Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

จะนำความรอดไปถึงผู้ใหญ่ของเราได้อย่างไร?

 จะนำความรอดไปถึงผู้ใหญ่ของเราได้อย่างไร?

พระองค์ตรัสสั่งพวกสาวกว่า   “พวกท่านจงออกไปทั่วโลกประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน”   มาระโก 16:15 THSV11

And he said to them, “Go into all the world and proclaim the gospel to the whole creation.”  -Mark 16:15 ESV

เราต้องประกาศและนำคนอื่นๆ ให้มาหาพระเยซูคริสต์ เพื่อช่วยให้เขาได้รู้จักและรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกผู้ใหญ่!

แท้จริงแล้ว ในสังคมไทย และเอเชียโดยรวม ตั้งแต่ยุคโบราณมา หากหัวหน้าครอบครัวมีความเชื่อในศาสนาใด สมาชิกส่วนใหญ่ในครอบครัวก็มักจะเชื่อในศาสนานั้นตามไปด้วย แต่ปัจจุบัน โลกเริ่มเปลี่ยนแปลงไป แต่ละคนในครอบครัวเดียวกัน อาจเลือกเชื่อหรือศรัทธาในศาสนาที่แตกต่างกัน หรือบางทีเชื่อศรัทธาในพระเจ้าเดียวกัน แต่อาจเลือกไปโบสถ์หรือคริสตจักรที่แตกต่างกันก็ยังมี  อย่างเช่น ในบ้านของผมเองมีสมาชิกอยู่ 4 คน แต่ก็ไปเป็นสมาชิกกันถึงสี่คริสตจักร ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป  อย่างไรก็ตาม ผู้ใหญ่(ซึ่งเป็นที่เคารพรัก)ก็ยังคงเป็นจุดศูนย์รวมของสมาชิกในครอบครัวตามขนบประเพณีและวัฒนธรรมอย่างคนเอเชีย การเข้าหา เข้าถึงบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่อย่างถ่อมใจพร้อมข่าวประเสริฐด้วยความเข้าอกเข้าใจ จึงนับว่าเป็นสิ่งถูกต้องถูกทางที่พึงกระทำเป็นอย่างยิ่ง!

ขอให้วันนี้ เราผู้มีความศรัทธาในองค์พระผู้เป็นเจ้า จะตั้งเป้า วางแผน จัดเวลา เยี่ยมเยียน หนุนใจ และสร้างสุขให้กับเหล่าผู้ใหญ่หรือผู้อาวุโสเหล่านั้นของเราหรือของชุมชนตามวาระเวลาต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เราต้องทำให้บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ชื่อใจ และเปิดใจที่จะรับฟังข่าวประเสริฐ ด้วยการนำเสนอพระกิตติคุณด้วยความอ่อนสุภาพ ไม่ก้าวร้าว เปรียบเทียบหรือดิสเครดิตความเชื่อของศาสนาอื่น

ก่อนอื่นเราต้องรู้จักสังเกต เราต้องซื้อสิทธิในการพูดด้วยการจ่ายราคาในการฟัง!  เราต้องฟังคำถาม คำรำพึงรำพัน คำวิพากษ์วิจารณ์ หรือคำร้องทุกข์ของบรรดาผู้ใหญ่เหล่านั้นด้วยความตั้งใจและจริงใจ หากเราพร้อมเสมอที่จะตอบให้จุใจแก่ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ของเรา เราอาจคิดไม่ถึงว่าในท่ามกลางคนเหล่านั้น เราอาจจะได้ยินใครบางคนลุกขึ้นยืนและบอกว่า เขาเปิดใจและได้ต้อนรับพระคริสต์ด้วยความเชื่อ (ศรัทธา)ในข่าวประเสริฐแล้ว!

ดังนั้น ขอให้เรา –

  1. อธิษฐานเผื่อผู้หลักผู้ใหญ่ผู้ที่เราปรารถนาให้ท่านเปิดใจต้อนรับพระคริสต์เป็นประจำ ทุกวัน และทูลขอพระเจ้าทรงใช้ตัวเราและคนอื่นๆ นำจิตวิญญาณอย่างมีศิลปะ
  2. เป็นพยาน และประกาศข่าวประเสริฐทุกวันเมื่อมีจังหวะและโอกาสที่ดี
  3. แสดงความรัก โดย การบรรเทา และช่วยเหลือท่านเหล่านั้น จนกว่าทุกคน จะเปิดใจรับความรอดจากพระคริสต์
  4. นำท่านเหล่านั้น เข้าสู่สามัคคีธรรมของคริสตจักร ตามทฤษฎี 3 ขาของคริสตจักรเพื่อดูแลเลี้ยงดูและเสริมกำลังฝ่ายจิตวิญญาณให้แก่พวกท่านอย่างต่อเนื่อง

โดยขอให้เรามีท่าทีประกาศ ดังนี้

1.ให้เราสารภาพถ่อมใจต่อพระเจ้า และพึ่งพระกำลังของพระองค์

2คร.3:5-6  “ไม่ใช่เพราะมีความสามารถในตัวเราเองที่จะถือว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดจากตัวเราเอง แต่ความสามารถนั้น มาจากพระเจ้า ผู้ประทานให้เราสามารถเป็นผู้ปรนนิบัติแห่งพันธสัญญาใหม่ ที่ไม่ใช่เป็นไปตามตัวอักษรที่เขียนไว้แต่เป็นไปตามพระวิญญาณ ด้วยว่าตัวอักษรที่เขียนไว้นั้นทำให้ตาย แต่พระวิญญาณประทานชีวิต”

2.ให้เรามั่นใจในสิทธิอำนาจและพลังของพระเจ้าที่กระทำกิจผ่านตัวเรา

ฟป.4:13 “ข้าพเจ้าเผชิญได้ทุกอย่างโดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า”

3.ให้เราออกไปประกาศข่าวดีต่อจิตวิญญาณของผู้อื่นว่าพระคริสต์ตายไถ่บาปเขาแล้ว

2คร.5:15 “และพระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อทุกคน เพื่อบรรดาคนที่มีชีวิตอยู่จะไม่อยู่เพื่อตัวเองอีกต่อไป แต่จะอยู่เพื่อ พระองค์ที่สิ้นพระชนม์ และทรงเป็นขึ้นมาเพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย”

มธ.28:19 “เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา จงบัพติศมาพวกเขาในพระ นามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์” 

4.ให้เราไปบอกข่าวดีต่อพวกเขาด้วยใจที่เปี่ยมด้วยความเมตตาสงสารอย่างจริงใจ

มธ.9:36 “และเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรฝูงชนก็ทรงสงสารเขาทั้งหลาย เพราะพวกเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่งเหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง”
ลก.19:41
“เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้และทอดพระเนตรเห็นกรุงแล้ว ก็ทรงกันแสงสงสารกรุงนั้น”

5.ให้เราประกาศด้วยความห่วงใยอย่างมีสติปัญญา

ยก.1:5 “แต่ถ้าใครในพวกท่านขาดสติปัญญา ให้คนนั้นทูลขอจากพระเจ้าผู้ประทานให้กับทุกคนด้วยพระทัยกว้างขวางและไม่ทรงตำหนิ แล้วเขาก็จะได้รับตามที่ทูลขอ” 

สภษ.11:30 “ผลของคนชอบธรรมคือต้นไม้แห่งชีวิตคนมีปัญญาย่อมได้คนจำนวนมาก

ฉะนั้น ขอให้เราเริ่มต้นอธิษฐาน และเป็นพยานกับคนใกล้ตัว ในครอบครัว วงศาคณาญาติของเรา และมิตรสหายที่ครอบคลุมถึงทุกคนที่เราพบปะหรือมีปฏิสัมพันธ์ด้วยในชีวิต และบุคคลกลุ่มแรกที่เราควรคิดถึงและแนะนำพระคริสต์ไปให้กับพวกท่านเหล่านั้นรู้จักและรับ(เชื่อศรัทธา)ก็คือ ผู้ใหญ่อาวุโสในครอบครัวของเราทั้งครอบครัวฝ่ายเนื้อหนังและฝ่ายจิตวิญญาณ

เห็นด้วยไหมครับ?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ have2post.com)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถ้ามีใจ เรื่องยากๆ ก็กลายเป็นเรื่องง่ายๆ!

ถ้ามีใจ เรื่องยากๆ ก็กลายเป็นเรื่องง่ายๆ!

วันนี้ ผมไม่ขอเขียนอะไรมากมายนอกจากเอาข่าวที่สะท้านโลกมาแบ่งปัน

ภายใต้ความตรึงเครียด และความกลัวอันตรายจากสงครามนิวเคลียร์ที่เกาหลีและสหรัฐอเมริกาทำให้ตื่นเต้นเป็นข่าวหน้าหนึ่งมาเป็นเวลายาวนานหลายปี  ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องที่เขย่าขวัญคนทั้งโลกนี้ อยู่ๆ ก็จะจบลงได้ โดยฝีมือของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำที่ก้าวร้าว เจ้าอารมณ์และเชื่อมั่นในตัวเองสูงแบบไม่แคร์คนทั้งโลกอย่าง นาย คิม จอง อึน ประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ และ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 12 มิถุนายน 2018 ที่ผ่านมา ณ ประเทศสิงคโปร์ โดยมีเนื้อข่าวที่อยากให้อ่านกันเอาเองดังนี้…
               

“…วันนี้ (12 มิ.ย.61) เวลาประมาณ 13.40 น. (เวลาประเทศสิงคโปร์) ภายหลังการเจรจาทวิภาคีและร่วมรับประทานอาหารกลางวันแล้ว ประธานาธิบดีสหรัฐฯ  Donald Trump และผู้นำเกาหลีเหนือ  Kim Jong Un ได้ร่วมลงนามในเอกสาร comprehensive” ก่อนที่จะสิ้นสุดการประชุมซัมมิต ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ทั้งนี้ ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดภายในเอกสารดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ผู้นำของทั้งสองประเทศได้บอกกับผู้สื่อข่าวว่าสิ่งนี้นับเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
               

นาย Kim Jong Un กล่าวว่า “วันนี้เราได้มีการประชุมที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์, การเอาชนะประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของเราและการเริ่มต้นใหม่ เรากำลังจะลงนามในข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์ และทั้งโลกจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่”
               

ประธานาธิบดี Trump กล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีเหนือจะเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตที่ผ่านมาอย่างแน่นอน “เราสองคนลงมือทำบางอย่าง และพวกเราได้สร้างความสัมพันธ์ที่มีความพิเศษเป็นอย่างมาก พวกเราจะจัดการกับปัญหาที่ใหญ่และอันตรายต่อทั้งโลก” นอกจากนี้เขายังเสริมว่า “การพูดคุยในครั้งนี้เป็นไปได้ดีสำหรับเราทั้งคู่ และดีเกินกว่าที่ใครจะคาดหวังได้” ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้สอบถามเกี่ยวกับกรณีพิพาทด้านนิวเคลียร์ ประธานาธิบดี Trump กล่าวว่า “เราจะเริ่มกระบวนการอย่างรวดเร็วที่สุด” แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมใดๆ”    – The Straits Times

 “วันนี้ (12 มิ.ย.61) ผู้นำเกาหลีเหนือ คิม จอง-อึน ได้ยืนยันถึง “พันธกิจที่แน่วแน่และมั่นคง ในความพยายามที่จะทำให้คาบสมุทรเกาหลีกลายเป็นเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์” ทั้งนี้ ความพยายามดังกล่าวได้เริ่มต้นจากการลงนามในเอกสารร่วมระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และผู้นำเกาหลีเหนือ คิม จอง-อึน ที่เกิดขึ้นระหว่างกระประชุมซัมมิตครั้งประวัติศาสตร์ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมีรายละเอียดในเอกสาร ดังนี้:
               

“ประธานาธิบดี โดนัลด์ เจ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา และ ผู้นำ คิม จอง-อึน แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (เกาหลีเหนือ (DPRK)) ได้จัดการประชุมซัมมิต ซึ่งเป็นครั้งแรกและครั้งประวัติศาสตร์ขึ้นในสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2561  ประธานาธิบดี ทรัมป์ และผู้นำ คิม จอง-อึน ได้ดำเนินการหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างละเอียดลึกซึ้งและจริงใจต่อกัน เกี่ยวกับประเด็นด้านการสร้างความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างสหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือ รวมถึงการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนบนคาบสมุทรเกาหลีเหนือ โดยประธานาธิบดี ทรัมป์ ได้ยืนยันว่าจะประกันความมั่นคงปลอดภัยให้กับเกาหลีเหนือ และผู้นำ คิม ก็ได้ยืนยันถึงความแน่วแน่ และมั่นคงที่จะดำเนินการเพื่อให้คาบสมุทรเกาหลีกลายเป็นเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ ขอยืนยันว่าการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือครั้งใหม่นี้ จะช่วยก่อให้เกิดสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองแก่คาบสมุทรเกาหลีและทั่วโลก รวมทั้งตระหนักว่า การสร้างความเชื่อมั่นระหว่างกันจะสามารถส่งเสริมให้คาบสมุทรเกาหลีกลายเป็นเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ได้ ทั้งนี้ ประธานาธิบดี ทรัมป์ และผู้นำ คิม จอง-อึน ขอแถลงดังนี้ดังนี้:

1. สหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ มีพันธกรณีในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันขึ้นมาใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในการสร้างสันติภาพและความมั่งคั่งของทั้งสองประเทศ
2. สหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ จะร่วมกันในความพยายามเพื่อก่อให้เกิดระบอบการปกครองแห่งสันติภาพยั่งยืน และมีเสถียรภาพบนคาบสมุทรเกาหลี
3. ยืนยันถึงข้อตกลงปันมุนจอม ที่เกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ได้กระทำร่วมกัน เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2561 ว่าเกาหลีเหนือจะดำเนินการเพื่อให้คาบสมุทรเกาหลีเป็นเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์
4. สหรัฐฯและเกาหลีเหนือตกลงที่จะกู้คืนร่างของเชลยศึกและผู้สูญหายจากสงคราม (POW/MIA) ซึ่งรวมถึงการส่งกลับร่างที่ได้รับการระบุตัวตนแล้วทันที

เป็นที่ยอมรับว่า การประชุมซัมมิต ระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ นับเป็นการประชุมครั้งแรกและครั้งประวัติศาสตร์ อีกทั้งเป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญเกี่ยวกับการเอาชนะความตึงเครียดและการสู้รบระหว่างทั้งสองประเทศมาเป็นระยะเวลานานหลายสิบปี เพื่อเปิดโอกาสให้กับอนาคตใหม่ โดยประธานาธิบดี ทรัมป์ และผู้นำ คิม จอง-อึน จะปฏิบัติตามข้อกำหนดในแถลงการณ์ร่วมฉบับนี้อย่างเต็มที่และเร่งด่วน ทั้งนี้ สหรัฐฯ และเกาหลีเหนือ ได้ยืนยันที่จะจัดการเจรจาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การนำของ นาย ไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เกี่ยวข้องของเกาหลีเหนือ โดยจะจัดการประชุมให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อนำผลการประชุมดังกล่าวมาใช้อย่างเป็นรูปธรรม
             

ประธานาธิบดี โดนัลด์ เจ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา และ ผู้นำ คิม จอง-อึน แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (เกาหลีเหนือ) ขอยืนยันว่าจะให้ความร่วมมือในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีเหนือขึ้นมาใหม่ เพื่อส่งเสริมสันติภาพ ความมั่งคั่ง และความมั่นคงปลอดภัยบนคาบสมุทรเกาหลีและทั่วโลก”
(ที่มา: https://www.channelnewsasia.com/news/singapore/full-joint-statement-donald-trump-kim-jong-un-singapore-summit-10423446)

เรื่องของนายคิม กับนาย ทรัมป์ ในครั้งนี้ ทำให้ผมมีความหวังต่อทุกความขัดแย้งในโลกนี้ รวมทั้งในท่ามกลางคริสตจักรไทยด้วย สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นพยานยืนยันว่า เรื่องต่างๆ ที่กำลังเผชิญอยู่นั้น ล้วนขึ้นอยู่กับเราทั้งนั้น ว่าจะทำให้มันเกิดขึ้นก็ได้ ทำให้มันขยายวงก็ได้ หรือจะทำให้มันจบลงก็ได้ ทั้งหมดล้วนอยู่ที่ตัวของเราเองทั้งนั้น
               

ดังนั้น อาจารย์เปาโลจึงกล่าวว่า …. เท่าที่เรื่องนี้ ขึ้นอยู่กับเรา จงทำให้ความขัดแย้งที่มีอยู่ จบลงเสียที อย่าเลี้ยงดูความขัดแย้ง จงหยุดป้อนอาหารแห่งความขัดแย้งให้มันอีกต่อไป จงแก้ไขปรับความเข้าใจ ให้ความร่วมมือกันแก้ปัญหา และจงรักษาและพัฒนาสัมพันธภาพในท่ามกลางพวกเรา ให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นด้วย ความสงบสันติที่มาจากพระเจ้า!

“ถ้าเป็นได้ เท่าที่เรื่องขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน!”   ~โรม 12:18 THSV11

ดังนั้น วันนี้ ขอให้เรามาร่วมมือร่วมใจกันอย่างจริงใจและจริงจังในการยุติทุกความขัดเคืองทั้วปวง และความขัดแย้งทั้งปวง และร่วมมือกันสถาปนาความสงบสุขขึ้นในบ้าน ในคริสตจักร ในวงการและในสังคมของเราด้วยความรักยิ่งใหญ่ที่มาจากพระเจ้า 

จะดีไหมครับ?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ www.ft.com)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ใครคือแบบอย่างของอนุชนที่ดีในพระคัมภีร์?

 ใครคือแบบอย่างของอนุชนที่ดีในพระคัมภีร์?

โยเซฟอายุ 17 ปี เผชิญความกดดันจากพี่ๆ ในครอบครัวใหญ่ที่อิจฉาริษยาหมั่นไส้ไม่ชอบขี้หน้าเขา เพราะ

  1. พ่อลำเอียงรักเขาอย่างออกหน้าออกตา
  2. เขาเองฉลาดโดดเด่นช่างฝันช่างพูด จนทำให้ตัวเองดูดีกว่าคนอื่นๆ ในบ้าน

พวกพี่ๆ จึงถึงกับรวมหัวกันเล่นงานเขาโยนลงบ่อกะเอาให้ถึงตาย เลยทีเดียว แต่ดีที่พี่ชายอย่างรูเบนเตือนสติว่า อย่างไรก็เป็นน้องพ่อเดียวกัน ก็เลยขายโยเซฟไปเป็นทาสแก่พวกอิชมาเอลที่กำลังเดินทางไปค้าขายที่อียิปต์แทน

แม้เขาจะเป็นแค่วัยรุ่น แต่ก็กำลังเป็นหนุ่มที่หน้าตาดีมีเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้าม หลังจากถูกขายมาทำงานในบ้านของโปทิฟาร์ขุนนางคนสำคัญคนหนึ่งของราชสำนัก โยเซฟถูกพรรณนาว่าหน้าตาสวยงาม แบบนึกถึงภาพดาราเกาหลีแม้เป็นแมนแต่หน้าก็สดใสออกมาทางสวยเลยทีเดียว แม้โยเซฟเป็นวัยรุ่นย่างสู่วัยหนุ่ม แต่ความคิดจิตใจเป็นแบบผู้ใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณทีเดียว แม้นายสาวจะมายั่วยวน ชวนล่วงประเวณี แต่เขาก็หนักแน่นพอที่จะปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า

อัตราความชื่นชมของผมที่มีต่อจิตใจอันเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวยืนหยัดมีศีลธรรมของของโยเซฟ นั้นแปรผันไปกับ

            1.ระดับความสวยงามน่าเชยชมน่ารักของนายหญิง

            2.ข้อเสนอที่นายหญิงมีต่อโยเซฟ ในเรื่องผลประโยชน์ลาภยศที่เขาจะได้ หากร่วมมือกับนายหญิง

นั่นคือ หากนายหญิงเป็นสาวสวย พูดจาอ่อนหวานและเอาใจเก่ง อีกทั้งยังน่ารักน่าเสน่หาที่ชวนปิ๊ง แล้วโยเซฟยังกล้าปฏิเสธคำเชิญชวนอีก ก็ต้องนับว่า พื้นฐานทางคุณธรรม จริยธรรมและศีลธรรมของหนุ่มโยเซฟนี้แข็งแกร่งจริงๆ ต้องยกมือซูฮกอย่างสุดใจพร้อมมอบเรทติ้งความชื่นชม โดยให้ในระดับ 5 สูงสุดไปเลย แต่หากว่า นายหญิงนี้ ดูไม่ได้เลยไม่ว่าจะเรื่องหน้าตา  การพูดจา หรือนิสัยใจคอ การปฏิเสธของโยเซฟก็ไม่ใช่เรื่องยากเท่าไรนักเลย ไม่ได้มีอะไรต้องมาพูดถึงอะไรกันเป็นพิเศษ

เช่นเดียวกับ ข้อเสนอที่มาถึงโยเซฟในการทรยศนายผู้ชายนั้น น่าลองน่าเสี่ยงแค่ไหน?

หากนายหญิงนำข้อเสนอหรือแผนปฏิบัติงานนอกใจสามีที่แยบยลไร้ความเสี่ยงมาให้โยเซฟพิจารณาแบบคุ้มไปทั้งชีวิต ชนิดแบบที่ชีวิตนี้ หาโอกาสเช่นนี้ไม่มีอีกแล้วสำหรับทาสหนุ่มวัยรุ่นชาวยิวในแผ่นดินอียิปต์ แล้วหนุ่มโยเซฟ ยังกล้าปฏิเสธข้อเสนออย่างกล้าหาญอีก ก็ต้องยกนิ้วกดไลก์ให้ด้วยความนับถือที่มีต่อใจของเขาอย่างมากทีเดียวเลย

แต่หากการชักชวนอย่างมัวเมาลุ่มหลงของนายหญิงนั้นทั้งล่อแหลม เลินเล่อ ไร้ซึ่งความแนบเนียน โฉ่งฉ่างจะชวนกันไปตายอย่างโง่เขลา  การที่โยเซฟปฏิเสธก็เป็นเรื่องไม่ยากเท่าไรนัก แต่ไม่ว่าความจริงแท้จะเป็นอย่างไร แต่ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่า หนุ่มน้อยโยเซฟได้ปฏิเสธการทดลองที่ยั่วยวนชวนลองเหล่านี้ไปได้โดยเลือกซื่อสัตย์ต่อนายแม้แต่ต่อนายหญิงแทน และพร้อมยอมรับความทุกข์ความเจ็บปวดที่ตามมา (โดยที่ไม่ทำร้ายผู้ใด) จากข้อกล่าวหาเท็จ ที่ควบคู่กับหลักฐานจริง(คือเสื้อของโยเซฟ)

แม้เขาจะเสียเสื้อคลุม เสียตำแหน่งคนต้นเรือน และผลประโยชน์ เสียชื่อเสียง รวมทั้งเสียอนาคต แต่เขาไม่ยอมเสียคุณธรรมและมโธรรมที่ดีของเขา โดยมีจุดยืนที่แน่วแน่ว่า เขาจะไม่ทำผิดบาปเช่นนั้นต่อพระเจ้าของเขาเป็นอันขาด!

ดังที่ปรากฏรายละเอียดอยู่ในพระคริสตธรรมคัมภีร์แล้ว  ย่อมทำให้เราสามารถนำชื่อโยเซฟเข้าสู่หอเกียรติยศ “อนุชนคนของพระเจ้า” ได้อย่างน่าภาคภูมิใจ

ดังนั้น ขอให้เราเรียนรู้ และเลียนแบบการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณธรรมของอนุชนคนแกร่งอย่างโยเซฟ  และก้าวข้ามผ่านด่าน

            1.ความลุ่มหลง

            2.ความโลภ

            3.ความอิจฉาริษยา

            4.ความอยุติธรรม

            5.ความข่มขื่นใจ

และก้าวตรงต่อไปบนเส้นทางแห่งการถวายพระเกียรติสิริแด่พระเจ้า และเป็นพรแก่คนทั้งปวงต่อไป จะดีไหม?

(อ่านรายละเอียดเรื่องของโยเซฟได้ในพระธรรมปฐมกาล 30:1-24;35:16-26;37:1-36;39:1-50:26)

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Godrunning.com)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

อะไรคือคุณธรรมทั้ง 7 ที่ควรปลูกฝังให้เด็กๆ?

อะไรคือคุณธรรมทั้ง 7  ที่ควรปลูกฝังให้เด็ก ๆ ?

“ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย  เพราะพระองค์ทรงเป็นความหวังของข้าพระองค์ ทรงเป็นที่วางใจของข้าพระองค์ตั้งแต่เป็นเด็กมา”
(For you, O Lord, are my hope, my trust, O Lord, from my youth.) (สดุดี 71:5 THSV11)

ถ้าเราอยากจะเก็บเกี่ยว เราต้องหว่านก่อน
ถ้าเราอยากจะมีกินในช่วงฤดูที่แห้งแล้ง เราต้องสะสมอาหารไว้ตั้งแต่ในช่วงฤดูที่อุดมสมบูรณ์
ถ้าเราอยากจะมีความรู้มาก เราต้องเรียนรู้อยู่เสมอ ตั้งแต่ในวัยเรียน
ถ้าเราอยากมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้หนึ่งผู้ใด เราต้องลงทุนเวลาในการสร้างและพัฒนาสัมพันธภาพกับเขา
ถ้าเราอยากเป็นผู้ใหญ่ที่ดี และมั่นคง เราต้องวางรากและปูฐานที่แข็งแกร่งตั้งแต่เรายังอยู่ในวัยเด็ก
เช่นเดียวกัน หากเราอยากให้ลูกหลานของเราเติบโตเป็นพลเมืองดี เป็นคริสตชนที่ดี เราต้องเอาใจใส่ ลงทุนใช้เวลาและทุกสิ่งที่เรามีในการสร้างเสริมในการฝึกฝนพวกเขาให้เจริญขึ้นในวิถีที่เขาควรจะเป็นหรือควรจะไป

ดังที่กล่าวไว้แล้ว ในพระธรรมสุภาษิต 22:6

“จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเติบใหญ่ เขาจะไม่พรากจากทางนั้น”              

( Train up a child in the way he should go; even when he is old he will not depart from it.)

ใช่ครับ เราต้องฝึกเด็ก ให้เดินไปในวิถีที่เขาควรเดินไป
วิถีแห่งคุณธรรม ที่พระเจ้าทรงประสงค์ คือ วิถีที่เราควรฝึกฝนอบรมลูกหลานของเราตั้งแต่พวกเขายังเยาว์วัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปลูกฝังคุณธรรมสำคัญต่อไปนี้ (ก่อนที่พวกเขาจะเข้าสู่วัย 5 ขวบ) นั่นคือ

  1. ความซื่อตรง (Honesty)
  2. ความยุติธรรม (Justice)
  3. ความมุ่งมั่น (Determination)
  4. การรู้จักเกรงใจ (Consideration)
  5. ความรัก (Love)
  6. ความกตัญญูกตเวที (Gratitude)
  7. ความศรัทธาในพระเจ้า (Faith in GOD)                       

ตุณธรรมประการแรกคือ ความซื่อตรง (็Honesty)

  • เราต้องช่วยให้เด็กๆ รู้วิถีทางในการพูดความจริง โดยมีผู้ใหญ่อย่างเราทำตัวเป็นแบบอย่างแห่งความซื่อตรงให้เขาได้เห็นเป็นต้นแบบ
  • เราต้องหลีกเลี่ยงการคิด การพูด หรือการกระทำใดๆ ที่ไม่ซื่อตรง เราต้องออกห่าง ละทิ้งพฤติกรรมใดๆ ที่เป็นการไม่ซื่อตรงหรือการหลอกลวงใดให้ลูกๆ หลาน ๆ เห็น
  • เราต้องไม่แสดงการสนองตอบใดๆ แบบเกินเหตุหรือเกินควร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาที่ลูกๆ โกหก แต่จงช่วยเขาให้รู้วิธีที่จะกล้าหาญพูดความจริงออกมาโดยไม่กลัว
  • เราต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า เราคือแม่พิมพ์ ที่จะปั๊มตัวลูกๆ ของเราออกมาสู่อนาคต
                     ดังนั้นจงเป็นต้นแบบแห่งคุณธรรมแห่งความซื่อตรงนี้สร้างพวกเขา

ดังนั้นจงเป็นต้นแบบแห่งคุณธรรมแห่งความซื่อตรงนี้สร้างพวกเขา

 คุณธรรมประการที่ 2 คือ ความยุติธรรม (Justice)

  • เราต้องให้ความเป็นธรรมและความยุติธรรมแก่ลูกหลานของเราทุกคน โดยสอนพวกเขาให้รู้ถึงสิ่งถูกต้องที่พึงทำและสิ่งไม่ถูกต้องที่ไม่พึงทำ
  • เราต้องฝึกเด็กให้รู้จักสำนึกผิดและขออภัยเมื่อได้กระทำสิ่งใดที่ไม่เป็นธรรมหรือผิดต่อผู้อื่น แต่แค่นั้นยังไม่พอ
  • เราต้องสอนพวกเขาให้ลงมือแก้ไขสิ่งที่ผิดนั้นโดยทันที และจริงจังในการเสริมสร้างให้เขาทำสิ่งเหล่านั้นออกมา โดยไม่ปล่อยปละละเลย
  • เราต้องสอนเขาให้รู้ถึงความสำคัญในการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างยุติธรรม เพื่อเราจะได้ชุมชนและสังคมที่พึงปรารถนากลับมา

คุณธรรมประการที่ 3  คือ ความมุ่งมั่น (Determination)

  • เราต้องฝึกเด็กให้กล้าเผชิญกับอุปสรรคหรือสิ่งที่ท้าทายชีวิตของเขา
  • เราต้องสอนเขาให้มุ่งมั่นทำสิ่งที่ดี และหนุนใจเขาให้ทำสิ่งที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก
  • คุณธรรมแห่งความมุ่งมั่นนี้ ควรฝึกตั้งแต่พวกเขายังเป็นเด็กเล็กๆ โดยผู้ใหญ่ต้องหลีกเลี่ยง การชมเชยที่มากเกินไปหรือมากเกินจริง แต่ต้องสนองตอบต่อสิ่งที่เด็กทำอย่างซื่อตรงในวิถีที่อ่อนโยนและมีท่าทีในการสนับสนุนหนุนใจให้พวกเขามุ่งมั่นทำให้ดีขึ้น และหมั่นแสดงความชื่นชม ชมเชยพวกเขาในความพยายามมุ่งมั่นของพวกเขา จนกว่าพวกเขาจะก้าวหน้าจนบรรลุความสำเร็จดังตั้งใจ

คุณธรรมประการที่ 4 คือ การรู้จักคิดถึงคนอื่น (Consideration)

  • เราต้องสอนให้ลูกหลานหรือเด็กๆ ของเราให้รู้จักคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นๆ
  • เราต้องฝึกฝนให้เด็กเรียนรู้และถามตัวเองว่า เมื่อพวกเขาทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดสิ่งนั้นได้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของคนอื่นหรือไม่? อย่างไรบ้าง?
  • เราต้องสอนให้เด็กรู้ว่า คำพูดและการกระทำของพวกเขาได้ทำให้ผู้เป็นแม่หรือพ่อเสียใจหรือเจ็บปวดอย่างไร โดยสามารถควบคุมตัวเองไม่ให้ระบายอารมณ์หรือแสดงอาการที่ไม่พึงประสงค์ออกมาทำลายบรรยากาศแห่งการสอนสั่ง
  • เราต้องสอนเขาให้รู้จักเกรงใจ และรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา
  • เราต้องสอนเด็กๆ ว่า คำพูดหรือการกระทำบางอย่างแม้เล็กน้อย แต่ก็สามารถสร้างความสุขให้แก่พ่อแม่หรือผู้อื่นอย่างไร
  • เราต้องสอนให้พวกเขาเรียนรู้และตระหนักถึงความรู้สึกดีๆ ที่ก่อเกิดความสุขที่พวกเขาได้รับในยามที่ผู้อื่นพูดดีหรือทำดีกับพวกเขาและพวกเขาก็ควรมีความเห็นใจ และให้ความสุขใจเช่นนั้นต่อผู้อื่นด้วยเช่นกัน
               

คุณธรรมระการที่ 6 คือ ความกตัญญูกตเวที (Gratitude)

  • เราต้องสอนเด็กๆ ให้รู้คุณของผู้อื่นที่กระทำให้เรา และรู้จักพูดคำว่า”ขอบคุณ” ออกมาอย่างจริงใจ
  • เราต้องสอนพวกเขาให้รู้จักดำเนินชีวิตแบบ “ให้โดยไม่จำ รับแล้วไม่ลืม!
  • เราต้องสอนพวกเขาให้รู้จักกตัญญูต่อพระเจ้า  ต่อชาติแผ่นดิน  ต่อพ่อแม่และผู้มีพระคุณทั้งหลาย การรู้จักกตัญญูด้วยปากออกมาจากใจ และแสดงความกตเวทีผ่านมือของเราเป็นสิ่งที่เราควรสั่งสอนปลูกฝังให้แก่เด็ก รวมทั้งการสอนให้รู้จักให้เกียรติ และไม่นำความเสื่อมเสีย มาสู่ผู้มีพระคุณ อีกทั้งยังรู้จักช่วยแบ่งเบารับภาระของพ่อแม่ และเต็มใจแบ่งปันสิ่งที่ก่อสุขและเสริมสวัสดิภาพให้แก่ท่านเหล่านั้น

คุณธรรมประการที่ 7 คือ ความศรัทธาในพระเจ้า (FAITH in GOD)

เราต้องฝึกสอนฝึกฝนเด็กๆ ในครอบครัวของเราทั้งครอบครัวตามสายโลหิต และครอบครัวฝ่ายจิตวิญญาณ ให้มีรากฐานแห่งความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวสูงสุดแห่งฟ้าสวรรค์ผู้ทรงสร้างมนุษย์ทั้งปวงในชีวิตของพวกเขา  ดุจดังที่ชนชาติของพระเจ้าได้รับคำกำชับนี้ มาตั้งแต่โบราณว่า…

“ต่อไปนี้เป็นพระบัญญัติ กฎเกณฑ์และกฎหมาย ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายทรงบัญชาให้สอนท่าน เพื่อท่านจะได้ทำตามในแผ่นดินซึ่งท่านจะข้ามไปยึดครองนั้น เพื่อท่านจะยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านโดยรักษากฎเกณฑ์และพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระองค์ ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านและบุตรหลานของท่านตลอดชีวิตของท่าน เพื่อว่าวันคืนของท่านจะยืนยาว…

ท่านจงรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจและสุดกำลังของท่าน และจงให้ถ้อยคำเหล่านี้ที่ข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้อยู่ในใจของท่าน และท่านจงสอนถ้อยคำเหล่านั้นแก่บุตรหลานของท่าน และจงพูดถึงถ้อยคำเหล่านั้นเมื่อท่านนั่งอยู่ในบ้าน เดินอยู่ตามทาง นอนลงหรือลุกขึ้น จงเอาถ้อยคำเหล่านี้ผูกไว้ที่มือของท่านเป็นหมายสำคัญ และคาดไว้ที่หน้าผากของท่านเป็นสัญลักษณ์ และจงเขียนถ้อยคำเหล่านี้ไว้ที่เสาประตูบ้าน และที่ประตูของท่าน!”  เฉลยธรรมบัญญัติ 6:1-2, 5-9 THSV11

เราต้องสอนเด็กๆ ให้รู้เรื่อง และรู้จักกับพระเจ้า มีสัมพันธภาพกับพระองค์เป็นส่วนตัวตั้งแต่ที่พวกเขายังวัยเยาว์ และสอนให้พวกเขายอมให้พระองค์ทรงนำชีวิตของพวกเขาด้วยความเชื่อฟัง

เราต้องสอนให้พวกเขาเรียนรู้จักพึ่งพิง หวังใจและวางใจพระองค์ ในขณะที่ฟันฝ่าทุกสถานการณ์ของชีวิตโดยไม่ถอดใจยอมแพ้ และมีชีวิตที่สรรเสริญและขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณีตลอดชีวิตของพวกเขา

ดังที่กษัตริย์ดาวิดตรัสว่า…

“ข้าพระองค์พึ่งพิงพระองค์ตั้งแต่เกิด พระองค์ทรงเป็นผู้นำข้าพระองค์มาจากครรภ์มารดา ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์เสมอ!”   -สดุดี 71:6 THSV11

วันนี้…. ขอให้เด็กทุกคนที่อยู่ในการดูแลของเราได้รับการปลูกฝังคุณธรรมทั้ง 7 นี้ อย่างมีคุณภาพและครบถ้วน
       …อาเมนได้ ไหมครับ?

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

จะสาละวนอยู่กับเพื่อนเทียม จนละเลยสูญเสียเพื่อนแท้ไปอย่างนั้นหรือ?

จะสาละวนอยู่กับเพื่อนเทียมจนละเลยสูญเสียเพื่อนแท้ไปอย่างนั้นหรือ?

