Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ครอบครัวคือ…

ครอบครัวคือ

“ครอบครัว คือ ที่ๆ ชีวิตเริ่มต้น และความรักไม่เคยสิ้นสุด!”

(Family… where life begins and Love never ends.)

คนที่เกิดมาแล้วไมมีครอบครัว นับว่า น่าสงสารยิ่งนัก!

เพราะว่าตามแบบที่พระเจ้าทรงดำริไว้ ทุกคนควรจะเกิดมาในครอบครัวที่อบอวลด้วยความรักและความอบอุ่น

ใช่ครับ! เราแต่ละคนควรเริ่มต้นชีวิตในครอบครัวที่เต็มใจเลี้ยงดูและดูแลเราได้

เช่นเดียวกับที่ทุกคนที่เกิดมาในครอบครัวของเรา เขาควรจะได้รับการดูแลที่ดีเช่นกัน!

ไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายกายหรือทางฝ่ายจิตวิญญาณ พระเจ้าทรงประสงค์ให้ทุกคนได้รับการเลี้ยงดู ฟูมฟักเป็นอย่างดี ดังนั้น หากบุคคลใดหรือคู่ใด (หรือกลุ่มใด) ไม่พร้อมจะเลี้ยงดูชีวิตที่จะเริ่มต้นใหม่ในบ้านหรือชุมชนของตน ก็ไม่ควรให้เขาคนนั้นถือกำเนิดขึ้นมา

จึงพูดซ้ำได้อีกครั้งว่า…  คริสตจักร(กายฝ่ายวิญญาณ) ที่เป็นครอบครัวฝ่ายวิญญาณ ต้องใส่ใจฟูมฟักผู้เชื่อที่บังเกิดใหม่ ด้วยความเอาใจใส่และทะนุถนอมให้เขาเติบโตในทางของพระเจ้า จนกว่าจะบรรลุความไพบูลย์ในองค์พระเยซูคริสต์

ครอบครัว(ทางกายภาพ) ก็เช่นกันต้องใส่ใจเลี้ยงดูคนในครอบครัว ตั้งแต่ที่เขายังเป็นเด็กให้ดำเนินชีวิตในทางที่เขาควรจะดำเนินต่อไปจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และอยู่ในทางดีจนกระทั่งถึงวันสุดท้ายของชีวิต เพื่อเขาจะไม่เดินออกจากทางดีเข้าสู่ทางชั่วร้าย

ดังพระธรรมสุภาษิตที่กล่าวว่า ….

                “จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่แล้วเขาจะไม่พรากจากทางนั้น”

                                                                                                                         (สุภาษิต 22:6)

เราต้องตระหนักไว้ว่า

ครอบครัวมีความสำคัญยิ่งต่อทุกคนในบ้านของเรา และต่อทุกคนในโลกนี้

สิ่งที่เรากระทำให้เห็นและพูดสอนให้ได้ยินภายในครอบครัวของเราจะก่อเกิดผลผลิตที่ส่งผลกระทบต่อสังคมและโลกนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

จึงเป็นจริงอย่างที่ Michael J. Fox เคยพูดไว้ว่า…

“ครอบครัวไม่ได้เป็นแค่สิ่งที่สำคัญ แต่เป็นทุกๆ สิ่ง!”

(Family isn’t an important thing. It’s everything.)

ดังนั้น ขอให้ทุกชีวิตที่เริ่มต้นขึ้นในครอบครัวของเรา (ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวทางกายภาพหรือครอบครัวฝ่ายจิตวิญญาณ) จะดำรงและดำเนินต่อไปด้วยความรักอาทรต่อกันไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด!

และขอให้คุณจงเป็นคน ๆ นั้น ที่มีส่วนทำให้ครอบครัวของคุณมีคุณลักษณะดังที่กล่าวมาแล้วนั้น!

จะดีไหมครับ?

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ  healthyplace.com)

 

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

เดินกับพระเจ้า แต่จะจูงมือกับซาตาน?

จับปลาสองมือ

“คุณไม่อาจเดินไปกับพระเจ้า ในขณะที่จับมือกับซาตาน!

(You can’t walk with God holding hands with the devil.)

คุณจะจับปลา 2 มือ หรือเหยียบเรือ 2 แคมไม่ได้!

คุณจะรักพระเจ้า และหลงใหลในมารไม่ได้

คุณจะเดินในความสว่าง แต่ชอบซ่อนตัวอยู่ในซอกมุมแห่งความมืดไม่ได้

คุณจะบอกว่า คุณอยากเจริญเติบโตในชีวิตคริสเตียน ในขณะที่เอาให้แต่อาหารฝ่ายเนื้อหนัง โดยไม่ให้อาหารจิตวิญญาณของตนเลยหรือให้น้อยนิดเหลือเกินได้อย่างไร?

หากคุณจริงใจอย่างที่คุณพูด คุณต้องเลือกให้เด็ดขาดเสียในวันนี้ว่า คุณจะเลือกพระเจ้า หรือมาร?

คุณจะเลือก GOD” (พระเจ้า) หรือ devil” (มาร)

น่าสนใจที่คำว่า พระเจ้า ในภาษาอังกฤษ คือ G – O – D” มีความหมายแฝงไว้เป็นนัยว่า …

God Over Devil !”

นั่นคือ “พระเจ้า” (God) ต้องอยู่เหนือกว่า(over) “มาร” (devil) อยู่เสมอไป!

และหากเราเชื่อวางใจในพระเจ้า (God) อย่างแท้จริง และเรามั่นใจพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ก็จะไม่มีอะไรเหลือให้ต้องกังวลใจอีกต่อไปแล้วว่า ใครอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเรา!

พี่น้องที่รัก!

หากคุณยอมให้พระเจ้าทรงครอบครองพื้นที่การบัญชาการในหัวใจและในหัวคิดของคุณมากเท่าไร อุปสรรคปัญหาหรือศัตรูของคุณก็จะยิ่งเล็กลงไปเป็นอัตราส่วนแปรผันตรงฉันนั้น ใช่ครับ ใครจะต่อต้านคุณได้!

“ถ้าเช่นนั้นเราจะว่าอย่างไร ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขัดขวางเรา                     

(What, then, shall we say in response to these things? If God is for us, who can be against us?) (โรม.8:31)

แต่หากว่าเมื่อใด คุณปล่อยให้ใจของคุณผันแปร นอกใจไปกับมาร และสนองต่อการทดลองอันยั่วยวนใจของมัน จนทำให้ใจของคุณหันเหและออกห่างไปจากพระเจ้า จงระวังให้ดี  เกรงว่า บั้นปลายของคุณจะจบลงแบบไม่สวย!

น่าเศร้าที่บางคนเริ่มด้วยดีกับพระเจ้า เขาเชื่อและตื่นเต้นในการมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า แต่แล้วในไม่ช้า ในขณะที่รากฝ่ายวิญญาณยังไม่หยั่งลงลึก มารก็ส่งการทดลองใจหรือการยั่วยวนใจนานาชนิด มาทำให้ใจของเขาหวั่นไหว และก้าวหลงทางเดินห่างไกลไปจากพระเจ้า สู่ความสุขสนุกสนาน และความรุ่งเรือง (ที่เป็นกับดัก) ที่ชั่วคราวไม่เที่ยงแท้และพบกับบั้นปลายที่น่าเศร้าใจที่สุด

“คำ‍เปรียบ​นั้น​ก็​อย่าง‍นี้ เมล็ด‍พืช​นั้น​ได้​แก่​พระ‍วจนะ​ของ​พระ‍เจ้าที่​ตก​ตาม​หน‍ทาง​ได้​แก่ คน​เหล่า‍นั้น​ที่​ได้​ยิน​แล้ว​มาร​มา​ชิง​เอา​พระ‍วจนะ​จาก​ใจ​ของ​เขา เพื่อ​ไม่‍ให้​เชื่อ​และ​รอด​ได้ ซึ่ง​ตก​ที่​หิน​นั้น​ได้​แก่​คน​เหล่า​นั้น​ที่​ได้​ยิน​แล้ว ก็​รับ​พระ‍วจนะ​นั้น​ด้วย​ความ​ปรีดี แต่​ไม่‍มี​ราก เชื่อ​ได้​แต่​ชั่ว‍คราว เมื่อ​ถูก​ทด‍ลอง​เขา​ก็​หลง​เสีย​ไป”  (ลก.8:11-13)

ดังนั้น เพื่อไม่ให้ชีวิตของคุณต้องสูญเปล่าไปในบั้นปลาย ขอให้คุณตั้งเป้าและตั้งใจแน่วแน่ตั้งแต่ในวันนี้ว่า – ไม่ว่า การทดลอง จากมาร จากโลก หรือจากมนุษย์ จะเข้ามาหาคุณในรูปแบบใด ไม่ว่ามันจะยั่วยวนชวนใจมากสักเท่าใด คุณจะปฏิเสธมันในทันที เพื่อความปลอดภัยและมั่นคงนิรันดร์ของชีวิตคุณ!

