Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ทำไมพระคัมภีร์ให้ความสำคัญกับการต้อนรับแขกแปลกหน้า?

ต้อนรับแขกแปลกหน้า

 

ทำไมพระคัมภีร์ให้ความสำคัญกับการต้อนรับแขกแปลกหน้า?

พระคัมภีร์ ทั้งเดิมและใหม่ ให้ความสำคัญเรื่อง “การต้อนรับแขกแปลกหน้า” หรือ “การมีอัธยาศัยไมตรี”

ภาษาอังกฤษใช้คำว่า hospitality” แปลว่า  the friendly treatment of quests or strangers : an act or show of welcome.”

ส่วนคำภาษากรีก คือ philo – xenia”  แปลว่า  ‘Love  +  stranger  =   Love of strangers’

(รัก)      (คนแปลกหน้า)     (รักคนแปลกหน้า)

พระคัมภีร์ย้ำความสำคัญของการต้อนรับแปลกหน้า ดังนี้

  1. การแสดงอัธยาศัยไมตรีต้อนรับแขกแปลกหน้า เป็นการพิสูจน์ถึงความรักที่ผู้เชื่อมีต่อพระคริสต์และต่อมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้าง ใน มัทธิว 25:31-46 พระเยซูตรัสอย่างชัดเจนว่า พระองค์แสดงตนเป็น “คนแปลกหน้า” (xenos) ในท่ามกลางพวกเรา โดยมีพวกหนึ่งต้อนรับพระองค์ และมีอีกพวกหนึ่งไม่ต้อนรับพระองค์

พระองค์ตรัสว่า การต้อนรับและตอบสนองความต้องการของพี่น้อง(ผู้เชื่อ) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนแปลกหน้าที่ดู “เล็กน้อยที่สุด”  นั้นแท้จริงก็คือ การปรนนิบัติรับใช้พระองค์ด้วยความรัก!

  1. การแสดงอัธยาศัยไมตรีต้อนรับแขกแปลกหน้าเป็นการสำแดงถึงพระคุณและความรอดที่มาจากพระเจ้า

พระเยซูคริสต์ตรัสว่า การต้อนรับซึ่งกันและกันนี้ เป็นเครื่องหมายของการต้อนรับคนที่หิวกระหายปราศจากเงินทองซึ่งไม่มีสิ่งใดจะตอบแทนคืนกลับมาให้

ดุจดังความรอดที่พระเจ้ามอบให้แก่มวลมนุษย์ที่เชื่อศรัทธาด้วยความเมตตา โดยที่พวกเขาไม่สามารถทำสิ่งใดเพื่อตอบแทนหรือแลกเปลี่ยนได้เลย

“12แล้ว​พระ‍เยซู​ตรัส​กับ​คน​ที่​เชิญ​พระ‍องค์​ว่า “เมื่อ​ท่าน​จะ​จัด‍การ‍เลี้ยง​ไม่​ว่า​จะ​เป็น​เวลา​กลาง‍วัน​หรือ​เวลา​เย็น​ก็​ตาม อย่า​เชิญ​เฉพาะ​เพื่อนๆ หรือ​พี่‍น้อง หรือ​ญาติๆ หรือ​บรร‌ดา​เพื่อน‍บ้าน​ที่​มั่ง‍มี คาด​ว่า​พวก‍เขา​จะ​เชิญ​ท่าน​กลับ‍คืน แล้ว​ท่าน​จะ​ได้​รับ​การ​ตอบ‍แทน 13แต่​เมื่อ​ท่าน​จัด‍การ‍เลี้ยง​นั้น จง​เชิญ​คน​จน คน​พิการ คน‍ง่อย และคน‍ตา‍บอด 14แล้ว​ท่าน​จะ​เป็น​สุข เพราะ‍ว่า​เขา‍ทั้ง‍หลาย​ไม่‍มี​อะไร​จะ​ตอบ‍แทน​ท่าน ส่วน​ท่าน​จะ​ได้​รับ​การ​ตอบ‍แทน​เมื่อ​คน​ชอบ‍ธรรม​เป็น​ขึ้น​จาก​ตาย”   (ลูกา 14:11-14)

ปท. อสย.55

  1. การแสดงอัธยาศัยไมตรีต้อนรับแขกแปลกหน้าเป็นการแสดงถึงเอกภาพในท่ามกลางธรรมมิชนของพระเจ้า

 “ท่าน​ที่‍รัก เมื่อ​ท่าน​ทำ​สิ่ง‍ใด​ให้​พี่‍น้อง โดย‍เฉพาะ​อย่าง‍ยิ่ง​ให้​แก่​แขก​แปลก​หน้า ก็​เป็น​การ​แสดง​ความ​ซื่อ‍สัตย์​ของ​ท่าน” (3ยอห์น5)

อย่างไรก็ตาม คริสตจักรต้องมีเอกภาพในการปฏิเสธไม่ต้อนรับครูสอนเท็จด้วยเช่นกัน

“ถ้า​ใคร​มา‍หา​ท่าน​และ​ไม่​นำ​คำ​สั่ง‍สอน​นี้​มา​ด้วย อย่า​รับ​เขา​ไว้​ใน​บ้าน และ​อย่า​ทัก‍ทาย​เขา​เลย”   (2ยอห์น10)

ปท.1คร.5:11 “แต่​บัด‍นี้​ข้าพ‌เจ้า​กำลัง​เขียน​บอก​พวก‍ท่าน​ว่า จง​อย่า​คบ​คน​ที่​ได้​ชื่อ​ว่า​เป็น​พี่‍น้อง​แล้ว แต่​ยัง​ล่วง‍ประ‌เวณี โลภ ไหว้​รูป‍เคารพ ชอบ​กล่าว‍ร้าย เป็น​คน​ขี้‍เมา และ​เป็น​คน​ฉ้อ‍โกง แม้​จะ​กิน​ด้วย​ก็​อย่า​เลย”

  1. การแสดงอัธยาศัยไมตรีต้อนรับแขกแปลกหน้า นับเป็นวิถีแห่งน้ำใจที่คริสตชนพึงประพฤติปฏิบัติต่อกันในคริสตจักร ของพระเจ้า

รม.12:13 “จง​เห็น‍อก‍เห็น‍ใจ​ช่วย​ธรร‌มิก‌ชน​เมื่อ​เขา​ขัด‍สน จง​อุตส่าห์​ต้อน‍รับ​แขก​แปลก‍หน้า”

 ในสมัยก่อน การหาที่พักในโรงแรมหรือที่พักต่าง ๆ เป็นเรื่องที่ยาก  ดังนั้น การต้อนรับผู้รับใช้หรือพี่น้องคริสเตียนที่เดินทางจึงจำเป็นอย่างยิ่ง

  1. การแสดงอัธยาศัยไมตรีต้อนรับแขกแปลกหน้า ถือว่าเป็นพื้นฐานของความเชื่อศรัทธาของคริสตชนในการถวายตัวเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตต่อพระเจ้า

ผู้เชื่อได้รับคำกำชับให้ถวายตัวเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต ซึ่งรวมถึงการใช้มอบหรือให้ของประทานทรัพย์สินสิ่งของที่ติดอยู่กับตัวของเราที่ได้ถวายแด่พระคริสต์แล้วในการต้อนรับแขกแปลกหน้าอย่างจริงใจด้วยความรักฉันพี่น้อง

รม.12:1-2 “1ดัง‍นั้น พี่‍น้อง​ทั้ง‍หลาย โดย​เห็น​แก่​ความ​เมตตา‍กรุณา​ของ​พระ‍เจ้า ข้าพ‌เจ้า​จึง​วิง‍วอน​ท่าน‍ทั้ง‍หลาย​ให้​ถวาย​ตัว​ของ​ท่าน​แด่​พระ‍องค์ เพื่อ​เป็น​เครื่อง‍บูชา​อัน​บริ‌สุทธิ์​ที่​มี​ชีวิต และ​เป็น​ที่​พอ‍พระ‍ทัย​พระ‍เจ้า ซึ่ง​เป็น​การ​นมัส‌การ​โดย​วิญ‌ญาณ‍จิต​ของ​ท่าน 2อย่า​ลอก‍เลียน‍แบบ​อย่าง​คน​ใน​ยุค‍นี้ แต่​จง​รับ​การ​เปลี่ยน‍แปลง​จิต‍ใจ แล้ว​อุป‌นิสัย​ของ​ท่าน​จึง​จะ​เปลี่ยน​ใหม่ เพื่อ​ท่าน​จะ​ได้​ทราบ​พระ‍ประ‌สงค์​ของ​พระ‍เจ้า จะ​ได้​รู้​ว่า​อะไร​ดี อะไร​เป็น​ที่​ชอบ‍พระ‍ทัย และ​อะไร​ดี​ยอด‍เยี่ยม”

ปฐก.19:1 “ฝ่าย​ทูต‍สวรรค์​สอง​องค์​นั้น​มา​ถึง​เมือง​โส‌โดม​ใน​เวลา​เย็น โลท​กำลัง​นั่ง​อยู่​ที่​ประตู​เมือง​โส‌โดม เมื่อ​โลท​เห็น​ท่าน​ทั้ง‍สอง เขา​ก็​ลุก‍ขึ้น​ไป​ต้อน‍รับ​และ​โน้ม​ตัว​ลง​หน้า​ซบ​ดิน”

