Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

การออกกำลังดีที่สุด

การออกกำลังดีที่สุด

“ไม่มีการออกกำลังประเภทใดที่ดีต่อหัวใจ ได้เท่ากับการโน้มตัวลงและยกผู้อื่นขึ้นมา!”

(There is no exercise better for the heart than reaching down And lifting people up.)

-John Haynes Holmes- (1897-1964)

ยุคนี้เป็นยุคที่คนเห่อการออกกำลังกาย ใคร ๆ ก็สนใจอยากมีร่างกายที่ดูดีและสุขภาพที่แข็งแรง แม้ว่าจะยุ่งกับบทบาทหน้าที่หรือกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวัน

แต่คนรุ่นใหม่นี้ก็จะพยายามหาเวลาไปออกกำลังกายในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อที่ burn” พลังงานในร่างกาย และได้รูปทรงที่น่าพึงตาพึงใจ คนในปัจจุบันจึงยินดีจ่ายเงินเพื่อได้ออกกำลังกาย

สำหรับบางคน การกระทำเช่นนั้นเป็นการลงทุนเพื่อได้ทรวดทรงองค์เอวที่ดึงดูดผู้ที่มองเห็น และอาจนำไปสู่รายได้ทางใดทางหนึ่ง เมื่อมีแมวมองมาทาบทาม

สำหรับบางคนหรือกลุ่มคนก็อาจมองดูว่า นี่เป็นช่องทางที่น่าจะเป็นธุรกิจที่มีอนาคต จึงลงทุนเปิดกิจการเสริมการออกกำลังกายซึ่งมีอยู่นานาชนิด และหนึ่งในนั้นก็คือ การออกกำลังกายประเภท “ห้อยโหน” (ที่มีสมาชิกคริสตจักร CJ แห่งนี้ร่วมเป็นหุ้นส่วนเปิดให้บริการไปเมื่อเร็ว ๆ นี้)

อย่างไรก็ตาม นอกจากการออกกำลังทางกาย การออกกำลังทางความคิดก็เป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่มีวัยที่สูงขึ้น การมีอะไรให้ทำโดยใช้ความคิดสติปัญญาอยู่เสมอจะช่วยทำให้ผู้สูงวัยไม่เข้าสู่โหมดความจำเสื่อม (เร็วกว่าที่ควรเป็น) และยังสามารถใช้ความรู้และสติปัญญาที่มีสร้างคุณค่าให้แก่ชุมชนและสังคมได้อย่างมาก

และสิ่งที่สมควรกระทำเป็นที่สุดก็คือ การออกกำลังทางด้านจิตและวิญญาณ เพื่อฝึกฝนให้ใจมีวินัยที่จะรักและแผ่เมตตาต่อสรรพสิ่งบนโลกนี้ ทั้งต่อคนและสัตว์ รวมทั้งสิ่งแวดล้อม(หรือธรรมชาติ)ที่พระเจ้าทรงประทานมาซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เป็นเด็ดขาด

ดังนั้น วันนี้ แทนที่เราจะเพียงยกแต่ตุ้มน้ำหนักเพื่อให้เกิดกล้ามเนื้อที่แขนแข็งแกร่ง ขอให้เรามายก บรรดาผู้ที่ขัดสนยากจนหิวโหย ผู้ที่เป็นทุกข์เจ็บปวด และผู้ที่ขมขื่นสิ้นหวังขึ้น เพื่อให้กล้ามเนื้อฝ่ายจิตวิญญาณของเราจะแข็งแกร่งกว่าเดิม

จะดีไหมครับ?

   ถ้าอย่างนั้น …ขอให้เราลองมาเริ่มต้นช่วยยกคนบางคนที่อยู่ใกล้ตัวของเราก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยู่ในครอบครัวแห่งความเชื่อ (ในคริสตจักรของเรา) นั่นคือ ขอ

-ให้เรายกคนที่ผิดพลาดและหมดกำลังใจที่จะก้าวต่อได้ ให้เขากลับมามีกำลังและมีโอกาสในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ (กาลาเทีย 6:1)

-ให้เราช่วยยกคนที่แบกภาระหนักจนหมดสิ้นเรี่ยวแรงได้มีโอกาสผ่อนหนักและเบาแรงจนสามารถไปต่อได้ (กาลาเทีย 6:2)

-ให้เราช่วยยกจิตวิญญาณของคนที่อ่อนแอ รู้น้อยหรือสับสนให้สูงขึ้นและเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิมด้วยพระวจนะของพระเจ้า (กาลาเทีย 6:6)

ขอให้เราไม่เมื่อยล้าในการทำดีเช่นนี้ต่อทุกคนที่ต้องการ เพราะว่าวันหนึ่ง เราอาจจะได้เก็บเกี่ยวผล(ดี) ในเวลาอันสมควร

“9อย่า​ให้​เรา​เมื่อย​ล้า​ใน​การ​ทำ​ดี เพราะ‍ว่า​ถ้า​เรา​ไม่​ท้อ‍ใจ​แล้ว เรา​ก็​จะ​เกี่ยว​เก็บ​ใน​เวลา​อัน​สม‍ควร 10เหตุ​ฉะนั้น​เมื่อ​เรา​มี​โอ‌กาส ให้​เรา​ทำ​ดี​ต่อ​คน​ทั้ง‍ปวง และ​เฉพาะ​อย่าง​ยิ่ง​ต่อ​ครอบ‍ครัว​ที่​มี​ความ​เชื่อ” (กาลาเทีย 6:9-10)

จะดีไหมครับ?

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/ lifeanswer

(Cr. ภาพ workthedream.com)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

อย่ากลัวเลย!

ยังมีคนรัก

พระเจ้าตรัสว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลเรื่องความรัก เพราะตราบใดที่เรายังคงดำรงอยู่ เจ้าจะเป็นที่รักของเราเสมอไป”

(God Said, “You don’t have to worry about love.  As long as I’m existing, you will be loved.”)

พระเจ้ามิได้ทรงเรียกเรามาให้วิตกกังวล ว่าจะมีใครรักเราไหม?

เพราะว่า พระเจ้าทรงรักเรามาตั้งแต่เริ่มต้น พระองค์จึงทรงสร้างเรา และเรียกเราให้กลับมาหาพระองค์

พูดง่าย ๆ ก็คือว่า ต่อให้คนในโลกนี้ไม่มีใครรักเราเลย ก็ขอให้เราแน่ใจเถิดว่า เรามีผู้หนึ่งที่รักเราแน่นอนมาตั้งแต่แรก และจะรักเราเช่นนี้ตลอดไป ไม่ว่าเราจะดีขึ้นหรือแย่ลง นั่นคือ พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และโลก และพระองค์ทรงพร้อมเสมอที่จะช่วยเหลือเราให้รอดพ้นจากอันตรายและปลายทางแห่งความหายนะ เพียงแต่ขอให้เราถ่อมใจเข้ามาหา พระองค์ และขอให้พระองค์ทรงช่วยเรา พระองค์ก็ทรงช่วยกู้เราให้รอดจากภยันตรายเหล่านั้น!

ประเด็นปัญหาจึงไม่ใช่ว่าพระเจ้ารักเรา และช่วยเราได้หรือไม่? แต่อยู่ที่ว่า เราเต็มใจยอมให้พระเจ้าทรงช่วยให้รอดหรือไม่?  แค่นั้นเอง!

หากเรายอมให้พระเจ้าทรงครอบครองดูแลชีวิตของเรา และเรายอมเชื่อฟังทำตามทุกอย่างที่พระองค์ทรงบัญชาให้ทำ ที่สรุปได้เป็น 2 ข้อหลัก ๆ นั่นคือ ให้เรารักพระเจ้าและรักคนอื่น (ไม่ว่าเขาจะรักเราก่อนหรือจะรักเราเป็นการสนองกลับมาหรือไม่ก็ตาม) เรารู้ได้ว่า เราอยู่ในพระองค์และพระองค์ทรงอยู่ในเราหรือไม่ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงยืนยันความจริงนั้น และทำให้เราสามารถวางใจในความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา

“13เช่น‍นี้​แหละ เรา​จึง​รู้​ว่า​เรา​อยู่​ใน​พระ‍องค์​และ​พระ‍องค์​ทรง​อยู่​ใน​เรา เพราะ​พระ‍องค์​ประ‌ทาน​พระ‍วิญ‌ญาณ​ของ​พระ‍องค์​เอง​แก่​เรา 14และ​เรา​ได้​เห็น​และ​เป็น​พยาน​ว่า พระ‍บิดา​ได้​ทรง​ใช้​พระ‍บุตร​มา​เป็น​พระ​ผู้​ช่วย​โลก​ให้​รอด 15ผู้​ที่​ยอม‍รับ​ว่า​พระ‍เยซู​เป็น​พระ‍บุตร​ของ​พระ‍เจ้า พระ‍เจ้า​ทรง​อยู่​ใน​คน​นั้น และ​คน​นั้น​อยู่​ใน​พระ‍เจ้า 16ฉะนั้น​เรา​จึง​รู้ และ​วาง‍ใจ​ใน​ความ​รัก​ที่​พระ‍เจ้า​ทรง​มี​ต่อ​เรา พระ‍เจ้า​ทรง​เป็น​ความ​รัก และ​ผู้​ที่​อยู่​ใน​ความ​รัก​ก็​อยู่​ใน​พระ‍เจ้า และ​พระ‍เจ้า​ก็​ทรง​อยู่​ใน​คน​นั้น” (1ยน.4:13-16)

ด้วยเหตุนี้ หากเรารักพระเจ้าและพระเจ้ารักเราจริงๆ เราก็จะไม่ลนลานออกอาการวิตกกังวล กระวนกระวาย หรือกระเสือกกระสนวิ่งพล่านหาความรักจากคนนี้คนนั้นไปทั่ว

คนที่ยังวิตกกังวลหรือยังกลัวอยู่เกินเหตุ จนมีความรู้สึกขาดความมั่นคงในชีวิต ก็คือ คนที่ยังไม่มีความรักของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ แต่คนที่วางใจในพระเจ้าอย่างแท้จริง จะไม่วิตกว่า คนรอบข้างนั้นยอมรับนับถือตัวของเขาหรือไม่ เพราะว่าเขารู้อยู่แก่ใจเสมอว่า เขาจะยังคงเป็นที่รักของพระเจ้าเสมอมาและเสมอไป!

และชีวิตนี้จะขออยู่เพื่อรักพระองค์เป็นการสนองตอบจนกว่าจะหมดลมหายใจ!

 

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr. ภาพ www.coolwierdo.com)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

พระวจนะที่ฉันรัก

พระวจนะที่ฉันรัก

“We must allow the Word of God to confront us, to disturb our security, to undermine our complacency and to overthrow our patterns of thought and behavior.”  John R.W. Stott

“เราต้องยินยอมให้พระวจนะของพระเจ้า เผชิญหน้ากับเรา รบกวนความมั่นคงของเรา กัดเซาะความพึงพอใจของเรา และล้มล้างรูปแบบความคิดและพฤติกรรมของเรา!”

พระวจนะของพระเจ้าเป็นดุจยาดีที่เยียวยารักษาชีวิตของเราได้ แต่เราต้องรับมา และกินลงไป หรือรับการฉีดเข้าเส้นโลหิตของเรา หากเรามียาดีอยู่ในมือหรืออยู่ตรงหน้า แต่ไม่กินหรือดื่ม  ต่อให้เป็นยาวิเศษจากสวรรค์ก็ไร้ประโยชน์

หลายคนมาโบสถ์นานนับสิบปี  หลายคนมีพระคัมภีร์มากนับสิบเล่ม แต่กลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงในชีวิตของพวกเขา…ทำไม?

ก็เพราะว่า พวกเขาไม่ยอมให้พระวจนะของพระเจ้าเข้าไปในความคิดและจิตใจ แค่รับมาไว้เฉย ๆ ประดับสมองหรือความรู้เท่านั้น

พระวจนะของพระเจ้าเปรียบประดุจเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิตใหม่(อันเป็นนิรันดร์) แต่หากเราไม่นำลงมาปลูกในดินแห่งจิตใจของเรา ต่อให้มีเมล็ดนั้นเก็บไว้มานานนับพันปีก็ไม่เกิดผลิตผลแต่อย่างใด

” 22ที่​ท่าน​ทั้ง‍หลาย​ได้​ชำระ​จิต‍ใจ​ของ​ท่าน​ให้​บริ‌สุทธิ์​แล้ว ด้วย​การ​เชื่อ‍ฟัง​ความ​จริง จน​มี​ใจ​รัก​พวก​พี่​น้อง​อย่าง​จริง​ใจ ท่าน​ทั้ง‍หลาย​จง​รัก​กัน​ให้​มาก​ด้วย​น้ำ​ใส​ใจ​จริง 23ท่าน​ทั้ง‍หลาย​ได้​บัง‍เกิด​ใหม่​แล้ว ไม่​ใช่​จาก​พันธุ์​มตะ แต่​จาก​พันธุ์​อมตะ คือ​ด้วย​พระวจนะ​ของ​พระเจ้า​อัน​ทรง​ชีวิต​และ​ดำรง​อยู่ 24เพราะ‍ว่า บรร‌ดา​เนื้อ‍หนัง​ก็​เป็น​เสมือน​ต้น‍หญ้า และ​บรร‌ดา​ศักดิ์‍ศรี​ของ​เขา​ก็​เป็น​เสมือน​ดอก‍หญ้า ต้น‍หญ้า​เหี่ยว​แห้ง​ไป และ​ดอก​ก็​ร่วง​โรย​ไป 25 แต่​พระ‍วจนะ​ของ​พระ‍เจ้า​ยั่ง‍ยืน​อยู่​เป็น​นิตย์  พระ‍วจนะ​นั้น​คือ​ข่าว​ประ‌เสริฐ​ที่​ได้​ประ‌กาศ​ให้​ท่าน​ทั้ง‍หลาย​ทราบ​แล้ว”  (1เปโตร1:22-25)

พระวจนะของพระเจ้าเปรียบดุจกระจกเงา แต่หากเราไม่เคยหยิบขึ้นมาส่องดูหน้า หรือไม่เคยไปยืนดูตัวเองที่หน้ากระจกใหญ่ ต่อให้กระจกใบนั้นจะชัดใสมากลักปานใดก็ไร้ความหมาย(ยากอบ1:23-25)

