Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

พระคัมภีร์สอนเรื่องความรักอย่างไร (คอลัมน์คำตอบชีวิต)

คำถาม:     “พระคัมภีร์สอนเรื่องความรักไว้อย่างไรบ้าง?”

คำตอบ:       พระคัมภีร์สอนเรื่องความรักไว้ดังนี้

1.พระเจ้าเป็นความรัก และความรักเป็นผลของพระวิญญาณที่มาจากพระเจ้า

“ฉะนั้นเราจึงรู้ และวางใจในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา พระเจ้าทรงเป็นความรักและผู้ที่อยู่ในความรักก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงอยู่ในคนนั้น” 1 ยอห์น 4:16 THSV11

“ท่านที่รักทั้งหลาย ขอให้เรารักกันและกัน เพราะว่าความรักมาจากพระเจ้า และทุกคนที่รักก็เกิดจากพระเจ้า และรู้จักพระเจ้า” 1 ยอห์น 4:7 THSV11

“ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความซื่อสัตย์ ความสุภาพอ่อนโยน การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย” กาลาเทีย 5:22-23 THSV11

 2.เราควรรักพระเจ้า ไม่ใช่รักเงินทอง หรือสิ่งของในโลก

“อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าใครรักโลก ความรักของพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น เพราะว่าทุกสิ่งที่อยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้มาจากพระบิดา แต่มาจากโลก และโลกกับสิ่งยั่วยวนของโลกกำลังผ่านพ้นไป แต่คนที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์”  1 ยอห์น 2:15-17 THSV11

“เพราะว่าการรักเงินทองเป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งหมด ความโลภเงินทองนี้ที่ทำให้บางคนหลงไปจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์มากมาย”1 ทิโมธี 6:10 THSV11

3.เราควรใฝ่หาความรักและสิ่งดีๆ และหลีกหนีจากสิ่งที่จะทำให้เราห่างไกลพระเจ้า

“แต่ท่านผู้เป็นคนของพระเจ้า จงหลีกหนีจากสิ่งเหล่านี้ และจงใฝ่หาความชอบธรรม ทางพระเจ้า ความเชื่อ ความรัก ความทรหดอดทน และความสุภาพอ่อนโยน”  1 ทิโมธี 6:11 THSV11

4.เราควรสวมความรักเป็นเกราะป้องกันอกและทับสิ่งอื่น ๆ ทั้งหมด

“แต่เมื่อเราเป็นของเวลากลางวันแล้วก็ให้เรามีสติ จงสวมความเชื่อกับความรักเป็นเกราะป้องกันอก และสวมความหวังที่จะได้ความรอดเป็นหมวกเหล็ก” 1 เธสะโลนิกา 5:8 THSV11

“เพราะฉะนั้นในฐานะเป็นพวกที่พระเจ้าทรงเลือก พวกที่บริสุทธิ์ และพวกที่ทรงรัก จงสวมใจเมตตา ใจกรุณา ใจถ่อม ใจสุภาพอ่อนโยน ใจอดทน จงอดทนต่อกันและกัน และถ้าใครมีเรื่องราวต่อกัน ก็จงให้อภัยกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้อภัยพวกท่านอย่างไร ท่านก็จงทำอย่างนั้นด้วย แล้วจงสวมความรักทับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ความรักผูกพันทุกสิ่งไว้อย่างสมบูรณ์”“แล้วจงสวมความรักทับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ความรักผูกพันทุกสิ่งไว้อย่างสมบูรณ์” โคโลสี 3:12-14 THSV11

5.เราควรดำเนินชีวิตด้วยความรักที่มีต่อกันดุจพี่น้อง

“เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าผู้เป็นนักโทษโดยเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอวิงวอนพวกท่านให้ดำเนินชีวิตสมกับการทรงเรียกที่ท่านได้รับการทรงเรียกมานั้น คือจงถ่อมใจและมีความสุภาพอ่อนโยนอยู่เสมอ จงอดทน จงอดกลั้นต่อกันและกันด้วยความรัก” เอเฟซัส 4:1-2 THSV11

“เรารู้ว่าเราได้พ้นจากความตายไปสู่ชีวิตแล้ว ก็เพราะเรารักพี่น้อง ผู้ที่ไม่รักก็ยังอยู่ในความตาย ผู้ที่เกลียดชังพี่น้องของตนก็เป็นผู้ฆ่าคน และพวกท่านก็รู้อยู่แล้วว่าผู้ฆ่าคนนั้นไม่มีชีวิตนิรันดร์ดำรงอยู่ในตัวเขาเลย”    1 ยอห์น 3:14-15 THSV11

6.เราอาจถูกทดสอบ หรือถูกกระตุ้นโดยความรักของคนอื่น

“ดังนั้นเมื่อพวกท่านมีทุกสิ่งอย่างเหลือล้น คือความเชื่อ ฝีปาก ความรู้ ความกระตือรือร้น และความรักที่เรามีต่อพวกท่าน ท่านทั้งหลายก็จงมีคุณความดีนี้อย่างเหลือล้นด้วย ข้าพเจ้าไม่ได้พูดเป็นคำสั่ง แต่นำเรื่องความกระตือรือร้นของคนอื่นๆ มาทดสอบความรักของท่านทั้งหลายว่ามีความจริงใจหรือไม่”  2 โครินธ์ 8:7-8 THSV11

7.เราควรขอพระเจ้าให้ตัวเรา และพี่น้อง เข้าใจและซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์

“ข้าพเจ้าทูลขอให้ท่านสามารถเข้าใจร่วมกับธรรมิกชนทั้งหมดถึงความกว้าง ความยาว ความสูง และความลึก คือให้ซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์ซึ่งเกินความรู้ เพื่อพวกท่านจะได้รับความบริบูรณ์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม”  เอเฟซัส 3:18-19 THSV11

8.เราควรเป็นแบบอย่างในด้านความรัก

“อย่าให้ใครหมิ่นประมาทความอ่อนวัยของท่าน แต่จงเป็นแบบอย่างแก่บรรดาผู้เชื่อ ทั้งในด้านวาจาและการประพฤติ ทั้งในด้านความรัก ความเชื่อ และความบริสุทธิ์”  1 ทิโมธี 4:12 THSV11

9.เราควรแสดงตนรับใช้พระเจ้า โดยความรักจากใจบริสุทธิ์อย่างจริงใจ

“แต่เราแสดงตัวเป็นคนปรนนิบัติของพระเจ้าในทุกทาง โดยมีความทรหดอดทนเป็นอย่างมากในความยากลำบาก ความลำเค็ญ ในเหตุวิบัติ การถูกเฆี่ยน และการถูกจำคุก ในเหตุการณ์วุ่นวาย ในการตรากตรำในการอดหลับอดนอน ในการอดอาหาร โดยความบริสุทธิ์ ความรู้ ความอดทน และความกรุณา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยความรักอย่างจริงใจ”  2 โครินธ์ 6:4-6 THSV11

“แต่เป้าหมายของการกำชับนั้นก็คือ ความรักที่มาจากใจที่บริสุทธิ์ จากมโนธรรมที่ดี และจากความเชื่อที่จริงใจ”  1 ทิโมธี 1:5 THSV11

10.เราควรยึดถือความรักควบคู่กับความจริง

“แต่ให้เรายึดถือ ความจริงด้วยความรัก เพื่อจะเจริญขึ้นในทุกด้านสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือพระคริสต์ เนื่องจากพระองค์นี้เอง ร่างกายทั้งหมดจึงได้รับการเชื่อมและประสานเข้าด้วยกันโดยทุกๆ ข้อต่อที่ประทานมานั้น  และเมื่อแต่ละส่วนทำงานตามหน้าที่แล้ว ก็ทำให้ร่างกายเจริญและเสริมสร้างตนเองขึ้นด้วยความรัก” เอเฟซัส 4:15-16 THSV11

11.เราควรรักกันด้วยการกระทำและความจริง

“ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง”  1 ยอห์น 3:18 THSV11

12.เราควรติดสนิทอยู่กับความรักของพระคริสต์

“พระบิดาทรงรักเราอย่างไร เราก็รักพวกท่านอย่างนั้น จงติดสนิทอยู่กับความรักของเรา ถ้าพวกท่านประพฤติตามบัญญัติของเรา ท่านก็จะติดสนิทอยู่กับความรักของเรา เหมือนอย่างที่เราประพฤติตามบัญญัติของพระบิดา และติดสนิทอยู่กับความรักของพระองค์”  ยอห์น 15:9-10 THSV11

13.เราควรประกาศถึงความรักของพระเจ้า

“ที่จะประกาศความรักมั่นคงของพระองค์ในเวลาเช้า และประกาศความซื่อสัตย์ของพระองค์ในกลางคืน”  สดุดี 92:2 THSV11

