Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม: “พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่อง Nourishing “ไว้บ้างหรือไม่และอย่างไร?”

ตอบ :”คำว่า Nourishing หรือ Nourishment มีหมายความ คือ

“(การ)บำรุง(ใครบางคนหรือบางสิ่ง) หรือ หล่อเลี้ยง(บางสิ่งบางอย่างหรือใครบางคน) ซึ่งคือให้อาหารหรือสารอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและมีสุขภาพหรือสภาพที่ดี” (of food) containing substances necessary for growth, health, and good condition.)

ในพระคัมภีร์ กล่าวถึงการที่พระเจ้าทรงรักและห่วงใยประชากรของพระองค์ และทรงแต่งตั้งผู้เลี้ยงหรือผู้ดูแลที่จะคอยนำ บำรุงหรือเลี้ยงดูพวกเขาให้เจริญเติบโตขึ้นอย่างมีสุขภาพที่ดี ทั้งกาย ใจและวิญญาณ

  1. พระเจ้าจะตั้งผู้เลี้ยง ขึ้นมาคอยบำรุงหล่อเลี้ยงประชากรของพระองค์

“และเราจะให้บรรดาผู้เลี้ยงแกะคนที่เราพอใจแก่พวกเจ้า ผู้ซึ่งจะเลี้ยงเจ้าด้วยความรู้และความเข้าใจ” ~เยเรมีย์ 3:15 THSV11

  • 1.เหมือนที่พระเจ้าทรงเลือกดาวิด

“และเราจะตั้งผู้เลี้ยงคนหนึ่งไว้เหนือเขาทั้งหลาย คือดาวิดผู้รับใช้ของเราและเขาจะเลี้ยงดูพวกเขา เขาจะเลี้ยงดูพวกเขาและเป็นผู้เลี้ยงของเขาทั้งหลาย” ~เอเสเคียล 34:23 THSV11

“พระองค์ทรงเลือกดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ ทรงพาท่านมาจากคอกแกะ พระองค์ทรงพาท่านมาจากการดูแลแม่แกะที่มีลูกอ่อน ให้เป็นผู้เลี้ยงดูยาโคบประชากรของพระองค์ดุจเลี้ยงแกะ คืออิสราเอลมรดกของพระองค์ ท่านจึงเลี้ยงดูพวกเขาด้วยใจเที่ยงธรรม และนำเขาไปด้วยมือช่ำชอง” ~สดุดี 78:70-72 THSV11

  • 2.เหมือนผู้เลี้ยงคนอื่นๆ ตลอดประวัติศาสตร์

“เราจะตั้งผู้เลี้ยงแกะไว้เหนือเขา ผู้จะเลี้ยงดูเขา และเขาทั้งหลายจะไม่ต้องกลัวหรือครั่นคร้ามหรือขาดแคลนเลย” พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ” ~เยเรมีย์ 23:4 THSV11

  1. พระเจ้าประสงค์ที่จะเลี้ยงดู หรือบำรุงเลี้ยงประชากรของพระองค์ด้วยความรักและความยุติธรรม

“เราจะเสาะหาแกะที่หาย เราจะนำตัวที่หลงกลับมา เราจะพันผ้าให้แกะที่กระดูกหัก และเราจะเสริมกำลังแกะที่อ่อนเพลีย แต่เราจะทำลายแกะที่อ้วนและแข็งแรง เราจะเลี้ยงดูเขาด้วยความยุติธรรม”  ~เอเสเคียล 34:16 THSV11

  1. พระเจ้าบัญชาให้คนของพระเจ้า เลี้ยงดู หรือ บำรุงเลี้ยง คนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พี่น้องที่ยากจนและช่วยตัวเองไม่ได้ (เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ผู้ใดอื่น)

“ถ้าพี่น้องของเจ้ายากจนลงและเลี้ยงตนเองท่ามกลางพวกเจ้าไม่ได้ เจ้าจะต้องเลี้ยงดูเขาให้เขาอยู่กับเจ้าอย่างคนต่างด้าวและแขกเมือง” ~เลวีนิติ 25:35 THSV11

“ถ้าหญิงที่มีความเชื่อคนไหนมีญาติพี่น้องที่เป็นแม่ม่าย ก็ให้เธอช่วยเลี้ยงดูพวกนาง และอย่าให้เป็นภาระของคริสตจักรเลย เพื่อคริสตจักรจะได้สงเคราะห์พวกที่เป็นแม่ม่ายไร้ที่พึ่งจริงๆ” ~1 ทิโมธี 5:16 THSV11

  1. พระเจ้ากำชับเป็นพิเศษให้สามีบำรุงเลี้ยงภรรยา ลูก และคนในบ้านอย่างทะนุถนอม

“ในทำนองเดียวกัน สามีต้องรักภรรยาของตนเหมือนรักร่างกายของตัวเอง คนที่รักภรรยาของตัวเองก็รักตัวเองด้วย เพราะว่าไม่มีใครเกลียดชังกายของตนเอง มีแต่เลี้ยงดูและทะนุถนอม เหมือนที่พระคริสต์ทรงทำแก่คริสตจักร” ~เอเฟซัส 5:28-29 THSV11

  1. พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้เลี้ยง และเป็นผู้บำรุงหล่อเลี้ยงที่ดี ของผู้ติดตามพระองค์

“เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี เรารู้จักแกะของเราและแกะของเราก็รู้จักเรา”    ~ยอห์น 10:14 THSV11

  1. พระเยซูคริสต์ บัญชาให้สาวกของพระองค์ เลี้ยงดู ทั้งแกะและลูกแกะของพระองค์ด้วยความรัก

“พระองค์ตรัสกับเขาครั้งที่สามว่า “ซีโมนบุตรยอห์นเอ๋ย ท่านรักเราหรือ?” เปโตรเสียใจมากที่พระองค์ตรัสถามเขาครั้งที่สามว่า “ท่านรักเราหรือ?” เขาจึงทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงรู้ดีว่าข้าพระองค์รักพระองค์” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงเลี้ยงดูแกะของเราเถิด” ~ยอห์น 21:17 THSV11

  1. เราต้องอยู่ท่ามกลางพี่น้องของเรา(ในคริสตจักร)ดุจแม่ที่เลี้ยงดูลูก

“เราในฐานะอัครทูตของพระคริสต์จะเรียกร้องสิ่งเหล่านี้ก็ได้ แต่เราอยู่ในหมู่พวกท่านด้วยความสุภาพอ่อนโยน เหมือนมารดาที่เลี้ยงดูลูกของตน” ~1 เธสะโลนิกา 2:7 THSV11

  1. เราต้องดูแล ฟูมฟัก เลี้ยงดู บำรุงเลี้ยงคนที่อยู่ในการดูแลของเราด้วยความเต็มใจ

“จงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าที่อยู่ท่ามกลางพวกท่าน [โดยเอาใจใส่ดูแล] ไม่ใช่ด้วยความฝืนใจ แต่ด้วยความเต็มใจ [ตามพระประสงค์ของพระเจ้า] ไม่ใช่ด้วยใจโลภในทรัพย์สิ่งของ แต่ด้วยใจกระตือรือร้น”  ~1 เปโตร 5:2 THSV11

  1. เราต้องไม่ปล่อยให้ผู้ใด เป็นเหตุที่ทำให้คนทั่วทั้งคริสตจักรไม่ได้รับการบำรุงเลี้ยง

“อย่าให้ใครตัดสิทธิ์พวกท่านด้วยการทำทีถ่อมใจและด้วยการนมัสการพวกทูตสวรรค์ พวกเขาใฝ่ฝันอยู่ในนิมิต หยิ่งผยองอย่างไม่มีเหตุตามความคิดฝ่ายเนื้อหนังของเขา และไม่ได้ยึดมั่นในพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นศีรษะ ซึ่งเป็นเหตุให้ทั่วทั้งร่างกายได้รับการบำรุงเลี้ยง และประสานเข้าด้วยกันโดยข้อและเอ็นต่างๆ จึงได้เจริญขึ้นตามที่พระเจ้าทรงให้เจริญขึ้นนั้น” ~โคโลสี 2:18-19 THSV11                                                                                           

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

 

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม:    พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่อง  การที่เรามีชีวิตอยู่โดยที่เราไม่ได้เป็นคนบริหารจัดการชีวิตของเราเอง แต่เป็นพระเจ้าหรือพระเยซูคริสต์ ทรงกระทำกิจอยู่ในตัวเรา หรือผ่านตัวเราไว้ แบบ “Not Me but JESUS!” ไว้อย่างไรบ้าง?”

คำตอบ: “พระคัมภีร์ บอกเราว่า

  1. เราควรตระหนักว่า พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในผู้เชื่อ คือพวกเราแล้ว

“จงพิจารณาตัวเองดูว่าท่านทั้งหลายดำรงอยู่ในความเชื่อหรือไม่ จงพิสูจน์ตัวเอง พวกท่านไม่ตระหนักว่าพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในท่านทั้งหลายหรือ? นอกจากพวกท่านไม่สามารถผ่านการพิสูจน์” ~2 โครินธ์ 13:5 THSV11

  1. เราไม่ได้มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในเรา

“ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า” ~กาลาเทีย 2:20 THSV11

  1. เราประสงค์ และสามารถทำตามชอบพระทัยของพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงทำการอยู่ภายในเรา

“เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงทำการอยู่ภายในพวกท่าน ให้ท่านมีความประสงค์และมีความสามารถทำตามชอบพระทัยของพระองค์” ~ฟีลิปปี 2:13 THSV11

  1. เราต้องรู้ว่า พระคริสต์สถิตในหมู่พวกผู้เชื่ออย่างเรานี้ คือ ความล้ำลึกที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

“พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะให้พวกเขารู้ว่า ความล้ำลึกนี้มีศักดิ์ศรีอุดมเพียงไรในหมู่คนต่างชาติ นั่นคือพระคริสต์สถิตในพวกท่าน อันเป็นความหวังที่จะได้รับศักดิ์ศรี” ~โคโลสี 1:27 THSV11

  1. เราควรถวายเกียรติแด่พระเจ้าโดยฤทธานุภาพของพระเจ้าที่ทำกิจอยู่ภายในเรา

“ขอให้พระเกียรติมีแด่พระองค์ผู้ทรงสามารถทำทุกสิ่งได้มากยิ่งกว่าที่เราทูลขอหรือคิด โดยฤทธานุภาพที่ทำกิจอยู่ภายในเรา” ~เอเฟซัส 3:20 THSV11

  1. เรามีสงครามภายในตัวของเราระหว่างกฎแห่งจิตใจกับกฎแห่งบาป

“ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพบว่ามีกฎธรรมดาอย่างหนึ่ง คือเมื่อไรที่ข้าพเจ้าตั้งใจจะทำความดี ก็มักจะเลือกทำชั่วซึ่งอยู่ใกล้ตัว แต่ข้าพเจ้าเห็นมีกฎอีกอย่างหนึ่งอยู่ในอวัยวะของข้าพเจ้า ซึ่งต่อสู้กับกฎแห่งจิตใจของข้าพเจ้า และชักนำให้อยู่ใต้บังคับกฎแห่งบาป ซึ่งอยู่ในอวัยวะของข้าพเจ้า โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชอะไรเช่นนี้? ใครจะช่วยให้พ้นจากร่างกายแห่งความตายนี้” ~โรม 7:21, 23-24 THSV11

  1. เราควรอธิษฐานทูลขอความเข้มแข็งภายในจิตวิญญาณให้แก่พี่น้องของเราคนอื่นๆ ด้วย

“ข้าพเจ้าทูลขอให้ประทานความเข้มแข็งภายในจิตใจด้วยฤทธานุภาพที่มาทางพระวิญญาณของพระองค์แก่พวกท่าน ตามพระสิริอันอุดมของพระองค์” ~เอเฟซัส 3:16 THSV11

  1. เราสามารถพอใจและรับมือกับทุกวิกฤติในชีวิต ได้โดยพระคุณของพระเจ้าที่อยู่ในเรา

“แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าแล้วว่า “การมีพระคุณของเราก็เพียงพอกับเจ้า เพราะว่าความอ่อนแอมีที่ไหน ฤทธานุภาพของเราก็ปรากฏเต็มที่ที่นั่น” เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจะอวดบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้ามากขึ้นด้วยความยินดีอย่างยิ่ง เพื่อว่าฤทธานุภาพของพระคริสต์จะอยู่ในข้าพเจ้า เพราะเหตุนี้ เพื่อเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงพอใจในบรรดาความอ่อนแอ ในการถูกเยาะเย้ยต่างๆ ในความลำบาก ในการถูกข่มเหง ในเหตุวิบัติต่างๆ เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะเข้มแข็งมากเมื่อนั้น” ~2 โครินธ์ 12:9-10 THSV11

  1. เราสามารถเผชิญกับทุกสิ่งทุกสถานการณ์โดยพระคริสต์ผู้สถิตและทรงเสริมกำลังเรา

“ข้าพเจ้าเผชิญได้ทุกอย่างโดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า” ~ฟีลิปปี 4:13 THSV11

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม:   “พระคัมภีร์ พูดถึง ‘แม่ ‘หรือ ‘มารดา’ (mother )ไว้อย่างไรบ้าง?”

ตอบ: “พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องของ แม่(Mother)ไว้มาก อาทิ

  1. แม่จะต้องทุกข์เจ็บปวดก่อนคลอด แต่จะชื่นชมเมื่อได้คลอดลูกออกมาแล้ว

“เมื่อผู้หญิงจะคลอดบุตร นางก็มีแต่ความทุกข์เพราะถึงกำหนด แต่เมื่อคลอดบุตรแล้ว นางก็ไม่คิดถึงความเจ็บปวดนั้นเลย เพราะมีความชื่นชมยินดีที่คนหนึ่งเกิดมาในโลก”  ~ยอห์น 16:21 THSV11

  1. แม่จะปกป้องลูกที่คลอดออกมา โดยไม่กลัวเกรงสิ่งใด

“โดยความเชื่อ เมื่อโมเสสเกิดมา บิดามารดาจึงซ่อนท่านไว้ถึงสามเดือน เพราะเห็นว่าท่านเป็นเด็กน่ารัก และบิดามารดาของท่านไม่ได้กลัวคำสั่งของกษัตริย์เลย” ~ฮีบรู 11:23 THSV11

  1. ลูกสมควรเชื่อฟังแม่ในทุกเรื่องที่ดี

“เพราะฉะนั้น ลูกเอ๋ยจงเชื่อฟังตามที่แม่จะสั่งเจ้า” ~ปฐมกาล 27:8 THSV11

“เพราะฉะนั้นลูกเอ๋ยเชื่อฟังแม่ ลุกขึ้นหนีไปหาลาบันพี่ชายของแม่ที่ฮาราน” ~ปฐมกาล 27:43 THSV11

“แล้วพระกุมารก็ลงไปกับบิดามารดา ยังเมืองนาซาเร็ธ และยอมเชื่อฟังเขาทั้งสอง ส่วนมารดาเก็บเรื่องราวทั้งหมดนั้นไว้ในใจ” ~ลูกา 2:51 THSV11

  1. แม่ไม่ควรลำเอียง หรือเข้าข้างลูกคนใดคนหนึ่งมากเกินไป

“‘จงนำเนื้อมาให้พ่อและจัดอาหารอร่อยให้พ่อกิน และพ่อจะอวยพรเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ก่อนพ่อตาย’ มารดาพูดกับเขาว่า “ลูกเอ๋ย ขอให้คำสาปแช่งของเจ้าตกอยู่กับแม่เถิด เชื่อฟังแม่เท่านั้น ไปนำมาให้แม่เถิด”” ~ปฐมกาล 27:7, 13 THSV11

  1. แม่ไม่ควรขอ หรือสั่งให้ลูกกระทำในสิ่งที่ไม่ดี หรือไม่เหมาะสม

“นางจึงออกไปถามมารดาว่า “ลูกจะขอสิ่งใดดี?” มารดาจึงตอบว่า “จงขอศีรษะของยอห์นผู้ให้บัพติศมาเถิด”” ~มาระโก 6:24 THSV11

  1. แม่ต้องเตรียมใจที่ลูกในยุคสุดท้ายจะไม่เชื่อฟังแม่ และอกตัญญู

“แต่จงเข้าใจข้อนี้คือ วาระสุดท้ายนั้นจะเป็นเวลาที่น่ากลัว เพราะผู้คนจะเห็นแก่ตัว รักเงินทอง โอ้อวด หยิ่งยโส ชอบดูหมิ่น ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ อกตัญญู ชั่วร้าย” ~2 ทิโมธี 3:1-2 THSV11

“ส่อเสียด เกลียดชังพระเจ้า ดูถูกคนอื่น เย่อหยิ่งจองหอง อวดตัว คิดทำชั่วแปลกๆ ไม่เชื่อฟังบิดามารดา” ~โรม 1:30 THSV11

  1. ลูกที่ดื้อดึงไม่เชื่อฟังแม่ จะได้รับการลงโทษจากชุมชนและสังคม

ถ้าชายคนใดมีบุตรที่ดื้อและไม่อยู่ในโอวาท ไม่เชื่อฟังเสียงของบิดาของตนหรือเสียงของมารดาของตน แม้ว่าบิดามารดาจะได้ตีสอน เขาก็ไม่ยอมฟัง ให้บิดามารดาจับตัวเขาออกมาหาพวกผู้ใหญ่ของเมืองนั้น ณ ประตูเมืองของเขา และพูดกับพวกผู้ใหญ่ของเมืองนั้นว่า ‘บุตรชายของเราคนนี้เป็นคนดื้อและไม่อยู่ในโอวาท ไม่เชื่อฟังเสียงเรา เป็นคนตะกละและขี้เมา’ แล้วผู้ชายทุกคนในเมืองนั้นจะเอาหินขว้างเขาให้ตาย ดังนั้นท่านจะได้กำจัดความชั่วเสียจากท่ามกลางท่าน คนอิสราเอลทั้งสิ้นจะได้ยินและเกรงกลัว” ~เฉลยธรรมบัญญัติ 21:18-21 THSV11

  1. ลูกต้องให้เกียรติแม่

“เพราะโมเสสสั่งไว้ว่า ‘จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’ และ ‘ใครประณามบิดามารดาจะต้องมีโทษถึงตาย’” ~มาระโก 7:10 THSV11

“จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า เพื่ออายุของเจ้าจะได้ยืนยาวบนแผ่นดิน ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าประทานแก่เจ้า” ~อพยพ 20:12 THSV11

  1. แม่ต้องทำสิ่งดีๆที่ทำให้ลูกๆ และสามีมีเหตุที่จะชมเชยได้

“ลูกๆ ของเธอตื่นขึ้นมาก็ชมเชยเธอ สามีของเธอก็สรรเสริญเธอว่า “สตรีมากมายทำได้ดีเลิศ แต่เธอเลิศยิ่งกว่าเขาทั้งหมด”” ~สุภาษิต 31:28-29 THSV11 

  1. ลูกต้องไม่ดูหมิ่นแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อแม่แก่

“บุตรชายที่มีปัญญาทำให้บิดายินดี แต่คนโง่ดูหมิ่นมารดาของตน” ~สุภาษิต 15:20 THSV11

“จงฟังบิดาผู้ให้กำเนิดเจ้า และอย่าดูหมิ่นมารดาเมื่อนางแก่” –สุภาษิต 23:22 THSV11

  1. ลูกต้องไม่ทำตัวโง่ และเป็นความขมขื่นของแม่

“บุตรชายโง่เป็นความโศกสลดแก่บิดา และเป็นความขมขื่นแก่มารดา” ~สุภาษิต 17:25 THSV11

  1. ลูกต้องไม่หมิ่นประมาทแม่

“ผู้ที่หมิ่นประมาทบิดาของตนหรือมารดาของตนจะถูกสาปแช่ง’ และให้ประชาชนทั้งปวงกล่าวว่า ‘อาเมน’” ~เฉลยธรรมบัญญัติ 27:16 THSV11

  1. ลูกต้องไม่แช่งด่าแม่

“ผู้ใดด่าแช่งบิดามารดาของตน ผู้นั้นต้องถูกปรับโทษถึงตาย” ~อพยพ 21:17 THSV11

“คนที่แช่งบิดาหรือมารดาของตน ประทีปของเขาจะดับมืดมิด” -สุภาษิต 20:20 THSV11

  1. ลูกต้องไม่ทำร้าย ทุบตีแม่

“ผู้ใดทุบตีบิดามารดาของตน ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงตาย” –อพยพ 21:15 THSV11

  1. ลูกต้องไม่ล่วงละเมิดทางเพศต่อแม่

“ห้ามเปิดของลับของบิดาเจ้า คือของลับมารดาเจ้า เพราะนางเป็นแม่ของเจ้า ห้ามเปิดของลับของนาง” ~เลวีนิติ 18:7 THSV11

  1. ลูกควรทำให้แม่เปรมปรีดิ์ในชีวิต

“จงให้บิดามารดาของเจ้ายินดี จงให้ผู้ที่คลอดเจ้าเปรมปรีดิ์” –สุภาษิต 23:25 THSV11

  1. ลูกต้องไม่ทิ้งคำสอนของแม่

“ลูกเอ๋ย จงฟังคำสั่งสอนของพ่อเจ้า และอย่าทิ้งคำสอนของแม่เจ้า”  ~สุภาษิต 1:8 THSV11

  1. ลูกๆต้องรู้จักตอบแทนพระคุณแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม่ม่าย

“ถ้าแม่ม่ายคนไหนมีลูกหรือหลาน ก็ให้เขาทั้งหลายเรียนรู้การทำหน้าที่ในทางพระเจ้าต่อครอบครัวของตนก่อน และให้ตอบแทนคุณบิดามารดา เพราะว่าการกระทำเช่นนี้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า” ~1 ทิโมธี 5:4 THSV11

“ถ้าแม่ม่ายคนไหนมีลูกหรือหลาน ก็ให้เขาทั้งหลายเรียนรู้การทำหน้าที่ในทางพระเจ้าต่อครอบครัวของตนก่อน และให้ตอบแทนคุณบิดามารดา เพราะว่าการกระทำเช่นนี้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า” ~1 ทิโมธี 5:4 THSV11

  1. แม่ควรเข้าใจและสนับสนุนลูกในการรับใช้พระเจ้า

“พระเยซูตอบว่า “พ่อกับแม่ตามหาลูกทำไม? พ่อกับแม่ไม่รู้หรือว่าลูกต้องอยู่ในพระนิเวศของพระบิดา?”” ~ลูกา 2:49 THSV11

“วันที่สามมีงานสมรสที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี มารดาของพระเยซูก็อยู่ที่นั่น พระเยซูและสาวกของพระองค์ได้รับเชิญไปในงานนั้น เมื่อเหล้าองุ่นหมดแล้ว มารดาของพระเยซูพูดกับพระองค์ว่า “เขาไม่มีเหล้าองุ่น” พระเยซูตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย ไม่ใช่ธุระของท่าน เวลาของเรายังมาไม่ถึง” มารดาของพระองค์จึงบอกพวกคนใช้ว่า “จงทำตามที่ท่านสั่งเจ้าเถิด”” ~ยอห์น 2:1-5 THSV11

  1. แม่ต้องเตรียมพร้อมในวันที่ลูกต้องจากไป

“เพราะเหตุนี้ผู้ชายจึงต้องละบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยา” ~มาระโก 10:7 THSV11

  1. ลูกต้องเชื่อวางใจในพระเจ้า แม้ถูกแม่ทอดทิ้ง

“แม้บิดาและมารดาของข้าพระองค์ทอดทิ้งข้าพระองค์ แต่พระยาห์เวห์จะทรงยกข้าพระองค์ขึ้น” ~สดุดี 27:10 THSV11 

  1. ลูกที่ยอมสละแม่เพื่อพระเจ้า จะได้รับการประทานแม่ใหม่ๆอีกหลายคนทดแทน

“คนนั้นจะได้รับผลตอบแทนร้อยเท่าในยุคนี้คือ บ้าน พี่น้องชายหญิง มารดา ลูก และไร่นา พร้อมการข่มเหงด้วย และในยุคหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์” ~มาระโก 10:30 THSV11

“เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นมารดาของพระองค์ และสาวกคนที่พระองค์ทรงรักยืนอยู่ใกล้พระองค์ จึงตรัสกับมารดาของพระองค์ว่า “หญิงเอ๋ย นี่คือบุตรของท่าน”” ~ยอห์น 19:26 THSV11

“แล้วพระองค์ตรัสกับสาวกคนนั้นว่า “นี่คือมารดาของท่าน” แล้วสาวกคนนั้นก็รับมารดาของพระองค์มาอยู่ในบ้านของตนตั้งแต่เวลานั้น” ~ยอห์น 19:27 THSV11

  1. เราที่อยู่ฝ่ายพระเจ้า จะมีคนที่ทำตามพระทัยพระเจ้า มาเป็นแม่ฝ่ายจิตวิญญาณเพิ่มขึ้น

“เพราะว่าใครก็ตามที่ทำตามพระทัยพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา” ~มัทธิว 12:50 THSV11

“คนใดที่ทำตามพระทัยของพระเจ้า คนนั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา”” ~มาระโก 3:35 THSV11

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม :  ”พระคัมภีร์กล่าวอะไรเกี่ยวกับ” Morality “(มีศีลธรรม) ที่ภาษาไทย แปลออกมาหลากหลาย อาทิ  ความดีงาม ความมีศีลธรรมจรรยา คุณธรรม ความรู้สึกผิดชอบ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี และหลักประพฤติปฏิบัติที่ดี?”

 คำตอบ:

  1. มนุษย์เริ่มต้นเป็นคนไร้ศีลธรรมเมื่อเขาไม่เชื่อในพระเจ้าแห่งศีลธรรม

“คนโง่รำพึงในใจตนว่า “ไม่มีพระเจ้า” เขาทั้งหลายก็เลวทรามและทำความอยุติธรรมที่น่าเกลียดน่าชัง ไม่มีผู้ใดทำดี” ~สดุดี 53:1 THSV11

  1. พระเจ้าเสียพระทัยในความไร้ศีลธรรมของมนุษย์ จึงทรงล้างโลกไปครั้งหนึ่ง

“พระเจ้าทอดพระเนตรแผ่นดินก็ทรงเห็นว่าเสื่อมทราม เพราะมนุษย์ทั้งหมดประพฤติตนเสื่อมทรามบนแผ่นดิน” ~ปฐมกาล 6:12 THSV11

“พระยาห์เวห์ทรงเห็นว่าความชั่วร้ายของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน และทรงเห็นว่าเค้าความคิดในใจทั้งหมดของเขาล้วนเป็นเรื่องชั่วร้ายตลอดเวลา พระยาห์เวห์เสียพระทัยที่ทรงสร้างมนุษย์ไว้บนแผ่นดินและโทมนัสยิ่งนัก พระยาห์เวห์จึงตรัสว่า “เราจะกวาดล้างมนุษย์ที่เราได้สร้างมานี้ไปเสียจากแผ่นดิน ทั้งมนุษย์และสัตว์ใช้งาน กับสัตว์เลื้อยคลานและนกในอากาศด้วย เพราะว่าเราเสียใจที่ได้สร้างพวกเขา”” ~ปฐมกาล 6:5-7 THSV11

  1. พระเจ้าทรงประสงค์ให้มนุษย์ปฏิบัติต่อกันอย่างมีศีลธรรม

“มนุษย์เอ๋ย พระองค์ทรงสำแดงแก่เจ้าแล้วว่าอะไรดี? และพระยาห์เวห์ทรงประสงค์อะไรจากเจ้า? นอกจากให้ทำความยุติธรรมและให้รักความเมตตา และให้ดำเนินชีวิตไปกับพระเจ้าของเจ้าด้วยความถ่อมใจ” ~มีคาห์ 6:8 THSV11

  1. มนุษย์กลับยังคงประพฤติตนอย่างไร้ศีลธรรมเช่นเดิมตลอดมา

“ท่านจึงเป็นคนไม่สะอาดด้วยการกระทำของท่าน และประพฤติเยี่ยงโสเภณีในการกระทำของท่าน” ~สดุดี 106:39 THSV11

  1. พระเจ้าทรงกำชับไม่ให้คบหาสมาคมกับคนที่มีชื่อว่าเป็นคนของพระเจ้าแต่ไร้ศีลธรรม

“แต่บัดนี้ข้าพเจ้ากำลังเขียนบอกพวกท่านว่า จงอย่าคบคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องแล้ว แต่ยังล่วงประเวณี โลภ ไหว้รูปเคารพ ชอบกล่าวร้าย เป็นคนขี้เมา และเป็นคนฉ้อโกง แม้จะกินด้วยก็อย่าเลย” ~1 โครินธ์ 5:11 THSV11

  1. พระเจ้าไม่ประสงค์ให้เราพูดสอนเรื่องศีลธรรม แต่กลับไม่ปฏิบัติตามสิ่งที่รู้หรือเชื่อ

“พี่น้องของข้าพเจ้า แม้ใครจะกล่าวว่าตนมีความเชื่อ แต่ไม่ได้ประพฤติตามจะมีประโยชน์อะไร? ความเชื่อนั้นจะช่วยให้เขารอดได้หรือ?” ~ยากอบ 2:14 THSV11

  1. เราต้องไม่ปฏิบัติต่อกันอย่างไร้ศีลธรรม หรือผิดศีลธรรม

“พี่น้องเอ๋ย อย่ากล่าวร้ายกันและกัน คนที่กล่าวร้ายพี่น้องหรือตัดสินพี่น้องของตน ก็กล่าวร้ายธรรมบัญญัติและตัดสินธรรมบัญญัติ ถ้าท่านตัดสินธรรมบัญญัติ ท่านก็ไม่ใช่ผู้ประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่เป็นผู้ตัดสิน” ~ยากอบ 4:11 THSV11

  1. พระคัมภีร์บอกเราว่า ในยุคสุดท้าย คนจะยิ่งประพฤติตนอย่างไร้ศีลธรรม

“ท่านเหล่านั้นบอกท่านว่า “ในวาระสุดท้ายจะมีคนที่ชอบเยาะเย้ยเกิดขึ้น ที่ดำเนินชีวิตตามความปรารถนาชั่วของตัวเอง” คนเหล่านี้คือคนที่ก่อให้เกิดความแตกแยก หมกมุ่นอยู่ในโลกียวิสัย และปราศจากพระวิญญาณ” ~ยูดา 1:18-19 THSV11

“ก่อนอื่นพึงรู้ข้อนี้คือ ในวาระสุดท้ายพวกที่ชอบเยาะเย้ยจะมาเยาะเย้ย และทำตามตัณหาของตนเอง” ~2 เปโตร 3:3 THSV11

  1. เราต้องพิสูจน์ว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าด้วยการประพฤติตนมีศีลธรรม

“เช่นนี้แหละ จึงเห็นได้ว่าใครเป็นลูกของพระเจ้า และใครเป็นลูกของมาร คือผู้ที่ไม่ได้ประพฤติชอบ และไม่รักพี่น้องของตน ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า” ~1 ยอห์น 3:10 THSV11

“ถ้าพวกท่านปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพระเจ้าอย่างแท้จริงตามพระคัมภีร์ที่ว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” พวกท่านก็ทำดี” ~ยากอบ 2:8 THSV11

“ข้าแต่พระยาห์เวห์ ผู้ใดจะอาศัยอยู่ในพลับพลาของพระองค์? ผู้ใดจะอยู่บนภูเขาบริสุทธิ์ของพระองค์? คือผู้ดำเนินชีวิตอย่างหาที่ติมิได้และทำสิ่งที่ชอบธรรม และพูดความจริงจากใจของตน ผู้ไม่ใช้ลิ้นของตนในการนินทาว่าร้าย ไม่ทำชั่วต่อเพื่อน และไม่เยาะเย้ยเพื่อนบ้านของตน” -สดุดี 15:1-3 THSV11

  1. เราต้องเป็นแบบอย่างในการเป็นคนมีศีลธรรมที่โดเด่นกว่าคนทั่วไป

“ท่านเองจงประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างในการดีทุกด้าน ในการสอนอย่างจริงใจ จริงจัง” ~ทิตัส 2:7 THSV11

  1. พระเจ้าจะให้คนมาเพิ่มในคริสตจักรมากขึ้น เมื่อเรามีศีลธรรมและประกาศข่าวประเสริฐ

“เพราะฉะนั้น คริสตจักรตลอดทั่วแคว้นยูเดีย กาลิลี และสะมาเรียก็เกิดความสงบสุขและเจริญเติบโต ต่างประพฤติตนด้วยความยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าและรับการหนุนใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ คริสตสมาชิกจึงยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น” ~กิจการ 9:31 THSV11

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

ถาม:  “พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องวุฒิภาวะฝ่ายวิญญาณ” (Spiritual Maturity) ไว้อย่างไรบ้าง?

ตอบ”พระคัมภีร์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องวุฒิภาวะ ดังกล่าวไว้ดังนี้:

1.เราควรกล่าวถึงพระปัญญาของพระเจ้าในท่ามกลางคนที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณ

“ถึงกระนั้นเรากล่าวถึงปัญญาในท่ามกลางคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว
(We do, however, speak a message of wisdom among the mature ) แต่ไม่ใช่ปัญญาของยุคนี้ หรือของอำนาจครอบครองยุคนี้ ซึ่งกำลังเสื่อมสูญไป แต่เรากล่าวถึงพระปัญญาของพระเจ้าซึ่งเป็นความล้ำลึก คือพระปัญญาที่ทรงซ่อนไว้นั้น และที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ก่อนปฐมกาล เพื่อการรับศักดิ์ศรีของเรา” ~1 โครินธ์ 2:6-7 THSV11

2.เราควรรับผิดชอบดูแลตัวเองให้ผ่านพ้นสภาวะความเป็นทารกฝ่ายวิญญาณ

“ถึงแม้ว่าขณะนี้ท่านทั้งหลายควรจะเป็นครูได้แล้ว แต่ท่านก็ต้องให้คนอื่นสอนท่านอีกในเรื่องหลักธรรมเบื้องต้นแห่งพระวจนะของพระเจ้า ท่านต้องการน้ำนมไม่ใช่อาหารแข็ง เพราะว่าทุกคนที่ยังกินน้ำนมนั้นยังไม่เข้าใจในเรื่องความชอบธรรม เพราะเขายังเป็นทารกอยู่ อาหารแข็งนั้นสำหรับผู้ใหญ่ (solid food is for the mature) สำหรับคนที่ฝึกฝนจนมีความสามารถแยกแยะดีชั่วได้แล้ว” ~ฮีบรู 5:12-14 THSV11

3.เราควรมีวุฒิภาวะฝ่ายวิญญาณ และไม่ทำให้ใครต้องมาเสียเวลากับเราในเรื่องนี้อีก

“เพราะฉะนั้นขอให้เราผ่านหลักคำสอนเบื้องต้นเกี่ยวกับพระคริสต์ ไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ (Therefore let us move beyond the elementary teachings about Christ and be taken forward to maturity) โดยไม่วางรากฐานซ้ำอีก คือเรื่องการกลับใจจากการประพฤติที่นำไปสู่ความตาย และเรื่องความเชื่อในพระเจ้า” ~ฮีบรู 6:1 THSV11

4.เราควรมีวุฒิภาวะฝ่ายจิตวิญญาณเมื่อเรามีความทรหดอดทนที่เกิดจากทดลองใจต่างๆ

“พี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อพวกท่านพบกับการทดลองใจต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง เพราะพวกท่านรู้ว่าการทดสอบความเชื่อของท่านนั้นทำให้เกิดความทรหดอดทน และจงให้ความทรหดอดทนนั้นมีผลอย่างสมบูรณ์ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนที่สมบูรณ์และดีพร้อม (Let perseverance finish its work so that you may be mature and complete) โดยไม่ขาดสิ่งใดเลย” ~ยากอบ 1:2-4 THSV11

5.เราควรเป็นผู้เตรียมหรือรับการเตรียมให้เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณที่รวมพลังเป็นหนึ่งในการรับใช้ด้วยความจริงและความรัก

“และพระองค์เองประทานให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์ เพื่อเตรียมธรรมิกชนสำหรับการปรนนิบัติและการเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อและในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า บรรลุถึงความเป็นผู้ใหญ่ คือโตเต็มถึงขนาดความบริบูรณ์ของพระคริสต์ (until we all reach unity in the faith and in the knowledge of the Son of God and become mature, attaining to the whole measure of the fullness of Christ.)(เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและพัดไปพัดมาด้วยลมคำสั่งสอนทุกอย่าง ด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ ตามอุบายที่ฉลาดในการล่อลวง แต่ให้เรายึดถือความจริงด้วยความรัก เพื่อจะเจริญขึ้นในทุกด้านสู่พระองค์( we will grow to become in every respect the mature body of him)ผู้เป็นศีรษะคือพระคริสต์ ~เอเฟซัส 4:11-15 THSV11

6.เราควรคิดจดจ่อในการบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัยอย่างที่ผู้ใหญ่คิด

“พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมา แล้วโน้มตัวไปยังสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า และข้าพเจ้าบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัลคือการทรงเรียกแห่งเบื้องบนซึ่งมีในพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น เราที่เป็นผู้ใหญ่แล้วจงคิดอย่างนี้ (All of us, then, who are mature should take such a view of things.)และถ้าพวกท่านคิดอีกอย่างหนึ่ง พระเจ้าก็จะทรงให้เรื่องนี้ประจักษ์แก่ท่านด้วย” ~ฟีลิปปี 3:13-15 THSV11

7.เราควรให้ความคิดของเราเป็นเหมือนผู้ใหญ่ แต่ความชั่วร้ายให้เป็นเป็นเหมือนทารก

“พี่น้องทั้งหลาย อย่าเป็นเหมือนเด็กในด้านความคิด แต่ในเรื่องความชั่วร้ายจงเป็นเหมือนทารก และในด้านความคิดจงเป็นเหมือนผู้ใหญ่ (but in your thinking be adults.)” ~1 โครินธ์ 14:20 THSV11

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ –

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม: “พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่อง ‘วินัย’ ที่มีความหมาย (a meaningful discipline )

ตอบ:  “ในพระคัมภีร์ ใช้คำว่า วินัย และคำที่มีความหมายในทำนองกันไว้หลายคำ

ในพระคัมภีร์ใหม่ ภาษากรีกใช้คำว่า “ไพเด่อา” (วินัย คำแนะนำ การฝึกอบรม) หรือ “ไพดือโอ” (ฝึกวินัย  ฝึกอบรม สอน แก้ไข แนะนำ ตี เฆี่ยน) ดังตัวอย่างต่อไปนี้

  1. วินัย

“เขาจะตายเพราะขาดวินัยในชีวิต และเพราะความโง่อย่างยิ่งของเขา เขาจึงหลงเจิ่นไป” ~สุภาษิต 5:23 THSV11

“เพราะเจ้าเกลียดวินัย และเจ้าเหวี่ยงคำของเราไว้ข้างหลังเจ้า” ~สดุดี 50:17 THSV11

“พระองค์ทรงให้พวกท่านได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์จากฟ้า เพื่อให้ท่านมีวินัย พระองค์ทรงให้ท่านเห็นเพลิงใหญ่ของพระองค์ในโลก  และท่านได้ยินพระวจนะของพระองค์จากกลางเพลิง” ~เฉลยธรรมบัญญัติ 4:36 THSV11

  1. คำสั่งสอน

“คนที่รักคำสั่งสอน(วินัย)ก็รักความรู้ แต่คนที่เกลียดคำตักเตือนก็โง่เขลา” ~สุภาษิต 12:1 THSV11

“จงยึดคำสั่งสอน(วินัย)ไว้ และอย่าปล่อยไป จงเฝ้าเธอไว้ เพราะเธอเป็นชีวิตของเจ้า” ~สุภาษิต 4:13 THSV11

  1. การสั่งสอน

“เพราะบัญญัติเป็นประทีป และคำสอนเป็นแสงสว่าง และคำตักเตือนเพื่อการสั่งสอน(สร้างวินัย) เป็นทางแห่งชีวิต” ~สุภาษิต 6:23 THSV11

  1. การตีสอน 

“ท่านทั้งหลายจงตระหนักในวันนี้เถิด เพราะข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวกับลูกหลานของพวกท่าน ผู้ไม่เห็นการตีสอน(สร้างวินัย)ของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์และพระกรที่เหยียดออกของพระองค์” ~เฉลยธรรมบัญญัติ 11:2 THSV11

“อย่าละเลยการตีสอน (สร้างวินัย) เด็ก เพราะถ้าเจ้าตีเขาด้วยไม้เรียว เขาจะไม่ตาย” -สุภาษิต 23:13 THSV11

“จงตีสอน(สร้างวินัย)บุตรของเจ้า และเขาจะให้เจ้าสบายใจ เขาจะให้ความปีติยินดีแก่เจ้า” -สุภาษิต 29:17 THSV11

“ท่านทั้งหลายจงสู้ทนเอาเถอะเพราะเป็นการตีสอน (การสร้างวินัย) พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อท่านเหมือนท่านเป็นบุตรของพระองค์ เพราะว่ามีบุตรคนไหนบ้างที่บิดาไม่ตีสอน?” -ฮีบรู 12:7 THSV11

“เพราะบิดาที่เป็นมนุษย์ตีสอน(การสร้างวินัย)เราเพียงชั่วเวลาเล็กน้อยตามความเห็นดีเห็นชอบของพวกเขา แต่พระองค์ทรงตีสอนเพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อเราจะมีส่วนในความบริสุทธิ์ของพระองค์” -ฮีบรู 12:10 THSV11

  1. การอบรม

“ข้าพเจ้าเป็นยิว เกิดในเมืองทาร์ซัสแคว้นซีลีเซีย แต่เติบโตขึ้นในเมืองนี้ เป็นศิษย์ของอาจารย์กามาลิเอลและได้รับการอบรม(วินัย)อย่างเคร่งครัดตามธรรมบัญญัติของบรรพบุรุษของเรา จึงมีความกระตือรือร้นเพื่อพระเจ้าเช่นเดียวกับพวกท่านในเวลานี้” ~กิจการ 22:3 THSV11

“พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การแก้ไขสิ่งผิด และการอบรม(วินัย) ในความชอบธรรม” ~2 ทิโมธี 3:16 THSV11

  1. รับการสอน

“โมเสสจึงได้รับการสอน(วินัย)ในเรื่องวิชาการทุกอย่างของชาวอียิปต์ มีสมรรถภาพในการพูดและในกิจการต่างๆ” ~กิจการ 7:22 THSV11

  1. เรียนรู้

“ในคนพวกนั้นมีฮีเมเนอัสและอเล็กซานเดอร์ ผู้ซึ่งข้าพเจ้ามอบไว้กับซาตานแล้ว เพื่อเขาจะได้เรียนรู้(รับการลงวินัย)ที่จะไม่หมิ่นพระเกียรติพระเจ้า” ~1 ทิโมธี 1:20 THSV11                                                    

  1. แก้ไข(ชี้แจง)

“(ลงวินัย) แก้ไขความคิดเห็นของฝ่ายตรงข้ามด้วยความสุภาพอ่อนโยน เพราะพระเจ้าอาจโปรดให้พวกเขากลับใจ และมาถึงความรู้ในความจริง” ~2 ทิโมธี 2:25 THSV11

  1. สอน

“และเพื่อสอน(ลงวินัย)เราให้ละทิ้งความอธรรมและโลกียตัณหา และให้ดำเนินชีวิตในยุคนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ อย่างชอบธรรมและให้ดำเนินตามทางพระเจ้า” ~ทิตัส 2:12 THSV11

-ธงชัย  ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม: พระคัมภีร์สอนอะไรบ้างกับ “การเป็นผู้นำ”? 

คำตอบ: “พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องผู้นำไว้มากมาย แม้ไม่ได้ใช้คำว่า “ผู้นำ” มากนักก็ตาม

คำว่า “ผู้นำ” (leader)หมายความว่า

“บุคคลที่นำหรือ ควบคุม สถานการณ์ กลุ่ม องค์กรหรือประเทศชาติ” (The person in control who leads or commands a group, country, or situation)

รวมถึงบุคคลที่ครอบครอง ผู้ดูแลเอาใจใส่ หรือผู้เลี้ยงดูผู้อื่นที่อยู่ในการดูแล เช่นศิษยาภิบาล ผู้ปกครอง มัคนายก และผู้รับใช้อื่นๆ

ในพระคัมภีร์ มีการพูดถึงผู้นำ ดังนี้

  1. ผู้นำ ต้องรับผิดชอบในการนำ ด้วยความเอาใจใส่

“ถ้าเป็นผู้เตือนสติก็จงเตือนสติ ผู้ที่ให้ ก็จงให้ด้วยใจกว้างขวาง ผู้ที่ครอบครอง ก็จงครอบครองด้วยเอาใจใส่ ผู้ที่แสดงความเมตตา ก็จงแสดงด้วยใจยินดี”  ~โรม 12:8 THSV11

“ถ้ามีด้านการให้กำลังใจ ก็ให้เขาให้กำลังใจ ถ้ามีด้านการช่วยเหลือในสิ่งที่ผู้อื่นขัดสน ก็ให้เขาให้ด้วยใจกว้างขวาง ถ้ามีด้านการเป็นผู้นำ ก็ให้เขาปกครองด้วยความเอาใจใส่ ถ้ามีด้านการแสดงความเมตตา ก็ให้เขาทำด้วยใจยินดี”  ~โรม 12:8 TNCV

  1. ผู้นำต้องควบคุม นำ และปกครองใจของตนเองให้ได้ก่อน จะนำผู้อื่น

“บุคคลผู้โกรธช้าก็ดีกว่าคนมีกำลังมาก และบุคคลผู้ปกครองจิตใจตนเองก็ดีกว่าผู้ที่ตีเมืองได้” ~สุภาษิต 16:32 THSV11

  1. ผู้นำต้องนำ และปกครองดูแลคนในครอบครัวของตนให้ดีก่อนนำหรือดูแลคนอื่น

“(เพราะถ้าชายคนไหนไม่รู้จักปกครองครอบครัวของตน คนนั้นจะดูแลคริสตจักรของพระเจ้าได้อย่างไร?)” ~1 ทิโมธี 3:5 THSV11

  1. ผู้นำต้องนำโดยใช้ของประทานของพระเจ้า อย่างมีประสิทธิภาพ

“อย่าละเลยของประทานที่มีอยู่ในตัวท่าน ซึ่งประทานแก่ท่านตามคำเผยพระวจนะ เมื่อคณะผู้ปกครองวางมือบนตัวท่าน”  ~1 ทิโมธี 4:14 THSV11

  1. ผู้นำต้องนำโดยใช้ความรู้ ความเข้าใจ ความฉลาด และสติปัญญาที่มาจากพระเจ้า

“ขอประทานสติปัญญาและความรู้แก่ข้าพระองค์ที่จะปกครองต่อหน้าชนชาตินี้ เพราะใครเล่าจะพิพากษาประชากรอันมากมายนี้ของพระองค์ได้”  ~2 พงศาวดาร 1:10 THSV11

“ขอเพียงพระยาห์เวห์ประทานให้เจ้ามีความเฉลียวฉลาด และความเข้าใจและทรงให้เจ้าปกครองอิสราเอล เพื่อให้เจ้ารักษาธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า” ~1 พงศาวดาร 22:12 THSV11

  1. ผู้นำต้องมีความสามารถในการแก้ไขสิ่งที่บกพร่องให้ดีขึ้น

“เหตุที่ข้าพเจ้าละท่านไว้ที่เกาะครีตนั้นก็เพื่อให้ท่านแก้ไขสิ่งที่ยังบกพร่องให้เรียบร้อย และแต่งตั้งบรรดาผู้ปกครองไว้ทุกเมืองตามที่ข้าพเจ้ากำชับท่าน”  ~ทิตัส 1:5 THSV11

  1. ผู้นำต้องเลือกและแต่งตั้งผู้นำที่มีความสามารถเหมาะสมให้นำต่อไป โดยพึ่งพิงเชื่อฟังพระเจ้า

“เมื่อท่านทั้งสองแต่งตั้งพวกผู้ปกครองในคริสตจักรแต่ละแห่งแล้ว ก็อธิษฐานและถืออดอาหารเพื่อมอบพวกเขาไว้กับองค์พระผู้เป็นเจ้าที่พวกเขาเชื่อถือนั้น” ~กิจการ 14:23 THSV11

“โมเสสจึงเลือกคนที่มีความสามารถจากคนอิสราเอลทั้งหมด และตั้งให้เป็นหัวหน้าประชาชน เป็นผู้ปกครองคนพันคนบ้าง ร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง สิบคนบ้าง” ~อพยพ 18:25 THSV11

  1. ผู้นำต้องตระหนักว่าคุณลักษณะชีวิตที่ดีของเขาสำคัญมากยิ่งกว่าสามารถของเขาเสียอีก

“เพราะว่าผู้ปกครองดูแล ซึ่งเป็นผู้รับมอบฉันทะของพระเจ้า ต้องไม่มีข้อตำหนิ ไม่เย่อหยิ่ง ไม่อารมณ์ร้อน ไม่ดื่มสุรามึนเมา ไม่ชอบความรุนแรง และไม่เป็นคนโลภมักได้” ~ทิตัส 1:7 THSV11

“ผู้ปกครองดูแลนั้นจะต้องเป็นคนที่ไม่มีที่ติ เป็นสามีของหญิงคนเดียว รู้จักประมาณตน มีสติสัมปชัญญะ เป็นคนน่านับถือ มีอัธยาศัยต้อนรับแขก เหมาะที่จะเป็นอาจารย์” ~1 ทิโมธี 3:2 THSV11

  1. ผู้นำต้องนำด้วยความรักเมตตา ไม่รุนแรง ก้าวร้าว กดขี่ผู้อยู่ใต้การดูแล

“ห้ามปกครองพวกเขาด้วยความรุนแรง แต่จงยำเกรงพระเจ้าของเจ้า”  ~เลวีนิติ 25:43 THSV11

  1. ผู้นำต้องทำหน้าที่ ที่สามารถจบอย่างเป็นตำนาน และเป็นแบบอย่างให้คนอื่นๆปฏิบัติตาม

“จงระลึกถึงบรรดาผู้นำของพวกท่าน ผู้กล่าวพระวจนะของพระเจ้ากับพวกท่าน จงพิจารณาดูผลบั้นปลายชีวิตของพวกเขา แล้วจงเลียนแบบความเชื่อของพวกเขา” ~ฮีบรู 13:7 THSV11

  1. ผู้นำต้องเป็นผู้ตามที่ดี ที่ให้เกียรติผู้นำและช่วยผู้นำให้ทำงานด้วยความยินดี

“จงนบนอบเชื่อฟังบรรดาผู้นำของท่านทั้งหลาย เพราะว่าพวกเขาดูแลรักษาจิตวิญญาณของพวกท่านอยู่อย่างคนที่ต้องถวายรายงาน จงให้พวกเขาทำงานนี้ด้วยความชื่นชมยินดี ไม่ใช่ด้วยความเศร้าใจ ซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์แก่พวกท่านเลย” ~ฮีบรู 13:17 THSV11

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-