Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

มีใครยินดีที่ได้พบคุณบ้าง

มีใครยินดีที่ได้พบคุณบ้าง?

“คนจะลืมสิ่งที่คุณพูด คนจะลืมสิ่งที่คุณทำ แต่คนจะไม่ลืมว่าคุณทำให้เขารู้สึกอย่างไร!

(People will forget what you said, People will forget what you did.  But people will never forget how you made them feel.)   -Maya Angelou-

ความประทับใจเป็นประสบการณ์สำคัญที่จะติดคงทนอยู่ในใจของคนตลอดไป ไม่ว่าจะเป็นความประทับใจในเชิงบวกหรือเชิงลบ หากเกิดขึ้นแล้ว จะลบออกยาก! โดยเฉพาะอย่างความประทับใจในแง่ลบ   เพราะหากเกิดขึ้นมาแล้ว อาจต้องใช้ความประทับใจในแง่บวกอีกหลายครั้ง กว่าจะลบความทรงจำในด้านลบครั้งนั้นออกไปได้ ซึ่งในบางกรณีกับบางคนอาจลบเลือนไม่ได้เลยตลอดกาล

ดังนั้น เราต้องหลีกเลี่ยงและระวังไม่สร้างความรู้สึกในเชิงลบให้เกิดขึ้นกับผู้ใดที่เราพบปะ หรือร่วมมีปฏิสัมพันธ์ แม้อาจต้องยอมรับว่าบางครั้งก็เป็นเรื่องยากที่เกินการควบคุมของเรา

เพราะคนเรานี่ก็แปลก พูดดีทำดีให้เขาเก้าอย่าง เขากลับไม่จดจำ แต่พอพูดไม่ดีทำไม่ดีต่อเขาเพียงแค่หนึ่งอย่าง เขากลับจดจำเอาไว้แน่นแบบไม่มีวันลืม  และโยนเหตุผลทิ้งไปเมื่อมีอารมณ์มานำหน้า!

ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น  ขอให้เราจับทิศทางอารมณ์ความรู้สึกของคนที่อยู่ตรงหน้า หรือแม้แต่คนรอบข้างของเราให้ถูกต้องไว้เป็นประการแรกก่อนที่เราจะสื่อสารอะไรออกไปต่อพวกเขา เพราะพลาดแล้วพลาดเลย!

การแสดงความเป็นมิตรอย่างมีอัธยาศัยไมตรี จึงเป็นนโยบายที่ดีเยี่ยมสำหรับการพบปะทักทายกันเมื่อแรกพบ และการแสดงความยินดีอย่างจริงใจต่อกัน เป็นสิ่งที่น่าปรารถนายิ่งนัก แท้จริงแล้ว การแสดงความมีเมตตาจิตต่อกันนั้นแทบไม่ต้องใช้ทรัพย์สินเงินทองใดๆ เลย ขอเพียงใช้สิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้มา(ตามอย่างพระฉายาของพระเจ้า)อย่างเหมาะสม ก็ได้ผลเกินคุ้มแล้ว

นั่นคือ การใช้สายตาที่แสดงความตื่นเต้นยินดีที่ได้พบ การใช้ถ้อยวจีที่แสดงความเป็นมิตร การแสดงออกทางกายที่สื่อความเอื้ออาทรต่อคนที่เราได้พบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่มานมัสการพระเจ้าที่คริสตจักร(เป็นครั้งแรก)

ในพระคัมภีร์ พระเจ้าให้ความสำคัญกับการต้อนรับแขกแปลกหน้าไว้มาก  และหลายครั้งที่พระเจ้าหรือฑูตสวรรค์ ปลอมพระองค์หรือปลอมตัวมาในฐานะของคนแปลกหน้า หรือคนที่เราไม่รู้จักมาก่อน

“อย่าละเลยที่จะต้อนรับแขกแปลกหน้า เพราะว่าโดยการทำเช่นนั้น บางคนก็ได้ต้อนรับทูตสวรรค์โดยไม่รู้ตัว” (ฮีบรู 13:2 THSV11)

อับราฮัม และโลท ก็เคยต้อนรับฑูตสวรรค์โดยไม่รู้ตัว!

ดังนั้น ไม่ว่าวันนี้ เราจะพบปะกับใคร ขอให้เราตั้งเป้าและตั้งใจไว้เสมอว่า เราจะทำให้ทุกคนที่เราได้พบมีความรู้สึกประทับใจตั้งแต่เริ่มแรกแบบที่จะตราตรึงสืบไปตลอดกาล…  ดีไหมครับ?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Bears in Seattle game farm)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

กินอะไรก็เป็นอย่างนั้น

กินอะไรก็เป็นอย่างนั้น!

​มีคำกล่าวไว้ว่า ​“คุณเป็นอย่างที่คุณกิน!” ​(You are what you eat.)

​ใช่ครับ ในทางกายภาพ ทุกอย่างที่คุณเป็น ล้วนมาจากทุกสิ่งที่คุณกิน
​คุณกินดิน คุณก็กลายเป็นดิน
​คุณกินไขมัน คุณก็กลายเป็นไขมัน
​คุณกินน้ำตาล คุณก็กลายเป็นน้ำตาล
​คุณกินแป้ง คุณก็กลายเป็นแป้ง
​คุณกินผัก คุณก็กลายเป็นผัก ฯลฯ

​ในฝ่ายจิตวิญญาณก็เช่นกัน
​คุณกินอาหารฝ่ายเนื้อหนัง คุณก็กลายเป็นฝ่ายเนื้อหนัง
​คุณกินอาหารฝ่ายจิตวิญญาณ คุณก็กลายเป็นฝ่ายจิตวิญญาณ

​บางครั้งเพื่อสุขภาพที่ดี เราอาจต้องกินสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่เราอยาก

​ดังที่มีคนกล่าวว่า ​“วิถีเดียวที่คุณรักษาตัวคุณให้มีสุขภาพดี ก็คือ การกินสิ่งที่คุณไม่อยากกิน ดื่มสิ่งที่คุณไม่ชอบ และทำในสิ่งที่คุณไม่ค่อยอยากจะทำ”
(The only way to keep your health is to eat what you don’t want, drink what you don’t like, and do what you’d rather not.)

บ่อยครั้งที่คุณกินสิ่งที่คุณอยากกิน แล้วส่งผลเสียแก่สุขภาพของคุณ แต่บางครั้งสิ่งที่คุณไม่อยากกิน กลับเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อสุขภาพของคุณมากกว่า อย่างเช่น พระวจนะของพระเจ้า ที่เป็นอาหารฝ่ายจิตวิญญาณ ที่จำเป็นต่อทุกคนซึ่งก็อาจรวมถึงตัวของคุณด้วย

น่าเศร้าที่คนจำนวนไม่น้อย ยังเป็นโรคขาดสารอาหารฝ่ายจิตวิญญาณ ทั้งๆ ที่มีอาหารฝ่ายจิตวิญญาณมากมายตั้งอยู่ตรงหน้า
แต่พวกเขาไม่อยากกินเพราะเป็นอาหารแข็ง!

“ถึงแม้ว่าขณะนี้ท่านทั้งหลายควรจะเป็นครูได้แล้ว แต่ท่านก็ต้องให้คนอื่นสอนท่านอีก ในเรื่องหลักธรรมเบื้องต้นแห่งพระวจนะของพระเจ้า ท่านทั้งหลายต้องกินน้ำนมไม่ใช่อาหารแข็ง เพราะว่าทุกคนที่ยังกินน้ำนมนั้น ยังไม่เข้าใจในเรื่องความชอบธรรม เพราะเขายังเป็นผู้เยาว์ อาหารแข็งเป็นอาหารสำหรับผู้ใหญ่ สำหรับผู้ที่ได้รับการฝึกหัดอบรมให้สามารถรู้จักผิดชอบชั่วดีแล้ว” ​​​​​​​​-ฮีบรู 5:12-14 TH1971

วันนี้ ขอให้เรามาเป็นผู้ใหญ่ที่กินอาหารอย่างที่ผู้ใหญ่กินกัน ไม่ใช่ออดอ้อนจะขอกินแต่อาหารเด็กอยู่ตลอดเวลา

ขอให้เราหิวกระหายอาหารฝ่ายวิญญาณสำหรับผู้ใหญ่ และรีบหาโอกาสทานทันทีที่มีโอกาส!

“เมื่อพบพระวจนะของพระองค์แล้วข้าพระองค์ก็กินเสีย พระวจนะของพระองค์เป็นความชื่นบานแก่ข้าพระองค์ และเป็นความปีติยินดีแห่งจิตใจของข้าพระองค์ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระเจ้าจอมโยธา เพราะว่าเขาเรียกข้าพระองค์ตามพระนามของพระองค์”  ​​​​​​-เยเรมีย์ 15:16 TH1971

ขอให้เราเป็นผู้ใหญ่จากอาหารผู้ใหญ่ที่เราทาน ขอให้เราเป็นอย่างที่เราทาน และเพราะเราทานแต่อาหารฝ่ายจิตวิญญาณ  เราจึงกลายมาเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณอย่างที่พระเจ้าทรงพอพระทัย  เป็นผู้ที่สามารถช่วยเหลือคนอีกมากหลายให้รอดและเติบโตได้ ดังที่พระองค์ทรงประสงค์

จะดีไหมครับ?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ News.com.au)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ชีวิตที่นมัสการ

ชีวิตที่นมัสการ!

“การนมัสการพระเจ้า ไม่ใช่หน้าที่ทางศาสนา แต่เป็นสุดยอดสิทธิพิเศษที่เราได้รับมา!”

(Worship is an incredible privilege, Not a religious duty.)

การนมัสการพระเจ้า เป็นวิถีที่เยี่ยมยอดที่สุดในการจัดที่ทางของหัวใจและหัวคิดของเราให้อยู่ถูกที่ถูกทาง เพราะว่า เราไม่อาจนั่งวิตกกังวล (Worry) และนมัสการ (Worship)พระเจ้าไปในเวลาเดียวกันได้ ถ้าเรานมัสการพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ เราจะไม่มีพื้นที่ใดเหลืออยู่สำหรับความวิตกกังวลทั้งหลาย เพราะพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าปัญหาของเรามากนัก  ดังนั้น หากพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในหัวใจของเราจริง ๆ ปัญหาต่าง ๆ ก็จะต้องจากไป  และเมื่อเรามีใจนมัสการและรับใช้พระองค์อย่างกระตือรือร้น เราก็จะสามารถจัดการกับปัญหาทุกปัญหาที่ขวางหน้าได้โดยไม่ลำบากยากเย็นเลย

มีผู้ให้คำนิยามการ “นมัสการ” (Worship) ไว้หมายความว่า

W – Wait upon the Lord     

           รอคอยพระเจ้า

O – Offer our lives as a living sacrifice

         ถวายชีวิตของเราให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิต

R – Rest in His Presence

         พักสงบต่อพระพักตร์ของพระเจ้า

S – Sing upon Him

        ร้องเพลงสรรเสริญขอบพระคุณพระเจ้า

H – Humble ourselves before Him

         ถ่อมใจถ่อมตนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า

I – Intimacy with God

       ใกล้ชิดสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า

P – Pleasing Him

        ทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัย

ขอให้พวกเรามีชีวิตที่ “นมัสการ” พระเจ้าเช่นนี้เสมอไป โดยเริ่มต้นจาก การถวายตัวของเราให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์แด่พระองค์

“1ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิต และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่าน 2อย่าลอกเลียนแบบอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม”  (รม.12:1-2)

ขอให้วิถีชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงใหม่ไปตามพระประสงค์ของพระเจ้าที่เรานมัสการบูชา ขอให้วิธีที่เราใช้ดำเนินชีวิตจะเป็นวิถีแห่งการนมัสการพระเจ้าองค์บริสุทธิ์แห่งฟ้าสวรรค์ ผู้ทรงสำแดงพระองค์ผ่านการดำเนินชีวิตของพวกเราในขณะที่เรายังอยู่ในโลกนี้  เพื่อว่า ชีวิตของเราจะเป็นคำพยานและคำประกาศถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์  และนำคนมากหลายให้เข้ามาใกล้และร่วมนมัสการพระองค์กับเราทั้งหลายด้วย

โอเคไหมครับ?

“จงเปิดหัวใจของคุณ และอัญเชิญพระเจ้าเข้าไปในทุกสถานการณ์ชีวิตของคุณ เพราะว่า เมื่อพระเจ้าเข้าไปในแต่ละเหตุการณ์เหล่านั้น การอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น!”

(Open your heart and invite God into every circumstance because when God enters the scene, Miracles happen!)

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Thoughts about God)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ใครสร้างครอบครัวของคุณ?

ใครสร้างครอบครัวของคุณ?

“ถ้าพระยาห์เวห์มิได้ทรงสร้างบ้าน บรรดาผู้ที่สร้างก็เหนื่อยเปล่า ถ้าพระยาห์เวห์มิได้ทรงเฝ้ารักษานคร คนยามตื่นอยู่ก็เหนื่อยเปล่า”

(Unless the Lord builds the house, those who build it labor in vain. Unless the Lord watches over the city, the watchman stays awake in vain.)  (สดุดี / Psalms 127:1)

ถ้าพระเจ้าไม่ได้เป็นผู้สร้างครอบครัวของคุณ  คุณจะเหนื่อยเปล่า!

เมื่อคน 2 คนผู้เป็นตัวของตัวเองอย่างสูง มาใช้ชีวิตด้วยกัน ตราบใดที่มีคนหนึ่งยินยอมอยู่ใต้อีกคนหนึ่งอย่างดุษฎี 100 % ตลอดไป และอีกคนหนึ่งรักอีกคนอย่างเต็ม 100 % เสมอไป  ตราบนั้น ทั้ง 2 ก็สามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข!

แต่ในความเป็นจริงไม่เป็นอย่างนั้น

เมื่อ “อัตตา” ของคู่สมรสเริ่มแย่งชิงพื้นที่ชีวิตครอบครัวมากขึ้นเท่าไร  ความเจ็บปวด ความเสียใจก็จะยิ่งทวีคูณขึ้นมาในบ้านที่อยู่อาศัยกัน อะไรที่เคยยอม ๆ อะไรที่เคยทน ๆ ก็เริ่มกลับกลายเป็นเรื่องที่ไม่ขอยอมทนกันอีกต่อไป ความหงุดหงิด ความขัดแย้งก็จะเริ่มเพิ่มขึ้นตามวันเวลาที่ผ่านไป บ้านที่เคยมีความสุขก็จะถูกกลบกลืนด้วยความหงุดหงิด เพราะความขัดแย้งที่เกิดขึ้น โดยที่ทั้ง 2 เองก็อาจไม่เข้าใจว่า ทำไม?

ปัญหาที่คู่สามีภรรยามักคิดไม่ถึงก็คือ

คนที่อยู่ตรงหน้าเราหรือคนที่อยู่กับเรานั้นเปลี่ยนแปลงทุกวัน แบบยากที่จะควบคุมหรือต้านทาน  (รวมทั้งตัวของเราเองด้วย)

  •  สามีเปลี่ยน
  • ภรรยาก็เปลี่ยน
  • ลูกเปลี่ยน
  • พ่อแม่ก็เปลี่ยนด้วย!

…เราทุกคนล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามประสบการณ์ สถานการณ์ สิ่งแวดล้อม และข้อมูลข่าวสารที่รับเข้าในสมองและในใจทุกๆนาที!

หากครอบครัวใดไม่ได้รับการสถาปนาขึ้นโดยพระเจ้า และยอมให้พระเจ้าปกครองจริง ๆ  ครอบครัวนั้นก็ยังคงมีความเสี่ยงต่อความหายนะอยู่ตลอด เพราะว่าวันหนึ่งครอบครัวจะเดินทางมาถึงจุดที่ไม่มีใครยอมฟังใครอีกต่อไป!

แต่ครอบครัวที่ให้พระเจ้าเป็นประมุขปกครองชีวิตพวกเขาจะยอมเชื่อและยอมฟังพระองค์ และจะยอมฟังซึ่งกันและกันบนเส้นทางชีวิตนั้น ดังนั้น เมื่อความสุขอันยั่งยืนทุกคนในครอบครัวต้องตัดสินใจพร้อมกันอย่างชัดเจนว่า ทุกคนจะร่วมมือกันสร้างครอบครัวที่มีพระเจ้าทรงเป็นประมุขอย่างแท้จริง!

ขอให้ครอบครัวของคุณเป็นครอบครัวที่ตั้งอยู่บนรากฐานแห่งความศรัทธาในพระเจ้า และเชื่อมโยงสัมพันธ์กันด้วยความรักและการให้อภัย และรับการปกป้องรักษาโดยพระเจ้าพระบิดาเสมอไป

ขอให้ครอบครัวของคุณเป็นครอบครัวที่มีพระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางแห่งความปีติยินดี ดังที่พระเจ้าทรงบัญชาไว้

ฉธบ.12:7 “ท่านทั้งหลายจงรับประทานที่นั่นเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ทั้งท่านและครอบครัวของท่านจงยินดีในกิจการทั้งสิ้นซึ่งท่านได้ทำนั้น ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทรงอวยพรท่าน” 

(And there you shall eat before the Lord your God, and you shall rejoice, you and your households, in all that you undertake, in which the Lord your God has blessed you.)

ดังนั้น วันนี้ให้พวกเรามาร่วมกันทำครอบครัวของเราเป็นครอบครัวที่มีความสุขที่มีพระเจ้าแห่งความรักประทับรับฟังการสนทนา และทอดพระเนตรทุกสิ่งที่พวกเรากระทำกันในครอบครัวของเราในฐานะประมุขของครอบครัวของเราเสมอไป

จะดีไหมครับ? 

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

 twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc,  twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ nuisri) 

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

พระวจนะแห่งปัญญาและฤทธิ์เดช!

พระวจนะแห่งปัญญาและฤทธิ์เดช!

“พระวจนะของพระเจ้าทรงชีวิตและทรงพลานุภาพ พระวจนะของพระเจ้าจะปลดปล่อยคุณให้เป็นอิสระ ปลอบประโลมใจของคุณ เยียวยารักษาและเลี้ยงดูจิตวิญญาณของคุณ!”

(The Word of God is alive and powerful! It will set you free, comfort  you heal  you and feed  your soul.)  -Matthew Hager

พระวจนะของพระเจ้า ให้ปัญญา แต่พระวจนะของพระเจ้ายังเป็นพระวจนะแห่งสิทธิอำนาจที่ยิ่งใหญ่ด้วย อาจารย์เปาโล กล่าวว่า ความเชื่อของเราไม่ได้อยู่ในปัญญาของมนุษย์ แต่อยู่ในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

“เพื่อความเชื่อของพวกท่านจะไม่ขึ้นกับปัญญาของมนุษย์ แต่ขึ้นกับฤทธิ์เดชของพระเจ้า” (1คร.2:5)

พระวจนะของพระเจ้า เป็นพระวจนะที่มีชีวิต และทรงพลานุภาพ คมยิ่งกว่าดาบสองคม สามารถทะลุทะลวงเข้าไปในจิตและวิญญาณของเรา แม้แต่ในข้อไขในกระดูก สามารถวินิจฉัย ความคิดและทัศนคติในใจของเราได้ด้วย

“เพราะว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นมีชีวิตและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ และคมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งแยกจิตและวิญญาณ ทั้งข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิด และความมุ่งหมายในใจด้วย”  (ฮบ.4:12)

พระวจนะของพระเจ้า จึงไม่ใช่ถ้อยคำแห่งปัญญาเท่านั้น แต่เป็นถ้อยคำแห่งปัญญาที่ทรงฤทธิ์เดชอนันต์ ในการเปลี่ยนแปลงแก้ไขชีวิตของมนุษย์อย่างเรา ดังนั้น หากเราเติมพระวจนะของพระเจ้าลงในความคิดของเราอยู่ตลอดเวลา เราก็จะไม่มีที่ว่างเหลือให้มารเติมคำโกหกลงไปในสมองของเราได้อีก!

“พระคริสตธรรมคัมภีร์ ไม่ใช่เป็นถ้อยคำของมนุษย์เกี่ยวกับพระเจ้า แต่เป็นพระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวกับมนุษย์”

พระคัมภีร์จึงเป็นหนังสือที่บอกเล่าเรื่องมนุษย์เล่มเดียวในจักรวาลที่มองดูมนุษย์ในโลกจากมุมมองเบื้องบนในสวรรค์  และได้รับการดลใจจากพระเจ้าให้เขียนออกมาเพื่อเป็นประโยชน์แก่มวลมนุษย์

“พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การแก้ไขสิ่งผิด และการอบรมในความชอบธรรม” (2ทธ.3:16)

เราจึงควรอ่านพระคัมภีร์ให้กระจ่างแจ้งเพื่อจะได้มองให้เห็นมนุษย์ในมุมมองของพระเจ้าอย่างชัดเจน ถูกต้องมากขึ้น… ใช่ครับ!  พระคัมภีร์เป็นพระวจนะแห่งปัญญาและฤทธิ์เดชที่เราทุกคนต้องอ่าน และเข้าใจ หากเราต้องการใช้ชีวิตในโลกนี้อย่างคุ้มค่า ตรงวัตถุประสงค์ของพระเจ้า พระผู้สร้างมากที่สุด นอกจากนี้ เราควรใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าในการเตรียมตัวของเราและคนอื่น ๆ ให้พรักพร้อมสำหรับการทำดีตามพระประสงค์ของพระเจ้าให้เต็มที่ด้วย

“เพื่อคนของพระเจ้าจะมีความสามารถและพรักพร้อมเพื่อการดีทุกอย่าง” (2ทธ.3:17)

ขอให้ความคิดของเราถูกครอบครองด้วยพระวจนะของพระเจ้าอยู่เสมอ ดังที่ มาร์ติน ลูเธอร์ เคยกล่าวว่า …. “จิตสำนึกผิดชอบของข้าพเจ้า ถูกครอบครองโดยพระวจนะของพระเจ้า” (My Conscience is captive to The Word of God.)

พระวจนะของพระเจ้า สำคัญต่อเรายิ่งนัก เพราะว่า

  • พระวจนะของพระเจ้าทำให้เราสามัคคีธรรมกับพระเจ้าได้ (ยน.15:7)
  • พระวจนะของพระเจ้าทำให้เราเกิดความเชื่อศรัทธา (รม.10:17)
  • พระวจนะของพระเจ้า ทำกิจควบคู่กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิตของเรา (ยน.16:13)   และ
  • พระวจนะของพระเจ้า ทำให้เราเรียนรู้จักพระเจ้าและพระทัยของพระองค์อย่างถูกต้อง (มธ.11:28-30)

ดังนั้น นับจากวันนี้เป็นต้นไป ขอให้เราจัดเวลาที่จะอ่าน ศึกษา ใคร่ครวญ และปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าเป็นประจำ เพราะพระวจนะของพระเจ้าให้ทั้งปัญญา และสิทธิอำนาจ ในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา และคนในโลกนี้ได้อย่างมหัศจรรย์

…ถ้าเห็นด้วยก็ขอให้พวกเราลงมือทำเลย

จะดีไหมครับ?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

 twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, /twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Blog Bible)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ทำไมการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์จึงสำคัญ?

 ทำไมการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์จึงสำคัญ?

การเป็นขึ้นจากตายของพระคริสต์เป็นสิ่งสำคัญเพราะ

1.เป็นหลักฐานหรือพยานยืนยันถึงฤทธานุภาพอันไร้ขีดจำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหนือความตายขององค์พระเจ้า

         1) พระองค์ทรงฤทธิ์ทรงพระชนม์อยู่ ดำรงอยู่ได้ด้วยพระองค์เอง

         2) พระองค์ทรงสร้างจักรวาลและโลกนี้ รวมทั้งตัวของเรา

         3) พระองค์มีสิทธิอำนาจเหนือความตาย และสามารถทำให้พระคริสต์และเราเป็นขึ้นจากความตายได้ เช่นกัน

1คร.15:3-4 “เพราะว่าข้าพเจ้าได้มอบเรื่องสำคัญที่สุดที่ได้รับมานั้นแก่พวกท่านคือพระคริสต์วายพระชนม์เพราะบาปของเรา ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ 4และทรงถูกฝังไว้ แล้ววันที่สามพระองค์ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมา ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์”

1คร.15:53-57   “เพราะว่าสิ่งที่เสื่อมสลายได้นี้ต้องสวมด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายไม่ได้ และสภาพที่ต้องตายนี้ต้องสวมด้วยสภาพที่ไม่ตาย เมื่อสิ่งที่เสื่อมสลายได้นี้สวมด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายไม่ได้และสภาพที่ต้องตายนี้สวมด้วยสภาพที่ไม่ตาย เมื่อนั้นพระวจนะที่เขียนไว้จะสำเร็จว่า “ความตายก็ถูกกลืนเข้าในชัยชนะแล้ว”

โอ ความตาย ชัยชนะของเจ้าอยู่ที่ไหน? โอ ความตาย เหล็กในของเจ้าอยู่ที่ไหน?”  เหล็กในของความตายนั้นคือบาป และอำนาจของบาปคือธรรมบัญญัติ สาธุการแด่พระเจ้า ผู้ประทานชัยชนะแก่เรา โดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” 

2.เป็นหมายสำคัญยืนยันสิทธิอำนาจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ตรัสสอน และอ้างว่าพระองค์คือพระบุตรของพระเจ้า

มธ.16:1-4 “พวกฟาริสีกับพวกสะดูสีมาทดลองพระองค์ โดยขอให้พระองค์ทรงแสดงหมายสำคัญจากฟ้าสวรรค์ให้เห็น2พระองค์จึงตรัสตอบเขาทั้งหลายว่า “[พอตกเย็นท่านทั้งหลายพูดว่า ‘อากาศจะปลอดโปร่งเพราะท้องฟ้าสีแดง’ พอรุ่งเช้าพวกท่านก็พูดว่า ‘วันนี้จะมีพายุฝนเพราะท้องฟ้าสีแดงและมืดครึ้ม’ ท้องฟ้านั้นท่านทั้งหลายยังรู้จักสังเกตและเข้าใจ แต่หมายสำคัญแห่งกาลเวลานี้พวกท่านกลับไม่เข้าใจ] คนในยุคชั่วร้ายและไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าชอบแสวงหาหมายสำคัญ แต่จะไม่โปรดให้หมายสำคัญแก่เขาทั้งหลาย เว้นไว้แต่หมายสำคัญของโยนาห์เท่านั้น” แล้วพระองค์ก็เสด็จไปจากพวกเขา”

ยน.2:18-22 “พวกยิวจึงทูลพระองค์ว่า “ท่านจะแสดงหมายสำคัญอะไรให้เราเห็นว่า ท่านมีสิทธิ์ทำการเช่นนี้ได้?”พระเยซูจึงตรัสตอบพวกเขาว่า “ถ้าทำลายวิหารนี้ เราจะสร้างขึ้นภายในสามวัน” พวกยิวจึงทูลว่า “วิหารนี้เขาได้ใช้เวลาก่อสร้างถึงสี่สิบหกปีแล้ว และท่านจะสร้างขึ้นใหม่ภายในสามวันหรือ?” แต่วิหารที่พระองค์ตรัสถึงนั้นคือพระกายของพระองค์ เพราะฉะนั้นเมื่อพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นมาแล้ว พวกสาวกของพระองค์ก็ระลึกได้ว่าพระองค์ตรัสอย่างนี้ และพวกเขาก็เชื่อพระคัมภีร์และพระดำรัสที่พระเยซูตรัสนั้น”

1คร.15:3-8 “เพราะว่าข้าพเจ้าได้มอบเรื่องสำคัญที่สุดที่ได้รับมานั้นแก่พวกท่านคือพระคริสต์วายพระชนม์เพราะบาปของเรา ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ และทรงถูกฝังไว้ แล้ววันที่สามพระองค์ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมา ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ พระองค์ทรงปรากฏต่อเคฟาส แล้วต่ออัครทูตสิบสองคน ต่อจากนั้น พระองค์ทรงปรากฏต่อพี่น้องกว่าห้าร้อยคนในเวลาเดียวกัน ที่ส่วนมากยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่บ้างก็ล่วงหลับไปแล้ว ต่อจากนั้นพระองค์ทรงปรากฏต่อยากอบ แล้วต่ออัครทูตทั้งหมด หลังสุดพระองค์ทรงปรากฏต่อข้าพเจ้า ผู้เป็นเหมือนเด็กที่คลอดก่อนกำหนด”

กจ.13:32-37  “เรานำข่าวประเสริฐนี้มาแจ้งกับท่านทั้งหลายว่า พระสัญญาที่ประทานแก่บรรดาบรรพบุรุษของเรานั้น พระเจ้าทรงให้สำเร็จตามนั้นเพื่อเรา ผู้เป็นลูกหลานของเขาทั้งหลาย โดยการที่พระองค์ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นมา ดังมีคำเขียนไว้ในพระธรรมสดุดีบทที่สองว่า ‘เจ้าเองเป็นบุตรของเรา วันนี้เราให้กำเนิดเจ้า’  ส่วนข้อที่ว่า พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ไม่ให้เน่าเปื่อยอีกนั้น พระองค์ตรัสดังนี้ว่า ‘เราจะให้พรอันบริสุทธิ์และมั่นคงที่เราสัญญาไว้กับดาวิดแก่พวกท่าน’ เพราะฉะนั้นพระองค์ตรัสไว้ที่อื่นอีกว่า ‘พระองค์จะไม่ให้องค์บริสุทธิ์ของพระองค์ ประสบความเปื่อยเน่า’  เพราะว่าแม้แต่ดาวิดหลังจากที่ปรนนิบัติตามพระทัยพระเจ้าในชั่วอายุของท่านแล้ว ท่านล่วงหลับไป และถูกฝังไว้กับบรรดาบรรพบุรุษของท่านแล้วก็เปื่อยเน่าไป ส่วนพระองค์ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงให้เป็นขึ้นมานั้นไม่ได้ประสบความเปื่อยเน่าเลย”

3.เป็นหลักฐานยืนยันสูงสุดว่า คำตรัสของพระเยซูและคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เดิมถึงการทนทุกข์ ตาย และเป็นขึ้นของพระเยซูคริสต์เป็นเรื่องจริง

กจ.17:2-3 “เปาโลจึงเข้าไปในธรรมศาลานั้นเช่นเคย และท่านอ้างข้อความในพระคัมภีร์ถกเถียงกับพวกเขาได้สามวันสะบาโต  อธิบายและพิสูจน์ให้เห็นว่า จำเป็นที่พระคริสต์จะต้องทรงทนทุกข์และเป็นขึ้นจากตาย และกล่าวต่อว่า “พระเยซูองค์นี้ที่ข้าพเจ้าประกาศกับท่านทั้งหลายคือพระคริสต์”

มก.8:31  “ตั้งแต่นั้นมา พระองค์ทรงสอนพวกสาวกว่า บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการ พวกผู้ใหญ่และพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์จะไม่ยอมรับพระองค์ พระองค์จะทรงถูกประหารชีวิต และหลังจากนั้นสามวันจะเป็นขึ้นมาใหม่” 

มก.9:31 “เพราะว่าพระองค์ทรงกำลังสอนสาวกของพระองค์ว่า “บุตรมนุษย์จะถูกมอบไว้ในมือของคนทั้งหลาย และพวกเขาจะฆ่าท่าน หลังจากถูกประหารแล้วสามวัน ท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่”

มก.10:34 “คนต่างชาติเหล่านั้นจะเยาะเย้ยท่าน ถ่มน้ำลายรดท่าน จะเฆี่ยนตีท่านและจะฆ่าท่าน และหลังจากนั้นสามวันแล้วท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่”

4.เป็นการยืนยันความสำคัญว่าความหวัง และความรอดของพวกเรา จากการอภัยบาปของพระคริสต์ เป็นสิ่งที่เป็นจริงแน่นอน

1คร.15:14-19 “ถ้าพระคริสต์ไม่ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมา การประกาศของเรานั้นก็ไร้ประโยชน์ และความเชื่อของท่านทั้งหลายก็ไร้ประโยชน์ด้วย และคนก็จะเห็นว่าเราเป็นพยานเท็จในเรื่องพระเจ้า เพราะเราเป็นพยานว่าพระองค์ทรงทำให้พระคริสต์เป็นขึ้นมาแล้ว แต่ถ้าคนตายไม่ถูกทำให้เป็นขึ้นมาแล้ว พระคริสต์ก็ไม่ได้เป็นขึ้นมา เพราะว่าถ้าคนตายไม่ถูกทำให้เป็นขึ้นมา พระคริสต์ก็ไม่ได้ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมา และถ้าพระคริสต์ไม่ได้ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมา ความเชื่อของพวกท่านก็ไร้ประโยชน์ ท่านก็ยังคงอยู่ในบาปของตน และถ้าอย่างนั้นคนทั้งหลายที่ล่วงหลับในพระคริสต์ก็พินาศไปด้วย ถ้าเรามีความหวังในพระคริสต์เพียงแค่ในชีวิตนี้ เราก็เป็นพวกน่าเวทนาที่สุดของคนทั้งหมด”

5.เป็นการยืนยันว่าพระคริสต์ไม่เพียงเป็นผลแรกที่เป็นขึ้นมา แต่ทรงเป็นชีวิตที่มีชัยเหนือความตาย

ยน.11:25 “พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราเป็นชีวิตและการเป็นขึ้นจากตาย คนที่วางใจในเราจะมีชีวิตอีกแม้ว่าเขาจะตายไป” 

1ยน.5:11-12 “และพยานหลักฐานนั้นก็คือ พระเจ้าประทานชีวิตนิรันดร์แก่เรา และชีวิตนี้มีอยู่ในพระบุตรของพระองค์ คนที่มีพระบุตรก็มีชีวิต คนที่ไม่มีพระบุตรก็ไม่มีชีวิต”

1คร.15:20 “แต่บัดนี้ พระคริสต์ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และทรงเป็นผลแรกของพวกที่ล่วงหลับไป”

6.เป็นพลังที่ทำให้เราสามารถทำงานของพระเจ้าต่อไปได้อย่างมั่นคง

1คร.15:58  “ฉะนั้นพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงมั่นคงอยู่ อย่าหวั่นไหว จงทำงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้บริบูรณ์ทุกเวลา ท่านทั้งหลายพึงรู้ว่า ในองค์พระผู้เป็นเจ้า การตรากตรำของท่านจะไม่ไร้ประโยชน์”

7.เป็นการหนุนใจถึงชัยชนะและร่างกายใหม่ที่มีสง่าราศีสำหรับผู้เชื่อทุกคน

1ธส.4:13-18 “พี่น้องทั้งหลาย เราไม่อยากให้ท่านขาดความเข้าใจเรื่องคนที่ล่วงหลับไปแล้ว เพื่อท่านจะไม่เป็นทุกข์โศกเศร้า อย่างคนอื่นๆ ที่ไม่มีความหวัง เพราะในเมื่อเราเชื่อว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์และคืนพระชนม์แล้ว โดยพระเยซูนั้น พระเจ้าจะทรงนำบรรดาคนที่ล่วงหลับไปแล้วนั้นมากับพระองค์ ตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราขอบอกพวกท่านข้อนี้ว่า เราที่ยังมีชีวิตอยู่และคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะไม่ล่วงหน้าไปก่อนพวกที่ล่วงหลับไปแล้ว คือว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ด้วยพระดำรัสสั่ง ด้วยเสียงเรียกของหัวหน้าทูตสวรรค์และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และทุกคนที่ตายแล้วในพระคริสต์จะเป็นขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นพระเจ้าจะทรงรับพวกเราซึ่งยังมีชีวิตอยู่ขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์ เพราะฉะนั้นจงหนุนใจกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้เถิด”

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

 twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc,  twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Cross examined.org)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

จะสื่อสารอย่างไรให้สร้างสรรค์

จะสื่อสารอย่างไรให้สร้างสรรค์?

“คนโง่พูดเพราะว่า เขาต้องพูดอะไรบ้างอย่างไร คนฉลาดมีปัญญาพูด เพราะว่าเขามีบางสิ่งที่จะพูด!”

(Fools speak because they have to say something, wise men speak because they have something to say.)

คนบางคนอยากจะสื่อ แต่ไม่มีสาร  ในขณะที่บางคนมีสาร แต่ไม่อยากสื่อ หรือ คนบางคนอยากสื่อ แต่สื่อไม่เป็น ในขณะที่บางคนสื่อเป็น แต่ไม่อยากสื่อ

มีสุภาษิต บอกเราว่า… คนบางคนสื่อออกมา (ทั้งๆ ที่เขาไม่เข้าใจความจริง) แต่ยังต้องการพูดออกมาเพียงเพราะเขาอยากพูดหรือสนุกกับการแสดงความคิดเห็นของตนเท่านั้น ในขณะที่บางคนสื่อสารออกมาเพราะว่าเขามีบางสิ่งที่จำเป็นต้องสื่อออกมา

 “คนโง่ไม่เพลิดเพลินในความเข้าใจ แต่เพลิดเพลินในการแสดงความคิดเห็นของตนเท่านั้น!”   -สุภาษิต 18:2 THSV11

 และบางครั้งคนเราอาจเทความโง่ออกมา หากว่าเขาไม่ตรวจเช็คข้อมูลหรือข้อเท็จจริงก่อนที่จะพูดหรือสื่ออะไรออกมา ดังนั้นหากเราประสงค์จะสื่อสาร เราต้องสื่อสารอย่างถูกต้องและสร้างสรรค์

เราต้องสื่อสารแต่ความจริงแบบที่พระเยซูคริสต์ตรัสว่า…

“จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ คำพูดที่เกินกว่านี้มาจากความชั่ว”   -มัทธิว 5:37 THSV11

อย่างไรก็ตาม ความจริงเป็นธาตุแข็ง คุณจึงต้องผสมผสานให้เข้ากับความรักเป็นเนื้อเดียวกัน และให้คุณสื่อสารกันด้วยคำดีที่เหมาะสมกับความต้องการและสถานการณ์ อันจะเป็นคุณประโยชน์ต่อผู้รับสารนั้น

“อย่าให้คำเลวร้ายออกจากปากของท่านทั้งหลาย แต่จงกล่าวคำดีๆ ที่เสริมสร้างและที่เหมาะกับความต้องการ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยิน”    -เอเฟซัส 4:29 THSV11

คุณต้องสื่อสารด้วยความสุภาพอ่อนโยน และอ่อนหวานเพื่อเสริมสร้างบรรยากาศให้น่าพึงพอใจ

“คำตอบนุ่มนวลช่วยละลายความโกรธเกรี้ยวให้หายไป แต่คำกักขฬะเร้าโทสะ”  -สุภาษิต 15:1 THSV11

 คุณต้องไม่พูดหยาบ ไม่พูดพล่อยๆ ทำร้ายผู้ใด แต่จะพูดหรือสื่อสารนำการเยียวยามาให้ผู้ที่บาดเจ็บ

“คำพูดพล่อยๆ เหมือนดาบแทง แต่ลิ้นของคนมีปัญญานำการรักษามาให้” -สุภาษิต 12:18 THSV11

 คุณต้องสื่อสารแบบที่จะช่วยก่อเกิดสันติสุขและการเสริมสร้างซึ่งกันและกันขึ้นมา

“เหตุฉะนั้นให้เรามุ่งประพฤติในสิ่งซึ่งทำให้เกิดความสงบสุขและความเจริญแก่กันและกัน”   -โรม.14:19 THSV11

คุณต้องสื่อสารให้คนรับสารเกิดกำลังใจและลงมือกระทำดี

“และขอให้เราพิจารณาดูเพื่อจะปลุกใจกันและกันให้มีความรักและทำความดี” -ฮีบรู.10:24 THSV11

“เพราะฉะนั้นจงหนุนใจกัน และต่างคนต่างจงเสริมสร้างกันขึ้น ตามอย่างที่พวกท่านกำลังทำอยู่นั้น”  -1เธสะโลนิกา 5:11 THSV11

และคุณต้องฝึกฝนและลงมือสื่อสารแก่คนดูคนฟังอย่างมีรสชาติ เพื่อให้ทุกคนได้รับพร

“อย่าให้คำเลวร้ายออกจากปากของท่านทั้งหลาย แต่จงกล่าวคำดีๆ ที่เสริมสร้างและที่เหมาะกับความต้องการ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยิน”  -เอเฟซัส 4:29 THSV11

 “จงให้ถ้อยคำของท่านทั้งหลายประกอบด้วยเมตตาคุณเสมอ ปรุงด้วยเกลือให้มีรส เพื่อท่านจะได้รู้ว่าควรจะตอบแต่ละคนอย่างไร”  -โคโลสี 4:6 THSV11

ดังนั้น วันนี้ หากว่าคุณ จะพูดจา หรือสื่อสารอะไรออกไป ขอให้คุณจงแน่ใจก่อนนะครับว่า  คุณจะสื่อออกไปอย่างมีคุณค่าและสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะผ่านช่องทางไหน ตั้งแต่แบบเป็นการส่วนตัว หรือผ่านช่องทางสื่อสารมวลชน หรือสื่อออนไลน์ต่างๆ เช่น ไอจี เฟสบุ๊ค ทวิตเตอร์ หรือไลน์ ฯลฯ 

 …จะดีไหมครับ?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

 twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc,  twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Pinterest.com)