 

“เพื่อนเทียม เป็นเหมือนเงา พวกเขาติดตามคุณไปในยามที่มีแสงตะวัน แต่ละทิ้งคุณไปในยามที่คุณอยู่ในความมืดมิด”

(Fake Friends are like Shadows. They follow you in the sun but leave you in the dark)

มิตรแท้ย่อมไม่ทอดทิ้งกันไม่ว่าจะเป็นยามใด หรือสภาพใดในชีวิต ดังพระธรรม สุภาษิตอันอมตะได้จารึกไว้ว่า…

“มิตรสหายย่อมรักกันทุกเวลา และพี่น้องเกิดมาเพื่อช่วยกันยามทุกข์ยาก”       

(A friend loves at all times, and a brother is born for adversity.) (สุภาษิต 17:17)

เพื่อนคนหนึ่งเห็นเพื่อนของตนหายหน้าหายตาไป จึงรีบไปตามหา เมื่อพบเพื่อนคนนั้นแล้ว ถามสาเหตุว่า ทำไมจึงหลบหน้าหรือหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกลุ่มกันเช่นเคย เธอผู้นั้นตอบว่า “ตัวเธอเองชาติตระกูลต่ำ ผิดพลาด ล้มเหลวมาตลอด แม้แต่ครอบครัวยังแตกแยกกัน จึงรู้สึกอายที่พบหน้าหรือเข้าสมาคมกับเพื่อนๆ”

เพื่อนของเธอจึงพูดกับเธอว่า.. “เธอเห็นงานแต่งงานบรรลือโลกที่เพิ่งผ่านมาไหม ระหว่างเจ้าชาย แฮรี่ แห่งราชวงศ์ อังกฤษ กับ เมแกน มาร์เคิล เจ้าสาวผิวสี?

เธอก็รู้อยู่แล้วนี่ว่า แฮรี่เป็นเจ้าชาย เพลย์บอย เปลี่ยนคู่รักมาแล้วหลายคน  ครอบครัวแตก กำพร้าแม่ ว้าเหว่ และแสวงหาสิ่งอื่น ๆ มาทดแทนตลอด ส่วนเมแกน ก็มาจากครอบครัวผิวสี ไม่ได้ร่ำรวยอะไร พ่อเป็นคนขาว แม่เป็นคนดำ และพ่อแม่ก็แยกทางกัน แถมตัวเธอเองก็ยังเคยแต่งงานและหย่าร้างมาแล้ว

อย่างไรก็ตาม เมแกน ยังแข็งแกร่ง และใช้ความกล้าหาญยืนหยัดต่อสู้เพื่อความเสมอภาคในสังคม ควบคู่กับความอ่อนโยนของเธอ  อีกทั้งสู้ชีวิตจนชนะใจเจ้าชายแฮรี่  และผ่านด่านโหดหลาย ๆ ด่านของราชวงศ์มาได้ จนสามารถเข้าสู่พิธีสมรสครั้งประวัติศาสตร์โลกมาได้ ดังนั้น ขอให้เธอก้าวข้ามปมด้อยทั้งหลายด้วยความฉลาด ความขยัน  เข้าใจตัวเอง เข้าใจผู้อื่น และทุ่มเทช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความรักเมตตาอย่างไม่ยอมแพ้

แล้ววันนั้นจะมาถึง เมื่อโลกทั้งใบต้องยอมแพ้ต่อคนที่กล้าหาญด้วยใจสู้เช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเรายังมีพระเจ้าผู้ทรงรัก พร้อมช่วยเหลือประเล้าประโลมใจของเราเสมอ แม้แต่ในยามที่จิตของเราชอกช้ำ และใจของเราแตกสลาย!”

เช่นกันครับ พี่น้องที่รัก!

ไม่ว่า เราจะประสบพบเจออะไรมา ไม่ว่าเพื่อนของเราจะเผชิญกับวิกฤตสาหัสอะไรมา ขอให้เราพร้อมเป็นมิตรที่ดี ที่จะเคียงข้าง ช่วยและนำกันและกันกลับมาหาพระเจ้าผู้ทรงรัก ผู้ทรงพร้อมให้อภัยเราเสมอ ผู้ไม่เคยทอดทิ้งเรา และทรงรักเราด้วยความรักมั่นคงอันดำรงอยู่เป็นนิตย์ เสมอมา และเสมอไป!

…จะดีไหม? 

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ nbcnews.com)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

จะเอาใจใส่ดูแลกันได้อย่างไร?

จะเอาใจใส่ดูแลกันได้อย่างไร?

“จงช่วยรับภาระของกันและกัน ท่านจึงจะได้ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระคริสต์”
 
“Bear one another’s burdens, and so fulfill the law of Christ.”   -Galatians 6:2 ESV/กาลาเทีย 6:2 TH1971

ขอช่วยดูคนข้างๆ ของคุณสักนิดว่า…
            เขายังอยู่หรือหายไปแล้ว?
            หากเขายังอยู่ เขายังปกติสุขดีหรือว่ากำลังซวนเซใกล้ล้มลง?
            คุณทำอะไรเพื่อช่วยเขาให้ยืนหยัดได้มั่นคง?
            หรือคุณไม่แยแสว่า เขาจะเป็นอย่างไร?

หากว่าคุณปล่อยให้คนที่อยู่ข้างๆ ของคุณ ค่อยๆ ล้มลงเพราะแบกภาระหนักโดยที่คุณไม่ทำอะไรเพื่อช่วยเขาเลย นั่นเป็นตัวบ่งบอกว่า ตัวคุณเองได้ล้มลงไปก่อนเขาแล้ว!

จงตื่นตัวขึ้น อย่าเฉื่อยชา อย่าใจแข็ง อย่าปล่อยให้จิตวิญญาณของคุณค่อยๆ แห้งตายลงอย่างไม่แยแส จงรีบช่วยตัวคุณเอง ณ บัดนี้

วิธีหนึ่งที่จะช่วยตัวคุณเองก็คือ จงช่วยคนที่อยู่ข้างๆ หรือ รอบตัวของคุณก่อน หรือไม่ก็ออกไปหาคนอื่นที่ต้องการความช่วยเหลือ และลงมือช่วยเขาในทันที คุณจะแปลกใจมากที่พบว่าการช่วยคนอื่นนั้น แท้จริงแล้วคือการช่วยเหลือตัวของคุณนั่นเอง!

ดังนั้น ขอให้คุณห่วงใยตัวเอง ผ่านการห่วงใยผู้อื่น  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่กำลังต้องการใครสักคนสนใจ มาช่วยบรรเทา หรือกำจัดภาระหนักที่เขากำลังแบกโดยลำพังต่อไปไม่ไหวแล้ว ก่อนอื่นใด พระวจนะของพระเจ้ากำชับให้เราแต่ละคนมีความรับผิดชอบแบกภาระของตัวเองก่อน

“เพราะว่าแต่ละคนต้องรับภาระของตัวเอง” ~กาลาเทีย 6:5 THSV11
“For each will have to bear his own load.”  -Galatians 6:5 ESV

แต่หากว่า เราแบกไม่ไหว ก็อย่าฝืนแบก เพราะจะพังหรือตายเปล่าๆ  เราต้องรีบขอความช่วยเหลือ แต่ขอย้ำว่า เราต้องแน่ใจว่า เราไปไม่ไหวแล้วจริงๆ หลังจากที่ได้พยายามรับผิดชอบทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือตัวเองแล้ว จึงค่อยเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ

ในขณะเดียวกัน หากเราเห็นผู้ใดมีภาระหนักที่แบกไม่ไหว เราก็ควรรีบลงมือช่วยเขา โดยไม่ต้องรอให้เขาร้องขอความช่วยเหลือ ก่อนที่จะสายเกินไป!  ช่วยคนเร็วไป 30 นาที ก็ดีกว่าช่วยคนช้าไปเพียง 1 นาที! เพราะนี่คือพระบัญญัติของพระคริสต์ที่ให้เราแบกภาระของกันและกัน!

ดังนั้น ขอให้ถามตัวคุณเองว่า วันนี้ คุณกำลังใส่ใจ และเต็มใจช่วยแบกภาระหนักของใครบางคนที่เขาจนปัญญาในการแบกรับอยู่หรือไม่?

ถ้ามีคนเช่นนั้นอยู่ตรงหน้าก็ขอให้รีบลงมือช่วยเลยครับ!
แต่ขอให้ช่วยอย่างมีสติปัญญา อย่างถูกต้อง ถูกที่ถูกเวลานะครับ
…เพื่อจะได้เกิดผลดีอย่างยั่งยืน!

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr. ภาพ ChristianNet)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

เพื่อนกันตลอดไป

เพื่อนกันตลอดไป

 “ฉันขอเดินไปกับเพื่อนในท่ามกลางความมืดมิด ดีกว่าเดินไปลำพังในความสว่าง!
 
“I would rather walk with a friend in the dark, than alone in the light.”   – Helen Keller

ชีวิตเราจะมีความหมายอะไรหากต้องอยู่แต่ลำพังในโลกนี้ แต่ก็น่าแปลกที่บางคนกลับอยากแยกตัวเองไปจากคนอื่น เพียงเพื่อจะอยู่ตามลำพัง

คนเราไม่ได้ถูกออกแบบมาให้อยู่ตัวคนเดียว แม้ว่าเราอยากจะอยู่คนเดียวบ้างเป็นบางครั้งบางคราว ซึ่งก็สมควรอยู่ แต่ในชีวิตจริง เราต้องมีคนอยู่เคียงข้าง แม้ว่าจะเรียกนามแตกต่างกันออกไป ไม่ว่า จะเป็นชื่อ คู่อุปถัมภ์ สหาย หุ้นส่วน ผู้ช่วย หรือ คนเคียงข้าง ฯลฯ

แต่ในที่นี้ เราขอใช้คำธรรมดาที่ไม่ธรรมดานั่นคือ คำว่า “เพื่อน”! และเพื่อนที่ดีบางคน ใกล้ชิดสนิทกับเรายิ่งกว่าพี่น้องตามสายโลหิตเสียอีก

ใช่ เราต้องมีเพื่อน และแม้ว่าเพื่อนแท้ ไม่จำเป็นต้องมีมาก แต่หากมีเพื่อนมากมาก ก็ไม่ได้ผิดอะไร เพียงแต่ว่าอย่าหาเพื่อนที่นำหายนะมาให้ ก็แล้วกัน!

 “มีเพื่อนบางคนนำความหายนะมาให้ แต่มีสหายที่ใกล้ชิดยิ่งกว่าพี่น้อง” (สุภาษิต 18:24)

เราต้องการเพื่อนแท้แบบไหน?

“เพื่อนแท้ ไม่ใช่คนที่ทำให้ปัญหาของคุณหายไป แต่พวกเขาคือคนที่ไม่หาย (หัว) ไปไหน ในยามที่คุณเผชิญปัญหา!”

“True friends aren’t the ones who make your problems disappear.  They are the ones who won’t disappear when you are facing problems.”

 มีผู้พรรณนาความเป็นเพื่อนไว้จำง่ายๆ ว่า เพื่อนคือคนแบบไหน?

 เพื่อน หรือ “F.R.I.E.N.D.S”. คือคนที่

                F-Fight for you. (สู้เพื่อคุณ)
                R-Respect you. (ให้เกียรติคุณ)
                I-Include you. (ให้คุณมีส่วนร่วม)
                E-Encourage you. (หนุนใจคุณ)
                N-Need you. (ต้องการคุณ)
                D-Deserve you. (คู่ควรกับคุณ)
                S-Stand by you (ยืนหยัดเคียงข้างคุณ)

หากคุณมีเพื่อนอย่างที่บรรยายไว้ จงรักษาเขาไว้ให้ดี และอย่าปล่อยให้เขาหลุดหายไปจากชีวิตของคุณโดยไม่แยแส!

เบนจามิน แฟรงคลิน เคยกล่าวเตือนสติในเรื่องการเลือกเพื่อนไว้ว่า…

            “จงช้าในการเลือกเพื่อน และจงช้ากว่านั้นอีกในการเปลี่ยนเพื่อน!”
          
“Be slow in choosing a friend, slower in changing.”    – Benjamin Franklin

เพื่อนหาไม่ยาก แต่เพื่อนดีและเพื่อนแท้กลับหาไม่ง่าย คนบางคนดูเหมือนอับโชค คือหาเพื่อนแท้ไม่เจอ หรือแม้แต่เพื่อนธรรมดาก็ยังหาไม่พบ แต่บางคนดูเหมือนโชคร้ายที่พบและคบหากับเพื่อนที่นำเอาหายนะมาให้!

บางคนโชคดีจริงๆ ที่ได้พบเพื่อนแท้ และบางคนยิ่งโชคดีกว่านั้นขึ้นไปอีกคือ ได้พบเพื่อนที่ดีต่อเขาตลอดมาทุกช่วงเวลาของชีวิต

ดังคำกล่าวที่ว่า…
“ทุกคนมีเพื่อนในแต่ละช่วงของชีวิต มีแต่คนที่โชคดีเท่านั้นที่มีเพื่อนคนเดียวกันในทุกช่วงของชีวิต!”
“Everyone has a friend during each stage of life.  But only lucky ones have the same friend in all stages of life.”

เพื่อนอย่างนี้ คือคนที่คุณยินดีเดินร่วมไปกับเขา แม้แต่ในความมืดมิด  ขอให้คุณมีเพื่อนดีๆ เช่นนี้ในชีวิตและรักษาเขาไว้อย่างดีตลอดไป หรือจงเป็นเพื่อนที่ดีเช่นนั้นในชีวิตของคนบางคนที่คู่ควร แล้วโลกนี้ จะน่าอยู่มากขึ้น!

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ nuisri)