Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ชีวิตของคุณสมดุลหรือไม่?

ชีวิตของคุณสมดุลหรือไม่?

“ชีวิตก็เปรียบเสมือนการขี่จักรยาน เพื่อรักษาสมดุล คุณต้องเคลื่อนที่ต่อไป”

(Life is like riding a bicycle. To keep your balance you must keep moving.)

คนชอบขี่จักรยานต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่า การขี่จักรยานไปเที่ยวชมวิวทิวทัศน์ในที่ต่างๆนั้น เป็นประสบการณ์ที่น่าอภิรมย์ยิ่งนัก!

แต่ทุกคนก็ทราบดีว่า หากหยุดเคลื่อนที่ไปข้างหน้า รถจักรยานก็จะล้มลง นอกจากว่าผู้ที่ขี่สามารถทรงตัวได้อย่างสมดุลบนจักรยานคันนั้น ซึ่งโดยปกติแล้ว ความสมดุลนั้นจะเกิดจากการเคลื่อนที่ต่อไปโดยไม่หยุดของจักรยาน

หากเปรียบชีวิตของเราเป็นเหมือนดังจักรยาน ตราบใดที่เรามีสมดุลในการดำเนินชีวิต ตราบนั้นชีวิตของเราก็ยังคงดำเนินต่อไป แต่ในแค่วินาทีเดียวที่เราเสียศูนย์ หรือเสียสมดุล ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใด ชีวิตของเราก็จะคว่ำลง!

ความสมดุลจึงเป็นกุญแจของทุกๆสิ่งในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการคิด การกิน การดื่ม การพูด หรือการกระทำของเรา! โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความมีสมดุลในด้านกายภาพและด้านจิตวิญญาณ

อ.ยอห์น เคยเขียนจดหมายถึงผู้รับของท่านว่า ..

“ท่าน​ที่‍รัก ข้าพ‌เจ้า​อธิษ‌ฐาน​ขอ​ให้​ท่าน​มี​สุข‍ภาพ​แข็ง‍แรง และ​มี​ความ​สุข​ความ​เจริญ​ทุก‍อย่าง ดัง​ที่​จิต‍วิญ‌ญาณ​ของ​ท่าน​กำลัง​เจริญ​อยู่​นั้น” (3ยน.1:2)

ท่านแสดงความปรารถนาดีต่อพวกเขา โดยทูลขอพระเจ้าช่วยให้พวกเขามีความสมดุลทั้งด้านสุขภาพกาย และสุขภาพจิตวิญญาณ ซึ่งจะนำความแข็งแรงและความสุขความเจริญมาให้แก่พวกเขา เมื่อใดที่เรามีความสมดุลในชีวิต เราจะมีอิสรภาพในการทำอะไรหรือไปที่ไหนก็ได้

เราสามารถที่จะทำทุกสิ่งที่จำเป็นต้องทำได้เสมอ เราจะปลอดจากความวิตกกังวล มีความผ่อนคลาย และมีความสุขสงบในจิตใจ อันจะทำให้เราเข้มแข็ง และเจริญเติบโตขึ้น  สามารถก้าวเดินต่อไปอย่างมีพลังขับเคลื่อน! เราจำเป็นต้องมีความสมดุลระหว่าง หัวคิด และหัวใจของเราด้วย

เมื่อใดก็ตามที่หัวคิดและหัวใจของเราไปด้วยกันไม่ได้หรือไม่มีดุลยภาพ  หรือความคิด (เหตุผล) และอารมณ์ (ความรู้สึก) ของเราไม่ไปด้วยกัน หรือเอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งอย่างไม่มีสมดุล เราจะก้าวต่อไปไม่ได้ เช่นกันหรือหากว่า พยายามก้าวต่อไปก็จะมีความสับสน ลังเล และสร้างความปั่นป่วนให้แก่ชีวิตเป็นอย่างยิ่ง

บางครั้งชีวิตของเราอาจมาถึงจุดที่เราต้องมีสมดุล ระหว่างการยึดมั่นและการปล่อยวาง บางทีเราอาจล้มลงเพราะเราไม่ได้ยึดสิ่งที่ควรยึดไว้ให้มั่น หรืออาจกลับกัน หากว่าเรายังยึดบางอย่างไม่ยอมปล่อย ชีวิตของเราก็อาจล้มคะมำลงอย่างไม่เป็นท่าก็เป็นไปได้เช่นกัน

วันนี้ ขอให้คุณเดินก้าวต่อไปข้างหน้า โดยมีชีวิตที่สมดุลอย่างมีพระเจ้าทรงประสงค์ ไม่ว่าจะเป็น:

  • ความสมดุลทางกายภาพ ความสมดุลทางจิตใจ
  • ความสมดุลทางสังคม  หรือ
  • ความสมดุลทางจิตวิญญาณ     ฯลฯ

และเป็นพิเศษปิดท้ายก็ขอให้ชีวิตของคุณดำเนินต่อไปอย่างมีสมดุลระหว่าง ความจริงและความรัก เพื่อว่าคุณจะเจริญขึ้นสู่พระคริสต์ และทำให้คนอื่นได้รับการพัฒนาเสริมสร้างให้เจริญเติบโตขึ้นเช่นกั้น

อย่างนี้น่าจะดีกว่า!

คุณเห็นด้วยไหมครับ? 

 

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc,

twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

หัวใจของผู้นำเป็นอย่างไร?

หัวใจของผู้นำเป็นอย่างไร?

“ผู้นำที่แท้จริงมีหัวใจอย่างผู้รับใช้!”

(True leaders have a servant’s heart.)

 คนจำนวนไม่น้อยอยากจะนำ แต่ก็น่าขันที่ไม่มีใครอยากจะตามเขา คนบางคนมีคนตาม แต่สุดท้ายผู้ตามก็ทยอยกันหายหน้าไปหมดในขณะที่ผู้นำบางคนมีผู้ติดตามมากขึ้น ๆ

อะไรคือตัวแปร?

ทำไมพระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้นำที่มีคนในโลกนี้ติดตามมากที่สุด?

คำตอบก็คือ

พระองค์ทรงเป็นผู้นำที่มีหัวใจอย่างผู้รับใช้!  ผู้นำที่มีคนตามจำนวนมากไม่ใช่ผู้ที่อวดอ้างความสำคัญของตัวเขา แต่เป็นผู้นำที่เต็มใจ ฉวยโอกาสในการรับใช้

ดุจดังที่ Donald Walters กล่าวไว้ว่า…

“Leadership is an opportunity to serve. It is not a trumpet call to self- important.”

(ภาวะผู้นำคือ โอกาสที่จะรับใช้ ไม่ใช่เสียงแตรเรียกร้องให้มาสนใจในตัวเขาเอง)

 ดุจดังกับที่ Myles Munroe กล่าวว่า …

“Great leaders do not desire to lead but to serve.”

(ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ไม่ได้กระหายที่จะนำ แต่จะรับใช้)

ผู้นำที่แท้จริง มีความสุขกับการได้รับใช้พระเจ้า และเพื่อนมนุษย์ เขาไม่ได้แสวงหาเกียรติ ชื่อเสียง หรือผลประโยชน์สำหรับตัวเอง

ถ้าเขาจะมีเกียรติก็ไม่ใช่เพราะเขาเรียกร้อง แต่คนอื่นเห็นว่าสมควรที่จะมอบให้แก่เขา และไม่ว่าเขาจะรับเกียรตินั้นหรือไม่?   เกียรตินั้นก็สมควรกับเขาเป็นอย่างยิ่ง

ผู้นำที่เป็นผู้รับใช้คือ ผู้นำที่แท้จริง ไม่ว่าเขาจะมีตำแหน่งหรือไม่ ก็ยังมีคนที่พร้อมติดตามผู้นำเช่นนี้เสมอ ตำแหน่งไม่ได้มีความหมายอะไรต่อการเป็นผู้นำเลย

ดังคำกล่าวที่ว่า…

“การเป็นผู้นำ ไม่ได้เรียกร้องว่าต้องมีตำแหน่งและการมีตำแหน่ง ก็ไม่ได้ทำให้คุณเป็นผู้นำขึ้นมา”

(Being a leader doesn’t require a title; Having a title doesn’t make you one.)

พระเยซูคริสต์ทรงเสด็จเข้ามาในโลกเพื่อเป็นผู้นำซึ่งรับใช้ ที่เรียกว่าServant Leader” และพระองค์ก็ทรงพอพระทัยกับการได้รับใช้เช่นนี้ยิ่งนัก

ดังที่พระองค์ตรัสว่า…

เพราะว่าบุตรมนุษย์ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อจะปรนนิบัติคนอื่น และ​ให้​ชีวิต​ของ​ท่าน​เป็น​ค่า‍ไถ่​คน​จำ‌นวน​มาก”  (มาระโก 10:45)

ดังนั้น หากว่า เราเป็นสาวกของพระองค์ เราก็ควรจะเจริญรอยตามพระบาทของพระองค์ โดยการพร้อมลุกขึ้นมาเป็นผู้นำอย่างที่พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างให้เห็น นั่นคือ เป็นผู้นำที่เต็มใจรับใช้คนทั้งปวง!

คุณพร้อมจะทำเช่นนี้ไหม?

ช่วยตอบที!

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Servant Leadership)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

วุฒิภาวะเริ่มต้นเมื่อไร?

วุฒิภาวะเริ่มต้นเมื่อไร?

“วุฒิภาวะเริ่มต้นเมื่อเรารู้สึกพอใจว่าเราเป็นฝ่ายถูกเกี่ยวกับบางเรื่อง โดยไม่มีความรู้สึกว่า จำเป็นต้องพิสูจน์ว่า ใครบางคนเป็นฝ่ายผิด”

(Maturity beings when we’re content to feel we’re right about something  without feeling  the necessity to prove someone else wrong.)         -Sydney J. Harris-

คนที่มีวุฒิภาวะคือ คนที่ตระหนักว่า ไม่มีใครในโลกนี้สมบูรณ์แบบ

คนที่มีวุฒิภาวะเข้าใจดีว่า ทุกคนไม่ว่าตัวเขาหรือคนอื่น ต่างก็ล้วนผิดพลาดได้ ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง

คนที่มีวุฒิภาวะ ตระหนักว่า ทั้งตัวเขาและคนอื่น ๆ ล้วนมีโอกาสและมีสิทธิที่จะผิดพลาดและถูกต้อง แต่เราต้องรับผลหรือมีความรับผิดชอบจากความผิดพลาดของเราเอง

คนที่มีวุฒิภาวะ สามารถเติบโตได้ เมื่อเขาเห็นและเข้าใจความอ่อนแอและความผิดพลาดของตน

ดุจ ดังที่  Dr. T.P Chia กล่าวว่า…

     “You are not really grown up until you see and understand your weaknesses.”

     (คุณไม่มีทางเติบโตขึ้นได้จริง ๆ จนกว่าคุณได้เห็นและเข้าใจในความอ่อนแอของตัวคุณ)

ใช่ครับ คนที่มีวุฒิภาวะ จะรีบจัดการกับความอ่อนแอ และความผิดพลาดของเขาโดยทันที ด้วยการ “แก้ไข” ไม่ใช่ “แก้ตัว”

     “Maturity is when you stop making excuses and start making changes.”

       (วุฒิภาวะเกิดขึ้นเมื่อคุณหยุดแก้ตัว และเริ่มต้นลงมือเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น)

ดังนั้น ไม่ว่าจะต้องจ่ายราคาเท่าไร คนที่มีวุฒิภาวะก็พร้อมที่จะจ่ายราคานั้นในทันที ไม่ว่าจะต้องเสียหรือสละความสุข ความเพลิดเพลินหรือความสะดวกสบาย หรือความฝันบางอย่าง คนที่มีวุฒิภาวะก็พร้อมที่จะยอมสละหรือเลื่อนสิ่งเหล่านั้นออกไปก่อนเช่นกัน   ดังคำกล่าวที่ว่า …

    “Being willing to delay pleasure for a greater result is a sign of maturity.”

    (การเต็มใจเลื่อนความเพลิดเพลินใจ เพื่อผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่กว่าคือ เครื่องหมายของความมีวุฒิภาวะ)

คนมีวุฒิภาวะจะรู้จักคำว่า “มีวินัย” เขาจะเข้าใจคำของภาษิตที่ว่า “จงอดเปรี้ยวไว้กินหวาน”

 เขาจะรู้ว่า เวลานี้ควรจะ “เอา” หรือ “ไม่เอา” อะไร?     เขาจะรู้จักคำว่า “กาลเทศะ”

คนมีวุฒิภาวะจะไม่รู้สึกอับอาย หากว่าต้องสำนึกกลับใจ และยอมรับว่าตัวเองไม่ได้รู้จริงหรือเข้าใจผิดไป เขาพร้อมจะยอมรับผิด ขออภัยและเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้น และนำมาเป็นบทเรียนปรับปรุงแก้ไขตัวเองให้ดีขึ้น

Dr. T.P.Chia เคยกล่าวว่า …

“Admitting our mistakes is a sign of maturity and wisdom. We learn more from knowingour mistakes.”

(การยอมรับความผิดพลาดของคุณ คือ สัญญาณแห่งความมีวุฒิภาวะและสติปัญญา เราเรียนรู้ได้มากกว่าเดิม เมื่อเรารู้จักความผิดพลาดของตัวเราเอง)

ดังนั้น คนที่มีวุฒิภาวะ จะไม่พยายามพิสูจน์ว่าตัวเองถูก โดยชี้ไปที่ความผิดพลาดของผู้อื่น

วุฒิภาวะเริ่มต้นที่การตระหนักว่า ตัวเราเองมี “ไม้ซุงทั้งท่อน” อยู่ในตาของเราก่อนที่เราจะมองหา “ผง” ในตาของผู้อื่น!

คนมีวุฒิภาวะฝ่ายจิตวิญญาณจะระลึกถึงคำเตือนสติของพระเยซูคริสต์เสมอว่า….

“อย่า​พิพาก‌ษา เพื่อ​พระ‍เจ้า​จะ​ไม่​ทรง​พิพาก‌ษา​ท่าน‍ทั้ง‍หลาย เพราะ‍ว่า​พวก‍ท่าน​จะ​พิพาก‌ษา​ผู้​อื่น​อย่าง‍ไร พระ‍เจ้า​จะ​ทรง​พิพาก‌ษา​ท่าน​อย่าง​นั้น และ​ท่าน‍ทั้ง‍หลาย​จะ​ตวง​ให้​ผู้​อื่น​ด้วย​ทะ‌นาน​อัน​ใด พระ‍เจ้า​จะ​ทรง​ตวง​ให้​พวก‍ท่าน​ด้วย​ทะ‌นาน​อัน​นั้น ทำไม​ท่าน​มอง‍เห็น​ผง​ใน​ตา​พี่‍น้อง​ของ​ท่าน แต่​กลับ​มอง​ไม่​เห็น​ไม้​ทั้ง​ท่อน​ที่​อยู่​ใน​ตา​ของ​ท่าน? 

ท่าน​จะ​กล่าว​กับ​พี่‍น้อง​ได้​อย่าง‍ไร​ว่า ให้ฉันเขี่ยผงออกจากตาของเธอ?’ ทั้งๆที่มีไม้ทั้งท่อนอยู่ในตาของท่านเอง คน​หน้า‍ซื่อ‍ใจ‍คด จง​ชัก​ไม้​ทั้ง​ท่อน​ออก​จาก​ตา​ของ​ท่าน​ก่อน แล้ว​ท่าน​จะ​เห็น​ได้​ถนัด จึง​จะ​เขี่ย​ผง​ออก​จาก​ตา​พี่‍น้อง​ของ​ท่าน​ได้ “อย่า​ให้​ของ​บริ‌สุทธิ์​แก่​สุนัข อย่า​โยน​ไข่มุก​ให้​แก่​สุกร เกรง‍ว่า​มัน​จะ​เหยียบ‍ย่ำ​เสีย และ​จะ​หัน‍กลับ‍มา​กัด​พวก‍ท่าน​ด้วย  (มัทธิว 7:1-6)

ดังนี้ วันนี้ให้เรามาพร้อมใจกันทิ้งนิสัยอย่างเด็ก แล้วเติบโตเป็นผู้ใหญ่กันซะที!

…จะดีไหมครับ?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ WindTrees Wallpaper)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

โอกาสจะเปิดให้ผู้นำรุ่นใหม่ได้อย่างไร?

โอกาสจะเปิดให้ผู้นำรุ่นใหม่ได้อย่างไร?

 “ภาวะผู้นำที่ดี ไม่ใช่การทำให้ตัวเองก้าวหน้า แต่เป็นการทำให้ทีมของคุณก้าวไกล”

(Good Leadership isn’t about advancing yourself. It’s about advancing your team.) -John C. Maxwell-

บางคริสตจักรมีปัญหาคือไม่มีผู้นำคริสตจักร หรือมีผู้นำแต่เป็นผู้นำที่อ่อนแอ ขาดวิสัยทัศน์และความรับผิดชอบ บางคริสตจักร มีผู้นำที่เข้มแข็งมาก ควบคุมทุกอย่างจนไม่มีที่ว่างสำหรับคนรุ่นใหม่ที่จะแทรกขึ้นมาเป็นผู้นำ บางคริสตจักร มีผู้นำที่มีความสามารถ แต่ไม่มีเวลาหรือไม่สามารถอุทิศตัวทุ่มเทในการสร้างผู้นำหรือพัฒนาคริสตจักรให้ก้าวไกลกว่าที่เป็นอยู่ได้ด้วยนานาสาเหตุ บางคริสตจักรนั้นสุดยอดเพราะมีผู้นำที่มีคุณภาพ มีนิมิต และทุ่มเทเวลารับใช้สุดชีวิต และสุดจิตสุดใจ สุดกำลัง และสุดกำลังทรัพย์

คริสตจักรของเราเป็นแบบไหน? เราต้องมองหาคนรุ่นใหม่ที่พระเจ้าทรงเรียกเขา และตัวเขาเองก็ตอบสนองการทรงเรียกนั้น เพราะคนเช่นนี้คือคนที่สมควรได้รับการเสริมสร้าง ส่งเสริมให้กลายเป็นผู้นำ และผู้รับใช้ต่อจากผู้นำในปัจจุบัน  เมื่อใดก็ตามที่เราได้พบคนเช่นนี้ในท่ามกลางเรา ต่อไปนี้คือแนวทางที่คริสตจักรของเราสมควรกระทำ

1) ให้เปิดโอกาสแก่คน (ที่มีศักยภาพ) เหล่านั้น

แน่นอนไม่มีใครพร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์ก่อนที่จะนำหรือรับใช้  บางคนมีความสามารถแต่ขาดความรู้แลtประสบการณ์บางคนมีประสบการณ์ แต่ขาดความรู้บางอย่าง บางคนขาดวุฒิภาวะ และอายุยังน้อย บางคนขาดคนสนับสนุน หรือขาดเวที

ผู้นำคริสตจักรในปัจจุบันจึงควรเปิดโอกาสให้พวกเขาที่มีศักยภาพได้มีส่วนในการเปิดตัวรับใช้ โดยอาจจะเริ่มจากการมอบหมายความรับผิดชอบเล็กๆในกรอบที่จำกัดแล้วค่อยๆ ขยายวงในการรับใช้ออกไป

2) ให้พวกเขาร่วมแบ่งปันประสบการณ์

ไม่มีใครมีประสบการณ์ในทุกเรื่องภายในตัวเอง ดังนั้น ว่าที่ผู้นำรุ่นใหม่จึงต้องการการเรียนรู้จากผู้ใหญ่ที่มีความรู้หรือประสบการณ์มากกว่า ในขณะเดียวกัน คนรุ่นใหม่ก็ต้องการให้ผู้นำในปัจจุบัน (ที่อาวุโสกว่า) ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆที่พวกเขากำลังมีประสบการณ์อยู่เช่นกัน  และการเรียนรู้จากกันและกัน จะทำให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ที่ผสมผสานระหว่างคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ทำให้คริสตจักรมุ่งสู่ทิศทางใหม่ที่ดีกว่าและครอบคลุมพันธกิจต่างๆ มากกว่าเดิม

3) ให้เปิดรับและลองสิ่งใหม่ๆ ด้วยใจกว้าง อย่างมีน้ำใจทีม

คนเก่าๆ มักรู้สึกปลอดภัยกับรูปแบบเดิมๆ ที่คุ้นเคย ที่เรียกว่า Comfort Zone” และไม่อยากจะเพิ่มอัตราความเสี่ยงใดๆ ในชีวิตอีก แต่คนใหม่ๆ นั้นต้องการลองสิ่งใหม่ๆ ที่แตกต่างจากเดิม

หากคนเก่าตั้งแง่ คนใหม่ก็ไม่มีโอกาส หากคนใหม่ละทิ้งภูมิปัญญาของคนรุ่นเก่า เอาแต่สิ่งใหม่ทั้งหมดเลยก็อาจเสี่ยงต่อการเสียหาย (เพราะความแตกต่างทางวัฒนธรรมและภูมิหลัง ดังนั้น หากผู้นำในปัจจุบันต้องการให้ว่าที่ผู้นำรุ่นใหม่เข้ามาร่วมรับใช้ ก็จำเป็นต้องเปิดใจให้กว้างยอมรับความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขา และคนรุ่นใหม่เองก็ต้องมีใจพร้อมปรับเปลี่ยนความคิดของตนให้สามารถสอดคล้องกับทักษะ และประสบการณ์ที่มีคุณประโยชน์ของคนรุ่นเก่าด้วย อันจะก่อให้เกิดวิถีการทำงานร่วมกันเป็นทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 4) ให้ตั้งความคาดหวังไว้ให้สูง

อย่าให้ผู้นำรุ่นปัจจุบัน ตั้งเป้าหมายหรือความคาดหวังต่ำเกินไปสำหรับคนรุ่นใหม่ โดยเพียงแค่คาดหวังให้พวกเขามาเติมลงในบทบาทหน้าที่ที่ต่ำกว่ามาตรฐานหรือศักยภาพของพวกเขา ผู้นำปัจจุบันควรแจ้งความคาดหวังและเป้าหมายที่สูงแก่พวกคนรุ่นใหม่ และให้เสรีภาพแก่พวกเขาในการบรรลุถึงความคาดหวังนั้น พร้อมท้าทายและให้รางวัลแก่พวกเขา เมื่อพวกเขาจะเกิดแรง ผลักดันในการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง

เพราะนั่นคือ ส่วนหนึ่งในกระบวนการสู่ความเจริญเติบโตของพวกเขา และของคริสตจักร

5) ให้การยอมรับว่าความผิดพลาดล้มเหลวเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างผู้นำใหม่

คนทุกคนไม่ว่าผู้นำเก่าหรือใหม่ ล้วนมีโอกาสตัดสินใจหรือทำผิดพลาดกันทุกคน โดยเฉพาะ ผู้นำใหม่ๆที่ขาดประสบการณ์ และต้องลงมือทำหรือทำบางอย่างที่เป็นสิ่งใหม่ ที่เขาไม่เคยคิด ตัดสินใจ หรือกระทำมาก่อน หากไม่ให้พวกเขาเสี่ยงลงมือทำ เขาอาจจะไม่มีวันเข้าใจและคงจะไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่  และจะไม่มีประสบการณ์ในการพัฒนาตัวเขาหรือคริสตจักรเกิดขึ้น

บางครั้งคนเราเรียนรู้ได้ดีจากความผิดพลาดของตัวเอง และหากว่าคนๆ นั้นได้รับโอกาสในการแก้ไข และหา หนทางใหม่ๆ ที่ดีกว่าเดิม เขาก็อาจจะเติบโตขึ้น ตามกระบวนการของการสร้างผู้นำได้มากที่สุด

6) ให้การสนับสนุนและการหนุนใจแก่ว่าที่ผู้นำใหม่อย่างต่อเนื่อง

คนทุกคนล้วนต้องการการตอบสนองในเชิงบวก หากผู้นำรุ่นใหม่ได้ลงมือกระทำกิจหรือพันธกิจบางอย่าง เขาย่อมต้องการรับรู้ว่า คนอื่นๆ ทั้งผู้นำรุ่นปัจจุบันและคนที่รับการปรนนิบัติจากพวกเขานั้นคิดหรือรู้สึกกันอย่างไรเขาต้องการการตอบรับหรือการสนับสนุน รวมทั้งการหนุนใจจากผู้ใหญ่ และผู้นำของพวกเขาอีกที

ดังนั้น หากคริสตจักรต้องสร้างผู้นำรุ่นใหม่ คริสตจักรต้องหมั่นให้กำลังใจพวกเขาอยู่อย่างต่อเนื่อง และสนับสนุนให้เขาตั้งเป้าหมายที่สูงกว่าเดิม และเคียงข้างพวกเขาให้ลงมือทำจนสามารถบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

7) ให้การประเมินที่สร้างสรรค์แก่ผู้นำรุ่นใหม่

แม้ว่าพวกผู้นำรุ่นใหม่ต้องการการหนุนใจ แต่พวกเขาก็ต้องการมากกว่าแค่การบอกว่า สิ่งที่เขาทำดี หรือแย่แค่นั้น ในกระบวนการสร้างผู้นำให้เติบโตนั้น จำเป็นที่คริสตจักรต้องให้การประเมิน และการทบทวนต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเขาอย่างเป็นรูปธรรมที่มีคุณประโยชน์

ผู้นำในปัจจุบันต้องช่วยพวกเขาให้เข้าใจมากกว่าแค่รู้ว่า เขาทำถูกหรือทำผิดแค่นั้น แต่พวกเขาต้องการแนวทางที่จะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในฐานะผู้นำที่ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างชัดเจนด้วย ดังนั้น คริสตจักรต้องตระหนักว่าการพัฒนาผู้นำที่มีอยู่ในปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง และการเตรียมตัวสร้างผู้นำ (รุ่นใหม่) เป็นสิ่งสำคัญยิ่งต่อการเสริมสร้างให้ก่อเกิดความเจริญเติบโตคริสตจักรของเรา

คริสตจักรจึงต้องกระตือรือร้นจริงจังในการลงทุนในตัวของผู้นำในรุ่นต่อไปด้วยความเข้าใจในธรรมชาติ ทั้งคนเก่าและคนใหม่ รวมทั้งความแตกต่างในด้านวัฒนธรรมทางองค์กรของทั้ง 2 ฝ่าย และต้องรู้จักวิธีผสมผสานผู้นำทั้ง 2 รุ่น ให้สามารถทำงานเป็นทีมเดียวกันที่ทำให้คริสตจักรก้าวหน้าและเกิดประสิทธิผลก้าวไปได้อย่างยอดเยี่ยม

คริสตจักรที่มีคุณลักษณะเช่นนี้จะมีอนาคตยาวไกล เป็นพระพรของพระเจ้าต่อชุมชนไทยและแผ่นดินโลกนี้ต่อไปได้อีกนานแสนนาน!

พี่น้องที่รัก!  คุณพร้อมจะร่วมลงทุนในคนรุ่นใหม่แล้วหรือยัง?

และหากคุณเป็นคนรุ่นใหม่ คุณที่พร้อมรับการลงทุนและการลงชีวิตเพื่อเป็นผู้นำที่เปี่ยมคุณภาพรุ่นต่อไปแล้วหรือยัง?        

 

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/ lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Tipsonraisingducks)                                                                                                           

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

กิน ดื่ม ให้เต็มที่อย่างมีความสุข?

กิน ดื่ม ให้เต็มที่อย่างมีความสุข?

“แล้ว​จะ​บอก​กับ​จิต‍ใจ​ของ​ข้า​ว่า “จิต‍ใจ​เอ๋ย เจ้า​มี​ทรัพย์‍สมบัติ​มาก​เก็บ​ไว้​พอ​หลาย​ปีจง​อยู่​สบาย กิน ดื่ม และ​รื่น‍เริง​เถิด” (ล.ก. 12:9)

 (And I will say to my soul, “Soul, you have ample goods laid up for many years; relax, eat, drink, be merry.)  

ข้อความข้างต้นมาจากอุปมาที่องค์พระเยซูคริสต์ทรงเล่าให้ฝูงชนฟัง เพราะมีชายผู้หนึ่งมาขอให้พระเยซูบอกกับพี่ชายของเขาให้แบ่งมรดกให้แก่เขาด้วย พระองค์ตรัสว่า พระองค์ไม่ใช่ผู้พิพากษาในเรื่องการแบ่งมรดกในท่ามกลางพี่น้อง พระองค์จึงฉวยโอกาสเตือนสติเราไม่ให้โลภ หรือกินอยู่อย่างฟุ่มเฟือย โดยเล่าอุปมาเรื่องหนึ่งว่า..       

“แล้ว​พระ‍องค์​ตรัส​กับ​พวก‍เขา​ว่า “ระวัง​ให้​ดี จง​หลีก‍เลี่ยง​จาก​ความ​โลภ​ทุก‍อย่าง เพราะ‍ว่า​ชีวิต​ของ​คน​ไม่‍ได้​อยู่​ที่​การ​มี​ของ​ฟุ่ม‌เฟือย”  แล้ว​พระ‍องค์​ตรัส​อุปมา​เรื่อง​หนึ่ง​ให้​เขา​ฟัง​ว่า “ไร่‍นา​ของ​เศรษฐี​คน​หนึ่ง​เกิด‍ผล​บริ‌บูรณ์​มาก เศรษฐี​คน​นั้น​จึง​คิด​ใน​ใจ​ว่า ‘ข้า​จะ​ทำ​อย่าง‍ไร​ดี? เพราะ‍ว่า​ข้า​ไม่‍มี​ที่​ที่​จะ​เก็บ​พืช‍ผล​ของ​ข้า’ เขา​จึง​คิด​ว่า ‘ข้า​จะ​ทำ​อย่าง‍นี้ คือ​จะ​รื้อ​ยุ้ง‍ฉาง​ของ​ข้า​และ​จะ​สร้าง​ใหม่​ให้​ใหญ่​โต​ขึ้น แล้ว​ข้า​จะ​รวบ‍รวม​ข้าว​และ​สมบัติ​ทั้ง‍หมด​ของ​ข้า​ไว้​ที่​นั่น แล้ว​จะ​บอก​กับ​จิต‍ใจ​ของ​ข้า​ว่า “จิต‍ใจ​เอ๋ย เจ้า​มี​ทรัพย์‍สมบัติ​มาก​เก็บ​ไว้​พอ​หลาย​ปี จง​อยู่​สบาย กิน ดื่ม และ​รื่น‍เริง​เถิด” แต่​พระ‍เจ้า​ตรัส​กับ​เขา​ว่า ‘โอ คน‍โง่ ใน​คืน​วัน‍นี้​ชีวิต​ของ​เจ้า​จะ​ต้อง​เรียก​เอา​ไป​จาก​เจ้า แล้ว​ของ​ที่​เจ้า​รวบ‍รวม​ไว้​นั้น​จะ​เป็น​ของ​ใคร?’ คน​ที่​สะสม​ทรัพย์‍สมบัติ​ไว้​สำหรับ​ตัว และ​ไม่‍ได้​มั่ง‍มี​ฝ่าย​พระ‍เจ้า​ก็​เป็น​เช่น​นั้น​แหละ” (ลก.12:15-21)

สรุปเรื่องราวได้ดังนี้

  1. เศรษฐีคนหนึ่ง มีที่ดินที่ให้พืชผลอุดมสมบูรณ์
  2. เขาจึงคิดหาที่เก็บพืชผลเหล่านั้น โดยจะรื้อยุ้งฉางเดิม และสร้างขึ้นใหม่เอาไว้เก็บทั้งพืชผลและข้าวของทุกอย่าง
  3. เขาจะบอกกับตัวเขาเองว่า ตัวเขามีของดีมากมายเก็บไว้พอสำหรับหลายปี ที่สามารถไว้ชีวิตให้สบาย ควบคู่ไปกับการกินดื่ม และรื่นเริง
  4. แต่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า เขาเป็นคนโง่ ที่จะตายภายในคืนนี้ และทุกสิ่งที่เขาเก็บสะสมไว้สำหรับตัวจะกลายเป็นของผู้อื่นไปทั้งหมด

พระองค์เตือนว่า คนฉลาดคือคนที่ส่ำสมไว้อย่างที่พระเจ้าประสงค์ให้กระทำ  แต่คนที่ส่ำสมไว้สำหรับตัวเอง คือคนโง่ ไม่ใช่คนมั่งมีในสายพระเนตรของพระเจ้าแน่นอน

ดังนั้น อย่าให้เราทำงาน เพียงเพื่อส่ำสมทรัพย์สมบัติ กินอยู่ หลับนอน อย่างสนุกเพลิดเพลิน เพียงแต่ตัวเองเท่านั้น นั่นเป็นสิ่งที่โง่ ทุกอย่างที่เรามี สะสมและยังไม่ได้ใช้ออกไป ล้วนไม่ใช่ของเรา และเราอาจไม่มีโอกาสได้ใช้มันเลย! อย่าให้เราหลงผิดฝักใฝ่ในสิ่งชั่วร้าย หรือลุ่มหลงในความสุขสำราญ และหลงผิดบูชาเงินทองหรือความมั่งคั่งร่ำรวยเป็นรูปเคารพ ดังที่ อ.เปาโลเตือนไว้

“เหตุ‍การณ์​เหล่า‍นี้​เป็น​เครื่อง‍เตือน‍ใจ​เรา​ไม่‍ให้​ปรารถ‌นา​สิ่ง​ชั่ว​เหมือน​เขา‍ทั้ง‍หลาย พวก‍ท่าน​อย่า​นับ‍ถือ​รูป‍เคารพ​เหมือน​บาง‍คน​ใน​พวก‍เขา​ได้​ทำ ดัง‍ที่​มี​เขียน​ไว้​ว่า “ประ‌ชา‍ชน​ก็​นั่ง‍ลง​กิน​และ​ดื่ม แล้ว​ก็​ลุก‍ขึ้น​เล่น​สนุก‍สนาน” อย่า​ให้​เรา​ล่วง‍ประ‌เวณี​เหมือน​บาง‍คน​ใน​พวก‍เขา​ได้​ทำ แล้ว​ก็​ล้ม‍ลง​ตาย​ใน​วัน​เดียว​สอง​หมื่น​สาม‍พัน​คน อย่า​ให้​เรา​ลอง‍ดี​พระ‍คริสต์ เหมือน​บาง‍คน​ใน​พวก‍เขา​ได้​ทำ แล้ว​ต้อง​พินาศ​ด้วย​งู‍ร้าย” (1คร.10:6-9)

เรามีตัวอย่างของคนในสมัยโบราณที่ล้มตายในขณะที่ยังกินดื่ม และสำเริงสำราญกันอย่างคนที่ละทิ้งพระเจ้า เราควรจะมีสติใส่ใจในการ กินดื่ม อย่างที่พอพระทัยของพระเจ้า ไม่ใช่หมกมุ่นกับการกินดื่มที่ทำให้ห่างไกลจากแผ่นดินของพระเจ้า

“เพราะ‍ว่า​แผ่น‍ดิน​ของ​พระ‍เจ้า​นั้น​ไม่​ใช่​การ​กิน​และ​การ​ดื่ม แต่​เป็น​ความ​ชอบ‍ธรรม สันติ‍สุข และ​ความ​ชื่น‍ชม​ยินดี​ใน​พระ‍วิญ‌ญาณ‍บริ‌สุทธิ์” (รม.14:17)

ดังนั้น ขอให้เรากินดื่มด้วยความเคารพรักในพระเจ้าและให้เกียรติพี่น้องและตัวของเราเอง และขอให้เราแสวงหาความชอบธรรม สันติสุข และชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์ อย่าให้เราสาละวนอยู่กับการกินดื่มอย่างขาดการยังยั้งชั่งใจ หรือขาดวินัย ไม่สนใจกับคำสอน  และคำเตือนของพระเจ้า (ผ่านพระวจนะของพระองค์) เพราะว่า วันสุดท้ายของโลก หรือของชีวิตของเรา อาจเกิดได้อย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว

“พวก‍เขา​กิน​และ​ดื่ม สมรส​กัน และ​ยก​ให้​เป็น​สามี​ภรรยา​กัน จน‍กระ‌ทั่ง​ถึง​วัน‍นั้น​ที่​โน‌อาห์​เข้า​ไป​ใน​เรือ‍ใหญ่ และ​น้ำ​มา​ท่วม​ล้าง‍ผลาญ​พวก‍เขา​จน​หมด‍สิ้น ใน​สมัย​ของ​โลท ​ก็​เหมือน‍กัน เขา​กิน​ดื่ม ซื้อ​ขาย หว่าน​ปลูก ก่อ‍สร้าง” (ลก.17:27-28)

ขอให้นับจากวันนี้เป็นต้นไป เราจะตื่นตัว เราจะระมัดระวังในการกินดื่ม (และทำงาน) อย่างมีสติ ไม่โง่เขลา และเฝ้าระวังตัวให้พร้อมสำหรับวาระสุดท้ายของชีวิต หรือของโลกนี้อยู่ตลอดเวลา

หากเรามีความสุขกับการกินดื่มของเราทุกครั้ง นี่ก็คือ รางวัลของชีวิตที่มาจากพระเจ้า!

อย่างนี้จะน่ายินดีไหม?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/

lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ la-confidential-magazine.com)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

อะไรคือสามสิ่งที่สำคัญในชีวิต

อะไรคือสามสิ่งที่สำคัญในชีวิต?

“มีอยู่ 3 สิ่งที่คุณไม่อาจนำกลับคืนมาในชีวิต

หนึ่งคือ ช่วงเวลาดี ๆ หลังจากที่คุณพลาดไป

สอง ถ้อยคำที่คุณพูดออกไป

สาม เวลาที่คุณปล่อยให้เสียไป!”

(Three things you cannot recover in life

The moment after it’s missed,

The word after it’s said,

And the time after it’s wasted.)

คนเรามักร้องไห้เสียใจกับสิ่งที่ผ่านไปหรือพลาดไป  แล้วทำไมเราจึงปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น?

บ่อยครั้งที่เหตุการณ์เหล่านั้นเกิดจากความประมาท สะเพล่าละเลย การขาดความใส่ใจหรือการไร้วินัยในการดำเนินชีวิต เพราะหากว่าเราให้ความสนใจกับชีวิตของเรา และคนรอบตัวของเราจริง ๆ เราจะใส่ใจจดจำรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อสร้างความพึงพอใจให้แก่ตัวเองและคนที่เรารัก โดยไม่ให้คนเหล่านั้นผิดหวังหรือเสียใจ

ดังคำกล่าวที่ว่า…

“ ถ้าสิ่งนั้นสำคัญต่อคุณ คุณจะหาทางทำจนได้ แต่ถ้ามันไม่สำคัญ คุณก็จะหาข้อแก้ตัวไม่ทำได้เช่นกัน”

(If it’s important to you.  You’ll find a way. If it’s not you’ll find an excuse.)

ดังนั้น หากคุณชะล่าใจ และประมาท คุณอาจจะปล่อยให้สิ่งสำคัญในชีวิตของคุณสูญเสียหรือสูญหายไป ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นที่คุณจะต้องใส่ใจในการจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตของคุณให้ชัดเจน หากคุณไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่สำคัญหรือคนที่สำคัญในชีวิตของคุณ คุณอาจจะสูญเสียสิ่งนั้นหรือคน ๆ นั้นไปอย่างเจ็บปวดรวดร้าว

ขอให้คุณตระหนักไว้เสมอว่า หากคุณปล่อยให้ช่วงเวลาที่สำคัญในชีวิต พลาดหรือผ่านไปโดยไม่ทำสิ่งที่ควรทำในช่วงเวลาดังกล่าว คุณจะสูญเสียมันไปเปล่า ๆ ตลอดกาล

อาทิ ช่วงเวลาที่คุณควรใช้กับคนที่คุณรัก แล้วคุณไม่ใช้ เมื่อโอกาสนั้นผ่านพ้นไปมันจะไม่ย้อนกลับมาอีก ไม่ว่าคุณจะเสียใจมากเพียงใด  หรือพร้อมจ่ายราคามากมายขนาดไหน แต่ก็สายเกินไปแล้ว!

คำพูดของคุณก็เช่นกัน ก่อนออกจากปากของคุณ คุณยังเป็นนายของมัน แต่ในยามที่มันออกจากปากของคุณแล้ว มันจะกลับกลายเป็นนายของคุณแทนในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคดิจิืทัล ที่ทุกสิ่ง ทุกอย่างที่ คุณพูด คุณกระทำ จะถูกบันทึกไว้อย่างถาวรในโลก online ที่คุณไม่มีทางปฏิเสธบ่ายเบี่ยงได้เลยว่า คุณไม่ได้พูด ไม่ได้ทำ ตลอดชีวิตของคุณ

ดังนั้น จงคิดดี ๆ ก่อนที่คุณจะพูดอะไรออกมา เช่นเดียวกับเวลา ซึ่งเป็นทรัพยากรที่ล้ำค่าที่สุด เพราะเวลาคือชีวิตของเราเอง และทุกนาล้วนทีมีคุณค่ามหาศาลที่ไม่อาจประเมินราคาเป็นเงินทองได้

ขอให้คุณเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า  ไม่ว่าคุณจะเอาทองคำมากองเท่าภูเขาลูกใหญ่ คุณก็ไม่อาจเอาเวลาคืนกลับมาได้ แม้แต่นาทีเดียว

จงจำไว้ว่า เวลามีค่ามากกว่าเงินทอง คุณอาจได้เงินทองมามากขึ้น แต่คุณไม่อาจจะได้เวลามากขึ้นกว่าที่ถูกกำหนดไว้

ทุก ๆ วินาทีคือ คุณค่าที่เกินประเมินค่า!

ดังนั้นขอย้ำอีกครั้งว่า ช่วงเวลาพิเศษ คำพูด และเวลา สิ่งเหล่านี้ล้วนมีคุณค่า และสำคัญยิ่งต่อชีวิตของคนเรา  ถ้าผ่านไปแล้วจะไม่หวนกลับคืนมา ดังนั้น คุณจงรู้จักฉวยโอกาส ใช้สิ่งเหล่านั้นอย่างถูกกาลเทศะ ให้เกิดคุณค่าสูงสุดในชีวิตของคุณ ต่อคนที่คุณรัก และต่อคนในโลกนี้

แล้วคุณจะไม่รู้จักคำว่า “เสียดาย” หรือ “เสียใจ” ในชีวิตของคุณเลย!

“เพราะ‍ฉะนั้น จง​ระวัง​ใน​การ​ดำ‌เนิน​ชีวิต​ให้​ดี อย่า​เหมือน​คน​ไร้​ปัญญา แต่​ให้​เหมือน​คน​มี​ปัญญา 16จง​ใช้​โอกาส​ให้​เป็น​ประ‌โยชน์ เพราะ‍ว่า​ทุก​วัน‍นี้​เป็น​ยุค​สมัย​ที่​ชั่ว‍ร้าย”  (เอเฟซัส 5:15-16)

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/ lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Flickr.com)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

อีสเตอร์คืออะไร? และตรงกับวันไหน?

อีสเตอร์คืออะไร?  และตรงกับวันไหน?

 “พระ‍เยซู​ตรัส​กับ​นาง​ว่า “เรา​เป็น​ชีวิต​และ​การ​เป็น​ขึ้น​จาก​ตายคน​ที่​วาง‍ใจ​ใน​เรา​จะ​มี​ชีวิต​อีก​แม้‍ว่า​เขา​จะ​ตาย​ไป และ​ทุก‍คน​ที่​มี​ชีวิต​และ​วาง‍ใจ​ใน​เรา​จะ​ไม่​ตาย​เลย   เธอ​เชื่อ​อย่าง‍นี้​ไหม?” (ยอห์น 11:25-26)

Jesus said to her, “I am the resurrection and the life. Whoever believes in me, though he die,  yet shall he live, and everyone who lives and believes in me shall never die.  Do you believe this?”  (John 11:25-26)

อีสเตอร์ เป็นเรื่องราวของชัยชนะเหนือความตาย ความบาป และความชั่ว

อีสเตอร์ เป็นวันที่บอกเรื่องราวของข่าวดีที่ยิ่งใหญ่  เพราะแสงสว่างชนะความมืดมิด ความดี ชนะความชั่ว  การเป็นขึ้นจากตาย ชนะความตาย  และความหวัง ชนะความสิ้นหวัง

ทั้งหมดเกิดขึ้นจากการที่พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเป็นขึ้นจากตาย หลังจากที่ได้ทรงรับโทษบาปแทนมนุษย์ทุกคนบนไม้กางเขนแล้ว

กางเขนที่เคยเป็นเครื่องหมายแห่งความทุกข์ทรมาน สิ้นหวัง กลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งความชื่นชนยินดี มีความหวัง!

กางเขนที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของการดูถูก กลับกลายมาเป็นเครื่องหมายแห่งเกียรติ สิริ !

อุโมงค์ที่เก็บศพภายใต้การคุ้มกันอย่างเอาจริงเอาจังของทหารโรม กลายเป็นหลักฐานที่ยืนยันการเป็นขึ้นมาจากตายที่สำคัญยิ่ง พระกายของพระคริสต์ที่เป็นขึ้นมาจากความตาย ได้กลับกลายมาเป็นเครื่องหมายแห่งความปราชัยของความมรณา และมารซาตาน พร้อมกับแผนการทั้งหลายของมัน! แม้ว่า วันอีสเตอร์เป็นการเฉลิมฉลองจะเปลี่ยนไปในแต่ละปี เพราะบางแห่งนับกันในระบบจันทรคติ ในขณะที่ปัจจุบันเราใช้ปีปฏิทินตามสุริยคติ

วันอีสเตอร์ เกี่ยวข้องกับ ดวงจันทร์วันเพ็ญ (พระจันทร์เต็มดวง) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันอีสเตอร์จะฉลองกันในวันอาทิตย์แรกหลังจากวันปัสกาที่พระจันทร์เต็มดวง หรือหลังจากวันที่เรียกว่า Vernal Equinox”  ภาษาไทยแปลว่า “วสันตวิษวัต” หมายถึง วันที่มีกลางวันกับกลางคืนเท่ากัน  (เพราะวิษุวัต (equinox) หมายถึง เวลาที่ดวงอาทิตย์โคจรรอบเส้นศูนย์สูตร ทำให้กลางวันเท่ากับกลางคืน เกิดขึ้นปีละ 2 ครั้ง ในราว วันที่21 มีนาคม (vernal equinox) กับวันที่ 22 กันยายน (autumnal equinox) ) ซึ่งกำหนดว่า เป็นวันที่เริ่มต้นจากวันที่ 21 มีนาคม เป็นต้นไป (เป็นวันเข้าฤดูใบไม้ผลิ)

ดังนั้น วันอีสเตอร์จะอยู่ในช่วง ระหว่างวันที่ 22 มีนาคม – 25 เมษายน 

แต่คริสตจักร ออร์ธอด็อกซ์ ทางตะวันออกจำนวนมาก (ที่ยึดตามปฏิทินของ Julian Calendar) จะเฉลิมฉลองในช่วงใดก็ได้ ระหว่างวันที่ 4 เมษายน – 8 พฤษภาคม

ตัวอย่าง เปรียบเทียบเวลาอีสเตอร์ทั่วไปกับอีสเตอร์ของคริสตจักร ออร์ธอด็อกซ์ตะวันออก

ปี

วันอาทิตย์อีสเตอร์

(ตามปฏิทินปัจจุบันของ

Gregorian Calendar)

อีสเตอร์ตามปฏิทินคริสตจักร

ออร์ธอด็อกซ์ ตะวันออก

(ตามปฏิทิน The Julian Calendar)

2017 16 เมษายน 16 เมษายน
2018 1 เมษายน 8 เมษายน
2019 21 เมษายน 28 เมษายน

 

แล้วไข่มาเกี่ยวข้องกับอีสเตอร์ได้อย่างไร?      ไข่เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตใหม่

พระเยซูถูกตรึงตาย เอาไปฝังไว้ในอุโมงค์ แบบเดียวกัน ไข่ภายในเปลือกไข่ …  นิ่งเงียบสงบ จนถึงวันที่พระองค์เป็นขึ้นจากตาย เสด็จออกมาจากอุโมงค์ ด้วยชัยชนะดุจเดียวกับที่ไก่จะออกจากไข่มา  กลายเป็นสัญลักษณ์ ของชีวิตใหม่!

ส่วนกระต่าย ล่ะ มาจากไหน?

กระต่าย (the hare) นั้นเป็นสัญลักษณ์ แห่งความอุดมสมบูรณ์ (fertility) ของชาวอียิปต์  เลยถูกนำใช้เป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรือง

อีสเตอร์ จึงเป็นเครื่องหมายแห่งการเจริญเติบโต อันรุ่งเรืองยิ่ง (ดุจเดียวกับธรรมชาติที่เปลี่ยนจากฤดูหนาวที่ดูสิ้นหวัง กลายเป็นช่วงเวลาฤดูใบไม้ผลิที่มวลแมกไม้ผลิดอกออกบานกันอย่างเริงรื่น อีสเตอร์จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังใจที่ให้ความหวัง (ใหม่) แห่งชีวิตแก่มวลมนุษย์

ส่วนนามว่า “อีสเตอร์” นั้น เข้าใจกันมาจากนามของ เทพเทวี (goddess) นาม “อีสเตอร” (Eostre) ซึ่งเป็นเทพแห่งฤดูใบไม้ผลิที่ชาวแองโกลแซกซอนบูชา (ที่เชื่อกันว่า คำว่า “Easter” นี้มาจากคำที่มีความหมายว่า “rising” (เป็นขึ้น) , dawn ( รุ่งอรุณ)  หรือ “east” (ตะวันออก) )

แล้วพระคัมภีร์ล่ะ กล่าวถึงอีสเตอร์อย่างไร?

ในพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษฉบับ King James Bible กล่าวถึงคำว่า Easter” นี้ใน พระธรรม กิจการ 12:1-4 ที่ในฉบับภาษาไทย เราใช้คำ “เทศกาลปัสกา” (the Passover) แต่แท้จริงแล้ว ในพระคัมภีร์มักนิยมใช้คำว่า “บัพติศมา” (Baptism) ไม่ใช่ Easter เป็นสัญลักษณ์ของ การตาย การถูกฝังและการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์

ดังปรากฏใน โรม 6:3-5

“ท่าน‍ทั้ง‍หลาย​ไม่​รู้​หรือ​ว่าเรา​ผู้​ที่​ได้​รับ​บัพ‌ติศ‌มา​เข้า​ใน​พระ‍เยซู‍คริสต์ก็​ได้​รับ​บัพ‌ติศ‌มา​นั้น​เข้า​ใน​การ​ตาย​ของ​พระ‍องค์? เพราะ‍ฉะนั้น เรา​จึง​ถูก​ฝัง​ไว้​กับ​พระ‍องค์​แล้ว โดย​การ​รับ​บัพ‌ติศ‌มา​เข้า​ใน​การ​ตาย​นั้น เพื่อ​ว่า​เมื่อ​พระ‍บิดา​ทรง​ให้​พระ‍คริสต์​เป็น​ขึ้น​มา​จาก​ตาย​โดย​พระ‍สิริ​ของ​พระ‍องค์​แล้ว เรา​ก็​จะ​ได้​ดำ‌เนิน​ตาม​ชีวิต​ใหม่​ด้วย​เหมือน‍กัน เพราะ‍ว่า​ถ้า​เรา​เข้า​สนิท​กับ​พระ‍องค์​แล้ว​ใน​การ​ตาย​อย่าง​พระ‍องค์ เราก็จะเข้าสนิทกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตายอย่างพระองค์”

คริสเตียนไม่ได้ฉลองอีสเตอร์เป็นพิธีกรรม เฉพาะวันอาทิตย์อีสเตอร์ แบบครบรอบปีละ 1 ครั้ง     

ความหมายที่แท้จริงของอีสเตอร์ คือการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ กลายเป็นความเป็นจริงในชีวิตของเราทุกวัน  ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอย่างมีชัยชนะ  ดังนั้น การตายและการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูจึงเป็นความหวังประจำวัน ที่สำแดงถึงความปรารถนาดีในพระทัยของพระเจ้า การมีชัยชนะเหนือความชั่วร้าย ความจริงที่มีชัยเหนือความมุสา และความรัก ที่พิชิตความบาป

ดังนั้น ขอให้เรามาร่วมใจเฉลิมฉลอง และประกาศข่าวดีแห่งความมีชัยในวันอีสเตอร์นี้ให้แก่คนทั้งปวงกันทุกวันเลย 

…จะดีไหม?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/

lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr. ภาพ Christian today)