…คุณพร้อมกระทำเช่นนี้อย่างเด็ดขาดหรือไม่?…      ตอบที!

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Learntospeakthai.net)

 

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

พยานสำคัญของวันอีสเตอร์

พระเยซูคืนพระชนม์

“หลักฐานสำคัญ Easter คือ

Empty Cross                          -กางเขนว่างเปล่า

Angels’ witness                      -ทูตสวรรค์แจ้งข่าว

Satan’s defeat                        -ซาตานพ่ายแพ้

Testimony of disciples          -สาวกเป็นพยาน

Empty tomb                            -อุโมงค์ว่างเปล่า

Risen Christ                           -พระคริสต์เป็นขึ้นแล้ว!”

ปกติ หากผู้ใดตาย เรื่องราวของเขาก็มักจบลงที่ความเศร้าโศก!

แต่เมื่อองค์พระเยซูคริสต์ตาย เรื่องราวของพระองค์กลับไม่จบลงตรงนั้น! เพราะภายใน 3 วันพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากตาย  และปรากฏกายต่อหน้าสักขีพยานนับไม่ถ้วนหลายครั้งหลายครา ..ทั้ง..

…ต่อหน้าทูตสวรรค์

…ต่อหน้ามารีย์ ชาวมักดารา

…ต่อหน้ากลุ่มผู้หญิงทั้ง 3 คน (มารีย์ มักดารา, มารีย์มารดาของยากอบและนางสะโลเม)

…ต่อหน้าเปโตร

…ต่อหน้าสาวก 2 คน (เคลโอปัส กับเพื่อน)

…ต่อหน้าสาวก 10 คน (ยกเว้นยูดาสกับโธมัส)

…ต่อหน้าสาวก 10 คน และโธมัส

…ต่อหน้าสาวก 7 คน (เปโตร, โธมัส,นาอานาเอล, ยากอบ, ยอห์น และสาวกอีก 2 คน)

…ต่อหน้าพี่น้องกว่า 500 คน

…ต่อหน้ายากอบ น้องชายของพระเยซูผู้เป็นผู้นำคริสตจักรแห่งแรก

…ต่อหน้าอัตรทูตทั้งหมด (11 คน)

…ต่อหน้าสเทเฟน

…ต่อหน้าเปาโล

…ต่อหน้ายอห์น (สาวกคนที่พระเยซูทรงรักในตอนที่เขาชราภาพ)    ฯลฯ

การเป็นขึ้นจากตายขององค์พระเยซูคริสต์ ในวันอีสเตอร์นี้ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะเป็นการพิสูจน์ว่าองค์พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าผู้ทรงรับสภาพของมนุษย์ ถูกตรึงตาย ได้พิชิตความตายด้วยการเป็นขึ้นมาใหม่อีกครั้งได้อย่างอัศจรรย์และสง่างาม องค์พระเยซูคริสต์ได้ตรัสไว้ล่วงหน้าแล้วว่า พระองค์จะต้องทนทุกข์ทรมาน ถูกตรึงตายและจะเป็นขึ้นใหม่ในวันที่ 3 และสุดท้ายทุกอย่างก็เป็นจริงตามพระดำรัสของพระองค์!

“พระ‍องค์​ตรัส​กับ​เขา​ว่า “มี​คำ​เขียน​ไว้​อย่าง​นั้น​ว่า พระ‍คริสต์​จะ​ต้อง​ทรง​ทน‍ทุกข์​ทร‌มาน และ​ทรง​เป็น​ขึ้น​มา​จาก​ความ​ตาย​ใน​วัน‍ที่​สาม และ​จะ​ต้อง​ประ‌กาศ​ทั่ว​ทุก​ประ‌ชา‍ชาติ​ใน​พระ‍นาม​ของ​พระ‍องค์ ให้​เขา​กลับ‍ใจ​ใหม่​รับ​การ​ยก‍บาป ตั้ง‍ต้น​ที่​กรุง​เย‌รู‌ซา‌เล็ม”  (ลก.24:146-47)

หลังจากพระคริสต์ทรงถูกตรึงสิ้นพระชนม์ และนำพระศพมาฝังไว้ในอุโมงค์ จนกระทั่งเช้าตรู่วันอาทิตย์ ทูตสวรรค์ได้ยืนยันต่อบรรดาผู้ที่ไปหาพระศพของพระองค์ที่อุโมงค์ฝังศพว่า  พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว แต่พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว!

