ทำไมพระคัมภีร์ให้ความสำคัญกับการต้อนรับแขกแปลกหน้า?
พระคัมภีร์ ทั้งเดิมและใหม่ ให้ความสำคัญเรื่อง “การต้อนรับแขกแปลกหน้า” หรือ “การมีอัธยาศัยไมตรี”
ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “hospitality” แปลว่า “the friendly treatment of quests or strangers : an act or show of welcome.”
ส่วนคำภาษากรีก คือ “philo – xenia” แปลว่า ‘Love + stranger = Love of strangers’
(รัก) (คนแปลกหน้า) (รักคนแปลกหน้า)
พระคัมภีร์ย้ำความสำคัญของการต้อนรับแปลกหน้า ดังนี้
- การแสดงอัธยาศัยไมตรีต้อนรับแขกแปลกหน้า เป็นการพิสูจน์ถึงความรักที่ผู้เชื่อมีต่อพระคริสต์และต่อมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้าง ใน มัทธิว 25:31-46 พระเยซูตรัสอย่างชัดเจนว่า พระองค์แสดงตนเป็น “คนแปลกหน้า” (xenos) ในท่ามกลางพวกเรา โดยมีพวกหนึ่งต้อนรับพระองค์ และมีอีกพวกหนึ่งไม่ต้อนรับพระองค์
พระองค์ตรัสว่า การต้อนรับและตอบสนองความต้องการของพี่น้อง(ผู้เชื่อ) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนแปลกหน้าที่ดู “เล็กน้อยที่สุด” นั้นแท้จริงก็คือ การปรนนิบัติรับใช้พระองค์ด้วยความรัก!
- การแสดงอัธยาศัยไมตรีต้อนรับแขกแปลกหน้าเป็นการสำแดงถึงพระคุณและความรอดที่มาจากพระเจ้า
พระเยซูคริสต์ตรัสว่า การต้อนรับซึ่งกันและกันนี้ เป็นเครื่องหมายของการต้อนรับคนที่หิวกระหายปราศจากเงินทองซึ่งไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนคืนกลับมาให้
ดุจดังความรอดที่พระเจ้ามอบให้แก่มวลมนุษย์ที่เชื่อศรัทธาด้วยความเมตตา โดยที่พวกเขาไม่สามารถทำสิ่งใดเพื่อตอบแทนหรือแลกเปลี่ยนได้เลย
“12แล้วพระเยซูตรัสกับคนที่เชิญพระองค์ว่า “เมื่อท่านจะจัดการเลี้ยงไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือเวลาเย็นก็ตาม อย่าเชิญเฉพาะเพื่อนๆ หรือพี่น้อง หรือญาติๆ หรือบรรดาเพื่อนบ้านที่มั่งมี คาดว่าพวกเขาจะเชิญท่านกลับคืน แล้วท่านจะได้รับการตอบแทน 13แต่เมื่อท่านจัดการเลี้ยงนั้น จงเชิญคนจน คนพิการ คนง่อย และคนตาบอด 14แล้วท่านจะเป็นสุข เพราะว่าเขาทั้งหลายไม่มีอะไรจะตอบแทนท่าน ส่วนท่านจะได้รับการตอบแทนเมื่อคนชอบธรรมเป็นขึ้นจากตาย” (ลูกา 14:11-14)
ปท. อสย.55
- การแสดงอัธยาศัยไมตรีต้อนรับแขกแปลกหน้าเป็นการแสดงถึงเอกภาพในท่ามกลางธรรมมิชนของพระเจ้า
“ท่านที่รัก เมื่อท่านทำสิ่งใดให้พี่น้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้แก่แขกแปลกหน้า ก็เป็นการแสดงความซื่อสัตย์ของท่าน” (3ยอห์น5)
อย่างไรก็ตาม คริสตจักรต้องมีเอกภาพในการปฏิเสธไม่ต้อนรับครูสอนเท็จด้วยเช่นกัน
“ถ้าใครมาหาท่านและไม่นำคำสั่งสอนนี้มาด้วย อย่ารับเขาไว้ในบ้าน และอย่าทักทายเขาเลย” (2ยอห์น10)
ปท.1คร.5:11 “แต่บัดนี้ข้าพเจ้ากำลังเขียนบอกพวกท่านว่า จงอย่าคบคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องแล้ว แต่ยังล่วงประเวณี โลภ ไหว้รูปเคารพ ชอบกล่าวร้าย เป็นคนขี้เมา และเป็นคนฉ้อโกง แม้จะกินด้วยก็อย่าเลย”
- การแสดงอัธยาศัยไมตรีต้อนรับแขกแปลกหน้า นับเป็นวิถีแห่งน้ำใจที่คริสตชนพึงประพฤติปฏิบัติต่อกันในคริสตจักร ของพระเจ้า
รม.12:13 “จงเห็นอกเห็นใจช่วยธรรมิกชนเมื่อเขาขัดสน จงอุตส่าห์ต้อนรับแขกแปลกหน้า”
ในสมัยก่อน การหาที่พักในโรงแรมหรือที่พักต่าง ๆ เป็นเรื่องที่ยาก ดังนั้น การต้อนรับผู้รับใช้หรือพี่น้องคริสเตียนที่เดินทางจึงจำเป็นอย่างยิ่ง
- การแสดงอัธยาศัยไมตรีต้อนรับแขกแปลกหน้า ถือว่าเป็นพื้นฐานของความเชื่อศรัทธาของคริสตชนในการถวายตัวเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตต่อพระเจ้า
ผู้เชื่อได้รับคำกำชับให้ถวายตัวเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ซึ่งรวมถึงการใช้มอบหรือให้ของประทานทรัพย์สินสิ่งของที่ติดอยู่กับตัวของเราที่ได้ถวายแด่พระคริสต์แล้วในการต้อนรับแขกแปลกหน้าอย่างจริงใจด้วยความรักฉันพี่น้อง
รม.12:1-2 “1ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิต และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่าน 2อย่าลอกเลียนแบบอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม”
ปฐก.19:1 “ฝ่ายทูตสวรรค์สององค์นั้นมาถึงเมืองโสโดมในเวลาเย็น โลทกำลังนั่งอยู่ที่ประตูเมืองโสโดม เมื่อโลทเห็นท่านทั้งสอง เขาก็ลุกขึ้นไปต้อนรับและโน้มตัวลงหน้าซบดิน”
ปท. ยชว.2; 1ซมอ.25;1พกษ.17
- การแสดงอัธยาศัยไมตรีต้อนรับแขกแปลกหน้าได้รับการกำหนดให้เป็นคุณลักษณะหนึ่งที่สำคัญของการเป็นผู้นำ ผู้ปกครองดูแล หรือศิษยาภิบาลของคริสตจักร
1ทธ.3:1-2 “คำกล่าวนี้สัตย์จริง คือว่าถ้าใครปรารถนาหน้าที่ผู้ปกครองดูแลคริสตจักร คนนั้นก็ปรารถนากิจการงานที่ประเสริฐ ผู้ปกครองดูแลนั้นจะต้องเป็นคนที่ไม่มีที่ติ เป็นสามีของหญิงคนเดียว รู้จักประมาณตน มีสติสัมปชัญญะ เป็นคนน่านับถือ มีอัธยาศัยต้อนรับแขก เหมาะที่จะเป็นอาจารย์”