ปท. ยชว.2; 1ซมอ.25;1พกษ.17

  1. การแสดงอัธยาศัยไมตรีต้อนรับแขกแปลกหน้าได้รับการกำหนดให้เป็นคุณลักษณะหนึ่งที่สำคัญของการเป็นผู้นำ ผู้ปกครองดูแล หรือศิษยาภิบาลของคริสตจักร

 1ทธ.3:1-2 “คำ​กล่าว​นี้​สัตย์‍จริง คือ​ว่า​ถ้า​ใคร​ปรารถ‌นา​หน้า‍ที่​ผู้‍ปก‍ครอง​ดู‍แล​คริสต‌จักร คน​นั้น​ก็​ปรารถ‌นา​กิจ‍การ‍งาน​ที่​ประ‌เสริฐ ผู้‍ปก‍ครอง​ดู‍แล​นั้น​จะ​ต้อง​เป็น​คน​ที่​ไม่‍มี​ที่​ติ เป็น​สามี​ของ​หญิง​คน​เดียว รู้‍จัก​ประ‌มาณ​ตน มี​สติ‍สัมป‌ชัญญะ เป็น​คน​น่า‍นับ‍ถือ มี​อัธยา‌ศัย​ต้อน‍รับ​แขก เหมาะ​ที่​จะ​เป็น​อา‌จารย์”

ทต.1:7-8 “เพราะ‍ว่า​ผู้‍ปก‍ครอง​ดู‍แล ซึ่ง​เป็น​ผู้​รับ​มอบ​ฉัน‌ทะ​ของ​พระ‍เจ้า ต้อง​ไม่‍มี​ข้อ​ตำ‌หนิ ไม่​เย่อ‍หยิ่ง ไม่​อารมณ์​ร้อน ไม่​ดื่ม​สุรา​มึน‍เมา ไม่​ชอบ​ความ​รุน‍แรง และ​ไม่​เป็น​คน​โลภ​มัก​ได้ แต่​มี​อัธยา‌ศัย​ต้อน‍รับ​แขก รัก​ความ​ดี มี​สติ‍สัมป‌ชัญญะ ชอบ‍ธรรม บริ‌สุทธิ์ รู้‍จัก​บัง‍คับ​ใจ​ตน‍เอง” 

  1. การแสดงอัธยาศัยไมตรีต้องรับแขกแปลกหน้า นั้นถือว่าเป็นบทบาทหน้าที่สำคัญสำหรับผู้เชื่อพระเจ้าทุกคนที่แม้แต่ผู้หญิง ผู้อาวุโส หรือคนยากจนที่สุดในท่ามกลางผู้เชื่อยังต้องรับผิดชอบกระทำ

1ทธ.5:9-10 “9จง​ให้​แม่‍ม่าย​ที่​มี​อายุ​ไม่​ต่ำ​กว่า​หก‍สิบ​ปี และ​เคย​แต่ง‍งาน​เพียง​ครั้ง​เดียว ลง‍ชื่อ​ใน​ทะ‌เบียน 10นาง​ต้อง​มี​ชื่อ‍เสียง​ใน​การ​ทำ​ความ​ดี เช่น​เอา‍ใจ‍ใส่​เลี้ยง‍ดู​ลูก มี​น้ำ‍ใจ​รับ‍รอง​แขก ล้าง‍เท้า​ของ​ธรร‌มิก‌ชน​ทั้ง‍หลาย สง‌เคราะห์​คน​ทุกข์‍ยาก​และ​อุทิศ​ตัว​ใน​การ​ทำ‍ดี​ทุก‍อย่าง ”

  1. การแสดงอัธยาศัยไมตรี ต้อนรับแขกแปลกหน้า นับเป็นหน้าที่ที่ธรรมมิกชนพึงกระทำต่อกัน โดยปราศจากการบ่น

1ปต.4:7-9 “อวสาน​ของ​สิ่ง‍ทั้ง‍ปวง​มา​ใกล้​แล้ว เพราะ‍ฉะนั้น พวก‍ท่าน​จง​มี​สติ‍สัมป‌ชัญญะ และ​จง​รู้‍จัก​สงบ​ใจ​เพื่อ​การ​อธิษ‌ฐานเหนือ​สิ่ง​อื่น‍ใด​ก็​คือ จง​รัก​กัน​และ​กัน​ให้​มาก เพราะ​ความ​รัก​ให้​อภัย​บาป​มาก‍มาย​ได้9พวก‍ท่าน​จง​ต้อน‍รับ​เลี้ยง‍ดู​กัน​และ​กัน​โดย​ไม่​บ่น ”

  1. การแสดงอัธยาศัยไมตรีต้อนรับแขกแปลกหน้า จะเป็นตัวบ่งชี้หรือเปิดเผยความดี ความชั่วของบุคคลหรือชุมชนของพระเจ้าที่คนแปลกหน้านั้นได้รับการปฏิบัติ

ปฐก.19 :1-13 “ฝ่าย​ทูต‍สวรรค์​สอง​องค์​นั้น​มา​ถึง​เมือง​โส‌โดม​ใน​เวลา​เย็น โลท​กำลัง​นั่ง​อยู่​ที่​ประตู​เมือง​โส‌โดม เมื่อ​โลท​เห็น​ท่าน​ทั้ง‍สอง เขา​ก็​ลุก‍ขึ้น​ไป​ต้อน‍รับ​และ​โน้ม​ตัว​ลง​หน้า​ซบ​ดิน 2กล่าว​ว่า “เจ้า‍นาย​ของ​ข้าพ‌เจ้า ข้าพ‌เจ้า​ขอ​วิง‍วอน​ท่าน ขอ​ท่าน​แวะ​ไป​บ้าน​ข้าพ‌เจ้า​ผู้‍รับ‍ใช้​ของ​ท่าน ค้าง​สัก​คืน‍หนึ่ง ล้าง‍เท้า​ของ​ท่าน แล้ว​ค่อย​ลุก‍ขึ้น​แต่‍เช้า เดิน​ทาง​ต่อ‍ไป” ทั้ง‍สอง​ตอบ​ว่า “อย่า​เลย เรา​จะ​ค้าง‍คืน​ที่​ลาน‍เมือง” 3แต่​โลท​ก็​รบ‍เร้า​ชัก‍ชวน​ท่าน​ทั้ง‍สอง ท่าน​จึง​แวะ​ไป​กับ​เขา เข้า​ไป​ใน​บ้าน​ของ​เขา โลท​ก็​จัด‍งาน‍เลี้ยง​ท่าน​ทั้ง‍สอง ปิ้ง​ขนม‍ปัง‍ไร้‍เชื้อ ท่าน​ทั้ง‍สอง​ก็​รับ‍ประ‌ทาน 4ท่าน​ทั้ง‍สอง​ยัง​ไม่​ทัน​เข้า‍นอน พวก​ผู้‍ชาย​เมือง​นั้น คือ​ชาย​ชาว‍เมือง​โส‌โดม​ทั้ง​หนุ่ม​และ​แก่​ทั้ง‍หมด​จาก​ทุก​มุม​เมือง​พา‍กัน​มา​ล้อม​บ้าน​นั้น​ไว้ 5พวก‍เขา​ร้อง‍เรียก​โลท​ว่า “พวก​ผู้‍ชาย​ที่​มา‍หา​เจ้า​คืน‍นี้​อยู่​ที่‍ไหน? จง​ส่ง​พวก‍เขา​ออก‍มา​ให้​เรา เรา​จะ​ได้​มี​เพศ‍สัม‌พันธ์​กับ​พวก‍เขา” 6โลท​ก็​ออก​ทาง​ประตู​ไป​หา​ชาย​เหล่า‍นั้น แล้ว​ปิด​ประตู​ข้าง‍หลัง​เขา 7กล่าว​ว่า “พี่‍น้อง​ของ​ข้า​เอ๋ย ข้า​ขอ​เถอะ อย่า​ทำ‍ชั่ว​เลย8นี่‍แน่ะ ข้า​มี​ลูก‍สาว​สอง​คน​ยัง​ไม่​เคย​มี​เพศ‍สัม‌พันธ์​กับ​ชาย​เลย ข้า​จะ​ส่ง​ออก​มา​ให้​พวก‍ท่าน พวก‍ท่าน​จะ​ทำ​แก่​พวก​นาง​อย่าง‍ไร​ก็​ได้​ตาม‍ใจ‍ชอบ​เถิด แต่​ขอ​อย่า​ทำ​อะไร​พวก​ผู้‍ชาย​เหล่า‍นี้​เลย เพราะ​พวก‍เขา​มา​อยู่​ใต้​ร่ม​ชาย‍คา​ของ​ข้า​แล้ว” 9แต่​พวก​นั้น​ร้อง​ว่า “ถอย​ไป” และ​ขู่​ว่า “เจ้า​คน​นี้​มา​ขอ​อาศัย​อยู่ แล้ว​ยัง​มา​ตั้ง‍ตัว​เป็น​ผู้‍พิพาก‌ษา เรา​จะ​ทำ‍ชั่ว​ต่อ​เจ้า​ให้​หนัก​กว่า​ที่​จะ​ทำ​แก่​คน​เหล่า‍นั้น​อีก” พวก​นั้น​ผลัก​โลท​โดย​แรง และ​เข้า‍มา​ใกล้​เพื่อ​พัง​ประตู 10แต่​ชาย​ทั้ง‍สอง​นั้น​ยื่น‍มือ​ออก‍ไป​ดึง​ตัว​โลท​เข้า‍มา​ใน​บ้าน​แล้ว​ปิด​ประตู​เสีย 11ท่าน​ทั้ง‍สอง​ทำ​ให้​พวก​ผู้‍ชาย​ที่​อยู่​หน้า​ประตู​บ้าน​นั้น​ตา‍บอด ทั้ง​คน​หนุ่ม​และ​คน​แก่​ก็​เที่ยว​คลำ‍หา​ประตู​จน​อ่อน‍ใจ 12แล้ว​ท่าน​ทั้ง‍สอง​จึง​พูด​กับ​โลท​ว่า “ที่‍นี่​ท่าน​มี​ใคร​อีก​หรือ? บุตร‍เขย บุตร‍ชาย บุตร‍หญิง คน​ของ​ท่าน​ทั้ง‍หมด​ใน​เมือง​นี้ จง​นำ​ออก‍ไป​จาก​ที่​นี่ 13เพราะ​เรา​กำลัง​จะ​ทำ‍ลาย​ที่​นี่​แล้ว เพราะ​เสียง‍ร้อง‍กล่าว‍โทษ​พวก‍เขา​เฉพาะ‍พระ‍พักตร์​พระ‍ยาห์‌เวห์​ดัง​นัก‍หนา และ​พระ‍ยาห์‌เวห์​ทรง​ใช้​เรา​มา​ทำ‍ลาย​เมือง​นี้​เสีย” 