“[พระ‍องค์​ไม่​อยู่​ที่​นี่ แต่​ทรง​เป็น​ขึ้น​มา​แล้ว] จง​ระลึก​ถึง​คำ​ที่​พระ‍องค์​ได้​ตรัส​กับ​ท่าน​ทั้ง‍หลาย เมื่อ​พระ‍องค์​ยัง​อยู่​ใน​แคว้น​กา‌ลิลี” (ลก.24:6)

ดังนั้น เรื่องราวข่าวดีแห่งวันอีสเตอร์ จึงให้ความหวังแก่เราทุกคนที่ได้ยิน และผู้ใดก็ตามที่ยอมรับพระคุณที่พระคริสต์ประทานให้นั้น ผู้นั้นก็จะได้รับความรอดนิรันดร์!

เพราะเหตุที่องค์พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย งานศพจึงกลายเป็นงานเลี้ยงเฉลิมฉลองในทันที!  เหมือนดังที่ John Blanchard กล่าวไว้ว่า

The Easter story ends not with a funeral but with a festival.”

  (เรื่องราววันอีสเตอร์ไม่ได้จบลงที่งานศพ แต่จบด้วยงานฉลอง!)

การที่องค์พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นจากตาย ตามคำตรัสของพระองค์ จึงกลายเป็นเครื่องยืนยันว่า พระสัญญาทั้งหมดของพระองค์ที่ให้ไว้แก่เรา จะต้องเป็นความจริงด้วยอย่างแน่นอน! ดุจดังที่ John Boys กล่าวไว้ว่า…

The Resurrection of Christ is the Amen of all His Promises.”

(การเป็นขึ้นมาจากตายของพระคริสต์ เป็นคำยืนยันว่า พระสัญญาทั้งปวงของพระองค์จะเกิดขึ้นเป็นจริงด้วย)

ในวันนี้ ขอให้เราทั้งหลายมาเป็นพยานให้พระคริสต์ด้วยการดำเนินชีวิตแห่งชัยชนะเหนืออุปสรรค ปัญหา การทดลองและบาปของเรา ดุจดังที่พระคริสต์ได้พิชิตศัตรูตัวสุดท้าย คือ ความตายแล้ว!

…จะดีไหมครับ?

 

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/ lifeanswer,

(Cr.ภาพ tonynaccarato.com)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ขอให้ดีขึ้น

ขอให้ดีขึ้น

“เราไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่เราจำเป็นต้องดีและดีขึ้น!”

(We do not have to be perfect, But  we need to be good and getting better.) Kim Clark-

หากเราไม่ปล่อยตัวให้แย่ลงกว่าเดิม เราคงมีโอกาสที่จะดีขึ้น แต่หากเราไม่ทำอะไรเลย เราจะดีขึ้นกว่าเดิมไม่ได้!

หากเราพอใจกับสภาพที่ดีของเราในเวลานี้  แต่ไม่มีเป้าหมายให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ เราจะอยู่กับที่ และถอยหลังไปในไม่ช้า สิ่งที่เคยดี ก็จะกลายเป็นดีไม่พออีกต่อไป! เมื่อดีไม่พอ แต่คนอื่นดีพอหรือดีกว่า เราก็จะอยู่ไม่ได้อีกต่อไป

ในทางธุรกิจเราเห็นตัวอย่างเหล่านี้ได้ชัดเจน อาทิ

โกดัก ทำฟิลม์ ได้ดี แต่ต้องเจ๊ง เพราะปรับตัวไม่ทันกับโลกที่เปลี่ยนไป

โนเกีย ทำโทรศัพท์ได้ดี แต่ไปไม่รอด เพราะคนอื่นไปไกลกว่าและเร็วกว่า

ไอบีเอ็ม ทำคอมพิวเตอร์และเขียนโปรแกรมได้ดี แต่ก็กระอักจนเกือบเอาตัวไม่รอด เพราะคู่แข่งต่าง ๆ นั้นแรงและไวกว่า!  ฯลฯ

ดังนั้น หากคุณอยู่เฉย ๆ ไม่ว่าคุณจะมั่นใจในตัวเองหรือผลิตภัณฑ์ของคุณมากสักเท่าใด คุณอาจต้องร้องไห้เสียใจในวันหนึ่ง

ฉะนั้น วันนี้ คุณต้องตั้งเป้าที่จะทำตัวของคุณ รวมทั้งสิ่งที่คุณมี สิ่งที่คุณทำ สิ่งที่คุณพูดและสิ่งที่คุณเขียน ให้ดียิ่งขึ้นไปกว่าเดิม

ขอให้คุณพิจารณาดูว่า มีอะไรบ้างที่คุณพิสูจน์แล้วเห็นว่าดีอยู่แล้ว จงรักษามันไว้

“จง​พิสูจน์​ทุก​สิ่ง สิ่ง​ที่​ดี​นั้น​จง​ยึด‍ถือ​ไว้​ให้​มั่น”  (1ธส.5:21)

จากนั้น คุณต้องเริ่มต้นพัฒนาสิ่งนั้น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านจิตวิญญาณ) ให้ดีขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา จนถึงขั้นดีที่สุดเป็นเป้าหมาย

…แล้วคุณจะมั่นคงปลอดภัย สามารถยิ้มได้อย่างมีความสุข!

ลองดูสิครับ!

 

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/ lifeanswer,

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

จะก้าวไปไหน?

ก้าวไปไหน

“การก้าวออกจากน้ำพระทัยของพระเจ้า คือการก้าวออกไปอย่างไร้จุดหมาย(ที่เที่ยงแท้)

(To walk out of God’s will is to step into nowhere.) -C.S. Lewis-

คนฉลาดจะตัดสินใจก่อนว่าจะไปไหน?

คนฉลาดจะศึกษาเส้นทางที่จะเดินทางสู่จุดหมายปลายทางนั้นอย่างถี่ถ้วน!

คนที่ไม่มีจุดหมายหรือเป้าหมายในชีวิตก็คือ คนโง่ เพราะว่าเขากำลังทำลายทรัพย์ล้ำค่าในชีวิตคือ “เวลา” ให้เสียเปล่าไปอย่างน่าเสียดาย

แต่คำถามคือ เขามีเป้าหมายปลายทางนั้นเพื่อใคร? หรือ เพื่ออะไร?

บางคนมีเป้าหมายปลายทางสวยหรู แต่ก็จบลงด้วยความว่างเปล่า เพราะทุกอย่างที่เขาทำมา กลายเป็นศูนย์ไปหมด

คนฉลาดคือคนที่เก่งในการใช้ความสามารถ เวลา และทรัพยากรไปเพื่อตัวเอง(ที่ชั่วคราว)!

แต่คนมีสติปัญญานั้นแตกต่างจากคนฉลาด คือ เขาใช้ทุกสิ่งที่เขามีเพื่อให้เกิดผลที่ถาวรยั่งยืน!

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนมีสติปัญญาตามมาตรฐานของพระเจ้า เขาจะเป็นคนที่รู้จักใช้ความฉลาดของเขากระทำตามพระประสงค์หรือพระทัยของพระเจ้า ด้วยความเชื่อฟัง จนเกิดผลที่ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า และเป็นคุณประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อมวลมนุษยชาติ และทุกสิ่งที่เขาทำจะยังคงอยู่และไม่สูญหายไปกับตัวเขาในยามที่เขาจากไป!

ใช่ครับ! คนมีสติปัญญาจะคิด จะพูด และจะทำทุกอย่างอยู่บนฐานแห่งความยั่งยืน

พระเจ้าได้ทรงประทานพระวจนะของพระองค์แก่เราให้เป็นสิ่งที่จะยั่งยืน จนกว่าฟ้าและดินจะล่วงไป

 “เพราะเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า จนกว่าฟ้าและดินจะล่วงไป แม้อักษรที่เล็กที่สุด หรือขีด ขีดหนึ่ง ก็จะไม่มีวันสูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งจะเกิดขึ้น” (มัทธิว 5:18)

 ฉะนั้น การที่เราใช้สติปัญญาในการตั้งเป้าหมายปลายทางและวางแผนสำหรับชีวิตของเรา ให้สอดคล้องกับพระทัยของพระเจ้าที่เปิดเผยจึงเป็นการกระทำที่สมควรยิ่งนัก!

อย่าให้เราด่วนผลีผลาม วิ่งหาความสำเร็จในชีวิต โดยหลงไปไล่ล่าตามหาสิ่งของทางโลก ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง เกียรติยศ ทรัพย์สิน เงินทอง หรือความสำเร็จใด ๆ ที่ไม่ยืนยงถาวร แต่ขอให้เราเข้าหาพระเจ้า พร้อมเปิดตา เปิดใจ และเปิดหู รับฟังพระประสงค์ของพระองค์ และเชื่อฟังลงมือกระทำตามนั้นจนสำเร็จ!

…จะดีไหม?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ยิ่งถ่อมก็ยิ่งสูง

ถ่อมเหมือนดอกหญ้า

“ยิ่งคุณถ่อมใจมากขึ้นเท่าไร คุณก็จะยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น!”

(The more humble you are. The higher you will rise.)

…หากคุณเป็นคนถ่อมใจจริง ๆ คุณจะถ่อมตนได้ไม่ยาก

…หากคุณเป็นคนถ่อมใจ คุณจะตระหนักได้ว่า ยังมีอีกมากมายที่คุณไม่รู้ และต้องเรียนรู้

…หากคุณเป็นคนถ่อมใจ คุณจะเป็นคนที่พร้อมรับการสอนหรือคำตักเตือนว่ากล่าว ไม่ว่าคุณจะเก่งหรือรู้มาแล้วมากมายสักเพียงใด

…หากคุณถ่อมใจจริง ๆ คุณจะได้สัมผัสกับพลังที่ซ่อนอยู่ที่ช่วยคุณให้ทำหลายสิ่งที่คนทั่วไปทำไม่ได้ นั่นคือ

  1. คุณจะสามารถระงับหรือลดความเสี่ยงในการทะเลาะ ทุ่มเถียงกันได้ด้วยความถ่อมใจ

     “คำ‍ตอบ​นุ่ม‍นวล​ช่วย​ละ‌ลาย​ความ​โกรธ‍เกรี้ยว​ให้​หาย​ไป แต่​คำ​กัก‌ขฬะ​เร้า​โทสะ” (สภาษ .15:1)

  1. คุณจะสามารถจัดการกับการถูกปฏิบัติอย่างอยุติธรรมได้อย่างสงบเยือกเย็น โดยไม่รู้สึกขมขื่นใจ เมื่อคุณถ่อมใจ

           “31จง​เอา​ความ​ขม‍ขื่น ความ​ฉุน‌เฉียว ความ​โกรธ การ​ทุ่ม‍เถียง การ​พูด‍จา​ดู‍หมิ่น รวม​ทั้ง​การ‍ร้าย ทุก‍อย่าง​ออก​ไป​จาก​พวก‍ท่าน 32แต่​จง​มี​ใจ​กรุณา ใจ​สงสาร และ​ใจ​ให้​อภัย​แก่​กัน​และ​กัน เหมือน​อย่าง​ที่​พระ‍เจ้า​ทรง​ให้​อภัย​พวก‍ท่าน​ใน​พระ‍คริสต์” (อฟ.4:31-32)

  1. คุณจะสามารถรับมือกับการดูถูกเหยียดหยามหรือการวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา ได้ โดยไม่ต้องพยายามปกป้องตัวเองหรือพยายามพิสูจน์ว่า ตัวคุณนั้น “ใหญ่”,“เก่ง” หรือ “ถูก” แต่ประการใด เมื่อคุณถ่อมใจ

             “อย่า​ทำ​สิ่ง‍ใด​ด้วย​การ​ชิง​ดี​หรือ​ถือ​ดี แต่​จง​ถือ‍ว่า​คน​อื่น​ดี​กว่า​ตัว​ด้วย​ใจ​ถ่อม”   (ฟป.2:3)

  1. คุณจะสามารถทำงานต่ำรับใช้ผู้อื่นได้อย่างไม่ลังเล เมื่อคุณถ่อมใจ

“จง​เป็น‍น้ำ‍หนึ่ง‍ใจ‍เดียว‍กัน อย่า​ใฝ่‍สูง แต่​ยอม​สมา‌คม​กับ​คน​ต่ำ‍ต้อย อย่า​ถือ‍ว่า​ตัว​ฉลาด” (รม.12:16)

  1. คุณจะสามารถยกโทษและขอโทษคู่กรณีของคุณได้ เมื่อคุณถ่อมใจ

“23เพราะ‍ฉะนั้น ถ้า​ท่าน​นำ​เครื่อง‍บูชา​มา​ถึง​แท่น‍บูชา​แล้ว และ​ระลึก​ขึ้น​ได้​ว่า พี่‍น้อง​มี​เหตุ​ขัด‍เคือง​ข้อ​หนึ่ง​ข้อ​ใด​กับ​ท่าน 24จง​วาง​เครื่อง‍บูชา​ไว้​ที่​หน้า​แท่น‍บูชา และ​กลับ​ไป​คืน‍ดี​กับ​พี่‍น้อง​ผู้‍นั้น​เสีย​ก่อน แล้ว​จึง​ค่อย​มา​ถวาย​เครื่อง‍บูชา​ของ​ท่าน” (มธ.5:23-24)

