Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ความขมขื่นคืออะไร? (คอลัมน์คำตอบชีวิต)

คำถาม:   “ ความขมขื่น คืออะไร?  เราจะจัดการกับความขมขื่นใจนั้นได้อย่างไร เพื่อให้เกิดผลดี?”

คำตอบ:    ถ้าตอบแบบสั้นๆ  “ความขมขื่น” (Bitterness) คือ “ความรู้สึกโกรธ และ ไม่มีความสุข” (a feeling of anger and unhappiness)

หรือ “ความขุ่นเคืองใจ ความโกรธและความความรู้สึกผิดหวัง เนื่องจาก ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม” (anger and disappointment at being treated unfairly; resentment.)

แล้ว เราจะรับมือกับความขมขื่นใจนี้อย่างไร?

  1. 1.เราต้องมองให้เห็น & ทำความเข้าใจว่าอะไรคือสาเหตุของความขมขื่นนั้น?
  2. 2.เราต้องแยกแยะลงไปให้ได้อีกว่า อะไรคือสาเหตุที่แท้จริงและอะไรที่ไม่ใช่?
  3. 3.เราต้องพิจารณาอย่างจริงจังว่า อะไรเป็นความขุ่นเคืองใจที่ยกโทษให้ได้ และอะไรยกโทษให้ไม่ได้?
  •       1) อะไร ยกโทษให้ได้ ~ จบ
  •       2) อะไร ยกโทษให้ไม่ได้~คุยกัน หาทางออก
  1. 4.เราต้องพิจารณาว่า หากเราให้อภัย กับ เราไม่ให้อภัย จะส่งผลกลับมาถึงเราอย่างไร?
  •       1) อะไรคือผลดีจากการให้อภัย vs ผลเสียจากการให้อภัย?
  •       2) อะไรคือผลดีจากการไม่ให้อภัย vs ผลเสียจากการไม่ให้อภัย
  1. 5.เราต้องประเมินว่า ถ้าเราเป็นเขา เราจะทำต่อต่อตัวเราเหมือนอย่างที่เขากระทำหรือไม่?
  •       1) ถ้าทำเหมือนกัน ~ทำไม จึงทำเช่นนั้น?
  •       2) ถ้าทำต่างกัน จะทำอะไร และอย่างไร ~ทำไมจึงทำเช่นนั้น?
  1. 6.เราต้องใคร่ครวญว่า ถ้าเราทำผิดต่อพระเจ้า พระองค์จะตอบสนองต่อเราอย่างไร?
  •       1) จะทำเหมือนที่เราทำไหม? อย่างไร?
  •       2) จะทำแตกต่างจากที่เราทำไหม? อย่างไร?      
  1. 7.เราต้องใคร่ครวญว่าพระคัมภีร์ สอนอะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องความขมขื่นและการให้อภัย และวิถีทางที่เราควรปฏิบัติตาม
  •      1).ให้เราระวังให้ดี อย่าให้เราขาดจากพระคุณของพระเจ้า

                 “จงระวังให้ดี อย่าให้ใครขาดจากพระคุณของพระเจ้า”  (ฮีบรู 12:15ก. THSV11)

  •       2).ให้เราระวัง อย่าให้มีรากขมขื่นงอกขึ้นมา

                “และอย่าให้มีรากขมขื่น งอกขึ้นมา ก่อความยุ่งยากให้และทำให้หลายคนเป็นมลทิน” (ฮีบรู 12:15ข. THSV11)

เพราะ

  •       ก.มันก่อความยุ่งยากให้
  •       ข.มันทำให้หลายคนเป็นมลทิน

                3).ให้เราร่วมมือกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ จัดการกับความขมขื่นตามแบบ อย่างที่พระเจ้ากระทำกับเรา

                “และอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย ด้วยพระวิญญาณนั้นท่านได้รับการประทับตราไว้สำหรับวันที่จะได้รับการไถ่ จงเอาความขมขื่น ความฉุนเฉียว ความโกรธ การทุ่มเถียง การพูดจาดูหมิ่น รวมทั้งการร้ายทุกอย่างออกไปจากพวกท่าน แต่จงมีใจกรุณา ใจสงสาร และใจให้อภัยแก่กันและกัน เหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงให้อภัยพวกท่านในพระคริสต์” (เอเฟซัส 4:30-32 THSV11)

  •         ก.อย่าให้เราทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย เพราะบาปที่เราทำและพูด
  •         ข.ให้เรา เอาความขมขื่น และสิ่งเลวร้ายทุกอย่างออกมาทิ้งไป อย่าให้ความขมขื่นชนะเรา แต่ให้เรา ชนะความขมขื่น รวมทั้ง

                                    ก).ความฉุนเฉียว

                                    ข).ความโกรธ

                                    ค).การทุ่มเถียง

                                    ง).การพูดจาดูหมิ่น

                                    จ).การร้ายทุกอย่าง และ

                                    ฉ).ความเย่อหยิ่ง

                                    ช).ความเกลียดชัง

                                    ซ).การชิงดีชิงเด่น ที่เป็นอันตรายต่อผู้อื่น

  •         ค.ให้เรามีใจให้อภัย และมีจิตใจที่ดีงามต่อไปนี้ มาแทนที่คือ

                 “แต่จงมีใจกรุณา ใจสงสาร และใจให้อภัยแก่กันและกัน เหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงให้อภัยพวกท่านในพระคริสต์” (เอเฟซัส 4:32THSV11)

                                    ก). มีใจกรุณา

                                    ข).มีใจสงสาร และ

                                    ค).มีใจให้อภัยแก่กันและกัน เหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงให้อภัยพวกท่านในพระคริสต์”

                    4).ให้เรามุ่งมั่นที่จะอยู่อย่างสงบกับทุกคน

                       “จงมุ่งมั่นที่จะได้อยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน”  (ฮีบรู 12:14 ก.THSV11)

                     5).ให้เรามุ่งมั่นที่จะได้ใจและความบริสุทธิ์

                       “และที่จะได้ความบริสุทธิ์ เพราะถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้วก็จะไม่มีใครได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย” (ฮีบรู 12:14ข. THSV11)

สรุป

“การไม่ให้อภัย ความขมขื่น และความขุ่นเคือง ล้วนขวางกั้นพระพรของพระเจ้าที่กำลังไหลลงมาในชีวิตของเรา”

  (I feel like unforgiveness, bitterness and resentment, it blocks the flows of God’s blessings in life.)   ~Ja Rule

ขอให้เราจัดการกับความขมขื่นใจ ดังนี้

  •    1).ให้ระวังให้ดี อย่าให้เราขาดจากพระคุณของพระเจ้า
  •    2).ให้ระวัง อย่าให้มีรากขมขื่นงอกขึ้นมา
  •    3).ให้รีบจัดการกับความขมขื่นกับพวกพ้องของมัน
  •    4).ให้มุ่งมั่นที่จะอยู่อย่างสงบกับทุกคน   
  •    5).ให้มุ่งมั่นที่จะได้เป็นคนบริสุทธิ์ครบทุกด้าน

 ขอให้ระวัง!

            #จิตวิญญาณที่ขมขื่นจะทำให้คุณห่างไกลจากการเป็นคนที่ดีขึ้น!

            “A bitter spirit will keep you from being a better person.” ~Woodrow Kroll

จงเตือนตัวเองไว้เสมอว่า…

            #ความขมขื่นในหัวใจของคุณจะทำให้ความรักในจิตวิญญาณของคุณต้องปนเปื้อน!

            “Bitterness in your heart contaminates love in your soul.”   – Matshona Dhliwayo

ดังนั้น จงเอาความขมขื่นในใจคุณทิ้งไว้ไป หรือนำมามอบให้พระคริสต์จัดการ มิฉะนั้น ความขมขื่นนั้น จะทำให้ตัวของคุณแปดเปื้อนและต้องถูกโยนทิ้งไปพร้อมกับมัน!

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Karim Manjra/ Unsplash.com)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

“การเผยพระวจนะ การพยากรณ์ และการพูดภาษาแปลกๆ คืออะไร? (คอลัมน์คำตอบชีวิต)

คำถาม:   “การเผยพระวจนะ การพยากรณ์ และการพูดภาษาแปลกๆ คืออะไร? และอะไรสำคัญกว่ากัน?”

คำตอบ:

1. การเผยพระวจนะ กับการพยากรณ์นั้น มาจากศัพท์คำเดียวกันที่มี 2 ความหมาย ดังนี้

      1) พูดในสิ่งที่เห็นล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น ให้คนฟัง จึงเรียกว่า พยากรณ์ 

      2) พูดอธิบายความหมายของสิ่งที่อ่าน(ในพระคัมภีร์)ออกมาให้คนฟังเข้าใจ จึงเรียกว่า เผยพระวจนะ 

         บางทีเรียกคนที่ทำหน้าที่นั้นว่า ประกาศก ศาสดาพยากรณ์ ผู้พยากรณ์ หรือผู้เผยพระวจนะ ซึ่งหมายถึง ผู้ที่พระเจ้าแต่งตั้งให้รับพระดำรัสของพระองค์มา ประกาศ ถ่ายทอด หรืออธิบายให้ผู้ฟังเข้าใจความหมายที่ถูกต้องของคำสั่งสอนของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ หรือชี้ให้เห็นปัญหา หรือแจ้งการพิพากษาของพระเจ้าที่กำลังจะมาถึง (และอาจบอกให้เห็นบางสิ่งล่วงหน้าในอนาคต )

2. การพูดภาษาแปลกๆ ก็มีสองความหมาย หรือ 2 ประเภท

        1) พูดภาษาที่ฟังดูแปลกสำหรับมนุษย์ แต่พระเจ้าทรงเข้าใจ จึงใช้คำว่า พูดภาษาแปลกๆ (Speak in tongues) และเมื่อเป็นการพูดให้พระเจ้าฟัง จึงไม่เหมาะที่จะพูดกับมนุษย์ด้วยภาษานั้น นอกจากจะมีการแปลได้ มิฉะนั้น จะเป็นเป็นประโยชน์ เฉพาะตัว(ของผู้พูด)เท่านั้น

“เพราะว่าคนที่พูดภาษาแปลกๆ นั้น ไม่ได้พูดกับมนุษย์ แต่ทูลต่อพระเจ้า เพราะว่าไม่มีใครเข้าใจได้ เขาพูดเป็นความล้ำลึกโดยพระวิญญาณ”   1โครินธ์ 14:2 THSV11