 1ซมอ.25:1-44 “ซา‌มู‌เอล​ก็​สิ้น‍ชีวิต และ​คน​อิสรา‌เอล​ทั้ง‍ปวง​ก็​ประ‌ชุม​กัน​ไว้‍ทุกข์​ให้​ท่าน และ​พวก‍เขา​ฝัง‍ศพ​ท่าน​ไว้​ที่​บ้าน​ของ​ท่าน​ใน​รา‌มาห์ ส่วน​ดาวิด​ก็​ลุก‍ขึ้น​ไป​ยัง​ถิ่น‍ทุร‌กัน‌ดาร​ปา‌ราน 2มี​ชาย​คน​หนึ่ง​ใน​มา‌โอน มี​การ‍งาน​อยู่​ใน​คาร‌เมล ชาย​ผู้‍นั้น​มั่ง‍มี​มาก มี​แกะ 3,000 ตัว และ​แพะ 1,000 ตัว ต่อ‍มา​วัน‍หนึ่ง​เขา​ตัด​ขน​แกะ​ของ​เขา​อยู่​ที่​คาร‌เมล 3ชาย​คน​นั้น​ชื่อ​นา‌บาล และ​ภรรยา​ของ​ท่าน​ชื่อ​อา‌บี‌กา‌ยิล สตรี​คน​นั้น​ฉลาด​และ​สวย‍งาม​ด้วย แต่​ชาย​คน​นั้น​เป็น​คน​หัว‍แข็ง​และ​ชั่ว‍ร้าย​ใน​การ​กระ‌ทำ เป็น​วงศ์‍วาน​ของ​คา‌เลบ 4ดาวิด​อยู่​ใน​ถิ่น‍ทุร‌กัน‌ดาร ได้‍ยิน​ว่า​นา‌บาล​กำลัง​ตัด​ขน​แกะ​ของ​เขา​อยู่ 5ดาวิด​จึง​ใช้​ชาย‍หนุ่ม 10 คน และ​ดาวิด​พูด​กับ​ชาย‍หนุ่ม​เหล่า‍นั้น​ว่า “จง​ขึ้น​ไป​ที่​คาร‌เมล​ไป​หา​นา‌บาล และ​คำ‍นับ​เขา​ใน​นาม​ของ​เรา6ให้​พวก‍ท่าน​พูด​เช่น‍นี้​ว่า ‘ชีวิต​และ​สวัสดิ‌ภาพ​จง​มี​แก่​ท่าน สวัสดิ‌ภาพ​จง​มี​แก่​ครอบ‍ครัว​ของ​ท่าน และ​สวัสดิ‌ภาพ​จง​มี​แก่​ทุก‍สิ่ง​ที่​ท่าน​มี 7ขณะ​นี้​ข้าพ‌เจ้า​ได้‍ยิน​ว่า​ท่าน​มี​คน​ตัด​ขน​แกะ​อยู่ เมื่อ​พวก​ผู้‍เลี้ยง‍แกะ​ของ​ท่าน​อยู่​กับ​เรา เรา​ไม่‍ได้​ทำ​อัน‌ตราย​พวก‍เขา​เลย และ​พวก‍เขา​ก็​ไม่‍ได้​ขาด​อะไร​ไป​ตลอด‍เวลา​ที่​อยู่​ใน​คาร‌เมล8ถาม​พวก​คน‍หนุ่ม​ของ​ท่าน พวก‍เขา​จะ​บอก​ท่าน เพราะ‍ฉะนั้น​ขอ​ให้​พวก​คน‍หนุ่ม​ของ​ข้าพ‌เจ้า​ได้​รับ​ความ​โปรด‍ปราน​จาก​ท่าน เพราะ​เรา​มา​ใน​วัน​มี​การ​เลี้ยง โปรด​ให้​สิ่ง​ที่​พอ​หา​ได้​ใน​ตอน‍นี้​แก่​พวก​ผู้‍รับ‍ใช้​ของ​ท่าน​และ​แก่​ดาวิด​บุตร​ของ​ท่าน’ ” 9เมื่อ​พวก​คน‍หนุ่ม​ของ​ดาวิด​มา​ถึง​ก็​กล่าว​คำ​เหล่า‍นั้น​แก่​นา‌บาล​ใน​นาม​ของ​ดาวิด และ​พวก‍เขา​ก็​คอย‍อยู่10และ​นา‌บาล​ตอบ​พวก​คน​รับ‍ใช้​ของ​ดาวิด​ว่า “ดาวิด​คือ​ใคร? บุตร​ของ​เจส‌ซี​คือ​ใคร? สมัย‍นี้​มี​คน‍ใช้​เป็น​อัน​มาก​ที่​หนี​ไป​จาก​นาย​ของ​พวก‍เขา 11ควร​หรือ​ที่​ข้า​จะ​นำ​ขนม‍ปัง​ของ​ข้า และ​น้ำ​ของ​ข้า และ​เนื้อ​ของ​ข้า ซึ่ง​ข้า​ได้​ฆ่า​เสีย​สำหรับ​พวก​คน​ตัด​ขน​แกะ​ของ​ข้า​มอบ​ให้​แก่​พวก​ซึ่ง​มา​จาก​ที่‍ไหน​ข้า​ก็​ไม่​รู้?” 12พวก​คน‍หนุ่ม​ของ​ดาวิด​ก็​หัน‍กลับ​ไป​ตาม‍ทาง และ​กลับ‍มา​บอก​เรื่อง‍ราว​ทั้ง‍สิ้น​นี้​แก่​ดาวิด 13และ​ดาวิด​สั่ง​พวก​ของ​ท่าน​ว่า “ทุก​คน​จง​เอา​ดาบ​คาด​เอว​ไว้” และ​ทุก​คน​ก็​เอา​ดาบ​คาด​เอว​ของ​ตน และ​ดาวิด​ก็​เอา​ดาบ​คาด​เอว​ด้วย มี​คน​ตาม​ดาวิด​ขึ้น​ไป​ประ‌มาณ 400 คน ส่วน​อีก 200 คน​อยู่​เฝ้า​กอง​สัม‌ภาระ 14แต่​มี​คน​หนึ่ง​ใน​พวก​คน‍หนุ่ม​บอก​นาง​อา‌บี‌กา‌ยิล​ภรรยา​ของ​นา‌บาล​ว่า “ดู‍เถิด ดาวิด​ส่ง​พวก​ผู้‍สื่อ‍สาร​มา​จาก​ถิ่น‍ทุร‌กัน‌ดาร​เพื่อ​อวย‍พร​นาย​ของ​พวก‍เรา แต่​นาย​กลับ​ด่า‍ว่า​คน​เหล่า‍นั้น 15แต่​ชาย​เหล่า‍นั้น​ดี​ต่อ​เรา​มาก เรา​ไม่​ถูก​ทำ‍ร้าย และ​ไม่​ขาด​สิ่ง‍ใด​ตลอด‍เวลา​ที่​เรา​ไป​กับ​พวก‍เขา​เมื่อ​เรา​อยู่​ใน​ทุ่ง‍นา 16พวก‍เขา​เป็น​เหมือน​กำ‌แพง​ของ​เรา​ทั้ง​กลาง‍คืน​และ​กลาง‍วัน ตลอด‍เวลา​ที่​เรา​เลี้ยง​แกะ​อยู่​กับ​พวก‍เขา 17ขณะ‍นี้​ขอ​ท่าน​ทราบ​เรื่อง​และ​พิจาร‌ณา​ว่า​ท่าน​ควร​จะ​ทำ​ประ‌การ​ใด เพราะ​การ‍ร้าย​ถูก​กำ‌หนด​ต่อ​นาย​ของ​เรา​แล้ว และ​ต่อ​ครัว‍เรือน​ทั้ง‍สิ้น​ของ​นาย นาย​นั้น​เป็น​คน​อันธ‌พาล ใคร​จะ​พูด​ด้วย​ก็​ไม่‍ได้” 18แล้ว​นาง​อา‌บี‌กา‌ยิล​ก็​รีบ​จัด​ขนม‍ปัง 200 ก้อน และ​เหล้า‍องุ่น 2 ถุง‍หนัง และ​แกะ​ที่​ทำ​เสร็จ​แล้ว 5 ตัว และ​ข้าว‍คั่ว 17 กิโล‍กรัม และ​ลูก‌เกด 100 ช่อ​และ​ขนม​มะเดื่อ 200 แผ่น​บรร‌ทุก​หลัง​ลา 19นาง​ก็​สั่ง​พวก​คน​หนุ่ม​ของ​นาง​ว่า “จง​รีบ​ไป​ก่อน​เรา นี่‍แน่ะ เรา​จะ​ตาม​เจ้า​ไป” แต่​นาง​ไม่‍ได้​บอก​นา‌บาล​สามี​ของ​นาง 20เมื่อ​นาง​ขี่​ลา​ลง‍มา มี​สัน‍เขา​บัง​นาง​อยู่ นี่‍แน่ะ ดาวิด​กับ​พวก​ของ​ท่าน​กำลัง​ลง‍มา​ทาง​นาง และ​นาง​ก็​พบ​พวก‍เขา21ดาวิด​กล่าว​ไว้​แล้ว​ว่า “ข้า​เฝ้า​ทุก‍สิ่ง​ที่​คน​นี้​มี​อยู่​ใน​ถิ่น‍ทุร‌กัน‌ดาร​เสีย‍เปล่า ไม่‍มี​สิ่ง‍ใด​ของ​เขา​ขาด​ไป​เลย และ​เขา​ตอบ‍แทน​ความ​ดี​ของ​ข้า​ด้วย​ความ​ชั่ว 22เช่น​เดียว​กับ​ที่​พระ‍เจ้า​จะ​ทรง​ลง‍โทษ​พวก​ศัตรู​ของ​ดาวิด และ​ทรง​เพิ่ม​โทษ​นั้น ข้า​จะ​ไม่​ปล่อย​ให้​ชาย​สัก​คน​ใน​บรร‌ดา​ที่​เขา​มี เหลือ​อยู่​ถึง​พรุ่ง‍นี้​เช้า”  23เมื่อ​นาง​อา‌บี‌กา‌ยิล​เห็น​ดาวิด นาง​ก็​รีบ​ลง​จาก​หลัง​ลา ทรุด​ตัว​ลง​ต่อ‍หน้า​ดาวิด ซบ‍หน้า​ถึง​ดิน​และ24นาง​ทรุด​ตัว​ลง​ที่​เท้า​ของ​ดาวิด​พูด​ว่า “เจ้า‍นาย​ของ​ดิฉัน ความ​ผิด​นั้น​อยู่​ที่​ดิฉัน​แต่​ผู้​เดียว ขอ​ให้​สาว‍ใช้​ของ​ท่าน​พูด​ให้​ท่าน​ฟัง และ​โปรด​ฟัง​ถ้อย‍คำ​ของ​สาว‍ใช้​ของ​ท่าน 25ขอ​เจ้า‍นาย​ของ​ดิฉัน​โปรด​อย่า​ได้​เอา​ความ​กับ​นา‌บาล​ชาย​ร้าย‍กาจ​คน​นี้​เลย เพราะ​เขา​เป็น​อย่าง​ชื่อ​ของ​เขา​คือ​นา‌บาล และ​ความ​โง่‍เขลา​ก็​อยู่​กับ​เขา ส่วน​ดิฉัน​สาว‍ใช้​ของ​ท่าน​ไม่​เห็น​พวก​คน‍หนุ่ม​ของ​เจ้า‍นาย​ซึ่ง​ท่าน​ใช้​ไป 26ดัง‍นั้น​เจ้า‍นาย​ของ​ดิฉัน พระ‍ยาห์‌เวห์​ทรง‍พระ‍ชนม์‍อยู่​แน่​ฉัน‍ใด และ​ท่าน​มี​ชีวิต​อยู่​แน่​ฉัน‍ใด เพราะ​ว่า​พระ‍ยาห์‌เวห์​ทรง​ทำ​ให้​ท่าน​ระงับ​เสีย​จาก​ความ​ผิด​ที่​ทำ​ให้​โลหิต​ตก และ​จาก​การ​แก้‍แค้น​ด้วย​มือ​ของ​ท่าน​เอง บัด‍นี้​ขอ​ให้​พวก​ศัตรู​ของ​ท่าน และ​พวก​ที่​จะ​ปอง‍ร้าย​ต่อ​เจ้า‍นาย​ของ​ดิฉัน​เป็น​อย่าง​นา‌บาล 27ของ‍กำ‌นัล​นี้​ซึ่ง​สาว‍ใช้​ของ​ท่าน​ได้​นำ​มา​ให้​เจ้า‍นาย​ของ​ดิฉัน ขอ​มอบ​แก่​พวก​คน‍หนุ่ม​ผู้​ติด‍ตาม​เจ้า‍นาย​ของ​ดิฉัน 28โปรด​อภัย​ความ​ผิด​ของ​สาว‍ใช้​ของ​ท่าน​เถิด เพราะ​พระ‍ยาห์‌เวห์​จะ​ทรง​ทำ​ให้​เจ้า‍นาย​ของ​ดิฉัน​เป็น​พงศ์‍พันธุ์​ที่​มั่น‍คง​แน่ เพราะ​ว่า​เจ้า‍นาย​ของ​ดิฉัน​ทำ​สง‌คราม​อยู่​ฝ่าย​พระ‍ยาห์‌เวห์ และ​จะ​ไม่​พบ​ความ​ชั่ว​ใน​ตัว​ท่าน​ตลอด‍ชีวิต​ของ​ท่าน 29แม้​มี​คน​ลุก‍ขึ้น​ไล่‍ตาม​ท่าน และ​ต้อง‍การ​ฆ่า​ท่าน ชีวิต​ของ​เจ้า‍นาย​ของ​ดิฉัน​จะ​ผูก‍มัด​อยู่​กับ​ความ​สัม‌พันธ์​ระหว่าง​กลุ่ม​ชีวิต​และ​พระ‍ยาห์‌เวห์​พระ‍เจ้า​ของ​ท่าน แต่​ชีวิต​ศัตรู​ของ​ท่าน​จะ​ถูก​เหวี่ยง​ออก​ไป​ดั่ง​ออก​ไป​จาก​รัง​สลิง30และ​เมื่อ​พระ‍ยาห์‌เวห์​จะ​ทรง​ทำ​ให้​สำเร็จ​แก่​เจ้า‍นาย​ของ​ดิฉัน​แล้ว ตาม​สิ่ง​ดี​ทั้ง‍หมด​ซึ่ง​พระ‍องค์​ตรัส​เกี่ยว‍กับ​ท่าน และ​ทรง​ตั้ง​ท่าน​เป็น​เจ้า‍นาย​เหนือ​อิสรา‌เอล 31เจ้า‍นาย​ของ​ดิฉัน​จะ​ไม่‍มี​เหตุ​ที่​เสีย‍ใจ​หรือ​มี​จิต‍สำนึก​ที่​รู้‍สึก​ผิด เพราะ​การ​ฆ่า​ด้วย​ไม่‍มี​สาเหตุ เพราะ​เจ้า‍นาย​ของ​ดิฉัน​แก้‍แค้น​ด้วย​ตน‍เอง และ​เมื่อ​พระ‍ยาห์‌เวห์​ทรง​ทำ​ความ​ดี​แก่​เจ้า‍นาย​ของ​ดิฉัน​แล้ว ก็​ขอ​ระลึก‍ถึง​สาว‍ใช้​ของ​ท่าน” 32ดาวิด​พูด​กับ​นาง​อา‌บี‌กา‌ยิล​ว่า “สาธุการ​แด่​พระ‍ยาห์‌เวห์​พระ‍เจ้า​แห่ง​อิสรา‌เอล ผู้​ทรง​ใช้​เจ้า​ให้​มา​พบ​เรา​ใน​วัน‍นี้ 33ขอ​ให้​ความ​ฉลาด​ของ​เจ้า​รับ‍พระ‍พร และ​ขอ​ให้​ตัว​เจ้า​รับ‍พระ‍พร เพราะ​เจ้า​ได้​ป้อง‍กัน​เรา​ใน​วัน‍นี้​ให้​พ้น​จาก​การ​ฆ่า และ​จาก​การ​แก้‍แค้น​ด้วย​มือ​ของ​เรา​เอง 34เพราะ​พระ‍ยาห์‌เวห์​พระ‍เจ้า​แห่ง​อิสรา‌เอล ผู้​ทรง​ระงับ​เรา​เสีย​จาก​การ​ทำ‍ร้าย​เจ้า ทรง‍พระ‍ชนม์‍อยู่​แน่​ฉัน‍ใด ถ้า​เจ้า​ไม่‍ได้​รีบ​มา​พบ​เรา ถึง​รุ่ง‍สาง​จะ​ไม่‍มี​เหลือ​แก่​นา‌บาล​แม้​แต่​ชาย​สัก​คน” 35แล้ว​ดาวิด​ก็​รับ​บรร‌ดา​สิ่ง​ที่​นาง​นำ​มา​จาก​มือ​ของ​นาง และ​ดาวิด​พูด​กับ​นาง​ว่า “จง​กลับ​ไป​บ้าน​ของ​เจ้า​ด้วย​สวัสดิ‌ภาพ​เถิด ดู‍สิ​เรา​ได้​ฟัง​เสียง​ของ​เจ้า​แล้ว และ​เรา​รับ​คำ‍ขอ‍ร้อง​ของ​เจ้า” 36และ​อา‌บี‌กา‌ยิล​ก็​กลับ​ไป​หา​นา‌บาล และ​นี่‍แน่ะ เขา​กำลัง​มี​การ​เลี้ยง​ใหญ่​ใน​บ้าน​ของ​เขา​อย่าง​การ​เลี้ยง​ของ​พระ‍ราชา และ​จิต‍ใจ​ของ​นา‌บาล​ก็​เบิก‍บาน เพราะ​เขา​มึน‍เมา​มาก นาง​จึง​ไม่‍ได้​บอก​อะไร​ให้​เขา​ทราบ​จน​เวลา​รุ่ง‍สาง 37และ​ใน​เวลา​เช้า เมื่อ​เหล้า‍องุ่น​สร่าง​จาก​นา‌บาล​ไป​แล้ว ภรรยา​ของ​เขา​ก็​เล่า​เรื่อง‍ราว​เหล่า‍นี้​ให้​ฟัง และ​ใจ​ของ​เขา​ก็​ตาย​ข้าง‍ใน และ​เขา​กลาย​เป็น​ดัง​ก้อน‍หิน 38ต่อ‍มา​อีก​ประ‌มาณ​สิบ​วัน​พระ‍ยาห์‌เวห์​ทรง​ประ‌หาร​นา‌บาล​และ​เขา​ก็​ตาย 39เมื่อ​ดาวิด​ได้‍ยิน​ว่า​นา‌บาล​สิ้น‍ชีวิต​แล้ว ท่าน​จึง​พูด​ว่า “สาธุการ​แด่​พระ‍ยาห์‌เวห์​ผู้​ทรง​แก้‍แค้น​การ​เหยียด‍หยาม​ที่​ข้า‍พระ‍องค์​ได้​รับ​จาก​มือ​ของ​นา‌บาล และ​ทรง​ป้อง‍กัน​ผู้‍รับ‍ใช้​ของ​พระ‍องค์​จาก​ความ​ชั่ว พระ‍ยาห์‌เวห์​ทรง​ตอบ‍แทน​ความ​ชั่ว​ของ​นา‌บาล​ให้​ตก​บน​ศีรษะ​ของ​เขา​เอง” แล้ว​ดาวิด​ก็​ส่ง​คน​ไป​พูด​กับ​อา‌บี‌กา‌ยิล​ให้​มา​เป็น​ภรรยา​ของ​ท่าน 40และ​เมื่อ​ผู้‍รับ‍ใช้​ของ​ดาวิด​มา​ถึง​อา‌บี‌กา‌ยิล​ที่​คาร‌เมล พวก‍เขา​พูด​กับ​นาง​ว่า “ดาวิด​ส่ง​พวก‍เรา​มา‍หา​ท่าน​เพื่อ​นำ​ท่าน​ไป​เป็น​ภรรยา” 41และ​นาง​ก็​ลุก‍ขึ้น​ซบ‍หน้า‍ลง​ถึง​ดิน​พูด​ว่า “ดู‍เถิด สาว‍ใช้​ของ​ท่าน​เป็น​ทาส​ที่​จะ​ล้าง‍เท้า​ให้​พวก​ผู้‍รับ‍ใช้​ของ​เจ้า‍นาย​ของ​ดิฉัน” 42อา‌บี‌กา‌ยิล​ก็​รีบ​ลุก‍ขึ้น​ขี่​ลา​ไป​พร้อม​กับ​สาว‍ใช้​ปรน‌นิ‌บัติ​นาง​อีก​ห้า​คน นาง​ตาม​พวก​ผู้‍สื่อ‍สาร​ของ​ดาวิด​ไป และ​เป็น​ภรรยา​ของ​ดาวิด 43ดาวิด​ยัง​ได้​รับ​นาง​อา‌หิ‌โน‌อัม ชาว​ยิส‌เร‌เอล​มา​ด้วย และ​ทั้ง‍สอง​ก็​เป็น​ภรรยา​ของ​ท่าน 44ซา‌อูล​ทรง​ยก​มี‌คาล​ราช‌ธิดา​ของ​พระ‍องค์ ผู้​เป็น​ภรรยา​ของ​ดาวิด ให้​แก่​ปัล‌ที​บุตร​ลา‌อิช​ชาว​กัล‌ลิม​แล้ว”