  1. คุณจะสามารถพูดคุยสนทนากับผู้อื่นได้ด้วยคำพูดและท่าทีที่ถูกต้องเหมาะสม เมื่คุณถ่อมใจ

           “อย่า​ให้​คำ​เลว‍ร้าย​ออก​จาก​ปาก​ของ​ท่าน‍ทั้ง‍หลาย แต่​จง​กล่าว​คำ​ดีๆ ที่​เสริม‍สร้าง​และ​ที่​เหมาะ​กับ​ความ​ต้อง‍การ เพื่อ​จะ​ได้​เป็น​คุณ​แก่​คน​ที่​ได้‍ยิน”   (อฟ.4:29)

  1. คุณจะสามารถดำเนินชีวิตด้วยความมีน้ำใจอย่างองค์พระเยซูคริสต์ได้ เมื่อคุณถ่อมใจ

           “จง​มี​จิต‍ใจ​เช่น‍นี้​ใน​พวก‍ท่าน​เหมือน​อย่าง​ที่​มี​ใน​พระ‍เยซู‍คริสต์”  (ฟป.2:5)

ดังนั้น ยิ่งคุณถ่อมใจมากเท่าไร พระเจ้าก็จะทรงยกคุณสูงมากขึ้นเท่านั้น ดุจเดียวกับที่องค์พระคริสต์ ยิ่งพระองค์ทรงถ่อมพระทัยมากเท่าใด พระเจ้าพระบิดาก็ยิ่งทรงยกพระองค์ขึ้นสูงมากขึ้นเท่านั้น

วันนี้ ขอให้คุณก้าวสูงขึ้นไปในชีวิต ด้วยการเรียนรู้จักถ่อมตัวถ่อมใจของคุณให้ต่ำลง จนเพื่อนบ้านของคุณได้เห็นในตัวของคุณชัดเจนขึ้น!

จะดีไหมครับ?

 

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/ lifeanswer,

(Cr.ภาพ wallpaperthaiware.com)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

คริสเตียนที่ไม่อธิษฐาน

คริสเตียนที่ไม่อธิษฐาน

“จะเป็นคริสเตียนโดยไม่อธิษฐานนั้น ไม่มีทางเป็นไปได้ เหมือนกับการจะขอมีชีวิตอยู่โดยไม่ต้องหายใจ!”

(To be a Christian without prayer Is no more possible than to be Alive without breathing.)  -Martin Luther-

คนเราจะมีชีวิตอยู่ได้ก็ด้วยการหายใจ และการหายใจนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติของคนเรา เราแทบไม่ต้องสอนกันเลยว่า ต้องหายใจ เพราะตั้งแต่เกิดมาเราก็หายใจได้ในทันที แต่ก็เป็นที่รู้กันแล้วว่า ในการหายใจนั้น เราสามารถเรียนรู้จักเทคนิคหลากหลายที่ก่อเกิดคุณประโยชน์อย่างมหาศาลต่อสุขภาพทางฝ่ายกายของเรา

ในด้านจิตวิญญาณก็เช่นกัน การอธิษฐานนั้นถือว่าเป็นธรรมชาติของชีวิตคริสเตียน ดุจเดียวกับที่การหายใจที่เป็นเรื่องธรรมชาติของร่างกาย คริสเตียนจึงควรมีแนวทางหรือเทคนิควิธีในการอธิษฐานที่เหมาะสมกับคนแต่ละคน หรือกับกลุ่มแต่ละกลุ่ม

องค์พระเยซูคริสต์ทรงตระหนักความจริงในเรื่องนี้ จึงทรงสอนแนวทางอธิษฐานซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่ว ดังที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ ที่เราเรียกกันว่า “คำอธิษฐานของพระเยซู” (The Lord’s Prayer) ในมัทธิว 6:9-13 ที่พระเยซูตรัสว่า เพราะฉะนั้นพวกท่านจงอธิษฐานเช่นนี้ว่า…

‘ข้า‍แต่​พระ‍บิดา​ของ​ข้า‍พระ‍องค์‍ทั้ง‍หลาย ผู้​สถิต​ใน​สวรรค์ ขอ​ให้​พระ‍นาม​ของ​พระ‍องค์​เป็น​ที่​เคารพ​สัก‌การะ ขอ​ให้​แผ่น‍ดิน​ของ​พระ‍องค์​มา​ตั้ง​อยู่ ขอ​ให้​เป็น​ไป​ตาม​พระ‍ทัย​ของ​พระ‍องค์ ใน​สวรรค์​เป็น​อย่าง‍ไร​ก็​ให้​เป็น​ไป​อย่าง​นั้น​ใน​แผ่น‍ดิน​โลก ขอ​ประ‌ทาน​อาหาร​ประ‌จำ​วัน​แก่​พวก‍ข้า‍พระ‍องค์​ใน​วัน‍นี้ และ​ขอ​ทรง​ยก​บาป‍ผิด​ของ​พวก‍ข้า‍พระ‍องค์ เหมือน​พวก‍ข้า‍พระ‍องค์​ยก​โทษ​บรร‌ดา​คน​ที่​ทำ​ผิด​ต่อ​ข้า‍พระ‍องค์ และ​ขอ​อย่า​ทรง​นำ​พวก‍ข้า‍พระ‍องค์​เข้า​ไป​ใน​การ​ทด‍ลอง แต่​ขอ​ให้​พวก‍ข้า‍พระ‍องค์​พ้น​จาก​ความ​ชั่ว‍ร้าย”

และเราทุกคนที่เป็น คริสเตียนจึงควรตระหนักว่า เราสามารถอธิษฐานต่อพระเจ้าได้ใน

-ทุก ๆ เรื่อง ๆ

-ทุก ๆ ที่   และใน

-ทุก ๆ วันเวลา  ฯลฯ

นั่นคือ คริสเตียนสามารถอธิษฐานได้ทั้งเป็นส่วนตัว เป็นกลุ่ม เป็นคริสตจักร หรือเป็นทั้งที่ประชุมใหญ่

เราสามารถอธิษฐานได้ทั้งในห้องลับชั้นในเป็นการส่วนตัว หรือในที่สาธารณะกลางแจ้ง

เราสามารถอธิษฐานแบบเงียบ ๆ หรือเบา ๆ ก็ได้ หรือ แม้จะเสียงดังสนั่นก็ได้ทั้งนั้น

เราสามารถอธิษฐานครั้งเดียวจบ หรือ อธิษฐานแบบต่อเนื่อง 24 ชั่วโมงก็ได้

เราสามารถอธิษฐานเป็นภาษาไทย หรือเป็นภาษาไหน ๆ หรือ ภาษาอะไรก็ได้ แม้แต่ภาษาแปลก ๆ (ตามหลักของพระคัมภีร์)

เราสามารถอธิษฐานเวลาใดก็ได้ไม่ว่าจะเป็นเช้า /สาย บ่าย เย็น หรือ ค่ำ

เราสามารถอธิษฐานด้วยภาษาชาวบ้านพื้น ๆ ธรรมดา หรือ จะอธิษฐานด้วยคำราชาศัพท์ และภาษาอันสละสลวยอย่างปราชญ์หรือกวีก็ได้ทั้งนั้น

เราสามารถอธิษฐานขอเพื่อตัวเอง หรือ เพื่อผู้อื่นหรือเพื่อส่วนรวมก็ได้

เราสามารถอธิษฐานในขณะที่ท้องอิ่ม หรือ ในขณะที่หิวโหยอาหารหรืออดอาหารอยู่ก็ได้

เราสามารถอธิษฐานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หรือ จะอธิษฐานสลับกับร้องเพลงหรือการเป็นพยานก็ได้

เราสามารถอธิษฐานด้วยจุดประสงค์ใดก็ได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการอธิษฐานสารภาพบาป สรรเสริญพระเจ้า ทูลขอเพื่อตัวเองหรือเพื่อผู้อื่น หรือ อธิษฐานเพื่อขอบคุณพระเจ้า

ดังนั้น กล่าวโดยสรุปคือ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ตราบใดที่คุณยังมีชีวิต คุณต้องอธิษฐาน คุณจึงควรที่จะอธิษฐานให้เป็น และให้เป็นนิสัยอย่างเป็นธรรมชาติ

ขอให้นับจากนี้ไป คุณจะพิสูจน์ให้คนรอบข้างของคุณได้เห็นพลังแห่งการอธิษฐานด้วยความเชื่อของคุณ และพี่น้อง และผลที่จะตามมาจากการตัดสินใจกระทำเช่นนั้น!

จะดีไหมครับ?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr. ภาพ clipartion.com)