Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ฉันจะมีชีวิตที่บริสุทธิ์ได้อย่างไร

ฉันจะมีชีวิตที่บริสุทธิ์ได้อย่างไร? (How can I live a holy life?)

“อุดมคติของคริสเตียนแท้  ไม่ใช่การมีความสุข แต่คือการบริสุทธิ์ (อย่างที่พระเจ้าทรงประสงค์)”

(The true Christian Ideal is not to be happy. But to be Holy.)

คำว่า “บริสุทธิ์” (holy) หมายความว่า “แยกออกมาจากบาปและความชั่ว เพื่อให้พระเจ้าทรงใช้” ดังนั้น หากเราต้องการดำเนินชีวิตอย่างบริสุทธิ์

  1. เราต้องกลับใจและต้อนรับพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอด และให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทับในชีวิตของเรา

อฟ.1:13 “ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้นด้วย คือเมื่อพวกท่านได้ยินสัจวาทะคือข่าวประเสริฐเรื่องความรอดของท่าน และวางใจในพระองค์แล้ว พวกท่านก็ได้รับการประทับตราด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตามที่ทรงสัญญาไว้”

  1. เราต้องให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้สถิตอยู่ในเรา เติมเต็มเราด้วยความบริสุทธิ์ของพระองค์เสมอ

อฟ.5:18 “และอย่าเมาเหล้าองุ่นซึ่งจะทำให้เสียคน แต่จงเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ” 

  1. เราต้องตระหนักว่า พระเจ้าทรงเรียกเราให้เป็นคนบริสุทธิ์อย่างที่พระองค์บริสุทธิ์

1ปต.1:16 “เพราะมีคำเขียนไว้แล้วว่า “พวกท่านจงเป็นคนบริสุทธิ์ เพราะเราเองบริสุทธิ์” 
ลนต.19:2“จงกล่าวแก่ชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดว่า เจ้าทั้งหลายต้องบริสุทธิ์ เพราะเรายาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์”

  1. เราต้องแยกตัวเราเองออกมาจากทุกอย่างที่ชั่วร้ายและดำเนินชีวิตให้บริสุทธิ์ตามพระทัยของพระเจ้า

1ธส.4:3 “พระประสงค์ของพระเจ้าเป็นอย่างนี้คือ ให้พวกท่านเป็นคนบริสุทธิ์ คือให้เว้นจากการล่วงประเวณี”

ฟป.1:9-10 “และข้าพเจ้าอธิษฐานว่าขอให้ความรักของท่านทวียิ่งๆ ขึ้นพร้อมกับความรู้และวิจารณญาณทุกด้าน 10เพื่อท่านทั้งหลายจะสังเกตเห็นได้ว่าสิ่งใดประเสริฐที่สุด เพื่อท่านจะได้เป็นคนบริสุทธิ์ เป็นคนไม่มีที่ติได้ในวันแห่งพระคริสต์” 

แล้วเราจะดำเนินชีวิตอย่างบริสุทธิ์ได้อย่างไร?

  1. เราต้องเชื่อและมั่นใจว่า เราเป็นคนบริสุทธิ์ชอบธรรมแล้ว โดยความเชื่อ

รม.5:1 “เพราะฉะนั้น เมื่อเราถูกชำระให้ชอบธรรมโดยความเชื่อแล้ว เราจึงอยู่อย่างสงบสุขเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”

  1. เราต้องชำระตัวให้บริสุทธิ์ ควบคุมร่างกายตัวเองและห่างไกลจากความผิดศีลธรรมทางเพศ

1ธส.4:4-8 “4ให้ท่านทุกคนรู้จักบังคับร่างกายของตนในทางบริสุทธิ์ และในทางที่มีเกียรติ5ไม่ใช่ด้วยราคะตัณหาเหมือนอย่างคนต่างชาติที่ไม่รู้จักพระเจ้า 6อย่าล่วงเกินและทำผิดต่อพี่น้องในเรื่องนี้เลย เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นผู้ทรงลงโทษคนที่ทำผิดอย่างนั้น เหมือนอย่างที่เราได้เตือนสอนและบอกไว้ก่อนแล้ว 7เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงเรียกเราให้เป็นคนลามก แต่ทรงเรียกให้เป็นคนบริสุทธิ์ 8เหตุฉะนั้นคนที่ปฏิเสธคำสอนนี้ไม่ได้ปฏิเสธมนุษย์เท่านั้น แต่ได้ปฏิเสธพระเจ้า ผู้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ให้แก่ท่าน”

  1. เราต้องเชื่อฟังพระเจ้าและเป็นคนบริสุทธิ์ในทุกด้านของชีวิต

1ปต.1:14-16 “เช่นเดียวกับบุตรที่เชื่อฟัง อย่าประพฤติตามกิเลสตัณหา อันเกิดจากความโง่เขลาของพวกท่านในอดีต15แต่พระองค์ผู้ทรงเรียกพวกท่านนั้นบริสุทธิ์อย่างไร พวกท่านเองก็จงเป็นคนบริสุทธิ์ในชีวิตทุกด้านอย่างนั้น 16เพราะมีคำเขียนไว้แล้วว่า “พวกท่านจงเป็นคนบริสุทธิ์ เพราะเราเองบริสุทธิ์”

  1. เราต้องทูลขอพระเจ้าช่วยปกป้องและแยกผู้เชื่อให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง

ยน.17:15-17 “5ข้าพระองค์ไม่ได้ขอให้พระองค์เอาพวกเขาออกไปจากโลก แต่ขอให้ปกป้องเขาไว้ให้พ้นจากมารร้าย 16พวกเขาไม่ใช่ของโลก เหมือนอย่างที่ข้าพระองค์ไม่ใช่ของโลกขอทรงแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง” 

  1. เราต้องรักษาวิถีทางของเราให้บริสุทธิ์ โดยการสะสมพระดำรัสของพระเจ้าไว้ในชีวิต

สดด.119:9-11 “คนหนุ่มจะรักษาวิถีทางของตนให้บริสุทธิ์ได้อย่างไร? ก็โดยปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์ 10ข้าพระองค์แสวงหาพระองค์ด้วยสุดใจ ขออย่าให้ข้าพระองค์หลงไปจากพระบัญญัติของพระองค์ 11ข้าพระองค์ได้เก็บรักษาพระดำรัสของพระองค์ไว้ในใจ เพื่อข้าพระองค์จะไม่ทำบาปต่อพระองค์”

  1. เราต้องถวายตัวของเราเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิตแด่พระเจ้า

รม.12:1-2 “ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิต และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่าน 2อย่าลอกเลียนแบบอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม”

  1. เราต้องถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้าด้วยการเป็นภาชนะบริสุทธิ์ที่พระเจ้าทรงใช้ให้เกิดประโยชน์

2ทธ.2:20-21 “ในบ้านหลังใหญ่ไม่ได้มีแต่ภาชนะทองและภาชนะเงินเท่านั้น แต่มีภาชนะไม้และภาชนะดินด้วย บางอย่างนั้นเป็นภาชนะพิเศษ บางอย่างก็เป็นภาชนะธรรมดา21ถ้าใครชำระตัวเองให้พ้นจากความชั่วเหล่านี้ เขาก็จะเป็นภาชนะพิเศษ ซึ่งชำระให้บริสุทธิ์แล้ว เหมาะที่เจ้าของจะใช้เป็นประโยชน์ และพร้อมสำหรับการดีทุกอย่าง”

  1. เราต้องหลีกหนีจากตัณหา และมุ่งมั่นในความชอบธรรมกับพี่น้องด้วยใจบริสุทธิ์

2ทธ.2:22” เพราะฉะนั้นท่านจงหลีกหนีจากตัณหาของคนหนุ่ม และจงมุ่งมั่นในความชอบธรรม ความเชื่อ ความรัก และสันติสุขร่วมกับพวกที่ออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยใจบริสุทธิ์” 

เราต้องตระหนักว่า การที่จะเชื่อฟังพระเจ้าไม่ใช่เรื่องง่าย และแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะพยายามทำตัวให้บริสุทธิ์ โดยพึ่งอาศัยแต่กำลังของตัวเราเอง และหากเรามีใจทะนงคิดว่าจะสู้รบกับมาร บาป หรือการทดลองด้วยพลกำลังของเราเอง  เราอาจจะล้มคะมำลงแบบไม่เป็นท่าก็ได้

      “เพราะเหตุนี้คนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังไม่ให้ล้มลง”  (1คร.10:12)

เราต้องเตือนสติตัวเองอยู่เสมอว่า… เราเป็นของพระเจ้าแล้ว และโดยพระเจ้าเราจะมีชัยเหนือเครื่องพันธนาการทั้งสิ้นที่เคยผูกมัดเราอยู่ เพราะว่าเรามาจากพระเจ้าและพึ่งพระองค์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่กว่ามารซาตาน

      “ลูกทั้งหลายเอ๋ย ท่านอยู่ฝ่ายพระเจ้า และชนะพวกเขาแล้ว เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงอยู่ในพวกท่านยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่อยู่ในโลก”  (1ยน.4:4)

เราต้องเข้าใกล้พระเจ้าทุก ๆ วัน และมีเวลานิ่ง ๆ กับพระองค์ และยอมให้พระวิญญาณของพระเจ้าค่อยๆ ชำระและเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราให้บริสุทธิ์ และมีคุณลักษณะเหมือนอย่างพระคริสต์ให้มากขึ้นในทุกๆ ด้าน

      “แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่าจงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ แล้วท่านจะไม่สนองความต้องการของเนื้อหนัง”  (กท.5:16)

 วันนี้ ขอให้เรามาดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์อย่างที่พระเจ้าต้องการ พร้อมๆ กันเลย

 จะดีไหมครับ?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Nuisri)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

รักกันมากพอไหม?

รักกันมากพอไหม?

“สัมพันธภาพส่วนใหญ่ล้มเหลว เพราะใครบางคนได้รับความรักมากไป ในขณะที่ใครอีกคนหนึ่ง ไม่ได้รับความรักอย่างเพียงพอ!”

(Most relationships fail because one person was being loved too much and the other wasn’t being loved enough.)

ใครๆ ก็ต้องการความรัก หรืออย่างน้อยก็ความสนใจ แม้ไม่มาก แต่ก็ต้องมี!

ไม่มีใครมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข หากไม่มีผู้ใดให้ความสนใจในตัวเขา!

ขอให้เราเข้าใจไว้ว่า แม้แต่คนที่ชอบอยู่เงียบ ๆ คนเดียว หรือรักความสงบหรือความเป็นส่วนตัว ก็ไม่ใช่คนที่ไม่ต้องการความรักหรือความใส่ใจ! พวกเขาล้วนต้องการความรักและการเอาใจใส่  เพียงแต่ว่า เขาต้องการให้คนที่รักเขา  เข้าใจเขาและแสดงความรักต่อเขา  ด้วยการยอมให้เขามีเวลาโดยลำพังกับโลกส่วนตัวของเขาบ้างเท่านั้นเอง!

แปลกแต่จริงที่…

คนบางคนได้รับการเติมพลังจากการได้อยู่หรือได้คลุกคลีกับคนอื่นๆ ในขณะที่คนอีกคนกลับได้รับการเสริมพลังจากเต็มเปี่ยมกับการการได้อยู่โดยลำพังกับตัวเองหรือธรรมชาติ!

สำหรับคนที่เชื่อในพระเจ้าก็เช่นกัน คนบางคนได้รับการชาร์จพลังเต็มแบตในชีวิตจากการได้สามัคคีธรรมกับพี่น้องคนอื่นๆ  ในขณะที่บางคนได้รับการเสริมกำลังอย่างเต็มล้น โดยการใช้เวลาโดยลำพังกับพระเจ้าเป็นส่วนตัว!

ดังนั้น  ไม่ว่าคนเราจะมีนิสัยแตกต่างกันมากสักเพียงใด  แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน  ก็คือ ทุกคนล้วนต้องการความรักจากคนที่เขารักหรือรักเขา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนในครอบครัวของเขาเอง

ดังนั้น จึงไม่มีทุกข์ใดจะปวดร้าวจิตใจได้มากเท่ากับการที่คนที่เรารักและใกล้ชิด และญาติมิตรที่สนิทกลับกลายเป็นปรปักษ์ และ มุ่งร้ายทำลายเราให้ย่อยยับ

พี่น้องที่รัก ! 

เวลานี้ คุณกำลังรักคนในครอบครัว หรือ คนในวงแห่งความสัมพันธ์ภายในของคุณมากเพียงพอหรือไม่? คุณได้แสดงความรักต่อญาติมิตรหรือคนสนิทของคุณให้พวกเขารับรู้อย่างไรบ้าง? พระวจนะของพระเจ้าตอนนี้สะกิดอะไรคุณบ้าง?

 “มิตรสหายย่อมรักกันทุกเวลา และพี่น้องเกิดมาเพื่อช่วยกันยามทุกข์ยาก”

( A friend loves at all times, and a brother is born for adversity.) -สุภาษิต17:17-

พี่น้องที่รัก 

คุณมีความรักที่พร้อมมอบให้แก่มิตรสหายของคุณอยู่ทุกเวลาหรือไม่? คุณพร้อมที่จะช่วยเหลือญาติพี่น้องของคุณในยามที่เขาประสบความทุกข์ยากลำบากหรือไม่?

พี่น้องที่รัก

ขอเตือนสติคุณอีกครั้ง… อย่าให้คุณรักใครบางคนน้อยเกินไปหรือมากเกินไป ขอให้คุณจงเริ่มต้นจากการรักญาติมิตรของคุณจากน้อยแต่ให้นาน ๆ  และค่อย ๆ เพิ่มระดับให้เป็นรักมากขึ้น และมากขึ้นตลอดไป

…จะดีไหมครับ?    ตอบทีครับ!!!

 

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Pinterest.com)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

สื่อสารอย่างไรกับคู่สมรสโดยไม่ต้องฟาดฟันกัน?

“หากปราศจากการสื่อสาร ก็ไร้ซึ่งสัมพันธภาพ  หากปราศจากการให้เกียรติ ก็ไร้ซึ่งความรัก  หากปราศจากความไว้วางใจ ก็ไร้ซึ่งเหตุผลที่จะไปต่อ”

(Without communication, there is no relationship.  Without respect, there is no love.  Without trust, there is no reason to continue.)

มีผู้เชี่ยวชาญแนะนำไว้ว่า คู่สมรสสามารถพูดคุยหรือสื่อสารกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องฟาดฟันกัน โดยแบ่งออกเป็น 7 ขั้นตอน ดังนี้

ขั้นตอนแห่งการสื่อสารระหว่างคู่สมรส

ขั้นที่ 1 –จงให้ความสนใจกับคู่สมรสของคุณ เมื่อใดก็ตามที่คุณสนทนากัน

ขั้นที่ 2 –อย่าตะโกนหรือตะคอก หรือพูดห้วน ๆ ในเวลาที่คุณต้องการสื่อสาร

ขั้นที่ 3 – จงเอาใจของคู่สมรสมาใส่ใจของคุณ เพื่อคุณจะมองประเด็น(ปัญหา) จากมุมมองของเขาหรือเธอ(ผ่านสายตาของคุณ)

ขั้นที่ 4 –  จงยืนยันความเข้าใจของคู่สมรสของคุณ โดยการถามว่า เขา(หรือเธอ) เข้าใจในสิ่งที่คุณสื่อสารกับเขาแล้วใช่หรือไม่ อย่างไร?

ขั้นที่ 5 – จงพยายามหาเทคนิคการสื่อสารที่แตกต่างกันและดีกว่าในยามที่คู่สมรสคุณไม่เข้าใจบางสิ่งที่คุณพูดหรือสื่อออกไป

ขั้นที่ 6 –จงขออภัยคู่สมรสของคุณและหยุดสักครู่ หากว่า คุณไม่คืบหน้าในการสื่อสารความคิดของคุณ หรือเมื่อคุณเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว

ขั้นที่ 7 – จงอธิษฐานกับพระเจ้าทูลขอความรัก สติปัญญา และคำพูดก่อนที่จะพูดสื่อสารกับคู่สมรสของคุณอีกครั้ง (หากมีโอกาสได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าหรือขอคำปรึกษาจากศิษยาภิบาล หรือผู้ใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณในคริสตจักรก่อนก็จะยิ่งดี)

ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ให้คุณทูลขอความอดกลั้น อดทนจากพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเหนี่ยวใจและรั้งปากไม่ให้พูดคำใดหรือแสดงอาการใดออกไปที่อาจนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งเป็นอันขาด แต่ขอให้เพิ่มความสุภาพอ่อนโยน ความเมตตา ความจริงใจ ความยินดี ใส่ลงไปในการสนทนาของคุณกับคู่สมรสทุกครั้ง โดยคำนึงถึงและให้ความสุข และสวัสดิภาพของคู่สมรสของคุณก่อนความถูกต้องในความคิดของคุณเอง!

Paulo Coelho เคยกล่าวว่า …

“ความรักเป็นเพียงถ้อยคำ จนกระทั่งคนบางคนใส่ความหมายลงไปในคำนั้น”

(Love is just a word, until someone arrives to give it meaning.)

วันนี้ ขอให้เราใส่ “ความรัก” ลงไปเจือการสนทนา ระหว่างเรากับคู่สมรสและคนในบ้าน (และในโบสถ์) ของเรา

จะดีไหม?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ themacneilstudio.com)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

แม่แบบไหนที่ลูกต้องการ?

แม่แบบไหนที่ลูกต้องการ?

“ฉันไม่ได้สูญเสียตัวฉันเอง เมื่อฉันกลายเป็นคุณแม่ แต่ฉันได้ค้นพบตัวเอง!”

(I didn’t lose myself, When I became a mother. I found myself.)

หากวันนี้ คุณเป็นโสด จงฉลองขอบคุณพระเจ้าสำหรับความเป็นโสดของคุณ แต่หากว่าคุณแต่งงาน แล้วจงขอบคุณพระเจ้าสำหรับคู่สมรสของคุณ  ไม่ว่าเขาหรือเธอจะนำความสุขหรือความเจ็บปวดมาให้คุณ  ในบั้นปลายคุณจะขอบคุณพระเจ้าและขอบคุณเขาที่ทำให้ชีวิตของคุณแกร่งมากกว่าเดิม

หากว่าคุณเป็นสตรี และได้รับสิทธิพิเศษให้เป็น “แม่คน”  เพิ่มจากการเป็น “แม่คุณ” ของใครคนใดคนหนึ่งก็ขอให้คุณขอบคุณพระเจ้าเพิ่มขึ้นอีกเป็นทวีคูณ อย่างไรก็ตาม “การเป็นแม่” นั้น เป็นสิทธิพิเศษที่มาควบคู่กับความรับผิดชอบและภาระอันหนักหน่วง แม้ไม่มีคำแนะนำอย่างสมบูรณ์ว่า จะเป็นแม่ที่ดีที่สุดได้อย่างไร? 

แต่วันนี้ ผมมีคำแนะนำว่า ควรจะเป็นแม่ที่ดีอย่างที่ลูกต้องการได้อย่างไร?

แม่ที่ดีเป็นดังนี้…..

  1. แม่ต้องจัดเตรียมปัจจัยที่จำเป็นต่อการดำรงชีพให้แก่ลูก อาทิเช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม และที่พักอาศัย
  2. แม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินชีวิตให้แก่ลูก เพื่อเมื่อลูกเลียนแบบอย่างนั้นแล้ว ลูกจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้คนอื่นๆ ทำตามได้
  3. แม่ต้องบอกและแสดงให้ลูกทราบตั้งแต่เนิ่น ๆ ว่า แม่รักลูกมากยิ่งกว่า งาน หรือสิ่งใดในโลกนี้ และแม่พร้อมสละสิ่งนั้นเพื่อลูก (หากว่าจำเป็น)
  4. แม่ต้องทำให้ลูกแน่ใจว่า ลูกเป็นคนพิเศษของแม่ (แม้ว่าลูกจะไม่เก่ง ไม่ดีเลศเท่าลูกของคนอื่น ๆ ก็ตาม) โดยลูกไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับผู้ใด
  5. แม่ต้องสอนให้ลูกรู้จักศักดิ์ศรีและคุณค่าชีวิตของตัวเองและของผู้อื่นที่อยู่ร่วมกันในสังคมโลกนี้ และให้รู้จักการให้เกียรติแก่ตัวเอง และคนอื่น ๆ ด้วย
  6. แม่ต้องสอนให้ลูกรู้จักชีวิต ทั้งเรื่องคุณค่า และเป้าหมายของชีวิต และใช้ชีวิตนั้นอย่างคู่ควร ตามวัตถุประสงค์อย่างคุ้มค่า
  7. แม่ต้องสอนให้ลูกรู้จักคุณค่าของเวลา และใช้เวลานั้นอย่างคุ้มค่ากับลูก อย่างมีความสุข และน่าจดจำตลอดชีวิตของทุกคน
  8. แม่ต้องสอนให้ลูกรู้จักใส่ใจดูแลสุขภาพของตัวเขาเอง (ทั้งกาย จิต และวิญญาณ) ตั้งแต่เมื่อเขายังเยาว์วัย
  9. แม่ต้องปลูกฝังความศรัทธาอย่างถูกต้องต่อพระเจ้า ตามคำสอนแห่งพระวจนะในพระคริสตธรรมคัมภีร์ให้แก่ลูก เพื่อเขาจะมีแนวทางที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิตแห่งความรักต่อพระเจ้าและเพื่อนบ้านของเขา ตั้งแต่ในวัยเยาว์
  10. แม่ต้องสอนให้ลูกรู้จักสู้ชีวิต อย่างฉลาดและซื่อสัตย์แบบหนักเอาเบาสู้ และให้โอกาสแก่ลูกที่จะเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเขาเอง
  11. แม่ต้องสอนลูกให้ถ่อมใจและรู้จักยอมรับผิดในสิ่งที่ทำพลาดพร้อมทั้งสำนึกตน ขออภัย ชดใช้ และรีบปรับปรุงแก้ไขใหม่ให้ดีขึ้นอย่างรับผิดชอบ
  12. แม่ต้องสอนลูกให้รู้เช่นกันว่า แม้แต่แม่(พ่อ) ก็อาจผิดพลาดได้ แต่ก็เต็มใจรับฟังคำเตือนสติจากลูก และพร้อมที่จะขออภัยลูกเช่นกัน
  13. แม่ต้องสอนลูกให้รู้จักคุณค่าของเงินทอง และทรัพย์สินสิ่งของ (รวมทั้งทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ) และรู้จักใช้และชื่นชมสิ่งเหล่านั้นควบคู่ไปกับการมีส่วนร่วมในการปกป้องรักษา ในฐานะผู้อารักขาที่ดีที่มีความเมตตาต่อผู้อื่น
  14. แม่ต้องสอนให้ลูกรู้จักเคารพนับถือผู้อาวุโส ผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่ และคนรอบตัว แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้ใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้างที่จะปล่อยปละให้มีการกระทำผิดโดยนิ่งเฉย
  15. แม่ต้องให้เกียรติลูกในสิ่งที่ลูกคิด ชอบ หรือทำ (นอกจากว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นบาป ผิดศีลธรรม กฎหมายและเป็นอันตรายต่อลูกอย่างร้ายแรง)
  16. แม่ต้องให้ลูกรู้อยู่เสมอว่า แม่พร้อมเคียงข้าง สนับสนุนลูก ในทุกสิ่งดีที่ลูกกระทำ
  17. แม่ต้องไม่เจตนาทำร้ายลูกหรือทำให้ขมขื่นใจด้วย วาจา หรือการกระทำใด ๆ ที่หนักเกินกว่าที่ลูกจะทนรับได้ รวมทั้งอย่าทำลายความสุขของลูก ด้วยความคาดหวังที่ยากเกินจริงของผู้เป็นแม่
  18. แม่ต้องให้กำลังใจลูกทุกครั้งที่เขาผิดพลาด เสียใจหรือท้อใจ และพร้อมยกย่องชมเชยทุกครั้งที่ลูกกระทำดี หรือประสบความสำเร็จ (แม้จะเป็นเรื่องที่ดูเล็กน้อย)
  19. แม่ต้องให้ลูกมั่นใจว่า เขาสามารถเข้าหาแม่ได้ตลอดเวลาที่ต้องการ แต่ก็ฝึกฝนเขาให้รู้จักอดทนรอ ในกรณีที่แม่มีเรื่องสำคัญมากที่กำลังจัดการอยู่
  20. แม่ต้องสอนให้ลูกเรียนรู้ตั้งแต่เยาว์วัยว่า แม่ก็เป็นมนุษย์ที่ต้องการ การพักผ่อน กำลังใจ ความเข้าใจและเวลาเป็นส่วนตัวของแม่ รวมทั้งแม่ยังมีความรับผิดชอบในฐานะอื่น ๆ ด้วย อาทิ เป็นภรรยาของพ่อ และเป็นลูกของคุณปู่คุณย่าหรือคุณตาคุณยาย ของตัวเขา

ขอพระเจ้าทรงเมตตาให้คุณแม่ทุกท่านที่อ่านบทความนี้ จะมีแนวทางที่ชัดเจนในการปฏิบัติตนเป็นแม่ที่ดีของลูก ขอพระเจ้าทรงเสริมกำลังทุกท่านให้เป็นแม่ที่ดี และในขณะเดียวกันก็เป็นลูกที่ดีของแม่ของตนด้วยเช่นกัน

ดังนั้น พี่น้องที่รัก! 

จงรักลูกในขณะที่ยังมีลูกให้รัก และจงรักแม่ในขณะที่ยังมีแม่ให้รักเช่นกัน!

อย่างไรก็ตาม …หากผู้หนึ่งผู้ใดในคริสตจักรแห่งนี้ไม่เหลือแม่หรือไม่มีลูกให้รัก ก็ขอให้กรุณามองดูคนรอบข้างของท่านสักนิด แล้วท่านจะเห็น “แม่” และ “ลูก” จำนวนมากที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้ท่านรักพวกเขา และแสดงความรักกับพวกเขาอย่างที่ท่านปรารถนาจะกระทำ(ต่อแม่หรือลูกของท่าน)

…หวังว่า ท่านจะไม่ทำให้พระเจ้าต้องผิดหวังนะครับ!

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ junkoonorothwell.com)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

อะไรคือสิ่งที่ทำลายสัมพันธภาพของคนในคริสตจักร ?

อะไรคือสิ่งที่ทำลายสัมพันธภาพของคนในคริสตจักร ?

“เพื่อจะได้ชีวิตที่เรียบง่ายและมีความสุขนั้น เราไม่จำเป็นต้องควบคุมความคิดของเรา เราเพียงหยุดปล่อยมันควบคุมชีวิตของเราแค่นั้นพอ!”

(For a simple and happy life. We don’t have to control our thoughts, We just have to stop letting them control our life.)

พี่น้องที่รัก เพื่อที่จะให้วิถีชีวิตที่พวกเรามีอยู่ร่วมกันในคริสตจักรของเราเป็นบรรยากาศของครอบครัวที่มีความสุขและเรียบง่าย เราต้องไม่ปล่อยให้ทัศนคติ ความคิด อารมณ์ หรือความรู้สึกต่อไปนี้ควบคุมชีวิตของเราเพราะมันเป็นตัวบั่นทอนและทำลายสัมพันธภาพของคนในคริสตจักรเสมอมา นั่นคือ

  1. ความขุ่นเคืองโกรธง่ายที่นำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งกัน
  2. ความอิจฉาริษยากันที่นำไปสู่การมุ่งร้ายทำลายกัน
  3. ความขมขื่นใจต่อกันที่นำไปสู่การหลบลี้หนีหน้าไป
  4. ความเจ็บแค้นที่นำไปสู่ความเกลียดชังกันและการไม่ยอมให้อภัยกัน
  5. ความมีทิฐิที่นำไปสู่การไม่ยอมคืนดีกัน
  6. ความไม่เชื่อใจที่นำไปสู่การไม่ไว้วางใจกัน
  7. การคิดเล็กคิดน้อยที่นำไปสู่การคิดมากและคิดลบต่อกัน
  8. ความใจแคบที่นำไปสู่การแล้งน้ำใจและการไร้น้ำใจต่อกัน
  9. ความละโมบโลภมากที่นำไปสู่การแก่งแย่งคนหรือลักขโมยของรักของกันและกัน
  10. ความเคร่งครัดในกฎบัญญัติที่นำไปสู่ความอึดอัดเพราะยึดในระเบียบมากจนเกินเหตุ
  11. การล่วงเกินทางใจที่นำไปสู่การล่วงละเมิดทางกาย
  12. ความมีอคติที่นำไปสู่การดูถูกหรือดูหมิ่นดูแคลนกัน
  13. การไร้น้ำใจที่นำไปสู่การเฉยชาและไม่แยแสกัน
  14. ความลำเอียงที่นำไปสู่การเลือกปฏิบัติ หรือการตัดสินที่ไม่เป็นธรรมต่อกัน
  15. การหลงตนที่นำไปสู่ความไม่พอใจและการต่อต้านกัน
  16. ความเห็นแก่ตัวที่นำไปสู่การรังเกียจและการหลีกห่างจากกัน
  17. ความเย่อหยิ่งที่นำไปสู่ความยโสโอหังที่นำไปสู่ความขัดแย้งกัน

วันนี้ ขอให้สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะอยู่ห่างไกลจากครอบครัว และคริสตจักรของเราเถิด แต่ขอให้เรานำความสุข และความสันติมาสู่ชุมชนของเราด้วยการมีจิตใจและน้ำใจอย่างพระคริสต์ในการปฏิบัติต่อกัน

…จะดีไหมครับ?

..“ก็ขอให้ท่านทั้งหลายทำให้ความยินดีของข้าพเจ้าเต็มเปี่ยมด้วยการ มีความคิดอย่างเดียวกัน มีความรักอย่างเดียวกัน มีจิตใจและความคิดเป็นหนึ่งเดียวกัน อย่าทำสิ่งใดด้วยการชิงดีหรือถือดี แต่จงถือว่าคนอื่นดีกว่าตัวด้วยใจถ่อม อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆ ด้วย จงมีจิตใจเช่นนี้ในพวกท่านเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์”  ฟีลิปปี 2:2-5 THSV11

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ ALL.BIZ)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ฉันจะดีกว่าเดิมได้อย่างไร?

ฉันจะดีกว่าเดิมได้อย่างไร?

“ฉันไม่ใช่เป็นผลผลิตของสภาพแวดล้อมของฉัน แต่ฉันเป็นผลผลิตแห่งการตัดสินใจของฉัน”

(I am not a product of my  circumstances. I am a product of my decisions.) -Stephen Convey-

มีคำแนะนำดี ๆ อยู่มากมาย สำหรับการที่เราจะปรับปรุง พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม หรือให้มีประสิทธิภาพในการดำเนินชีวิต การศึกษาเล่าเรียน หรือในการประกอบอาชีพมากขึ้นกว่าเดิม อุปสรรคหรือปัญหาสำคัญที่ถูกนำมาเป็นข้ออ้างว่า เราไม่อาจจะดีขึ้นกว่าเดิมไม่ได้  มักเป็นเรื่องของ

  1. เวลา
  2. ปัจจัย และ
  3. ความสามารถ

ดังนั้น เพื่อทำให้เราสามารถเป็นคนที่ดีกว่าเดิมได้ เราต้องจัดการกับอุปสรรคเหล่านั้นเสียก่อน ต่อไปนี้เป็นแนวทางที่หากคุณลองนำไปประยุกต์ปฏิบัติอาจช่วยทำให้คุณเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเดิมได้

  1. ตั้งเวลาปลุกคุณให้ตื่นเร็วขึ้นกว่าปกติสัก 1-2 ชั่วโมงทุกวัน
  2. ลงมือทำสิ่งที่สำคัญที่สุดทันทีที่คุณตื่นขึ้นมา (ของคนปกติทั่ว ๆไปก็มักเป็นตอนเช้าตรู่)
  3. จดจ่ออยู่ที่การก้าวหน้า ไม่ใช่ที่ผลสัมฤทธิ์หรือผลสำเร็จ ทำเพียงให้แน่ใจว่า วันนี้ของคุณดีกว่าเมื่อวันวานของคุณ แม้สักนิดก็ยังดี
  4. หยุดบ่นว่าคุณมีเวลาไม่พอ
  5. เอาเวลามาวางแผนและจัดลำดับสำคัญของเวลาที่คุณมีอยู่ (น้อย) โดยจัดลำดับดังนี้
  • ทำในสิ่งที่ต้องทำก่อน
  • แล้วจึงทำในสิ่งที่ควรทำ
  • หากมีเวลาเหลือจึงทำสิ่งที่อยากทำ
  1. บริหารจัดการกับ “นาที” ที่คุณมีแบบจดจ่อ ไม่ใช่แบบ “ชั่วโมง” หรือ “วัน”
  2. หลีกเลี่ยงการทำงานเปะปะหลายงานพร้อมๆ กัน (นอกจากคุณมีพรสวรรค์พิเศษจากพระเจ้าจริง ๆ )
  3. จัดเวลาทำสิ่งต่าง ๆ ข้างต้นอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นกิจวัตรที่จะปลดปล่อยพลังสมองของคุณ
  4. อย่าติดยึดกับความสมบูรณ์แบบมากเกินไป แต่ให้ปล่อยวางความผิดพลาดหรือความไม่สมบูรณ์ลง แล้วเริ่มต้น (แก้ไข) ใหม่ (ให้ดีขึ้น) ในทันที
  5. กำหนดเวลาอิสระหรือเวลาพักผ่อน(พักสายตา พักสมอง) ในตารางเวลาของคุณด้วย
  6. ใช้เวลาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และเสริมสร้างจิตวิญญาณของตัวคุณเอง และพี่น้องผู้เชื่อในกลุ่มแคร์หรือชั้นศึกษาพระคัมภีร์อยู่เป็นประจำ
  7. ให้แสวงหาพระเจ้าและแผ่นดินของพระองค์ก่อนด้วยความไว้วางใจในการทรงนำและการจัดเตรียมของพระองค์อย่างสุดใจ

แล้วในบั้นปลายชีวิตสิ่งที่คุณได้ตรากตรำทำมาจะกลายเป็นสิ่งดีขึ้นกว่าที่ผ่าน ๆ มาแล้วอย่างแน่นอน!

ลองดูสิครับ!

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ ABC Cinic)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

จะทำอย่างไรให้ฉันเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเดิม?

จะทำอย่างไรให้ฉันเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเดิม?

 “ความเชื่อของคุณไม่ทำให้คุณเป็นคนที่ดีขึ้น แต่พฤติกรรมของคุณต่างหากที่เป็นตัวทำให้เกิดขึ้น!”

(Your beliefs don’t’ make you a better person; Your Behavior does.)

คนบางคนไม่มีความเชื่อหรือศรัทธาในสิ่งใดๆเลย (แม้แต่พระเจ้า)  และพฤติกรรมของเขานั้นไม่ดี  เป็นสิ่งที่พอรับกันได้ แต่คนบางคน อ้างว่าเขามีศรัทธาในศาสนาและพระเจ้า แต่พฤติกรรมของเขาช่างห่างไกลจากคำว่าดีงาม ย่อมเป็นสิ่งที่ยากจะรับกันได้!

คุณต้องตระหนักก่อนว่า…. หากศรัทธาที่คุณมีต่อพระเจ้าหรือศาสนาของคุณ ไม่ได้ช่วยทำให้คุณกลายเป็นคนที่ดีขึ้น พระเจ้าหรือศาสนานั้นย่อมไร้ค่าสำหรับคุณ!  หรืออาจต้องพูดกลับกัน หากว่า คุณไม่ได้เลื่อมใสศรัทธาในพระเจ้า หรือศาสนาของคุณจริง ๆ  คุณก็ไม่มีค่าอะไรต่อพระเจ้าหรือศาสนาของคุณ! ศรัทธาต้องได้รับการพิสูจน์ด้วยพฤติกรรม!

หากปากของคุณบอกว่าคุณศรัทธา แต่พฤติกรรมของคุณกลับฟ้องว่า คุณเป็นคนไร้ศรัทธา คนเขาจะเชื่ออะไร? คุณจะดีขึ้นกว่าเดิมได้ก็ต่อเมื่อคุณมีศรัทธาต่อพระเจ้า และคำสอนของพระองค์ และเชื่อฟังปฏิบัติตามเท่านั้น!

การที่ปากบอกว่า”เชื่อ” แต่ มือ และเท้า ไม่กระทำตามที่ปากกล่าว อาจทำให้คุณกลายเป็นโรคมือเท้าปากเปื่อยฝ่ายจิตวิญญาณ! แต่คุณจะดีขึ้นกว่าเดิมได้แน่ หากว่าคุณเป็นผู้มีวุฒิภาวะในศรัทธาของคุณ จะมีก็แต่เด็กเท่านั้นที่พูดกลับไปกลับมา เอาอะไรแน่นอนไม่ได้ แต่สำหรับคนที่เป็นผู้ใหญ่ เขาจะใคร่ครวญอย่างรอบคอบก่อนที่เขาจะพูดออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเวลาที่เขาให้คำมั่นสัญญา!

คนที่เป็นผู้ใหญ่จะหยุดละเลิกพฤติกรรมที่ไม่พึงกระทำ  และจะพัฒนาตัวของเขาเองให้มีความสมดุลในเรื่องความเชื่อและการกระทำ!

คนเป็นผู้ใหญ่ในจิตวิญญาณจะไม่หาข้อแก้ตัวในเรื่องการปรับปรุงแก้ไขตัวเอง ดังคำกล่าวที่ว่า  …           

        “วุฒิภาวะมาเมื่อคุณหยุดแก้ตัว และเริ่มต้นลงมือเปลี่ยนแปลง(ตัวเอง)”

         (Maturity comes when you stop making excuses and start making changes.)

 ขอให้พระเจ้าทรงเป็นผู้กระทำกิจอยู่ภายในตัวของคุณเพื่อเร่งเร้าให้คุณมีใจที่จะประพฤติปฏิบัติตามชอบพระทัยของพระเจ้า

“เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงทำการอยู่ภายในพวกท่าน ให้ท่านมีความประสงค์และมีความสามารถทำตามชอบพระทัยของพระองค์”   (ฟิลิปปี 2:13)

เพราะว่า หากคุณกระทำตามชอบพระทัยของพระเจ้า คุณจะมีความสุข ดังที่พระเยซูคริสต์ตรัสไว้ว่า..

“เมื่อพวกท่านรู้อย่างนี้แล้วและประพฤติตาม ท่านก็เป็นสุข”  (ยอห์น 13:17)

ดังนั้นวันนี้ มาทำตัวของคุณให้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยพึ่งพระเจ้า พระบิดาและพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการประพฤติตัวของคุณตามพระวจนะของพระคริสต์

จะดีไหมครับ? 

 

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/

lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr. ภาพ Pinterest.com)