 สรุป

พระคัมภีร์ให้ความสำคัญกับการมีอัธยาศัยไมตรีต้อนรับแขกแปลกหน้า โดยถือว่า นั่นเป็นพื้นฐานวิถีของคริสตชนทุกคนพึงปฏิบัติตาม และเป็นคุณลักษณะที่จำเป็นของผู้นำคริสตจักร อีกทั้งยังเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับวาระสุดท้ายของยุคนี้ที่กำลังใกล้จะมาถึง

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ clipartpanda.com)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

อย่าด่วนตัดสินใคร!

อย่าด่วนตัดสินใคร

อย่าด่วนตัดสินใคร!

“อย่าตัดสินผู้ใด โดยไม่รู้ข้อเท็จจริงทั้งหมดของเรื่องราว คุณอาจคิดว่าคุณเข้าใจ แต่คุณไม่!”

(Never judge someone without Knowing the whole story. You may think you understand But you don’t.)

พระเจ้ามิได้ส่งคนมาให้เราตัดสิน แต่ทรงส่งคนนั้นมาเพื่อให้เรา รัก!

ดังนั้น    อะไรที่ทำแล้วออกอาการว่า เราไม่รักใคร ก็จงหลีกเลี่ยงอย่าทำอย่างนั้นเลย แน่นอนว่า  ความรักไม่ใช่การตามใจ ความรักไม่ได้เป็นฝ่ายตรงข้ามกับความจริง ตรงกันข้าม ความรักเป็นทีมเดียวกับความจริง

พระเจ้าทรงบัญชาให้เราปฏิบัติต่อผู้อื่น และปฏิบัติต่อกันและกันด้วยความรักและความจริง  พระวจนะของพระเจ้าก็ยืนยันว่า…

“ว่ากันต่อหน้า ดีกว่ารักกันลับๆ บาดแผลที่มิตรทำก็ด้วยเจตนาดี แต่การจูบของศัตรูนั้นมากเกินความจริง” 

                                                                                                              (สุภาษิต 27:5-6)

ดังนั้น เราต้องรักกันอย่างจริงใจ หากเรารักใคร เราต้องกล้าพูดความจริงต่อเขา แต่หากเรารักเขาจริง อาการและวิธีการของเราควรจะเป็นอย่างไร?

ขอให้เราตรวจดูว่า แรงจูงใจ ท่าที และท่าทางของเราเป็นอย่างไร  เวลาที่เราตักเตือน หรือต่อว่าผู้อื่น?

จริง ๆ แล้วหากเรารู้เรื่องนั้นหรือรู้จักคน ๆ นั้นอย่างสิ้นเชิงจริง ๆ  และหากว่าคน ๆ นั้นเป็นคนที่เรารักจริง ๆ เราจะไม่มีวันพิพากษาตัดสินเขาอย่างที่เราทำอยู่ในเวลานี้  (ทั้งๆ ที่เรารู้เรื่องหรือความจริงอยู่เพียงบางเสี้ยวเท่านั้น)

ขอให้เราเตือนสติตัวเองว่า เราไม่ชอบเวลาที่คนอื่นมาตัดสินเรา โดยไม่รู้เรื่องราวข้อเท็จจริงทั้งหมดฉันใด  คนอื่นเขาก็ไม่ชอบเวลาที่เราไปตัดสินเขา โดยที่ยังไม่รู้เรื่องราวจริง ๆ ว่าเป็นอย่างไรฉันนั้น

ใช่ครับ มีเรื่องราว/รายละเอียดซับซ้อนซ่อนอยู่ในชีวิตของแต่ละคน (รวมทั้งตัวของเราเอง)

ใช่ครับ มีเหตุผลว่า ทำไมเขาคนนั้นจึง พูด  ทำ  หรือ เป็นเช่นนั้น

ดังนั้น จงใคร่ครวญเรื่องนี้ให้ดีก่อนที่คุณจะตัดสินผู้ใด  ดังที่มีผู้หนึ่งได้กล่าวไว้ว่า …

          “Don’t judge my choices if you don’t understand my reasons”

          (อย่าตัดสินในสิ่งที่ฉันเลือก หากว่าเธอไม่เข้าใจเหตุผลของฉัน)

ฉะนั้นวันนี้ แทนที่เราจะทำตัวเป็นผู้พิพากษาที่ตัดสินความ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้พยานหลักฐานรอบด้านให้ครบถ้วน เราควรที่จะทำตัวของเราให้เป็นคนหนึ่งในครอบครัวที่รักและห่วงใยคนอื่น ๆ ในบ้านของเรา และแสดงความรักห่วงใยจากใจจริงผ่านการเตือนสติและหนุนใจกันให้เลือกเดินในทางที่ดีด้วยความสุภาพอ่อนโยน

…จะดีกว่าไหมครับ?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr. ภาพ ggznieuws.nl)

 

 

 

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

คำพูดที่เมตตา

ภาษาดอกไม้

“คำพูดที่เมตตา ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรมาก แต่ว่า คำพูดเหล่านั้นส่งผลกระทบอย่างมหาศาล”

(Kind words do not cost much.  Yet they accomplish much.)   -Blaise Pascal-

 

คำพูดมีพลัง ทั้งพลังสร้างสรรค์ และพลังทำลายล้าง!

จงระวังคำพูดของคุณ!

เพราะว่า คุณสามารถฆ่าคนให้ตายได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ โดยไม่ต้องใช้ระเบิดพลีชีพ  ลูกปืน หรือ อาวุธใด ๆ

คำพูดของคุณสามารถทำให้คนที่กำลังหัวเราะอย่างมีความสุข ต้องหุบปากลงและระทมทุกข์ไปตลอด

คำพูดของคุณสามารถทำให้คนที่กำลังท้อแท้ใกล้จะตาย มีกำลังใจ กลับมีชีวิตชีวา ลุกขึ้นมาสู้ชีวิตได้อีกครั้งอย่างอัศจรรย์ จึงขึ้นอยู่กับว่า คุณใช้คำพูดของคุณออกไปอย่างไร ?

พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตา พระดำรัสหรือพระวจนะของพระองค์ คือถ้อยคำที่ให้ชีวิตแก่เราเสมอ

แท้จริง พระเยซูคริสต์ทรงมีพระนาม “พระวาทะ” (The WORD) หรือเป็นพระวจนะของพระเจ้าที่สำแดงพระเจ้าแบบที่มนุษย์สามารถเห็น ได้ยิน และจับต้องได้ ในยามที่พระองค์เสด็จเข้ามาในโลกรับสภาพอย่างมนุษย์ และยอมถูกตรึงไถ่บาปเราบนไม้กางเขน  และถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ เป็นถ้อยคำที่ให้ชีวิตนิรันดร์แก่ทุกคนที่รับฟังและรับไว้ด้วยความเชื่อถือศรัทธาอย่างจริงใจ!

วันนี้…ขอให้เรามีคำพูดหรือถ้อยคำที่เสริมสร้างหรือให้ชีวิตอย่างพระคริสต์ทรงเป็นแบบอย่าง

ขอให้ปากของเราให้กำลังใจ และให้คำแนะนำที่มีประโยชน์ต่อผู้รับฟัง ด้วยถ้อยคำที่เปี่ยมด้วยความเมตตา!

เพราะคำพูดเช่นนี้ ไม่เพียงแค่ช่วยยกระดับจิตใจหรือจิตวิญญาณของผู้รับฟังเท่านั้น แต่ยังจะคงอยู่ในใจของพวกเขาไปอีกนานแสนนาน

ดังที่ Joseph B. Wirthlin กล่าวว่า

“ถ้อยคำที่เปี่ยมด้วยความเมตตา ไม่เพียงแต่ช่วยยกจิตชูใจของเราในชั่วขณะที่กล่าวออกมา  แต่ถ้อยคำเหล่านั้นยังดำรงอยู่กับเราต่อไปนานอีกหลาย ๆ ปี!”

(Kind words not only lift our spirits in the moment they are given but they can linger with us over the years.)

ดังนั้น วันนี้ ให้เราละทิ้งคำพูดที่บั่นทอนจิตใจเสีย แล้วหันมาพูดแต่ถ้อยคำที่เปี่ยมด้วยความรักเมตตาให้แก่กันและกัน

จะดีไหมครับ?

 

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/ lifeanswer

 

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

การเสียสละที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

กฎแห่งการหว่าน

“การเสียสละที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ การที่คุณยอมเสียสละความสุขของคุณเอง เพื่อเห็นแก่ผู้อื่น”

(The greatest sacrifice is when you sacrifice your own happiness for the sake of someone else.)

พระเยซูคริสต์ทรงสรุปแก่นของศาสนาในโลกนี้ ให้เหลือเพียงแค่คำเดียวคือ  “รัก”

ศาสนามักมีบัญญัติกฎเกณฑ์หรือศีลมากมายที่ต้องถือรักษา แต่หากว่าปราศจาก “ความรัก” ศาสนานั้นก็จะไร้ค่าไปในทันที แท้จริง คนเราไม่ได้ต้องการรู้อะไรมากมาย พวกเราต้องการแค่ได้สัมผัสและแบ่งปัน “ความรัก” ให้แก่กัน แค่นี้ก็พอแล้ว! แต่ว่า ใน “ความรัก” นั้นต้องมีการ “เสียสละ”

นั่นเป็นเหตุที่ทำให้ความรักกลายเป็นสิ่งหายาก และขาดแคลนที่สุดในสังคม เพราะว่า ตามนิสัยบาปของมนุษย์ เราแต่ละคนหวังที่จะ “ได้” มากกว่าที่จะ “ให้” แต่การเอาแต่จะ “ได้มา” นั้น มักจะทำให้ “สิ่งที่ได้มา” สูญเสียไป ส่วนการ  “ให้ไป” กลับกลายเป็นการได้มาอย่างถาวร!

คุณต้องเข้าใจก่อนว่า การให้ของคุณ แท้จริงคือ การลงทุนที่ส่งผลยิ่งใหญ่อย่างที่คุณคาดไม่ถึง!

ไม่มีการให้ก็ไม่มีการลงทุน! ยิ่งคุณให้หรือเสียสละเพื่อคนที่คุณรักหรือคนอื่นมากเท่าไร ก็เท่ากับคุณได้ลงทุนที่ยิ่งใหญ่ลงไปในชีวิตของคนเหล่านั้นมากขึ้นเท่านั้น

และก็เป็นดุจเดียวกับ กฎแห่งการหว่านเมล็ดพืช  ยิ่งคุณหว่านมากขึ้นเท่าไร คุณก็ยิ่งเก็บเกี่ยวผลมากขึ้นเท่านั้น  แท้จริงแล้วคุณจะเก็บเกี่ยว(ผล) มากกว่า(เมล็ด) ที่คุณหว่าน!

กฎแห่งการหว่านความสุขแก่ผู้อื่นก็เช่นกัน  ความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่คุณยอมหว่านหรือเสียสละเพื่อผู้อื่น คือการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ในสายตาของผู้ที่ได้รับ ซึ่งจะก่อเกิดผลตามมาให้แก่คุณมากกว่าที่คุณหว่านออกไป!

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากบรรดาผู้ที่ได้รับเมล็ดแห่งความสุขนั้น คือ คนที่รักคุณ หรือที่คุณรัก เช่น สามีภรรยา บิดามารดา หรือ ลูก ๆ (รวมทั้งลูกน้องของคุณ)

เพียงแค่มีคำเตือนปิดท้ายไว้นิดหน่อยว่า …

อย่าให้ใครทำให้คุณต้องเสียสละ 4 สิ่งนี้ เพื่อพวกเขา นั่นคือ

  1. พระเจ้าของคุณ
  2. ครอบครัวของคุณ
  3. ศักดิ์ศรี(ที่พึงมี) ของคุณ และ
  4. มโนธรรม/จิตสำนึกของคุณ

แล้วคุณจะพบว่า การให้หรือการเสียสละของคุณคือ  ของขวัญที่ล้ำค่าที่ยิ่งใหญ่ที่คุณได้มอบให้ตัวของคุณเองและคนอื่น ๆ !

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ goldagriculture.com)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

จุดประสงค์ของชีวิตเรา!

อัลเบิร์ต ชไวสเซอร์

“วัตถุประสงค์ของชีวิตมนุษย์คือการรับใช้  การแสดง  รักเมตตา และความตั้งใจในการช่วยเหลือผู้อื่น!”

(The Purpose of human life isto serve, and to show compassion and the will to help others.)

-Albert Schweitzer-

ดร. อัลเบิร์ต ชไวเซอร์ (Albert Schweitzer, 1875-1965)  ผู้โด่งดัง เจ้าของรางวัล Nobel Peace Prize (1952)

เป็นทั้ง แพทย์  นักดนตรี  นักปรัชญา และนักศาสนา มี 2 สัญชาติ คือ เยอรมัน (1875-1919) และ ฝรั่งเศส (1919 – 1966)

ในขณะที่ท่านเป็นศาสตราจารย์ สอนวิชาปรัชญาอยู่ ในมหาวิทยาลัย ดร. อัลเบิร์ต ชไวเซอร์ ได้รับแรงบันดาลใจให้ออกไปแสดงความรักเมตตาที่เป็นรูปธรรมแก่บรรดาคนที่ด้อยโอกาสกว่า (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชนผิวดำในอัฟริกา)

ก้าวแรกที่ ดร. อัลเบิร์ต กระทำในวันที่ 13 ตุลาคม 1905 ก็คือ ท่านเขียนจดหมายถึงพ่อแม่ และเพื่อนสนิท บอกพวกเขาถึงการตัดสินใจของท่านที่จะไปลงทะเบียนเรียนเป็นนักศึกษาแพทย์ เพื่อไปอัฟริกาในฐานะแพทย์ ไม่ใช่นักดนตรี นักปรัชญา หรือนักศาสนศาสตร์ อีกต่อไป

เหตุผลที่ท่านให้แก่คนเหล่านั้นก็คือ ท่านปรารถนาที่จะ “ลงมือทำงานด้วยมือของฉันเอง นับเป็นเวลาหลายปีที่ฉันมอบตัวเองให้แก่เรื่อง “ถ้อยคำ” (words) แต่สำหรับรูปแบบใหม่ที่ฉันจะทำนี้ จะไม่ใช่เป็นเพียงแค่ “การพูด” เกี่ยวกับ “ศาสนาแห่งความรัก” อีกต่อไป แต่จะเป็นการลงมือปฏิบัติออกมาให้เห็นจริง ๆ”

ผลคือ คนส่วนใหญ่รอบตัว ใช่ว่าจะเป็นพ่อแม่ เพื่อนสนิทมิตรสหาย รวมทั้งคณะในมหาวิทยาลัย St. Thomas ที่ท่านสอน ล้วนช็อค  สับสน ตกใจ และคิดว่า ท่านได้ตัดสินใจผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง! บางคนถึงกับตำหนิท่านว่า โง่ และบ้าไปแล้ว เพราะจะเป็นการเอา “ตะลันต์” (talent) ล้ำเลิศของท่านไปฝังให้เสียของในป่าอัฟริกา

แต่ ดร.อัลเบิร์ต ชไวเซอร์ ไม่หวั่นไหวท่านมั่นใจในการทรงเรียกจากพระเจ้า แม้คนอื่นจะไม่เข้าใจและไม่เห็นด้วย (แถมยังคัดค้านด้วยซ้ำ) คงมีแต่เพื่อนสนิทสาวที่ชื่อว่า Helene Bresslau  เท่านั้นที่เข้าใจและสนับสนุนท่าน ซึ่งต่อมาเธอก็ได้สมัครใจไปเรียนเป็นพยาบาลเพื่อไปร่วมรับใช้ด้วยใจกับท่าน  และได้กลายมาเป็นภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับท่านตลอดชีวิตที่เหลือในป่าที่อัฟริกา

แม้ว่า ดร.อัลเบิร์ต ชไวเซอร์ จะศึกษาจนจบการศึกษาในคณะแพททย์ศาสตร์ (ด้านอายุรศาสตร์เขตร้อน และศัลยกรรม) (หลังจากเข้าศึกษาใน เดือนมกราคม ค.ศ. 1905 เมื่อตอนที่ท่านอายุ 30 ปี และรับปริญญาบัตรเป็นแพทย์เมื่ออายุได้ 38 ปี) แต่ท่านก็ถูกองค์กรส่งมิชชันรีอย่าง “The Paris Missionary Society” ปฏิเสธไม่เห็นด้วยและไม่สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการกระทำพันธกิจที่อัฟริกาตามนิมิตของท่าน

จึงเป็นเหตุให้ท่านต้องใช้ตะลันต์ความสามารถด้านการเล่นดนตรีของท่าน ควบคู่ไปกับเพื่อนสนิทส่วนหนึ่งช่วยกัน รณรงค์หาทุนเพื่อให้ท่านสามารถดำเนินต่อไปตามแผนการที่ตั้งไว้ ด้วยเหตุนี้เอง ในเดือนมีนาคม 1913 ดร.อัลเบิร์ต ชไวเซอร์ และภรรยา จึงสามารถเดินทางไปอัฟริกาเพื่อสร้างโรงพยาบาลที่ Lamberene ใน คองโก (Gobon ในเวลานั้นเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส)

ชีวิตและการรับใช้ของ ดร.อัลเบิร์ต ต้องเผชิญอุปสรรคมากมาย รวมถึงการถูกจับไปเข้าค่ายกักกันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 (เพราะท่านมีสัญชาติเป็นชาวเยอรมัน) และท่านได้กลับไปที่อัฟริกาอีกครั้ง ในปี 1924 โดยที่ภรรยา ( Helene) และบุตรสาว (Rhena) ยังคงพักอยู่ในยุโรป

แม้ว่าในวัยเด็ก จะไม่ได้อยู่กับผู้เป็นบิดา แต่ Rhena ผู้เป็นบุตรสาว ก็เข้าศึกษาเทคนิคการแพทย์ เมื่อโตเป็นสาว จนกระทั่งจบการศึกษา เธอก็ออกเดินทางไปร่วมรับใช้กับ ดร.อัลเบิร์ต  ชไวเซอร์ จนกระทั่งท่านเสียชีวิตในตอนอายุ 90 ปี และ Rhena ได้สืบทอดดูแลกิจการของบิดาต่อไป

ปัจจุบัน ผลงานที่ ดร.อัลเบิร์ต ชไวเซอร์ ได้เริ่มต้นไว้ ได้เจริญก้าวหน้า ส่งผลกระทบต่อโลกนี้อย่างมหาศาล

ในท้ายนี้ เราพอสรุปชีวิตของ ดร.อัลเบิร์ต ชไวเซอร์  ได้ดังนี้

  • ท่านเป็นแพทย์ที่รักสัตว์
  • เป็นนักดนตรีที่รักเสียงเพลง
  • เป็นนักปรัชญาที่รักสันติ (และต่อต้านการใช้ระเบิดนิวเคลียร์)
  • เป็นสามีที่รักภรรยา
  • เป็นบิดาที่รักลูก
  • เป็นเพื่อนที่รักมิตรสหาย

และที่สำคัญที่สุด คือ ท่านเป็นนักศาสนศาสตร์และผู้รับใช้ของพระเจ้าที่รักมวลมนุษยชาติและได้ทุ่มเททั้งชีวิตสำแดงความรักนั้นออกมาอย่างเป็นรูปธรรม แทนที่จะเพียงพูดหรือสอนเรื่องความรักด้วยลมปากเท่านั้น!

ดังนั้นขอให้วันนี้ เราจงมีน้ำใจต่อคนอื่น ๆ ในโลกนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยู่รอบตัวของเรา และช่วยเหลือพวกเขาให้ได้รับความรอดพ้นจากโทษความตายนิรันดร์ด้วยการประกาศข่าวประเสริฐแห่งความรอดขององค์พระเยซูคริสต์ให้พวกเขาได้รับทราบ และมีน้ำใจช่วยเหลือบรรเทาความทุกข์ยาก ลำบากในด้านสุขภาพอนามัย ทั้งทางกายและทางจิตของเพื่อนมนุษย์ทั้งหลายด้วยใจเมตตาสงสาร

เพราะนี่คือ จุดประสงค์ที่พระเจ้าทรงให้เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้มาจนวันนี้!

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr. ภาพ Phillosophicallibrary.com)

 

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ให้แล้วจะได้มากกว่าที่มีอยู่!

เศรษฐีโลภ

“มีแต่ “การให้” เท่านั้นที่สามารถทำให้คุณ ได้รับ “มากกว่า”  ที่คุณมีอยู่แล้ว!”

(Only by Giving are you able to receive MORE than you already have.)  -Jim Rohn-

พวกเรามักคิดว่า หากเก็บสะสมไว้ โดยไม่ใช้ออกไป จะทำให้เราจะมีมากขึ้น

เรามักเข้าใจว่า หากเราไม่จ่าย ไม่ให้สิ่งที่เรามีแก่ใครเลย เราก็จะมีมากขึ้น

แต่นั่นไม่ใช่ความจริง!  เพราะทุกอย่างที่เราสะสมไว้จะไม่สร้างคุณค่าใดแก่ผู้ใด และจะเสื่อมค่าลง หรืออาจถูกลักขโมย ถูกปล้น ถูกไฟเผาไหม้ หรือถูกน้ำท่วมซัดหายไป ฯลฯ  มีแต่การให้ออกไปเท่านั้น ที่จะทำให้ของเหล่านั้นไม่หายไปไหน  เพราะว่ามันได้กระจายไปอยู่ในคนมากมายรอบตัวของเรา  และสิ่งเหล่านั้นจะพร้อมย้อนกลับมาหาเราในวันใดวันหนึ่งที่เราจำเป็น!

เราต้องตระหนักว่า ของที่เรารวบรวมสะสมไว้ อาจไม่ใช่ของเราอีก แต่ของที่เราให้ออกไปแล้วเท่านั้น  จึงจะเป็นของเราตลอดไป!

พระเยซูคริสต์เล่าอุปมาให้ฟังเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของเศรษฐีคนหนึ่งที่เก็บสะสมสิ่งที่เขามีไว้จนมากขึ้น ๆ กระทั่งไม่มีที่จะเก็บของเหล่านั้น แต่แล้วชีวิตของเขากลับต้องจบลงภายในคืนวันนั้นเอง

แล้วใครล่ะที่ได้ครอบครองทรัพย์สินเหล่านั้น?

ไม่ใช่ตัวของเขาแน่ จริงไหม?

“มี​คน​หนึ่ง​ใน​ฝูง‍ชน​นั้น​ทูล​พระ‍องค์​ว่า “ท่าน​อา‌จารย์ ช่วย​บอก​พี่‍ชาย​ของ​ข้าพ‌เจ้า​ให้​แบ่ง​มรดก​แก่​ข้าพ‌เจ้า​ด้วย” แต่​พระ‍องค์​ตรัส​ตอบ​เขา​ว่า “พ่อ​หนุ่ม ใคร​ตั้ง​เรา​ให้​เป็น​ผู้‍พิพาก‌ษา​หรือ​เป็น​ผู้​แบ่ง​มรดก​ให้​ท่าน?” แล้ว​พระ‍องค์​ตรัส​กับ​พวก‍เขา​ว่า “ระวัง​ให้​ดี จง​หลีก‍เลี่ยง​จาก​ความ​โลภ​ทุก‍อย่าง เพราะ‍ว่า​ชีวิต​ของ​คน​ไม่‍ได้​อยู่​ที่​การ​มี​ของ​ฟุ่ม‌เฟือย” แล้ว​พระ‍องค์​ตรัส​อุปมา​เรื่อง​หนึ่ง​ให้​เขา​ฟัง​ว่า “ไร่‍นา​ของ​เศรษฐี​คน​หนึ่ง​เกิด‍ผล​บริ‌บูรณ์​มาก เศรษฐี​คน​นั้น​จึง​คิด​ใน​ใจ​ว่า ‘ข้า​จะ​ทำ​อย่าง‍ไร​ดี? เพราะ‍ว่า​ข้า​ไม่‍มี​ที่​ที่​จะ​เก็บ​พืช‍ผล​ของ​ข้า’ เขา​จึง​คิด​ว่า ‘ข้า​จะ​ทำ​อย่าง‍นี้ คือ​จะ​รื้อ​ยุ้ง‍ฉาง​ของ​ข้า​และ​จะ​สร้าง​ใหม่​ให้​ใหญ่​โต​ขึ้น แล้ว​ข้า​จะ​รวบ‍รวม​ข้าว​และ​สมบัติ​ทั้ง‍หมด​ของ​ข้า​ไว้​ที่​นั่น แล้ว​จะ​บอก​กับ​จิต‍ใจ​ของ​ข้า​ว่า “จิต‍ใจ​เอ๋ย เจ้า​มี​ทรัพย์‍สมบัติ​มาก​เก็บ​ไว้​พอ​หลาย​ปี จง​อยู่​สบาย กิน ดื่ม และ​รื่น‍เริง​เถิด” ’ แต่​พระ‍เจ้า​ตรัส​กับ​เขา​ว่า ‘โอ คน‍โง่ ใน​คืน​วัน‍นี้​ชีวิต​ของ​เจ้า​จะ​ต้อง​เรียก​เอา​ไป​จาก​เจ้า แล้ว​ของ​ที่​เจ้า​รวบ‍รวม​ไว้​นั้น​จะ​เป็น​ของใคร? คน​ที่​สะสม​ทรัพย์‍สมบัติ​ไว้​สำหรับ​ตัว และ​ไม่‍ได้​มั่ง‍มี​ฝ่าย​พระ‍เจ้า​ก็​เป็น​เช่น​นั้น​แหละ”​ (ลูกา 12:13-21)

ดังนั้น เพื่อความมั่นใจและปลอดภัย และไม่ต้องสูญเสียทุกสิ่งที่เราสะสมมาทั้งชีวิตแบบเศรษฐีโง่ในเรื่องนี้ ขอให้เราเพิ่มพูนสิ่งที่เรามี ด้วยการแบ่งปันหรือให้ออกไป (ก่อนที่เราจะตาย) ให้มากที่สุดแก่ผู้ที่จำเป็นจริง ๆ !

…จะดีไหมครับ?

 

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/ lifeanswer

(Cr.ภาพ printablecolouringpages.co.uk)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ความละโมบของมนุษย์

ความโลภ

“พิภพ โลกได้จัดเตรียมทุกสิ่งไว้เพียงพอ เพื่อสนองตอบอย่างน่าพอใจต่อทุก ๆ ความจำเป็นของมนุษย์ แต่ไม่ใช่ต่อทุก ๆ ความละโมบของมนุษย์”  -มหาตมะ คานธี-

(Earth provides enough to satisfy every man’s needs, but not every man’s greed.)  -Mahatma Gandhi-

หากมนุษย์ไม่มีความละโมบ โลกนี้จะเป็นดุจสวรรค์ ที่มีทุกอย่างที่มนุษย์ต้องการไว้สนองอย่างเหลือล้น

ตาม ธรรมชาติที่พระเจ้าทรงออกแบบไว้ พระองค์ได้ทรงวางระบบนิเวศที่จะเกื้อกูล และเกื้อหนุนให้ทุกชีวิตในโลกนี้อยู่กันได้อย่างกลมกลืน และสมดุลตลอดไปชั่วกาลนาน แต่เพราะความละโมบโลภมาก ทำให้มนุษย์เสพและบริโภคทรัพยากรตามธรรมชาติกันอย่างตะกละตะกราม จนทำลายระบบนิเวศ หรือห่วงโซ่อาหาร รวมทั้ง บรรยากาศของโลก เป็นเหตุให้โลกร้อนผิดปกติและก่อเกิดความปั่นป่วน จนโลกเป็นเหมือนคนป่วยที่ยากจะรักษาให้หายในทุกวันนี้

เพราะความละโมบ โลภมากโดยแท้จริง ทำให้มนุษย์ขัดแย้งต่อสู้ทำลายทุกอย่างและทุกคนที่ขวางหน้า จนถึงขั้นเข่นฆ่าทำลายล้างกันอย่างน่าเวทนา นอกจากนั้น ความมูมมามในการบริโภคของมนุษย์ยังก่อเกิดโรคร้ายที่ทำลายสุขภาพและชีวิตของ มนุษย์เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากโรคอ้วน โรคหัวใจ และมะเร็งร้ายต่าง ๆ ใช่แล้ว มนุษย์และโลกนี้ กำลังได้รับผลกระทบจากความละโมบของตัวมนุษย์เอง!

บางคนมีมากเกินไป และบางคนมีไม่เพียงพอ

ความ โลภของมนุษย์เป็นเหตุให้ คนที่มีมากกลับต้องการมากยิ่งขึ้นไปอีก จึงมักกดขี่ข่มเหงแย่งชิงทรัพยากรจากคนอื่นด้วยวิธีการต่าง ๆ คนที่มีน้อย ก็ต้องดิ้นรน ต่อสู้เพื่อความอยู่รอด และบางครั้งก็ต้องลุกขึ้นมาทำลายล้างแย่งชิงทรัพยากรมาจากผู้ที่ครอบครอง มากกว่าสงครามจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้!

สำหรับคนที่ละโมบโลภ มากนั้น ต่อให้คุณยอมมอบทุกสิ่งให้เขาครอบครอง เขาก็ยังคงรู้สึกว่าไม่เพียงพอ เขายังจะมีความอยากที่จะได้มากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น อยู่ตลอดเวลา และหากว่าเขาได้อำนาจมาอยู่ในมือด้วยละก็ เมื่อนั้น เขาจะยิ่งลงมือกอบโกยยึดครองอย่างบ้าคลั่งมากกว่าเดิม

อำนาจจึงเป็นตัวเปิดเผยให้เราเห็นนิสัยแห่งความละโมบในบุคคลแต่ละคนได้อย่างชัดเจน

ดุจดังที่อดีตประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น เคยกล่าวไว้ว่า…

“แทบทุกคนสามารถยืนหยัดรับมือความยากลำบากได้แต่ถ้าคุณต้องการทดสอบลักษณะนิสัยของคนใดคนหนึ่งก็จงมอบอำนาจให้แก่เขา!”

(Nearly all men can stand adversity, but it you want to test a man’s character, give him power.)  -Abraham Lincoln-

ดังนั้น หากเราต้องการจะระงับยับยั้งหรือยุติความละโมบโลภมากนี้ เราต้องนำคนจำนวนมากให้เข้ามาหาและรู้จักพระเจ้า ผู้ทรงจัดเตรียม จนพวกเขาเชื่อศรัทธาและวางใจในพระองค์ให้พระองค์ทรงนำชีวิตของเขา อันเป็นเหตุที่ทำให้พวกเขาสามารถลดความละโมบลงเพราะมั่นใจว่า พระเจ้าได้จัดเตรียมสิ่งที่ประเสริฐยิ่งกว่าสิ่งที่เขาอยากได้มากมายนักให้ แก่พวกเขาแล้ว

ดังคำของผู้เขียนพระธรรมฮีบรูที่ว่า…

“เพราะ​พระ‍เจ้า​ทรง​จัด‍เตรียม​สิ่ง​ที่​ประ‌เสริฐ​ยิ่ง‍กว่า‍นั้น​ไว้​สำหรับ​พวก‍เรา…” (ฮีบรู 11:40)

ใช่ครับ !

คน ที่รู้จักกับพระเจ้านั้นไม่จำเป็นต้องละโมบโลภมากอีกเลย เพราะเขารู้แล้วว่า พระเจ้าจะจัดเตรียมสิ่งจำเป็นให้แก่พวกเขา แบบดีกว่าที่พวกเขาคิดไม่ถึง ดัง​ที่​มี​เขียน​ไว้​ว่า

“สิ่ง ​ที่​ตา​ไม่​เห็น หู​ไม่‍ได้‍ยิน และ​สิ่ง​ที่​ใจ​มนุษย์​คิด​ไม่​ถึง คือ​สิ่ง​ที่​พระ‍เจ้า​ทรง​จัด‍เตรียม​ไว้​สำหรับ​คน​ทั้ง‍หลาย​ที่​รัก​ พระ‍องค์”  (1โครินธ์ 2:9)

วันนี้ … คุณเชื่อเช่นนี้ และพร้อมที่จะละวางความโลภโมโทสันของคุณลงหรือไม่?

ตอบที

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer