Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

จะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อดี?

จะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อดี?

I would rather live my life as if there is a God and die to find out there isn’t, than live as if there isn’t and to die to find out that there is.  -Albert Camus

“ฉันขอเลือกมีชีวิตราวกับว่ามีพระเจ้าแล้วตายไปพบว่า ไม่มีพระเจ้า มากกว่ามีชีวิตของฉันอยู่ราวกับว่าไม่มีพระเจ้า แต่พอตายไปแล้วกลับพบว่ามีพระเจ้าอยู่จริง!” -ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

คนเรามักคึกคะนองหรือทรนงตนเกินเหตุ ด้วยการลบหลู่สบประมาทหรือท้าทายพระเจ้า!

บางคนถึงอาจหาญประกาศเหยียดหยามและเสียดสีว่า   “พระเจ้าตายแล้ว!”

อย่างกรณีของ เฟรดริค นิทเช่ (Friedrich Nietzsche,1844 – 1900 ) นิทเช่เป็นนักปราชญ์ที่เริ่มตั้งคำถามและเริ่มปฏิเสธยุคแสงสว่างที่โดดเด่นคนหนึ่ง นักปรัชญาชาวเยอรมันผู้นี้ปฏิเสธความเชื่อทางศาสนาถึงกลับกล้าเขียนไว้ในหนังสือ “Thus spoke Zarathustra” ว่า “พระเจ้าตายแล้ว”

ต่อมามีคนนำเอาคำพูดของเขามาเขียนที่ข้างกำแพงตัวใหญ่โตว่า 

“พระเจ้าตายแล้ว!”  (God is dead!) นิทเช่– ( Nietzsche)

แต่หลังจากที่ นิชเช่ เสียชีวิต บนกำแพงเดียวกันกลับปรากฏข้อความที่ถูกเขียนขึ้นมาใหม่ว่า 

“Nietzsche is dead!” (นิทเช่ตายแล้ว!) -พระเจ้า-  (God)

ในพระคัมภีร์จารึกไว้ว่า  “คนโง่รำพึงในใจของตนว่า ‘ไม่มีพระเจ้า!’”  (There is no God!} -สดุดี14:1

แต่นิทเช่ ยิ่งกว่าโง่อีกที่ โอหังหมิ่นพระบรมราชานุภาพแห่งพระแห่งฟ้าสวรรค์ผู้สร้างตัวเขาและประทานสติปัญญาอันเป็นเลิศมาให้ แต่กลับใช้ไปอย่างไม่คู่ควร  นิทเช่เป็นศาสตราจารย์ด้านปรัชญาที่มหาวิทยาลัยบาเซิล (University of Basel) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ต่อมาก็ต้องเกษียณอายุตัวเอง เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพ และมีความคิดรุนแรงเข้ากับคนอื่นไม่ได้ ในช่วงสิบเอ็ดปีสุดท้ายของชีวิตเขาประสบปัญหาทางจิต จนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2445 รวมอายุได้ 55 ปี

เรื่องนิทเช่  ตัวนิทเช่เอง คงต้องไปให้การต่อพระพักตร์ของพระเจ้าเป็นการส่วนตัว! แต่เรื่องของคุณ คุณคงต้องรับผิดชอบความคิดและการตัดสินใจของคุณเอง! และเพื่อความปลอดภัยตลอดนิรันดร์ ของคุณ ผมขอแนะนำให้คุณดำเนินชีวิตด้วยความศรัทธาในพระเจ้า เพราะนั่นคือ การปิดประตูเสี่ยงทั้งหมดลง! รับรองได้เลยว่า ถ้าคุณเชื่อว่ามีพระเจ้า และทำตามคำสอนของพระคัมภีร์ (ที่เชื่อว่าเป็นคำสั่งสอนของพระองค์ที่มีไว้สำหรับให้เราปฏิบัติตาม) ด้วยความเชื่อแบบศรัทธาสุดหัวใจ และสุดท้ายพบว่าไม่มีพระเจ้าอยู่จริง  คุณก็จะไม่มีอะไรเหลือให้คุณต้องกลัวอีกเลย !

…แต่ที่น่าเป็นห่วงมากกว่าก็คือ พวกไม่เชื่ออะไรเลย แม้แต่พระเจ้า เพราะคนประเภทนี้ ไม่แคร์ใครหรืออะไรทั้งนั้น แถมยังชอบเย้ยเยาะพระเจ้า แล้วอะไร จะเกิดขึ้น หากวันหนึ่งเขาตายไปแล้วพบว่า เขาต้องยืนให้การต่อพระเจ้า!

แค่คิดก็เสียวสันหลังแล้ว จริงไหมครับ?

 

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ God is real)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

คุณควรอธิษฐานขอสิ่งใด

คุณควรอธิษฐานขอสิ่งใด?

“จงอธิษฐานขอดวงตาที่จะมองเห็นส่วนดีที่สุดในตัวคนอื่น

  • ขอดวงใจที่ให้อภัยคนที่เลวร้ายที่สุด
  • และขอดวงจิตที่พร้อมลืมสิ่งที่ย่ำแย่ที่สุด และ
  • ขอจิตวิญญาณที่ไม่สิ้นความศรัทธาในพระเจ้า!”

(Always pray to have eyes that see the best in people,

  • A heart that forgives the worst,
  • A mind that forgets the bad, and
  • A soul that never lose faith in God.)

คนเราบางคนนี่แปลกมาก! เขาอธิษฐานขอบางสิ่งจากพระเจ้า แต่เขากลับไม่ได้หวังจะได้อะไรจากคำอธิษฐานของเขาเอง บางทีหนักไปกว่านั้นอีกก็คือ เขาไม่เชื่อด้วยซ้ำว่า พระเจ้าจะทรงตอบคำอธิษฐานของเขา

เมื่อเราอธิษฐาน เราจึงควรเชื่อมั่นว่า เราจะได้รับในสิ่งที่เราทูลขอ ดังนั้น เราควรอธิษฐานขอในสิ่งที่ดีเท่านั้น และไม่ดื้อดึงอธิษฐานขอในสิ่งที่ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า  เพราะเราอาจจะได้รับในสิ่งนั้น

อะไรคือสิ่งที่เราควรทูลขอจากพระเจ้า ?

สิ่งหนึ่งก็คือ –  ดวงตาที่มองเห็นส่วนที่ดีที่สุดในตัวของคนอื่น!

ปัญหาคือ คนเรามักมีดวงตาที่มองเห็นส่วนเสียหรือข้อผิดพลาดหรือความผิดบาปของผู้อื่นได้ง่ายกว่าส่วนดีของพวกเขา! เพราะเยซูคริสต์ก็ทรงเตือนเราไม่ให้มองหาผงฝุ่นในตาของพี่น้อง ในขณะที่ไม้ซุงทั้งท่อนยังอยู่ในตาของเราเอง

“ทำไมท่านมองเห็นผงในตาพี่น้องของท่าน แต่กลับมองไม่เห็นไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน? ท่านจะกล่าวกับพี่น้องได้อย่างไรว่า ‘ให้ฉันเขี่ยผงออกจากตาของเธอ?’ ทั้งๆ ที่มีไม้ทั้งท่อนอยู่ในตาของท่านเอง คนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้” (มธ.7:3-5)

หากเรามีดวงตามองเห็นส่วนดีของผู้อื่น และมีดวงใจที่พร้อมให้อภัยแก่คนที่ทำสิ่งผิดพลาดหรือเลวร้ายต่อเราได้ด้วยน้ำใจอย่างพระคริสต์  และอธิษฐานด้วยความเชื่อศรัทธาที่ล้นไหลออกมาจากจิตวิญญาณของเรา สิ่งอัศจรรย์ที่เกินความคาดคิดน่าชื่นใจก็อาจเกิดขึ้นได้ในทันที!

เชื่อไหมครับ?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Sincerely Megan.com)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

คุณจะศึกษาพระคัมภีร์ด้วยตัวเองอย่างไรเพื่อจะไม่อดตาย?

คุณจะศึกษาพระคัมภีร์ด้วยตัวเองอย่างไรเพื่อจะไม่อดตาย?

“จงศึกษาพระคัมภีร์เพื่อที่จะฉลาด จงเชื่อพระคัมภีร์ เพื่อจะปลอดภัย จงปฏิบัติตามพระคัมภีร์ เพื่อจะบริสุทธิ์”

(Study the Bible to be wises; Believe it to be safe; Practice it to be holy.)

โดยปกติขั้นตอนการศึกษาพระคัมภีร์มี 3 ขั้นตอนพื้นฐาน คือ

  1. สังเกตดี (Observation)
  2. ตีความถูก (Interpretation)
  3. ประยุกต์เหมาะ (Application)

I  ในขั้นตอนการสังเกต (Observation)

    เวลาอ่านพระคัมภีร์ เราจะดูให้รู้ว่า “พระคัมภีร์ตอนนั้นพูดอะไรและพูดอย่างไร?”  เราจะมองดูที่คำศัพท์ (terms)

  • โครงสร้าง (structure) หรือย่อหน้า (paragraph)
  • การเน้น (Emphasis)
  • การพูดซ้ำ (Repetition)
  • ความสัมพันธ์ของแนวความคิด (Relationship between ideas)
  • เหตุและผล (cause – and – effect)
  • เงื่อนไข (ifs and thens)
  • คำถาม และคำตอบ (questions and answers)
  • การเปรียบสิ่งที่เหมือน และสิ่งที่ต่าง (comparisons and contrasts)
  • รูปแบบวรรณกรรม (Literary form)
  • บรรยากาศ (Atmosphere)

ในขั้นตอนนี้ เราต้องรู้จักใช้คำถามว่า

  • ใคร?
  • ทำอะไร?
  • ที่ไหน?
  • เมื่อไร?
  • กับใคร?

      หรือ   6)  อย่างไร?

II ในขั้นตอนการตีความ (Interpretation)

เวลาอ่านเราจะมองหา “ความหมาย” ของเนื้อหาพระคัมภีร์ตอนที่อ่านนั้น เราจะค้นหา ความคิดหรือแนวคิดหลักของผู้เขียน โดยการ

  1. อ่านบริบท (Context) ให้ถี่ถ้วน
  2. โยงกับตอนอื่น (Cross-reference)
  3. เข้าใจวัฒนธรรมประเพณี (Culture)
  4. สรุปความหมาย (Conclusion)
  5. หาความรู้คำอธิบาย (จากผู้รู้) (Consultation)

 III ในขั้นตอนการประยุกต์ใช้ (Application)

หลังจากอ่าน สังเกต และตีความหมายเป็นที่เข้าใจแล้ว เราต้องนำความจริงนั้นมาประยุกต์ ปฏิบัติใช้ในชีวิตจริง ด้วยความเชื่อฟังพระเจ้า เพื่อจะเติบโตขึ้นเหมือนพระเยซูคริสต์ เราอาจถามคำถามต่อไปนี้

  1. ความจริง (บทเรียน) ที่รับการเปิดเผยนี้ ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าอย่างไร?
  2. ความจริงนี้ ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของเรากับคนอื่นอย่างไร?
  3. ความจริงนี้ส่งผลกระทบต่อตัวของฉันอย่างไร?
  4. ความจริงนี้ ส่งผลกระทบต่อการตอบสนองของฉันต่อปัญหาหรือการทดลองอย่างไร?

หากว่าคุณรู้จักวิธีอ่านและศึกษาพระคัมภีร์ ก็เหมือนกับคุณรู้วิธีทำอาหาร ดังนั้น หากตราบใดยังมีวัตถุดิบ (พระคัมภีร์) ตราบนั้น คุณจะไม่มีวันอดตาย (ในฝ่ายจิตวิญญาณ) อย่างแน่นอน

…เชื่อผมเถอะ!

 

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

คุณได้ประโยชน์อะไรจากการมีนัดกับพระเจ้าในทุกวัน?

คุณได้ประโยชน์อะไรจากการมีนัดกับพระเจ้าในทุกวัน?

คนบางคนไม่เคยเข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นส่วนตัวเลย

คนบางคนเข้าเฝ้าพระเจ้าบ้างไม่เข้าเฝ้าบ้าง

คนบางคนเข้าเฝ้าเป็นประจำ

คุณเป็นคนประเภทใด?

คนที่ถือว่าการเข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นส่วนตัวนั้นเป็นนัดหมายระหว่างตัวเขากับพระเจ้า เขาจะกระทำเช่นนั้นอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นนิสัยใหม่ที่ขัดกับนิสัย(บาป)เดิม และคนที่ทำเช่นนี้ได้จะต้องฟันฝ่าอุปสรรค หรือความยากลำบากมาหลายประการ อาทิ เรื่องนิสัย เรื่องความรู้สึกอารมณ์ ความคิดทัศนคติหรือความสนุกสนาน ที่ไม่ได้สนับสนุนให้กระทำเช่นนั้น

แต่หลังที่เขาฟันฝ่ามาได้ จนการนัดหมายกับพระเจ้าเป็นประจำวันนั้นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต  เขาก็จะเริ่มมีประสบการณ์แห่งพระพรในรูปแบบต่าง ๆ

อะไรคือประโยชน์ที่คนเฝ้าเดี่ยวหรือคนที่ไปตามนัดกับพระเจ้าทุกวันจะได้รับ?

1.เขาจะเจริญเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ –  ผ่านการอ่านพระคัมภีร์ การใคร่ครวญพระวจนะและการอธิษฐาน

2.เขาจะรู้จักพระเจ้าเป็นส่วนบุคคลมากขึ้น – ผ่านสัมพันธภาพกับพระเจ้าที่นำการฟื้นฟูฟื้นใจมาสู่มาสู่ตัวเขา

3.เขาจะเข้าใจในพระทัยพระดำริของพระเจ้าผ่านทางการศึกษาพระคัมภีร์ลึกซึ้งมากขึ้นผ่านการค่อยๆ อ่านเป็นรายวันอย่างต่อเนื่องจนเห็นภาพรวมทั้งหมดของพระคัมภีร์

4.เขาจะสามารถนำบทเรียนที่ได้มาประยุกต์ปฏิบัติจริงอย่างเหมาะสมในชีวิต – ผ่านการค่อยๆ ฝึกฝนการลองทำตามบทเรียนจากง่ายๆ ไปหายาก จากเล็กไปหาใหญ่

5.เขาจะมีความสุขและความยินดีในชีวิตแบบที่โลกไม่มีให้นอกจากมาจากพระเจ้าเท่านั้น – ผ่านความรู้สึกอบอุ่นเป็นสุขที่ได้จากการเชื่อฟังทำตามพระเจ้าที่เขารักและบูชาและภูมิใจเมื่อเห็นพระเจ้าอวยพรในสิ่งที่เขาทำให้เกิดผล

แล้ว คุณล่ะครับ วันนี้คุณได้รับประโยชน์อะไรจากการเข้าเฝ้าพระเจ้าตามนัดหมายบ้างหรือยัง?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com /thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ OpenHeartsMinistry)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ปณิธานวันปีใหม่

ปณิธานปีใหม่!

ประเพณีตั้งเป้าหมายหรือปณิธานชีวิตสำหรับปีใหม่ เพื่อทำสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่ใหม่ที่เรียกกันว่า “New Year’s Resolution” เล่ากันว่ามีที่มาจากชาวบาบิโลน (1894 B.C.-141 B.C.) ที่สัญญากับพระเจ้าว่าในปีใหม่นี้  พวกเขาจะคืนของที่ยืมไปและตั้งใจชำระหนี้คืนให้หมดสิ้น

ชาวโรมัน (27 B.C.-395 A.D.)ก็กระทำเช่นกันโดยจะเริ่มต้นทุกปีด้วยการให้สัญญากับเทพเจ้าแห่งปีใหม่ Janus (เดือน มกราคม คือ January ก็ตั้งตามชื่อเทพเจ้านี้) ต่อมาชาวคริสต์ก็เริ่มต้นปีใหม่ด้วยการภาวนาอธิษฐานและกำหนดความตั้งใจว่าจะทำสิ่งดีอันใดบ้างในปีใหม่ที่กำลังมาถึง จากการสำรวจและพบว่าร้อยละ 40 ของคริสต์ศาสนิกชนมี New Year’s Resolution  จากนั้นผู้คนทั่วโลกก็รับเอาประเพณีนี้มาปฏิบัติเป็นประจำปี สำหรับคนทั่วไป ปณิธานปีใหม่หรือสิ่งที่ตั้งใจและสัญญากับตนเองว่าจะทำในปีใหม่ที่เป็นที่นิยมที่สุดได้แก่

ก) ทำให้รูปลักษณ์และบุคลิกภาพของตนดีขึ้น เช่น  กินอาหารสุขภาพ ออกกำลังมากขึ้น เลิกสูบบุหรี่ ลดน้ำหนัก เลิกนิสัยเก่าๆ ที่ไม่ดี

(ข) พัฒนาการคิดและอารมณ์ให้ดีขึ้น เช่น คิดในแง่บวก มีอารมณ์ขันให้มากขึ้น

(ค) ปรับปรุงนิสัยการใช้จ่าย เช่น  ใช้จ่ายน้อยลง แก้ไขเรื่องหนี้ หาวิธีออมเงิน และลงทุน 

(ง) ตั้งใจทำงานให้ดีขึ้นหรือมากขึ้น เช่น ทำธุรกิจส่วนตัว หางานใหม่ที่ดีกว่า 

(จ) ตั้งใจเรียนรู้มากขึ้น หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ (ภาษาต่างประเทศ ดนตรี) เช่น  อ่านหนังสือมากขึ้น ลงเรียนวิชาต่างๆ รวมทั้งการพัฒนาพรสวรรค์ 

(ฉ) พัฒนาตนเอง ลดความเครียด ทำให้อารมณ์ดีขึ้น เช่น จำกัดเวลาดูโทรทัศน์และใช้เวลากับสมาร์ทโฟนให้น้อยลง 

(ช) มีจิตอาสา ช่วยคนอื่น พัฒนาทักษะชีวิต ทำงานให้การกุศล ฯลฯ

จากการสำรวจพบว่าสาเหตุที่ทำให้ ปณิธานปีใหม่ (New Year’s Resolution ) ของคนส่วนใหญ่ล้มเหลวก็คือ

        -ตั้งเป้าไว้ไกลความจริง 35%

         -ไม่ติดตามผลของคำสัญญา 33%

         -ลืมคำสัญญา 22%

        -มีคำสัญญามากเกินไป 10%

ลองเลือกทำสิ่งเหล่านี้ ดีไหม?

Richard Wiseman แห่ง University of Bristol สำรวจ 3,000 คน พบว่า 88 % ของคนที่มี New Year’s Resolution นั้นล้มเหลว (ถึงแม้ว่าในตอนต้นคนเหล่านี้ครึ่งหนึ่งมั่นใจว่าจะทำให้สำเร็จตามคำสัญญา) ส่วนที่ประสบความสำเร็จก็มีข้อสรุปได้ดังนี้ว่า …

ผู้ชายมักประสบความสำเร็จเพราะมีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน (ลดน้ำหนัก 1 กิโลกรัมต่ออาทิตย์ไม่ใช่เพียงระบุว่าลดน้ำหนักเท่านั้น)  ผู้หญิงประสบผลสำเร็จเมื่อประกาศให้คนอื่นรู้ว่ามีเป้าหมายอะไร และอย่างไร และได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนๆ

มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก เป็นตัวอย่างที่ดี ในการตั้งปณิธานปีใหม่และทำตาม เขาได้โพสต์ลงบนเฟสบุ๊คของเขาว่า…

“ในทุกๆ ปี ผมจะท้าทายตัวเองให้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และเติบโตไปในด้านอื่นๆที่นอกเหนือ จากเฟสบุ๊ค” และสิ่งที่เขาได้ลงมือทำนั้น ก็คือเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ และสร้างสิ่งประดิษฐ์แปลกๆ ซึ่งสิ่งท้าทาย ด้วยจุดประสงค์ที่ยิ่งใหญ่แฝงอยู่ ในปี 2017  เขาไปเยี่ยมและพบปะผู้คนให้ได้ทุกรัฐ ซึ่งจุดประสงค์ของเขาก็คือการ เรียนรู้ว่าคนทั่วประเทศนี้มีชีวิตความเป็นอยู่และมีการวางแผนอนาคตกันอย่างไรบ้าง

ตัวอย่างปณิธานปีใหม่ของมาร์คนำเทคโนโลยีมาทำให้ชีวิตง่ายขึ้น

  1. นำเทคโนโลยีมาทำให้ชีวิตง่ายขึ้น
  2. ใฝ่หาความรู้ด้วยตัวเอง
  3. รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน
  4. พบปะผู้คนที่ไม่ใช่เพื่อนร่วมงาน วันละคน
  5. ใส่ใจในรายละเอียด
  6. ทำอะไรที่ประเทืองปัญญา
  7. หาวิธีใหม่ๆ ในการสร้างแรงจูงใจให้เหล่าพนักงาน
  8. รู้ซึ้งถึงคุณค่าของอาหารที่ทาน

แล้วในปีใหม่นี้ เราผู้ที่เป็นประชากรของพระเจ้า มีปณิธานที่จะทำสิ่งที่ดีและสิ่งใหม่อะไรบ้างในปีที่ใหม่นี้บ้าง?

เราจะลงมือทำอะไรที่มีคุณค่าน่าจดจำและน่าภาคภูมิใจบ้าง?

  1. ตั้งเวลา ตื่นตี 5 เข้าเฝ้าพระเจ้า (เฝ้าเดี่ยว)ทุกวัน จดบันทึกและแบ่งปันสิ่งที่ได้รับแก่คนอื่น
  2. ไปศึกษาพระคัมภีร์ในระหว่างสัปดาห์ (เช่น วันพุธ หรือวันพฤหัส) ที่คริสตจักร ไม่ว่าฝนจะตกรถจะติดหรือยุ่งมากสักแค่ไหน?
  3. อ่านพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ให้จบภายใน 12 เดือน
  4. อาสาสมัครรับใช้งานพันธกิจด้านใดด้านหนึ่งสัก1ปีแล้วประเมินผลดู เช่น เป็นปฏิคมบริการต้อนรับทักทายคนมาใหม่ในโบสถ์
  5. มีจิตอาสาออกไปช่วยชุมชน (ในกรุงเทพมหานครหรือต่างจังหวัด) ที่ต้องการความช่วยเหลือ
  6. เข้าร่วมทีมมิชชั่นไปประกาศข่าวดีในต่างจังหวัดหรือต่างประเทศปีละ1 ครั้ง
  7. สมัครตัวเข้ารับใช้ในทีมศิษยาภิบาล ในด้านใดหรือหลายด้าน เช่น ช่วยเยี่ยมเยียนคนป่วย หรือเยี่ยมเยียนสมาชิก
  8. ถวายทรัพย์ช่วยเหลือคนยากจน /ให้ทุนนักเรียนนักศึกษาที่ขัดสนปีละ1-2 ราย ตามที่คริสตจักรร้องขอ
  9. เข้าคอร์สเรียนรู้พัฒนาบุคคลิกภาพ และดูแลสุขภาพ
  10. ตั้งเป้าอ่านหนังสือดีมีประโยชน์อย่างน้อยเดือนละ1 เล่ม
  11. ตั้งใจเลิกนิสัยไม่ดีบางอย่างที่ถ่วงชีวิตเช่น ฝึกควบคุมอารมณ์(โกรธ ใจน้อย คิดมาก ชอบบ่นว่า ฯลฯ) และพัฒนานิสัยที่ดีขึ้นมา เช่น ความถ่อมสุภาพ ให้เกียรติผู้อื่นทุกคน
  12. เข้าเรียนหลักสูตรพิเศษเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ หรือทักษะชีวิต ปีละ 2 ครั้ง
  13. ฝึกควบคุมการใช้เครื่องมือสื่อสารทุกชนิดให้เหมาะสมและมีประโยชน์ ฯลฯ

ขอให้ปีใหม่นี้ เราทุกคนจะกลายเป็นบุคคลใหม่โดยพึ่งพระคุณและฤทธิ์เดชของพระเจ้า ขอให้เราดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ด้วยความรักไม่ใช่ตามเนื้อหนัง เหมือนดังที่อาจารย์เปาโลกำชับไว้ว่า

“แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่าจงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ แล้วท่านจะไม่สนองความต้องการของเนื้อหนัง”  -กาลาเทีย 5:16 THSV11

แล้วเราจะเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนใหม่ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

“ฉะนั้นถ้าใครอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไปนี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น!” 2 โครินธ์ 5:17 THSV11

ซึ่งจะดีขึ้นกว่าในปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน!    

ดีไหมครับ?  

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Happypacks.co.uk)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ข้อตกลงพักรบวันคริสต์มาส

ข้อตกลงพักรบวันคริสต์มาส!

วันนี้ ผมได้อ่านเรื่องราวหนึ่งเกี่ยวกับวันคริสต์มาสในสนามรบเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ  จึงขอนำแบ่งปันดังนี้…

“ในปี 1914 ความขัดแย้งอันสุกงอมของประเทศมหาอำนาจในยุโรปส่งผลให้สงครามโลกครั้งที่ 1 ระเบิดขึ้นในที่สุดในปลายเดือนกรกฎาคม โดยในช่วงห้าเดือนแรกเริ่มด้วยการที่เยอรมันเปิดฉากโจมตีฝรั่งเศสผ่านเข้าไปทางเบลเยียม เยอรมันนีตีรุกเข้าไปหวังยึดกรุงปารีส แต่ก็ถูกต่อต้านและตีโต้กลับอย่างหนักจากกองทัพฝรั่งเศสและอังกฤษในต้นเดือนกันยายน เยอรมันนีถอยร่นมาตั้งรับที่บริเวณเทือกเขา Aisne valley

 หลังจากนั้นก็มีการสู้รบกันเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลาหลายเดือน แต่ก็ไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่สามารถเจาะทะลุแนวป้องกันของอีกฝ่ายได้ ตลอดระยะเวลา ทั้งสองฝ่ายทำการเสริมแนวป้องกันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเจาะผ่านมาได้ และได้เร่งสร้างแนวป้องกันเป็นแนวลวดหนามและสนามเพลาะขยายออกไปยังด้านทะเลเหนือ โดยต่างฝ่ายต่างเร่งแข่งกันขยายแนวของตัวเองออกไป ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวเรียกว่า “การแข่งขันสู่ทะเล” หรือ  “Race to the Sea”

 หลังจากนั้นก็เกิดการสู้รบขึ้นหลายครั้ง แต่สถานการณ์และแนวรบต่างๆ เปลี่ยนแปลงน้อยมาก ทั้งสองฝ่ายต่างก็ห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตายเต็มที่ จนกระทั่งถึงปลายเดือนธันวาคม ในวันคริสมาสอีฟก็ได้มีเหตุการณ์ที่น่าประหลาดใจเกิดขึ้น โดยทหารผ่านศึกทางฝ่ายอังกฤษที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นเล่าว่า ในคืนวันคริสต์มาสอีฟ (คืนก่อนวันคริสต์มาส) นั้น ท้องฟ้าเหนือสมรภูมิในคืนวันนั้นมืดสนิท อากาศหนาวเหน็บมีหิมะตกโปรยปรายเล็กน้อย เหตุการณ์ในคืนนั้นเงียบสนิท    ทุกอย่างดูปกติดีจนกระทั่งเวลากลางดึกราวเที่ยวคืน ก็เริ่มได้ยินเสียงเพลงมาจากทางด้านฝ่ายเยอรมัน พอฟังดีๆ จึงทราบว่าเป็นเพลงคริสต์มาสที่ทุกคนรู้จักกันดีคือเพลง Silent Night แต่เป็นเวอร์ชั่นภาษาเยอรัน

นอกจากเสียงเพลงดังกล่าวแล้ว ยังมีแสงเทียนระยับอยู่ตามต้นไม้ ซึ่งเป็นประเพณีของเยอรมันที่จะจุดเทียนและนำไปวางตามต้นไม้ในวันคริสต์มาส จากนั้นเสียงเพลงก็เริ่มดังขึ้นจากฝั่งอังกฤษบ้าง เสียงเพลงเริ่มกระจายตัวไปตามแนวรบเรื่อยๆ มีการร้องเพลงสลับรับส่งตลอดแนวรบของทั้งสองฝั่งกันอย่างสนุกสนาน บางช่วงก็มีวงดนตรีเครื่องเป่าต่างๆเข้ามาร่วมแจมเพลงด้วย

 จนกระทั่งเมื่อแสงแรกของวันคริสต์มาสมาถึง ได้เริ่มมีทหารเยอรมันบางส่วนทะยอยลอดข้ามแนวลวดหนามของฝั่งตน ข้ามพื้นที่ระหว่างแนวรบ (No Man’s Land) ไปยังแนวทหารฝ่ายอังกฤษ และเริ่มตะโกนทักทาย “Merry Christmas!…” เป็นภาษาอังกฤษ จากนั้นก็พูดคุยทักทายกัน โดยในตอนแรก บรรยากาศก็ยังคงตึงๆ กันอยู่นิดๆ เพราะทหารต่างก็เกรงกันว่าจะเป็นกลลวง

แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักพักก็เห็นทหารเยอรมันจำนวนมากทยอยออกมาโดยไม่มีอาวุธใดๆ และไล่จับมือทักทายไปทั่วบริเวณ บรรยากาศจึงดีขึ้นเรื่อยๆ ทหารทั้งสองฝ่ายได้มีการนำของขวัญเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่หาได้มามอบให้แก่กันและกัน ไม่ว่าจะเป็น เหล้ารัม ซิการ์ ขนมพุดดิ้ง หรือผลไม้ต่างๆ  และเมื่อทหารทั้งสองฝ่ายเริ่มคุ้นเคยกันมากถึงระดับหนึ่ง ก็ได้เริ่มชวนกันเตะฟุตบอลกันอย่างสนุกสนาน ในพื้ นที่ใดที่หาลูกฟุตบอลไม่ได้ ก็นำกระดาษมาขยำรวมๆ เป็นก้อนแล้วมาเตะกัน ประมาณกันว่า มีทหารทั้งสองฝ่ายราว  100,000 นาย ที่ได้พบปะกันตลอดแนวรบในเช้าวันนั้น

ทางด้านผู้บัญชาการและนายทหาร เมื่อมาทำการตรวจพลตามปกติก็ต้องแปลกใจ เมื่อลูกน้องทั้งหมดหายไปจากเต๊นท์พัก แต่ในไม่นานก็พบความจริงและรับรู้เรื่องราวทั้งหมด นายทหารของทั้งฝ่ายจึงเดินเข้าไปแจมพูดคุยกันด้วย ผู้บัญชาการอังกฤษบางคนได้ของขวัญจากฝ่ายเยอรมันเป็นเบียร์ถึงหนึ่งถังใหญ่ ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยและตกลงให้มีการหยุดยิงอย่างไม่เป็นทางการในวันคริสต์มาสเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ข้อตกลงดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันในนาม “ข้อตกลงพักรบวันคริสต์มาสปี 1914” (Christmas Truce of 1914) โดยนอกจากจะมีการพบปะสังสรรค์กันแล้ว ก็จะให้มีการนำศพผู้เสียชีวิตในเขตพื้นที่ No Man’s Land ไปฝั่งให้ถูกต้องตามประเพณีด้วย

บรรยากาศทั้งวันนั้นเต็มไปด้วยความชื่นมื่น แต่ถึงอย่างไรงานเลี้ยงก็คงต้องมีวันเลิกรา เมื่อถึงเวลา 8.30 น. ของเช้าวันรุ่งขึ้นก็เป็นอันสิ้นสุดข้อตกลง ผู้บัญชาการฝ่ายอังกฤษได้ทำการยิงปืนขึ้นฟ้าสองนัด เป็นสัญญาณสิ้นสุดข้อตกลง และทางฝ่ายเยอรมันก็ยิงตอบกลับไปสองนัดเป็นการคอนเฟิรม 

 แต่ทว่าถึงจะหมดช่วงระยะเวลาสงบศึกแล้ว ว่ากันว่าก็ยังไม่มีทหารฝ่ายใดยิงฝั่งตรงข้ามอีกสักพัก หนำซ้ำบางคนยังข้ามกลับไปกลับมาหาเพื่อนที่คุ้นเคยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอยู่เรื่อยๆ อีกด้วย

เหตุการณ์สงบศึกนี้ ถึงแม้ว่าจะเกิดขึ้นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่เป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงความรักระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกันว่า แท้จริงไม่มีใครอยากห้ำหั่นเอาชีวิตกัน และจริงๆ แล้ว ยังมีทางเลือกอื่นเสมอในการแก้ปัญหา นอกจากสงครามและความรุนแรง

อย่างไรก็แล้วแต่ เหตุการณ์สงบศึกวันคริสต์มาสนั้น ปรากฏเพียงในปี 1914 เท่านั้น และไม่ปรากฏในปีต่อๆ มาแต่อย่างใด….!!!”

                                                                                                                  (ที่มา: history-on-timeline)

 

                น่าเสียดายนะครับ ที่เหตุการณ์สงบศึกนี้มีเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ และก็

                น่าเสียดายเช่นเดียวกันที่บางคนสงบศึกกัน เพียงช่วงสั้นๆ เมื่อเข้ามาโบสถ์

                แต่พอออกจากโบสถ์ไปก็เริ่มต้นสู้รบกันยกใหม่

                ไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม ไม่คุ้มเลย!

คริสต์มาสนี้

                จึงขอให้เป็นเวลาที่เราจะสงบศึกอย่างถาวรต่อพระเจ้า

                และกับคู่กรณีของเรา โดยเห็นแก่พระเจ้าผู้อภัยโทษให้แก่คนบาปอย่างเรา!

จะดีไหม?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Christmas truce on Pinterest)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

จะรักเพื่อนบ้านของคุณอย่างไรดี?

คุณจะรักเพื่อนบ้านของคุณอย่างไรดี?

พระเยซูจึงตรัสตอบคนนั้นว่า…
     “พระบัญญัติอันดับแรกคือ โอ ชนอิสราเอล จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราเป็น พระเจ้าองค์เดียว

     “พวกท่านจงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าด้วยสุดใจของท่าน ด้วยสุดจิตของท่าน ด้วยสุดความคิดของท่าน และด้วยสุดกำลังของท่าน

     “ส่วนพระบัญญัติที่สำคัญอันดับสองคือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง …ไม่มีพระบัญญัติอื่นใดที่สำคัญยิ่งกว่าพระบัญญัติเหล่านี้!”                

Jesus answered, “The most important is, ‘Hear, O Israel: The Lord our God, the Lord is  one. And you shall love the Lord your God with all your heart and with all your soul and with all your mind and with all your  strength.’ The second is this: ‘You shall love your neighbor as yourself.’ There is no other commandment greater than these.” (Mark / มาระโก 12:29-31)

                พระเจ้าทรงบัญชาให้เรารัก!
                คือรักพระเจ้าเป็นอันดับแรก
                และรักเพื่อนบ้านเป็นลำดับต่อไป
                แต่แท้จริงแล้ว บัญญัติรักอันดับสองนั้นมี 2 คำสั่ง
               คือ
                1.เราต้องรักตัวเองก่อน
                2.เราต้องรักเพื่อนบ้านเหมือนอย่างที่เรารักตัวเอง

ดังนั้นหากเราไม่รักตัวเอง หรือรักตัวเองไม่เป็น  เพื่อนบ้านของเราจะเดือดร้อน และพระเจ้าจะเสียพระทัย!

แต่ถ้าเราต้องรักตัวเอง เราจะรักตัวเองอย่างไร?
                เราต้องรักตัวเราเองอย่างที่พระเจ้าทรงรักเรา
                เรามีค่า เรามีความสำคัญ เราเป็นที่รักของพระเจ้า
                เราจึงต้องรักตัวเองอย่างถูกต้อง

               เราต้องดูแล และทนุถนอมตัวเองให้อยู่ในทางดี
                และไม่ทำให้ตัวเองต้องมัวหมอง เสื่อมค่า เจ็บปวดและ เสียหาย
                พระเจ้าทรงรักเราอย่างไร จงรักตัวเองอย่างนั้น
                และเราก็ควรที่จะรักคนอื่น(หรือเพื่อนบ้าน)ในวิถีแบบเดียวกันนั้นด้วย

ดังนั้นหากคุณรักตัวเองอย่างถูกทางจริงๆ
                คุณจะคิดถึงความรู้สึกและความต้องการคนอื่นควบคู่ไปด้วยกันกับความรู้สึกและความต้องการของคุณอยู่เสมอ
อาทิ หากว่า…
                คุณอยากมีความสุขสงบ คุณก็ต้องให้ความสุขสันติแก่ผู้อื่นด้วย(หรือให้สิ่งนั้นแก่ผู้อื่นก่อน)
                คุณอยากได้รับความสนใจ คำทักทายและมิตรภาพ คุณก็ต้องเป็นมิตร ให้ความสนใจ  และทักทายผู้อื่นก่อน (หรือทักทายกลับในทันที)
                คุณอยากได้รับการแบ่งปัน คุณก็ต้องแบ่งปันแก่ผู้อื่นด้วย(หรือเป็นฝ่ายแบ่งปันเขาก่อน)
                คุณอยากได้รับการให้อภัย คุณก็ต้องให้อภัยเขาด้วย
                คุณอยากได้รับโอกาสแก้ตัวใหม่ คุณต้องให้โอกาสนั้นแก่เขาเช่นกัน
                คุณต้องการได้รับข้อมูลข่าวสาร คุณต้องสื่อสารสิ่งที่เขาต้องการรับรู้ด้วย
                คุณต้องการให้คนอื่นอดกลั้นอดทนต่อคุณ คุณก็ต้องอดทนอดกลั้นต่อเขาด้วยเช่นกัน

                คุณต้องการให้คนอื่นพูดจากับคุณก่อน คุณก็ควรรู้จักหาโอกาสพูดจากับเขาด้วย
                คุณต้องการให้คนอื่นฟังคุณพูดให้จบ คุณก็ต้องฟังคนอื่นพูดจนจบสิ้นกระบวนความด้วย
                คุณต้องการให้ผู้อื่นพูดจากับคุณอย่างถนอมน้ำใจ คุณก็ควรถนอมน้ำใจเวลาพูดจากับพวกเขา

               คุณต้องการได้รับความเข้าใจ คุณก็ต้องมีความเข้าอกเข้าใจเขา และแสดงออกมาให้เขารับรู้
                คุณต้องการได้รับความเคารพให้เกียรติ คุณก็ต้องให้เกียรติแก่ผู้อื่นเช่นกัน
                คุณต้องการได้รับ คำชมเชยยกย่อง คุณก็ต้องรู้จักยกย่องชมเชยผู้อื่นด้วย
                คุณต้องการได้รับคำหนุนใจ คุณก็ต้องรู้จักหนุนใจคนอื่นๆ เป็นประจำ
                คุณต้องการให้คนอื่นพูดจากับคุณดีๆ คุณก็ต้องพูดจาดีๆ กับคนอื่นก่อน
                คุณต้องการให้คนอื่นช่วยเหลือคุณ คุณก็ควรมีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่นอยู่เสมอเหมือนกัน
                คุณต้องการให้คนอื่นอยู่เคียงข้างคุณไม่ทิ้งคุณไป คุณก็ต้องไม่ทิ้งเขาไปก่อน
                คุณต้องการให้เขารับฟังข่าวประเสริฐเรื่องพระคริสต์ คุณก็ต้องรับฟังสิ่งที่เขาเชื่อเช่นกัน
                คุณต้องการให้เขามาร่วมกิจกรรมของคริสตจักรอย่างเต็มใจ คุณก็ควรไปร่วมกิจกรรมของพวกเขาด้วยเมื่อมีโอกาส
                คุณต้องการได้รับการปกป้องจากการถูกโจมตี คุณก็ควรช่วยเหลือผู้อื่นที่ถูกเล่นงานด้วย
                คุณต้องการให้ผู้อื่นมาเยี่ยมคุณ คุณก็ควรไปเยี่ยมเยียนเขาก่อน!
 วันนี้ จะเป็นสิ่งดีอย่างยิ่ง หากว่าพวกเราจะร่วมกันกระทำให้พระบัญญัติรักอันยิ่งใหญ่นี้ สำเร็จจริงในชีวิตของเราแต่ละคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการรักเพื่อนบ้านของเราเหมือนเรารักตัวของเราเองอย่างเป็นรูปธรรมจับต้องได้!

 จะดีไหมครับ?

 

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebookcom/lifeanswer

(Cr.ภาพ The Rise of the sharing)