 พระวจนะของพระเจ้าเปรียบดังอาหารที่จำเป็นต่อชีวิต เป็นทั้งอาหารอ่อน และอาหารแข็ง เหมาะกับคนในแต่ละช่วงวัย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรเป็นผู้ใหญ่ที่ทานแต่อาหารสำหรับเด็กโดยไม่รู้จักโต (ฮีบรู 5:12-14)    

“เช่น​เดียว​กับ​ทารก​แรก​เกิด จง​ปรารถ‌นา​น้ำนม​ฝ่าย​วิญญาณ​อัน​บริ‌สุทธิ์ เพื่อ​โดย​น้ำ‍นม​นั้น​จะ​ทำ​ให้​ท่าน​ทั้ง‍หลาย​เจริญ​ขึ้น​สู่​ความ​รอด”  (1เปโตร 2:2)

พระวจนะของพระเจ้าเปรียบเหมือนตะเกียง ประทีป หรือโคมไฟ หากเราไม่จุดหรือไม่เปิด บรรดาสิ่งที่ให้ความสว่างเหล่านั้นก็ไร้ประโยชน์ (สดุดี119:105-106)

พระวจนะของพระเจ้าเปรียบดังค้อนและไฟ ที่สามารถทุบทำลายหรือเผาสิ่งที่ขวางกั้นหรือสิ่งที่ไร้ค่าไร้ประโยชน์

หากเราไม่ใช้สิ่งเหล่านี้ทะลุทะลุทะลวงกำจัดกำแพงที่ขวางกั้นความเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณของเรา เราก็จะไม่มีทางหลุดพ้นจากสิ่งที่เป็นอุปสรรคขวางกั้นความเจริญในชีวิตของเราได้ (เยเรมีย์23:29)

พระวจนะของพระเจ้าเปรียบดุจพระแสงฝ่ายวิญญาณหรือดาบ 2 คม ที่ใช้รับมือกับการโจมตีของศัตรู หากไม่มีดาบเป็นอาวุธหรือมีแต่ไม่ใช้ป้องกันตัว เราก็ไม่อาจรอดชีวิตจากการโจมตีของศัตรู(อย่างมาร)ได้ (เอเฟซัส 6.17)  และหากไม่มีมีดหมออันคมกริบสำหรับการผ่าตัด  เราก็ไม่มีทางได้รับการผ่าและตัดเอาก้อนเนื้อหรือเชื้อโรคร้ายออกจากตัวของเราได้ (ฮีบรู 4:12-13)

พระวจนะของพระเจ้าเปรียบดังบทเพลงหนุนจิตชูใจจากสวรรค์เพื่อเราและคนรอบตัว หากเรามีบทเพลงอันไพเราะเพราะพริ้งอยู่กับตัวแต่เราเองกลับไม่ฟังหรือไม่ขับร้อง บทเพลงเหล่านั้นก็จะไม่มีความหมายอะไรต่อเราหรือคนคนอื่น ๆ เลยช่างน่าเสียดายยิ่ง! (สดุดี 119:54)

กล่าวโดยสรุปก็คือ พระวจนะของพระเจ้าเป็นของขวัญล้ำค่าต่อพวกเรา เป็นคู่มือชีวิตให้เราดำเนินและปฏิบัติตามเพื่อเกิดความสุขความเจริญทั้งด้าน กายจิตและวิญญาณ เป็นสื่อจากเบื้องบนให้เราได้รู้จักกับพระเจ้าองค์เที่ยงแท้และรับความรอดจากพระองค์ผ่านข่าวประเสริฐในพระวจนะของพระองค์(ในพระคริสตธรรมคัมภีร์) และเป็นสารจากสวรรค์ที่ไม่มีโซ่หรือสิ่งใดจะล่ามไว้ได้ (2ทิโมธี 2:8-9) นับว่าเป็นของขวัญที่ล้ำค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินเงินทองสิ้นทั้งโลก

สำ‌หรับ​ข้า‍พระ‍องค์ พระ‍ธรรม​แห่ง​พระ‍โอษฐ์​ของ​พระ‍องค์ก็​ดี‍กว่า​ทอง‍คำ​และ​เงิน​พันๆ​ แท่ง” (สดุดี 119:72)

 และหวานหอมยิ่งกว่าน้ำผึ้งที่หยดจากรวง

“พระ‍ดำ‌รัส​ของ​พระ‍องค์​นั้น ข้า‍พระ‍องค์​ชิม​แล้ว​หวาน​จริงๆ หวาน​กว่า​น้ำ‍ผึ้ง​เมื่อ​ถึง​ปาก​ข้า‍พระ‍องค์” (สดุดี119:103)

 และด้วยเหตุผลดังกล่าว เราทุกคนที่เป็นคริสเตียนแล้วจึงรักพระวจนะของพระเจ้า และปรารถนาให้คนรอบตัวของเราได้รักเช่นเดียวกับเรา! (สดุดี119:47-48)

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ www.pinterest.com)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

จุดยืนเรื่องหนี้สิน

หนี้ท่วมหัว

“ไปนอนในขณะที่หิว ยังดีกว่าหิ้วหนี้สินในยามตื่นขึ้นมา”

( Better to go to bed hungry Than to wake up in debt.)

ในวันแต่งงาน คู่บ่าวสาวต้องแลกเปลี่ยนคำมั่นสัญญาต่อกันว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ไม่ว่ายากสุขหรือยามทุกข์ ยามมั่งมีหรือยามยากจน ยามสุขสบายหรือยามเจ็บป่วย โดยกล่าวว่า  “จนกว่าความตายจะแยกเราทั้งสองออกจากกัน!”

หรือภาษาอังกฤษใช้คำว่า Till death do us part!”

แต่ในปัจจุบัน แม้คู่สมรสจะได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันด้วยดีมาตลอด แต่วันหนึ่งเมื่อคนใดก่อเกิดหนี้สินที่สร้างความอึดอัดใจให้กับอีกคนหนึ่งเป็นอย่างยิ่ง จนในที่สุดก็มักลงเอยที่สามีภรรยาตัดสินใจหย่าร้างกัน                 จนมีคนนำมาล้อเลียนชีวิตคู่ที่ทนอยู่ด้วยกันต่อไปไม่ไหว จึงหย่าร้างเพราะปัญหาหนี้สินและกล่าวว่า เราได้อยู่กันมา

   “จนหนี้สินแยกเราทั้งสองออกจากกัน”    “Till debt do us part!”

ที่แน่ๆ ก็คือ คริสเตียนแท้ ควรมีจุดยืนว่า เขาจะไม่สร้างหนี้ที่ไม่จำเป็นขึ้นเป็นอันขาด

หนี้คืออะไร?

“หนี้” คือ “เงินหรือสินทรัพย์ซึ่งคนหนึ่งมีข้อผูกพันหรือเงื่อนไขที่จะต้องจ่ายคืนให้กับอีกคนหนึ่ง!”

คนส่วนใหญ่ในยุคนี้มักเป็นหนี้ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง แต่ที่หลัก ๆ ก็คือ

  1. หนี้บัตรเครดิต
  2. หนี้สินเชื่อบ้าน (หรือรถ)

ในเรื่องนี้พระคัมภีร์ให้จุดยืนแก่เราว่า อย่าเป็นหนี้อะไรใคร นอกจากหนี้รัก!

“อย่า​เป็น‍หนี้​อะไร​ใคร นอก‍จาก​ความ​รัก​ซึ่ง​มี​ต่อ​กันเพราะ‍ว่า​ผู้​ที่​รัก​เพื่อน‍บ้าน ก็​ได้​ปฏิ‌บัติ​ตาม​ธรรม‍บัญ‌ญัติ​ครบ‍ถ้วน​แล้ว” (โรม 13:8)

เพราะหากเราเป็นหนี้ผู้ใด เพราะไปยืมเงินเขามา เราก็คือ ทาสของเขานั่นเอง! (ไปกู้เงินธนาคารก็เป็นทาสของธนาคารเช่นกัน)

พระคัมภีร์บอกเราว่า…

“คน​มั่ง‍คั่ง​ปก‍ครอง​เหนือ​คน​ยาก‍จน และ​คน​ขี้‍ยืม​ก็​เป็น​ทาส​ของ​คน​ให้​ยืม” (สุภาษิต 22:7)

ดังนั้น จงจำไว้ว่า… เราจะสูญเสียอิสรภาพไปเมื่อเราเป็นหนี้

ในพระคัมภีร์ถือว่า หนี้ เป็นคำแช่งสาป!

“พระ‍เจ้า​จะ​เปิด​คลัง​ฟ้า​อัน​ดี​ของ​พระ‍องค์​ประ‌ทาน​ฝน แก่​ท่าน​ตาม​ฤดู​กาล และ​ทรง​อำ‌นวย​พระ‍พร​แก่​กิจ‍การ​น้ำ‍มือ​ของ​ท่าน และ​ท่าน​จะ​ให้​ประชาชาติ​หลาย​ประชาชาติ​ขอ​ยืม แต่​ท่าน​จะ​ไม่​ขอ​ยืม​เขา (เฉลยธรรมบัญญัติ 28:12)

ดังนั้น จุดยืนของเราในเรื่องเศรษฐกิจเงินทองก็คือ เราจะไม่ก่อหนี้ที่ไม่สมควร แต่หากเราก่อหนี้ขึ้นมาแล้ว เราต้องรับผิดชอบในการรีบทำทุกอย่างให้ตัวเราหลุดพ้นจากการเป็นหนี้ เช่น

  1. เราจะอธิษฐานขอพระเจ้าช่วยปลดปล่อยเรา (2พกษ.4:1-7)
  2. เราจะจัดทำประมาณการรายรับรายจ่ายเป็นลายลักษณ์อักษร
  3. เราจะจัดทำรายการทรัพย์สินทั้งหมดที่เรามี
  4. เราจะจัดทำรายการหนี้สินทั้งหมดที่เรามี
  5. เราจะปลดหนี้ที่มีจำนวนน้อย(ต่ำ)ที่สุดก่อน
  6. เราจะขยันและหารายได้เพิ่มเติม/เพิ่มขึ้น
  7. เราจะหลีกเลี่ยงการก่อหนี้ใหม่
  8. เราจะรู้จักพอใจและชื่นชมกับสิ่งที่เรามีอยู่ (โดยไม่ไปเปรียบเทียบกับผู้ใดหรือวิ่งตามกระแส)
  9. เราจะปรับเปลี่ยนวิถีหรือสไตล์การใช้ชีวิตของเราเพื่อหลุดพ้นจากหนี้สินโดยเร็ว
  10. เราจะไม่ยอมถอดใจ แต่ต่อสู้จนกว่าจะเป็นอิสระจากหนี้สินให้ได้

ดังนั้น วันนี้ไม่ว่าเราจะมีฐานะอะไร ขอให้เรามีจุดยืน เราจะไม่ก่อหนี้ขึ้นเป็นอันขาด แต่ย้ำอีกครั้งว่า หากเราได้ก่อหนี้แล้ว เราต้องรับผิดชอบ ชดใช้ หรือจ่ายคืนเจ้าหน้าให้หมดโดยเร็ว! จุดยืนของเราก็คือ

เราจะไม่ปล่อยให้หนี้สินหรือปัญหาเรื่องเงินทองมาทำให้พระเจ้าทรงเสื่อมเสียพระเกียรติ แต่เราจะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยทรัพย์สินสิ่งของที่เรามี

ดังพระธรรมสุภาษิต ที่ว่า

“จง​ถวาย​เกียรติ​แด่​พระ‍เจ้า​ด้วย​ทรัพย์​สิน​ของ​ตนและ​ด้วย​ผล​แรก​แห่ง​ผลิต‍ผล​ทั้ง‍สิ้น​ของ​เจ้า” (สุภาษิต 3:9)

แล้วพระพรของพระเจ้าจะหลั่งไหลมาสู่เรา

“แล้ว​ยุ้ง​ของ​เจ้า​จะ​เต็ม​ด้วย​ความ​อุดมและ​บ่อ‍เก็บ​ของ​เจ้า​จะ​ล้น​ด้วยเหล้าองุ่น”  (สุภาษิต 3:10)

พี่น้องที่รัก!

ขอให้เรายืนหยัดในจุดยืนเรื่องเงินทองเช่นนี้!

…จะดีไหมครับ?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

 

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ผลสัมฤทธิ์กับการเชื่อฟัง

ประสงค์การเชื่อฟัง

“พระเจ้าไม่ได้ต้องการความสำเร็จของเรา พระองค์ปรารถนาตัวของเรา

พระเจ้ามิได้เรียกร้องผลสัมฤทธิ์ใดๆ จากเรา พระองค์เรียกร้องความเชื่อฟังจากเรา!”

(God doesn’t want our success; He wants us;

He doesn’t demand our achievements; He demands our obedience.)

-Charles Colson-

 

การทำอะไรดี ๆ ให้แก่คนที่เรารัก ย่อมเป็นสิ่งที่ดูดี

แต่บางครั้งเราอาจลืมถามคนที่เรารักว่า เขาชอบในสิ่งที่เราทำให้นั้นหรือไม่?

การทำบางอย่างเพื่อผู้อื่น ตามที่ใจของเราปรารถนากับการทำบางอย่างที่ผู้อื่นปรารถนา อาจไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

วิถีแห่งการอุทิศทุ่มเทอย่างรับผิดชอบของเรา อาจไม่ตรงกับความปรารถนาในใจของผู้รับก็เป็นไปได้

การมอบถวายสิ่งหนึ่งสิ่งใดถวายแด่พระเจ้าก็เช่นกัน บางทีเราคิดว่า เราได้นำสิ่งที่ดีที่สุดมามอบถวายให้แก่พระเจ้า และพระเจ้าก็น่าจะพอพระทัย แต่ตรงกันข้าม พระเจ้าอาจไม่รับสิ่งนั้นก็เป็นได้

ดุจดังที่พระเจ้าปฏิเสธเครื่องบูชาที่คาอินนำมาถวาย อันเป็นเหตุให้คาอินโกรธจัด จนพาลไปฆ่าอาแบลน้องชายของตัวเองเพียงเพราะว่า พระเจ้าพอพระทัยในเครื่องบูชาของเขา

คุณเคยเป็นเช่นนี้บ้างไหม?

…คุณรู้สึกว่า คุณรักพระเจ้า แต่คุณไม่รู้สึกรักคนบางคนที่พระเจ้ารัก

…คุณคิดว่า คุณเสียสละเพื่อพระเจ้ามามากมาย แต่พระเจ้าไม่ได้แสดงหรือสนองตอบเลยว่า พระเจ้าพอพระทัย

…คุณคิดว่า คุณเสียสละเพื่อคริสตจักรมากมาย แต่ผู้นำหรือคนในคริสตจักรไม่ได้ชื่นชมคุณอย่างที่คุณต้องการ

…คุณคิดว่า คุณได้อุทิศทุ่มเทเพื่อหน่วยงานหรือองค์ของคุณ แต่คุณไม่ได้รับคำชมเชยรางวัลหรือการยกย่องเชิดชูอย่างที่คุณคาดหวังเลย หรือ

…คุณคิดว่า คุณได้อุทิศทุ่มเทเพื่อครอบครัวของคุณอย่างมากแล้ว แต่คนในครอบครัวก็ไม่ได้ซาบซึ้งหรือขอบคุณตัวของคุณแต่อย่างใด

บางทีคุณอาจไม่ได้เฉลียวหรือตระหนักว่า สิ่งดีที่คุณอุทิศทุ่มเทให้แก่ใครบางคนรวมทั้งอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ตรงกับความประสงค์ของผู้รับสักเท่าไรนัก สำหรับพระเจ้าแล้ว พระองค์ตรัสไว้ชัดเจนว่า ระหว่าง การอุทิศทุ่มเทถวายเครื่องบูชาของเรา (ตามความคิดของเรา)

กับ การเชื่อฟังพระเจ้า (ตามพระทัยของพระองค์) นั้น

พระองค์ตรัสอย่างชัดเจนผ่านซามูเอลผู้เผยพระวจนะของพระองค์ต่อกษัตริย์ซาอูลว่า…

“พระ‍เจ้า​ทรง​พอ‍พระ‌ทัย​ใน​เครื่อง​เผา​บูชา​และ​เครื่อง​สัตว‌บูชา​มาก เท่า‍กับ​การ​ที่​จะ​เชื่อฟัง​พระ‍สุรเสียง​ของ​พระ‍องค์​หรือ ดู‍เถิด ที่​จะเชื่อฟัง​ก็​ดี​กว่า​เครื่อง​สัตว‌บูชาและ​ซึ่ง​จะ​สดับ​ฟัง​ก็​ดี​กว่า​ไขมัน​ของ​บรร‌ดา​แกะ‍ผู้”    (1 ซามูเอล 15:22)

ใช่ครับ พระเจ้าทรงประสงค์การเชื่อฟังพระองค์มากยิ่งกว่าเครื่องบูชาใด ๆ ที่เรามีเจตนาดีถวาย

ดังนั้น จากนี้ไปขอให้คุณมุ่งที่จะอุทิศถวาย “ความเชื่อฟัง” ของคุณแด่พระองค์ เพื่อเป็นของขวัญหรือเครื่องบูชาที่เหมาะสมจะดีกว่า เพราะว่านั่นเป็นสิ่งดีที่สุดที่พระเจ้าทรงปรารถนาจากคุณ

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ peachieloveblog.com)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

เคล็ดลับของวินัย

แกะเปลือก

“เคล็ดลับของวินัยคือ แรงจูงใจ เมื่อคนใดได้รับการจูงใจอย่างมีประสิทธิภาพ วินัยก็จะจัดการตัวของมันเอง!”

                                                                                           –Sir Alexander Paterson- (1884-1947)

ทุกอย่างเริ่มต้นที่ใจ รวมทั้งเรื่องวินัย!

หากเราไม่มีใจที่จะมีวินัย ไม่มีทางที่กายหรือความคิดของเราจะได้รับการฝึกฝนอย่างมีวินัย

แต่หากว่า ใจของเรามีวินัย กายของเราก็จะถูกควบคุม ความคิดของเราก็จะถูกควบคุม

จากนั้น กระบวนการควบคุมฝึกฝนก็จะเกิดขึ้น ทั้งทางกายภาพและทางความคิด

ในฝ่ายจิตวิญญาณก็เช่นกัน การมีวินัยทางจิตวิญญาณก่อน ต้องเริ่มต้นจากแรงจูงใจที่ต้องการที่จะเป็นคนฝ่ายจิตวิญญาณ

เราต้องมีใจปรารถนาที่จะเป็นเหมือนอย่างพระคริสต์ หรือเป็นดังที่พระองค์ทรงประสงค์

เราต้องมีใจที่ประสงค์ที่จะสนองพระคุณของพระเจ้า โดยการให้พระองค์ทรงใช้เราตามพระดำริของพระองค์ และแรงจูงใจดังกล่าวจะผลักดันให้เรากระตือรือร้นที่จะเติบโตขึ้นในด้านจิตวิญญาณ

แรงจูงใจดังกล่าวจะทำให้

…เราตื่นเช้าได้เร็วกว่าที่เคยเป็น เพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นประจำทุกวันอย่างมีวินัย

…เราถือว่าการมีวินัยในการศึกษาพระคัมภีร์ทั้งส่วนตัวและกับพี่น้องเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำ

…เราถือว่าการร่วมสามัคคีธรรมกับพี่น้องทั้งตามบ้าน ที่ทำงานหรือที่คริสตจักรเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

…เราถือว่าการไปนมัสการพระเจ้า ร่วมกับผู้เชื่ออื่น ๆ ที่คริสตจักรเป็นสิ่งสำคัญลำดับต้นๆ ของการเป็นบุตรของพระเจ้า

ดังนั้น เราต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า เราจะเติบโตแข็งแรง มีความรู้ ความเข้าใจ และทักษะในการดำเนินชีวิตคริสเตียนไม่ได้ หากว่าตัวของเราปราศจากวินัย และแรงจูงใจที่จะดำเนินชีวิตให้เติบโตมีวุฒิภาวะฝ่ายจิตวิญญาณ ดุจสุภาษิต เยอรมันที่กล่าวว่า…

  “พระเจ้าประทานถั่วมาให้ แต่พระองค์ไม่ได้แกะเปลือกให้แก่เรา!”

    (God gives the nuts, but He does not crack them.)

ดังนั้น หากเราต้องการรับประทานถั่ว เราต้องแกะเปลือกเอง เช่นเดียวกัน หากเราต้องการชีวิตที่มีวินัยและเจริญเติบโต เราต้องลงมือและลงแรงด้วยแรงจูงใจที่จะทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัย เราจึงจะได้ชีวิตที่มีวินัยอย่างที่พระคริสต์ทรงประสงค์ ทั้งในปัจจุบันและในบั้นปลาย

…คุณต้องการชีวิตที่มีวินัยแบบนี้ไหมครับ?

 

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/ lifeanswer,

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

คริสตจักรที่เคลื่อนโลก

Hands on a globe --- Image by © Royalty-Free/Corbis

“เราไม่ได้ต้องการคริสตจักรที่จะเคลื่อนไปกับโลก แต่เราต้องการคริสตจักรที่จะเคลื่อนโลกนี้!”

(We do not want a church that will move with the world. We want a church that will move the world.) -G. K. Chesterton-

 

คริสตจักรไม่ใช่ตั้งขึ้นเพื่อจะไล่ตามโลก แต่คริสตจักรตั้งขึ้นเพื่อจะช่วยนำโลกให้กลับมาหาพระเจ้า และรับความรอด

โลกต้องได้รับการนำให้ไปในทิศทางที่ถูกต้องโดยคริสตจักร แต่คริสตจักรที่เฉื่อยชาหรือเพิกเฉยจะถูกโลกนำไปในทิศที่ผิดทาง!

คริสตจักรจึงจะนั่งเฉย เฉื่อยชา หรือลุ่มหลงอยู่กับสิ่งที่ยั่วยวนของโลกไม่ได้ มิฉะนั้นจะถูกโลกนำไปสู่บั้นปลายที่ไม่พึงประสงค์

คริสตจักรต้องออกไปนำคนในโลกให้ได้รับความรอด ผ่านทางการประกาศข่าวประเสริฐจนเกิดความเชื่อศรัทธาในองค์พระเยซูคริสต์

คริสตจักรไม่จำเป็นต้องใหญ่โต

คริสตจักรไม่จำเป็นต้องมั่งมีหรือมั่งคั่ง

คริสตจักรไม่จำเป็นต้องมีคนเก่งมากมาย

คริสตจักรไม่จำเป็นต้องมีของประทานยิ่งใหญ่

คริสตจักรเพียงแค่ประกาศข่าวประเสริฐด้วยใจกล้าหาญและด้วยความรัก ข่าวประเสริฐมีฤทธิ์เดชอยู่ในตัวเองอยู่แล้ว

หากคนเขาเชื่อเพราะฤทธิ์เดชหรือการอัศจรรย์

…เขาจะเลิกเชื่อเมื่อไม่เห็นฤทธิ์เดชหรือการอัศจรรย์อีก

หากคนเชื่อเพราะคำอธิษฐานได้รับคำตอบ

…เขาจะเลิกเชื่อเมื่อคำอธิษฐานไม่ได้รับคำตอบ

หากคนเชื่อเพราะได้รับประโยชน์หรือความพอใจ

…เขาจะเลิกเชื่อเมื่อไม่ได้รับประโยชน์หรือเมื่อรู้สึกไม่พอใจกับบางคนหรือบางสิ่ง

แต่หากคนเราเชื่อเพราะมั่นใจในความจริงแห่งข่าวประเสริฐ

…เขาจะไม่หวั่นไหว ไม่ว่าเขาจะเผชิญกับอะไร!

คริสตจักรที่ประกาศข่าวดีเช่นนี้ควบคู่ไปกับกิจแห่งความรักที่จับต้องได้ จะขับเคลื่อนโลกนี้ให้ไปใกล้พระเจ้าได้อย่างมีพลังได้

วันนี้ มาช่วยกันทำให้คริสตจักรของเราให้ขับเคลื่อนโลก!

ดีไหมครับ?

 

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr. ภาพ Hands on a globe — Image by © Royalty-Free/Corbis)