Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ก่อนที่คุณจะพูด คุณควรทำอะไรบ้าง?

ก่อนที่คุณจะพูด คุณควรทำอะไรบ้าง?

 “ก่อนที่คุณจะพูด จงคิดก่อนว่า…

 T –  สิ่งที่พูดนั้นเป็นจริง (True) ไหม?

 H –  สิ่งที่พูดนั้นช่วย ให้ดีขึ้น (Helpful) ไหม?

 I  –  สิ่งที่พูดนั้นสร้างแรงบันดาลใจ (Inspiring) ไหม?

N –  สิ่งที่พูดนั้น จำเป็น (Necessary) ไหม?

K –  สิ่งที่พูดนั้น แสดงความเมตตา กรุณา (Kind) หรือไม?”

(Before you speak:   “Think”

   T – Is it true?

  H – Is it Helpful?

  I – Is it Inspiring?

  N – Is it Necessary?

  K – Is it Kind? )

สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นก็คือ วินัยในการพูด !

เราจะไม่พูดในสิ่งที่ไม่ก่อเกิดประโยชน์ หรือตรงกันข้าม พูดออกไปแล้วอาจก่อเกิดความเสียหาย! เพราะคนที่ไม่มีวินัยในการควบคุมสิ่งที่พูด ตัวเขาเองจะถูกสิ่งที่เขาพูดออกมานั้นควบคุมตัวเขาเอง!

ดุจคำกล่าวที่ เราคุ้นเคยที่ว่า…

“ถ้าคุณไม่ควบคุมคำพูดของคุณ คำพูดของคุณจะควบคุมคุณ!”  หรือ

“ก่อนพูด ขณะที่คำพูดยังอยู่ในหัวหรือในปากของเรา เรายังเป็นนายของคำพูดเหล่านั้นอยู่ แต่หลังจากที่คำพูดมันออกจากปากของเราแล้ว มันจะกลายเป็นนายของเราในทันที!”

ดังนั้น คุณจำเป็นต้องมีวินัยในการควบคุมคำพูดของคุณ ถ้าหากว่าคุณไม่อยากเสียใจหรือทำให้คนอื่นต้องเสียใจ และบาดแผลที่เกิดจากคำพูดนั้นบาดลึก นั้นจะสร้างความเจ็บปวดไว้ให้อย่างยาวนานตลอดไป

ด้วยเหตุนี้ หากคุณจะพูดอะไร ขอให้แน่ใจก่อนว่า คำพูดของคุณมีคุณลักษณะข้างต้นคือ เป็นคำพูดที่จริง มีประโยชน์ (ช่วยได้) ให้แรงบันดาลใจ จำเป็นและเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณา

ในพระวจนะของพระเจ้ามีคำแนะนำในการพูดไว้ดีมากว่า ….

“อย่าให้คำเลวร้ายออกจากปากของท่านทั้งหลาย แต่จงกล่าวคำดีๆ ที่เสริมสร้างและที่เหมาะกับความต้องการ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยิน”  (เอเฟซัส 4:29)

ขอให้คุณเตือนตัวของคุณเองไว้เสมอว่า …

“ถ้าคุณไม่อาจมีความเมตตากรุณา ก็อย่าเอ่ยปากพูดอะไรออกมา!”

(If you can’t  be kind, be quiet)

แล้วชีวิตของคุณกับอีกหลายคนจะรอดพ้นจากความทุกข์เจ็บปวดที่ไม่จำเป็น

ขอให้คุณใช้คำพูดวาจาของคุณ พูดแต่ความจริงด้วยความรักเท่านั้น  จะดีกว่า!

เห็นด้วยไหมครับ?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/

lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Flickr.com)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

จะทำตัวเองให้เจ็บปวดต่อไปอีกทำไมเล่า?

จะทำตัวเองให้เจ็บปวดต่อไปอีกทำไมเล่า?

“การเอาแต่ยึดความโกรธไว้ ก็เปรียบได้กับ การดื่มยาพิษ แล้วคาดหวังให้คนอื่นตาย!

(Holding on to anger is like drinking poison and expecting the other person to die.)

 ช่างเป็นเรื่องน่าขำใช่ไหม ที่เราอยากให้คนอื่นตาย แต่เรากลับทำให้ตัวเองตายซะเอง!

คาอินโกรธอาเบลน้องชายของตน จนโถมเข้าใส่ และฆ่าน้องตาย เป็นเหตุให้ตัวเองต้องหนีตายไปจนสุดปลายแผ่นดิน  (ปฐก.4:5-8)

โปทิฟาร์ เจ้านายของโยเซฟ โกรธโยเซฟ จึงจับโยเซฟผู้เป็นมือขวาของตนเองไปขังคุก โดยไม่ไต่สวนหาข้อเท็จจริง สุดท้ายตัวเองก็ต้องกลับมาแบกภาระในการดูแลบ้านด้วยตนเอง (ปฐก.39:19)

นาอามาน โกรธ เอลีชา และไม่ทำตามคำแนะนำ ทำให้โรคเรื้อนไม่หาย (ก่อนจะกลับมาเปลี่ยนใจ) (2พกษ.5:11)

บาลาอัม โกรธลาที่ไม่ไปต่อ จึงเอาไม้ตีลาและเกือบทำให้ตัวเองต้องตาย จนพระเจ้าเปิดตาให้เห็นอันตรายที่รออยู่ ซึ่งลามองเห็น (กดว.22:27)

สหาย 3 คนของโยบ โกรธโยบที่ไม่ยอมรับว่า ตัวเองมีบาป(อย่างที่พวกเขาคิด) ทำให้ตัวพวกเขาได้รับการตำหนิจากพระเจ้า (โยบ 32:3-5)

พี่ชายโกรธน้องชาย(ที่หลงหาย) ทำให้เขาพาลโกรธพ่อ ว่าน้อง และทำให้ตัวเองไม่มีความสุข  (ลก.15:28) ฯลฯ

น่าแปลกใจที่คนเราจำนวนไม่น้อยเป็นพวกชอบทำร้ายตัวเอง โดยการปล่อยให้ความโกรธครอบงำใจของเขา เวลาโกรธสมองมักจะหยุดทำงาน! เวลาที่เราโกรธ คนแรกที่เราฆ่าคือ ตัวเราเอง!

ดังนั้น เวลาที่เราโกรธ ไม่ว่าเราจะฆ่าคนที่เราโกรธได้หรือไม่? แต่ที่แน่ ๆ คือ เราได้ฆ่าตัวเองไปแล้ว ขอให้สำนึก ณ บัดนี้ว่า หากเรายังโกรธผู้ใดอยู่ แบบข้ามวันข้ามคืน ก็เท่ากับ เรากำลังดื่มยาพิษ โดยหวังให้คนที่ทำให้เราโกรธนั้นตาย ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว คน ๆ นั้นยังอยู่ปกติสุขดี แต่ตัวเราต่างหากที่กำลังทรมานหรือตายไปแล้ว

ดังนั้น สิ่งแรกที่เราควรจะทำ ณ บัดนี้ก็คือ จงละทิ้งความโกรธของเราไปเสีย

แต่บัดนี้ท่านทั้งหลายจงละทิ้งสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด คือความโกรธ ความฉุนเฉียว การคิดร้าย การใส่ร้าย และคำพูดหยาบโลนที่ออกจากปากของท่าน”  (คส.3:8)

และสิ่งที่เราควรจะรีบทำอย่างเร่งด่วนก็คือ ให้อภัยคนนั้นที่ทำให้เราโกรธ เหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงอภัยให้แก่เรา แล้วเอาเวลาและอารมณ์ ที่เสียไปกับความโกรธเหล่านั้น ไปทำสิ่งอื่นที่จะทำให้ตัวเราและคนข้าง ๆ เรามีความสุขจะดีกว่า!

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Vet Locator)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ทำไมต้องระวังความคิดของเรา?

ทำไมต้องระวังความคิดของเรา?

“จงระวังความคิดของคุณให้ดี เพราะว่าความคิดของเราได้ยินไปถึงสวรรค์”

(Guard well your thoughts; Our thoughts are heard in heaven.)      -Owen D. Young-

ในพระคัมภีร์เล่มแรกคือ พระธรรมปฐมกาล ได้เล่าให้เราทราบว่า …  พระเจ้าทรงเห็นเค้าความคิดในใจทั้งหมดของมนุษย์

“5พระยาห์เวห์ทรงเห็นว่าความชั่วร้ายของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน และทรงเห็นว่าเค้าความคิดในใจทั้งหมดของเขาล้วนเป็นเรื่องชั่วร้ายตลอดเวลา 6พระยาห์เวห์เสียพระทัยที่ทรงสร้างมนุษย์ไว้บนแผ่นดินและโทมนัสยิ่งนัก 7พระยาห์เวห์จึงตรัสว่า “เราจะกวาดล้างมนุษย์ที่เราได้สร้างมานี้ไปเสียจากแผ่นดิน ทั้งมนุษย์และสัตว์ใช้งาน กับสัตว์เลื้อยคลานและนกในอากาศด้วย เพราะว่าเราเสียใจที่ได้สร้างพวกเขา”  (ปฐมกาล 6:5-7)

พระธรรมตอนนี้เปิดเผยความจริงว่า

  1. พระเจ้าทรงเห็นความชั่วร้ายของมนุษย์ทวีมากยิ่งขึ้น
  2. พระเจ้าทรงทราบเค้าความคิด(ความคิดจิตใจ) ของพวกเขาล้วนโน้มเอียงไปในทางชั่วร้ายอยู่เสมอตลอดเวลา
  3. พระเจ้าทรงเสียพระทัยที่ทรงสร้างมนุษย์ไว้บนแผ่นดิน
  4. พระเจ้าทรงโทมนัสปวดร้าวในพระทัยยิ่งนักกับสิ่งที่มนุษย์คิดและทำ
  5. พระเจ้าทรงตัดสินพระทัยที่จะกวาดล้างมนุษย์ไปเสียจากผืนแผ่นดิน รวมทั้ง สัตว์ใช้งาน สัตย์เลื้อยคลาน และนกในอากาศด้วย

ในพระธรรมปฐมกาล 6:11-12 อธิบายเพิ่มเติมว่า … ในขณะนั้น โลกเสื่อมทรามมากในสายพระเนตรของพระเจ้า และเต็มไปด้วยความโหดร้ายทารุณ พระเจ้าจึงจะนำจุดจบมาถึงคนทั้งปวง!

เราทราบว่า พระเจ้าทรงให้โนอาห์สร้างเรือเพื่อช่วยคนในโลกที่สำนึกกลับใจขึ้นเรือเพื่อรอดพ้นจากความพินาศ แต่ก็น่าเศร้าที่ไม่มีใครเชื่อและกลับใจ อีกทั้งยังคงดำเนินชีวิตตามที่เป็นมา จนกระทั่งสายเกินไป

 “37เพราะว่าสมัยของโนอาห์เคยเป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้น 38เพราะว่าก่อนวันน้ำท่วมนั้น คนทั้งหลายพากันกินดื่มกัน สมรสกันและยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนถึงวันที่โนอาห์เข้าไปในเรือใหญ่ 39และน้ำท่วมกวาดเอาพวกเขาไปทุกคนโดยไม่ทันรู้ตัวอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้น”   (มธ.24:37-39)

มีแต่โนอาห์และคนในครอบครัว ทั้งหมด  8 คน เท่านั้นที่เชื่อฟัง ขึ้นเรือ และรอดตาย!

“ซึ่งในสมัยก่อนไม่เชื่อฟังพระเจ้า คราวเมื่อพระเจ้าทรงอดทนรอคอยให้กลับใจในสมัยโนอาห์ ขณะที่ท่านกำลังต่อเรือใหญ่ ในเรือนั้นมีน้อยคน คือแปดชีวิตรอดผ่านน้ำ” (1ปต.3:20)

“และไม่ได้ทรงยกเว้นโลกสมัยโบราณ แต่ได้ทรงคุ้มครองโนอาห์ผู้ประกาศความชอบธรรม กับคนอื่นอีกเจ็ดคน เมื่อคราวที่พระองค์ได้ทรงบันดาลให้น้ำท่วมโลกของคนอธรรม”   (2ปต.2:5)

น่าเศร้าที่ตลอดประวัติศาสตร์มนุษย์ ล้วน  1. คิดชั่ว  2. ทำชั่ว  และทำให้โลกนี้เสื่อมทรามลง

ในสมัยแรกพระเจ้าทรงล้างโลกด้วยน้ำ แต่ในวาระสุดท้ายนี้ พระเจ้าจะทรงล้างโลกด้วยไฟ!

ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของชีวิตเราตลอดนิรันดร์ ขอให้เราคิดใหม่ กลับใจใหม่ และดำเนินชีวิตใหม่อย่างที่พระเจ้าพอพระทัย คือ บริสุทธิ์และยำเกรงพระเจ้าเพื่อเราจะได้รับความรอดและจะได้อยู่ในแผ่นดินใหม่ของพระองค์

“8แต่ท่านที่รักทั้งหลาย อย่ามองข้ามความจริงข้อนี้เสีย คือวันเดียวของพระเจ้าเป็นเหมือนกับพันปี และพันปีก็เป็นเหมือนกับวันเดียว 9องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเฉื่อยช้าในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ ตามที่บางคนคิดนั้น แต่ทรงอดทนกับพวกท่าน พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ใครพินาศเลย แต่ประสงค์ให้ทุกคนกลับใจใหม่ 10แต่วันขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น จะมาถึงเหมือนอย่างขโมยและในวันนั้น ฟ้าจะหายลับไปด้วยเสียงดังกึกก้อง และโลกธาตุจะสลายไปด้วยไฟ และแผ่นดินกับสิ่งสารพัดที่มีอยู่บนนั้นจะถูกเผาจนหมดสิ้น 11เมื่อเห็นแล้วว่าทุกสิ่งจะต้องสลายไปเช่นนี้ พวกท่านควรจะเป็นคนแบบไหนในการดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์และที่ยำเกรงพระเจ้า 12จงเฝ้ารอและเร่งวันของพระเจ้าให้มาถึง ซึ่งวันนั้นท้องฟ้าจะถูกเผาจนสลายไป และโลกธาตุก็จะสลายไปด้วยไฟ 13แต่ว่าตามพระสัญญาของพระองค์นั้น เราจึงคอยท้องฟ้าใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ ที่ความชอบธรรมจะดำรงอยู่ 14เพราะฉะนั้น ท่านที่รักทั้งหลาย เมื่อพวกท่านกำลังคอยและเร่งสิ่งเหล่านี้อยู่ ก็จงให้พระองค์ทรงพบพวกท่านมีใจสงบ ปราศจากมลทินและข้อตำหนิ” (2ปต.3:8-14)

 พี่น้องที่รัก ..ขอให้เราดำเนินชีวิตอย่างมีวินัยในการคิดและทำอย่างที่พระเจ้าประสงค์

   …จะดีไหมครับ

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ RentSauce)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

คำตักเตือนแบบไหนที่พระคริสต์ต้องการ?

ตักเตือนแบบไหนที่พระคริสต์ต้องการ?

พี่‍น้อง​ทั้ง‍หลาย เรา​ขอ‍ร้อง​ท่าน​ให้​นับ‍ถือ​คน​ที่​ทำ‍งาน​อยู่​ท่าม‍กลาง​พวก‍ท่าน และ​ปก‍ครอง​ท่าน​และ​ตัก‍เตือน​ท่าน​ใน​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า  จง​เคารพ​และ​รัก​เขา​ให้​มาก​เพราะ​งาน​ที่​เขา​ได้​ทำ จง​อยู่​อย่าง​สงบ‍สุข​ด้วย‍กัน พี่‍น้อง​ทั้ง‍หลาย ขอ​ให้​พวก‍ท่าน​ตัก‍เตือน​คน​ที่​เกียจ‍คร้าน หนุน​ใจ​ผู้​ที่​ขาด​ความ​กล้า‍หาญช่วย‍เหลือ​คน​ที่​อ่อน‍กำลัง และ​มี​ความ​อดทน​ต่อ​ทุก​คน” (1ธส.5:12-14)

คำว่า “ตักเตือน” หมายความว่า

.“สั่งสอนให้รู้สำนึกตัว”            

ข. “เตือน, พูดให้รู้ตัว, บอกล่วงหน้า”

ในพจนานุกรม ภาษาอังกฤษหลายฉบับแปลคำตักเตือนว่า

.“ว่ากล่าว, เตือน, ต่อว่า, ตำหนิ, ติเตียน”  

ข. “ให้คำปรึกษา, ให้คำแนะนำ, ทำให้ฉุกคิด”

ในการอยู่ร่วมกัน ไม่ว่าจะในบ้าน ในโบสถ์ หรือในที่ทำงาน  เราต้องมีการเตือนสติ หรือตักเตือนกันอยู่เสมอ เพราะว่า เราแต่ละคนล้วนไม่สมบูรณ์ โอกาสที่จะคิดผิด พูดผิด ตัดสินใจผิด หรือทำผิด ฯลฯ อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา  ดังนั้นหากว่ามีอาการใดบ่งบอกว่า เริ่มมีการคิดผิด  ตัดสินใจผิด  พูดผิด หรือทำผิด  เราก็ควรจะรีบช่วยกัน เตือน (สติ) กันให้รู้ตัวในทันที

 ในบ้าน ปกติก็เป็นหน้าที่ของหัวหน้าครอบครัวที่จะดูแลทุกคนในบ้านให้อยู่กันอย่างเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกันและรักกัน  ในโบสถ์ก็เช่นกัน พระเจ้าทรงแต่งตั้งคนบางคนหรือบางกลุ่มให้ทำหน้าที่ปกครองดูแลคริสตจักร (แต่ไม่ใช่อย่างเผด็จการที่รวบอำนาจ บังคับ ขืนใจ สมาชิก)    ผู้นำหรือผู้รับใช้ของคริสตจักรมักมีหน้าที่หลัก(ในตอนนี้) 3  ประการ คือ

ก.ทำงานอยู่ท่ามกลางสมาชิก    

ข. ปกครองสมาชิก     

ค.ตักเตือนสมาชิก ในองค์พระผู้เป็นเจ้า

  1. ในพระธรรม (1ธส.5:12ก) ตอนนี้ บอกว่าหน้าที่ของผู้นำ หรือผู้รับใช้ประการแรกคือ เป็นผู้ทำงานหนัก

           “พี่‍น้อง​ทั้ง‍หลาย เรา​ขอ‍ร้อง​ท่าน​ให้​นับ‍ถือ​คน​ที่​ทำ‍งาน​อยู่​ท่าม‍กลาง​พวก‍ท่าน” (1ธส.5:12ก) เมื่อผู้นำหรือผู้รับใช้ทำงานท่ามกลางเราเช่นนี้ เราก็ควรจะนับถือให้เกียรติแก่พวกท่าน

  1. ในพระธรรมฮีบรู 13 : 7 และ 13:17 ก็บอกว่า หน้าที่ของผู้นำในคริสตจักรประการที่ 2 คือ กล่าวพระวจนะของพระเจ้าแก่พวกสมาชิก ดังนั้น ให้สมาชิก

             ก) พิจารณาดูผลบั้นปลายชีวิตของพวกเขา  และ     ข)   ให้เลียนแบบความเชื่อของพวกเขา

        “จง​ระลึก‍ถึง​บรร‌ดา​ผู้‍นำ​ของ​พวก‍ท่าน ผู้​กล่าว​พระวจนะ​ของ​พระเจ้า​กับ​พวกท่าน จง​พิจาร‌ณา‍ดู​ผล​บั้น‍ปลาย​ชีวิต​ของ​พวก‍เขา แล้ว​จง​เลียน‍แบบ​ความ​เชื่อ​ของ​พวก‍เขา” (ฮบ.13:7)

      3. ให้นบนอบเชื่อฟังบรรดาผู้นำของคริสตจักร  ในพระธรรม 1ธส.5:12 ข  บอกว่า ผู้รับใช้และผู้นำคริสตจักรมีหน้าที่ประการที่ 3 คือ  ปกครองสมาชิก “และ​ปกครอง​ท่าน”  (1ธส.5:12ข)

       ซึ่งในพระธรรม ฮีบรู 13:17ข ก็ย้ำให้สมาชิกร่วมมือหนุนใจทำตามในสิ่งที่พวกผู้นำร้องขอหรือกำหนดไว้ เพื่อพวกเขาจะได้ทำงานนี้ได้อย่างชื่นชมยินดี ไม่ใช่ด้วยความเศร้าใจ และจะกลับเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกคริสตจักรโดยรวม  เพราะพวกเขาดูแลรักษาจิตวิญญาณของสมาชิก และต้องถวายรายงานต่อพระคริสต์

“จง​นบ‌นอบ​เชื่อ‍ฟัง​บรร‌ดา​ผู้‍นำ​ของ​ท่าน‍ทั้ง‍หลาย เพราะ​ว่า​พวก‍เขา​ดู‍แล​รักษา​จิต‍วิญ‌ญาณ​ของ​พวก‍ท่าน​อยู่​อย่าง​คน​ที่​ต้อง​ถวาย​ราย‍งาน จง​ให้​พวก‍เขา​ทำ‍งาน​นี้​ด้วย​ความ​ชื่น‍ชม​ยินดี ไม่​ใช่​ด้วย​ความ​เศร้า‍ใจ ซึ่ง​จะ​ไม่​เป็น​ประ‌โยชน์​แก่​พวก‍ท่าน​เลย” (ฮบ.13:17)

      4.ในพระธรรม 1ธส.5:12(ค) บอกให้เราทราบถึงหน้าที่ประการที่ 4 ของผู้นำ (ผู้ปกครองดูแลคริสตจักร) ว่า พวกเขามีหน้าที่ตักเตือนสมาชิกในองค์พระผู้เป็นเจ้า  “และ​ตักเตือน​ท่าน​ใน​องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า” (1ธส.5:12ค)

= พวกเขาต้องเตือนสมาชิกอย่างที่พระผู้เป็นเจ้าประสงค์ให้เตือน ไม่ใช่อย่างที่ตัวผู้นำต้องการเตือน ปัญหาเกิดขึ้นในบางครั้ง เพราะผู้นำตักเตือนสมาชิกด้วยอารมณ์ ด้วยความคิดเห็นส่วนตัว ด้วยท่าทีอย่างไม่สมควร ทำให้บางครั้งแทนที่จะเกิดผลดี กลับเกิดผลเสียหาย ต่อทั้งความสัมพันธ์ระหว่างกัน และต่อราชกิจของพระเจ้า ในตอนนี้  อ.เปาโล กำชับให้เรากระทำสิ่งต่อไปนี้เป็นการตอบสนองผู้นำและผู้รับใช้ของคริสตจักรที่ปกครองดูแลสั่งสอนและตักเตือนพวกเรา (ในคริสตจักร) ดังนี้ อ.เปาโลยังได้ขอให้สมาชิกคริสตจักร

  1. เคารพ
  2. รัก พวกผู้นำ/ผู้รับใช้ในคริสตจักรให้มาก เพราะงานที่พวกเขาได้ทำ
  3. ให้อยู่อย่างสงบสุขด้วยกัน ทั้ง     ก) กับผู้นำ                 ข) กับสมาชิกคนอื่นๆ

       1ธส.5:13 “จง​เคารพ​และ​รัก​เขา​ให้​มาก​เพราะ​งาน​ที่​เขา​ได้​ทำ จง​อยู่​อย่าง​สงบ‍สุข​ด้วย‍กัน

       4.ตักเตือนสมาชิกด้วยกันเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เกียจคร้าน

         “พี่‍น้อง​ทั้ง‍หลาย ขอ​ให้​พวก‍ท่าน​ตัก‍เตือน​คน​ที่​ เกียจ‍คร้าน” (1ธส.5:14ก)

  1.    หนุนใจผู้ที่ขาดความกล้าหาญ(หรือท้อใจ) “หนุน​ใจ​ผู้​ที่​ขาด​ความ​กล้า‍หาญ”  (1ธส.5:14ข)
  2.    ช่วยเหลือคนที่อ่อนกำลัง  “ช่วย‍เหลือ​คน​ที่​อ่อน‍กำลัง”  (1ธส.5:14ค)
  3.    มีความอดทนต่อทุกคน “และ​มี​ความ​อดทน​ต่อ​ทุก​คน”  (1ธส.5:14ง)
  4.    ไม่ทำชั่วตอบแทนชั่ว แต่หาทางทำดีเสมอแก่ทุกคน “อย่า​ให้​คน​ใด​ทำ‍ชั่ว​ตอบ‍แทน​การ​ชั่ว แต่​จง​หา​ทาง​ทำ‍ดี​เสมอ​ต่อพวก‍ท่าน​เอง และ​ต่อ​คน​ทั่ว‍ไป​ด้วย”  (1ธส.5:15)
  5. ให้ชื่นบานอยู่เสมอ  “จง​ชื่น‍บาน​อยู่​เสมอ”  (1ธส.5:16)
  6. ให้อธิษฐานสม่ำเสมอ  “จง​อธิษ‌ฐาน​อย่าง​สม่ำ‌เสมอ” (1ธส.5:17)
  7. ให้ขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี  “จง​ขอบ‍พระ‍คุณ​ใน​ทุก​กรณี เพราะ​นี่​แหละ​เป็น​พระ‍ประ‌สงค์​ของพระ‍เจ้า สำหรับ​พวก‍ท่าน​ใน​พระ‍เยซู‍คริสต์”(1ธส.5:18)
  8. ให้ไม่ขัดขวางพระวิญญาณ  “อย่า​ขัด‍ขวาง​พระ‍วิญ‌ญาณ”  (1ธส.5:19)
  9. ให้ไม่ดูหมิ่นถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะ “อย่า​ดู‍หมิ่น​ถ้อย‍คำ​ของ​ผู้‍เผย‍พระ‍วจนะ” (1ธส.5:20)
  10. ให้พิสูจน์ทุกสิ่ง สิ่งดีนั้นให้ยึดไว้ให้มั่น “จง​พิสูจน์​ทุก‍สิ่ง สิ่ง​ที่​ดี​นั้น​จง​ยึด‍ถือ​ไว้​ให้​มั่น”  (1ธส.5:21)
  11. ให้เว้นเสียจากสิ่งชั่วทุกอย่าง  “จง​เว้น​เสีย​จาก​สิ่ง​ที่​ชั่ว​ทุก‍อย่าง” (1ธส.5:22)

ขอให้ทั้งผู้นำและสมาชิกคริสตจักรต่างก็ปฏิบัติต่อกันตามที่ได้กำชับไว้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ให้ร่วมมือกันเป็นพิเศษในการตักเตือนซึ่งกันและกันอย่างที่พระคริสต์ ทรงปรารถนาที่จะให้เกิดขึ้นในคริสตจักรของคุณ

ดีไหมครับ? 

 

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ v3 Churchplanting)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

หากมนุษย์ไม่ได้รับโอกาสที่ 2 จะเกิดอะไรขึ้น?

หากมนุษย์ไม่ได้รับโอกาสที่ 2 จะเกิดอะไรขึ้น?

 “ถ้าพระเจ้าไม่ได้ให้อภัยคนบาป บนสวรรค์ก็คงจะว่างเปล่า”

(If God did no forgive sinners, Heaven would be empty.)

 

เราทุกคนล้วนอ่อนแอ และขาดประสบการณ์ เราทุกคนจึงมีโอกาส “พลาด” และ “พลั้ง” ทำให้ต้อง “เสียใจ” และ “เสียหาย” ได้อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเริ่มต้นของการดำเนินชีวิตด้วยตัวเอง!

เราทุกคนจึงล้วนทำบาปกันทั้งนั้น ไม่มีสักคนเดียวเลยที่ไม่เคยทำผิดบาป เราทุกคนจึงเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า

“เพราะว่าทุกคนทำบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า”  (โรม .3:23)

 (for all have sinned and fall short of the glory of God,)

เราจึงไม่มีอะไรที่จะอวดต่อพระพักตร์ของพระเจ้าได้ เรามีแต่เหตุผลที่จะหลบลี้หนีหน้าพระเจ้าด้วยความละอาย เช่นเดียวกับที่อาดัม และเอวากระทำในสวนเอเดน เมื่อพวกเขาทำผิดบาปต่อพระเจ้าเป็นครั้งแรกเมื่อพวกเขารับประทานผลไม้ต้องห้าม เพราะคำโน้มน้าวของงู (ซาตาน) โดยผู้หญิงเป็นคนเริ่มทำผิดคนแรก และชักชวนให้สามีของเธอกินด้วย ซึ่งเขาก็รับมากิน ผลก็คือ

“ตาของเขาทั้งสองคนก็สว่างขึ้น จึงสำนึกว่าตนเปลือยกายอยู่ ก็เอาใบมะเดื่อมาเย็บเป็นเครื่องปกปิดร่างไว้”  (ปฐก.3:7)

ใช่ครับ ตาของเขาสว่างพอที่จะเห็นว่า พวกเขาได้ทำสิ่งที่โง่ๆไปแล้ว คือไม่เชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้า ผลที่ตามมาคือสัมพันธภาพที่สูญเสียไป!

ดังนั้น โลกทัศน์ของพวกเขาจึงเปลี่ยนแปลงไป แทนที่เขาทั้ง 2 จะชื่นชมยินดีในสามัคคีธรรมที่มีกับพระเจ้าในยามที่พระองค์เสด็จมาหาพวกเขา พวกเขากลับกลัวและหลบซ่อนให้พ้นจากพระพักตร์ของพระเจ้า

“เวลาเย็นวันนั้น เขาทั้งสองได้ยินเสียงพระเจ้าเสด็จดำเนินอยู่ในสวน ชายนั้นกับภรรยาก็หลบไปซ่อนตัวอยู่ในหมู่ต้นไม้ในสวนนั้น ให้พ้นจากพระพักตร์พระเจ้า” (ปฐก.3:8)

ช่างน่าเศร้านักที่ความสัมพันธ์ที่เคยมี สูญเสียไปเพราะบาป แต่พระเจ้าแห่งความรักก็ยังคงให้โอกาสที่ 2 แก่พวกเขา โดยการเปิดช่องให้พวกเขาสำนึกตัวสารภาพรับผิด และรับโอกาสที่ 2 นั้น เมื่อพระองค์ตรัสถามว่า “ … เจ้าอยู่ที่ไหน”  (ปฐก.3:9)

ช่างน่าเสียดายที่พวกเขายังบ่ายเบี่ยง โยนความผิดให้กันไปมา แทนที่จะสำนึกผิดขออภัย (โทษ) และขอโอกาส (ที่ 2) เริ่มต้นใหม่! (ปฐก.3:10-19) ทำให้พวกเขาถูกขับออกมาจากเอเดนสวนสวรรค์!

“เพราะเหตุนั้น พระเจ้าจึงทรงขับไล่เขาออกไปจากสวนเอเดน ให้ไปทำไร่ทำสวนในที่ดินที่ตัวถือกำเนิดมานั้น  พระองค์ทรงไล่ชายนั้นออกไป และทรงตั้งพวกเครูบ ทางด้านทิศตะวันออกแห่งสวนเอเดน และตั้งกระบี่เพลิงอันหนึ่งที่หมุนได้รอบทิศไว้เฝ้าทางที่จะเข้าไปสู่ต้นไม้แห่งชีวิตนั้น”      

ดังนั้น หากว่าเราได้รับโอกาสที่ 2 มาแล้วก็อย่าให้เราทิ้งโอกาสนั้นไปอย่างโง่เขลา!

โอกาสที่ 2 คือ การได้โอกาสในการพิสูจน์ว่าเราสามารถจะดีขึ้นกว่าที่ผ่านมาได้หลังจากที่เราล้มลง (ในความบาป)

องค์พระเยซูคริสต์ ให้โอกาสที่ 2 แก่เปโตร เมื่อเขาทำผิดต่อพระองค์ โดยการปฏิเสธว่า ไม่รู้จักพระองค์ถึง 3 ครั้ง ( มธ.26:69-75;มก.14:66-72;ลก.22:56-62;ยน.18:18-18,25-27)

พระองค์ให้โอกาสที่ 2 แก่หญิงที่ถูกจับได้ว่าทำผิดประเวณี (ยน.8:1-11) …  พระองค์ยังทรงให้โอกาสกับอีกหลายๆ คน

จึงเป็นจริงที่ว่า หากพระเจ้าไม่ให้อภัยบาปและให้โอกาสที่ 2 แก่คนบาปอย่างพวกเรา สวรรค์ก็คงจะว่างเปล่า

ดังนั้น หากว่าวันนี้ พระเจ้าทรงให้โอกาสที่ 2 แก่พวกเรา เราก็ควรจะสำนึกว่าตัวเองเป็นคนบาป สารภาพบาปผิดต่อพระองค์ รับการอภัยโทษบาปผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ และรับความรอดด้วยความเชื่อ  กลับตัวกลับใจเริ่มต้นใหม่ และทำตัวให้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์นับจากนี้เป็นต้นไป จะดีกว่า!

 …เห็นด้วยไหมครับ ?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc,

twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Kosmaser.com)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

คุณเผาสะพานไปแล้วหรือยัง?

คุณเผาสะพานไปแล้วหรือยัง?

 “ไม่มีความรักที่ปราศจากการให้อภัย และไม่มีการให้อภัยที่ปราศจากความรัก”

(There is no love without forgiveness. And there is no forgiveness without love.)  -Bryant H. Mc Gill-

ความรักไม่ใช่เรื่องของการพยายามลืมหรือมองข้าม แต่เป็นเรื่องว่าเราควรให้อภัยอย่างไร เหมือนกับว่า… ไม่ใช่เรื่องของการฟัง แต่เป็นเรื่องของการเข้าใจ (ในสิ่งที่ฟัง)

การให้อภัย ไม่ใช่เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก แต่เป็นคำมั่นสัญญา เมื่อเราให้อภัยแก่บุคคลใด ก็เท่ากับเราให้คำสัญญาว่า เราจะไม่ใช้บาปในอดีตของเขามาเล่นงานเขาอีก !                       

การให้อภัยอย่างจริงใจจะทำสัมพันธภาพที่เสียหายหรือแตกร้าวแล้ว ให้กลับคืนสู่สภาพ (ใกล้เคียงของ) เดิม!

และการให้อภัยอย่างจริงใจนั้น จะได้มาจากพระเจ้าเท่านั้น การอภัยที่มาจากพระเจ้าจะทำให้เรามีชีวิตอย่างที่พระองค์ทรงประสงค์ ชีวิตที่พระเจ้าปรารถนาจากเราคือ ชีวิตที่รักพระองค์และรักผู้อื่น เป็นชีวิตที่รู้จักยอมรับว่า ตัวเราเองก็มีส่วนในปัญหาความขัดแย้งด้วยเช่นกัน เป็นชีวิตที่สำนึกและถ่อมใจที่จะพูดคำว่า “ขอโทษ” ออกมาจากปากด้วยความเต็มใจ และเป็นชีวิตที่รู้จักให้อภัยเหมือนดังที่พระเจ้าให้อภัย เป็นชีวิตที่ให้โอกาสที่ 2 แก่พวกเขา!

ดังคำกล่าวที่ว่า…

“การให้อภัยเป็นรูปแบบแห่งความรักที่ดีเยี่ยมที่สุด มีแต่คนเข้มแข็งเท่านั้นที่จะกล่าวคำว่า “ขออภัยครับ/คะ, (เสียใจคะ/ครับ)”และมีแต่คนที่เข้มแข็งกว่าเท่านั้น จึงจะให้อภัยได้!”

หากเรารักใครสักคนจริง ๆ เราจะให้อภัยแก่เขาได้ไม่ยาก ความรักทำให้เรื่องยาก ๆ กลายเป็นเรื่องง่าย ๆ การต้องนั่งรอคนที่รัก …แม้จะนานก็ไม่ใช่เรื่องยาก เดินทางไกลเพื่อไปแค่เห็นคนรัก (หรือบ้านของคนรัก) ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เวลาเรารักใคร เราก็แค่ต้องการอยู่ใกล้ชิดเขาหรือเธอเท่านั้น

จนมีคนกล่าวว่า..

“บางครั้งคุณให้อภัยคนอื่น เพียงเพราะว่า คุณยังคงต้องการให้เขายังอยู่ในชีวิตของคุณ!”

(Sometime you forgive people simple because you still want them in your life.)

หากเรารักใคร เราจะไม่เผาสะพานที่เราและเขาใช้เดินข้ามไปมาหากัน และการให้อภัยก็คือ สะพานนั้น!

 คำเตือนคือ

“คนที่ไม่ยอมให้อภัย ได้ทำลายสะพานที่ตัวเขาเองต้องใช้ข้ามเช่นกัน”

(He who cannot forgive breaks the bridge over which he himself must pass)  -George Herbert-

วันนี้ อย่าให้คุณหรือผู้ใดมาเผาสะพานที่คุณเองก็ต้องใช้เพื่อข้ามไปมาหากันเลย จะดีไหม…

ตอบที!

 

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Linked in.com)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

คุณให้เกียรติผู้อื่นอย่างจริงใจหรือไม่?

คุณให้เกียรติผู้อื่นอย่างจริงใจหรือไม่?

“เราไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกันเสมอไป แต่สิ่งสำคัญก็คือ เราต้องเรียนรู้ที่จะให้เกียรติแก่กันและกัน”

(We don’t always have to agree with one another , but it is important that we learn to respect each other.)

มีคำกล่าวไว้ว่า…            “ความรักคือ ความจริงใจ ความรักคือ การให้เกียรติแก่กันและกัน!”

                                        (Love is honesty. Love is a mutual respect for one another.)

หากเรารักใครสักคน เราจะมีความจริงใจมอบให้แก่เขาผู้นั้น และหากเราจริงใจต่อผู้หนึ่งผู้ใด ก็ไม่ยากที่เราจะให้เกียรติแก่เขา!

ดังนั้น ที่ใดไม่มีการให้เกียรติแก่กันและกัน ที่นั่นย่อมไม่มีความจริงใจมอบให้แก่กันและกันเช่นกัน เช่น หากว่าเราให้เกียรติแก่คู่สมรสของเราอย่างจริงใจ เราจะตัดทุก ๆ โอกาสที่อาจเปิดโอกาสหรือปล่อยให้เพศตรงข้ามหรือแม้แต่คนเพศเดียวกัน เข้ามาแทรกแซงสัมพันธภาพของเรากับคู่สมรส แบบที่เรียกกันว่า  “ตัดไฟต้นลม!”

และหากว่า เกิดมีการพลาดพลั้งเกินเลยไปกับบุคคลที่ 3 ขึ้นมา เพราะเหตุใดเหตุหนึ่ง เราก็จะต้องจริงใจให้เกียรติคู่สมรสของเราด้วยการรีบตัดความสัมพันธ์ที่ไม่สมควรนั้นในทันที ไม่ว่าจะจ่ายราคาแพงมากสักเพียงใด  !

เช่นเดียวกันกับสัมพันธภาพอื่น ๆ เราต้องตั้งใจอย่างจริงใจที่จะรักษาสัมพันธภาพเหล่านั้นไว้ด้วยชีวิต โดยตระหนักว่า ความจริงใจจะนำไปสู่ความไว้วางใจ และความไว้วางใจจะนำไปสู่การให้เกียรติอย่างสนิทใจ

“การให้เกียรติ” (Respect) หมายความถึง  “ความรู้สึกยกย่องที่มีต่อผู้อื่น เนื่องจากการประสบความสำเร็จ (ความสามารถ) หรือตำแหน่งฐานะของเขา (คุณสมบัติ)” เช่น การให้เกียรติครู ให้เกียรติหัวหน้า ฯลฯ

การให้เกียรติ คือ ความรู้สึกหรือการแสดงความชื่นชมต่อบุคคลหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เราเชื่อว่า มีความคิดดีหรือมีคุณภาพ  มีคุณค่า หรือมีความสำคัญ ดังนั้น หากเราให้เกียรติบุคคลใด เราจะให้เกียรติในสิ่งที่เขาคิด หรือที่เขาเชื่อด้วย!

แน่นอนว่า เมื่อเราให้เกียรติแก่ผู้ใด เราจะไม่วิพากษ์วิจารณ์ ไม่ตำหนิ ต่อว่าหรือตัดสินเขา ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง เราจะไม่ปฏิบัติต่อเขาอย่างหมิ่นหรือดูถูก แม้ว่า เขาจะคิด พูด หรือทำในสิ่งที่แปลกหรือแตกต่างจากเรามากสักเพียงใดก็ตาม เราจะเรียนรู้ในการเข้าใจและรู้จักชื่นชมในสิ่งที่เขาให้ความสำคัญหรือให้คุณค่า! จึงเป็นความจริงที่ว่า หากเรารักใครสักคนหนึ่ง  เราจะรักในสิ่งที่เขารักและชอบด้วย

ดังบทเพลงที่ว่า…  Love Me Love My Dog” (หากรักฉัน ก็จงรักสุนัขของฉันด้วย)

ใช่ครับ!  หากว่าเรารักใครสักคน เราก็จะรักสุนัขที่เขารักด้วย! ดุจเดียวกับที่คนไทยรักสุนัขที่ชื่อว่า “คุณทองแดง” เพราะว่า คนไทยรักในหลวง (รัชกาลที่ 9) และพระองค์ทรงรัก “สุนัข” ที่ชื่อว่า “ทองแดง” ตัวนี้!

ขอกล่าวย้ำอีกครั้งว่า …. เราไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกันเสมอไป แต่เราต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน ตลอดไป

การให้เกียรติที่คุณมอบให้แก่ผู้อื่น จะเป็นตัวสะท้อนถึงการให้เกียรติแก่ตัวของคุณเอง!

วันนี้ คุณให้เกียรติตัวคุณเองมากแค่ไหน?   …จงแสดงออกมาให้เห็นผ่านการให้เกียรติผู้อื่น!

 

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

– twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Chevy Commercial Salute)