14.เราควรยกโทษและยืนยันความรักอีกคร้ัง แก่คนที่ผิดพลาด และถูกลงโทษ

“การที่คนส่วนมากได้ลงโทษคนนั้นก็พอแล้ว ฉะนั้นท่านทั้งหลายควรจะยกโทษและปลอบใจคนนั้นมากกว่า เพื่อว่าเขาจะไม่จมลงในความทุกข์มากมาย ดังนั้นข้าพเจ้าขอร้องพวกท่านให้ยืนยันความรักต่อคนนั้นใหม่ นี่คือเหตุที่ข้าพเจ้าได้เขียนถึงพวกท่านก่อนหน้านี้ คือจะทดสอบพวกท่านดูว่าท่านจะยอมเชื่อฟังในทุกเรื่องหรือไม่”   2 โครินธ์ 2:6-9 THSV11

สรุป

“จงทำทุกสิ่งด้วยความรัก”  1 โครินธ์ 16:14 THSV11

เราต้องตระหนักว่าเราเป็นหนี้ ที่จะต้องรักเพื่อนบ้านของเรา –และเราต้องชดใช้หนี้นั้น

“อย่าเป็นหนี้อะไรใครเลย นอกจากความรักซึ่งมีต่อกัน เพราะว่าผู้ที่รักคนอื่น ก็ได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติครบถ้วนแล้ว ข้อที่ว่า “ห้ามล่วงประเวณีผัวเมียเขา ห้ามฆ่าคน ห้ามลักทรัพย์ ห้ามโลภ ” ทั้งพระบัญญัติอื่นๆ ก็รวมอยู่ในข้อนี้คือ “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” ความรักไม่ทำอันตรายต่อเพื่อนบ้านเลย เพราะฉะนั้นความรักจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ธรรมบัญญัติสำเร็จอย่างครบถ้วน”  โรม 13:8-10 THSV11

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หนี้ข่าวประเสริฐ

“ข้าพเจ้าเป็นหนี้ทั้งพวกกรีกและชาติอื่นๆ ด้วย เป็นหนี้ทั้งพวกนักปราชญ์และคนที่ไม่มีการศึกษาด้วย ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขวนขวายที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกท่านที่อยู่ในกรุงโรมด้วย”

และเราควรรักและให้อภัยกันให้มากยิ่งๆ ขึ้น

“เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ จงรักกันและกันให้มาก เพราะความรักให้อภัยบาปมากมายได้”  1 เปโตร 4:8 THSV11

ย้ำก็คือ… เราควรดำเนินชีวิตในความรักเหมือนที่พระคริสต์ทรงรักเรา!

“และจงดำเนินชีวิตในความรักเช่นเดียวกับที่พระคริสต์ทรงรักเรา และประทานพระองค์เองเพื่อเรา ให้เป็นเครื่องถวายและเครื่องบูชาที่ทรงโปรดปรานแด่พระเจ้า”  เอเฟซัส 5:2 THSV11

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

พระคัมภีร์เขียนอย่างไรเกี่ยวกับการอธิษฐาน (คอลัมน์คำตอบชีวิต)

คำถาม:     “พระคัมภีร์สอนอะไรเกี่ยวกับการอธิษฐานบ้าง?”
ตอบ:           พระคัมภีร์มีคำสอนมากมายเกี่ยวกับเรื่องการอธิษฐาน จนถือว่าเป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวดในชีวิตคริสเตียนของเรา

อธิษฐานแล้วจะได้ประโยชน์อะไร ช่างน่าเศร้าที่คนบางคนถามขึ้นมาว่า…

“องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คืออะไร ที่เราจะต้องปรนนิบัติพระองค์? ถ้าเราอธิษฐานต่อพระองค์ เราจะได้ประโยชน์อะไร?”  โยบ 21:15 THSV11

เพราะว่า ถ้าเขาอ่านพระคัมภีร์ เขาจะรู้และเข้าใจถึงความสำคัญและประโยชน์อันมากล้นของการอธิษฐาน แล้วพระคัมภีร์สอนอะไรบ้าง?

1.เราควรถือว่าการอธิษฐาน เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทำในลำดับต้นๆ ของชีวิตคริสเตียน

“เพราะฉะนั้นก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมด ข้าพเจ้าขอร้องพวกท่านให้วิงวอน อธิษฐาน ทูลขอ และขอบพระคุณเพื่อทุกคน”  1 ทิโมธี 2:1 THSV11

2.เราควรทราบว่า พระเจ้าปีติยินดีในคำอธิษฐานของคนเที่ยงธรรม

“พระยาห์เวห์ทรงเกลียดชังเครื่องบูชาของคนอธรรม แต่ทรงปีติยินดีในคำอธิษฐานของคนเที่ยงธรรม”  สุภาษิต 15:8 THSV11

3.เราควรให้คำอธิษฐานของเราเป็นดุจเครื่องหอมถวายต่อพระเจ้า

“ขอให้คำอธิษฐานของข้าพระองค์เป็นเหมือนเครื่องหอม เฉพาะพระพักตร์พระองค์ และการที่ข้าพระองค์ชูมือขึ้นอธิษฐานเป็นเหมือนของถวายเวลาเย็น”  สดุดี 141:2 THSV11

4.เราไม่ควร เสแสร้ง หรือ อธิษฐานแบบพล่อยๆ ซ้ำซาก

พวกเขายึดบ้านของหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาว คนพวกนี้จะต้องถูกลงโทษหนักยิ่งขึ้น”มาระโก 12:40 THSV11

“แต่เมื่อพวกท่านอธิษฐาน อย่าพูดพล่อยๆ ซ้ำซาก เหมือนบรรดาคนต่างชาติเพราะเขาคิดว่าพูดมากหลายคำ พระจึงจะโปรดฟัง อย่าทำเหมือนพวกเขาเลย เพราะว่าสิ่งไรซึ่งพวกท่านจำเป็น พระบิดาของท่านทรงทราบก่อนที่ท่านจะทูลขอต่อพระองค์”   มัทธิว 6:7-8 THSV11

5.เราควรอธิษฐาน แทนที่จะกระวนกระวายใจ หรือขมขื่นใจ หรือสิ้นหวัง

“อย่ากระวนกระวายในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลพระเจ้าให้ทรงทราบทุกสิ่งที่พวกท่านขอ โดยการอธิษฐานและการวิงวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ”  ฟีลิปปี 4:6 THSV11                    

6.เราควรอธิษฐานวิงวอนขอพระเจ้าทรงรักษาตัวเราและผู้อื่น

“แต่บิดาของปูบลิอัสนอนป่วยเป็นไข้และเป็นบิดอยู่ เปาโลจึงเข้าไปหาท่าน รักษาด้วยการอธิษฐานและวางมือบนตัวท่าน”   กิจการ 28:8 THSV11

7.เราควรอธิษฐานขอการช่วยเหลือให้พ้นวิกฤติและความยากลำบาก

“แล้วโยนาห์ก็อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน จากภายในท้องปลานั้นว่า “ข้าพระองค์ร้องทูลพระยาห์เวห์ในยามยากลำบาก และพระองค์ทรงตอบข้าพระองค์ ข้าพระองค์ร้องทูลจากท้องของแดนคนตาย และพระองค์ทรงฟังเสียงข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเหวี่ยงข้าพระองค์ลงไปในที่ลึก ในก้นบึ้งแห่งทะเล และน้ำก็ท่วมล้อมรอบข้าพระองค์ไว้ บรรดาคลื่นเล็กและใหญ่ของพระองค์ ท่วมข้าพระองค์แล้ว
…แล้วพระยาห์เวห์ตรัสสั่งปลานั้น มันก็สำรอกโยนาห์ออกไว้บนแผ่นดินแห้ง”   โยนาห์ 2:1-3, 10 THSV11

8.เราควรอธิษฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่เราอ่อนกำลัง    (และไม่รู้ว่าจะอธิษฐานขออะไร)

“ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณก็ทรงช่วยเมื่อเราอ่อนกำลังด้วย เพราะเราไม่รู้ว่าควรจะอธิษฐานขออะไรอย่างไรแต่พระวิญญาณทรงช่วยขอแทน ด้วยการคร่ำครวญซึ่งไม่อาจกล่าวเป็นถ้อยคำ”  โรม 8:26 THSV11

9.เราควรอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ

“จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ”  1 เธสะโลนิกา 5:17 THSV11

10.เราควรอธิษฐานอย่างขะมักเขม้น

“จงชื่นชมยินดีในความหวัง จงสู้ทนต่อความยากลำบาก จงขะมักเขม้นอธิษฐาน”   โรม 12:12 THSV11

11.เราควรสารภาพบาป และอธิษฐานเผื่อกันและกัน

“เพราะฉะนั้นท่านจงสารภาพบาปต่อกันและกัน และจงอธิษฐานเผื่อกันและกัน เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รับการรักษาโรค คำวิงวอนของผู้ชอบธรรมนั้นมีพลังมากและเกิดผล”   ยากอบ 5:16 THSV11

12.เราควรอธิษฐานเผื่อคนที่ข่มเหง และทำร้ายเรา

“แต่เราบอกพวกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อบรรดาคนที่ข่มเหงพวกท่าน”  มัทธิว 5:44 THSV11

“จงอวยพรแก่คนที่แช่งด่าท่าน จงอธิษฐานเผื่อคนที่ทำร้ายท่าน”  ลูกา 6:28 THSV11

13.เราควรอธิษฐานเผื่อคน/พี่น้องของพวกเราอย่างเจาะจง (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยามที่เขามีภัยหรือประสบปัญหา)

“ข้าพระองค์อธิษฐานเพื่อพวกเขา ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐานเพื่อโลก แต่เพื่อคนเหล่านั้นที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์ เพราะว่าเขาเป็นของพระองค์”  ยอห์น 17:9 THSV11

14.เราควรอธิษฐานเผื่อเมืองที่เราอาศัยอยู่

“จงอธิษฐานขอสันติภาพให้เยรูซาเล็มว่า “ขอบรรดาผู้ที่รักเธอจงจำเริญ”  สดุดี 122:6 THSV11

15.เราควรอธิษฐานเป็นการส่วนตัวกับพระเจ้า โดยไม่ต้องให้คนรู้

“ส่วนท่านเมื่ออธิษฐานจงเข้าในห้องชั้นใน และเมื่อปิดประตูแล้ว จงอธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้สถิตในที่ลี้ลับ และพระบิดา    ของท่านผู้ทอดพระเนตรเห็นในที่ลี้ลับจะประทานบำเหน็จแก่ท่าน”  มัทธิว 6:6 THSV11

16.เราต้องอธิษฐานต่อพระเจ้า ด้วยความเชื่อว่าจะได้รับ(โดยไม่สงสัย)

“เพราะเหตุนี้ เราบอกท่านทั้งหลายว่า เมื่อพวกท่านอธิษฐานขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ แล้วพวกท่านจะได้รับสิ่งนั้น”  มาระโก 11:24 THSV11

17.เราควรอุทิศตัวในพันธกิจแห่งการอธิษฐาน ควบคู่กับพันธกิจแห่งพระวจนะ

“ส่วนเราจะอุทิศตัวในการอธิษฐานและในพันธกิจด้านพระวจนะ”  กิจการ 6:4 THSV11

18.เราไม่ต้องอธิษฐานเผื่อคนที่ตั้งใจไม่ฟังพระเจ้า หรือพระบัญญัติของพระองค์

“เพราะฉะนั้น เจ้าเองอย่าอธิษฐานเพื่อชนชาตินี้ อย่าวิงวอนหรืออธิษฐานเพื่อพวกเขา เพราะเราจะไม่ฟังเมื่อเขาร้องต่อเราในเวลาลำบาก”เยเรมีย์ 11:14 THSV11

“ถ้าผู้ใดไม่ฟังธรรมบัญญัติ แม้คำอธิษฐานของเขาก็เป็นที่น่าสะอิดสะเอียน”  สุภาษิต 28:9 THSV11
           
19.เราควรกลับใจ และถ่อมใจอธิษฐานต่อพระเจ้า เพื่อให้พระเจ้าอภัยบาปและรักษาแผ่นดินของเรา

“ถ้าประชากรของเราผู้ซึ่งเขาเรียกกันโดยนามของเรานั้นจะถ่อมตัวลง อธิษฐานและแสวงหาหน้าของเรา ทั้งหันเสียจากทางชั่วของพวกเขา เราก็จะฟังจากสวรรค์ และจะให้อภัยแก่บาปของเขาและจะรักษาแผ่นดินของเขาให้หาย”   2 พงศาวดาร 7:14 THSV11

20.เราสามารถชำระสิ่งที่พระเจ้าสร้าง(รวมอาหาร)โดยการอธิษฐาน และ พระวจนะ

“พระวิญญาณตรัสอย่างชัดแจ้งว่า ต่อไปภายหน้าจะมีบางคนละทิ้งความเชื่อ โดยหันไปเชื่อฟังวิญญาณทั้งหลายที่ล่อลวง และคำสอนของพวกผี ซึ่งมาจากความหน้าซื่อใจคดของพวกที่ชอบโกหก คือคนทั้งหลายที่มีมโนธรรมตายด้าน พวกเขาห้ามการแต่งงาน ห้ามรับประทานอาหารบางชนิด ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้ให้พวกที่เชื่อและรู้จักความจริงรับประทานได้ด้วยใจขอบพระคุณ เพราะว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างไว้นั้นดี ไม่มีอะไรต้องห้าม ถ้ารับประทานด้วยความขอบพระคุณ เพราะว่าสิ่งนั้นได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ด้วยพระวจนะของพระเจ้าและคำอธิษฐาน”  1 ทิโมธี 4:1-5 THSV11

21.เราต้องเฝ้าระวังและอธิษฐานอยู่เสมอ สำหรับวันเวลาที่ไม่คาดคิด

“จงเฝ้าระวังและอธิษฐาน เพราะพวกท่านไม่รู้ว่าวันนั้นหรือเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไหร่”  มาระโก 13:33 THSV11
           
22.เราควรอธิษฐานต่อพระเจ้าเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดของวัน

“ข้าแต่พระยาห์เวห์ ยามเช้าพระองค์ทรงสดับเสียงข้าพระองค์ ยามเช้าข้าพระองค์เตรียมคำอธิษฐาน แด่พระองค์ และเฝ้าคอยอยู่”  สดุดี 5:3 THSV11

“กลางวัน พระยาห์เวห์ทรงบัญชาความรักมั่นคงของพระองค์ และกลางคืน เพลงของพระองค์อยู่กับข้าพเจ้า เป็นคำอธิษฐานต่อพระเจ้าแห่งชีวิตของข้าพเจ้า”   สดุดี 42:8 THSV11

23.เราควรอธิษฐานต่อพระเจ้าจากทุกที่ที่เราอยู่

“แล้วโยนาห์ก็อธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน จากภายในท้องปลานั้นว่า “ข้าพระองค์ร้องทูลพระยาห์เวห์ในยามยากลำบาก และพระองค์ทรงตอบข้าพระองค์ ข้าพระองค์ร้องทูลจากท้องของแดนคนตาย และพระองค์ทรงฟังเสียงข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเหวี่ยงข้าพระองค์ลงไปในที่ลึก ในก้นบึ้งแห่งทะเล และน้ำก็ท่วมล้อมรอบข้าพระองค์ไว้ บรรดาคลื่นเล็กและใหญ่ของพระองค์ ท่วมข้าพระองค์แล้ว”  โยนาห์ 2:1-3 THSV11

24.เราควรอธิษฐานเผื่อกันและกันให้ดำรงอยู่ในทางดีในทุกเรื่อง

“จงอธิษฐานเผื่อเรา เพราะเราแน่ใจว่าเรามีมโนธรรมที่ดีและปรารถนาที่จะประพฤติตัวดีงามในทุกเรื่อง”  ฮีบรู 13:18 THSV11

สรุป

แท้จริงแล้ว การอธิษฐานในชีวิตของคุณนั้นสำคัญมาก  เพราะเป็นตัวเปิดเผยถึงสัมพันธภาพอันแท้จริงของคุณกับพระเจ้า ว่าเป็นอย่างไร?

วันนี้ พระเจ้าทรงฟังคำอธิษฐานของคุณหรือเปล่า?

ทำไมคุณ จึงเชื่อเช่นนั้น?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Shutterstock)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

การกลับใจใหม่และผลที่เกิดขึ้น (คอลัมน์คำตอบชีวิต)

ถาม:   ”พระคัมภีร์สอนอะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องการกลับใจใหม่และผลที่เกิดขึ้นตามมา? “

ตอบ:      “การกลับใจใหม่” (Repentance) หมายความถึง “การแสดงความรู้สึกเสียใจ หรือ ความโศกเศร้าเกี่ยวกับการทำผิดบาป ของตนออกมาอย่างจริงใจ”

(feel or express sincere regret or remorse about one’s wrongdoing or sin.)

สิ่งที่ต้องมีในการ “กลับใจ” ก็คือ “หันกลับจากความชั่วร้าย และ หันมาหาความดี” (“to turn from evil, and to turn to the good.”) หรือ “หันกลับมาหาพระเจ้า” (returning to God)

ในกรณีที่ออกห่างไปจากพระเจ้า พระคัมภีร์ สอนอะไรบ้างในเรื่องนี้ 

1.พระเจ้าประสงค์ให้ทุกคนในโลกกลับใจใหม่

“องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเฉื่อยช้าในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ ตามที่บางคนคิดนั้น แต่ทรงอดทนกับพวกท่าน พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ใครพินาศเลย แต่ประสงค์ให้ทุกคนกลับใจใหม่”  ~2 เปโตร 3:9 THSV11

“ในเวลาที่มนุษย์ยังขาดความรู้ พระเจ้าไม่ทรงถือโทษ แต่บัดนี้ พระเจ้าตรัสสั่งมนุษย์ทั้งปวงทั่วทุกแห่งให้กลับใจใหม่ ~กิจการ 17:30 THSV11

2.พระเจ้าเรียกให้คนอิสราเอล(ชนชาติของพระองค์)ให้กลับใจใหม่

“เพราะฉะนั้น จงพูดกับพงศ์พันธุ์อิสราเอลว่า พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า จงกลับใจและหันออกจาก รูปเคารพ ของพวกเจ้าเสีย และจงหันหน้าของพวกเจ้าออกจากสิ่งน่าสะอิดสะเอียนของเจ้า”  ~เอเสเคียล 14:6 THSV11

“พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสว่า โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เพราะฉะนั้น เราจะพิพากษาเจ้าแต่ละคนตามทางของเขา จงหันกลับและหันเสียจากการล่วงละเมิดทั้งหมดของเจ้า แล้วเจ้าจะไม่สะดุดล้มเพราะความผิดบาป จงละทิ้งการล่วงละเมิดทั้งหมดซึ่งเจ้าได้ทำ จงทำตัวให้มีใจใหม่และวิญญาณใหม่ โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย ทำไมเจ้าจะต้องตายเล่า?”  ~เอเสเคียล 18:30-31 THSV11

“จงกล่าวต่อพวกเขาว่า พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่นอนอย่างไร เราไม่พอใจในความตายของคน อธรรม แต่พอใจในการที่คนอธรรมหันจากทางของเขาและมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือ? จงหันกลับ จงหันกลับจากทางชั่วของเจ้า โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย ทำไมจึงยอมตาย?”  ~เอเสเคียล 33:11 THSV11

3.พระเจ้าตรัสเตือนว่า คนทั้งหลายรวมทั้งเรา หากไม่กลับใจ ก็จะพินาศ

“ถ้าคนไม่กลับใจ พระองค์จะทรงลับดาบของพระองค์ให้คม พระองค์ทรงโก่งธนูเตรียมพร้อม”   ~สดุดี 7:12 THSV11

“เราบอกพวกท่านว่า ไม่ใช่ แต่ถ้าท่านทุกคนไม่กลับใจใหม่ก็จะต้องพินาศเช่นกัน”   -ลูกา 13:5 THSV11

4.พระเยซูคริสต์ก็ประกาศให้เรากลับใจ

“ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูทรงตั้งต้นประกาศว่า “จงกลับใจใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์ มาใกล้แล้ว” ~มัทธิว 4:17 THSV11

5.เราต้องกระตือรือร้นที่จะกลับใจใหม่

“เรารักใครเราก็ตักเตือนและตีสอนเขา เพราะฉะนั้นจงมีความกระตือรือร้น และกลับใจใหม่”  ~วิวรณ์ 3:19 THSV11

6.เราต้องกลับใจ หันมาหาพระเจ้า ขอการยกโทษและการลบล้างบาปของเรา

“เพราะฉะนั้นจงกลับใจใหม่จากการชั่วร้ายของเจ้า และอธิษฐานขอต่อพระเจ้า พระองค์อาจจะทรงยกความผิดที่เจ้าคิดอยู่ในใจ”  ~กิจการ 8:22 THSV11

“เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงกลับใจและหันมาหาพระเจ้า เพื่อที่ว่าความผิดบาปของพวกท่านจะได้รับการลบล้าง”  ~กิจการ 3:19 THSV11

7.เราต้องดีใจหากการที่เราทำให้บางคนเสียใจนั้นได้ช่วยให้เขากลับใจใหม่

“แต่บัดนี้ข้าพเจ้ามีความยินดี ไม่ใช่เพราะพวกท่านเสียใจ แต่เพราะความเสียใจนั้นทำให้ท่านกลับใจ เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความเสียใจตามพระประสงค์ของพระเจ้า ท่านจึงไม่ได้รับผลร้ายจากเราเลย” ~2 โครินธ์ 7:9 THSV11

8.เราอาจต้องกลับใจใหม่ มากกว่าหนึ่งครั้ง

“เพราะฉะนั้นจงระลึกถึงสภาพเดิมที่เจ้าตกลงมาแล้วนั้น จงกลับใจใหม่และทำตามที่ประพฤติในตอนแรก มิฉะนั้นเราจะมาหาเจ้า และจะย้ายคันประทีปของเจ้าออกจากที่ของมัน นอกจากว่าเจ้าจะกลับใจใหม่”  ~วิวรณ์ 2:5 THSV11

“ฉะนั้นข้าพระองค์จึงเกลียดตนเอง และกลับใจอยู่ในผงคลีดินและขี้เถ้า”   ~โยบ 42:6 THSV11

9.เราต้องไม่ทำบาปต่อเนื่องหรือปฏิเสธไม่รับฟังคำเตือน จนกลับใจไม่ได้

“ทุกคนล่อลวงเพื่อนบ้านของตัว ไม่มีใครพูดความจริงสักคนเดียว เขาได้สอนลิ้นของเขาให้พูดมุสา เขาได้ทำบาปชั่วและกลับใจอีกไม่ได้แล้ว”  ~เยเรมีย์ 9:5 THSV11

“มีเศรษฐีคนหนึ่งนุ่งห่มผ้าสีม่วงและผ้าป่านเนื้อดี อยู่อย่างรื่นเริงฟุ่มเฟือยทุกๆ วัน และมีคนยากจนคนหนึ่งชื่อลาซารัส เป็นแผลทั้งตัว นอนอยู่ที่ประตูรั้วบ้านของเศรษฐี เขาอยากจะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของเศรษฐีคนนั้น แม้สุนัขก็มาเลียแผลของเขา ต่อมาคนยากจนนั้นตาย และพวกทูตสวรรค์นำเขาไปอยู่กับอับราฮัม ส่วนเศรษฐีคนนั้นก็ตายด้วย และถูกฝังไว้ และเมื่อเขาเป็นทุกข์ทรมานอยู่ในแดนคนตาย เขาแหงนหน้าดู เห็นอับราฮัมอยู่แต่ไกล และลาซารัสก็อยู่กับท่าน เศรษฐีจึงร้องว่า ‘อับราฮัมบิดาเจ้าข้า ขอเมตตาข้าพเจ้าเถิด ขอใช้ลาซารัสเอาปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นของข้าพเจ้าให้เย็น เพราะข้าพเจ้าต้องทุกข์ระทมอยู่ในเปลวไฟนี้’ แต่อับราฮัมตอบว่า ‘ลูกเอ๋ย เจ้าจง  ระลึกว่าเมื่อเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าได้สิ่งที่ดีสำหรับตัว และลาซารัสได้แต่สิ่งเลว เวลานี้เขาได้รับการปลอบโยนแล้ว แต่เจ้าได้รับแต่ความทุกข์ระทม ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างเรากับพวกเจ้าก็มีเหวใหญ่ตั้งขวางอยู่ เพื่อว่าถ้าใครอยากจะข้ามจากที่นี่ไปถึงพวกเจ้าก็ทำไม่ได้ หรือถ้าจะข้าม     จากที่นั่นมาถึงเราก็ทำไม่ได้’ เศรษฐีคนนั้นจึงกล่าวว่า ‘ถ้าอย่างนั้น บิดาเจ้าข้า ขอท่านใช้ลาซารัสไปที่บ้านบิดาของข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้า  มีน้องชายห้าคน ให้ลาซารัสไปเตือนพวกเขา เพื่อไม่ให้เขาต้องมาอยู่ในที่ทุกข์ทรมานแห่งนี้’ แต่อับราฮัมตอบว่า ‘เขามีโมเสสและพวกผู้เผย  พระวจนะแล้ว ให้พวกเขาฟังคนเหล่านั้นเถิด’ เศรษฐีคนนั้นจึงกล่าวว่า ‘ไม่ได้ อับราฮัมบิดาเจ้าข้า แต่ถ้ามีใครสักคนหนึ่งจากพวกคนตายไป หาพวกเขา เขาคงจะกลับใจใหม่’ อับราฮัมจึงตอบเขาว่า ‘ถ้าพวกเขาไม่ฟังโมเสสและพวกผู้เผยพระวจนะ แม้จะมีใครเป็นขึ้นมาจากตาย เขา   ก็ยังจะไม่เชื่อ’ ”   ~ลูกา 16:19-31 THSV11

10.เราต้องกลับใจ(แม้จะเคยปฏิเสธ) มาก่อนและต้องประกาศอย่างสุภาพให้คนอื่นกลับใจด้วย

“บุตรคนนั้นตอบว่า ‘ไม่ไป’ แต่ภายหลังกลับใจแล้วก็ไป”  ~มัทธิว 21:29 THSV11

“พวกสาวกก็ออกไปประกาศให้ทุกคนกลับใจใหม่” ~มาระโก 6:12 THSV11

“แก้ไขความคิดเห็นของฝ่ายตรงข้ามด้วยความสุภาพอ่อนโยน เพราะพระเจ้าอาจโปรดให้พวกเขากลับใจ และมาถึงความรู้ในความจริง”  ~2 ทิโมธี 2:25 THSV11

11.เราควรยกโทษให้คนที่ทำผิดและกลับใจใหม่ซึ่งมาหาเราเพื่อขอโทษ

“แม้เขาทำผิดต่อท่านวันหนึ่งถึงเจ็ดครั้ง และเขากลับมาหาท่านทั้งเจ็ดครั้งนั้น แล้วบอกว่า ‘ฉันกลับใจแล้ว’ จงยกโทษให้เขาเถิด”  ~ลูกา 17:4 THSV11

12.เราควรช่วยคนผิดพลาดให้กลับใจและเริ่มต้นใหม่

“พี่น้องทั้งหลาย แม้จับใครที่ละเมิดประการใดได้ พวกท่านซึ่งอยู่ฝ่ายพระวิญญาณ จงช่วยคนนั้นด้วยใจสุภาพอ่อนโยนให้เขากลับตั้งตัวใหม่ โดยคิดถึงตัวเอง เกรงว่าท่านจะถูกทดลองด้วย”  ~กาลาเทีย 6:1 THSV11

13.เราควรเสียใจเมื่อคนในพวกเราทำผิดแล้วไม่สำนึกเสียใจและไม่กลับใจใหม่

“ข้าพเจ้ากลัวว่าเมื่อข้าพเจ้ามาอีก พระเจ้าจะทรงให้ข้าพเจ้าต้องอับอายต่อหน้าพวกท่าน และข้าพเจ้าจะต้องโศกเศร้าที่หลายๆ คนทำผิด และไม่ได้กลับใจจากมลทิน จากการล่วงประเวณี และจากการลามกที่พวกเขาทำอยู่นั้น”   ~2 โครินธ์ 12:21 THSV11

14.เราไม่ควรให้คนกลับใจใหม่ๆ มา เป็นผู้นำคริสตจักร

“เขาจะต้องไม่ใช่คนที่เพิ่งกลับใจใหม่ เกรงว่าเขาจะยโส และถูกลงโทษเช่นเดียวกับ”  ~1 ทิโมธี 3:6 THSV11

15.เราเองก็ต้องกลับใจใหม่ หากเราละเลยหน้าที่รับผิดชอบที่พระเจ้ามอบหมาย

“เหตุฉะนั้นเจ้าจงระลึกว่าเจ้าได้รับและได้ยินอะไร จงถือรักษาและจงกลับใจใหม่ เพราะถ้าเจ้าไม่ตื่นขึ้น เราจะมาเหมือนอย่างขโมย และเจ้าจะไม่รู้ว่าเราจะมาหาเจ้าชั่วโมงไหน”   ~วิวรณ์ 3:3 THSV11

สรุป

พระเจ้าทรงประสงค์ให้คนบาปอย่างเรากลับใจ  และประกาศให้คนอื่นกลับใจด้วย  เพราะสวรรค์จะดีใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อมีคนบาป กลับใจ

“เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในทำนองเดียวกัน จะมีความชื่นชมยินดีในสวรรค์เรื่องคนบาปคนเดียวที่กลับใจใหม่ มากกว่าเรื่องคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคนที่ไม่ยอมกลับใจ”   ~ลูกา 15:7 THSV11

และเราผู้ที่กลับใจแล้ว สมควรอย่างยิ่งที่จะรับบัพติศมาเพื่อเป็นการประกาศถึงการกลับใจของเราให้คนทั่วไปได้รับรู้

“เปโตรจึงกล่าวกับเขาทั้งหลายว่า “จงกลับใจใหม่และรับบัพติศมา ในพระนามของพระเยซูคริสต์ให้หมดทุกคน เพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของท่านทั้งหลาย แล้วพวกท่านจะได้รับของประทานคือพระวิญญาณบริสุทธิ์    ~กิจการ 2:38 THSV11

วันนี้ คุณกลับใจใหม่จากบาปแล้วหรือยัง?  

และคุณช่วยใครสักกี่คนให้กลับใจรับความรอดจากพระเจ้าแล้ว?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr. ภาพ Pinterest.com)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

อัตลักษณ์ของคริสเตียนคืออะไร? (คอลัมน์คำตอบชีวิต)

อัตลักษณ์ของคริสเตียนคืออะไร?

คำถาม               “อัตลักษณ์ ของคริสเตียน คืออะไร?”

คำตอบ                “อัตลักษณ์ (อ่านว่า อัด-ตะ-ลัก) ประกอบด้วยคำว่า

                            1). อัต (อัด-ตะ) ซึ่งหมายถึง ตน หรือ ตัวเอง  กับ

                            2). ลักษณ์ ซึ่งหมายถึง สมบัติเฉพาะตัว.  

คำว่า อัตลักษณ์ ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า identity (อ่านว่า ไอ-เด็น-ติ-ตี้) หมายถึง        “ผลรวมของลักษณะเฉพาะของสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งทำให้สิ่งนั้นเป็นที่รู้จักหรือจำได้ เช่น

  •     นักร้องกลุ่มนี้มีอัตลักษณ์ทางด้านเสียงที่เด่นมาก ใครได้ยินก็จำได้ทันที
  •     สังคมแต่ละสังคมมีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนเอง
  •     โลกาภิวัตน์ทำให้อัตลักษณ์ของสังคมไทยเปลี่ยนไป

เอกลักษณ์ของคริสเตียน หมายถึง

“ผลรวมของลักษณะเฉพาะของคริสเตียน ซึ่งทำให้ เป็นที่รู้จัก หรือจำได้”

แล้วผลรวมของลักษณะเฉพาะของคริสเตียนคืออะไร?

แม้ผลรวมลักษณะชีวิตของคริสเตียนจะมีหลายประการ แต่หากให้ตอบแบบลงคะแนนเสียง เลือกเพียงลักษณะเดียว ที่เด่นที่สุด ก็คงโหวต ให้ “ความรัก”  เป็น “อัตลักษณ์” ของคริสเตียน!        

เพราะพระเยซูคริสต์เองทรง กำหนดให้การรักกันและกันแบบที่พระองค์ทรงรักเรา เป็นอัตลักษณ์ ที่จะทำให้โลกรู้ว้า เราเป็นสาวกของพระองค์

“เราให้บัญญัติใหม่ไว้กับพวกท่าน คือให้รักซึ่งกันและกัน เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น ถ้าท่านรักกันและกัน  …ดังนี้แหละทุกคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา”! – ยอห์น 13:34-35 THSV11

พระเยซูคริสต์ตรัสว่า คนทุกคนจะรู้ว่าเราเป็นสาวกของพระองค์ก็ต่อเมื่อเรารักซึ่งกันและกันอย่างที่พระคริสต์รักเรา ดังนั้น ขอให้ทุกสิ่งที่เราคิด พูด และทำ นั้น จะแฝง หรือเปิดเผยให้คนทั้งปวงได้เห็นหรือตระหนักถึง ความรักของพระคริสต์เสมอ จึงขอสรุปอัตลักษณ์ของคริสเตียน ไว้ดังนี้!

“เป็นคริสเตียน ต้องมี อัตลักษณ์         มีความรัก เด่นชัด ประจักษ์ทั่ว

เป็นดังตรา สัญลักษณ์ ประจำตัว         ไม่พูดมั่ว ว่ารัก ไม่ยักทำ

รักพระเจ้า ต้องมา ลำดับต้น              ต้องรักตน ให้ถูก เป็นพื้นฐาน

แล้วจึงรัก เช่นนั้น ต่อเพื่อนบ้าน          ก่อนเจือจาน รักแท้ แก่ทุกคน

รักพี่น้อง ต้องรัก อย่างพระคริสต์        พร้อมอุทิศ ชีวิต ให้เวลา

รักครอบครัว บิดา และมารดา            รักภรรยา สามี และพี่น้อง

รักเพื่อนพ้อง ลูกน้อง และลูกพี่           รักว่าที่ ดองญาติ และเครือข่าย

รักลูกค้า คู่ค้า แม้ขัดใจ                    รักมอบให้ จริงใจ ด้วยเมตตา

รักครูบา อาจารย์ และลูกศิษย์            รักคนผิด คนบาป ให้โอกาส

รักคนป่วย ทางกาย และประสาท        คนประหลาด ก็รัก ไร้เงื่อนไข

รักยากสุด ต้องรัก คือศัตรู                 รักยากอยู่ ต้องรัก คนหักหลัง

รักคนด่า วิจารณ์ แม้ยากจัง               คริสเตียนดัง เพราะรัก เช่นนี้แล!*

ดังนั้น เราควรตรวจดูอยู่เสมอว่า อัตลักษณ์แห่งความรัก เช่นนี้ ปรากฏชัดในชีวิตของเราหรือไม่?  เพราะหากว่า เรามีคุณลักษณะหรืออัตลักษณ์เช่นนั้น ปรากฎในชีวิตทุกเวลา ชีวิตของเราก็เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า และเป็นที่พอใจของคนในโลกนี้

แต่หากว่าเราไม่มีคุณลักษณะดังกล่าว ก็คงต้องแก้ไขคำพรรณนาข้างต้นในตอนท้ายใหม่ว่า …

“คริสเตียนพัง เพราะไม่รัก เช่นนี้แล!”

ดังนั้น ขอให้ เราจริงจังและยินดีในการรักษาอัตลักษณ์คริสเตียนนี้ไว้ให้นานตราบเท่าที่ชีวิตของเรายังมีอยู่ เพื่อเราจะสามารถช่วยเหลือคนมากมายให้รอดได้มากขึ้น!

……จะดีไหมครับ?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

 twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr. ภาพ Pinterest.com)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ความเชื่อและความวางใจในพระเจ้า (คอลัมน์คำตอบชีวิต)

คำถาม :     “เราควรจะแสดงความเชื่อ และความวางใจในพระเจ้าออกมาอย่างไร?”

คำตอบ :     “ความเชื่อ ที่พูดถึงนี้ ในความคิดของคนทั่วไป อาจหมายถึง
           

1. Belief – An opinion or judgment in which a person is fully persuaded.
คือความเชื่อที่หมายถึง “ความคิดเห็น หรือดุลยพินิจ (การตัดสินใจ) ซึ่งบุคคลหนึ่งบุคคลใดถูกโน้มน้าวให้ยึดถือเช่นนั้น”   หรือ

2. Faith = Belief × Action × Confidence
   คือ ความศรัทธา ที่หมายถึง “ความเชื่อ x การกระทำ x ความมั่นใจ”
   แต่เมื่อดูจากคำสอนทั้งหมดในพระคัมภีร์แล้ว “ความเชื่อ” ที่เราพูดถึงนี้ น่าจะคือ “ความศรัทธา” ซึ่งหมายถึง  “ความเชื่อที่มีการกระทำออกมาให้เห็นอย่างมั่นใจ”

แล้ว “ความวางใจ” ล่ะ คือ อะไร?
        “ความวางใจ” = “ความเชื่ออย่างมั่นคงใน ความน่าเชื่อถือ ความจริง ความสามารถ หรือ ความเข้มแข็งของบุคคลใด หรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง” 

     (firm belief in the reliability, truth, ability, or strength of someone or something.

ดังนั้น หากเราเชื่อ(หรือ ศรัทธา) ในพระเจ้า เราต้องแสดงความเชื่อ (ศรัทธา) และความวางใจของเราที่มีต่อพระองค์ออกมาให้เห็นอย่างมั่นใจ แล้วเราควร หรือต้องทำ หรือแสดงอะไรออกมาเป็นเครื่องพิสูจน์บ้าง?

1.เราต้องวางใจในพระเจ้า และสรรเสริญพระองค์ออกมาจากปากของเรา
 “ข้าแต่พระยาห์เวห์ แต่ข้าพระองค์วางใจในพระองค์ ข้าพระองค์ทูลว่า “พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์”     -สดุดี 31:14 THSV11

2.เราต้องวางใจในพระเจ้า ไม่ใช่ในความรอบรู้ของตนเอง
“จงวางใจในพระยาห์เวห์ด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง”  –สุภาษิต 3:5 THSV11

3.เราต้องวางใจพระเจ้าและมอบทางของเราไว้กับพระองค์
“จงมอบทางของท่านไว้กับพระยาห์เวห์ จงวางใจในพระองค์ แล้วพระองค์จะทรงช่วยท่าน” -สดุดี 37:5 THSV11

4.เราต้องวางใจในพระเจ้า แม้แต่ในยามที่เรากลัว
“เมื่อข้าพระองค์กลัว ข้าพระองค์วางใจในพระองค์”  -สดุดี 56:3 THSV1

5.เราต้องวางใจในพระเจ้า มั่นคงและไม่กลัวอีกต่อไป
“เขาจะไม่กลัวข่าวร้าย ใจของเขามั่นคง วางใจในพระยาห์เวห์”  -สดุดี 112:7 THSV11

6.เราต้องวางใจในพระเจ้า และไม่เป็นทุกข์
 “อย่าให้ใจของพวกท่านเป็นทุกข์เลย พวกท่านวางใจในพระเจ้า จงวางใจในเราด้วย”  -ยอห์น 14:1 THSV11

7.เราต้องวางใจในพระเจ้า และให้พระองค์เป็นผู้อุปถัมภ์ และเป็นโล่ของเรา
  “อิสราเอลเอ๋ย จงวางใจในพระยาห์เวห์เถิด พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์และเป็นโล่ของเขาทั้งหลาย”   -สดุดี 115:9 THSV11

8.เราต้องวางใจในพระเจ้า และแสดงความสุขออกมาให้เห็น
  “ข้าแต่พระยาห์เวห์จอมทัพ คนที่วางใจในพระองค์ก็เป็นสุข”   -สดุดี 84:12 THSV11

9.เราต้องวางใจในพระเจ้าและทำความดีด้วยความชื่นบาน
  “จงวางใจในพระยาห์เวห์ และจงทำความดี จงอาศัยอยู่ในแผ่นดิน และจงชื่นบานกับความปลอดภัย”   -สดุดี 37:3 THSV11

10.เราต้องวางใจในพระเจ้า และเป็นพยานถึงพระพรที่ได้รับ
  “คนที่วางใจในพระยาห์เวห์ย่อมได้รับพระพร คือผู้ที่ความวางใจของเขาอยู่ในพระยาห์เวห์”        -เยเรมีย์ 17:7 THSV11

11.เราต้องวางใจในพระเจ้า และสนใจพระวจนะ
  “ผู้ใส่ใจพระวจนะ จะเจริญรุ่งเรือง และคนที่วางใจในพระยาห์เวห์จะสุขสบาย”  -สุภาษิต 16:20 THSV11

12.เราต้องวางใจในพระเจ้า ในทุกสถานการณ์ ตลอดไปเป็นนิตย์
“จงวางใจในพระยาห์เวห์เป็นนิตย์ เพราะยาห์ คือพระยาห์เวห์ ทรงเป็นศิลานิรันดร์”  -อิสยาห์ 26:4 THSV11

สรุป      

หากว่า เราเชื่อ (ศรัทธา) ในพระเจ้าจริงๆ เราต้องวางใจในพระเจ้าในการดำเนินชีวิต ในทุกสิ่งที่เราทำและรับใช้ เพราะนั่นเป็นงานของพระเจ้าที่พระองค์ทรงประสงค์ให้คนของพระองค์กระทำออกมา

ดังที่พระเยซูคริสต์ตรัสว่า…    

“งานของพระเจ้าคือ การวางใจในผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา”    -ยอห์น 6:29 THSV11

วันนี้ คุณเชื่อและวางใจในพระเจ้า 100% แล้วยัง?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

 twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

เข้าใจและซาบซึ้งในพระคุณ (คอลัมน์คำตอบชีวิต)

คำถาม :     “เราควรเข้าใจ และซาบซึ้ง ในพระคุณพระเจ้าในเรื่องอะไรบ้าง?”

คำตอบ :       เราควรเข้าใจก่อนว่า พระคุณ เป็นสิ่งที่เราได้รับมาโดย :

  • เรียกร้องไม่ได้
  • ต่อรองไม่ได้
  • ซื้อหาไม่ได้
  • แลกเปลี่ยนไม่ได้ และ
  • ตั้งเงื่อนไขใดๆ ไม่ได้ เลย

“พระคุณ” คือ “การได้รับในสิ่งที่เราไม่คู่ควร หรือไม่สมควรที่จะได้รับ!”

แต่ “พระคุณ” เป็นสิ่งที่เราจำเป็นต้องได้รับมากที่สุด และ ด่วนที่สุด ยิ่งเราเข้าใจความเร่งด่วน และระดับความรุนแรง ของความหายนะที่เราจะได้รับ หากปราศจากพระคุณของพระเจ้าที่จะมาช่วยเหลือมากเท่าไร เราก็จะยิ่งซาบซึ้งในพระคุณนั้นมากยิ่งขึ้น ตัวอย่าง

หาก เรายืนตากแดด ไม่มีที่หลบร้อน แล้วมีคนหยิบยื่นร่มให้ใช้ ก็นับว่า เป็นพระคุณอย่างหนึ่ง ถ้าแดดไม่ค่อยร้อน ระดับของพระคุณก็ดูเบาไป แต่หากแดดร้อนจัด พระคุณ ก็ดูจะมีระดับสูงขึ้นไป

หรือ เราหิวอาหาร แต่ไม่มีเวลาไปซื้อ แล้วมีคนซื้ออาหารมาฝาก ก็นับเป็นพระคุณอย่างหนึ่ง แต่หากเรากำลังจะอดตาย ไม่มีเงินซื้ออาหาร แต่มีผู้นำเอาอาหารมาให้เราทานจนเรารอดตาย พระคุณนั้นก็จะยิ่งมีระดับที่สูงขึ้น

หรือ  เราเป็นหนี้อยู่ไม่มาก แล้วมีคนใจดีจ่ายหนี้ ให้เราก็รู้สึกขอบพระคุณ แต่หากหนี้นั้นมากมายจนทั้งชีวิตนี้ เราไม่มีทางชดใช้ได้แน่อีกทั้งคง ต้องถูกเล่นงานอย่างหนักหนาสาหัส แต่ปรากฎว่ามีใจดีผู้จ่ายแทนให้ด้วยความเมตตาไม่มีเงื่อนไข นี่ก็จะถือว่าเป็น พระคุณในระดับที่สูงขึ้นมากทีเดียว

หรือ  หากเรา ทำผิดและต้องโทษถึงตาย อย่างทรมาน แต่มีผู้มีพระคุณ ยอมรับโทษตายแทนที่เรา ระดับพระคุณนี้ จะสูงส่งมากสักเพียงใด?

หาก  คุณเป็นบุคคลที่ได้รับพระคุณเช่นนี้ คุณจะไม่ซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งหรอกหรือ?

คริสเตียนเรา ตระหนักและเข้าใจดีว่า เราเป็นคนบาปที่มีโทษต้องตายนิรันดร์ เพราะบาปที่เราทำนั้น แต่พระเจ้าทรงรักเรามากจนยอมให้พระคริสต์ทรงรับแบกบาปถูกตรึงตายชดใช้บาปแทนเราที่บนกางเขน ทั้งๆ ที่เรา:

  • ไม่เชื่อพระองค์
  • ดูหมิ่นพระองค์
  • ต่อต้านพระองค์ และเป็นศัตรูกับพระองค์   ฯลฯ

อาจารย์เปาโล ซึ่งเข้าใจและซาบซึ้งในเรื่องนี้ดี จึงเขียนออกมาว่า…

“ขณะเมื่อเรายังอ่อนกำลัง พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อคนอธรรมในเวลาที่เหมาะสม อันที่จริง มีน้อยคนนักจะยอมตายเพื่อคนชอบธรรม แต่บางทีจะมีคนยอมตายเพื่อคนดีก็ได้ แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เรา คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพราะฉะนั้นเมื่อเราถูกชำระให้ชอบธรรมแล้วโดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งกว่านั้นเราจะพ้นจากพระพิโรธของพระเจ้าโดยพระองค์ เพราะว่าถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรูต่อพระเจ้าเราได้กลับคืนดีกับพระองค์ โดยที่พระบุตรของพระองค์สิ้นพระชนม์ ยิ่งกว่านั้นอีกเมื่อกลับคืนดีแล้ว เราก็จะรอดโดยพระชนม์ชีพของพระองค์ ไม่ใช่เพียงเท่านั้น เรายังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ทรงเป็นเหตุให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้า”    

                                                                              โรม 5:6-11 THSV11

ซึ่งพอจะสรุปถึงพระคุณของพระเจ้า ออกมาได้ ดังนี้ว่า

  1. 1.เราเป็นคนอธรรมที่อ่อนกำลัง ~สมควรได้รับโทษตาย
  2. 2.เราเป็นคนบาปที่ไม่ได้~สมควรได้นับพระพิโรธจากพระเจ้า
  3. 3.เราเป็นศัตรูกับพระเจ้า~ไม่สมควรได้รับความช่วยเหลือใดๆ

 แต่พระเจ้า กลับทรงสำแดงพระคุณแก่เราโดย ให้พระคริสต์

  1.  1.ยอมสิ้นพระชนม์ เพื่อไถ่คนอธรรม อย่างเรา ในเวลาที่เหมาะสม
  2. 2.ยอมชำระเราให้ชอบธรรม ด้วยโลหิตของพระองค์
  3. 3.ยอมให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้า และได้รับความรอด

สรุป

โดยพระคุณ พระคริสตทรงรับโทษตายแทนเราแล้วบนไม้กางเขนแล้ว เราจึงรอดจากโทษตายนิรันดร์ ดังนั้นเราจึงควรซาบซึ้งในพระเมตตาคุณ อันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และควรลงมือสนองพระคุณของพระองค์ ผ่านสิ่งที่เราพูดและเราทำออกมา อันจะนำการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า และเป็นพรต่อคนมากมาย

จะดีไหมครับ?      

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

 twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

 (Cr.ภาพ Yongsungkim)

 

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าควรเป็นอย่างไร (คอลัมน์คำตอบชีวิต)

คำถาม      “บทบาทและความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าควรเป็นอย่างไร?”

คำตอบ:      “เราต้องเข้าใจก่อนว่า เริ่มแรกนั้น

1.พระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างเรา ~ความสัมพันธ์จึงเป็นแบบ ผู้สร้างกับผู้ถูกสร้าง

“แล้วพระเจ้าตรัสว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาของเรา ตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในท้องฟ้าและฝูงสัตว์ใช้งาน ให้ปกครองแผ่นดินโลกทั้งหมด และสัตว์เลื้อยคลานทุกชนิดบนแผ่นดินทั้งหมด” พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง”   ปฐมกาล 1:26-27 THSV11

2.พระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างและเจ้าของสรรพสิ่ง~ความสัมพันธ์จึงเป็นแบบเจ้านายกับผู้ดูแล

“พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงปลูกสวนแห่งหนึ่งไว้ในเอเดนทางทิศตะวันออก และทรงกำหนดให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงปั้นอยู่ที่นั่น …พระยาห์เวห์พระเจ้าจึงทรงให้มนุษย์นั้นอาศัยอยู่ในสวนเอเดน ให้ทำและดูแลสวน”      ~ปฐมกาล 2:8, 15 THSV11

3.พระเจ้าทรงซื่อสัตย์แต่เราไม่เชื่อฟัง~ความสัมพันธ์จึงเป็นแบบเจ้าของสวนกับอดีตคนงานที่ไว้วางใจไม่ได้

“ชายนั้นทูลว่า “ข้าพระองค์ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ในสวนก็กลัว เพราะข้าพระองค์เปลือยกายอยู่ จึงได้ ซ่อนตัวเสีย” พระองค์จึงตรัสว่า “ใครบอกเจ้าว่าเจ้าเปลือยกาย? เจ้ากินผลจากต้นไม้ที่เราสั่งไม่ให้กินนั้นแล้วหรือ?” แล้วพระยาห์เวห์พระเจ้าตรัสว่า “ดูสิ มนุษย์กลายเป็นเหมือนผู้หนึ่งในพวกเราแล้ว โดยที่รู้ความดีและความชั่ว  บัดนี้ อย่าปล่อยให้เขายื่นมือไปหยิบผลจากต้นไม้แห่งชีวิต มากินด้วย แล้วมีอายุยืนชั่วนิรันดร์” เพราะฉะนั้นพระยาห์เวห์พระเจ้าจึงทรงไล่เขาออกไปจากสวนเอเดน ให้เพาะปลูกบนดินซึ่งใช้สร้างเขาขึ้นมา พระองค์ทรงขับไล่ชายนั้นออกไป และทรงตั้งเหล่าเครูบ ทางด้านทิศตะวันออกของสวนเอเดน และตั้งดาบเพลิงอันหนึ่งที่หมุนได้ไว้เฝ้าทางที่จะไปสู่ต้นไม้แห่งชีวิตนั้น”  ปฐมกาล 3:10-11, 22-24 THSV11

4.พระเจ้าทรงเสียพระทัยที่สร้างมนุษย์~ความสัมพันธ์จึงเป็นแบบผู้สร้างที่โทมนัสกับผู้ถูกสร้างที่เสื่อมทรามจนต้องถูกกำจัดทิ้ง

“พระยาห์เวห์ทรงเห็นว่าความชั่วร้ายของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน และทรงเห็นว่าเค้าความคิดในใจทั้งหมดของ เขาล้วนเป็นเรื่องชั่วร้ายตลอดเวลา พระยาห์เวห์เสียพระทัยที่ทรงสร้างมนุษย์ไว้บนแผ่นดินและโทมนัสยิ่งนัก พระยาห์เวห์จึงตรัสว่า “เราจะกวาดล้างมนุษย์ที่เราได้สร้างมานี้ไปเสียจากแผ่นดิน ทั้งมนุษย์และสัตว์ใช้งาน กับสัตว์เลื้อยคลานและนกในอากาศด้วย เพราะว่าเราเสียใจที่ได้สร้างพวกเขา””~ปฐมกาล 6:5-7 THSV11

5.พระเจ้าทรงรักเมตตาและให้โอกาส~ความสัมพันธ์เป็นแบบผู้ช่วยให้รอดกับคนที่เชื่อฟัง

“ต่อไปนี้คือลำดับพงศ์พันธุ์ของโนอาห์ โนอาห์เป็นคนชอบธรรม ดีพร้อมในสมัยของเขา โนอาห์ดำเนินกับพระเจ้า โนอาห์มีบุตรสามคน ชื่อเชม ฮาม และยาเฟท คนทั้งโลกเสื่อมทรามไปเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า และแผ่นดินก็เต็มด้วยความโหดร้าย พระเจ้าทอดพระเนตรแผ่นดินก็ทรงเห็นว่าเสื่อมทราม เพราะมนุษย์ทั้งหมดประพฤติตนเสื่อมทรามบนแผ่นดิน พระเจ้าจึงตรัสแก่โนอาห์ว่า “เราจะให้มนุษย์และสัตว์ทั้งปวงสิ้นสุดต่อหน้าเรา ด้วยเหตุว่า แผ่นดินโลกเต็มด้วยความโหดร้ายเพราะการกระทำของมนุษย์ ดูเถิด เราจะทำลายพวกเขาพร้อมกับแผ่นดินโลก เจ้าจงต่อเรือด้วยไม้สนโกเฟอร์ แล้วทำเรือเป็นห้องๆ และยาชันทั้งข้างในข้างนอก …เพราะดูเถิด เราเองจะเป็นผู้ทำให้น้ำท่วมแผ่นดิน เพื่อทำลายมนุษย์และสัตว์ใต้ฟ้าที่มีลมปราณ ทุกสิ่งที่อยู่บนแผ่นดินจะตายสิ้น แต่เราจะตั้งพันธสัญญาของเราไว้กับเจ้า เจ้าจะเข้าอยู่ในเรือ ทั้งตัวเจ้า บรรดาบุตรของเจ้า ภรรยาของเจ้า และบรรดาบุตรสะใภ้ของเจ้า จงนำสัตว์ตัวผู้และตัวเมียทุกชนิดอย่างละคู่จากสัตว์ที่มีชีวิตทั้งปวงเข้าไปไว้ในเรือ เพื่อให้มีชีวิตรอดอยู่กับเจ้า …พระเจ้าทรงบัญชาให้โนอาห์ทำอย่างไร โนอาห์ก็ทำอย่างนั้นทุกประการ” ปฐมกาล 6:9-14, 17-19, 22 THSV11

บัดนี้ พระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในโลกนี้ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าที่เกิดขึ้นใหม่ ควรจะเป็นดังนี้

1.พระเจ้าทรงเลือกและเรียกเรา~ความสัมพันธ์จึงเป็นแบบผู้ทรงเลือกกับผู้ถูกเลือก

“สาธุการแด่พระเจ้าพระบิดาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ประทานพรฝ่ายจิตวิญญาณทุกอย่างแก่เราในสวรรคสถานโดยพระคริสต์ ดังเช่น ในพระคริสต์ พระเจ้าทรงเลือกเราตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก เพื่อให้เราบริสุทธิ์และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระองค์ พระองค์ทรงกำหนดเราไว้ล่วงหน้าด้วยความรัก ให้เป็นบุตรของพระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์ ตามความชอบพระทัยและพระประสงค์ของพระองค์”     ~เอเฟซัส 1:3-5 THSV11

2.พระเจ้าทรงไถ่และให้เราเป็นคนชอบธรรม~ความสัมพันธ์จึงเป็นแบบผู้ทรงไถ่กับผู้รับการไถ่ (โดยพระเยซูคริสต์)

“เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงมีพระคุณให้เขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป โดยพระโลหิตของพระองค์ ความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น และเพื่อจะสำแดงในปัจจุบันนี้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม และทรงให้ผู้ที่เชื่อในพระเยซูเป็นผู้ชอบธรรมด้วย”โรม 3:23-26 THSV11

3.พระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณแก่เรา~ความสัมพันธ์จึงเป็นแบบ บิดากับบุตรผู้ที่เชื่อในพระองค์

“แต่ทุกคนที่ยอมรับพระองค์ คือคนที่เชื่อในพระนามของพระองค์นั้น พระองค์ก็จะประทานสิทธิให้เป็นลูกของพระเจ้า ซึ่งในฐานะนั้นพวกเขาไม่ได้เกิดจากเลือดเนื้อหรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า”   ยอห์น 1:12-13 THSV11

“เราจะเป็นดังบิดา ของพวกเจ้า พวกเจ้าจะเป็น บุตรชาย บุตรหญิง ของเรา” พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้ตรัสดังนั้น”  2 โครินธ์ 6:18 THSV11

“เพราะว่าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำใคร คนนั้นก็เป็นบุตรของพระเจ้า เพราะว่าพระวิญญาณที่พระเจ้าประทานมานั้นจะไม่ทรงให้ท่านเป็นทาส ซึ่งทำให้ตกในความกลัวอีก แต่พระวิญญาณจะทรงให้ท่านมีฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า โดยพระวิญญาณนั้นเราจึงร้องเรียกพระเจ้าว่า “อับบา (พ่อ)” พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับจิตวิญญาณของเราว่า เราเป็นลูกของพระเจ้า และถ้าเราเป็นลูกแล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ เมื่อเราทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์ก็เพื่อจะได้ศักดิ์ศรีด้วยกันกับพระองค์ด้วย”    โรม 8:14-17 THSV11

4.พระเจ้าทรงให้เราเป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อ~ความสัมพันธ์จึงเป็นแบบ พระเจ้าองค์บริสุทธิ์กับธรรมิกชนของพระองค์

“เรียน ทุกท่านที่อยู่ในกรุงโรมผู้ซึ่งพระเจ้าทรงรัก และทรงเรียกให้เป็นธรรมิกชน ขอพระคุณและสันติ สุขซึ่งมาจากพระเจ้าพระบิดาของเราทั้งหลาย และจากพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำรงอยู่กับพวกท่านเถิด”   โรม 1:7 THSV11

5.พระเจ้าทรงเลือกสรรเราเป็นพิเศษ~ความสัมพันธ์จึงเป็นแบบพระเจ้ากับผู้ทรงเลือกสรร ที่เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ของพระองค์           

            1).เป็นปุโรหิตหลวง

            2).เป็นชนชาติบริสุทธิ์

            3).เป็นประชากรอันเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า

“จงมาหาพระองค์ พระศิลาที่มีชีวิต ที่แม้ถูกมนุษย์ปฏิเสธแล้ว แต่กลับเป็นศิลาที่ทรงเลือกสรร และล้ำค่าในสายพระเนตรพระเจ้า และพวกท่านเองเป็นดังศิลาที่มีชีวิต จงรับการสร้างขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายวิญญาณ เพื่อเป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายเครื่องบูชาฝ่ายวิญญาณ อันเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์ …แต่พวกท่านเป็น พงศ์พันธุ์ที่ทรงเลือกสรร เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์ เป็นประชากรอันเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า เพื่อให้พวกท่านประกาศพระเกียรติคุณ ของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกพวกท่านให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์ เมื่อก่อนพวกท่านไม่ใช่ประชากร แต่บัดนี้พวกท่านเป็นประชากรของพระเจ้าแล้ว เมื่อก่อนพวกท่านไม่ได้รับพระเมตตา แต่บัดนี้พวกท่านได้รับพระเมตตาแล้ว”    1 เปโตร 2:4-5, 9-10 THSV11

6.พระเจ้าทรงปรารถนาภาชนะที่สะอาด และบริสุทธิ์~ความสัมพันธ์จึงเป็นแบบเจ้าของเรือนกับภาชนะสะอาดพร้อมใช้ภายในบ้าน

“ในบ้านหลังใหญ่ไม่ได้มีแต่ภาชนะทองและภาชนะเงินเท่านั้น แต่มีภาชนะไม้และภาชนะดินด้วย บางอย่างนั้นเป็นภาชนะพิเศษ บางอย่างก็เป็นภาชนะธรรมดา ถ้าใครชำระตัวเองให้พ้นจากความชั่วเหล่านี้ เขาก็จะเป็นภาชนะพิเศษ ซึ่งชำระให้บริสุทธิ์แล้ว เหมาะที่เจ้าของจะใช้เป็นประโยชน์ และพร้อมสำหรับการดีทุกอย่าง”    2 ทิโมธี 2:20-21 THSV11

7.พระเจ้าทรงรักเราและประสงค์ให้เราร่วมส่วนในศักดิ์ศรี~ความสัมพันธ์จึงเป็นแบบพระเจ้าผู้ทรงพระคุณกับผู้ที่พระเจ้าทรงรักและให้ร่วมในศักดิ์ศรีของพระองค์ 

“พี่น้องทั้งหลาย ผู้เป็นที่รักขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราควรขอบพระคุณพระเจ้าเพราะท่านอยู่เสมอ เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงเลือกท่านไว้ตั้งแต่เดิม เพื่อจะได้รับความรอด โดยการชำระของพระวิญญาณ ให้บริสุทธิ์ และโดยการเชื่อความจริง พระองค์ทรงเรียกพวกท่านเพื่อการนี้โดยทางข่าวประเสริฐของเรา เพื่อท่านจะได้ร่วมในศักดิ์ศรีของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”  2 เธสะโลนิกา 2:13-14 THSV11

ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าจึงควรเป็นอย่างที่กล่าวมาแล้วนี้

… แล้วคุณมีครบทุกข้อแล้วหรือยัง?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer