธ์ 7:17 THSV11

5.คริสตจักรที่สร้างภูมิให้สมาชิก

  •  ไม่ติดโรค(คำสอนเทียมเท็จ)
  • ไม่เจ็บปวด/เจ็บป่วย
  • ไม่หลงทาง /ไม่หลงผิด

“อย่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกยิว หรือพวกกรีก หรือคริสตจักรของพระเจ้าหลงผิดไป” ~1 โครินธ์ 10:32 THSV11

“มีใครในพวกท่านเจ็บป่วยหรือ? จงให้คนนั้นเชิญบรรดาผู้ปกครองของคริสตจักรมา และให้ท่านเหล่านั้นอธิษฐานเผื่อเขาและชโลมเขาด้วยน้ำมันในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า” ~ ยากอบ 5:14 THSV11

6.คริสตจักรที่สามารถหนุนใจ

  • เสริมสร้าง และ
  • ฟื้นฟูจิตวิญญาณกันและกัน(สมาชิก)อยู่เสมอ

“ท่านเข้าไปในแคว้นซีเรียกับแคว้นซิลีเซียหนุนใจคริสตจักรให้เข้มแข็งขึ้น” ~กิจการ 15:41 THSV11

7.คริสตจักรที่สามารถทำหน้าที่หลักๆ ของคริสตจักร

8.ประกาศ

“เราส่งพี่น้องคนหนึ่งที่คริสตจักรทุกแห่งยกย่องในเรื่องการประกาศข่าวประเสริฐไปพร้อมกับเขาด้วย” ~2 โครินธ์ 8:18 THSV11

9.สร้างสาวก ด้วยพระวจนะของพระเจ้า

“ข้าพเจ้ามาเป็นผู้ปรนนิบัติของคริสตจักรตามภารกิจที่พระเจ้าทรงมอบให้แก่ข้าพเจ้า เพื่อกล่าวพระวจนะของพระเจ้าแก่พวกท่านอย่างเต็มบริบูรณ์” ~โคโลสี 1:25 THSV11

10.สามัคคีธรรม

“คนทั้งหลายที่รับถ้อยคำของเปโตรก็รับบัพติศมา ในวันนั้นมีคนเข้าเป็นสาวกประมาณสามพันคน เขาทั้งหลายอุทิศตัวเพื่อฟังคำสอนของบรรดาอัครทูตและร่วมสามัคคีธรรม รวมทั้งหักขนมปังและอธิษฐาน” ~กิจการ 2:41-42 THSV11

11.นมัสการ & อธิษฐาน

“เพราะฉะนั้นเปโตรจึงถูกจำจองในคุก แต่คริสตจักรอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อเปโตรอย่างกระตือรือร้น” ~กิจการ 12:5 THSV11

12.รับใช้ & สงเคราะห์สมาชิก

“ถ้าหญิงที่มีความเชื่อคนไหนมีญาติพี่น้องที่เป็นแม่ม่าย ก็ให้เธอช่วยเลี้ยงดูพวกนาง และอย่าให้เป็นภาระของคริสตจักรเลย เพื่อคริสตจักรจะได้สงเคราะห์พวกที่เป็นแม่ม่ายไร้ที่พึ่งจริงๆ” ~1ทิโมธี 5:16 THSV11

13.บริการ & ช่วยเหลือสังคม

“ในเมืองยัฟฟามีหญิงคนหนึ่งที่เป็นสาวกชื่อทาบิธา ตามภาษากรีกว่าโดรคัส หญิงคนนี้เคยทำคุณประโยชน์และสงเคราะห์คนจนมากมาย”   ~กิจการ 9:36 THSV11

14.เป็นพลเมืองดีของประเทศ

“ทุกคนจงยอมอยู่ใต้บังคับของผู้ที่มีอำนาจปกครอง เพราะว่าไม่มีอำนาจใดเลยที่ไม่ได้มาจากพระเจ้า และผู้ที่ถืออำนาจนั้น พระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น เพราะว่าผู้ครอบครองนั้นไม่น่ากลัวเลยสำหรับคนที่ประพฤติดี แต่ว่าเป็นที่น่ากลัวสำหรับคนที่ประพฤติชั่ว ท่านไม่อยากจะกลัวผู้มีอำนาจหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็จงทำแต่ความดี แล้วท่านก็จะได้เป็นที่พอใจของผู้มีอำนาจนั้น” ~โรม 13:1, 3 THSV11

“พวกท่านจงยอมเชื่อฟังผู้มีสิทธิอำนาจ เพราะเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นจักรพรรดิผู้มีอำนาจ จงดำเนินชีวิตอย่างคนมีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพนั้นเป็นข้ออ้างเพื่อทำความชั่ว แต่จงดำเนินชีวิตอย่างผู้รับใช้ของพระเจ้า” ~1 เปโตร 2:13, 16 THSV11

15.เตรียมสร้าง และสถาปนาผู้ปกครองและมัคนายกเพื่อดูแลคริสตจักร

“เมื่อท่านทั้งสองแต่งตั้งพวกผู้ปกครองในคริสตจักรแต่ละแห่งแล้ว ก็อธิษฐานและถืออดอาหารเพื่อมอบพวกเขาไว้กับองค์พระผู้เป็นเจ้าที่พวกเขาเชื่อถือนั้น” ~กิจการ 14:23 THSV11

16.คริสตจักรที่แข็งแกร่งมีชัยชนะเหนือการโจมตีทุกรูปแบบ แม้แต่ความตาย

“เราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร และบนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรไม่ได้” ~มัทธิว 16:18 THSV11

17.คริสตจักรที่ยำเกรงและถวายเกียรติแด่พระเจ้า

“ทั่วคริสตจักรและทุกคนที่ได้ยินเหตุการณ์นั้นก็เกิดความเกรงกลัวอย่างยิ่ง” ~กิจการ 5:11 THSV11

“เขาทั้งหลายมีความเกรงกลัวด้วยกันทุกคน และพวกอัครทูตทำการอัศจรรย์ และหมายสำคัญมากมาย” ~กิจการ 2:43 THSV11

18.คริสตจักรที่มีวุฒิภาวะ วินัย และสติปัญญาในการไกล่เกลี่ยและตัดสินความกันภายในได้ดี

“ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าธรรมิกชนจะพิพากษาโลก? และถ้าพวกท่านจะพิพากษาโลก ท่านไม่เหมาะจะพิพากษาเรื่องเล็กน้อยหรือ? พวกท่านรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าเราจะพิพากษาพวกทูตสวรรค์? ถ้าเช่นนั้นก็ยิ่งควรจะพิพากษาเรื่องของชีวิตนี้ เมื่อเป็นความกันในเรื่องชีวิตนี้ พวกท่านจะตั้งคนที่คริสตจักรไม่ยอมรับให้ตัดสินหรือ?” ~1โครินธ์ 6:2-4 THSV11

“ไม่ใช่หน้าที่ของข้าพเจ้าที่จะไปพิพากษาคนภายนอก แต่ท่านจะต้องพิพากษาคนภายในคณะไม่ใช่หรือ?” ~1 โครินธ์ 5:12 THSV11                                                                       

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์