Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ประกาศโดยพึ่งพระคุณ (คอลัมน์คำตอบชีวิต)

 

คำถาม       “การประกาศโดยพึ่งพระคุณของพระเจ้าหมายความว่าอะไร?”
คำตอบ:     
พระคุณ หมายถึง “ความรักความเมตตาที่พระเจ้าทรงประทานมาให้แก่เรา ตามพระประสงค์ของพระองค์ โดยไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งใดๆ ที่เราได้ทำมา

พระคุณ หมายถึง “ความช่วยเหลือที่มาจากความโปรดปรานของพระเจ้าที่เราไม่คู่ควรจะได้รับ แต่ทรงประทานให้เราฟรีๆ ด้วยพระทัยกว้างขวาง

เราได้รับพระพรจากพระคุณของพระเจ้า เมื่อเราตอบสนองต่อการทรงเรียกของพระองค์ สารภาพความผิดบาปของเราและยอมรับการประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระองค์ได้ เป็นผู้ได้รับส่วนในธรรมลักษณะของพระองค์ และในชีวิตนิรันดร์

เราจึงสำนึกและสำเนียกอยู่เสมอว่า  ทุกอย่างที่เรามี และที่เราเป็น ล้วนเป็นสิ่งที่เราได้รับมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น เราจึงไม่มีอะไรที่จะอวดต่อผู้ใดได้เลยว่า  เรามีหรือได้สิ่งเหล่านั้น มาจากความรู้ ความสามารถหรือความเก่งของตัวเราเอง พระคุณจะลบเอาความเย่อหยิ่ง และการชอบอวดของเราให้หมดสิ้นไป!

เปาโลกล่าวว่า ทุกอย่างที่เรามีล้วนมาจากพระคุณของพระเจ้า ไม่ว่าเราจะมีมากมายสักเพียงใด เราก็อวดไม่ได้ แต่หากจำเป็นที่จะต้องอวด สิ่งที่เราอวดได้คือ การอวดพระคุณของพระเจ้าที่มีต่อเรา และที่ทำกิจผ่านตัวของเรา!

เราจึงประกาศเรื่องพระคุณของพระเจ้า โดยพึ่งพระคุณของพระเจ้า โดยตระหนักเสมอว่า เราสามารถประกาศเช่นนั้นได้ จนเกิดผลนี้ไม่ได้เกิดจาก
            ความรู้
            ความสามารถ
            ความเก่ง
            ความฉลาด
            ความเข้มแข็ง หรือ
            อะไรๆ ของตัวเราเอง
            แต่มาจากพระคุณของพระเจ้าล้วนๆ

“แต่โดยพระคุณของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงเป็นอย่างที่เป็นอยู่นี้ และพระคุณของพระองค์ที่ประทานแก่ข้าพเจ้านั้น ก็ไม่ไร้ประโยชน์ ตรงกันข้าม ข้าพเจ้าตรากตรำมากกว่าพวกเขาทั้งหมด ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเองเป็นคนทำ แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าซึ่งอยู่กับข้าพเจ้าที่ทำ เพราะฉะนั้นตัวข้าพเจ้าหรือพวกเขาก็ดี เราต่างก็ประกาศเช่นนี้ และท่านทั้งหลายก็ได้เชื่อเช่นนี้”  (1 โครินธ์ 15:10-11 THSV11)

เป็นพระเจ้าผู้ได้ทรงกระทำกิจแห่งพระคุณอยู่ในชีวิตและผ่านชีวิตของเราและทำให้เรามีใจปรารถนาที่จะประกาศข่าวประเสริฐและทำทุกสิ่งตามที่พระองค์ชอบพระทัยและประสงค์จะให้เราทำ

“เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงทำการอยู่ภายในพวกท่าน ให้ท่านมีความประสงค์และมีความสามารถทำตามชอบพระทัยของพระองค์” (ฟีลิปปี 2:13 THSV11)

ผลกระทบจากพระคุณของพระเจ้า จะขยายวงกว้างไปไกลจนส่งอิทธิพลไปทั่ว และเพียงพอต่อความต้องการที่จำเป็นจนนำความรอดไปถึงผู้รับที่เปิดใจเชื่อในข่าวประเสริฐ โดยที่คนของพระเจ้าที่กระจ่างแจ้งในพระคัมภีร์แล้วจะมีส่วนช่วยเหลือผู้ที่เชื่อโดยพึ่งพระคุณของพระเจ้า และทำให้พวกเขาเข้มแข็ง และเติบโตขึ้น ในทุกวิถีทางในยามที่พวกเขาประสบอุปสรรคปัญหา

“เมื่ออปอลโลต้องการจะข้ามไปยังแคว้นอาคายา พี่น้องก็หนุนใจท่านและเขียนจดหมายฝากไปถึงสาวกที่นั่นให้รับรอง ท่านไว้ เมื่อไปถึงแล้วท่านก็ได้ช่วยเหลือคนทั้งหลายที่เชื่อโดยพระคุณของพระเจ้าอย่างมากมาย เพราะท่านโต้แย้งกับพวกยิวอย่างแข็งขันต่อหน้าคนทั้งปวง และอ้างพระคัมภีร์ชี้ให้เห็นว่าพระเยซูคือพระคริสต์”   (กิจการ 18:27-28 THSV11)

ดังนั้น เราควรเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า เราเป็นผู้รับมอบฉันทะเกี่ยวกับพระคุณนานาประการของพระเจ้า เราต้องกระทำหน้าที่ผู้รับมอบฉันทะที่ดี ที่กระทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า และช่วยคนมากมายให้รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ โดยใช้ของประทานแห่งพระคุณที่เราได้รับมา

“ตามที่แต่ละคนได้รับของประทาน ก็ให้ใช้ของประทานนั้นปรนนิบัติกันและกัน ดังเช่นผู้รับมอบฉันทะที่ดีเกี่ยวกับพระคุณนานาประการของพระเจ้า ถ้าใครจะพูด ก็ให้พูดดังเช่นพูดพระวจนะของพระเจ้า ถ้าใครจะปรนนิบัติ ก็จงปรนนิบัติดังเช่นทำด้วยกำลังซึ่งพระเจ้าประทาน เพื่อพระเจ้าจะได้รับพระเกียรติในทุกสิ่ง ทางพระเยซูคริสต์ ขอพระสิริและอานุภาพจงมีแด่พระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน” (1 เปโตร 4:10-11 THSV11)

วันนี้ คุณพร้อมหรือไม่ที่จะประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระคุณของพระเจ้า ที่ทำให้ผู้รับฟังรอดโดยพระคุณโดยทางความเชื่อ

“เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดแล้วด้วยพระคุณโดยทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ใช่มาจากตัวท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากการกระทำ เพื่อไม่ให้ใครอวดได้”  (เอเฟซัส 2:8-9 THSV11)

คุณพร้อมที่จะกระทำเช่นนั้น โดยพึ่งพระคุณของพระเจ้าหรือไม่?  บัดนี้ ขอให้พระเจ้าทรงกระทำกิจแห่งพระคุณ ทั้งภายในคุณ และผ่านตัวของคุณไปยังผู้อื่น ในทุกช่องทาง

จะโอเคไหมครับ?

 

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ประกาศข่าวดีด้วยความรักได้อย่างไร? (คอลัมน์คำตอบชีวิต)

คำถาม   “เราจะประกาศข่าวดีด้วยความรัก ได้ทำอย่างไร?”

คำตอบ:    “ก่อนอื่นต้องย้ำเตือนก่อนว่า เราต้องประกาศข่าวประเสริฐ แต่คนฟังก็ต้องการรับฟังเฉพาะข่าวดี ดังนั้น ข่าวใดฟังแล้วไม่ประเสริฐ หรือคำพูด กับกิริยาใดที่ไม่ประเสริฐ เราไม่ควรพูดหรือแสดงออกมา! เป้าหมายในการประกาศข่าวประเสริฐต้องไม่เปลี่ยน แต่วิธีและวิถีในการประกาศอาจจำเป็นต้องเปลี่ยน  เพราะ

            -เราจะประกาศข่าวประเสริฐด้วยถ้อยคำที่ไม่ประเสริฐย่อมไม่ได้
            -เราจะประกาศข่าวประเสริฐด้วยท่าทีที่ไม่ประเสริฐก็ย่อมไม่สมควร
            -เราจะประกาศข่าวประเสริฐด้วยวิถีและวิธีที่ไม่ประเสริฐก็ย่อมไม่เหมาะ

แล้วเราควรจะประกาศข่าวประเสริฐแบบใดที่เรียกว่าประเสริฐ?

ควร…
            เราควรพูดอะไร แบบใด?
            เราควรแสดงออกอย่างไร?
            เราควรให้อะไร? และ
            เราควรทำอะะไร?  ที่เป็นที่น่าปรารถนาของผู้รับฟัง?

แน่นอนว่า การพูดและกระทำด้วยความรักต่อผู้รับ ฟังข่าวประเสริฐจะสร้างความมั่นใจแก่เขาว่า การรับข่าวประเสริฐเข้าในใจและชีวิตของเขา เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา       

            แล้วเราจะประกาศข่าวประเสริฐด้วยความรักอย่างไรดี?
            ให้เราลองมาดูว่า ความรักมีคุณลักษณะอย่างไรบ้าง?

“ความรักนั้นก็อดทนนานและมีใจปรานี ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีในความอธรรม แต่ชื่นชมยินดีในความจริง ความรักทนได้ทุกอย่าง เชื่ออยู่ เสมอ มีความหวังและความทรหดอดทนอยู่เสมอ ความรักไม่มีวันเสื่อมสูญ”  ~1 โครินธ์ 13:4-8 THSV11

ถ้าอย่างนั้น ในการประกาศข่าวประเสริฐ เราต้องสำแดงความรักต่อผู้รับฟัง ดังนี้
                        1.เราต้องอดทนนานต่อเขา
                        2.เราต้องมีใจปรานีต่อเขา
                        3.เราต้องไม่อิจฉาเขา
                        4.เราต้องไม่อวดตัว
                        5.เราต้องไม่หยิ่งผยองใส่เขา
                        6.เราต้องไม่หยาบคายต่อเขา
                        7.เราต้องไม่เห็นแก่ตัว
                        8.เราต้องไม่ไม่ฉุนเฉียวใส่เขา
                        9.เราต้องไม่ช่างจดจำความผิดของเขา
                        10.เราต้องไม่ชื่นชมยินดีในความอธรรมที่เราหรือเขาทำ
                        11.เราต้องชื่นชมยินดีในความจริงที่เขาพูดหรือกระทำ
                        12.เราต้องทนได้ทุกอย่างเพื่อเขา
                        13.เราต้องเชื่อในตัวเขาอยู่เสมอ
                        14.เราต้องมีความหวังในตัวเขาอยู่เสมอ
                        15.เราต้องมีความทรหดอดทนอยู่เสมอ
                        16.เราต้องไม่ปล่อยให้สิ่งดีๆ ทั้งหมดข้างต้นต้องเสื่อมสูญไป

ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากนี้เป็นต้นไปขอให้เราทำสิ่งดีด้วยความรัก ควบคู่ไปกับการประกาศข่าวประเสริฐ

“จงทำทุกสิ่งด้วยความรัก” ~1 โครินธ์ 16:14 THSV11

นั่นคือ เราต้องรักพระเจ้าก่อน และรักผู้อื่นเหมือนที่เรารักตนเองตามมา

สรุป    เราควรจะประกาศข่าวประเสริฐด้วยความรักอย่างไรบ้าง

เราต้อง….
1.ประกาศด้วยความอดกลั้น และอดทนนาน
2.ประกาศด้วยความถ่อมใจถ่อมตัว
3.ประกาศด้วยความสุภาพอ่อนโยน

“คือจงถ่อมใจและมีความสุภาพอ่อนโยนอยู่เสมอ จงอดทน จงอดกลั้นต่อกันและกันด้วยความรัก” ~เอเฟซัส 4:2 THSV11

4.ประกาศด้วยการเตือนสติและตักเตือนกันต่อหน้าด้วยความรัก
“ว่ากันต่อหน้า ดีกว่ารักกันลับๆ”   ~สุภาษิต 27:5 THSV11

“เรารักใครเราก็ตักเตือนและตีสอนเขา เพราะฉะนั้นจงมีความกระตือรือร้น และกลับใจใหม่”      ~วิวรณ์ 3:19 THSV11

5.ประกาศโดยไม่ทำร้าย หรือทำลายความรู้สึก หรือ จิตใจและร่างกายของผู้ใด
 “ความรักไม่ทำอันตรายต่อเพื่อนบ้านเลย เพราะฉะนั้นความรักจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ธรรมบัญญัติสำเร็จอย่างครบถ้วน”    ~โรม 13:10 THSV11

6.ประกาศโดยไม่ยั่วยุให้เกิดการโต้เถียง จนกลายเป็นการวิวาท

7.ประกาศโดยการมีใจให้อภัยในการละเมิดทุกอย่างของผู้ฟัง
“ความเกลียดชังเร้าให้เกิดการวิวาท แต่ความรักให้อภัย การละเมิดทุกอย่าง” ~สุภาษิต 10:12 THSV11

8.ประกาศโดยการช่วยเหลือเขาในยามทุกข์ยากและไม่ทิ้งกัน
“มิตรสหายย่อมรักกันทุกเวลา และพี่น้องเกิดมาเพื่อช่วยกันยามทุกข์ยาก”   ~สุภาษิต 17:17 THSV11

9.ประกาศโดยการยืนยันความรักต่อคนที่ผิดพลาดและให้โอกาสแก่เขาอีกครั้ง
“ดังนั้นข้าพเจ้าขอร้องพวกท่านให้ยืนยันความรักต่อคนนั้นใหม่”   ~2 โครินธ์ 2:8 THSV11

10.ประกาศโดยแสดงความรักแม้แต่คนที่ไม่คู่ควร
“ถ้าพวกท่านรักเฉพาะคนที่รักท่าน ควรนับว่าเป็นคุณความดีของท่านด้วยหรือ? เพราะแม้แต่พวกคนบาปก็ยังรักเฉพาะคนที่รักเขาเหมือนกัน”     ~ลูกา 6:32 THSV11

11.ประกาศโดยการสำแดงผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ออกมาให้ประจักษ์
“ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความซื่อสัตย์”~กาลาเทีย 5:22 THSV11

12.ประกาศโดยสำแดงความรักต่อเขาดุจเดียวกับที่เรากระทำต่อตัวเอง

“เพราะว่าธรรมบัญญัติทั้งสิ้นนั้นสรุปได้เป็นคำเดียว คือว่า จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”     ~กาลาเทีย 5:14 THSV11

หากเรา ได้กระทำการประกาศข่าวประเสริฐด้วย ทัศนคติ และท่าทีแห่งความรัก เช่นดังที่กล่าวมา ก็จะเกิดดีมากมายตามมา อย่างแน่นอน

คุณเชื่อหรือไม่?”

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

 

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

จะประกาศกับคนอาชีพต่างๆได้อย่างไร (คอลัมน์คำตอบชีวิต)

คำถาม:      “เราจะประกาศกับคนประกอบอาชีพต่างๆ ได้อย่างไร?”

คำตอบ:      “ไม่ว่าจะประกาศกับคนอาชีพใด สิ่งพื้นฐานเกี่ยวกับคนส่วนใหญ่ที่เราควรจะต้องรู้คำนึงถึงก่อนเหมือนกันคือ

1.ความจริงเกี่ยวกับตัวเขา หรือภูมิหลังของเขา
          1).เป็นใคร มาจากไหน?
          2).เรียน หรือ ทำอะไร?
          3).ผ่านอะไรมาบ้างในชีวิต?
          4).สถานการณ์ในปัจจุบันเป็นอย่างไร?  (กำลังเผชิญกับอะไรอยู่?)
          5).มีปัญหาหรือความต้องการเร่งด่วน เรื่องอะไร?
          6).มีใครที่เรารู้จักที่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา

2.ความสามารถของเรา ที่จะช่วยอะไรเขาได้? ดูว่ามีอะไรไหม?   ถ้ามี …
          1).ให้ช่วยเขาเท่าที่ทำได้~ในกรณีเล็กน้อย
          2).ให้ช่วยเขาตามกำลังเท่าที่จะทำได้~ในกรณีที่ใหญ่และยากขึ้น
          3).ให้แนะนำเขาแสวงหาจนพบกับแหล่งช่วยเหลือ ที่ช่วยได้มากกว่า หรือดีกว่าที่เราทำได้~ในกรณีที่ใหญ่และยากเกินกว่าที่เราจะช่วยอะไรได้

3.ความสามารถและความพร้อมของคริสตจักร หรือ องค์กรที่จะช่วยเขาได้
         1).คริสตจักร เราช่วยอะไรเขาได้บ้าง?
                    ก.เรื่องความรู้
                    ข.เรื่องการบรรเทาทุกข์ ~แก้ปัญหาเบื้องต้น เฉพาะหน้า
                    ค.เรื่องการเพิ่มสุข~ช่วยเหลือ หรือให้ในสิ่งที่เขาต้องการ
                    ง.เรื่องการพัฒนา~ส่งเสริมให้เจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้าขึ้น
                             ก),การช่วยสะท้อน และแนะนำ ให้เขาตระหนักว่าอาชีพการงานใดที่เหมาะกับเขามากที่สุด
                             ข).ช่วยเขาให้พัฒนาทักษะ และคันพบช่องทาง หรือเครือข่ายในอาชีพของเขาที่เป็นประโยชน์ และเพิ่มรายได้ให้แก่เขา
           2).แนวร่วม / พันธมิตร หรือหน่ายงานอื่นๆ ใดที่ช่วยเหลือได้ดีกว่าเรา?

4.ความช่วยเหลือและความสัมพันธ์ของพระเจ้าที่มีต่อเขา
          1).แนะนำให้เขาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า
          2).สอนให้เขารู้จักพระเจ้า และแนะวิธีที่เขาจะอธิษฐานต่อพระเจ้าเป็นส่วนตัว
          3).อธิษฐานเผื่อเขาและร่วมกันกับเขา
          4).สอนเขาให้มีความเชื่อพึ่งและวางใจพระเจ้า ไม่ใช่ในมนุษย์คนใดคนหนึ่ง
          5).สอนเขาให้รู้จักขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้า
          6).สอนเขาให้รู้จักเป็นพยานกับคนอื่นๆ ให้รู้จักพระเจ้า
          7).สอนเขาให้รู้จักพาคนมาคริสตจักร เพื่อประกาศตัวเชื่อในพระเจ้า

5.ช่องทางที่เหมาะสมที่เราจะประกาศข่าวประเสริฐต่อคนอาชีพต่างๆ
           1).แบบส่วนตัว 1:1
           2).แบบเป็นกลุ่ม เช่น ในกลุ่มเซลหรือกลุ่มแคร์ หรือกลุ่มกิจกรรมประกาศอื่นๆ เช่น
                     ก.กลุ่ม Alpha ต่างๆ
                     ข.กลุ่มอบรมหัวข้อต่างๆ
                     ค.ชั้นเรียนพระคัมภีร์ของคริสตจักรโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชั้นเรียนในวันอาทิตย์ หรือวันอื่นๆ เช่น ชั้นพระคัมภีร์วันพฤหัส
           3).แบบเป็นหมู่คณะหรือที่ประชุมใหญ่
                      ก.แบบประจำทุกอาทิตย์ เช่น การนมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์หรือวันเสาร์
                      ข.แบบพิเศษ ในโอกาสต่างๆ เช่น งานฟื้นฟูประกาศ หรือค่าย

ให้เราทำเช่นนี้

  1. อธิษฐานขอพระเจ้าทรงประทานภาระใจที่จะกล้าหาญในการเป็นพยานให้ใครสักคนหนึ่ง
  2. เขียนชื่อคนที่เราต้องการเป็นพยานกับเขา กี่คนก็ได้ อาชีพอะไรก็ได้ลงในสมุด หรือ โทรศัพท์ของเรา
  3. ให้เราเสาะหาช่องทางในการรู้จัก และช่วยตอบสนอง ความต้องการ หรือช่วยแก้ปัญหาของเขา เมื่อพระเจ้าตอบคำอธิษฐานของเราและเปิดโอกาสให้เราเป็นพยานได้
  4. ให้เราลงชีวิตกับเขา อย่างจริงใจ จนเขาสัมผัสได้และไว้วางใจ ยอมเปิดเผยความจริงในชีวิต
  5. ให้เราช่วยเขา จนถึงจุดที่เขา ซาบซึ้งพระคุณของพระเจ้าผ่านความดีที่เรากระทำ และเขาเปิดใจ กลับใจใหม่ ขอต้อนรับพระคริสต์เข้ามาในชีวิต
  6. ให้เราช่วยเขาให้เข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเขาจนกว่าเขาจะเติบโตขึ้น จนสามารถนำคนอื่นมารับความรอดด้วยเช่นกัน
  7. ให้เราช่วยเขาให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ในความเชื่อ และร่วมรับใช้ในคริสตจักรผ่านความถนัด หรือตามเครือข่ายทางอาชีพของเขา

และถ้าเราทำเช่นนี้ ด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และพึ่งพระเจ้า คริสตจักรของเราก็จะเจริญเติบโตขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน จริงไหม?“

“เพราะฉะนั้นก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมด ข้าพเจ้าขอร้องพวกท่านให้วิงวอน อธิษฐาน ทูลขอ และขอบพระคุณเพื่อทุกคน เพื่อกษัตริย์ทั้งหลายและทุกคนที่มีตำแหน่งสูง เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตอย่างสงบและมีสันติในทางพระเจ้า และเป็นที่นับถือ  การกระทำเช่นนี้เป็นการดี และเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระองค์ทรงประสงค์ให้ทุกคนได้รับความรอดและรู้ความจริง เพราะว่าพระเจ้ามีองค์เดียว และคนกลางก็มีแต่เพียงผู้เดียวระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงสภาพมนุษย์ ผู้ประทานพระองค์เองเป็นค่าไถ่สำหรับทุกคน เหตุการณ์นี้เป็นพยานในเวลาที่เหมาะสมของมันเอง”    ~1 ทิโมธี 2:1-6 THSV11

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

 

 

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ (แม่) กับลูก คอลัมน์คำตอบชีวิต

คำถาม:   “ ในพระคัมภีร์ได้บอกไว้หรือไม่ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ(แม่)กับลูกนั้นควรจะเป็นอย่างไร?”

คำตอบ:   แทนที่จะตอบ ผมขอถามคำถามแทน (พร้อมใส่ข้อพระคัมภีร์ประกอบแทน) จะดีกว่า ว่า…

1.คุณเป็นพ่อที่ทำตัวให้ลูกเคารพนับถือและเต็มใจให้เกียรติ หรือว่าคุณได้ทำตรงกันข้าม? และคุณเป็นลูกที่ให้เกียรติพ่อหรือไม่? และคุณทำอะไรที่พ่อยอมรับนับถือบ้าง?

“เพราะว่าพระเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่า ‘จงให้เกียรติบิดามารดาของตน’ และ ‘ใครประณามบิดามารดาจะต้องมี โทษถึงตาย’  แต่พวกท่านกลับสอนว่า ‘ใครกล่าวกับบิดามารดาว่า “สิ่งใดของข้าพเจ้าซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อท่าน สิ่งนั้นเป็นของที่ถวายแด่พระเจ้าแล้ว” คนนั้นก็ไม่ต้องให้เกียรติบิดาของตน’ อย่างนั้นแหละ พวกท่านทำให้พระวจนะ ของพระเจ้าเป็นโมฆะไป เพราะคำสอนสืบทอดของท่าน”   ~มัทธิว 15:4-6 THSV11

2.คุณเป็นพ่อที่ทำตัวให้ลูกยอมฟังและเชื่อฟังด้วยความเต็มใจหรือไม่? และคุณเป็นลูกที่ยอมฟังและเชื่อฟังพ่อในทุกเรื่องหรือไม่? หรือคุณดูหมิ่นท่าน?  (และหากมีเหตุผลที่คุณจะไม่เชื่อฟัง นั่นเป็นเพราะอะไร และคุณทำด้วยท่าทีอย่างไร?)

“บุตรทั้งหลาย จงเชื่อฟังบิดามารดาของท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่านี่เป็นเรื่องถูกต้อง “จงให้เกียรติบิดา มารดา ของเจ้า” นี่เป็นบัญญัติข้อแรกที่มีพระสัญญากำกับด้วย “เพื่อเจ้าจะไปดีมาดีและมีอายุยืนยาวบนแผ่นดินโลก””   ~เอเฟซัส 6:1-3 THSV11

“จงฟังบิดาผู้ให้กำเนิดเจ้า และอย่าดูหมิ่นมารดาเมื่อนางแก่”    ~สุภาษิต 23:22 THSV11

3.คุณเป็นพ่อที่ประพฤติตัวให้เป็นศักดิ์ศรีของลูกหรือไม่? หรือคุณทำให้ลูกรู้สึกอับอายที่มีพ่ออย่างคุณ? (ถ้าเป็นเช่นนี้คุณจะแก้ไขอย่างไร? เรื่องอะไร และเมื่อไร?) และคุณเป็นลูกที่ทำตัวให้เป็นความภาคภูมิใจหรือความอับอายของพ่อที่ทำให้พ่อขายหน้า?(คุณจะปรับเปลี่ยนแก้ไขหรือไม่?  อย่างไร?)

“หลานเป็นมงกุฎของคนแก่ และศักดิ์ศรีของบุตรชายคือบิดาของเขา”   ~สุภาษิต 17:6 THSV11

“ทาสที่ฉลาดจะปกครองบุตรชายผู้ก่อเรื่องน่าอับอาย และจะได้ส่วนแบ่งมรดกเหมือนเป็นคนหนึ่งในครอบครัว”    ~สุภาษิต 17:2 THSV11

“บุตรที่เฝ้ารักษาธรรมบัญญัติเป็นคนฉลาด แต่เพื่อนของคนตะกละทำให้บิดาของตนขายหน้า”   ~สุภาษิต 28:7 THSV11

“บุตรชายที่เก็บสะสมไว้ในฤดูแล้งก็เป็นคนฉลาด แต่บุตรชายผู้หลับในฤดูเกี่ยวก็นำความอับอายมา”   -สุภาษิต 10:5 THSV11

4.คุณเป็นพ่อที่รัก เคียงข้างปกป้องเลี้ยงดูลูกเป็นอย่างดี หรือ ทอดทิ้งละเลยลูก? (หากเป็นเช่นนี้ คุณ จะปรับปรุงแก้ไขอย่างไรให้ดีขึ้น?) และคุณเป็นลูกที่ เพิกเฉย ละเลย ทอดทิ้งพ่อหรือขโมยของพ่อของคุณหรือไม่? (ถ้าเป็นเช่นนี้ คุณจะแก้ไข เปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง?อย่างไร?)

“แม้บิดาและมารดาของข้าพระองค์ทอดทิ้งข้าพระองค์ แต่พระเจ้าจะทรงยกข้าพระองค์ขึ้น”  ~สดุดี 27:10 TH1971

“คนดีย่อมทิ้งมรดกไว้ให้ลูกหลาน แต่ทรัพย์สมบัติของคนบาปนั้นถูกเก็บไว้ให้คนชอบธรรม”  ~สุภาษิต 13:22THSV11

“คนที่ขโมยของของบิดาหรือมารดาของตน และพูดว่า “อย่างนี้ไม่ผิด” เขาก็เป็นเพื่อนของนักทำลาย” สุภาษิต 28:24 THSV11

5.คุณเป็นพ่อที่ชื่นบานและทำให้ลูกมีความสุขยินดีที่อยู่ด้วยหรือไม่? หรือคุณชอบยั่วโทสะ หรือทำร้ายลูก (ไม่ว่าจะทางวาจา ทางกาย หรือทางจิตใจ) จนทำให้ลูกไม่อยากอยู่ใกล้ และอยากออกห่างไกล?(ถ้าเป็นเช่นนี้ คุณจะแก้ไข อย่างไรให้ดีขึ้น?)  และคุณเป็นลูกที่ทำให้พ่อมีความสุข ความยินดี หรือทุกข์โศกเศร้า? ยินดีหรือเจ็บปวด?

 (ไม่ว่าจะทางวาจา หรือ ทางกาย อย่างเลวร้าย เช่น ทำให้พ่อหายนะ ทำร้ายหรือไล่พ่อ พ่อ ฯลฯ)

แล้วคุณตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอะไรบ้าง?)

ส่วนท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา อย่ายั่วบุตรของท่านให้เกิดโทสะ แต่จงเลี้ยงดูพวกเขาด้วยการสั่งสอนและการเตือนสติตามหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า” ~เอเฟซัส 6:4 THSV11

“บุตรทั้งหลายจงเชื่อฟังบิดามารดาของตนในทุกเรื่อง เพราะสิ่งนี้เป็นที่ชอบพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า บิดา ทั้งหลายก็อย่ายั่วบุตรของตนให้ขัดเคืองใจ เพื่อว่าพวกเขาจะไม่ท้อใจ”   ~โคโลสี 3:20-21 THSV11

“บรรดาสุภาษิตของซาโลมอน บุตรชายที่มีปัญญาทำให้บิดายินดี แต่บุตรชายที่โง่เป็นความโศกของมารดา เขา”    -สุภาษิต 10:1 THSV11

“ผู้ให้กำเนิดคนโง่ย่อมทุกข์โศก และบิดาของคนโง่เขลาไม่มีความชื่นบาน.. บุตรชายโง่เป็นความโศกสลดแก่ บิดา และเป็นความขมขื่นแก่มารดา”  สุภาษิต 17:2, 6, 21, 25 THSV11

“คนที่ทำร้ายบิดาและขับไล่มารดา เป็นบุตรชายผู้นำความอับอายและความเสื่อมเสียมา ลูกเอ๋ย ถ้าเจ้าเลิกฟัง คำสั่งสอน เจ้าก็จะหลงไปจากคำแห่งความรู้”   ~สุภาษิต 19:13-14, 18, 26-27 THSV11

“บุตรโง่เขลาเป็นความหายนะแก่บิดา และภรรยาขี้ทะเลาะก็เหมือนน้ำฝนย้อยหยดไม่หยุดคนที่ทำร้ายบิดาและ ขับไล่มารดา เป็นบุตรชายผู้นำความอับอายและความเสื่อมเสียมา”~สุภาษิต 19:13, 26 THSV11

“มีคนที่แช่งบิดา และไม่อวยพรมารดาของตน… ดวงตาที่เยาะเย้ยบิดา และดูถูกไม่ฟังมารดา จะถูกฝูงกาแห่งหุบเขาจิกออก และลูกนกแร้งจะกินเสีย”   ~สุภาษิต 30:11, 17 THSV11

6.คุณเป็นพ่อที่พูดคุยและหมั่นสั่งสอนหรือมอบสิ่งดีๆให้แก่ลูก(เป็นเหมือนมรดก)ที่เขานำมาปฏิบัติตามบ้างหรือไม่? เรื่องอะไร?  และคุณเป็นลูกที่เรียนรู้สิ่งดีๆ จากพ่อและนำมาใช้จริงบ้างหรือไม่?อย่างไร?

“ลูกเอ๋ย อย่าลืมคำสอนของข้า แต่ให้ใจของเจ้าเฝ้ารักษาบัญญัติของข้า เพราะสิ่งเหล่านี้จะเพิ่มวันเดือนปีของ ชีวิตให้ยืนยาว และทวีความสมบูรณ์พูนสุขแก่เจ้า อย่าให้ความจงรักภักดีและความซื่อสัตย์ทอดทิ้งเจ้า จงพันมันไว้รอบคอของเจ้า จงเขียนมันไว้บนแผ่นจารึกแห่งหัวใจของเจ้า ดังนั้น จงหาความโปรดปรานและชื่อเสียงดี ในสายพระเนตรพระเจ้า และในสายตามนุษย์…ลูกเอ๋ย อย่าดูหมิ่นพระดำรัสสอนของพระยาห์เวห์ และอย่าเบื่อหน่ายพระดำรัสเตือนของพระองค์ เพราะพระยาห์เวห์ทรงตักเตือนผู้ที่พระองค์ทรงรัก ดังบิดาตักเตือนบุตรที่เขาโปรดปราน”  ~สุภาษิต 3:1-4, 11-12 THSV11

“คนที่สงวนไม้เรียวก็เกลียดบุตรชายของตน แต่คนที่รักเขาย่อมหมั่นตีสอนเขา”  ~สุภาษิต13:24

“คนดีย่อมทิ้งมรดกไว้ให้ลูกหลาน แต่ทรัพย์สมบัติของคนบาปนั้นถูกเก็บไว้ให้คนชอบธรรม” ~สุภาษิต 13:22 THSV11

7.คุณเป็นพ่อที่ศรัทธาในพระเจ้า มีใจกรุณาดีพร้อมเหมือนพระเจ้า สร้างวินัยและสอนลูกให้อยู่ในทางของพระเจ้าตั้งแต่พวกเขายังเป็นเด็กเล็กๆ จนมีความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าอย่างมั่นคง หรือไม่? และคุณเป็นลูกที่ยอมรับการสอน สร้างและลงวินัยของพ่อ ตามพระวจนะของพระเจ้า หรือไม่อย่างไรและส่งผลอะไรต่อชีวิตของคุณบ้าง? ดีหรือไม่ดี?

“พวกท่านจงมีใจเมตตากรุณาเหมือนอย่างพระบิดาของท่านมีพระทัยเมตตากรุณา” ~ลูกา 6:36 THSV11

“คนที่สงวนไม้เรียวก็เกลียดบุตรชายของตน แต่คนที่รักเขาย่อมหมั่นตีสอนเขา” ~สุภาษิต 13:1, 22, 24 THSV11

“ไม้เรียวและคำตักเตือนให้ปัญญา แต่เด็กที่ถูกปล่อยปละละเลยจะนำความอับอายมาสู่มารดา…  จงตีสอนบุตรของเจ้า และเขาจะให้เจ้าสบายใจ เขาจะให้ความปีติยินดีแก่เจ้า”~สุภาษิต 29:3, 15, 17 THSV11

“อย่าละเลยการตีสอนเด็ก เพราะถ้าเจ้าตีเขาด้วยไม้เรียว เขาจะไม่ตาย ถ้าเจ้าตีเขาด้วยไม้เรียว เจ้าจะช่วยชีวิต เขาให้พ้นจากแดนคนตาย”   ~สุภาษิต 23:13-14 THSV11

“ลูกเอ๋ย ถ้าใจของเจ้ามีปัญญา ใจของข้าเองก็จะยินดีด้วย จิตใจของข้าจะเปรมปรีดิ์ เมื่อปากของเจ้าพูดสิ่งที่ ถูกต้อง เจ้าอย่าริษยาคนบาป แต่จงยำเกรงพระยาห์เวห์ตลอดเวลา เพราะแน่นอนมีอนาคตสำหรับเจ้า และความหวังของเจ้าจะไม่สลาย”  ~สุภาษิต 23:15-18 THSV11

สรุป     

ขอให้เราเป็นพ่อที่เป็นคนชอบธรรมที่อบรมสั่งสอนลูกให้เป็นคนดีมีคุณธรรมและมีสติปัญญาที่จะนำความยินดีมาสู่ผู้เป็นพ่อตลอดชีวิต หรืออย่างน้อยก็ในบั้นปลาย

“บิดาของคนชอบธรรมจะเปรมปรีดิ์อย่างยิ่ง  คนที่ให้กำเนิดบุตรที่มีปัญญาจะยินดีในเขา จงให้บิดามารดาของเจ้ายินดี จงให้ผู้ที่คลอดเจ้าเปรมปรีดิ์”   -สุภาษิต 23:24-25 THSV11

ดังนั้นความสัมพันธ์พ่อ และลูกของคุณ ควรจะเป็นอย่างไร?  คำแนะนำคือ ควรให้ทั้งพ่อและลูกทุกคู่เป็นคนดีพร้อมตามสถานภาพของตน ถ้าเป็นพ่อก็จงเป็นพ่อที่ดี ถ้าเป็นลูกก็จงเป็นลูกที่ดี เป็นผู้ที่เคารพยำเกรงพระเจ้า รู้จักให้เกียรติกันและกันอย่างที่พระเจ้าทรงพอพระทัย!

“เพราะฉะนั้นพวกท่านจงเป็นคนดีพร้อม เหมือนอย่างที่พระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์ทรงดีพร้อม” ~มัทธิว 5:48 THSV11

เพราะหากทำเช่นนี้ โลกของเรานี้ ก็จะน่าอยู่มากขึ้น  จริงไหม?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ประกาศกับคนในครอบครัว (คอลัมน์คำตอบชีวิต)

คำถาม:     “จะประกาศข่าวประเสริฐกับคนในครอบครัวของเราได้อย่างไร?”

คำตอบ:

“เป็นคำถามที่ดีมาก เพราะครอบครัวเป็นกลุ่มเป้าหมายแรกของเราที่สมควรได้รับฟังข่าวดีเรื่องการช่วยไถ่ให้รอดของพระเยซูคริสต์ที่มีเสนอให้แก่มนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้จากปากของเราเอง”

ดังนั้น ขั้นตอนต่อไปนี้ จึงเป็นสิ่งที่เราทำเพื่อประกาศข่าวแห่งความรอดนี้ให้แก่พวกเขา

1.เราตระหนักว่าคนในบ้านของเราทุกคนล้วนต้องการความรัก และความรอดเช่นเดียวกับคนใดๆ ในโลกนี่

  1. พวกเขาต้องมีโอกาสได้ยินข่าวประเสริฐของพระคริสต์ที่ช่วยเขาให้รอดจากโทษบาป
  2. พวกเขาต้องรู้และรู้จักพระเยซูคริสต์ เพื่อรับความรอดนั้นเป็นของตัวเขาเอง
  3. พวกเขาต้องกลับใจ & รับความรอดนั้นผ่านความเชื่อด้วยใจและรับด้วยปากของเขาเอง

“วันต่อมาเขาทั้งหลายไปถึงเมืองซีซารียา โครเนลิอัสกำลังรอคอยพวกเขาอยู่ และเชิญญาติพี่น้องกับเพื่อนสนิทมาประชุมร่วมกัน เมื่อเปโตรมาถึง โครเนลิอัสก็ต้อนรับเปโตรและทรุดตัวลงแทบเท้าท่าน เปโตรจึงประคองโครเนลิอัสให้ลุกขึ้นและกล่าวว่า “จงลุกขึ้นยืน ข้าพเจ้าก็เป็นเพียงมนุษย์เหมือนกัน”

จึงกล่าวกับคนเหล่านั้นว่า “พวกท่านทราบแล้วว่า การที่คนยิวจะคบหาหรือเยี่ยมเยียนคนต่างชาติถือว่าเป็นเรื่องต้องห้าม แต่พระเจ้าทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า ไม่ควรถือว่าคนหนึ่งคนใดไม่บริสุทธิ์หรือเป็นมลทิน เพราะเหตุนี้เมื่อท่านใช้คนไปเชิญข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงมาโดยไม่ขัด ข้าพเจ้าขอถามว่า ที่ท่านเชิญข้าพเจ้ามานี้มีจุดประสงค์อะไร?”

พระองค์ทรงสั่งให้เราประกาศกับคนทั้งหลาย และเป็นพยานว่า พระเจ้าทรงตั้งพระองค์เป็นผู้พิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย บรรดาผู้เผยพระวจนะก็เป็นพยานถึงพระองค์ว่า ทุกคนที่เชื่อถือในพระองค์นั้น พระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของพวกเขาโดยพระนามของพระองค์” ขณะเปโตรยังกล่าวคำเหล่านั้นอยู่ พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมาสถิตกับทุกคนที่ฟังพระวจนะนั้น

“ใครจะห้ามคนเหล่านี้ที่ได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ์เหมือนเราจากการรับบัพติศมาด้วยน้ำ?” เปโตรจึงสั่งให้เขาทั้งหลายรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูคริสต์ แล้วพวกเขาขอให้เปโตรพักอยู่กับพวกเขาอีกสักระยะหนึ่ง”

                                            ~กิจการ 10:24-26, 28-29, 42-44, 47-48 THSV11

2.เราต้องถือว่าเป็นหน้าที่อันสำคัญลำดับต้นในการช่วยพวกเขาให้รู้ความจริงแห่งข่าวประเสริฐและรอดดังนั้น

  1. เราต้องตั้งเป้าที่ประกาศข่าวดีนี้ให้พวกเขารับฟัง ด้วยใจห่วงใย
  2. เราต้องอธิษฐานเผื่อพวกเขาอย่างร้อนรน
  3. เราต้องวางแผนเป็นขั้นตอนในการช่วยให้พวกเขาเข้าใจความจริงของข่าวดีนั้น
  4. เราต้องลงมือตามแผนด้วยใจรักพวกเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข จนกว่าพวกเขาจะเปิดใจ

“พระองค์ทรงประสงค์ให้ทุกคนได้รับความรอดและรู้ความจริง เพราะว่าพระเจ้ามีองค์เดียว และคนกลางก็มีแต่เพียงผู้เดียวระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงสภาพมนุษย์ ผู้ประทานพระองค์เองเป็นค่าไถ่สำหรับทุกคน เหตุการณ์นี้เป็นพยานในเวลาที่เหมาะสมของมันเอง”

                                                        ~1 ทิโมธี 2:4-6 THSV11

3.เราต้องเป็นพยานอย่างชัดเจนควบคู่กันไประหว่างคำพูดและการกระทำ

  1.  เราต้องเป็นพยาน และประกาศด้วยคำพูด/ถ้อยคำ
  2. เราต้องเป็นพยานด้วยชีวิต

                ก.ชีวิตที่ลด และหยุดบาปแล้ว

                ข.ชีวิตที่เปลี่ยนแปลง จนดีขึ้น

                ค.ชีวิตที่ทรงอิทธิพลเป็นพรแก่คนในครอบครัว

        3. เราต้องเป็นพยานด้วยการกระทำที่ดี มีประโยชน์ต่อพวกเขาด้วยความรัก โดยเฉพาะอย่างการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบุพการี จนพวกเขาชื่นชมและเกิดความมั่นใจที่จะเปิดรับข่าวประเสริฐ

“ถ้าแม่ม่ายคนไหนมีลูกหรือหลาน ก็ให้เขาทั้งหลายเรียนรู้การทำหน้าที่ในทางพระเจ้าต่อครอบครัวของตนก่อน และให้ตอบแทนคุณบิดามารดา เพราะว่าการกระทำเช่นนี้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า …ถ้าใครไม่เลี้ยงดูญาติพี่น้อง และโดยเฉพาะคนในครอบครัวแล้ว คนนั้นก็ปฏิเสธความเชื่อ และชั่วยิ่ง กว่าคนที่ไม่เชื่อเสียอีก”

                                                                     ~1 ทิโมธี 5:4, 8 THSV11

4.เราต้องยืนหยัดกล้าหาญเป็นพยานโดยพึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์และพระวจนะของพระเจ้าและนำให้เขารับเชื่อเมื่อพระวิญญาณทรงนำ

  1.  เราต้องใช้พระวจนะของพระเจ้าในการประกาศและเป็นพยานเรื่องข่าวประเสริฐ
  2. เราต้องทูลขอให้พระวิญญาณอธิบายพระวจนะของพระเจ้าให้เขาเข้าใจ และเข้าถึง
  3. เราต้องให้พระวิญญาณทำกิจอย่างเต็มที่ ทั้งในใจของพวกเขาที่เป็นผู้ฟังและเราผู้พูดแบ่งปัน

“แล้วพาท่านทั้งสองออกมากล่าวว่า “ข้าแต่ท่าน ข้าพเจ้าต้องทำอย่างไรจึงจะได้รับความรอด?” เปาโลกับสิลาส จึงกล่าวว่า “จงวางใจในพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วท่านและครอบครัวจะได้รับความรอด” ท่านทั้งสองจึงกล่าวสั่งสอนพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ให้นายคุกและคนทั้งปวงที่อยู่ในบ้านของเขาฟัง ในชั่วโมงเดียวกันของคืนนั้นเอง นายคุกพาเปาโลกับสิลาสไปล้างแผลที่ถูกเฆี่ยน และนายคุกก็รับบัพติศมาทันทีพร้อมกับทุกคนในครัวเรือนของเขา แล้วพาท่านทั้งสองเข้าไปในบ้านของเขาและจัดอาหารเลี้ยง ทั้งตัวเขาและครัวเรือนต่างปลื้มปีติเพราะเขา ได้เชื่อถือพระเจ้าแล้ว”

                                                            ~กิจการ 16:30-34 THSV11

5.เราต้องวางใจพระเจ้าสำหรับผลลัพธ์ดีที่จะเกิดกับคนในครอบครัวตามเวลาที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้

  1. เราต้องทำหน้าที่ของเราอย่างดีที่สุด ตามวิถีของพระองค์อย่างต่อเนื่อง~โดยไม่ต้องวิตกกังวล
  2. เราต้องรอคอยผลดีที่จะเกิดขึ้นด้วยความเชื่อและความหวัง
  • ก.เขาเปิดใจและเปิดปากต้อนรับพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด = ประกาศตัวรับเชื่อ
  • ข. เขาขอเข้าเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวฝ่ายจิตวิญญาณของเรา = เข้าสู่พิธีบัพติศมา และขอเป็นสมาชิกคริสตจักร
  • ค.เขาเติบโตขึ้น และขอมีส่วนร่วมรับใช้ในคริสตจักร

ตัวอย่าง ของคนในครอบครัวที่มาเชื่อในพระเจ้า และร่วมรับใช้

  1. ครอบครัวของสเทฟานัส
  2. สเทฟานัส
  3. ฟอร์ทูนาทัส และ
  4. อาคายคัส
  5. อาควิลลาและนางปริสคา

“ท่านทั้งหลายจงระมัดระวัง จงมั่นคงในความเชื่อ จงเป็นคนกล้าหาญ จงเข้มแข็ง จงทำทุกสิ่งด้วยความรัก พี่น้อง ทั้งหลาย ท่านรู้ว่าครอบครัวของสเทฟานัส เป็นคริสเตียนพวกแรกในแคว้นอาคายา และพวกเขาได้ถวายตัวในงานปรนนิบัติบรรดาธรรมิกชน ข้าพเจ้าขอร้องท่านทั้งหลาย ให้นอบน้อมต่อคนเช่นนี้ และต่อทุกคนที่ร่วมทำงานและตรากตรำ ข้าพเจ้าชื่นชมยินดีที่สเทฟานัส ฟอร์ทูนาทัส และอาคายคัสมาหา เพราะพวกเขาได้ชดเชยการที่พวกท่านไม่ได้มานั้นจนครบถ้วน เพราะว่าพวกเขาทำให้จิตใจของข้าพเจ้าและของพวกท่านชื่นบาน เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงยอมรับคนเช่นนี้ คริสตจักรต่างๆ ในแคว้นเอเชียฝากคำทักทายมายังท่านทั้งหลาย อาควิลลาและนางปริสคา กับคริสตจักรที่อยู่ในบ้านของเขาฝากคำทักทายมายังพวกท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นพิเศษ”

                                                            ~1 โครินธ์ 16:13-19 THSV11

ขอให้ทำตามแนวทางข้างต้น จะมีคนในอีกหลายๆครอบครัว ได้ยินข่าวประเสริฐของพระคริสต์ ได้เปิดใจ ได้รับความรอด และได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวฝ่ายวิญญาณ คือคริสตจักร แห่งความรัก และความสุข ที่มีนิมิตใหม่สด เสมอในการจะช่วยคนอีกมากหลายให้ได้รับความรอดเช่นกัน!”

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

รับใช้และเติบโตไปพร้อมกันได้อย่างไร? (คอลัมน์คำตอบชีวิต)

คำถาม:     “ทำอย่างไรจึงจะรับใช้เติบโตขึ้นไปพร้อมกัน เพราะเห็นหลายคนยิ่งรับใช้แล้วยิ่งหมดไฟ?”

คำตอบ:     “น่าเสียดายที่หลายคนรับใช้แล้ว ยิ่งถดถอย บางคนถึงกับแฉลบออกนอกทางที่ควรจะเดินไปเลย อาจเป็นเพราะเขาเข้าใจผิดคิดว่า ถ้ารับใช้พระเจ้าแล้วเขาจะเข้มแข็งหรือเติบโตขึ้นโดยอัตโนมัติ
                  แท้จริงกลับไม่ใช่เช่นนั้น เพราะ หากผู้ใดจะรับใช้พระเจ้า เขายิ่งต้องรับผิดชอบทำให้ตัวเองเข้มแข็งและเติบโตอย่างมีวินัย เพื่อจะรับใช้ได้นาน ควบคู่ไปกับการเรียนรู้และฝึกฝนตนในงานรับใช้นั้นๆ จนช่ำชองเพื่อจะรับใช้ได้ดียิ่งขึ้น

คำถาม:      แล้วเราจะรับใช้ ควบคู่ไปกับการเติบโตในพระคริสต์ ได้อย่างไร?

ประการแรก เราต้องเข้าใจก่อนว่า เติบโต หมายความว่า อะไร?

“เติบโตในพระคริสต์” หมายความว่า “เราได้เพิ่มพูนความรู้เรื่องพระคริสต์ เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และ พัฒนาความสัมพันธ์กับพระคริสต์จนมีความรักผูกพัน เชื่อฟังและวางใจพระองค์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรมเกิดผลตามพระประสงค์อย่างถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า”

ประการที่สอง เราต้องกระทำสิ่งต่อไปนี้ ควบคู่ไปกับการรับใช้เพื่อเราจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

1. เราต้องเข้าหาใกล้ชิดพระเจ้า อธิษฐานต่อพระองค์ในแต่ละวันด้วยความร้อนรน

ยน.15:7  “ถ้าพวกท่านติดสนิทอยู่กับเราและถ้อยคำของเราติดสนิทอยู่กับท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใดที่ท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น”

2. เราต้องฟัง อ่าน หรือศึกษาพระวจนะของพระเจ้า(ร่วมกับพี่น้อง)เป็นประจำทุกวัน เพื่อค้นหาความจริงฝ่ายวิญญาณอย่างกระตือรือร้น

กจ.17:11 “ยิวในเมืองนี้มีใจยอมรับมากกว่ายิวในเมืองเธสะโลนิกา เพราะพวกเขารับพระวจนะด้วยความอยากรู้และค้นดูพระคัมภีร์ทุกวัน หวังจะรู้ว่าข้อความเหล่านั้นจริงดังที่กล่าวหรือไม่” 

3. เราต้องเชื่อ และเชื่อฟังพระวจนะที่เราอ่าน และลงมือทำตามนั้นในทันที

ยน14:21 “ใครที่มีบัญญัติของเราและประพฤติตามบัญญัติเหล่านั้น คนนั้นเป็นคนที่รักเรา และคนที่รักเรานั้นพระบิดาของเราจะทรงรักเขา และเราจะรักเขาและจะสำแดงตัวให้ปรากฏแก่เขา”

 4. เราต้องติดตามพระคริสต์ และเป็นพยานด้วยคำพูดและการดำเนินชีวิตและเกิดผล

1ธส.2:10 “ท่านเป็นพยานฝ่ายเรา และพระเจ้าก็ทรงเป็นพยานด้วยว่าเราได้ประพฤติตัวบริสุทธิ์ เที่ยงธรรม และปราศจากข้อตำหนิในหมู่พวกท่านที่เชื่อ”

ยน15:8 “พระบิดาของเราทรงได้รับพระเกียรติเพราะเหตุนี้ คือเมื่อพวกท่านเกิดผลมากและเป็นสาวกของเรา” 

5. เราต้องมอบความวิตกกระวนกระวายทุกอย่างไว้กับพระเจ้าด้วยความวางใจ       

1ปต5:7 “จงละความกังวลทุกอย่างของพวกท่านไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย”

6. เราต้องดำเนินชีวิตโดยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำและเสริมพลังในทุกสิ่งที่เราทำและเป็นพยาน

กท5:16-17 “แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่าจงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ แล้วท่านจะไม่สนองความต้องการของเนื้อหนัง  เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนังขัดแย้งพระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ขัดแย้งเนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน ดังนั้นท่านทั้งหลายจึงไม่สามารถทำสิ่งที่ท่านปรารถนาจะทำ”

กจ1:8 “แต่พวกท่านจะได้รับพระราชทานฤทธานุภาพ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นสักขีพยานของเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย ทั่วแคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก”

7. เราต้องมีเวลาลงชีวิตร่วมสามัคคีธรรมกับพี่น้องเป็นประจำเพื่อเสริมสร้างกันทุกสัปดาห์ ด้วยความรักห่วงใยกัน

กจ.2:41-41 “คนทั้งหลายที่รับถ้อยคำของเปโตรก็รับบัพติศมา ในวันนั้นมีคนเข้าเป็นสาวกประมาณสามพันคน เขาทั้งหลายอุทิศตัวเพื่อฟังคำสอนของบรรดาอัครทูตและร่วมสามัคคีธรรม รวมทั้งหักขนมปังและอธิษฐาน”
                                                                              
กจ.2:46  “ทุกๆ วัน พวกเขาอุทิศตัวอยู่ด้วยกันในพระวิหารและหักขนมปังตามบ้านของพวกเขา รับประทานอาหารร่วมกันด้วยความชื่นชมยินดีและจริงใจ”
                                                                                   
8. เราต้องปลุกใจกันให้จัดเวลาไปนมัสการด้วยกันเป็นประจำทุกวันอาทิตย์โดยไม่ขาดด้วยความซื่อสัตย์

ฮบ10:24-25 “และขอให้เราพิจารณาดูเพื่อจะปลุกใจกันและกันให้มีความรักและทำความดี อย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนทำเป็นนิสัย แต่จงหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น เพราะพวกท่านก็รู้อยู่ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว”

9. เราต้องประชุมและสื่อสารกันในการรับใช้เพื่อความเข้าใจ กำจัด ป้องกัน หรือลดความขัดแย้งในหว่างกันด้วยความถ่อมใจ

กจ.15:2  “เมื่อเกิดการโต้แย้งและถกเถียงระหว่างเปาโลและบารนาบัสกับคนเหล่านั้นมากมายแล้ว เขาทั้งหลายก็ตั้งเปาโลและบารนาบัสกับคนอื่นๆ ให้ขึ้นไปหารือกับบรรดาอัครทูตและบรรดาผู้ปกครองในกรุงเยรูซาเล็มเกี่ยวกับเรื่องที่เถียงกันนั้น”

10. เราต้องเอาชนะความเห็นแก่ตัว และความโลภได้ด้วยการมีวินัยในการถวายทรัพย์ สิ่งของ ความสามารถและเวลา เพื่อราชกิจของพระเจ้าที่เรารับใช้อยู่

กจ. 2:44-45  “คนทั้งหมดที่เชื่อถือก็อยู่รวมกัน และนำทุกสิ่งมารวมเป็นของกลาง และพวกเขาขายที่ดินและทรัพย์สิ่งของมาแบ่งให้แก่กันตามความจำเป็น”

สรุป

ในการรับใช้ มักจะต้องเผชิญกับอุปสรรค และปัญหา ทั้งเล็กและใหญ่ ทั้งง่าย และยาก
ผลที่จะตามมาจากการเผชิญหน้ากับอุปสรรค อาจออกมาแบบใดแบบหนึ่ง คือ

  1. ตาย~คือเลิกการรับใช้ไปเลย
  2. เตี้ย~คือ ขออยู่เฉยๆ ไม่หายไปไหน แต่ขอเบรกการรับใช้ไว้ชั่วคราว
  3. โต~คือ รับใช้แล้วเกิดผล เจริญเติบโตในฝ่ายจิตวิญญาณ และสามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปได้อย่างมีชัย

คนที่รับใช้และเจริญเติบโตไปในเวลาเดียวกันก็คือคนที่ได้กระทำตามคำแนะนำทั้ง 10 ประการนั้นอย่างครบถ้วน!

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

 

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

จะพัฒนาตนเองในการรับใช้อย่างไร? คอลัมน์คำตอบชีวิต

คำถาม:        “เราควรจะพัฒนาตัวเองในการรับใช้อย่างไรบ้าง?”

คำตอบ        “เพื่อที่เราจะรับใช้พระเจ้า คริสตจักร สังคม และคนอื่นๆ ได้ดีขึ้น”
                      เราต้องพัฒนาตัวเองในด้านต่างๆ ต่อไปนี้

1.ด้านสุขภาพกาย
            1).ดูแลสุขภาพของเราไม่ให้ป่วยไข้ จนขัดขวางการรับใช้ที่เราทำอยู่
            2).พัฒนาสุขภาพของเราให้ร่างกายแข็งแรงยิ่งขึ้น เพื่อเราจะสามารถรับใช้พระเจ้าได้ดีขึ้น และมากขึ้น

2.ด้านความคิด
            1).พัฒนาความคิดของเราให้ลึกซึ้งแตกฉานขึ้นเสมอ
            2).พัฒนาความคิดอ่านของเราให้ฉับไวยิ่งขึ้น
            3).พัฒนาความคิดของเราให้มีวิสัยทัศน์กว้างไกล
            4).พัฒนาความคิดของเราให้สร้างสรรค์ในงานรับใช้มากขึ้น

3.ด้านทัศนคติ(จิตใจ)
            1).พัฒนาจิตใจของเราให้ดีงามและถ่อมใจในการรับใช้มากขึ้น
            2).พัฒนาจิตใจของเราให้เป็นเหมือนอย่างพระคริสต์ที่ทรงมีต่อคนอื่นๆ

4.ด้านความรู้ความเข้าใจ
            1).พัฒนาตัวเราให้มีความรู้ และ ความเข้าใจในพระวจนะอย่างถูกต้อง
            2).พัฒนาตัวเราให้มีความรู้และเข้าใจในธรรมชาติของงานและการรับใช้ที่ทำอยู่

5.ด้านทักษะ(ในทุกด้าน)
            1).พัฒนาตัวของเราให้มีความเชี่ยวชาญในงานที่รับผิดชอบอยู่ให้มากขึ้น
            2).พัฒนาตัวเราให้มีความเชี่ยวชาญในด้านมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
                        ก.ต่อผู้ร่วมงาน
                        ข.ต่อผู้รับบริการ
            3).พัฒนาตัวเราให้มีความเชี่ยวชาญในทักษะด้านการสื่อสารอย่างเป็นระบบต่อ
                        ก.ภายในทีมที่ดี
                        ข.ผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ
            4).พัฒนาตัวเราให้มีทักษะในการแก้ปัญหา
                        ก.ภายในทีม
                        ข.กับผู้รับบริการ

6.ด้านจิตวิญญาณ
            1).พัฒนาตัวเราให้มีสัมพันธภาพสนิทใกล้ชิดกับพระะเจ้าเป็นส่วนตัว
            2).พัฒนาตัวเราให้มีสัมพันธภาพฝ่ายจิตวิญญาณอย่างถูกต้อง
                        ก.กับคนในทีม
                        ข.กับคนอื่นๆ

โดยให้เรามีกระบวนการและขั้นตอนในการพัฒนาตนเองและทีมงานเพื่อการรับใช้ที่มีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น ดังนี้

1.ให้เราตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาตัวเอง ทีมงาน และพันธกิจที่รับใช้อยู่
            1).ให้เราสำรวจดูว่ามีวิธีรับใช้ด้านใดบ้างที่ไม่มีประสิทธิภาพ หรือไม่เกิดผล
            2).ให้เราสำรวจดูว่ามีวิธีรับใช้ใดบ้างที่ดีกว่าและน่าจะนำมาใช้ทดแทนของเดิม
            3).ให้เราสำนึกไว้ว่าการเพิ่มวิธีและพฤติกรรมที่ดีใหม่ๆ ย่อมดีกว่าการพยายามพัฒนาวิธีเก่าๆ ที่ไร้ประสิทธิภาพแล้ว

2.ให้เรากำหนดแนวทางการพัฒนาบรรลุเป้าที่มีกรอบเวลาชัดเจน

3.ให้เราวางแผนการพัฒนาโดยแบ่งเป้าหมายออกเป็นส่วนย่อยๆ
            1).ที่มีวิธีปฏิบัติชัดเจน
            2).ที่สามารถตรวจดูความคืบหน้าได้เป็นระยะๆ

4. ให้เราสร้างแรงกระตุ้นให้ตัวเองและทุกคนพัฒนาตนให้มากขึ้นในการรับใช้
            1).มีการชมเชยและให้กำลังใจ
            2).มีการกำหนดรางวัลสำหรับการพัฒนาที่สำเร็จ

5.ให้เรามีระบบวัดผลการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาที่รับรู้กันทั่ว
            1).ที่เป็นรูปธรรมเห็นได้ชัดเจน
            2).ที่เป็นธรรม/ยุติธรรม

6.ให้เราจัดระบบที่มีเพื่อน/ทีมเพื่อร่วมพัฒนาชีวิตและการรับใช้ไปด้วยกัน
            1).จัดเป็นคู่ คอยดูแลและพัฒนากันในการรับใช้
            2).จัดเป็นกลุ่มย่อยที่เอาใจใส่ ร่วมกันพัฒนาในการรับใช้

7.ให้เราปรับ เปลี่ยนและพัฒนาสภาพแวดล้อมรอบตัวให้เอื้อต่อการบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น และดีขึ้น

            1)ใช้สถานที่เดิม แต่ปรับเปลี่ยนอุปกรณ์เครื่องมือให้ดีขึ้น
            2).ใช้สถานที่ใหม่ และอุปกรณ์เครื่องมือที่เหมาะสมกว่าเดิม

หวังว่า เราแต่ละคนที่พระเจ้าทรงเรียกให้มาเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระองค์ จะจริงใจและจริงจังในการพัฒนาตนเองทุกด้าน เพื่อให้การรับใช้ของเรา ทั้งต่อพระเจ้า ต่อคริสตจักร ต่อพี่น้อง และผู้อื่นจะมีประสิทธิภาพ เกิดผลตามนิมิต เป้าหมายและมีความสุขมากขึ้น แล้วเราจะชื่นชมยินดี กับรางวัลที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้สำหรับเราในอนาคต!

ดังที่ Ernest Agyemang Yeboah กล่าวว่า…

“We are called to serve; let us make our piety and honor the service! Let us all serve with a good heart and a clear mind; our reward awaits us in heaven above!”
                                                                               Ernest Agyemang Yeboah
(เราได้รับการทรงเรียกให้มารับใช้ ขอให้เราเอาจริงเอาจังและให้เกียรติต่องานที่เรารับใช้ ขอให้เรารับใช้ด้วยจิตใจที่ดี และด้วยความคิดที่แจ่มกระจ่าง และมั่นใจว่า พระเจ้าทรงจัดเตรียมรางวัลรอไว้สำหรับเราในสวรรค์!)

…อาเมน ไหมครับ?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Fitsum Admasu)