“คนที่พูดภาษาแปลกๆ นั้นก็ทำให้ตัวเองเจริญขึ้น แต่ผู้เผยพระวจนะนั้นทำให้ คริสตจักรเจริญ”  1 โครินธ์ 14:4

         2) พูดภาษาที่คนรู้จักภาษานั้นๆ ฟังเข้าใจ จึงใช้คำว่า พูดภาษาอื่นๆหรือพูดภาษาต่างๆ

“เมื่อวันเทศกาลเพ็นเทคอสต์ มาถึง พวกสาวกรวมตัวอยู่ในสถานที่แห่งเดียวกัน ในทันใดนั้นมีเสียง มาจากฟ้าเหมือนเสียงพายุแรงกล้าดังก้องทั่วตึกที่เขานั่งอยู่นั้น และพวกเขาเห็นบางสิ่งที่คล้ายเปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้นแผ่กระจายอยู่บนตัวพวกเขาทุกคน พวกเขาทั้งหมดก็เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงเริ่มต้นพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระวิญญาณทรงให้พูด มีพวกยิวจากทุกประเทศทั่วใต้ฟ้าซึ่งเป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้า มาอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อมีเสียงอย่างนั้นเขาทั้งหลายจึงพากันมา และฉงนสนเท่ห์เพราะต่างคนต่างได้ยินพวกเขาพูดภาษาของตัว เขาทั้งหลายจึงแปลกใจและอัศจรรย์ใจพูดว่า “นี่แน่ะ คนทั้งหลายที่พูดอยู่นี้เป็นชาวกาลิลีทุกคนไม่ใช่หรือ? ทำไมเราทุกคนถึงได้ยินพวกเขาพูดภาษาของบ้านเกิดเมืองนอนของเรา? ซึ่งเป็นชาวปารเธีย ชาวมีเดีย ชาวเอลาม และเป็นคนที่อาศัยอยู่ในเขตแดนเมโสโปเตเมีย อยู่ในแคว้นยูเดียและแคว้นคัปปาโดเซีย อยู่ในแคว้นปอนทัสและแคว้นเอเชีย อยู่ในแคว้นฟรีเจียและแคว้นปัมฟีเลีย เป็นคนที่อยู่ในประเทศอียิปต์และในบางส่วนของเมืองลิเบียซึ่งขึ้นกับนครไซรีน เป็นคนที่มาจากกรุงโรม ซึ่งมีทั้งพวกยิวกับพวกที่เข้าจารีตยิว และเป็นชาวครีตและชาวอาระเบีย เราต่างได้ยินคนเหล่านี้กล่าวถึงกิจการที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในภาษาของเราเอง” พวกเขาจึงประหลาดใจและฉงนสนเท่ห์พูดกันว่า “นี่อะไรกัน?””  กิจการ 2:1-12 THSV11

 ในพระคัมภีร์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า…

1.พระเจ้าประทานของประทาน(ของขวัญ)ให้ทุกคน แต่ทุกคนอาจมีของประทานที่ไม่เหมือนกัน เช่น ไม่ใช่ทุกคนพูดภาษาแปลกๆ หรือแปลได้

“ของประทานนั้นมีต่างๆ กัน แต่มีพระวิญญาณองค์เดียวกัน การปรนนิบัติมีต่างๆ กัน แต่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน กิจกรรมมีต่างๆ กัน แต่มีพระเจ้าองค์เดียวกันเป็นต้นเหตุแห่งกิจกรรมทั้งหมดในทุกคน การสำแดงของพระวิญญาณนั้น พระองค์ประทานแก่แต่ละคนเพื่อประโยชน์ร่วมกัน พระเจ้าประทานโดยทางพระวิญญาณ ให้คนหนึ่งมีถ้อยคำของปัญญา และให้อีกคนหนึ่งมีถ้อยคำของความรู้ โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน และให้อีกคนหนึ่งมีความเชื่อ โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน ให้อีกคนหนึ่งมีของประทานในการรักษาโรค โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน ให้อีกคนหนึ่งทำการด้วยฤทธานุภาพ ให้อีกคนหนึ่งเผยพระวจนะ ให้อีกคนหนึ่งรู้จักสังเกตวิญญาณต่างๆ ให้อีกคนหนึ่งพูดภาษาแปลกๆ และให้อีกคนหนึ่งแปลภาษานั้นๆ ได้ พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงทำและจัดสรรสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดแก่แต่ละคนตามชอบพระทัยพระองค์

…ส่วนท่านทั้งหลายเป็นกายของพระคริสต์ และแต่ละอวัยวะก็เป็นส่วนหนึ่งของกายนั้น พระเจ้าทรงตั้งบางคนไว้ในคริสตจักร คือหนึ่ง บรรดาอัครทูต สอง บรรดาผู้เผยพระวจนะ สาม บรรดาอาจารย์ ต่อจากนั้น ผู้ทำการด้วยฤทธานุภาพ ต่อจากนั้น ของประทานในการรักษาโรค พวกที่ให้ความช่วยเหลือ พวกผู้นำและพวกที่รู้ภาษาแปลกๆ ทุกคนเป็นอัครทูตหรือ? ทุกคนเป็นผู้เผยพระวจนะหรือ? ทุกคนเป็นอาจารย์หรือ? ทุกคนทำการด้วยฤทธานุภาพหรือ? ทุกคนมีของประทานในการรักษาโรคหรือ? ทุกคนพูดภาษาแปลกๆ หรือ? ทุกคนแปลได้หรือ? แต่ท่านทั้งหลายจงขวนขวายของประทานต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่กว่า และข้าพเจ้าจะชี้ให้เห็นถึงทางที่ดีที่สุดแก่ท่านทั้งหลาย”   1โครินธ์ 12:4-11, 27-31 THSV11

2.ถ้าจำเป็นต้องจัดลำดับสำคัญ ในคริสตจักรนั้น ให้ถือว่า ความรัก และการเผยพระวจนะสำคัญกว่าการพูดภาษาแปลกๆ และของประทานอื่นๆ

“จงมุ่งหาความรัก และขวนขวายของประทานจากพระวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผยพระวจนะ เพราะว่าคนที่พูดภาษาแปลกๆ นั้น ไม่ได้พูดกับมนุษย์ แต่ทูลต่อพระเจ้า เพราะว่าไม่มีใครเข้าใจได้ เขาพูดเป็นความล้ำลึกโดยพระวิญญาณ แต่ผู้ที่เผยพระวจนะนั้น พูดกับมนุษย์เพื่อให้เจริญขึ้น ให้มีการชูใจและการปลอบใจ คนที่พูดภาษาแปลกๆ นั้นก็ทำให้ตัวเองเจริญขึ้น แต่ผู้เผยพระวจนะนั้นทำให้คริสตจักรเจริญขึ้น ข้าพเจ้าต้องการให้พวกท่านทุกคนพูดภาษาแปลกๆ แต่ยิ่งกว่านั้น ข้าพเจ้าต้องการให้พวกท่านเผยพระวจนะ เพราะว่าคนที่เผยพระวจนะนั้นก็ใหญ่กว่าคนที่พูดภาษาแปลกๆ นอกจากว่ามีคนแปลได้ เพื่อคริสตจักรจะได้รับความเจริญ”   1โครินธ์ 14:1-5 THSV11

3.การพูดภาษาแปลกๆ และเผยพระวจนะอาจเกิดขึ้นพร้อมกันได้ ถ้าคนฟังเข้าใจความหมาย

“เมื่อได้ยินอย่างนั้น พวกเขาจึงรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเปาโลวางมือบนตัวพวกเขาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาสถิตกับพวกเขา พวกเขาจึงพูดภาษาแปลกๆ และเผยพระวจนะ คนเหล่านั้นมีประมาณสิบสองคน”  กิจการ 19:5-7 THSV11

4.การพูดหรือใช้ของประทานต่างๆนั้นต้องเพื่อเกิดประโยชน์โดยรวมต่อคริสตจักร ~ให้การชูใจ ปลอบใจ และการเจริญต่อคริสตจักร

“การสำแดงของพระวิญญาณนั้น พระองค์ประทานแก่แต่ละคนเพื่อประโยชน์ร่วมกัน”  1โครินธ์ 12:7 

“โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผยพระวจนะ เพราะว่าคนที่พูดภาษาแปลกๆ นั้น ไม่ได้พูด  กับมนุษย์ แต่ทูลต่อพระเจ้าเพราะว่าไม่มีใครเข้าใจได้ เขาพูดเป็นความล้ำลึกโดย  พระวิญญาณ แต่ผู้ที่เผยพระวจนะนั้น พูดกับมนุษย์เพื่อให้เจริญขึ้น ให้มีการชูใจ และการปลอบใจ”  1โครินธ์ 14:1ข.-3

5.การพูดภาษาแปลกๆ ในคริสตจักรหรือในที่ประชุมทำได้ ถ้ามีคนแปลภาษาแปลกๆนั้นได้

“ท่านทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น เมื่อท่านกำลังขวนขวายของประทานจากพระวิญญาณ ก็จง  พยายามเพิ่มพูนสิ่งที่จะทำให้คริสตจักรเจริญขึ้น ฉะนั้นคนที่พูดภาษาแปลกๆ ก็ควร อธิษฐานขอให้แปลได้ด้วย เพราะถ้าข้าพเจ้าอธิษฐานเป็นภาษาแปลกๆ จิตวิญญาณของ ข้าพเจ้าอธิษฐานก็จริง แต่ความคิดก็ไม่เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าควรทำอย่างไร?”   1โครินธ์ .14:12-15ก.

6.ทุกอย่างที่เราทำในคริสตจักร ควรเป็นสิ่งที่คนฟังเข้าใจ ได้ความเจริญ ไม่ว่าจะเป็นการอธิษฐานการขอบพระคุณ การร้องเพลง สรรเสริญ การพูด การสอน และการเทศนา

“ข้าพเจ้าจะอธิษฐานด้วยจิตวิญญาณและด้วยความคิด และจะร้องเพลงด้วยจิตวิญญาณและด้วยความคิด มิฉะนั้นถ้าท่านสรรเสริญพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณ คนที่อยู่ในกลุ่มที่ไม่เข้าใจจะว่า “อาเมน” กับคำขอบพระคุณของท่านได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่รู้ว่าท่านพูดอะไร? เพราะว่าแม้ท่านจะขอบพระคุณอย่างไพเราะ แต่คนอื่นก็ไม่เจริญขึ้น ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้า ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ มากกว่าท่านทั้งหลายอีก แต่ว่าในคริสตจักรข้าพเจ้าต้องการที่จะพูดสักห้าคำด้วยความคิด เพื่อสอนคนอื่นดีกว่าที่จะพูดหมื่นคำเป็นภาษาแปลกๆ”  1โครินธ์ 14:15ข.-19

7.ทุกอย่างที่เราทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณจะต้องควบคู่ไปกับการรู้จักคิดเหมือนผู้ใหญ่ด้วย (ไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือการกระทำ)

“อย่าเป็นเหมือนเด็กในด้านความคิด แต่ในเรื่องความชั่วร้ายจงเป็นเหมือนทารก และในด้านความคิดจงเป็นเหมือนผู้ใหญ่”  1โครินธ์ 14:20

สรุป  การเผยพระวจนะหรือการพยากรณ์และการพูดภาษาแปลก ๆ กับการแปลภาษาแปลก ๆ ล้วนเป็นของประทานจากพระเจ้าที่มีความสำคัญต่อชีวิตคริสเตียน แต่การเผยพระวจนะนั้นมีประโยชน์ต่อคริสตจักรมากกว่า

1.การพูดภาษาแปลกๆ การเผยพระวจนะ(พยากรณ์)หรือการทำอะไรก็ตาม ที่เราทำแล้ว คนอื่น (ในครอบครัว ในคริสตจักร)

  • 1) ไม่เข้าใจ
  • 2) ไม่เจริญ
  • 3) ไม่มีความสุข~ก็อย่าทำ

2. การพูดภาษาแปลกๆ การเผยพระวจนะ(พยากรณ์)หรือการทำอะไรก็ตาม ที่เราทำแล้ว คนอื่น (ในครอบครัว ในคริสตจักร)

  • 1) เข้าใจ
  • 2) เจริญ+เจริญขึ้น
  • 3) มีความสุขมากขึ้น~ก็จงรีบลงมือทำเถิด!

จุดประสงค์หลักของการใช้ของประทานเหล่านั้นคือ การถวายเกียรติแด่พระเจ้าเป็นหลัก และสร้างความเจริญเติบโตแก่คริสตจักร ไม่ใช่เพื่อความสำเร็จ ความพอใจ หรือเกียรติของเราเป็นส่วนตัว

1คร10:31-33 – “เพราะฉะนั้นเมื่อพวกท่านจะรับประทาน จะดื่ม หรือจะทำอะไรก็ตาม จงทำเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า อย่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกยิว หรือพวกกรีก หรือคริสตจักรของพระเจ้าหลงผิดไป 33และให้เป็นเหมือนข้าพเจ้าเองที่พยายามทำทุกสิ่งเพื่อให้พอใจทุกคน ไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่เห็นแก่ประโยชน์ของคนมากมาย เพื่อให้เขาทั้งหลายได้รับความรอด”

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

รักษาและพัฒนาชีวิตให้เติบโตในความสัมพันธ์กับพระเจ้า (คอลัมน์คำตอบชีวิต)

คำถาม:    “เราจะรักษาและพัฒนาชีวิตให้เติบโตในความสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างต่อเนื่องได้อย่างไร?”

คำตอบ:     เมื่อถามว่าเราจะรักษาความสัมพันธภาพกับพระเจ้าได้อย่างไร? ก็คงต้องถามคล้ายๆ  กันว่า เราจะรักษาความสัมพันธ์กับคุณพ่อที่รักเราและเรารักท่านได้อย่างไร?

1.เรากับคุณพ่อ (พระเจ้า) ต้องมีเวลาให้แก่กัน

2. เรากับคุณพ่อ (พระเจ้า) ต้องใช้เวลาที่มีร่วมกันอย่างมีคุณค่าและมีคุณภาพ
            1).พูดคุย (อธิษฐาน/อ่านพระคัมภีร์) กันตามลำพัง
            2).พูดคุย (อธิษฐาน/อ่านพระคัมภีร์) กับพ่อ (พระเจ้า) ร่วมกับคนอื่นๆ

 3.เรากับคุณพ่อ (พระเจ้า) คงต้องมีเวลาให้แก่กันเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ

คำถาม   ต่อไปก็คือว่า แล้ว “เราจะพัฒนาความสัมพันธ์ดังกล่าวให้ดียิ่งขึ้นไปอีก จนสัมพันธภาพระหว่างเรากับพระเจ้า หรือคุณพ่อที่รักของเราเติบโต เข้มแข็งขึ้นจนถึงขีดสุด ได้อย่างไร?

คำตอบ คือ ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำในพระธรรมเฉลยธรรมบัญญัติ ดังนี้

“ท่านทั้งหลายจงดำเนินตามพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านและยำเกรงพระองค์ และรักษาพระบัญญัติของของค์ และเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และท่านจงปรนนิบัติพระองค์และติดสนิทอยู่กับพระองค์”  

                                                                                            ~เฉลยธรรมบัญญัติ 13:4 THSV11

นั่นคือ
1.ให้เราดำเนินตาม (FOLLOW) พระเจ้า (พ่อ) ของเรา -แล้วจะเกิดผลดีตามมา

“ถ้าเจ้าทั้งหลายดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา รักษาบัญญัติของเรา และทำตาม เราจะประทานฝนตามฤดูแก่เจ้า แผ่นดินจะเกิดพืชผล ต้นไม้ในทุ่งจะบังเกิดผล เวลานวดข้าวจะยาวนานถึงฤดูเก็บผลองุ่น ฤดูเก็บผล องุ่นจะยาวนานไปถึงฤดูหว่าน พวกเจ้าจะรับประทานอาหารอย่างอิ่มหนำ และอยู่ในแผ่นดินของเจ้าอย่างปลอดภัย เราจะให้เกิดสันติภาพในแผ่นดิน เจ้าทั้งหลายจะนอนลง และไม่มีใครทำให้เจ้ากลัว เราจะขจัดสัตว์ร้ายจากแผ่นดิน และดาบจะไม่ผ่านแผ่นดินของพวกเจ้าเลย พวกเจ้าจะขับไล่ศัตรูของเจ้าทั้งหลาย เขาทั้งหลายจะล้มลงต่อหน้าพวกเจ้าด้วยดาบ พวกเจ้าห้าคนจะขับไล่ศัตรูร้อยคน พวกเจ้าร้อยคนจะขับไล่ศัตรูหมื่นคน ศัตรูของพวกเจ้าจะล้มลงด้วยดาบต่อหน้าเจ้าทั้งหลาย และเราจะคิดถึงพวกเจ้า จะทำให้พวกเจ้ามีพงศ์พันธุ์มากยิ่งขึ้น และรักษาพันธสัญญาซึ่งมีไว้กับเจ้าทั้งหลาย พวกเจ้าจะได้รับประทานของที่สะสมไว้นาน และจะต้องเอาของเก่าออกไปเพื่อจะมีที่สำหรับเก็บของใหม่ เราจะตั้งที่ประทับของเราในหมู่พวกเจ้า เราจะไม่เกลียดชังเจ้า เราจะดำเนินในหมู่พวกเจ้า จะเป็นพระเจ้าของเจ้า และเจ้าจะเป็นประชากรของเรา เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ผู้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ เพื่อเจ้าจะมิได้เป็นทาสของเขา เราได้หักไม้ที่เป็นแอกของเจ้าออกเสียเพื่อให้เจ้าเดินตัวตรงได้”
                                                                                                ~เลวีนิติ 26:3-13 THSV11

2.ให้เรายำเกรง (FEAR) พระเจ้า (พ่อ) ของเรา~แล้วเราจะได้ประโยชน์

“และบัดนี้ คนอิสราเอล พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านมีพระประสงค์อะไรจากท่าน? นอกจากให้ยำเกรง พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ให้ดำเนินตามทางทั้งสิ้นของพระองค์ ให้รักพระองค์ ให้ปรนนิบัติพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน และให้รักษาพระบัญญัติของพระยาห์เวห์และกฎเกณฑ์ของพระองค์ ซึ่งข้าพเจ้ากำลังบัญชาท่านในวันนี้ เพื่อประโยชน์ของท่าน”

                                                                                              ~เฉลยธรรมบัญญัติ 10:12-13 THSV11

3.ให้เรารักษา (KEEP) พระบัญญัติของพระเจ้า (พ่อ) ~แล้วเราจะรักษาชีวิตให้อยู่ได้

“ลูกเอ๋ย จงรักษาถ้อยคำของข้า จงสะสมบัญญัติของข้าไว้กับเจ้า จงรักษาบัญญัติของข้า และมีชีวิตอยู่ จงรักษาคำสอนของข้าอย่างกับแก้วตาของเจ้า”
                                                                                                ~สุภาษิต 7:1-2 THSV11

“คนที่รักษาพระบัญญัติย่อมรักษาชีวิตของตน คนที่ดูหมิ่นทางแห่งพระบัญญัติ ก็จะตาย”

                                                                                               ~สุภาษิต 19:16 THSV11

4.ให้เราเชื่อฟัง (OBEY) เสียงของพระเจ้า(พ่อ)~แล้วเราจะรอดพ้นจากเหตุร้าย

“เยเรมีย์จึงบอกเจ้านายทั้งสิ้นและประชาชนทั้งปวงว่า “พระยาห์เวห์ทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาเผยพระวจนะต่อพระนิเวศและเมืองนี้ ตามถ้อยคำทั้งสิ้นซึ่งท่านทั้งหลายได้ยินมา เพราะฉะนั้น บัดนี้ท่านทั้งหลายจงแก้ไขทางและการกระทำของท่านและเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และพระยาห์เวห์จะกลับพระทัยจากเหตุร้ายซึ่งพระองค์ได้ทรงกำหนดให้ท่าน”        

                                                                                              ~เยเรมีย์ 26:12-13 THSV11

5.ให้เราปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า (พ่อ) ~ แล้วเราจะได้รับมรดกเป็นบำเหน็จ

“ไม่ว่าพวกท่านจะทำสิ่งใด ก็จงทำด้วยความเต็มใจเหมือนทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เหมือนทำต่อมนุษย์ ท่านทั้งหลายก็รู้ว่า ท่านจะได้รับมรดกจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นบำเหน็จ เพราะท่านกำลังรับใช้พระคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่”

                                                                                              ~โคโลสี 3:23-24 THSV11

6.ให้เราใกล้ชิดติดสนิทกับพระเจ้า (พ่อ) ~แล้วเราจะเกิดผลมาก

“จงติดสนิทอยู่กับเราและเราติดสนิทอยู่กับพวกท่าน แขนงจะออกผลเองไม่ได้นอกจากจะติดสนิทอยู่กับเถา พวกท่านก็เช่นเดียวกันจะเกิดผลไม่ได้นอกจากจะติดสนิทอยู่กับเรา เราเป็นเถาองุ่น พวกท่านเป็นแขนง คนที่ติดสนิทอยู่กับเราและเราติดสนิทอยู่กับเขา คนนั้นจะเกิดผลมาก เพราะว่าถ้าแยกจากเราแล้วพวกท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย …ถ้าพวกท่านติดสนิทอยู่กับเราและถ้อยคำของเราติดสนิทอยู่กับท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใดที่ท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น พระบิดาของเราทรงได้รับพระเกียรติเพราะเหตุนี้ คือเมื่อพวกท่านเกิดผลมากและเป็นสาวกของเรา พระบิดาทรงรักเราอย่างไร เราก็รักพวกท่านอย่างนั้น จงติดสนิทอยู่กับความรักของเรา ถ้าพวกท่านประพฤติตามบัญญัติของเรา ท่านก็จะติดสนิทอยู่กับความรักของเรา เหมือนอย่างที่เราประพฤติตามบัญญัติของพระบิดาและติดสนิทอยู่กับความรักของพระองค์”
                                                                                                ~ยอห์น 15:4-5, 7-10 THSV11

“ท่านทั้งหลายจงดำเนินตามพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านและยำเกรงพระองค์ และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ และเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ และท่านจงปรนนิบัติพระองค์และติดสนิทอยู่กับพระองค์”

                                                                                               ~เฉลยธรรมบัญญัติ 13:4 THSV11

พี่น้องที่รัก!

วันนี้ คุณพร้อมที่จะรักษาและพัฒนาความสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างเหนียวแน่นแบบสนิท  จนเราเจริญเติบโตขึ้นในฝ่ายจิตวิญญาณเกิดผลอย่างต่อเนื่องหรือไม่?

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

การเลือกคู่ครอง (คอลัมน์คำตอบชีวิต)

คำถาม:    “เราจะเลือกคู่พระพร หรือคู่ครอง อย่างไร ตามหลักพระคัมภีร์?”

คำตอบ:    “คำตอบมีอยู่ในคำถามอยู่แล้ว คือ คนที่เราจะเลือกมาเป็นคู่ชีวิต จะต้องเป็นคนที่จะร่วมครองชีวิตกับเราได้จนวันตาย และเป็นคนที่เป็นพรต่อเราได้ตลอดชีวิตของเรา (ควบคู่ไปกับการที่เราจะต้องเป็นคู่ครองและเป็นพรต่อชีวิตของเขาเช่นกัน) 

ในชีวิตสมรส ไม่มีใครเป็นฝ่ายได้ฝ่ายเดียว แต่ทั้งสองต้องพร้อมเสียสละความสุขและความต้องการส่วนตัว(บางอย่าง) ให้แก่กันและกัน

ในชีวิตสมรส เราจะเรียกร้องหรือบังคับเอาอะไรจากกันไม่ได้ ดังนั้น เราจึงต้องหา หรือทำให้อีกคนหนึ่งเป็น หรือมอบพรให้แก่เราด้วยความเต็มใจของเขา ไม่ใช่เพราะถูกเราบังคับเรียกร้อง หากเราหาคนเช่นนั้นไม่ได้ หรือเราทำให้เขาเป็น หรือ ทำเช่นนั้นไม่ได้ ก็อย่าแต่งงานกับเขาเลยจะดีกว่า จะได้ไม่ทุกข์กันทุกฝ่าย 

คู่ครองที่ดีไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัย เรื่อง เชื้อชาติ ฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจ หรือ ความรู้การศึกษา แต่ปัจจัยศาสนา อาจต้องพิจารณา เพราะเป็นเรื่องเดียวของปัจจุบันที่จะลากยาวไปถึงปลายทางนิรันดร์ (หลังจากชีวิตในโลกนี้สิ้นสุดลง) 

เพราะถ้าหากว่าคนที่เชื่อในพระเจ้า จะไปหาพระเจ้า แล้วคู่ครองที่ไม่เชื่อพระเจ้า จะไปอยู่ที่ไหน? 

เราไม่คิดพาเขาไปหาพระเจ้า ในสวรรค์ด้วยกันหรอกหรือ? (และเขาคงไม่ได้ไปสวรรค์ในขณะที่ปฏิเสธ ไม่ยอมรับเจ้าของสวรรค์ หรอกนะ!)

ดังนั้นถ้าเราจะเลือกคนใดเป็นคู่ครอง เรากับเขาต้องคุยกันให้เข้าใจก่อนว่า จะมีเป้าหมาย และวิธีการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างไรในโลกนี้ และควรจะเตรียมพร้อมที่จะไปใช้ชีวิตในสวรรค์อย่างไร? (หลังจากชีวิตในโลกนี้ สิ้นสุดลง) 

ดังนั้น หลักการหาคู่ครอง มีง่ายๆ 3 ประการ คือ จงหาคน และเป็นคนที่มีคุณลักษณะ หรือปัจจัย ดังนี้ 

            1.เรารักเขา (เท่ากับหรือมากกว่ารักพ่อแม่ของเรา) 

            2.เขารักเรา (เท่ากับหรือมากกว่ารักพ่อแม่ของเขา) 

            3.ทั้งเราและเขารักพระเจ้า (มากกว่ารักพ่อแม่ หรือตัวเราตัวเขา) 

หากไม่มี 3 ข้อนี้ ก็ไม่ควรรีบแต่งงาน เพราะจะมีความทุกข์ที่ไม่จำเป็นตามมาแน่นอน 

            ถ้าเราไม่รักเขา แล้วจะแต่งงานกับเขาไปทำไม? 

            ถ้าเขาไม่รักเรา แล้วจะไปฝืนใจให้เขาแต่งงานกับเราทำไม? 

            ถ้าเราหรือเขาไม่เชื่อ และไม่รักพระเจ้า แล้วจะแต่งกันทำไม? 

            เพราะต้องแยกจากกันไปชั่วนิรันดร์! 

แต่หากว่ามี 3 ข้อข้างต้น คู่สมรสทั้ง 2 ก็จะสามารถร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรคไปได้ ไม่ยาก(หากไม่มีช่องว่างระหว่างกันมากเกินไปและไม่เอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่มากเกินไป) ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ฐานะและภูมิหลังครอบครัว ฐานะทางสังคม ฐานะทางเศรษฐกิจฐานะทางอาชีพการงาน และ ภูมิหลังชีวิต นิสัยใจคอ และการศึกษา ฯลฯ 

คำเตือนคือ ต่อให้มีทุกอย่างที่ดูสมบูรณ์แบบทุกเรื่อง แต่ขาด 3 คุณลักษณะดังที่กล่าวมา ทั้ง 2 ก็ยากที่จะเป็นคู่ครองหรือคู่พระพรอย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านจิตวิญญาณที่นิรันดร์ 

เราไม่ได้ถูกห้ามคบหากับคนที่ยังไม่เชื่อ แต่มีคำเตือนว่า การรีบด่วนใช้ชีวิตคู่หรือร่วมกับผู้ไม่เชื่อ มีแต่จะไม่ลงรอยกัน และไม่อาจประสานเป็นหนึ่งได้ 

อย่าเข้าเทียมแอกกับคนที่ไม่เชื่อ เพราะว่าความชอบธรรมจะมีส่วนอะไรกับความอธรรมและความสว่างจะมีส่วนกับความมืดได้อย่างไรพระคริสต์กับเบลีอัลจะไปด้วยกันได้อย่างไรหรือคนที่เชื่อจะมีส่วนอะไรกับคนที่ไม่เชื่อ?”   2คร.6:14-15

และจะเป็นการเหนื่อยเปล่า ในการสร้างบ้านสร้างครอบครัว ที่คนในครอบครัวไม่ยอมให้พระเจ้าเป็นผู้สร้างบ้าน เป็นผู้นำ หรือเป็นประมุขของครอบครัว 

ถ้าพระยาห์เวห์มิได้ทรงสร้างบ้าน บรรดาผู้ที่สร้างก็เหนื่อยเปล่า ถ้าพระยาห์เวห์มิได้ทรงเฝ้ารักษานคร คน ยามตื่นอยู่ก็เหนื่อยเปล่า”   สดด.127:1

เพราะบ้านและครอบครัวของพระเจ้า ควรเป็นบ้านที่ทุกคนมีความศรัทธาในพระเจ้าร่วมกัน และมีความสุขเพราะได้รับการอวยพระพรจากพระเจ้า และทุกคนสามารถ กล่าวได้อย่างเต็มปากว่า…. 

และถ้าพวกท่านไม่เห็นด้วยที่จะปรนนิบัติพระยาห์เวห์ ท่านก็จงเลือกเสียในวันนี้ว่าท่านจะปรนนิบัติใคร … แต่ส่วนข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้า เราจะปรนนิบัติพระยาห์เวห์””  ยชว.24:15

วันนี้

  • ถ้าคุณมี คนรัก หรือคู่ชีวิตที่มี 3 คุณลักษณะดังกล่าวถึงแล้ว จงรักษาเขาหรือเธอไว้จนสุดชีวิตและสุดความสามารถของคุณ
  • หากคุณแต่งงานแล้ว แต่คู่ครองของคุณยังไม่มีคุณลักษณะดังกล่าว คุณควรใส่ใจให้ความสำคัญมากกว่าที่ผ่านมา  เพื่อช่วยเขาให้มีคุณลักษณะดังกล่าวอย่างจริงจังและจริงใจ หากว่า คุณรักเขาหรือเธออย่างจริงใจ
  • หากคุณมีความศรัทธาในพระเจ้าแล้ว แต่ยังไม่มีแฟน ก็จงแสวงหาพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วจึงแสวงหา และเป็นบุคคลที่มี 3 ปัจจัยดังที่กล่าวมาแล้ว 

และท้ายสุด

  • หากว่าคุณยังไม่ได้แต่งงาน และคุณเป็นคนที่ยังไม่มีศรัทธาในพระเจ้า และยังไม่ได้รักคนที่คุณคบหา (ที่ศรัทธาในพระเจ้า) อย่างแท้จริง 

คุณมี 3 ทางเลือก ดังนี้ 

  • 1.ยุติการคบหากับเขา/เธอในฐานะแฟน แต่คบกันเป็นแค่เพื่อน
  • 2.ยังคบหาดูใจ และเปิดใจเรียนรู้จักพระเจ้าที่เขา/เธอ ศรัทธา จนกว่าคุณจะแน่ใจในตัวเขา/เธอ และพระเจ้าที่เขาเชื่อ จึงตอบตกลงแต่งงานกับเขาแต่หาก คุณไม่มั่นใจ ก็กลับไปทำตามในข้อหนึ่ง (แม้ว่าคุณจะเกิดความศรัทธาในพระเจ้าขึ้นแล้วก็ตาม)
  • 3.ยังคบกันต่อเนื่อง เปิดใจเรียนรู้ จนเกิดความศรัทธาเชื่อวางใจในพระเจ้า เรียนรู้จัก และมั่นใจในการร่วมใช้ชีวิตที่เป็นพรต่อกันกับคนที่คุณรัก และเมื่อมีครบถ้วนในคุณลักษณะหรือทั้งปัจจัยทั้ง 3 ข้างต้น ดังกล่าว ก็อย่าชักช้า ลังเล กลัวอะไรอีกต่อไป

…จงรีบแต่งงานกับเขาเถิด! 

เพราะหากท่านทั้ง 2 กระทำตามหลักการและคำแนะนำนี้ ท่านก็จะได้คู่ครองที่เป็นคู่พระพรต่อกันอย่างแท้จริง ตราบจนวันตาย และจากนั้นจะมีชีวิตร่วมกันในสวรรค์อย่างเป็นสุข ตราบนิรันดร์! 

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

วิธีสังเกตและแยกแยะวิญญาณ (คอลัมน์คำตอบชีวิต)

คำถาม:     “เราจะสังเกต และ แยกแยะได้อย่างไรว่า วิญญาณ และสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏอยู่นั้น มาจากพระวิญญาณหรือไม่?”
คำตอบ:  “ให้เราตรวจดู checklists ต่อไปนี้ และตอบคำถาม

…1.วิญญาณหรือสิ่งเหล่านั้น ถวายเกียรติแด่พระเยซูคริสต์โดยช่วยสอนให้มีปัญญา รู้ความจริงและความล้ำลึกของพระองค์อย่างถูกต้องหรือไม่? หรือทำให้พระเยซูเสียพระเกียรติ?

“เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น พระองค์จะทรงให้เราได้รับเกียรติ เพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาแจ้งแก่พวกท่าน ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นเป็นของเรา เพราะเหตุนี้ เราจึงกล่าวว่า พระวิญญาณทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรานั้นมาแจ้งแก่พวกท่าน” “พระเจ้าได้ทรงสำแดงสิ่งเหล่านี้กับเราทางพระวิญญาณ เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า อันความคิดของมนุษย์นั้น จะมีใครหยั่งรู้ได้ถ้าไม่ใช่จิตวิญญาณของมนุษย์คนนั้นเอง พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าเช่นกัน เราไม่ได้รับวิญญาณของโลก แต่ได้รับพระวิญญาณซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อจะได้รู้ถึงสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าประทานแก่เรา และเรากล่าวถึงเรื่องเหล่านี้ด้วยถ้อยคำซึ่งไม่ใช่ปัญญาของมนุษย์สอนไว้ แต่พระวิญญาณทรงสอนไว้ คือเราได้อธิบายความหมายของเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณ ให้คนฝ่ายจิตวิญญาณฟัง แต่คนทั่วไปจะไม่รับสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้า เพราะว่าเขาเห็นว่าเป็นเรื่องโง่ และเขาไม่สามารถเข้าใจ เพราะจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ก็ต้องวินิจฉัยโดยพึ่งพระวิญญาณ แต่คนฝ่ายจิตวิญญาณวินิจฉัยสิ่งสารพัดได้ ทว่าไม่มีใครวินิจฉัยเขาได้ เพราะว่า “ใครเล่ารู้พระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า? เพื่อจะแนะนำสั่งสอนพระองค์ได้” แต่เราก็มีพระทัยของพระคริสต์”
                                                                                                ~1 โครินธ์ 2:10-16 THSV11
“แต่องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้นจะทรงสอนพวกท่านทุกสิ่ง และจะทำให้ระลึกถึงทุกสิ่งที่เรากล่าวกับท่านแล้ว”
                                                                                                ~ยอห์น 14:26 THSV11

…2.วิญญาณหรือสิ่งเหล่านั้นทำให้เรายำเกรงพระเจ้า และนำให้ทุกคนกลับใจจากบาปและวิถีโลกหรือ ไม่?  หรือทำ ให้เราอ้างเพื่อทำบาป?

“อย่างไรก็ตามเราจะบอกความจริงกับพวกท่าน คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป องค์ผู้ช่วย ก็จะไม่เสด็จมาหาพวกท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน เมื่อพระองค์เสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงทำให้ โลกรู้แจ้งในเรื่องความบาป ความชอบธรรม และการพิพากษา ในเรื่องความบาปนั้น คือเพราะพวกเขาไม่วางใจในเรา ใน     เรื่องความชอบธรรมนั้น คือเพราะเราไปหาพระบิดา และพวกท่านจะไม่เห็นเราอีก ในเรื่องการพิพากษานั้น คือเพราะผู้ครองโลกนี้ถูกพิพากษาแล้ว”                                                                                                  -ยอห์น 16:7-11 THSV11

…3.วิญญาณและสิ่งเหล่านั้น ทำให้เราปรารถนาที่จะนมัสการพระเจ้าและรับใช้ด้วยความชื่นชมยินดี มีสันติสุขและมีความหวังในทุกสถานการณ์หรือไม่?~หรือรู้สึกเหมือนเป็นทาส?

“พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ และคนที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง””
                                                                                              ~ยอห์น 4:24 THSV11

“เมื่อคนต่างชาติได้ยินอย่างนั้นก็มีความยินดีและสรรเสริญพระวจนะของพระเจ้า และคนทั้งหลายที่ทรงหมายไว้แล้วเพื่อให้ ได้ชีวิตนิรันดร์ก็เชื่อถือ พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงแพร่ไปทั่วตลอดเขตแดนนั้น แต่พวกยิวยุยงบรรดาสตรีมีศักดิ์ซึ่ง เป็นคนต่างชาติที่นับถือพระเจ้า กับพวกผู้ชายที่เป็นใหญ่ในเมืองนั้นให้ข่มเหงและขับไล่เปาโลกับบารนาบัสออกจากเมืองของเขาทั้งหลาย เปาโลกับบารนาบัสจึงสะบัดผงคลีดินที่ติดเท้าออกต่อพวกเขา แล้วไปยังเขตเมืองอิโคนียูม ส่วนพวก สาวกเต็มด้วยความชื่นชมยินดีและเต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”
                                                                                                -กิจการ 13:48-52 THSV11
“การเอาใจใส่เนื้อหนังก็คือความตาย และการเอาใจใส่พระวิญญาณ ก็คือชีวิตและสันติสุข”
                                                                                                -โรม 8:6 THSV11
…4.วิญญาณและสิ่งเหล่านั้นให้ความสามารถพิเศษแก่เราในการรับใช้เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมหรือไม่?  หรือเพื่อประโยชน์ส่วนตัว?

“การสำแดงของพระวิญญาณนั้น พระองค์ประทานแก่แต่ละคนเพื่อประโยชน์ร่วมกัน พระเจ้าประทานโดยทางพระวิญญาณ ให้คนหนึ่งมีถ้อยคำของปัญญา และให้อีกคนหนึ่งมีถ้อยคำของความรู้ โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน และ ให้อีกคนหนึ่งมีความเชื่อ โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน ให้อีกคนหนึ่งมีของประทานในการรักษาโรค โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน ให้อีกคนหนึ่งทำการด้วยฤทธานุภาพ ให้อีกคนหนึ่งเผยพระวจนะ ให้อีกคนหนึ่งรู้จักสังเกตวิญญาณต่างๆ ให้อีกคนหนึ่งพูดภาษาแปลกๆ และให้อีกคนหนึ่งแปลภาษานั้นๆ ได้ พระวิญญาณองค์เดียวกันทรงทำและจัดสรรสิ่ง เหล่านี้ทั้งหมดแก่แต่ละคนตามชอบพระทัยพระองค์”
                                                                                                ~1 โครินธ์ 12:7-11 THSV11
“พวกเขาทั้งหมดก็เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงเริ่มต้นพูดภาษาอื่นๆ ตามที่พระวิญญาณทรงให้พูด”
                                                                                                 ~กิจการ 2:4 THSV11
…5.วิญญาณนั้นหรือสิ่งเหล่านั้น ช่วยขอแทนเราในยามที่เราอ่อนกำลังและไม่รู้ว่าจะอธิษฐานอะไรบ้างหรือไม่?~ หรือละทิ้งเราไว้โดยไม่แยแส?

“ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณก็ทรงช่วยเมื่อเราอ่อนกำลังด้วย เพราะเราไม่รู้ว่าควรจะอธิษฐานขออะไรอย่างไร แต่ พระวิญญาณทรงช่วยขอแทน ด้วยการคร่ำครวญซึ่งไม่อาจกล่าวเป็นถ้อยคำ และพระองค์ผู้ทรงชันสูตรใจมนุษย์ ก็ทรง ทราบความหมายของพระวิญญาณ เพราะว่า พระวิญญาณทรงอธิษฐานขอเพื่อธรรมิกชนตามพระประสงค์ของพระเจ้า”

                                                                                                ~โรม 8:26-27 THSV11

“แต่ท่านที่รักทั้งหลาย จงสร้างตัวของท่านขึ้นบนความเชื่ออันบริสุทธิ์ที่สุดของท่าน และจงอธิษฐานโดยพระวิญญาณ บริสุทธิ์”                                                                                                 ~ยูดา 1:20 THSV11

…6.วิญญาณหรือสิ่งเหล่านั้นชำระและสร้างเราขึ้นใหม่ ให้เป็นร่างกายที่เปี่ยมด้วยความชอบธรรมและฤทธิ์ พร้อมให้พระเจ้าทรงใช้หรือไม่?~หรือว่าเรายังใช้ร่างกายอย่างผิดๆ?

“ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่านแล้ว ท่านก็ไม่อยู่ในเนื้อหนัง แต่อยู่ในพระวิญญาณใครไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ คนนั้นก็ไม่เป็นของพระองค์ และถ้าพระคริสต์อยู่ในท่านทั้งหลายแล้ว ถึงแม้ว่าร่างกายของท่านจะตายไป เพราะบาป แต่วิญญาณจิตของท่านก็จะดำรงอยู่เพราะความชอบธรรม ถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซู เป็นขึ้นมาจากตายสถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย พระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากตายแล้วนั้น จะทรงทำให้กายซึ่งต้องตายของพวกท่านเป็นขึ้นมาใหม่ โดยพระวิญญาณของพระองค์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน”
                                                                                                ~โรม 8:9-11 THSV11

“ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าพวกท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่าน? ถ้าใคร ทำลายวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำลายคนนั้น เพราะว่าวิหารของพระเจ้าเป็นที่บริสุทธิ์ และพวกท่านเป็นวิหารนั้น”
                                                                                                ~1 โครินธ์ 3:16-17 THSV11

“และพวกท่านเองเป็นดังศิลาที่มีชีวิต จงรับการสร้างขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายวิญญาณ เพื่อเป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวาย เครื่องบูชาฝ่ายวิญญาณ อันเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์”
                                                                                                -1 เปโตร 2:5 THSV11

…7.วิญญาณหรือสิ่งเหล่านั้นเป็นพยานว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า และเป็นที่พึ่งได้ ในการดำเนินชีวิต ของเราได้หรือไม่?~หรือว่า เรายังไม่แน่ใจว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว?

“เพราะฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เราเป็นหนี้ แต่ไม่ใช่เป็นหนี้ฝ่ายเนื้อหนัง ที่จะดำเนินชีวิตตามเนื้อหนัง เพราะ ว่าถ้าท่านดำเนินชีวิตตามเนื้อหนังแล้ว ท่านจะต้องตาย แต่ถ้าโดยทางพระวิญญาณ ท่านทำลายกิจการของร่างกาย ท่านก็จะดำรงชีวิตได้ เพราะว่าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำใคร คนนั้นก็เป็นบุตรของพระเจ้า เพราะว่าพระวิญญาณที่พระเจ้าประทานมานั้นจะไม่ทรงให้ท่านเป็นทาส ซึ่งทำให้ตกในความกลัวอีก แต่พระวิญญาณจะทรงให้ท่านมีฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า โดยพระวิญญาณนั้นเราจึงร้องเรียกพระเจ้าว่า “อับบา (พ่อ)” พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับจิตวิญญาณของเราว่า เราเป็นลูกของพระเจ้า และถ้าเราเป็นลูกแล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับ พระคริสต์ เมื่อเราทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์ก็เพื่อจะได้ศักดิ์ศรีด้วยกันกับพระองค์ด้วย”
                                                                                                ~โรม 8:12-17 THSV11
“จงประพฤติตามแบบอย่างของคำสอนที่ถูกต้องที่ท่านได้ยินจากข้าพเจ้า ด้วยความเชื่อและความรักซึ่งมีอยู่ในพระเยซู คริสต์ จงรักษาสิ่งประเสริฐที่ทรงมอบไว้แก่ท่าน โดยพึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้สถิตภายในเรา”
                                                                                                ~2 ทิโมธี 1:13-14 THSV11

…8.วิญญาณหรือสิ่งเหล่านั้นทำให้เราดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณโดยสำแดงผลของพระวิญญาณ (ความรัก ) ออกมาอย่างชัดเจนไหม?~หรือว่างานของเนื้อหนังยังเต็มไปหมด?

“แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่าจงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ แล้วท่านจะไม่สนองความต้องการของเนื้อหนัง เพราะว่าความ ต้องการของเนื้อหนังขัดแย้งพระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ขัดแย้งเนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันดังนั้นท่านทั้งหลายจึงไม่สามารถทำสิ่งที่ท่านปรารถนาจะทำแต่ถ้าท่านทั้งหลายได้รับการทรงนำโดยพระวิญญาณท่านก็ไม่อยู่ใต้ ธรรมบัญญัติ การงานของเนื้อหนัง นั้นเห็นได้ชัด คือการล่วงประเวณี การโสโครก การเสเพล การนับถือรูปเคารพ การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การวิวาทกัน การริษยากัน การฉุนเฉียวกัน การใฝ่สูง การทุ่มเถียงกัน การแตกก๊กกัน การอิจฉากัน การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆ ในทำนองนี้ซึ่งข้าพเจ้าเคยเตือนพวกท่านมาก่อนว่า คนที่ประพฤติ เช่นนั้นจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความซื่อสัตย์ ความสุภาพอ่อนโยน การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย ผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ได้ตรึงเนื้อหนังไว้ที่กางเขน พร้อมกับราคะและตัณหาแล้ว ถ้าเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณด้วย เราอย่าอวดตัว อย่ายั่วโทสะกัน และอย่าอิจฉากันเลย”
                                                                                                ~กาลาเทีย 5:16-26 THSV11
“และความหวังจะไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะเหตุว่าความรักของพระเจ้าได้หลั่งเข้าสู่จิตใจของเรา โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว”
                                                                                                ~โรม 5:5 THSV11

…9.วิญญาณหรือสิ่งเหล่านั้นนำ และทำให้เราทรหดอดทนในต่อสู้และการปรนนิบัติพระเจ้าหรือไม่?~หรือว่าทำให้ เราเปราะบางแตกง่ายในการรับใช้ ทำให้พระวิญญาณเสียพระทัย?

 “เราไม่ได้วางสิ่งกีดขวางบนหนทางของผู้ใดเลย เพื่องานปรนนิบัตินี้จะไม่ถูกติเตียน แต่เราแสดงตัวเป็นคนปรนนิบัติของ พระเจ้าในทุกทาง โดยมีความทรหดอดทนเป็นอย่างมากในความยากลำบาก ความลำเค็ญ ในเหตุวิบัติ การถูกเฆี่ยน และ การถูกจำคุก ในเหตุการณ์วุ่นวาย ในการตรากตรำ ในการอดหลับอดนอน ในการอดอาหาร โดยความบริสุทธิ์ ความรู้  ความอดทน และความกรุณา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยความรักอย่างจริงใจ โดยถ้อยคำสัตย์จริง โดยฤทธิ์เดชของ       พระเจ้า โดยการใช้ความชอบธรรมเป็นอาวุธทั้งด้วยมือขวาและมือซ้าย ทั้งในขณะมีเกียรติและขณะไร้เกียรติ ขณะถูกดู หมิ่นและขณะได้รับการยกย่อง เมื่อถูกกล่าวหาว่าเป็นคนหลอกลวง แต่ยังเป็นคนซื่อสัตย์”
                                                                                                ~2 โครินธ์ 6:3-8 THSV11

“สเทเฟนซึ่งเต็มเปี่ยมด้วยพระคุณและฤทธานุภาพก็ทำการมหัศจรรย์และหมายสำคัญใหญ่ท่ามกลางประชาชน แต่มีบาง คนจากธรรมศาลาที่เรียกว่าธรรมศาลาของทาสอิสระ ชาวไซรีน ชาวอเล็กซานเดรียและบางคนจากซิลีเซียและเอเชีย ลุก ขึ้นมาโต้แย้งกับสเทเฟน คนเหล่านั้นไม่สามารถต่อสู้ถ้อยคำที่ท่านกล่าวโดยสติปัญญาและพระวิญญาณบริสุทธิ์”
                                                                                                – กิจการ 6:8-10 THSV11
“และอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย ด้วยพระวิญญาณนั้นท่านได้รับการประทับตราไว้สำหรับวันที่จะได้รับการไถ่”
                                                                                                ~เอเฟซัส 4:30 THSV11

 

…10.วิญญาณหรือสิ่งเหล่านั้นเป็นพยานให้พระคริสต์ สอนเราให้รู้ กล้าประกาศและนำคนรับบัพติศมามากขึ้นหรือไม่?~หรือทำให้เราพูดเองโดยไม่พูดในสิ่งที่พระวิญญาณสอน?

“แต่องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้นจะทรงสอนพวกท่านทุกสิ่ง และจะทำให้ ระลึกถึงทุกสิ่งที่เรากล่าวกับท่านแล้ว”

                                                                                                 ~ยอห์น 14:26 THSV11

“และเราบอกท่านทั้งหลายว่า ทุกคนที่รับเราต่อหน้ามนุษย์ บุตรมนุษย์จะรับคนนั้นต่อหน้าบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้า แต่คนที่ปฏิเสธเราต่อหน้ามนุษย์ คนนั้นจะถูกปฏิเสธต่อหน้าทูตสวรรค์ของพระเจ้า ทุกคนที่กล่าวร้ายบุตรมนุษย์จะได้รับ การยกโทษ แต่คนที่กล่าวหมิ่นประมาทต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะไม่ได้รับการยกโทษ เมื่อเขาทั้งหลายพาพวกท่านเข้า ไปอยู่ต่อหน้าธรรมศาลา หรือต่อหน้าเจ้าเมืองและผู้ที่มีอำนาจ อย่ากระวนกระวายว่าจะตอบอย่างไร หรือจะกล่าวอะไร เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงสอนท่านในเวลานั้นเองว่าควรจะพูดอะไรบ้าง ””
                                                                                                   ~ลูกา 12:8-12 THSV11

“แต่พวกท่านจะได้รับพระราชทานฤทธานุภาพ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นสักขี พยานของเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย ทั่วแคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก””
                                                                                                   ~กิจการ 1:8 THSV11

สรุป
 เราสามารถ สังเกตและแยกแยะวิญญาณได้ว่า วิญญาณใดของแท้ และวิญญาณใดคือของปลอม โดยตรวจดูจาก 10 ประการต่อไปนี้ว่า วิญญาณที่ครอบครองเราอยู่มาพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่?

  1. 1.วิญญาณนั้นถวายเกียรติแด่พระเยซูคริสต์โดยช่วยสอนเราให้มีปัญญา รู้ความจริงและความล้ำลึกของพระองค์อย่างถูกต้องหรือไม่? ~หรือทำให้พระเยซูเสียพระเกียรติ?
  2. 2. วิญญาณนั้นทำให้เรายำเกรงพระเจ้า และต้องการให้ทุกคนกลับใจจากบาปและวิถีโลกหรือไม่?~หรือทำให้เราอ้างพระองค์เพื่อทำบาป?
  3. 3. วิญญาณนั้น ทำให้เราปรารถนาที่จะนมัสการพระเจ้าและรับใช้ด้วยความชื่นชมยินดี มีสันติสุขและมีความหวังในทุกสถานการณ์หรือไม่?~หรือรู้สึกเหมือนเป็นทาส?
  4. 4. วิญญาณนั้นให้ความสามารถพิเศษในการรับใช้เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมหรือไม่?~หรือเพื่อประโยชน์ส่วนตัว?
  5. 5. วิญญาณนั้นช่วยขอแทนเราในยามที่เราอ่อนกำลังและไม่รู้ว่าจะอธิษฐานอะไรบ้างหรือไม่?~หรือละทิ้งเราไว้โดยไม่แยแส?
  6. 6. วิญญาณนั้นชำระและสร้างเราขึ้นใหม่ ให้เป็นร่างกายที่เปี่ยมด้วยความชอบธรรมและฤทธิ์ พร้อมให้พระเจ้าทรงใช้หรือไม่?~หรือว่าเรายังใช้ร่างกายอย่างผิดๆ?
  7. 7. วิญญาณนั้นเป็นพยานว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า และเป็นที่พึ่งได้ ในการดำเนินชีวิต ของเราได้หรือไม่?~หรือว่า เรายังไม่แน่ใจว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว?
  8. 8. วิญญาณนั้นทำให้เราดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณโดยสำแดงผลของพระวิญญาณ (ความรัก )ออกมาอย่างชัดเจนไหม?~หรือว่างานของเนื้อหนังยังเต็มไปหมด?
  9. 9. วิญญาณนั้นนำ และทำให้เราทรหดอดทนในต่อสู้และการปรนนิบัติพระเจ้าหรือไม่? ~หรือว่าเราเปราะบางแตกง่ายในการรับใช้ ทำให้พระวิญญาณเสียพระทัย?
  10. 10. วิญญาณนั้นเป็นพยานให้พระคริสต์ สอนเราให้รู้ กล้าประกาศและนำคนรับบัพติศมามากขึ้นหรือไม่? ~หรือทำให้เราพูดเองโดยไม่พูดในสิ่งที่พระวิญญาณสอน?

 ถ้าคำตอบส่วนใหญ่ไปในทางเดียวกันว่า ใช่ ก็มั่นใจได้ว่า วิญญาณนั้น หรือสิ่งเหล่านั้น มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์!

 

ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์                                                                                           

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ความรอดและความมั่นใจในความรอด (คอลัมน์คำตอบชีวิต)

คำถาม   “พระคัมภีร์สอนเกี่ยวเรื่องความรอด และความมั่นใจในความรอดไว้อย่างไรบ้าง?”

คำตอบ:  “พระคัมภีร์สอนเกี่ยวกับความรอดไว้ดังนี้

1.ความรอดจากสถานการณ์อันตราย ต่างๆ ในชีวิตโดยพระเจ้า

1).เราสามารถขอพระเจ้าช่วยเราให้รอด เพราะเห็นแก่ความรักมั่นคงของพระองค์

“ข้าแต่พระยาห์เวห์ ขอทรงหันมาช่วยชีวิตของข้าพระองค์ด้วยเถิด ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอด เพราะเห็นแก่ความรักมั่นคงของพระองค์”  สดุดี 6:4 THSV11

2).เราไม่ควรหวั่นไหว เพราะเรามีพระเจ้าเป็นความรอดของเรา

“พระองค์เท่านั้นทรงเป็นศิลาและความรอดของข้าพเจ้า ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหว”  สดุดี 62:6 THSV11

3).เราควรร่าเริงยินดีในพระเจ้าแห่งความรอดของเราได้ในทุกสถานการณ์

“ถึงกระนั้น ข้าพเจ้าจะร่าเริงในพระยาห์เวห์ ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์ในพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า”  ฮาบากุก 3:18 THSV11

4) เราควรมีใจสงบคอยพระเจ้าอย่างเงียบๆ และรอรับความรอดพระองค์

“จิตใจของข้าพเจ้าสงบคอยพระเจ้าเท่านั้น ความรอดของข้าพเจ้ามาจากพระองค์”  สดุดี 62:1 THSV11

“เป็นการดีที่จะรออย่างเงียบๆ คือรอความรอดจากพระยาห์เวห์”  เพลงคร่ำครวญ 3:26 THSV11

5).เราควรประกาศความรอดของพระเจ้าทุกๆวัน

 “แผ่นดินโลกทั้งสิ้น จงร้องเพลงถวายพระยาห์เวห์ จงประกาศความรอดของพระองค์ทุกๆ วัน”  1 พงศาวดาร 16:23 THSV11

6).เราควรเตือนตัวเองว่าความรอดมาจากพระเจ้าผู้เป็นที่ลี้ภัยของเราทั้งหลาย

“ความรอดของคนชอบธรรมมาจากพระยาห์เวห์ พระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยของเขาในเวลายากลำบาก”  สดุดี 37:39 THSV11

2.ความรอดในฝ่ายจิตวิญญาณของทุกคนที่เชื่อในการไถ่ของพระคริสต์

1).พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราทุกคนได้รู้ความจริงและรับความรอด (ฝ่ายจิตวิญญาณ)

“พระองค์ทรงประสงค์ให้ทุกคนได้รับความรอดและรู้ความจริง”  1 ทิโมธี 2:4 THSV11

2).พระเจ้าไม่โปรดให้มีความรอดอยู่ในผู้ใดนอกจากในพระคริสต์

“ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย เพราะว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้นั้น ไม่โปรดให้มีท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า””  กิจการ 4:12 THSV11

3).เราควรน้อมรับพระวจนะ ซึ่งสามารถช่วยจิตวิญญาณของเราให้รอดได้

“เพราะฉะนั้นจงขจัดความโสมมทุกอย่างและความชั่วที่มีอยู่ดาษดื่น และด้วยใจที่สุภาพอ่อนโยนจงน้อมใจรับพระวจนะที่ทรงปลูกฝังไว้แล้วนั้น ซึ่งสามารถช่วยจิตวิญญาณของพวกท่านให้รอดได้”  ยากอบ 1:21 THSV11

4).เราควรสำนึกเสียใจและกลับใจใหม่ซึ่งนำไปสู่ความรอด

“เพราะว่าความเสียใจตามพระประสงค์ของพระเจ้า ทำให้เกิดการกลับใจ ซึ่งจะนำไปสู่ความรอดและจะไม่ทำให้เสียใจ แต่ความเสียใจอย่างโลกนั้นย่อมนำสู่ความตาย”  2 โครินธ์ 7:10 THSV11

5).เราควรตระหนักเสมอว่าเรารอดโดยพระคุณด้วยความเชื่อ (ไม่เพราะจากสาเหตุอื่นๆ)

“เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดแล้วด้วยพระคุณโดยทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ใช่มาจากตัวท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า”  เอเฟซัส 2:8 THSV11

 “เพราะได้รับความรอดแห่งวิญญาณจิตอันเป็นผลจากความเชื่อของพวกท่าน”  1 เปโตร 1:9 THSV11

6).เราควรเชื่อว่าเรารอดเมื่อเราเชื่อด้วยใจและยอมรับด้วยปาก

“เพราะว่าการเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด”  โรม 10:10 THSV11

7).เราควรขอบคุณพระเจ้าที่ทรงให้วันนี้ เป็นวันแห่งความรอดของทุกคน

“เพราะว่าพระองค์ตรัสว่า “ในเวลาโปรดปรานเราได้ฟังเจ้า ในวันแห่งความรอดเราได้ช่วยเจ้า” นี่แน่ะ บัดนี้เป็นเวลาแห่งความโปรดปราน นี่แน่ะ บัดนี้เป็นวันแห่งความรอด”   2 โครินธ์ 6:2 THSV11

8).เราไม่ควรละเลยข่าวประเสริฐและความรอดที่เกิดจากการประกาศนั้น

“ข้าพเจ้าไม่มีความละอาย ในเรื่องข่าวประเสริฐ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอดพวกยิวก่อน แล้วพวกกรีกด้วย”  โรม 1:16 THSV11

“เราจะรอดพ้นได้อย่างไร? ถ้าเราละเลยความรอดอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ ความรอดนั้นได้เริ่มขึ้นโดยการประกาศขององค์พระผู้เป็นเจ้า และบรรดาผู้ที่ได้ยินพระองค์ก็รับรองกับเราว่าเป็นความจริง”  ฮีบรู 2:3 THSV11

9).เราควรเอาความรอดมาเป็นหมวกเหล็กป้องกันชีวิต

“จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสง ของพระวิญญาณคือพระวจนะของพระเจ้า”  เอเฟซัส 6:17 THSV11

10).เราควรตระหนักว่า เรารอดเพราะเราควรเชื่อและเรามีความสุขเมื่อเรารอด

“พระองค์จึงตรัสกับหญิงคนนั้นว่า “ความเชื่อของเธอทำให้เธอรอด จงไปเป็นสุขเถิด””  ลูกา 7:50 THSV11

11).เราควรมั่นใจว่า ถ้าเราเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เราจะรอดและมีชีวิตนิรันดร์แน่นอน

“ข้อความเหล่านี้ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านทั้งหลายที่วางใจในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า เพื่อให้ท่านรู้ว่าท่านมีชีวิตนิรันดร์”  1 ยอห์น 5:13 THSV11

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

การทดลอง & การทดสอบ (คอลัมน์คำตอบชีวิต)

ถาม:    “พระคัมภีร์สอนอะไรบ้างเกี่ยวเรื่องการทดลองและการทดสอบ?”

ตอบ:     “พระคัมภีร์สอนเรื่องการทดลองไว้ดังนี้

1.พระเยซูสอนสาวกให้อธิษฐานโดยขอพระเจ้าอย่านำพวกเขาเข้าไปในการทดลอง

“เพราะฉะนั้นพวกท่านจงอธิษฐานเช่นนี้ว่า ‘ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้สถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก ขอประทานอาหารประจำวันแก่พวกข้าพระองค์ในวันนี้ และขอทรงยกบาปผิดของพวกข้าพระองค์ เหมือนพวกข้าพระองค์ยกโทษบรรดาคนที่ทำผิดต่อข้าพระองค์ และ…ขออย่าทรงนำพวกข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง แต่ขอให้พวกข้าพระองค์พ้นจากความชั่วร้าย ’”   มัทธิว 6:9-13 THSV11

2.พระเยซูสอนสาวกให้ตื่นตัวอธิษฐานอยู่ตลอดเวลาเพื่อพวกเขาจะไม่ตกอยู่ในการทดลอง(แม้แต่ในขณะที่เราอยู่ใน  ฝ่ายพระวิญญาณอยู่ก็ตาม)

“เมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงอธิษฐานเพื่อจะได้ไม่ตกอยู่ในการทดลอง (temptation )”  ลูกา 22:40 THSV11

“พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “หลับอยู่ทำไม? จงลุกขึ้นอธิษฐาน เพื่อท่านจะไม่ตกอยู่ในการทดลอง(temptation )”  ลูกา 22:46 THSV11

 “พี่น้องทั้งหลาย แม้จับใครที่ละเมิดประการใดได้ พวกท่านซึ่งอยู่ฝ่ายพระวิญญาณ จงช่วยคนนั้นด้วยใจสุภาพอ่อนโยนให้เขากลับตั้งตัวใหม่ โดยคิดถึงตัวเอง เกรงว่าท่านจะถูกทดลอง(tempted)ด้วย”  กาลาเทีย 6:1 THSV11

3.พระเยซูเตือนสาวกว่าถ้าไม่รักษาสุขภาพกายให้ดี  แม้จิตวิญญาณดีก็ยังยากจะรับมือกับการทดลอง

“ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังและอธิษฐาน เพื่อจะไม่ถูกการทดลอง(temptation )จิตวิญญาณพร้อมแล้วก็จริง แต่กายยังอ่อนกำลัง”” มาระโก 14:38 THSV11

4.พระเยซูเคยถูกมารทดลองหลายครั้ง  แต่พระองค์ก็ชนะมาได้หมด(แต่มารก็รอจังหวะกลับมาใหม่)

“พระเยซูทรงประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้กลับไปจากแม่น้ำจอร์แดน และพระวิญญาณได้ทรงนำพระองค์ไป ถึงสี่สิบวัน ในถิ่นทุรกันดาร ทรงถูกมารทดลอง ในวันเหล่านั้นพระองค์มิได้เสวยอะไรเลย และเมื่อสิ้นสี่สิบวันแล้ว พระองค์ทรงอยากพระกระยาหาร มารจึงทูลพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินนี้ให้กลายเป็นพระกระยาหาร””   ลูกา 4:1-3 TH1971

“เมื่อมารทำการทดลองทุกอย่างสิ้นแล้ว จึงละพระองค์ไปจนถึงโอกาสเหมาะ”    ลูกา 4:13 TH1971

5.พระเยซูก็ถูกปรปักษ์และศัตรูทดลองพระองค์เสมอ แต่พระองค์ก็ผ่านมาได้ตลอด

“พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี ได้พาผู้หญิงคนหนึ่งมา หญิงผู้นี้ถูกจับฐานล่วงประเวณี และเขาให้หญิงผู้นี้ยืนอยู่หน้าฝูงชน เขาทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า หญิงคนนี้ถูกจับเมื่อกำลังล่วงประเวณีอยู่ ในธรรมบัญญัตินั้นโมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนเช่นนี้ให้ตาย ส่วนท่านจะว่าอย่างไรในเรื่องนี้” เขาพูดอย่างนี้ เพื่อทดลองพระองค์หวังจะหาเหตุฟ้องพระองค์ แต่พระเยซูทรงน้อมพระกายลงเอานิ้วพระหัตถ์เขียนที่ดิน และเมื่อพวกเขายังทูลถามอยู่เรื่อยๆ พระองค์ก็ทรงลุกขึ้นตรัสตอบเขาว่า “ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่มีผิด ก็ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างเขาก่อน””  ยอห์น 8:3-7 TH1971

6.พระเยซูเห็นใจในความอ่อนแอของเราผู้เชื่อ เพราะพระองค์ค็ถูกทดลองเหมือนเรามาแล้ว

“เหตุฉะนั้น เมื่อเรามีมหาปุโรหิตผู้เป็นใหญ่ที่ผ่านฟ้าสวรรค์เข้าไปถึงพระเจ้าแล้ว คือพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ขอให้เราทั้งหลายมั่นคงในพระศาสนาของเรา เพราะว่า เรามิได้มีมหาปุโรหิตที่ไม่สามารถจะเห็นใจในความอ่อนแอของเรา แต่ได้ทรงถูกทดลองใจเหมือนอย่างเราทุกประการ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป “   ฮีบรู 4:14-15 TH1971

7.พระเยซูจะช่วยเราในยามที่เราถูกทดลอง เพียงขอให้เราเข้าพระองค์ด้วยใจกล้า

“เพราะพระองค์เองได้ทรงทนทุกข์และถูกทดลอง (tempted)พระองค์จึงทรงสามารถช่วยผู้ที่ถูกทดลองได้”  ฮีบรู 2:18 THSV11

“ฉะนั้นขอให้เราทั้งหลาย จงมีใจกล้าเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณ เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะได้รับพระคุณที่จะช่วยเราในขณะที่ต้องการ”   ฮีบรู 4:16 THSV11

“เพราะว่าเจ้าถือรักษาคำของเรา คือมีความทรหดอดทน เราจะเฝ้ารักษา เจ้าให้พ้นจากช่วงเวลาแห่งการทดลอง(trials) ซึ่งจะมาถึงคนทั่วทั้งโลกเพื่อจะทดลองคนทั้งหลายที่อยู่ในโลก”   วิวรณ์ 3:10 THSV11

8.พระเยซูเจ้า จะไม่ให้เราถูกทดลองเกินกว่าที่เราจะทนได้ และมีทางออกให้เราเสมอ

“ไม่มีการทดลอง(temptation )ใดๆ เกิดขึ้นกับท่านทั้งหลาย นอกเหนือการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ พระเจ้าทรงซื่อสัตย์ พระองค์จะไม่ทรงให้พวกท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อถูกทดลอง พระองค์จะทรงให้มีทางออกด้วย เพื่อพวกท่านจะมีกำลังทนได้”    1 โครินธ์ 10:13 THSV11

“ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงทราบว่าจะช่วยคนที่ยำเกรงพระเจ้าพ้นจากการทดลอง(trials)ได้อย่างไร และทรงทราบวิธีกักขังคนชั่วไว้ให้รับโทษเมื่อถึงวันพิพากษา”   2 เปโตร 2:9 THSV11

9.พระคัมภีร์เตือนเราให้ระวังตัณหาของตัวเราจะทดลองและล่อลวงเราให้ทำบาป

“แต่ทุกคนถูกล่อลวง(tempted)ด้วยตัณหาของตัวเอง คือถูกตัณหานั้นล่อลวงและชักนำ เมื่อตัณหาฟักตัวขึ้นแล้วก็ก่อให้เกิดบาป และเมื่อบาปเจริญเต็มที่แล้วก็ก่อให้เกิดความตาย”  ยากอบ 1:14-15 THSV11

10.พระคัมภีร์เตือนเราให้ระวังการทดลองและการล่อลวงให้ติดกับดักของความอยากรวย

“ส่วนพวกที่อยากร่ำรวยก็ตกอยู่ในการล่อลวงและติดกับดักของความอยากมากมายที่โง่เขลาและอันตราย ซึ่งฉุดคนเราให้ลงไปสู่ความพินาศและความย่อยยับ”  1 ทิโมธี 6:9 THSV11

11.พระคัมภีร์หนุนใจว่า ถ้าเราไม่ได้เดินเข้าไปในการทดลองเอง แต่พระเจ้าอนุญาตให้เราเผชิญกับมัน จงรับมือกับมันด้วยความเขื่อและถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี

“พี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อพวกท่านพบกับการทดลองใจ(trials)ต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง”  ยากอบ 1:2 THSV11

“ในสิ่งนี้พวกท่านชื่นชมยินดี ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้ จำเป็นที่พวกท่านต้องทนทุกข์ในการทดลอง(trials)ต่างๆ นานาชั่วระยะหนึ่ง” 1 เปโตร 1:6 THSV11

 12.พระคัมภีร์สอนให้เรารับใชัพระเจ้าด้วยความถ่อมใจและทนต่อการทดลอง

ข้าพเจ้ารับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความถ่อมใจและด้วยน้ำตา ต้องทนต่อการทดลอง(severe testing /trials)ที่มาถึงตัวเองอันเนื่องจากแผนร้ายของพวกยิว”  กิจการ 20:19 THSV11

13.พระคัมภีร์บอกเราว่า เราจะได้รับผลดี รางวัล หรือมงกุฎแห่งชีวิตเมื่อเราผ่านการทดสอบและการทดลอง

“เบ้าหลอมมีไว้สำหรับเงิน และเตาถลุงสำหรับทองคำ แต่พระยาห์เวห์ทรงทดลองใจ (tests)”  สุภาษิต 17:3 THSV11

“คนที่สู้ทนต่อการทดลองใจก็เป็นสุข เพราะเมื่อเขาผ่านการทดสอบแล้ว เขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิตที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับคนทั้งหลายที่รักพระองค์”  ยากอบ 1:12 THSV11

14.พระคัมภีร์สอนให้เราช่วยเหลือพี่น้องที่กำลังถูกทดลอง(หนัก)

“เพราะเหตุนี้ เมื่อข้าพเจ้าทนต่อไปอีกไม่ได้ จึงใช้คนไปเพื่อจะได้ทราบถึงความเชื่อของท่าน เกรงว่าผู้ทดลองนั้นจะทดลอง (tempted) ท่านสักประการหนึ่ง แล้วงานที่เราตรากตรำมาจะเป็นงานเปล่าประโยชน์ไป”  1 เธสะโลนิกา 3:5 THSV11

15.พระเยซูและพระคัมภีร์เตือนเรา(ทุกคน รวมทั้งมาร)ไม่ให้ทดลองพระเจ้าหรือพระวิญญาณ

“พระเยซูจึงตรัสตอบมารว่า “มีคำกล่าวไว้ว่า ‘อย่าทดลอง (test) องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน’ ”” ลูกา 4:12 THSV11

“ห้ามทดลองพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย เหมือนที่ได้ทดลอง (test) พระองค์ที่มัสสาห์”  เฉลยธรรมบัญญัติ 6:16 THSV11

“เปโตรจึงถามนางว่า “ทำไมเจ้าสองคนถึงพร้อมใจกันทดลอง(test)พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าเล่า? นี่แน่ะ เท้าของพวกคนที่ฝังศพสามีเจ้าอยู่ที่ประตู และพวกเขาจะหามศพของเจ้าออกไปด้วย”  กิจการ 5:9 THSV11

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer