Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

จะวางตัวอย่างไรในการคบหากับแฟน

จะวางตัวอย่างไรในการคบหากับแฟน?

“จงสัมผัสหัวใจของเธอ ไม่ใช่ร่างกายของเธอ จงดึงความสนใจของเธอ ไม่ใช่ชิงพรหมจารีของเธอไป จงทำให้เธอยิ้มสดใส ไม่ใช่ทำให้เธอต้องเศร้าโศกเสียน้ำตา!

(Touch her heart Not her body. Steal her attention Not her virginity. Make her smile Don’t waste her tears.)

มีคำถามมาว่าจะต้องทำอย่างไร หนุ่มสาวจึงจะสามารถรักษาตัวให้บริสุทธิ์ได้ในระหว่างที่คบหาเป็นแฟนกัน? ต่อไปนี้คือคำแนะนำที่พึงตั้งต้นกระทำตาม หากประสงค์ที่จะได้ชีวิตครอบครัวที่มีความสุข

  1. ทั้ง 2 ต้องใช้เวลากับพระเจ้าเป็นส่วนตัวทุกวัน โดยสะสมพระวจนะด้วยใจพร้อมที่จะเชื่อฟังทำตามในสิ่งที่ได้อ่านในพระคัมภีร์ และอธิษฐานขอพระเจ้าปกป้องรักษาความสัมพันธ์ที่มีต่อกันให้บริสุทธิ์ทั้งทางกาย วาจา และใจ
  2. ทั้ง 2 ต้องระมัดระวังในสิ่งที่ ดู อ่าน หรือฟัง ซึ่งยั่วยุกามารมณ์ ต้องระวังแม้แต่การคลิกเข้าไปในสื่อโซเชียล ต่าง ๆ โดยระลึกถึงคำสอนของพระเยซูที่ไม่ให้เข้าไปในการทดลอง
  3. ทั้ง 2 ต้องระวังแม้แต่การ ดูหนัง หรือ ชมละคร ที่ให้คำแนะนำในเชิงสนับสนุนส่งเสริมให้เกิดความอยากลองทำในสิ่งที่ยังไม่ถึงเวลาโดยคิดว่าไม่ผิดเพราะใคร ๆ เขาก็ทำกัน

(ในเว็ปของคริสเตียนมีคำแนะนำในเรื่องเรทหนังต่าง ๆ จึงนับว่าเป็นประโยชน์ในการเข้าไปอ่านคำวิจารณ์ก่อนที่จะไปชมภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ )

  1. ทั้ง 2 ต้องตระหนักไว้ก่อนว่า สถานภาพของการเป็นแฟนกันนั้นเป็นสภาวะเบื้องต้น ที่ชั่วคราวและไม่แน่นอน ดังนั้น ต้องระวังในการวางตัวให้เหมาะสม ในสายตาของบิดามารดา และขนบประเพณีที่ดีงาม การอยู่ด้วยกัน 2 ต่อ 2 ในที่ลับตาคน (แม้แต่ในโบสถ์) ก็เป็นสิ่งที่ไม่สมควร –ต้องตระหนักว่า ทั้ง 2 อาจยุติสัมพันธภาพฉันคนรักได้ทุกเวลา
  2. ทั้ง 2 ต้องให้สัญญากับพระเจ้า กับอีกฝ่าย และกับตัวเองว่า จะตั้งจิตตั้งใจแน่วแน่ไม่ล่วงเกินทางเพศต่อกันหรือไม่ยอมปล่อยให้เกิดการเกินเลยกันในเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด ก่อนถึงเวลาอันควร (คือเมื่อแต่งงานกันแล้ว)
  3. ทั้ง 2 ต้องตระหนักเสมอว่า พระเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นทุกสิ่งที่เราคิดหรือเรากระทำ แม้แต่ในที่ลับรโหฐาน และพระองค์ทรงสถิตอยู่กับทั้ง 2 ตลอดเวลา –ทั้ง 2 จึงควรรู้จักใช้เวลานมัสการพระเจ้า สามัคคีธรรมกับพี่น้อง และการร่วมรับใช้ผู้อื่นในนามของพระเจ้าร่วมกันอยู่สม่ำเสมอ
  4. ทั้ง 2 ต้องเรียนรู้จักวิธีแสดงความรักหรือให้ความสุขต่อกัน โดยไม่ต้องสัมผัสกับกายของอีกฝ่าย (ในช่วงที่คบหากัน)
  5. ทั้ง 2 ต้องเสริมสร้างจิตวิญญาณของกันและกันให้เติบโตขึ้น จนมีวุฒิภาวะทั้งทางความคิดและจิตวิญญาณ มีความสามารถในการยั้งคิดและเหนี่ยวรั้งใจได้และเตือนสติแก่กันและกัน (ให้รู้จักอดเปรี้ยวไว้กินหวาน)
  6. ทั้ง 2 ต้องมีที่ปรึกษาที่เป็นผู้ใหญ่ ฝ่ายจิตวิญญาณ ที่ทั้ง 2 พร้อมรับฟังคำแนะนำ คำเตือนสติและคำให้คำปรึกษาที่เหมาะสม
  7. ทั้ง 2 ต้องเรียนรู้ที่จะตั้งเป้าหมายให้สัมพันธภาพทั้งก่อนแต่งงาน และหลังจากแต่งงานแล้ว เป็นสิ่งที่ถวาย พระเกียรติแด่พระเจ้า และเป็นพยานให้แก่พระองค์ถึงชีวิตคู่ที่มีมาตรฐานสูงและสง่างาม

ขอให้ทุกคนที่ได้ชื่อว่า เชื่อพระเจ้าแล้ว จงประพฤติปฏิบัติตนในแนวทางที่บริสุทธิ์และสง่างามดังที่แนะนำ เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ให้เกียรติแก่ครอบครัวทั้ง 2 ฝ่าย ให้เกียรติแก่ตัวเองและคนที่ตนเองรัก แล้วสัมพันธภาพของทั้ง 2 จะได้รับการอวยพรจากพระเจ้าจนวันสุดท้ายของชีวิต!

อนึ่ง หากว่า คู่รักคู่ใดมีความสัมพันธ์ที่ไม่บริสุทธิ์กันไปแล้ว จะต้องทำอย่างไร?

คำแนะนำคือ ทั้ง 2 จงหยุดพฤติกรรมที่เกินเลยทั้งหมดในทันที และทูลขอการให้อภัยจากพระเจ้า และจากกันและกัน และจงตั้งใจที่จะเริ่มต้นสัมพันธภาพใหม่ ที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ตามแนวทางข้างต้น และอดทนรอคอยจนกว่าจะถึงวาระเวลาที่จะมีความสัมพันธ์ทางเพศกันอีกครั้งในวันแต่งงาน!

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ kto ART)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ทำไมต้องมีวินัยในการครองคู่

ทำไมต้องมีวินัยในการครองคู่

 “เมื่อชายคนใดเพิ่งมีภรรยา อย่าให้ผู้นั้นออกไปกับกองทัพ หรือมอบงานอย่างใดแก่เขา ให้เขาอยู่บ้านปีหนึ่ง เพื่อเขาจะให้ภรรยาซึ่งเขาได้มานั้นมีความสุข!    (เฉลยธรรมบัญญัติ 24:5)
(When a man is newly married, he shall not go out with the army or be liable for any other public duty. He shall be free at home one year to be happy with his wife whom he has taken.)

ช่างน่าสนใจยิ่งนักที่พระคัมภีร์เดิมได้ให้ความสำคัญต่อการทำหน้าที่ของสามีที่มีต่อภรรยาของตน

ผู้เป็นสามีต้องมีวินัยในการรักษาความสัมพันธ์แห่งความสุขในบ้านไว้เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก ผู้ชายที่แต่งงานแล้วต้องใช้เวลา 1 ปีแรกของชีวิตสมรสสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งและลึกซึ้งสำหรับชีวิตครอบครัวของตน เขาต้องไม่ออกไปรบ หรือรับมอบหมายงานหน้าที่ใดที่ทำให้เขาต้องห่างไกลภรรยาหรืออาจไม่ได้กลับมาหาภรรยาของเขาอีก แต่เขาต้องทุ่มเทเวลา ทรัพย์สิน และสติปัญญาในการทำให้ภรรยามีความสุข!       

แม้แต่คนที่มีคู่หมั้น ก็ไม่ควรออกไปรบ เพราะอาจตายโดยที่ทิ้งคู่หมั้นหรือภรรยาที่เพิ่งแต่งไว้ (คนยิวถือว่า ผู้หญิงที่มีคู่หมั้นนั้นก็เหมือนแต่งงานแล้ว การยกเลิกการหมั้นหมายก็คือการหย่าร้างกัน)

“ใครที่หมั้นหญิงไว้เป็นภรรยาแล้ว แต่ยังไม่ได้แต่งงานกัน ให้ผู้นั้นกลับไปบ้านของตน เกรงว่าเขาจะตายเสียในสงคราม และชายอื่นจะได้แต่งงานกับเธอ” (เฉลยธรรมบัญญัติ 20:7 THSV11)

ผู้ชายที่หมั้น หรือผู้ชายที่แต่งงานแล้วจะต้องรับผิดชอบสร้างหลักประกันแห่งชีวิตสมรสของเขาให้มีความมั่นคงที่สุด บ้านของเขาต้องเป็นชุมชนแห่งความสุขที่ปลอดจากการหย่าร้าง  เพราะพระเจ้าเกลียดชังการหย่าร้าง!

การหย่าร้างเป็นผลมาจากความมีใจแข็งกระด้างของบางคน ที่ไม่พยายามรักษาครอบครัวไว้ให้ถึงที่สุด ทำให้ครอบครัวต้องอับปางจบสิ้นลง แม้ว่าอีกคนต้องการจะรักษาไว้ก็ตาม การหย่าร้างจึงทำลายรากฐานของสังคมและประเทศชาติ  (ฉธบ.24:2-4;มธ.19:8-9;ลนต.18:20;มลค.2:14-16)  เพราะทำให้สัมพันธภาพของคนในสังคมสับสนอลหม่าน เมื่อมีการหย่าร้างแล้วแต่งงานกันใหม่ แล้วก็หย่าร้างอีก แล้วก็ไปแต่งใหม่กับอีกคนหนึ่ง  เป็นเช่นนี้ ไปเรื่อย ๆ สถาบันครอบครัวก็อ่อนแอและผุพังลงอย่างไม่เป็นท่า และนำปัญหานานาประการมาสู่สังคม

เหมือนที่ได้เห็นชัดในยุคนี้ ที่สถาบันครอบครัวกำลังจะล่มสลายกันแล้ว เพราะคู่สมรสขาดวินัยในการรักษาครอบครัวของตน จึงสูญเสียคู่สมรสไปอย่างน่าเสียดายและเสียใจ คงคล้ายๆ กับคนที่สูญเสียฟันหรือเหงือก เพราะไม่มีวินัยในการรักษาฟันหรือทำความสะอาดฟัน คือไม่แปรงฟัน หรือไม่ใส่ใจในการแปรงฟันให้ถูกวิธี ปล่อยปละละเลยฟัน จนฟันต้องจากลาไปอย่างน่าเจ็บปวดใจและกาย

ในสมัยโบราณนั้น ผู้ชายเป็นตัวหลักในการตัดสินใจหย่า แต่ในปัจจุบันนี้ เริ่มกลับกัน เพราะสถิติยืนยันว่า ผู้หญิงมักเป็นฝ่ายขอหย่า และหย่าอย่างฉับพลัน แบบผู้ชายตั้งตัวไม่ทัน!) ดังนั้น คนในยุคปัจจุบันนี้ ต้องกลับไปตระหนักถึงความสำคัญของปีแรกของการแต่งงาน คู่สมรสทุกคู่ต้องมีวินัยในการร่วมกันสร้างครอบครัว ให้มีการตอกเสาเข็มแห่งความรักและความสุขให้ลงลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้

 คำเตือนสำหรับคู่สมรสในยุคนี้!      

  • อย่าปล่อยให้ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาห่างเหินกันเพราะงาน/อาชีพ
    อย่าให้ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาเหินห่างกันเพราะบุคคลที่สาม ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อน เจ้านาย  ลูกน้อง หรือแม้แต่ลูก
  • อย่าให้ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาต้องห่างเหิน หรือเมินเฉยต่อกัน เพราะงานรับใช้ ไม่ว่าจะในนามของอะไร หรือของใคร แม้แต่ในนามของพระเจ้า
  • อย่าอ้างพระเจ้าเพื่อให้ความชอบธรรมกับการรับใช้ใดๆ ที่ทำให้ครอบครัวของคุณล่มสลาย

งานรับใช้พระเจ้าที่สำคัญอย่างยิ่งคือการรักษาครอบครัวของคุณให้คงอยู่หรือหากสูญเสียไป ก็จงกอบกู้ครอบครัวของคุณกลับคืนมา!

อย่างไรก็ตาม หากว่าคุณได้สูญเสียครอบครัวของคุณไปแล้ว และไม่อาจกอบกู้กลับคืนมาได้ ก็ขอให้คุณอุทิศทั้งชีวิตเพื่อพระองค์ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้เกิดคุณค่าต่อแผ่นดินของพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผู้รับใช้และคนของพระเจ้า โดยช่วยพวกเขาให้เริ่มต้นให้ถูกต้อง และดำเนินต่อไปอย่างมั่นคงมีสุข ไม่ให้ต้องเสียใจอย่างที่เราประสบ สิ่งที่คุณทำจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้ายิ่งนัก!    

สำหรับคนที่ยังมีสามีหรือภรรยาอยู่ จงมีวินัย ในการให้เวลา ให้ความสนใจ ให้ความใส่ใจ ให้ความรักและความสุขแก่คู่สมรสของคุณ  ก่อนที่คุณจะไม่มีคู่สมรสเหลืออยู่ให้รักอีกต่อไป!

 

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Edmund Blair Leighton painting) 

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ค่านิยมของชีวิตคุณคืออะไร?

ค่านิยมของชีวิตคุณคืออะไร?

 Winston Churchill  เคยกล่าวไว้ว่า…

“เราเลี้ยงดูชีวิต โดยสิ่งที่เราได้มา แต่เราสร้างชีวิต โดยสิ่งที่เราให้ออกไป!
 
(We make a living by what we get, but we make a life by what we give.)

การใช้จ่ายเงินของเราจะเป็นตัวบ่งบอกค่านิยมชีวิตในความคิดของเรา
คุณหาเงินมาเพื่ออะไร? คุณใช้เงินเหล่านั้นเพื่อใคร? และอย่างไร? จะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเรา

บางคน มีชีวิตอยู่เพียงเพื่อจะหาเงิน แต่น่าเศร้าที่สุดท้ายเขากลับไม่ใช่เป็นนายของเงินที่เขาหามา เงินต่างหากที่แสวงหาเขา และได้ครอบครองและเอาตัวเขาไปเป็นทาสของมัน ช่างน่าขันที่คนบางคนปล่อยให้เงินทำให้ตัวของเขากลายเป็นตัวตลก

“คนจำนวนไม่น้อยใช้เงิน (หรือถูกเงินใช้) เพื่อซื้อสิ่งที่เขาไม่ได้ต้องการ เพียงเพื่อสร้างภาพอวดคนที่เขาไม่ชอบ!
(Too many people spend money they earned to buy things they don’t want to impress people that they don’t like.)   -Will Rog

เราต้องเข้าใจไว้เสมอว่าเราไม่ได้ต้องการเงินมากขึ้น แท้จริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องแสวงหาความมั่งคั่ง หรือต้องใช้เงินอะไรมากมาย

ดังที่ Epictetus กล่าวไว้ว่า…
“ความมั่งคั่งไม่ได้อยู่ที่การครอบครองทรัพย์สินสิ่งของมากมาย แต่อยู่ที่การมีความอยากเพียงแค่ไม่กี่อย่าง!
 
(Wealth consists not in having great possessions, but in having few wants.)

Seneca กล่าวไว้ชัดเจนว่า….
“คนที่ยากจนไม่ใช่คนที่มีเพียงเล็กน้อย แต่คือคนที่อยากได้มากขึ้น!”
(It is not the man who has too little, but the man who craves more, that is poor.)

ถ้าวันนี้ เรามีความอยากน้อยลง เราก็เท่ากับว่ากำลังร่ำรวยขึ้น เราต้องมีทัศนคติในเรื่องเงินให้ถูกต้องและใช้เงินให้เป็น เราต้องเตือนตัวเองเสมอว่า…
“เงินทองคือนายที่ยอดแย่ แต่เป็นทาสที่ยอดเยี่ยม!”
 
