Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

เราจะถวายเกียรติแด่พระเจ้าได้อย่างไร?

เราจะถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าได้อย่างไร?

“พระเจ้าทรงได้รับการถวายพระเกียรติสูงสุดในชีวิตฉัน เมื่อฉันอิ่มเอมใจในพระองค์มากที่สุด!”

  (GOD is most glorified in me when I am most satisfied in Him!)   -John Piper

เราทุกคนมีเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ แต่มีข้อแม้ว่า เราต้องรับผลลัพธ์จากสิ่งที่เราทำ!
ดังนั้นจะทำอะไร จงคิดให้ดีๆ

เรามีเสรีภาพที่จะทำในสิ่งที่เราชอบหรือต้องการ แต่เราต้องพร้อมจ่ายราคา สำหรับสิ่งที่เราทำ

เรามีเสรีภาพในการทำตามที่เราอยาก แต่เราต้องเต็มใจรับผลลัพธ์ และผลกระทบที่ตามมา

อาจารย์เปาโลกำชับให้เราถวายเกียรติแด่พระเจ้าในทุกสิ่งที่เราทำในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการกิน ดื่ม พูด หรือจะทำอะไรก็ตาม

“เพราะฉะนั้นเมื่อพวกท่านจะรับประทาน จะดื่ม หรือจะทำอะไรก็ตาม จงทำเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า” (1โครินธ์10:31 THSV11)

เรามีเสรีภาพแต่ต้องไม่ใช้เสรีภาพนั้นทำตามเนื้อหนัง จนทำให้คนอื่นสะดุด รับไม่ได้ และเดินหันหลังหรือเดินออกไปนอกทางของพระเจ้า แต่เราควรใช้เสรีภาพของเราถวายเกียรติแด่พระเจ้าโดยการทำให้คนอื่นๆเจริญเติบโตหรือเจริญรุ่งเรืองขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฝ่ายจิตวิญญาณ

“อย่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกยิว หรือพวกกรีก หรือคริสตจักรของพระเจ้าหลงผิดไป และให้เป็นเหมือนข้าพเจ้าเองที่พยายามทำทุกสิ่งเพื่อให้พอใจทุกคน ไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่เห็นแก่ประโยชน์ของคนมากมาย เพื่อให้เขาทั้งหลายได้รับความรอด” (1โครินธ์10:32-33 THSV11)

เราต้องทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์สุขแก่คนทั้งหลาย

“เราทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์  เราทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งนั้นทำให้เจริญขึ้น” (1โครินธ์10:23 THSV11)

เรายิ่งควรถวายเกียรติแด่พระเจ้ามากขึ้นไปอีกเมื่อเราอุทิศตัวเต็มกำลังอย่างมีคุณภาพในการกระทำสิ่งดีที่พระองค์ประสงค์เหมือนกระทำให้กับพระองค์จนสำเร็จ

“ไม่ว่าพวกท่านจะทำสิ่งใด ก็จงทำด้วยความเต็มใจเหมือนทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เหมือนทำต่อมนุษย์” (โคโลสี 3:23 THSV11)

เราถวายเกียรติแด่พระเจ้าได้เมื่อเราละ เลิก หรือเปลี่ยนพฤติกรรมที่เคยหลู่เกียรติพระเจ้า และรับการเปลี่ยนแปลงชีวิต จิตใจใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านคำพูด ความคิด และการกระทำ

เราสามารถถวายเกียรติแด่พระเจ้าได้ แม้แต่ในยามที่เราพลาดพลั้งทำผิด ด้วยการลุกขึ้น เมื่อเราล้มลง และเริ่มต้นใหม่ด้วยความเข้มแข็งยิ่งกว่าเดิมเพื่อพระองค์

เราต้องพึ่งพระคุณและความรักของพระเจ้าในการกระทำตัวให้เป็นที่ปรารถนาของพระองค์และของคนทั้งหลาย

เราต้องไม่นำพระคุณของพระเจ้ามาเป็นข้ออ้างหรือใบเบิกทางในการทำตามความคิด ความฝัน ใจอยากหรือตามราคะตัณหา ที่ได้กลับกลายมาเป็นรูปเคารพของเราที่นำไปสู่การหลู่พระเกียรติของพระองค์

เราถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าเมื่อเราทำทุกสิ่งที่กล่าวมา ด้วยความเชื่อ ความหวังและความรักในพระองค์ต่อกันและกันอย่างจริงใจ

“ขอให้ความรักมาจากใจจริง จงเกลียดชังสิ่งที่ชั่ว จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี” (โรม12:9 THSV11)

เรายังสามารถถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยการให้!

เมื่อพระเจ้าทรงอวยพระพรคุณด้านทรัพย์สินเงินทอง อย่ามุ่งแต่เอาสิ่งเหล่านั้นมายกระดับมาตรฐานความเป็นอยู่ของคุณ แต่จงถวายเกียรติแด่พระองค์ ด้วยการยกระดับในการให้ของคุณ!

ขอให้พระเกียรติจงเป็นของพระเจ้าจากคำพูด การกระทำ และการให้ของคุณในวันนี้ มากยิ่งกว่าวันวาน และวันไหนๆที่ผ่านมา ในชีวิตของคุณ

…จะได้ไหมครับ?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

 twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc,  twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

 

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

จะเป็นคนที่มีประสิทธิภาพได้อย่างไร

จะเป็นคนที่มีประสิทธิภาพได้อย่างไร

“คริสเตียนคือคนที่ทำให้คนอื่นๆมาเชื่อพระเจ้าได้ง่ายๆ!”

The Christian is a person who makes it easy for others to believe in God.)  -Robert Murray McChene-

ใครๆ ก็เป็นพยานให้พระคริสต์ได้  แต่แปลกที่ไม่ค่อยมีคนอยากทำ ไม่ค่อยมีคนกล้าเป็นพยานให้พระองค์ในชีวิตประจำวันมากเท่าไรนัก ด้วยเหตุนี้ จึงมีคนมากมาย(ในประเทศไทย และในโลก)ที่ยังไม่ได้ยิน ไม่รู้เรื่อง และไม่รู้จักพระองค์ เป็นส่วนตัว

กระนั้นก็มีคนบางคน ที่อยากเป็นพยานให้พระคริสต์ แต่น่าเสียดายที่เขามีแต่คำพูด บลา บลา บลา…  เพราะคงไม่มีใครอยากฟังเขาพูดเท่าไรนัก เนื่องด้วยความประพฤติของเขากับเรื่องพระเจ้าที่เขาพูดฟุ้งนั้นไม่สอดคล้องกัน การกระทำอันไม่ดีของเขาจึงกลบคำพูดดีๆ ของเขาไปจนหมดสิ้น

ไม่นับคนบางคนที่แย่ยกกำลัง 2 คือ พูดก็ไม่ดี แล้วยังผสมกับความประพฤติที่ไม่เอาไหนเข้าไปด้วย จึงทำให้คนยิ่งรังเกียจที่จะฟังหรือเข้ามาหาองค์พระเยซูคริสต์เจ้ามากขึ้นไปอีก!

ดังนั้นอย่าให้คำพูด คำพยานของเราขัดกันกับพฤติกรรมของเรา  อย่าให้เราถูกต่อว่า อย่างที่ท่านอาจารย์เปาโลเคยกล่าวไว้กับชาวโรมว่า..

            “และถ้าท่านมั่นใจว่า

            เป็นผู้จูงคนตาบอด

            เป็นความสว่างให้แก่คนทั้งหลายที่อยู่ในความมืด

            เป็นผู้สอนคนโง่ เป็นครูสอนเด็ก

            เพราะท่านมีแบบจำลองของความรู้และความจริงในธรรมบัญญัตินั้น

            ฉะนั้นท่านซึ่งเป็นผู้สอนคนอื่นจะไม่สอนตัวเองหรือ?

            ขณะที่ท่านเทศนาว่าไม่ควรลักทรัพย์ ตัวท่านเองลักหรือเปล่า?

            ท่านผู้ที่สอนว่าไม่ควรล่วงประเวณีตัวท่านเองล่วงประเวณีหรือเปล่า?

            ท่านผู้รังเกียจรูปเคารพ ตัวท่านเองปล้นวิหารไหม?

            ท่านผู้โอ้อวดว่ามีธรรมบัญญัติ

            ตัวท่านเองยังลบหลู่พระเกียรติพระเจ้าด้วยการละเมิดธรรมบัญญัติหรือเปล่า?

            เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ..

            “พระนามของพระเจ้าเป็นที่ดูหมิ่นท่ามกลางคนต่างชาติก็เพราะพวกท่าน”” -โรม 2:19-24 THSV11

ดังนั้นหากเราต้องการจะเป็นพยานให้พระคริสต์ เราต้องกลับใจใหม่ รับการอภัยไถ่บาปด้วยพระคุณของพระเจ้าผ่านทางการตายขององค์พระคริสต์บนไม้กางเขนนั้น เราต้องดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า และให้คำพูด การกระทำของเรา สอดคล้องกับคำพยานของเราอย่างเป็นเนื้อเดียวกัน

พูดง่ายๆ อย่าให้ใครลบหลู่พระเจ้า หรือข่าวประเสริฐ เพราะชีวิตที่ไม่คงเส้นคงวาของเรา

  •  ขอให้ปากกับใจของเราตรงกัน
  • ขอให้ชีวิตและคำพูดของเราไม่ขัดกัน
  • ขอให้ชีวิตของเราเป็นพยานว่าพระคริสต์และ ข่าวประเสริฐของพระองค์ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราจริงๆ และสร้างคุณประโยชน์ให้แก่คนรอบตัวของเรา!
  • ขอให้เราสำแดงความรอดโดยพระคุณออกมาเป็นพฤติกรรมที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า และนำให้คนมากมายมารู้จักกับพระองค์
  • ขอให้ทั้งคำพูด การกระทำ และชีวิตของเราร่วมกันเป็นพยานให้พระคริสต์ที่มีพลังอย่างมีประสิทธิภาพ

………จะดีไหม?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ coffeewiththeking.org)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

คุณคือกลิ่นหอมของพระคริสต์?

คุณคือกลิ่นหอมของพระคริสต์?

“แต่ขอบพระคุณพระเจ้า ผู้ทรงนำเราด้วยความมีชัยในขบวนฉลองชัยเสมอมาในพระคริสต์ และพระองค์ประทานกลิ่นหอมที่เกิดจากการรู้จักพระองค์ ให้ปรากฏทั่วทุกแห่งโดยเรา”

(But thanks be to God, who in Christ always leads us in triumphal procession, and through us spreads the fragrance of the knowledge of him everywhere.)  (2โครินธิ์ 2:14)

กลิ่นส่งผลกระทบตัวคนที่ได้กลิ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ไม่ว่ากลิ่นนั้นจะรู้ตัวทันเองหรือไม่ แต่คนที่ได้กลิ่นจะออกอาการสนองตอบต่อกลิ่นตามระดับความน่าอภิรมย์ของกลิ่นนั้นๆ ถ้ากลิ่นหอมถูกหรือตรงกับรสนิยมของคนได้กลิ่น คนก็จะแสดงความพึงพอใจและความปรารถนาที่จะได้อยู่ใกล้ๆหรือได้ครอบครองกลิ่นนั้น

แต่ถ้ากลิ่นนั้น เป็นกลิ่นที่สุดจะทนรับได้ ก็จะก่อเกิดอาการพะอืดพะอมที่แสดงออกมา รวมทั้งกระตุ้นความปรารถนาที่จะหนีออกไปให้ไกลห่างจากกลิ่นนั้นๆ ให้เร็วที่สุด

ขอถามว่า คุณเป็นกลิ่นแบบไหน?

เป็นกลิ่นที่คนอยากเข้าใกล้ และได้มาเป็นของตน หรือเป็นกลิ่นที่คนอยากออกไปไกลห่างด้วยความรังเกียจ? ในพระคัมภีร์บอกว่า มีกลิ่นหนึ่งเป็นกลิ่นแห่งชีวิต แต่อีกกลิ่นหนึ่งเป็นกลิ่นแห่งความตาย คุณเป็นกลิ่นแบบไหน?

พระคริสต์ทรงประสงค์ให้เราเป็นกลิ่นหอมแห่งชีวิตที่นำคนทั้งหลายมาหาพระองค์ เพื่อรับชีวิตนิรันดร์เป็นของขวัญ
 คำถามคือ มีกี่คนที่เข้ามาหาพระคริสต์และรับความรอดจากพระองค์ตามพระประสงค์นั้นจากชีวิตของเราแล้ว? หรือมีกี่คนที่ยืนยันบอกกับเราว่า เขาจะไม่ขอเข้าสวรรค์ หากมีกลิ่นอย่างเราอยู่ที่นั่นด้วย?

ดังนั้น ขอให้ชีวิตของเรา ที่สำแดงออกมาผ่านความคิด ท่าที ท่าทาง คำพูด และการกระทำของเราจะ เป็นกลิ่นหอมที่น่าพึงพอใจ และน่าปรารถนาแก่คนรอบตัวของเรา จะดีไหม?
            อะไรที่เราควรทำแล้วยังไม่ได้ทำ ก็จงรีบทำซะ
            อะไรที่ควรจะรีบพูดและยังไม่ได้พูด ก็ควรจะพูดได้แล้ว
            อะไรที่เราควรคิดใคร่ครวญ และยังไม่ได้ลงมือ ก็น่าจะปรับเปลี่ยน ณ บัดนี้เลย
            ขอให้คนรอบตัวของเราเป็นดุจกระจกที่สะท้อนตัวตนที่แท้จริงของเราให้ตัวของเราได้เห็น
            ขอให้เรารับปรับปรุงปรับเปลี่ยนแก้ไข หรือรับการเปลี่ยนแปลงจากพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์และทรงรักเราโดยด่วนจะดีกว่า

นับจากนี้ไป ขอให้เราตั้งเป้าว่า พระคริสต์จะทรงได้รับเกียรติจากชีวิตและความตายของเราเสมอไป
 ขอให้เราประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์กับคนใกล้ตัวของเราไปจนถึงคนในสุดปลายแผ่นดินโลก

และให้เราขอสิ่งที่ดีกว่านั้นอีก นั่นคือขอให้ชีวิตของเราเองเป็นข่าวประเสริฐ หรือ พระคัมภีร์ที่คนอื่นจะอ่านแล้วเห็นและรู้จักกับพระคริสต์เจ้า และขอรับความรอดจากพระองค์โดยไม่รีรอ
                จะดีไหมครับ?

   “เพราะว่าเราเป็นกลิ่นหอมหวานที่พระคริสต์ถวายแด่พระเจ้าในหมู่คนที่กำลังจะรอด และในหมู่คนที่กำลังจะพินาศ”        (2คร.2:15)

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twtter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ idofragrance.com)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

พระเจ้าต้องการอะไรจากคุณ?

พระเจ้าต้องการอะไรจากคุณ?

“พระเจ้าไม่ได้เริ่มด้วยการถามหาความสามารถของเรา พระองค์เพียงต้องการความพร้อมของเรา และถ้าเราพิสูจน์ว่าเราเป็นที่พึ่งพาได้ พระองค์ก็จะเพิ่มพูนความสามารถให้แก่เราอย่างเต็มที่

God does not begin by asking our ability, only our availability, and if we prove our dependability, He will increase our capability!”   -Neal A. Maxwell

พระเจ้าต้องการคนที่ยอมให้พระเจ้าใช้เป็นช่องทางในการอวยพรต่อคนในโลกนี้ แต่น่าเสียดายที่มีน้อยคนนักที่จะยอมให้พระเจ้าใช้เช่นนั้น มีแต่คนที่สมัครใจเต็มใจเป็นผู้รับพระพร โดยไม่ยอมแบ่งปันสิ่งที่มีแก่ผู้ใดอื่น

ใช่ครับ! มีแต่คนอยากได้ ไม่มีใครอยากเสีย(สละ)!

สำหรับเรื่องการรับใช้… คนในโลกมักมองดูว่างานรับใช้เป็นงานต่ำ แต่พระเยซูคริสต์กลับสอนและสำแดงให้เห็นว่า การรับใช้นั่นคือ งานสูง หากว่าเราสมัครใจกระทำด้วยความรัก!

คนที่รับใช้เพราะต้องรับใช้ ไม่มีอะไรพิเศษ

เพราะว่าเป็นหน้าที่ที่ถูกคาดหวังมาแล้วว่าต้องทำ เช่นถูกจ้างมาทำ ก็ต้องทำ เพื่อจะได้ได้รับผลประโยชน์โดยตรงหรือต้องทำเพราะเป็นตำแหน่งที่มีข้อตกลงแลกเปลี่ยนให้ต้องทำ ฯลฯ

แต่คนที่ไม่อยู่ในขอบข่ายดังกล่าว แต่กลับเต็มใจอาสากระทำโดยไม่หวังสิ่งใดแลกเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นอามิษสินจ้าง ค่าตอบแทน รางวัล คำชมเชย หรือผลประโยชน์ใดๆ คนเช่นนี้ จึงนับว่าเป็นคนที่น่ายกย่อง และระดับของเกียรติยศของเขาขึ้นอยู่กับความสูงส่งของเขากับความต่ำของงานหรือกับคนที่เขารับอาสารับใช้  เพราะยิ่งเขาสูงส่งมากเท่าไร และงานที่เขารับใช้ยิ่งต่ำต้อยมากเท่าไร เกียรติยศของเขาก็คู่ควรต่อการสรรเสริญยกย่องก็มากขึ้นเท่านั้น

กล่าวได้ว่า ยิ่งถ่อมใจรับใช้มากเท่าไร เกียรติก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น!

เช่นเป็นนายสิบแต่ยอมรับใช้พลทหาร ถือว่าถ่อมตัวแล้ว

แต่หากเป็นนายร้อยรับใช้พลทหารด้วยก็ถือว่าถ่อมตัวมาก

แต่หากเป็นนายพล มารับใช้พลทหาร ก็ยิ่งต้องกล่าวว่า นายพลท่านนี้ ยิ่งใหญ่จริงๆ!

 และหากว่า ผู้ทรงเป็นองค์กษัตริย์ ผู้ยิ่งใหญ่สูงส่งทรงยอมถ่อมพระองค์ลงมารับใช้คนต่ำต้อยของแผ่นดินด้วย ก็ยิ่งทำให้ประชาชนชื่นชมสรรเสริญยกย่องและเทิดทูนในความยิ่งใหญ่ของพระองค์มากทวีคูณขึ้นไปอีก ดุจในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้กระทำเป็นแบบอย่างให้เห็น  แต่สุดยอดตัวอย่างในโลกนี้ ก็คือ องค์พระเยซูคริสต์พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์สูงสุดเบื้องบน ผู้ทรงถ่อมพระองค์ลงมารับสภาพมนุษย์ในโลกนี้และยอมถูกตรึงบนไม้กางเขนอันต่ำต้อยน่ารังเกียจ เพื่อช่วยไถ่บาปของมนุษย์ทุกคน

จากสูงสุด พระองค์ทรงถ่อมพระทัยลงมาสู่จุดต่ำสุด

จากฐานะขององค์เจ้านายผู้ทรงสิทธิอำนาจในการใช้มนุษย์ พระองค์กลับทรงถ่อมพระทัยรับสภาพมนุษย์ที่มีความจำกัดยอมถูกตรึงที่บนกางเขน ตายอย่างทรมานเพื่อไถ่บาปมนุษย์ทุกคน เราจึงควรยกย่องเทิดทูนพระนามของพระเยซูคริสต์ให้สูงส่ง และลงมือรับใช้เพื่อนบ้านของเราด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่ที่มาจากพระเจ้าของเราตามแบบอย่างของพระองค์

ขอให้วันนี้ เราทำตัวพร้อมให้พระเจ้าทรงใช้  เพื่อพระองค์จะทรงเพิ่มทวีความสามารถในการรับใช้ของเราให้มากขึ้นจนเกินคาดคิด

จะดีไหมครับ?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc,twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Harvesting sunflowers)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ปากชูจิต มิตรภาพชูใจ!

ปากชูจิต มิตรภาพชูใจ!

ในงานฉลองมอบรางวัลครบรอบ 60 ปีของคู่แต่งงานต้นแบบ ภรรยาได้ถูกพิธีกรรายการสัมภาษณ์
            พิธีกร: “คุณรู้สึกว่าสามีของคุณมีจุดบกพร่องไหม?”
            ภรรยา: “มากมายเท่าดาวบนท้องฟ้า! นับเท่าไรก็นับไม่หมด!”
            พิธีกร: “แล้วสามีของคุณมีข้อดีมากไหม?”
            ภรรยา: “น้อยมากค่ะ! น้อยเช่นเดียวกับดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า!”
            พิธีกร: “แล้วทำไมคุณถึงสามารถอยู่ครองคู่กันกับเขามาครึ่งศตวรรษและรักกันเช่นนี้?”
            ภรรยา: “เพราะว่าเมื่อยามดวงอาทิตย์ขึ้นมา เราก็ไม่สามารถมองเห็นดวงดาวได้อีกต่อไป!”

            คนเรามีปากไว้ให้กิน ให้พูด
            บางคนกินไม่เป็นกินไม่ถูกชีวิตก็เจ็บป่วย
            บางคนพูดไม่ดีชีวิตก็มีอันเป็นไป
            คนที่เข้าใจก็ยอมรับว่า พระเจ้าสร้างปากของเรามาให้ใช้เพื่อรับประทานอาหารเพื่อจะสามารถดำรงชีวิตของตัวเองต่อไปได้
            และหากผู้ใดรู้จักพูด เราก็ไม่เพียงแค่เลี้ยงตัวเองได้เท่านั้น แต่ยังสามารถหล่อเลี้ยงชีวิตจิตใจของผู้อื่นได้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่รักเราหรือที่เรารักเขา
            ปากมักสัมพันธ์กับใจและความคิด
            หากเราคิดถูกคิดดี ปากก็มักจะพูดแต่สิ่งดีๆ ออกมา
            แต่หากใจของเราสะสมความคิดไม่ดีไว้ พออะไรมากระทบจิตนิดเดียวสิ่งเลวร้ายที่เราเก็บตุนไว้ ก็ทะลักทลายออกมาจนน่าตกใจ
            ความคิดและจิตใจของเราเป็นดุจคลังเก็บของ
            คำถามคือ
            เราเก็บอะไรไว้?
            ขอให้จำไว้เสมอว่า หากเราไม่มีสิ่งนั้นเก็บไว้ในใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรมากระทบจิตกระทบใจของเราหนักหน่วงแค่ไหน ก็จะไม่มีสิ่งนั้น พลุ่งออกมาจากปากของเราอย่างแน่นอน!
            ไม่มีก็คือไม่มี
            แต่หากมี แม้ปากบอกไม่มี แต่ประเดี๋ยวเดียวก็จะสำแดงออกมาให้เห็นว่ามี และอาจมีมากกว่าที่คาดคิด
            ดังนั้นจงหมั่นตรวจดูจิตและสำรวจดูใจของเราอยู่ทุกวัน
            ดังนั้น ขอให้เราแน่ใจว่า ในคลังแห่งจิตใจของเรา ไม่มีสิ่งเลวร้ายใดกักตุนอยู่
            ไม่มีอคติ
            ไม่มีความริษยา
            ไม่มีความเกลียดชัง
            ไม่มีความโลภมักได้
            ไม่มีความหยิ่งยโส
            ฯลฯ

            ขอให้เราเก็บตุนสิ่งดีล้ำค่าไว้ในคลังชีวิตของเราอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น
            ความรัก
            ความชื่นชมยินดี
            สันติสุข
            ความอดทน
            ความปรานี
            ความดี
            ความสัตย์ซื่อ
            ความสุภาพอ่อนโยน
            การควบคุมตนเอง
            ความเมตตา
            การยกโทษ
            ความเชื่อ
            ความหวัง
            ฯลฯ
            ขอให้เราพร้อมที่จะใช้ปาก ใช้รอยยิ้ม และใช้ทุกอย่างที่เรามี หนุนจิตชูใจผู้อื่นอยู่เสมอ  เพราะโดยการกระทำเช่นนั้น
เราจะไม่ขาดสิ่งดีใดๆ ในชีวิตเลย
            เพราะชีวิตของเรานั้น แท้จริงก็คือผลรวมจากการที่เราปฏิบัติต่อผู้อื่นทั้งสิ้น

            ดังนั้น จงปฏิบัติต่อคนเหล่านั้น เหมือนที่เราต้องการให้เขาปฏิบัติต่อเรา
            ขอให้เราเริ่มต้นกล่าวแต่สิ่งดีๆ เกี่ยวกับผู้อื่น ต่อผู้อื่นอยู่เสมอ
            โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคนในครอบครัวของเราเองก่อน ณ บัดนี้เลย
            …จะดีไหม?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Boundless.org)

 

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

มีกำไรอะไรจากการปรากฎตัวของคุณ

มีกำไรอะไรจากการปรากฏตัวของคุณ?

“มีกำไรอยู่ในงานที่เหนื่อยยากทุกอย่าง (การพากเพียรทำงานล้วนให้ผลกำไร ) การเพียงแต่พูดนั้นโน้มไปทางความขาดแคลน (ถ้าดีแต่พูดก็ยากจน)!

( In all toil there is profit, but mere talk tends only to poverty.)  -สุภาษิต 14:23-

ผมได้อ่านบทความหนึ่ง ที่คุณ “ขจรศักดิ์” แปลและเรียบเรียงมา เป็นเรื่องของมหาเศรษฐีผู้หนึ่งซึ่งเริ่มต้นความมั่งคั่งของเขาจากข้าวสารหนึ่งเมล็ด ชื่อของเขาคือ หวัง โหย่ง ฉิ้ง (เศรษฐีอันดับหนึ่งของไต้หวัน) ที่ไม่มีโอกาสเรียนหนังสือมากนัก เนื่องจากฐานะทางบ้านไม่อำนวย และทำให้เขาต้องออกมาหางานทำในเมืองตั้งแต่อายุยังน้อย

พออายุ 16 หวัง โหย่ง ฉิ้ง คิดริเริ่มเปิดร้านขายข้าวสาร แต่เพราะมีเงินทุนน้อยแค่สองร้อยเหรียญเท่านั้น เขาจึงไปเช่าหน้าร้านอยู่ในซอยเล็กๆ ซอยหนึ่ง เพื่อขายของ  แต่เพราะร้านเปิดใหม่ พื้นที่เล็ก ทำเลแย่ และไม่มีใครรู้จัก จึงขายไม่ได้เลย ในยุคนั้นร้านขายข้าวสารมีอยู่เยอะแยะเต็มบ้านเต็มเมืองในเขตเจียอี้ และแต่ละร้านก็ต้องรักษาฐานลูกค้าประจำของตนไว้  นายหวัง จึงต้องเสี่ยงแบกข้าวสารไปเร่ขายทีละถุงตามบ้าน ด้วยเหตุนี้ถึงแม้เขาจะพอขายได้บ้าง แต่ก็กินทั้งแรงทั้งเวลาของเขาไปมาก  เพราะน้อยคนนักที่คิดจะซื้อข้าวสารจากคนแปลกหน้า 

…แล้วเขาจะทำการตลาดอย่างไร?  ในที่สุด นายหวังตัดสินใจเล็งไปที่รายละเอียดของข้าวสารทุกเม็ด

ไต้หวันในยุคต้นศตวรรษที่ 20 ยังอยู่ในยุคล้าหลัง ข้าวสารที่สีออกมาจากเครื่องจักรแบบพื้นๆ ที่ไม่ได้มาตรฐาน จะมีเม็ดกรวด หรือข้าวเปลือกที่ยังไม่ทันได้สีปะปนอยู่ แม่บ้านต้องนำข้าวสารไปซาวน้ำหลายๆ เที่ยวกว่าจะนำไปหุงได้ เป็นเรื่องที่ก่อความยุ่งยากและเสียเวลาแก่แม่บ้านทั้งหลาย นายหวังเห็นช่องทางตรงนี้ เขากับน้องชายสองคนจึงเริ่มลงมือคัดสรรข้าวสาร ค่อยๆ แยกเอาก้อนกรวด ข้าวเปลือก หรือสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ ออกมาให้หมด เสร็จแล้วค่อยนำออกขาย และปรากฏว่า ไม่นานเกินรอ ปากต่อปากของลูกค้าทั้งหลายก็เริ่มชมว่าข้าวสารร้านนี้คุณภาพดี สะอาดสะอ้าน ไม่ต้องเสียเวลาซาวข้าวหลายๆ เที่ยวเหมือนของร้านอื่น ดังนั้น แค่ในช่วงเวลาอันสั้น ข้าวสารร้านนี้ขายดิบขายดีขึ้นมาทันตาเห็น

นับว่ามีกำไรอยู่ในงานทุกอย่างจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการคิดสร้างสรรค์และการพากเพียรทำงานอย่างใส่ใจด้วยความเหนื่อยยาก! แต่นายหวังเองก็ยังไม่ยอมหยุดความคิดไว้เพียงเท่านี้ เขาแน่ใจว่าเขายังสามารถให้บริการที่ดีกว่านี้แก่ลูกค้าได้อีก      ปกติในเวลานั้น ลูกค้ามักจะต้องมาซื้อข้าวสารถึงร้าน แล้วต้องแบกกลับบ้านเอง เขาจึงเสนอบริการส่งข้าวสารถึงบ้านลูกค้าฟรี แน่นอน มันเป็นการถูกใจลูกค้าทุกๆ คน เรียกว่าการปรากฏตัวของเขาที่บ้านลูกค้า สร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทั้งในความสัมพันธ์ของเขากับลูกค้าและในยุทธศาสตร์ของการทำธุรกิจการค้าทีเดียว!

 อย่างไรก็ตาม นายหวัง ไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น ข้าวสารไม่ได้ถูกส่งถึงแค่หน้าบ้าน เขายังอาสานำเอาข้าวสารไปเทใส่โอ่งข้าวสารให้ หากในโอ่งยังมีข้าวสารเก่าเหลืออยู่ เขาจะเทของเก่าออกก่อน เช็ดโอ่งให้สะอาด แล้วค่อยเทข้าวใหม่ลงไป สุดท้ายข้าวเก่าจึงถูกเททับไว้ข้างบน รายละเอียดที่ใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่สร้างความประทับใจให้ลูกค้า ถ้าหากเป็นลูกค้ารายใหม่ นายหวังจะจดรายละเอียดของลูกค้าให้ครบถ้วน ขนาดความจุของโอ่งข้าวสาร ที่บ้านมีสมาชิกกี่คน แยกเป็นผู้ใหญ่และเด็ก เพื่อคำนวณว่าจะสั่งข้าวสารรอบต่อไปประมาณเมื่อไหร่ เมื่อถึงเวลาอันใกล้ ไม่ต้องรอให้ลูกค้ามาสั่งถึงร้าน เขาจะแบกข้าวสารไปถึงบ้านลูกค้าก่อน ไม่ต้องรอให้ลูกค้าต้องมาวุ่นวายใจ

ความละเอียดลออ ความใส่ใจในบริการ และการปรากฏตัวของเขาอย่างถูกเวลา ทำให้ทุกคนรู้จักร้านขายข้าวสารของเขา แม้ร้านเขาจะเป็นร้านเล็กๆ ที่อยู่ในตรอกในซอย แต่ชื่อเสียงของเขาเริ่มโด่งดังขึ้นทุกวัน เวลาผ่านไปแค่ปีกว่าๆ เมื่อเขาแน่ใจว่ามีลูกค้าประจำสะสมอยู่ในมือมากพอควร กำไรก็เพิ่มมากขึ้น เงินทุนหมุนเวียนเริ่มไม่มีปัญหา เขาจึงไปเช่าตึกใหญ่ทำเลดี     ริมถนน ใช้หน้าร้านขายข้าวสาร และหลังร้านเปิดโรงสีข้าวเพื่อป้อนให้ที่ร้าน  จากจุดเล็กๆ จุดนี้ ปีแล้วปีเล่า นาย หวัง โหย่ง ฉิ้ง ไม่เคยหยุดนิ่ง เขายังขยายธุรกิจของเขาต่อไปเรื่อยๆ หลายแขนง ทุกอย่างทำด้วยความตั้งใจและจริงใจ สุดท้าย เขากลายเป็นเศรษฐีอันดับหนึ่งของไต้หวันอย่างน่าภาคภูมิใจ

นายหวัง โหย่ง ฉิ้ง (1917-2008)  มีศิริอายุรวม 91 ปี มีทรัพย์สมบัติไม่ต่ำกว่าสองหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (สำรวจในปี 2004) เป็นนักธุรกิจหลายสาขาอาชีพ อุทิศเงินช่วยเหลือการกุศลไว้มากมาย เขาไปใช้ชีวิตยามชราและจบชีวิตอย่างสงบที่สหรัฐอเมริกา

จึงกล่าวได้ว่า เราไม่จำเป็นต้องทำธุรกิจแบบอลังการในทันทีทันใดเพื่อจะประสบความสำเร็จ  แม้จะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก แต่ถ้าเราเชื่อว่า มีกำไรอยู่ในทุกงานที่พากเพียรทำด้วยความตั้งใจ มุมานะ มีวิสัยทัศน์ มีความคิดสร้างสรรค์ และสามารถบริหารจัดการให้ดี และใส่ใจแม้กระทั่งกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างเข่นที่นายหวัง โหย่ง ฉิ้ง กระทำกับข้าวสารเม็ดเล็กๆ ทุกๆ เม็ด ในที่สุดเราก็อาจจะสามารถประสบกับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ขอมีคำเตือนสติจากพระธรรมสุภาษิตทิ้งท้ายให้คิดไว้ว่า

“อย่า​โหม‍งาน​จน​อ่อน‍ล้า​เพื่อ​จะ​เป็น​คน​มั่ง‍มี จง​ฉลาด​พอ​ที่​จะ​หยุด‍พัก!”  -สุภาษิต 23:4 THSV11-

นั่นคือ… เราต้องรู้จักทำงาน รู้จักรักษาสุขภาพ รักษาสัมพันธภาพ และสนุกกับชีวิต เพื่อเราจะได้เป็นคนประสบความสำเร็จ มีเงินทองใช้สอยให้เกิดประโยชน์อย่างมีคุณค่า มีสุขภาพดี มีความสุขกับคนที่เรารัก และทำให้คนอื่นมีความหวังมีความยินดีในทุกครั้งที่เราปรากฏตัว และขอให้เรามีใจซาบซึ้งและขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งดีทั้งปวงเหล่านี้เสมอไป จนกว่าวันสุดท้ายของชีวิตจะมาถึง พร้อมกับการเข้าถึงสัจธรรมที่ว่า  

“ทุกอย่างที่เรามีและครอบครองในโลกใบนี้ เราไม่สามารถนำไปได้เลย แม้แต่สิ่งเดียว นอกจากจิตวิญญาณของเราและจิตวิญญาณของคนที่เรานำให้มารู้จักกับพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์เท่านั้น!!

ขอให้การปรากฏตัวของเราอย่างถูกที่ถูกเวลา และถูกคน จะทำให้คนบางคนได้พบกับพระเจ้า เป็นกำไรของชีวิต

จะดีไหม?                                                                                                  

(#พันธกิจแห่งการปรากฎตัว)

 

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ nuisri)

 

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ทำไมจึงต้องเยี่ยมเยียน

ทำไมจึงต้องเยี่ยมเยียน? (การเยี่ยมเยียนคือพระมหาบัญชา)
“เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา จงบัพติศมาพวกเขาในพระนามของ พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสอนพวกเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดที่เราสั่งพวกท่านไว้ และนี่แน่ะ เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” (มัทธิว28:19-20)
 (
Go therefore and make disciples of all nations, baptizing them in the name of the Father and of the Son and of the Holy Spirit, teaching them to observe all that I have commanded you. And behold, I am with you always, to the end of the age.”)

พระมหาบัญชาสุดท้ายต่อสาวก ก่อนพระเยซูคริสต์เสด็จสู่สวรรค์คือ ให้พวกเขาออกไปนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของพระองค์

“ท่านทั้งหลาย จงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา จงบัพติศมาพวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสอนพวกเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดที่เราสั่งพวกท่านไว้ และนี่แน่ะ เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค”

พระองค์สัญญาว่า จะสถิตอยู่กับพวกเขา และประทานฤทธานุภาพของพระองค์ให้แก่พวกเขาจนกว่าพวกเขาจะสำเร็จเสร็จสิ้นภารกิจที่พระองค์ทรงมอบหมาย นั่นคือ  “ออกไปสร้าง(คนอื่น ๆ) ให้เป็นสาวกของพระองค์ผ่านการประกาศข่าวประเสริฐ บัพติศมาพวกเขาและสอนพวกเขาให้ถือรักษาถึงสิ่งสารพัดที่พระองค์ตรัสสอนและได้ทำให้เห็นเป็นแบบอย่างแล้ว เราเรียกการส่งสาวกออกไปประกาศและสร้างสาวกนี้ว่า “Mission”  ซึ่งมาจากคำภาษาลาตินแปลว่า “ส่งออกไป (to send)

และที่น่าสนใจก็คือ คำว่า “เยี่ยมเยียน” (Visit)ก็มาจากคำภาษาลาตินที่แปลว่า “ไป” (to go) ด้วยเช่นกัน
                “มิชชันนารี” หมายถึง “คนที่ถูกส่งออกไป” (who is sent)
                “ผู้เยี่ยมเยียน” หมายถึง “คนที่ออกไปหา” (goes)
และทั้ง 2 จึงต้องไปด้วยกันแบบแทบแยกออกจากกันไม่ได้เลย เราทุกคนต่างล้วนรับรู้กันถ้วนหน้าแล้วถึงความสำคัญของการสร้างสาวก แต่ไม่ค่อยกล่าวถึงความสำคัญของการเยี่ยมเยียน  แล้วทำไมการเยี่ยมเยียนจึงสำคัญ? เราพอจะตอบได้ดังนี้  “การเยี่ยมเยียน” สำคัญเพราะ

1.การเยี่ยมเยียนเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงสถาปนาขึ้นมา พระเจ้าทรงเริ่มเยี่ยมเยียน อาดัม และเอวาตั้งแต่อยู่ในสวนเอเดนแล้ว

ปฐมกาล 3:8-9 “เวลาเย็นวันนั้น เขาทั้งสองได้ยินเสียงพระยาห์เวห์พระเจ้าเสด็จดำเนินอยู่ในสวน ชายนั้นกับภรรยาของเขาก็ซ่อนตัวอยู่ในหมู่ต้นไม้กลางสวนให้พ้นจากพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้า พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงเรียกชายนั้นและตรัสถามเขาว่า “เจ้าอยู่ที่ไหน?” 

ทั้งๆ ที่พวกเขาทำบาป แต่พระเจ้าก็ไม่ทรงทอดทิ้งพวกเขา แต่กลับเสด็จมาเยี่ยมพวกเขาเป็นส่วนตัว ให้โอกาสแก่เขา ตรัสเรียกสนทนากับพวกเขา และปกปิดความน่าอับอายของพวกเขาให้ และพระเจ้าทรงสัญญาว่า จะส่งพระผู้ไถ่มาหาพวกเขาเพื่อช่วยกู้พวกเขาให้กลับมาหาพระองค์ใหม่อีกครั้ง

“พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงทำเสื้อด้วยหนังสัตว์ให้อาดัมและภรรยาของเขาสวมปกปิดกาย” (ปฐก.3:21)

ปฐมกาล 3:15  “เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรู ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้า และพงศ์พันธุ์ของนางด้วย เขาจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ”

2.การเยี่ยมเยียน เป็นการเชื่อมสัมพันธภาพและติดต่อสื่อสารระหว่างพระเจ้าและคนของพระองค์รวมทั้งกับคนอื่นๆ ตัวอย่าง

   1) พระเจ้าเยี่ยมเยียนอับราฮัมเพื่อเตรียมตัวท่านสำหรับเป็นบิดาของบรรดาประชาชาติ (ปฐก.17:1-22)
    2) พระเจ้าเยี่ยมเยียนโมเสสที่พุ่มไม้ที่ติดไฟแต่ไม่ ไหม้(ในบริเวณภูเขาซีนาย)เพื่อเรียกเขาให้เป็นผู้นำคนอิสราเอลทั้งหมด (อพย.3:1-22)
    3) พระเจ้าทรงเยี่ยมเยียนโลกนี้ เพื่อช่วยคนในโลกนี้ให้รอดทางพระบุตร (ลก.1:78)

3.การเยี่ยมเยียนเป็นวิธีการหลักที่พระเยซูคริสต์ทรงใช้

  1.  พระเยซูคริสต์ทรงมักไปเยี่ยมเยียนตามหาพบปะผู้คน (ยน.1:43;2:1-2;3:22)
  2. พระเยซูคริสต์กระทำกิจอัศจรรย์ครั้งแรกในงานเลี้ยงสมรสในบ้าน (ยน.2:3-11)
  3. พระเยซูคริสต์ไปเยี่ยมบ้านเปโตรและรักษาแม่ยายของเขา (มก.1:29-31)
  4. พระเยซูไปเยี่ยมบ้านซักเคียสคนเก็บภาษีและทานอาหารร่วมกับเขาและเพื่อนๆในวงการ (ลก.19:1-  10)
  5. พระเยซูคริสต์ ส่งสาวกเป็นคู่ๆ ออกไปเยี่ยมเยียนตามบ้าน (มก.6:6ข-13)
  6. พระเยซูคริสต์มักทรงออกนอกทางแวะช่วยเหลือผู้คนในขณะที่กำลังทรงอยู่บนเส้นทางไปเยี่ยมเยียนคนบางคน (ไม่ว่าจะโดยช่องทางใด) ตัวอย่าง แวะช่วยหญิงชาวสะมาเรียที่แอบมาที่ตักน้ำในตอนเที่ยงให้รอด รวมทั้งชาวสะมาเรีย (ยน.4:1-42)
  7. พระเยซูคริสต์ทรงใช้การเยี่ยมเยียน เพื่อพบปะหนุนใจมิตรสหายของพระองค์ตามบ้าน (ลก.10:38-42)  เช่น พระเยซู ไปเยี่ยมหนุนใจ 3 พี่น้องถึงบ้านคือ มารธา มารีย์ และลาซารัส

จึงกล่าวได้ว่า พระเยซูกระทำพันธกิจโดยออกเยี่ยมเยียนในที่ๆ มีคนอยู่   และหลายคนชีวิตเปลี่ยนไปเมื่อ ได้ยินพระองค์ตรัสสอนและได้สัมผัสกับความรักและฤทธิ์เดชของพระองค์

4.การเยี่ยมเยียนเป็นวิถีที่คริสตจักรยุคแรกปฏิบัติกันเป็นดีเอ็นเอหลัก
1) อัครฑูตออกเดินทางเยี่ยมเยียนพี่น้องและผู้สนใจ
       ก. เยี่ยมผู้เชื่อในพระคริสต์ ตัวอย่าง

  • เปโตร -เยี่ยม โดรคัส –กิจการ 9
  • เปาโล -เยี่ยมหลาย ๆ คน- กิจการ 20
  • ยอห์น -ตั้งใจและคงไปเยี่ยม กายอัส -3ยอห์น 1:1,13-14

        ข. เยี่ยมผู้สนใจ จนรับเชื่อ
            •เปโตร  -เยี่ยม นายร้อย โครเนลิอัส -กิจการ10
   2) คริสตจักรยุคแรกใช้การเยี่ยมเยียนเป็นพันธกิจ-ช่วยเหลือ/หนุนใจ/ประกาศ/ตั้งคริสตจักรใหม่ รวมทั้งแก้ปัญหา
       ก. คริสตจักรที่เยรูซาเล็ม- กิจการ 2:46;8:4;11:19-26;14:21-28;15:22-41
       ข. คริสตจักรที่อันทิโอก -กิจการ 13:1-5;15:1-4

ผลจากการเยี่ยมเยียนด้วยวัตถุประสงค์และรูปแบบที่หลากหลายกัน ต่อกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน ในนามของพระคริสต์ ทำให้ คริสตจักรแข็งแรงเติบโต และมีจำนวนผู้เชื่อทวีเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากมาย

 กจ. 6:7  “การประกาศพระวจนะของพระเจ้าก็เจริญขึ้น และจำนวนสาวกก็เพิ่มขึ้นอย่างมากในกรุง เยรูซาเล็ม และพวกปุโรหิตจำนวนมากก็มาเชื่อถือ”

กจ. 15:41 “ท่านเข้าไปในแคว้นซีเรียกับแคว้นซิลีเซียหนุนใจคริสตจักรให้เข้มแข็งขึ้น”

กจ. 16:5 “คริสตจักรทั้งปวงจึงเข้มแข็งในความเชื่อ และคริสตสมาชิกก็เพิ่มขึ้นทุกๆ วัน”

จนผู้เชื่อในยุคแรกได้ชื่อว่า เป็นพวกคว่ำโลก! (กิจการ 17:6 )

วันนี้ ขอให้พวกเรา มาร่วมกันเป็นพวกคว่ำโลกคว่ำแผ่นดินเพื่อช่วยคนไทยให้รอดกันจะดีไหมครับ?

 

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Clipart Panda)