ทต.1:7-8 “เพราะว่าผู้ปกครองดูแล ซึ่งเป็นผู้รับมอบฉันทะของพระเจ้า ต้องไม่มีข้อตำหนิ ไม่เย่อหยิ่ง ไม่อารมณ์ร้อน ไม่ดื่มสุรามึนเมา ไม่ชอบความรุนแรง และไม่เป็นคนโลภมักได้ แต่มีอัธยาศัยต้อนรับแขก รักความดี มีสติสัมปชัญญะ ชอบธรรม บริสุทธิ์ รู้จักบังคับใจตนเอง”
- การแสดงอัธยาศัยไมตรีต้องรับแขกแปลกหน้า นั้นถือว่าเป็นบทบาทหน้าที่สำคัญสำหรับผู้เชื่อพระเจ้าทุกคนที่แม้แต่ผู้หญิง ผู้อาวุโส หรือคนยากจนที่สุดในท่ามกลางผู้เชื่อยังต้องรับผิดชอบกระทำ
1ทธ.5:9-10 “9จงให้แม่ม่ายที่มีอายุไม่ต่ำกว่าหกสิบปี และเคยแต่งงานเพียงครั้งเดียว ลงชื่อในทะเบียน 10นางต้องมีชื่อเสียงในการทำความดี เช่นเอาใจใส่เลี้ยงดูลูก มีน้ำใจรับรองแขก ล้างเท้าของธรรมิกชนทั้งหลาย สงเคราะห์คนทุกข์ยากและอุทิศตัวในการทำดีทุกอย่าง ”
- การแสดงอัธยาศัยไมตรี ต้อนรับแขกแปลกหน้า นับเป็นหน้าที่ที่ธรรมมิกชนพึงกระทำต่อกัน โดยปราศจากการบ่น
1ปต.4:7-9 “อวสานของสิ่งทั้งปวงมาใกล้แล้ว เพราะฉะนั้น พวกท่านจงมีสติสัมปชัญญะ และจงรู้จักสงบใจเพื่อการอธิษฐานเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ จงรักกันและกันให้มาก เพราะความรักให้อภัยบาปมากมายได้9พวกท่านจงต้อนรับเลี้ยงดูกันและกันโดยไม่บ่น ”
- การแสดงอัธยาศัยไมตรีต้อนรับแขกแปลกหน้า จะเป็นตัวบ่งชี้หรือเปิดเผยความดี ความชั่วของบุคคลหรือชุมชนของพระเจ้าที่คนแปลกหน้านั้นได้รับการปฏิบัติ
ปฐก.19 :1-13 “ฝ่ายทูตสวรรค์สององค์นั้นมาถึงเมืองโสโดมในเวลาเย็น โลทกำลังนั่งอยู่ที่ประตูเมืองโสโดม เมื่อโลทเห็นท่านทั้งสอง เขาก็ลุกขึ้นไปต้อนรับและโน้มตัวลงหน้าซบดิน 2กล่าวว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่าน ขอท่านแวะไปบ้านข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่าน ค้างสักคืนหนึ่ง ล้างเท้าของท่าน แล้วค่อยลุกขึ้นแต่เช้า เดินทางต่อไป” ทั้งสองตอบว่า “อย่าเลย เราจะค้างคืนที่ลานเมือง” 3แต่โลทก็รบเร้าชักชวนท่านทั้งสอง ท่านจึงแวะไปกับเขา เข้าไปในบ้านของเขา โลทก็จัดงานเลี้ยงท่านทั้งสอง ปิ้งขนมปังไร้เชื้อ ท่านทั้งสองก็รับประทาน 4ท่านทั้งสองยังไม่ทันเข้านอน พวกผู้ชายเมืองนั้น คือชายชาวเมืองโสโดมทั้งหนุ่มและแก่ทั้งหมดจากทุกมุมเมืองพากันมาล้อมบ้านนั้นไว้ 5พวกเขาร้องเรียกโลทว่า “พวกผู้ชายที่มาหาเจ้าคืนนี้อยู่ที่ไหน? จงส่งพวกเขาออกมาให้เรา เราจะได้มีเพศสัมพันธ์กับพวกเขา” 6โลทก็ออกทางประตูไปหาชายเหล่านั้น แล้วปิดประตูข้างหลังเขา 7กล่าวว่า “พี่น้องของข้าเอ๋ย ข้าขอเถอะ อย่าทำชั่วเลย8นี่แน่ะ ข้ามีลูกสาวสองคนยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับชายเลย ข้าจะส่งออกมาให้พวกท่าน พวกท่านจะทำแก่พวกนางอย่างไรก็ได้ตามใจชอบเถิด แต่ขออย่าทำอะไรพวกผู้ชายเหล่านี้เลย เพราะพวกเขามาอยู่ใต้ร่มชายคาของข้าแล้ว” 9แต่พวกนั้นร้องว่า “ถอยไป” และขู่ว่า “เจ้าคนนี้มาขออาศัยอยู่ แล้วยังมาตั้งตัวเป็นผู้พิพากษา เราจะทำชั่วต่อเจ้าให้หนักกว่าที่จะทำแก่คนเหล่านั้นอีก” พวกนั้นผลักโลทโดยแรง และเข้ามาใกล้เพื่อพังประตู 10แต่ชายทั้งสองนั้นยื่นมือออกไปดึงตัวโลทเข้ามาในบ้านแล้วปิดประตูเสีย 11ท่านทั้งสองทำให้พวกผู้ชายที่อยู่หน้าประตูบ้านนั้นตาบอด ทั้งคนหนุ่มและคนแก่ก็เที่ยวคลำหาประตูจนอ่อนใจ 12แล้วท่านทั้งสองจึงพูดกับโลทว่า “ที่นี่ท่านมีใครอีกหรือ? บุตรเขย บุตรชาย บุตรหญิง คนของท่านทั้งหมดในเมืองนี้ จงนำออกไปจากที่นี่ 13เพราะเรากำลังจะทำลายที่นี่แล้ว เพราะเสียงร้องกล่าวโทษพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ดังนักหนา และพระยาห์เวห์ทรงใช้เรามาทำลายเมืองนี้เสีย”
1ซมอ.25:1-44 “ซามูเอลก็สิ้นชีวิต และคนอิสราเอลทั้งปวงก็ประชุมกันไว้ทุกข์ให้ท่าน และพวกเขาฝังศพท่านไว้ที่บ้านของท่านในรามาห์ ส่วนดาวิดก็ลุกขึ้นไปยังถิ่นทุรกันดารปาราน 2มีชายคนหนึ่งในมาโอน มีการงานอยู่ในคารเมล ชายผู้นั้นมั่งมีมาก มีแกะ 3,000 ตัว และแพะ 1,000 ตัว ต่อมาวันหนึ่งเขาตัดขนแกะของเขาอยู่ที่คารเมล 3ชายคนนั้นชื่อนาบาล และภรรยาของท่านชื่ออาบีกายิล สตรีคนนั้นฉลาดและสวยงามด้วย แต่ชายคนนั้นเป็นคนหัวแข็งและชั่วร้ายในการกระทำ เป็นวงศ์วานของคาเลบ 4ดาวิดอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ได้ยินว่านาบาลกำลังตัดขนแกะของเขาอยู่ 5ดาวิดจึงใช้ชายหนุ่ม 10 คน และดาวิดพูดกับชายหนุ่มเหล่านั้นว่า “จงขึ้นไปที่คารเมลไปหานาบาล และคำนับเขาในนามของเรา6ให้พวกท่านพูดเช่นนี้ว่า ‘ชีวิตและสวัสดิภาพจงมีแก่ท่าน สวัสดิภาพจงมีแก่ครอบครัวของท่าน และสวัสดิภาพจงมีแก่ทุกสิ่งที่ท่านมี 7ขณะนี้ข้าพเจ้าได้ยินว่าท่านมีคนตัดขนแกะอยู่ เมื่อพวกผู้เลี้ยงแกะของท่านอยู่กับเรา เราไม่ได้ทำอันตรายพวกเขาเลย และพวกเขาก็ไม่ได้ขาดอะไรไปตลอดเวลาที่อยู่ในคารเมล8ถามพวกคนหนุ่มของท่าน พวกเขาจะบอกท่าน เพราะฉะนั้นขอให้พวกคนหนุ่มของข้าพเจ้าได้รับความโปรดปรานจากท่าน เพราะเรามาในวันมีการเลี้ยง โปรดให้สิ่งที่พอหาได้ในตอนนี้แก่พวกผู้รับใช้ของท่านและแก่ดาวิดบุตรของท่าน’ ” 9เมื่อพวกคนหนุ่มของดาวิดมาถึงก็กล่าวคำเหล่านั้นแก่นาบาลในนามของดาวิด และพวกเขาก็คอยอยู่10และนาบาลตอบพวกคนรับใช้ของดาวิดว่า “ดาวิดคือใคร? บุตรของเจสซีคือใคร? สมัยนี้มีคนใช้เป็นอันมากที่หนีไปจากนายของพวกเขา 11ควรหรือที่ข้าจะนำขนมปังของข้า และน้ำของข้า และเนื้อของข้า ซึ่งข้าได้ฆ่าเสียสำหรับพวกคนตัดขนแกะของข้ามอบให้แก่พวกซึ่งมาจากที่ไหนข้าก็ไม่รู้?” 12พวกคนหนุ่มของดาวิดก็หันกลับไปตามทาง และกลับมาบอกเรื่องราวทั้งสิ้นนี้แก่ดาวิด 13และดาวิดสั่งพวกของท่านว่า “ทุกคนจงเอาดาบคาดเอวไว้” และทุกคนก็เอาดาบคาดเอวของตน และดาวิดก็เอาดาบคาดเอวด้วย มีคนตามดาวิดขึ้นไปประมาณ 400 คน ส่วนอีก 200 คนอยู่เฝ้ากองสัมภาระ 14แต่มีคนหนึ่งในพวกคนหนุ่มบอกนางอาบีกายิลภรรยาของนาบาลว่า “ดูเถิด ดาวิดส่งพวกผู้สื่อสารมาจากถิ่นทุรกันดารเพื่ออวยพรนายของพวกเรา แต่นายกลับด่าว่าคนเหล่านั้น 15แต่ชายเหล่านั้นดีต่อเรามาก เราไม่ถูกทำร้าย และไม่ขาดสิ่งใดตลอดเวลาที่เราไปกับพวกเขาเมื่อเราอยู่ในทุ่งนา 16พวกเขาเป็นเหมือนกำแพงของเราทั้งกลางคืนและกลางวัน ตลอดเวลาที่เราเลี้ยงแกะอยู่กับพวกเขา 17ขณะนี้ขอท่านทราบเรื่องและพิจารณาว่าท่านควรจะทำประการใด เพราะการร้ายถูกกำหนดต่อนายของเราแล้ว และต่อครัวเรือนทั้งสิ้นของนาย นายนั้นเป็นคนอันธพาล ใครจะพูดด้วยก็ไม่ได้” 18แล้วนางอาบีกายิลก็รีบจัดขนมปัง 200 ก้อน และเหล้าองุ่น 2 ถุงหนัง และแกะที่ทำเสร็จแล้ว 5 ตัว และข้าวคั่ว 17 กิโลกรัม และลูกเกด 100 ช่อและขนมมะเดื่อ 200 แผ่นบรรทุกหลังลา 19นางก็สั่งพวกคนหนุ่มของนางว่า “จงรีบไปก่อนเรา นี่แน่ะ เราจะตามเจ้าไป” แต่นางไม่ได้บอกนาบาลสามีของนาง 20เมื่อนางขี่ลาลงมา มีสันเขาบังนางอยู่ นี่แน่ะ ดาวิดกับพวกของท่านกำลังลงมาทางนาง และนางก็พบพวกเขา21ดาวิดกล่าวไว้แล้วว่า “ข้าเฝ้าทุกสิ่งที่คนนี้มีอยู่ในถิ่นทุรกันดารเสียเปล่า ไม่มีสิ่งใดของเขาขาดไปเลย และเขาตอบแทนความดีของข้าด้วยความชั่ว 22เช่นเดียวกับที่พระเจ้าจะทรงลงโทษพวกศัตรูของดาวิด และทรงเพิ่มโทษนั้น ข้าจะไม่ปล่อยให้ชายสักคนในบรรดาที่เขามี เหลืออยู่ถึงพรุ่งนี้เช้า” 23เมื่อนางอาบีกายิลเห็นดาวิด นางก็รีบลงจากหลังลา ทรุดตัวลงต่อหน้าดาวิด ซบหน้าถึงดินและ24นางทรุดตัวลงที่เท้าของดาวิดพูดว่า “เจ้านายของดิฉัน ความผิดนั้นอยู่ที่ดิฉันแต่ผู้เดียว ขอให้สาวใช้ของท่านพูดให้ท่านฟัง และโปรดฟังถ้อยคำของสาวใช้ของท่าน 25ขอเจ้านายของดิฉันโปรดอย่าได้เอาความกับนาบาลชายร้ายกาจคนนี้เลย เพราะเขาเป็นอย่างชื่อของเขาคือนาบาล และความโง่เขลาก็อยู่กับเขา ส่วนดิฉันสาวใช้ของท่านไม่เห็นพวกคนหนุ่มของเจ้านายซึ่งท่านใช้ไป 26ดังนั้นเจ้านายของดิฉัน พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด และท่านมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เพราะว่าพระยาห์เวห์ทรงทำให้ท่านระงับเสียจากความผิดที่ทำให้โลหิตตก และจากการแก้แค้นด้วยมือของท่านเอง บัดนี้ขอให้พวกศัตรูของท่าน และพวกที่จะปองร้ายต่อเจ้านายของดิฉันเป็นอย่างนาบาล 27ของกำนัลนี้ซึ่งสาวใช้ของท่านได้นำมาให้เจ้านายของดิฉัน ขอมอบแก่พวกคนหนุ่มผู้ติดตามเจ้านายของดิฉัน 28โปรดอภัยความผิดของสาวใช้ของท่านเถิด เพราะพระยาห์เวห์จะทรงทำให้เจ้านายของดิฉันเป็นพงศ์พันธุ์ที่มั่นคงแน่ เพราะว่าเจ้านายของดิฉันทำสงครามอยู่ฝ่ายพระยาห์เวห์ และจะไม่พบความชั่วในตัวท่านตลอดชีวิตของท่าน 29แม้มีคนลุกขึ้นไล่ตามท่าน และต้องการฆ่าท่าน ชีวิตของเจ้านายของดิฉันจะผูกมัดอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชีวิตและพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน แต่ชีวิตศัตรูของท่านจะถูกเหวี่ยงออกไปดั่งออกไปจากรังสลิง30และเมื่อพระยาห์เวห์จะทรงทำให้สำเร็จแก่เจ้านายของดิฉันแล้ว ตามสิ่งดีทั้งหมดซึ่งพระองค์ตรัสเกี่ยวกับท่าน และทรงตั้งท่านเป็นเจ้านายเหนืออิสราเอล 31เจ้านายของดิฉันจะไม่มีเหตุที่เสียใจหรือมีจิตสำนึกที่รู้สึกผิด เพราะการฆ่าด้วยไม่มีสาเหตุ เพราะเจ้านายของดิฉันแก้แค้นด้วยตนเอง และเมื่อพระยาห์เวห์ทรงทำความดีแก่เจ้านายของดิฉันแล้ว ก็ขอระลึกถึงสาวใช้ของท่าน” 32ดาวิดพูดกับนางอาบีกายิลว่า “สาธุการแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ทรงใช้เจ้าให้มาพบเราในวันนี้ 33ขอให้ความฉลาดของเจ้ารับพระพร และขอให้ตัวเจ้ารับพระพร เพราะเจ้าได้ป้องกันเราในวันนี้ให้พ้นจากการฆ่า และจากการแก้แค้นด้วยมือของเราเอง 34เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ทรงระงับเราเสียจากการทำร้ายเจ้า ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ถ้าเจ้าไม่ได้รีบมาพบเรา ถึงรุ่งสางจะไม่มีเหลือแก่นาบาลแม้แต่ชายสักคน” 35แล้วดาวิดก็รับบรรดาสิ่งที่นางนำมาจากมือของนาง และดาวิดพูดกับนางว่า “จงกลับไปบ้านของเจ้าด้วยสวัสดิภาพเถิด ดูสิเราได้ฟังเสียงของเจ้าแล้ว และเรารับคำขอร้องของเจ้า” 36และอาบีกายิลก็กลับไปหานาบาล และนี่แน่ะ เขากำลังมีการเลี้ยงใหญ่ในบ้านของเขาอย่างการเลี้ยงของพระราชา และจิตใจของนาบาลก็เบิกบาน เพราะเขามึนเมามาก นางจึงไม่ได้บอกอะไรให้เขาทราบจนเวลารุ่งสาง 37และในเวลาเช้า เมื่อเหล้าองุ่นสร่างจากนาบาลไปแล้ว ภรรยาของเขาก็เล่าเรื่องราวเหล่านี้ให้ฟัง และใจของเขาก็ตายข้างใน และเขากลายเป็นดังก้อนหิน 38ต่อมาอีกประมาณสิบวันพระยาห์เวห์ทรงประหารนาบาลและเขาก็ตาย 39เมื่อดาวิดได้ยินว่านาบาลสิ้นชีวิตแล้ว ท่านจึงพูดว่า “สาธุการแด่พระยาห์เวห์ผู้ทรงแก้แค้นการเหยียดหยามที่ข้าพระองค์ได้รับจากมือของนาบาล และทรงป้องกันผู้รับใช้ของพระองค์จากความชั่ว พระยาห์เวห์ทรงตอบแทนความชั่วของนาบาลให้ตกบนศีรษะของเขาเอง” แล้วดาวิดก็ส่งคนไปพูดกับอาบีกายิลให้มาเป็นภรรยาของท่าน 40และเมื่อผู้รับใช้ของดาวิดมาถึงอาบีกายิลที่คารเมล พวกเขาพูดกับนางว่า “ดาวิดส่งพวกเรามาหาท่านเพื่อนำท่านไปเป็นภรรยา” 41และนางก็ลุกขึ้นซบหน้าลงถึงดินพูดว่า “ดูเถิด สาวใช้ของท่านเป็นทาสที่จะล้างเท้าให้พวกผู้รับใช้ของเจ้านายของดิฉัน” 42อาบีกายิลก็รีบลุกขึ้นขี่ลาไปพร้อมกับสาวใช้ปรนนิบัตินางอีกห้าคน นางตามพวกผู้สื่อสารของดาวิดไป และเป็นภรรยาของดาวิด 43ดาวิดยังได้รับนางอาหิโนอัม ชาวยิสเรเอลมาด้วย และทั้งสองก็เป็นภรรยาของท่าน 44ซาอูลทรงยกมีคาลราชธิดาของพระองค์ ผู้เป็นภรรยาของดาวิด ให้แก่ปัลทีบุตรลาอิชชาวกัลลิมแล้ว”
สรุป
พระคัมภีร์ให้ความสำคัญกับการมีอัธยาศัยไมตรีต้อนรับแขกแปลกหน้า โดยถือว่า นั่นเป็นพื้นฐานวิถีของคริสตชนทุกคนพึงปฏิบัติตาม และเป็นคุณลักษณะที่จำเป็นของผู้นำคริสตจักร อีกทั้งยังเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับวาระสุดท้ายของยุคนี้ที่กำลังใกล้จะมาถึง
-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-
twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer
(Cr.ภาพ clipartpanda.com)