(Money is a terrible master but an excellent servant.) -P.T. Barnum-

เราต้องเข้าใจว่า…
“ความสุขไม่ได้อยู่ที่การได้ครอบครองเงินทอง แต่อยู่ที่ความยินดีจากความสำเร็จ ที่ได้ใช้เงินทองอย่างสร้างสรรค์”
 
(Happiness is not in the mere possession of money; it lies in the joy of achievement,  in the thrill of creative  effort.)    -Franklin D. Roosevelt-

เงินทองจึงไม่ใช่จุดหมายปลายทางของชีวิตเรา มันเป็นเพียงแค่อุปกรณ์หรือเครื่องมือที่นำไปสู่จุดหมายของชีวิต ดังนั้น ขอให้เราใช้เงินทองตามบทบาทอันควรของมัน และอย่าติดอยู่กับเพียงสิ่งที่เงินทองซื้อหามาได้ เพราะสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้นั้นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งที่เงินทองซื้อหามาได้

จงรู้จักใช้เงินทองเพื่อสร้างสุขให้แก่พระเจ้า ผู้อื่นและตัวเอง

“ส่วนพวกที่มั่งคั่งในชีวิตนี้ จงกำชับพวกเขาไม่ให้เย่อหยิ่ง หรือมุ่งหวังในทรัพย์ที่ไม่ยั่งยืน แต่ให้มุ่งหวังในพระเจ้าผู้ประทานทุกสิ่งแก่เราอย่างบริบูรณ์ เพื่อให้เราได้ชื่นชม จงกำชับพวกเขาให้ทำการดี ให้ทำการดีมากๆ ให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และแบ่งปัน การทำเช่นนี้เป็นการสะสมทรัพย์ที่เป็นรากฐานอันดีสำหรับตนในภายหน้า เพื่อพวกเขาจะยึดมั่นในชีวิต คือชีวิตที่แท้จริงนั้น”  (1ทธ.6:17-19)

ดังที่ George Lorimar กล่าวว่า…
“การมีเงินทองและสิ่งของที่เงินซื้อหามาได้นับเป็นสิ่งดี แต่การตรวจดูให้แน่ว่าคุณไม่ได้สูญเสียสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ไปก็เป็นสิ่งที่ดีด้วยเช่นกัน!”
(It’s good to have money and the things that money can buy, but it’s good, too,  to check up once in a while and make sure that you haven’t lost the things that money can’t buy.)  -George Lorimar-

ดังนั้นจงมีวินัยในการดำเนินชีวิตเรื่องการหาเงินทอง และการใช้เงินทองอย่างถูกต้องเหมาะสมตามหลักการของพระเจ้าดังที่ปรากฏอยู่ในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์

 ขอปิดท้ายด้วยคำพูดของ Joe Biden ที่ว่า…

“ไม่ต้องบอกผมว่าค่านิยมในชีวิตของคุณคืออะไร แค่แสดงรายรับและรายจ่ายของคุณให้ผมดู ผมจะบอกคุณได้ในทันทีว่า ค่านิยมชีวิตของคุณคืออะไร!
(Don’t tell me what you value, show me your budget,  and I’ll tell you what you value.)

พี่น้องที่รัก ….

อย่าลืมถามตัวเองอีกครั้งว่า

“ฉันกำลังใช้จ่ายเงินไปกับอะไร?  อะไรคือสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตของคุณ?” และสิ่งที่คุณจ่ายไปนั้น คุ้มค่ากับนิรันดร์กาลหรือไม่?

 “เพราะว่าทรัพย์สมบัติของพวกท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย”  (ลูกา 12:34)

 

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ researchtree.in)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

คริสเตียนควรออมเงินอย่างไร

คริสเตียนควรออมเงินอย่างไร?

 “อย่าออมเงินที่เหลือจากการใช้จ่าย แต่จงใช้จ่ายเงินที่เหลือหลังจากการออม”

(Do not save what is left after spending, But spend what is left after saving.)  -Warren Buffet –

วันนี้มีคำแนะนำดีๆ  มาฝากในเรื่องการออมเงินครับ เราต้องรู้จักควบคุมเงินของเรา ก่อนที่มันจะควบคุมเรา แต่หนึ่งในวิถีของการควบคุมเงินคือ การรู้จักใช้และออมเงินอย่างถูกต้อง!

 หลักการคิดพิจารณา เรื่องการออมทรัพย์ควรมีจุดประสงค์ 3 ประการคือ

  1. เพื่อพระเจ้า      2. เพื่อผู้อื่น     3. เพื่อตัวเอง
  • เพื่อพระเจ้า คือ เพื่อสนับสนุนพระราชกิจของพระเจ้าผ่านคริสตจักรและหน่วยงานองค์กรคริสเตียน
  • เพื่อผู้อื่น คือ เพื่อช่วยเหลือสงเคราะห์พี่น้องหรือผู้ที่ประสบภัยหรือประสบปัญหาชีวิต
  • เพื่อตัวเอง คือ เพื่อให้ความสุขและความเป็นตอยู่ที่ดีแก่ตนเองและสมาชิกในครอบครัวและดูแลเลี้ยงดูทุกคนในยามจำเป็นหรือยามเกษียณ (ไม่ทำตัวให้เป็นภาระแก่ผู้อื่นในด้านการเงิน)

แล้วหลักและวิธีในการออมควรเป็นอย่างไร?

  1. ไม่จ่ายมากกว่ารับ-ไม่ใช้เงินก่อนที่มี

            1.1 ใช้เงินที่เหลือจากออมและเงินที่ถวายคืนแด่พระเจ้า(ตามหลักของพระคริสตธรรมคัมภีร์) ไปแล้ว

             1.2 แบ่งเงินเป็นส่วนๆ แยกเงินเก็บออมตั้งแต่ต้น(ก่อนใช้) เช่น หักเก็บ 5-10% ของรายได้  เพื่อการออมทุกๆ ครั้งที่ได้เงินมา

              1.3 จัดทำ “งบประมาณการใช้จ่ายเงิน” ส่วนตัวหรือของครอบครัว อาจทำ “แบบบันทึกรายรับรายจ่ายประจำเดือน/ประจำปี” กำกับดูแลตรวจสอบการใช้เงินของตัวเอง

           “การทำงบประมาณไม่ใช่การเข้มงวดในสิ่งที่คุณสามารถใช้จ่ายได้แต่เป็นการอนุญาตให้คุณใช้จ่ายเงินโดยไม่ต้องรู้สึกผิดหรือเสียใจ”

  (A budget isn’t about restricting what you can spend. It gives you permission to spend without guilt or regret.)

        2. แยกเก็บเงินลงกระปุกตามวัตถุประสงค์หรือเป้าหมาย

              2.1 สำหรับซื้อของอยากได้

              2.2 สำหรับไปเที่ยว

               2.3 สำหรับออมเพื่ออนาคต

               2.4 สำหรับสนับสนุนกิจการของพระเจ้า (คริสตจักร/โรงเรียน/องค์กร)

       “คุณต้องเรียนรู้ที่จะออมเงินก่อน และค่อยใช้เงินนั้นในภายหลัง”

         (You must learn to save first and spend after wards.)  -John Pooles-

       3. ลดค่าใช้จ่าย(ที่ไม่จำเป็น)

            3.1  อะไรที่เปลือง ก็ลดลง -ชา/กาแฟ-เอามาออมแทน

            3.2 อะไรที่ไม่จำเป็นก็งดซื้อ/งดจ่าย-ขนมขบเคี้ยว

             3.3 อะไรจำเป็นต้องกินต้องใช้ ก็ซื้อช่วงลดราคา

             3.4 อะไรที่ป้องกันได้ให้ป้องกันไว้ก่อน – ดูแลสุขภาพ/ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต

              “ วิถีที่ดีที่สุดในการออมเงินคือ  ไม่สูญเสียเงิน (โดยไม่จำเป็น)”

                 (The best way to save money is not to lose it.)

        4. ไม่ติดของแบรนด์เนม-ไม่หลงโฆษณา

             4.1 ใช้ของดีมีคุณภาพโดยไม่ติดยึดยี่ห้อดัง-จ่ายแพงไม่จำเป็น

             4.2 ถ้าชอบแบรนด์เนมจริง ๆ และมีปัญญาหาซื้อ ก็ให้ซื้อเท่าที่จำเป็น

            “อย่าซื้อสิ่งของที่คุณไม่สามารถจ่ายด้วยเงินที่คุณไม่มี เพื่อจะอวดข่มคนที่คุณไม่ชอบ”

            (Don’t buy things you can’t afford with money you don’t have to impress people you don’t like.)

         5. พกเงินสดติดตัวให้น้อยลง

              5.1 คำนวณว่าต้องใช้เงินรายวัน วันละเท่าไร

              5.2 พกเงินพอสำหรับแต่ละสัปดาห์ และใช้อย่างมีวินัย

             “ สิ่งที่ท้าทายในชีวิตคือ จะใช้เวลาอย่างไร โดยไม่ต้องใช้เงิน”

                 (The challenge of life is how to spend time without spending money.)

         6. งดหรือจำกัดการใช้บัตรเครดิต

          6.1 จ่ายเงินในวงเงินสดที่มีอยู่เฉพาะค่าใช้จ่ายรายเดือน

          6.2 งดหรือยกเลิกบัตรเครดิตหากไม่จำเป็นต้องมี/หรือไม่มีวินัยในตัวเอง

         “ถ้าคุณซื้อสิ่งของที่คุณไม่จำเป็นต้องมี ในไม่ช้าคุณจำต้องขายสิ่งของที่คุณจำเป็นเพื่อใช้หนี้”

           (If you buy things you do not need, Soon you will have to sell things you do need.)

          7. เก็บเศษเงินที่เหลือทุกวัน

          7.1 มีเงินเหลือเท่าไร แต่ละวันเท่าไรก็ให้เก็บใส่ลิ้นชักทันที โดยไม่นำออกมาใช้

          7,2 แยกเก็บธนบัตรใบละ 50 บาททุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 ใบ

               “เวลาที่คุณจะออมเงินได้ก็คือ เวลาที่คุณมีเงินอยู่บ้าง”

               (The time to save money is when you have some.)  -Joe Moore-

           8. เปิดบัญชีเงินฝากระยะยาวกับธนาคาร(หรือบริษัทประกันชีวิต)

                8.1 ฝากประจำระยะยาว 5 ปี ขึ้นไป

                8.2 ลงทุน/ซื้อหุ้นที่มั่นคง เสี่ยงน้อย (ประกันเงินต้น/เงินฝาก)

            “เงินพูดเพียงภาษาเดียวว่า… ถ้าคุณช่วยออมฉันในวันนี้ ฉันจะช่วยคุณในวันหน้า’”

            (Money speaks only one language, “If you save me today. I will save you tomorrow.)

หากว่าคุณเป็นคนที่มีศรัทธาในพระเจ้าจริงๆ และเรียนรู้จักหลักการดำเนินชีวิตมีสุขอย่างพอเพียง รู้จักคุณค่าของเงิน รู้จักวิธีใช้เงิน และรู้จักวิธีเก็บออมเงิน คุณจะกลายเป็นคนที่มีประสิทธิภาพสำหรับพระเจ้า และครอบครัวของคุณ แต่การออมเงินที่ดีที่สุด ก็คือ เมื่อเงินที่ออมนั้นสามารถช่วยคนบางคนหรือหลายคนให้รู้จักกับพระเจ้าและรับความรอดพ้นจากหนี้กรรมบาปของเขาโดยพระคุณของพระเยซูคริสต์!

วันนี้ คุณออมเงินแล้วยัง?

และคุณออมเงินเพื่อใคร?

จงจำไว้เสมอว่า…

“เงินที่ประหยัดได้คือ เงินออมที่ได้มาเพิ่ม” (A penny saved is a penny earned.)

“ แผนงานของคนขยันนำไปสู่กำไรแน่นอน แต่ทุกคนที่ผลีผลามก็มาสู่ความขาดแคลนแน่แท้”

(The plans of the diligent lead surely to abundance, but everyone who is hasty comes only to poverty.)  

                                                                                                                                    (สุภาษิต 21:5)

 “คลังทรัพย์ล้ำค่าและน้ำมันมีอยู่ในที่อาศัยของคนมีปัญญา แต่คนโง่ผลาญมันจนเกลี้ยง”

 (Precious treasure and oil are in a wise man’s dwelling, but a foolish man devours it.)  (สุภาษิต 21:20)

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswe

(Cr.ภาพ Rabbit Daily)              

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ความคิดสร้างสรรค์คืออะไร

ความคิดสร้างสรรค์คืออะไร?

“ความคิดสร้างสรรค์ “  คือ “ความสามารถในการเปลี่ยนแนวคิด กฎกติกา รูปแบบ และสัมพันธภาพแบบดั้งเดิม ให้เกิดแนวความคิดใหม่ๆ(ความเป็นต้นฉบับและจินตนาการ)ที่มีความหมายอย่างสร้างสรรค์)”

(Creativity:  the ability to transcend traditional ideas, rules, patterns and relationships to create meaningful new ideas; originality or imagination)

หากเราต้องการเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ เราต้องกล้ายอมคิดแบบที่แตกต่างจากที่เราคุ้นเคยบ้าง ดังที่

David Robert กล่าวว่า…

“ความคิดสร้างสรรค์คือการยอมอนุญาตให้ตัวคุณเองมองต่างมุมจากที่เคยคิดได้!”

 (Creativity is giving yourself permission to see things differently)

โลกนี้ สังคมนี้ หรือแม้แต่คริสตจักรแห่งนี้ ล้วนต้องการความคิดสร้างสรรค์ที่จะช่วยสรรสร้างให้เกิดความเจริญพัฒนาอย่างยั่งยืน ที่อาจแตกต่างจากที่พวกเรา และคนก่อนหน้านี้เคยยึดถือกันมาอย่างนานแล้ว (หากจำเป็น)

Brene Brown กล่าวว่า…

   “ความคิดสร้างสรรค์คือวิถีที่ผมแบ่งปันจิตวิญญาณให้กับโลกนี้!”

   “และของขวัญที่มีเอกลักษณ์หนึ่งเดียวที่เราจะแบ่งปันให้แก่โลกนี้ ต้องเกิดมาจากความคิดที่สร้างสรรค์”

      (The only unique contribution we will make in this world will be born of creativity.)

 Nadine Feghaly กล่าวเช่นกันว่า…

      “ความคิดสร้างสรรค์คือการมอบชีวิต สีสัน และรูปแบบ ให้แก่เสียงที่ออกมาจากภายใน!”

          (Creativity is to give life, color & form to a voice that comes from within. )

ดังนั้น จงมอบชีวิตและสีสันนั้นกับคนที่คุณรัก และรักคุณก่อน และใครล่ะควรเป็นคนแรกที่เรามอบชีวิตและสีสันให้?

“เจ้าจงชื่นชมยินดีในชีวิตกับภรรยา (บิดามารดา/ลูก) ซึ่งเจ้ารักตลอดชีวิตอนิจจังที่ได้ประทานให้แก่เจ้าภายใต้ดวงอาทิตย์ตลอดวันเวลาอนิจจังของเจ้า เพราะว่านั่นเป็นรางวัลสำหรับชีวิต และสำหรับการตรากตรำของเจ้า ซึ่งเจ้าได้ตรากตรำภายใต้ดวงอาทิตย์”

ฉะนั้น เมื่อเรารู้แล้วว่า ควรจะทำอะไร? ก็อย่าให้เรารีรอชักช้า และพระคัมภีร์ก็เตือนเราไว้เช่นกันว่า หากเราจะคิด จะทำอะไรอย่างสร้างสรรค์ ก็จงลงมือทำ ณ บัดนี้เลย เพราะว่าหลังจากเราตายไปแล้ว  เราจะไม่มีโอกาสทำสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป!

“มือของเจ้าจับงานอะไร ก็จงทำการนั้นด้วยเต็มกำลัง เพราะในแดนคนตายที่เจ้าจะไปนั้นไม่มีการงาน หรือความคิด หรือความรู้ หรือปัญญา!”     -ปัญญาจารย์ 9:9-10 THSV11

วันนี้ คุณพร้อมที่จะลงมือแบ่งปันสิ่งที่สร้างสรรค์อันเป็นชีวิต และสีสันให้กับโลกหรือคนที่คุณรัก

…แล้วหรือยัง?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Artfinder)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ผู้นำที่มีประสิทธิภาพนั้นเป็นอย่างไร?

ผู้นำที่มีประสิทธิภาพนั้นเป็นอย่างไร?

“ไม่ว่าคุณเป็นอะไร จงเป็นให้ดี!”

 (Whatever you are, be a good one.) -Abraham Lincoln-

 ถ้าคุณจะเป็นผู้นำ คุณต้องเป็นผู้นำที่ดี ถ้าไม่ดีก็อย่าเป็น!

ในทำนองเดียวกันหากคุณจะเป็นผู้ตาม ก็จงเป็นผู้ตามที่ดีด้วย มิฉะนั้นคนที่เป็นผู้นำ เขาจะนำไม่ได้!

ในพระคัมภีร์ก็พูดอย่างนี้ไว้

“จงนบนอบเชื่อฟัง บรรดาผู้นำของท่านทั้งหลาย เพราะว่าพวกเขาดูแลรักษาจิตวิญญาณของพวกท่านอยู่อย่างคนที่ต้องถวายรายงาน จงให้พวกเขาทำงานนี้ด้วยความชื่นชมยินดี ไม่ใช่ด้วยความเศร้าใจ ซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์แก่พวกท่านเลย” –ฮีบรู 13:17

หากใครจะเป็นผู้ตามจงยอมฟังผู้นำของท่านและให้ความร่วมมือกับท่าน เพื่อพวกเขาจะได้ทำงานของพวกเขาตามที่พระเจ้ามอบหมายให้เขาทำ แต่หากท่านเป็นผู้นำก็จงเป็นผู้นำที่ดีและมีประสิทธิภาพ

ผู้นำที่มีประสิทธิภาพเป็นอย่างไร?

  1. ผู้นำที่มีประสิทธิภาพต้องเป็นคนดีมีคุณธรรม

“ภาวะผู้นำคือการผสมผสานกันระหว่าง ยุทธศาสตร์และลักษณะนิสัย (ที่ดี)  แต่ถ้าหากคุณต้องเลือกอันใดอันหนึ่ง ก็จงโยนยุทธศาสตร์ทิ้งไป!”

Leadership is a potent combination of strategy and character. But if you must be without one, be without the strategy.   —Norman Schwarzkopf

คุณลักษณะหรือคุณสมบัติสูงส่งของภาวะผู้นำคือความ “ซื่อตรงครบถ้วน”

The supreme quality of leadership is integrity.   –Dwight Eisenhower

ผู้นำต้องเป็นคนดีมีคุณธรรม  แบบชนิดที่ว่าจะเอาอะไร (ที่ไร้คุณธรรมไม่ว่าจะมากสักเท่าไร) มาแลกก็ไม่ยอม!

ผู้นำต้องไม่เพียงแค่ไปด้วยเพื่อเข้ากันได้ แต่…ผู้นำต้องสามารถทำได้ตามมาตรฐานศีลธรรมของยุคสมัย!

Leadership cannot just go along to get along.  Leadership must meet the moral challenge of the day. —Jesse Jackson

  1. ผู้นำที่มีประสิทธิภาพ จะนำ และสร้างแรงบันดาลใจผู้คน

 “ผู้นำต้องใกล้ชิดเพียงพอที่จะสัมพันธ์กับคนอื่น แต่ก็ต้องอยู่ไกลไปข้างหน้าพอที่จะโน้มนำพวกเขาได้”

  (Leaders must be close enough to relate to others, but far enough ahead to motivate them.)       —John C. Maxwell

ไม่มีอะไรสูญเปล่าไปอย่างไร้ค่าเท่ากับการที่ผู้นำไม่ทำหน้าที่ในการนำ ผู้นำที่ไม่นำสร้างความเสียหายให้กับองค์กรและคนที่อยู่ในการดูแลของเขา อย่างน่าเสียดาย

“จงนำและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คน อย่าพยายามจัดการหรือครอบงำคน สิ่งต่างๆ สามารถได้รับการบริหารจัดการ  แต่สำหรับคน พวกเขาต้องได้รับการนำ!”

Lead and inspire people. Don’t try to manage and manipulate people. Inventories can be managed but people must be lead.  —Ross Perot

“การเป็นผู้นำคือการปลดปล่อยศักยภาพของผู้คน เพื่อให้เขากลายเป็นคนที่ดีกว่าเดิม!”

Leadership is unlocking people’s potential to become better.  —Bill Bradley

ผู้นำจะต้องนำคนให้บรรลุความก้าวหน้าและความสำเร็จตามศักยภาพของแต่ละคน

“ผู้นำแท้นำทางคนอื่นๆให้บรรลุความสำเร็จ เขาจะทำให้แน่ใจว่าทุกคนกำลังแสดงออกมาได้อย่างดีที่สุดคือกำลังทำในสิ่งที่พวกเขาสัญญา และกำลังทำได้เป็นอย่างดี!”

True leadership lies in guiding others to success. In ensuring that everyone is performing at their best, doing the work they are pledged to do and doing it well.  —Bill Owens

  1. ผู้นำที่มีประสิทธิภาพต้องตระหนักถึงปัญหาก่อนที่ปัญหาจะเกิดและแก้ไขได้ทันท่วงที

ผู้นำที่ดีต้องตื่นตัว ระมัดระวังสังเกตเห็นสัญญาณเตือนภัย และเตือนผู้ตามทุกคนถึงภัยที่อาจเกิดหรือกำลังจะเกิดขึ้น เหมือนที่กรมอุตุนิยมวิทยา เตือนถึงภัยธรรมชาติที่กำลังจะเกิดขึ้น ทำให้ผู้คนสามารถเตรียมรับมือ ณ จุดที่อยู่ หรือรีบอพยพไปหาที่ปลอดภัย

“หนึ่งในข้อทดสอบของการเป็นผู้นำคือความสามารถที่จะตระหนักรับรู้ถึงปัญหาก่อนที่ปัญหานั้นจะกลายเป็นเรื่องฉุกเฉิน!”

One of the tests of leadership is the ability to recognize a problem before it becomes an emergency.

บางครั้งในการแก้ปัญหา ผู้นำอาจต้องแอ่นอกรับคำตำหนิ วิพากษ์วิจารณ์ แทนคนอื่นในทีมด้วยความถ่อมสุภาพ และรีบแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เกิดผลดีกว่าเดิมในทันที

“ผู้นำที่ดีคือคนที่ยอมรับคำตำหนิมากขึ้นอีกสักนิด และขอรับคำชมให้น้อยลงกว่าที่เขาควรได้รับอีกสักหน่อยหนึ่ง!”

A good leader is a person who takes a little more than his share of the blame and a little less than his share of the credit.   —John Maxwell

วันนี้ คุณจงเป็นผู้นำที่ดีมีประสิทธิภาพ  คือ

  1. เป็นคนดีมีคุณธรรมควบคู่ไปกับความสามารถ
  2. เป็นคนที่นำและสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้คน
  3. เป็นคนที่สามารถตื่นตัวถึงปัญหาและรีบแก้ไขก่อนที่ปัญหาจะเกิดขึ้น!

…จะดีไหมครับ?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

คุณเป็นแบบอย่างที่ดีแล้วหรือยัง?

คุณเป็นแบบอย่างที่ดีแล้วหรือยัง?

“คุณเป็นตัวอย่าง จะเป็นตัวอย่างที่ดี หรือไม่ดี ก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง!”

(You are an example. Whether you are a good example Or not is up to you.) -Steve Fercante –

 

พระเยซูคริสต์ทรงวางแบบอย่างที่ดี ให้สาวกของพระองค์กระทำตาม

“เพราะว่าเราวางแบบอย่างแก่พวกท่านแล้ว เพื่อให้ท่านทำเหมือนอย่างที่เราทำกับท่านด้วย”  (ยน.13:15)

อาจารย์เปาโล ก็มองดูพระเยซูเป็นแบบอย่าง และกระทำตามแบบอย่างของพระองค์ นอกจากนี้ท่านยังกำชับเชิญชวนให้คนอื่นทำตามแบบอย่างที่ท่านกระทำด้วย

“พี่น้องทั้งหลาย จงร่วมกันทำตามแบบอย่างของข้าพเจ้า ท่านมีเราเป็นตัวอย่างแล้ว จงสังเกตดูคนเหล่านั้นที่ดำเนินชีวิตตามแบบอย่างที่เราวางไว้ให้พวกท่านนั้น” (ฟป.3:17)

“ท่านทั้งหลายจงทำตามแบบอย่างของข้าพเจ้าเหมือนกับที่ข้าพเจ้าทำตามแบบอย่างของพระคริสต์” (1คร.11:1)

เราก็ควรเป็นและทำเช่นเดียวกัน ดังนั้น ไม่ว่าเราจะเป็นเด็ก  เป็นอนุชน เป็นหญิง หรือเป็น คนชรา เราควรจะทำตามแบบอย่างที่พระคริสต์ทรงวางไว้ให้บุคคลในพระคัมภีร์และคนในปัจจุบันกระทำตาม อาจารย์เปาโลบอกกับทิโมธีคนหนุ่มว่า อย่าให้ใครหมิ่นประมาทความอ่อนวัยของเขา แต่ให้เขาเป็นแบบอย่างแก่บรรดาผู้เชื่อ

“อย่าให้ใครหมิ่นประมาทความอ่อนวัยของท่าน แต่จงเป็นแบบอย่างแก่บรรดาผู้เชื่อ ทั้งในด้านวาจาและการประพฤติ ทั้งในด้านความรัก ความเชื่อ และความบริสุทธิ์” (1ทธ.4:12)

อ.เปาโลชมเชยพวกคริสเตียนเมืองเธสะโลนิกาว่า พวกเขานับว่าเป็นแบบอย่างแก่คนที่เชื่อที่เลื่องลือไปทั่ว

“เพราะเหตุนั้นท่านจึงเป็นแบบอย่างแก่คนที่เชื่อแล้ว ในแคว้นมาซิโดเนียและแคว้นอาคายา 8เพราะว่าคำสอนเรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้าได้เลื่องลือออกไปจากพวกท่าน ไม่ใช่แต่ในแคว้นมาซิโดเนียและในแคว้นอาคายาเท่านั้น แต่ความเชื่อของท่านในพระเจ้าได้เลื่องลือไปทุกแห่งหน จนเราไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก” (1ธส.1:7-8)

อาจารย์เปาโลยังสั่งทิตัสให้กำชับคนหนุ่ม ๆ ที่เกาะครีตให้ประพฤติตนเป็นแบบอย่างในการดีทุก ๆ ด้าน

“ส่วนพวกชายหนุ่มก็เหมือนกัน จงเตือนสติพวกเขาให้มีสติสัมปชัญญะ 7ท่านเองจงประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างในการดีทุกด้าน ในการสอนอย่างจริงใจ จริงจัง 8และถูกต้องที่ไม่มีใครจะตำหนิได้ เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามอับอายและไม่สามารถกล่าวร้ายอะไรต่อเรา” (ทต.2:6-8)

เราต้องตระหนักว่า …

“การเป็นผู้นำ ไม่ใช่เป็นเรื่องของตำแหน่ง หรือยศศักดิ์ แต่เป็นการกระทำ  และการเป็นตัวอย่างที่ดี!”

(Leadership is not a position or a title, It is action and example.)

คริสตจักรต้องการสมาชิกที่ดี ผู้ตามแบบอย่างผู้นำที่ดี  และผู้นำที่ดีต้องทำตามแบบอย่างขององค์พระเยซูคริสต์ อย่างไรก็ตาม ผู้นำที่แท้จริงจะไม่เป็นเพียงแค่แบบอย่างให้แก่ผู้ตาม หรือแค่เพิ่มจำนวนผู้ตามให้มากขึ้นเท่านั้น แต่ผู้นำที่ดีจะสร้าง “ผู้นำ” (ที่ดี) ให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น

True Leaders don’t’ create Followers. They create More Leaders.”

(ผู้นำที่แท้จริง ไม่สร้างผู้ตาม ผู้นำที่แท้จริง สร้างผู้นำให้มากยิ่งขึ้น!)

และผู้นำที่ถูกสร้างขึ้นใหม่นี้  จะต้องเป็นผู้นำที่ดีซึ่งสามารถจะเป็นแบบอย่างดีที่ให้ผู้อื่นสามารถเลียนแบบชีวิตได้เช่นกัน และจะยิ่งดีเลิศ เมื่อพวกเขาเหล่านั้นจะกลายเป็นผู้นำที่สามารถสร้างผู้นำรุ่นต่อ ๆ ไป ตราบจนกระทั่งถึงวันที่องค์พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา!

คุณเห็นด้วยกับที่ผมกล่าวมาไหมครับ?           

ตอบที!

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ WorldEvangelism.net)