Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

เป้าหมายชีวิตที่พระเจ้าพอพระทัย

คำถาม:   “พระคัมภีร์สอนเรื่องเป้าหมายชีวิตที่พระเจ้าพอพระทัยไว้อย่างไรบ้าง?”

คำตอบ:  พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่มีเป้าหมายต่อทุกสิ่ง และต่อทุกคน ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคต

พระยาห์เวห์ทรงทำให้ทุกสิ่งมีเป้าหมายของมัน แม้คนอธรรมก็เพื่อวันลำเค็ญ -สุภาษิต 16:4 THSV11

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าคืออะไร?

คำถาม:      “ยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าคืออะไร? สำคัญต่อเราอย่างไร?”

คำตอบ:             

“ไม่ว่าเรารู้ตัวหรือไม่ แต่เรากำลังอยู่ในสงครามฝ่ายจิตวิญญาณ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย เราต้องตื่นตัว ระวังตัว และตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่า ศัตรูที่แท้จริงของเรานั้นไม่ใช่ มนุษย์ แต่เป็น มารซาตาน!

มารจะพยายามทำทุกอย่างให้เราอ่อนแแอ หมดแรง ท้อถอย และพ่ายแพ้ มันมักใช้หลากหลายยุทธวิธี ในการกำจัดคนของพระเจ้า เช่น ทำให้ตกทุกข์ได้ยาก รวมทั้งการเจ็บไข้ได้ป่วยและไม่หาย จนทนไม่ไหวทิ้งความเชื่อในพระเจ้าไป หรือ ยั่วยวนล่อลวงชวนให้คนของพระเจ้าพ่ายแพ้การทดลองและหยุดการติดตามพระเจ้า หรือ ทำให้ลุมหลง มัวเมา หรือ ทะนงในทรัพย์สินเงินทอง ลาภยศสรรเสริญ และความสนุกสำราญกับวิถีของโลก เช่น การผิดประเวณี  ฯลฯ ทำให้ออกห่างจากพระเจ้า       

แต่อีกยุทธอุบายหนึ่งของมาร ซึ่งมารใช้ได้ผลมาตลอดก็คือ มันจะทำให้ผู้เชื่อทะเลาะกันเอง แทนที่จะต่อสู้กับตัวมัน จนผู้เชื่อเหล่านั้นต่างก็หมดเรี่ยวหมดแรง และหมดใจ อาจารย์เปาโล เตือนสติเราว่า ด้วยกำลัง ความสามารถ และสติปัญญาของเราโดยลำพังคงไม่พอรับมือกับมารได้ เราจึงจำเป็นต้องพึ่งพระเจ้า โดยทำดังนี้
1.ให้เราเข้มแข็งขึ้น
            1).ในองค์พระผู้เป็นเจ้า และ
            2).ในฤทธานุภาพอันทรงพลังของพระองค์ ที่ไม่ผู้ใดจะต่อสู้ได้
 2.ให้เราสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าเพื่อจะสามารถต่อสู้กับอุบายของมารได้ เพราะ
            1).เราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่
            2).เราต่อสู้กับ
            •พวกเทพ/ภูตผีที่ครอบครอง
            •พวกเทพ/ภูตผีที่มีอำนาจ
            •พวกเทพ/ภูตผีที่ครองพิภพในยุคมืดนี้
            •พวกวิญญาณชั่วในย่านฟ้าอากาศ
3.ให้เรารับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า มาสวมและเตรียมพร้อมไว้เพื่อสามารถยืนหยัดต่อสู้กับแผนการอันชั่วร้ายของมารได้และยุทธภัณฑ์ของพระเจ้า มีดังนี้
            1).ความจริง ~ซึ่งเป็นดุจเข็มขัดคาดเอว
            2).ความชอบธรรม~ซึ่งเป็นดุจเสื้อเกราะป้องกันอก
            3).ความพร้อมในการประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข~ซึ่งเป็นดุจรองเท้า
            4).ความเชื่อ~ซึ่งเป็นดุจโล่ เอาไว้ใช้ดับลูกศรเพลิงทั้งหมดของมารร้าย
            5).ความรอด~ซึ่งเป็นดุจหมวกเหล็กเอาไว้ป้องกันศีรษะ และความคิด
            6).พระวจนะของพระเจ้า~ซึ่งเป็นดุจพระแสงดาบของพระวิญญาณ ใช้ต่อสู้มาร

และสิ่งที่ต้องทำควบคู่ไปกับการสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดดังกล่าว ก็คือ เราต้องเฝ้าระวังด้วยความเพียรอดทน ด้วยการอธิษฐาน และด้วยการช่วยเหลือของพระวิญญาณ ในทุกเวลาทุกโอกาสและในทุกรูปแบบ ทั้งเพื่อตนเองและเพื่อคนอื่น  เพื่อเราจะสามารถมีชีวิตที่เป็นพยาน ควบคู่ไปกับการประกาศถ้อยคำแห่งข่าวประเสริฐด้วยใจกล้าหาญต่อทุกคนอย่างเกิดผล  (เอเฟซัส 6:10-20 )

 ดังนั้น วันนี้ เราควรตรวจดูว่า เราได้สวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าอย่างครบถ้วนแล้วหรือยัง?  และ

  • เราได้เชื่อฟังและลงมือปฏิบัติตามคำแนะนำดังกล่าวไปอย่างใส่ใจแล้วหรือไม่
  • เราเข้มแข็งขึ้นด้วยฤทธานุภาพของพระเจ้าแล้วหรือยัง?
  • เราย่ามใจ ท้อใจ ชะล่าใจ หรือประมาท อยู่หรือไม่?

ขอให้เราระวังตัว และเตรียมพร้อมสำหรับการรบ เพียงแต่ขอว่า อย่าไปรบผิดคน ก็แล้วกัน!   เพราะเดี๋ยวมารซาตานมันจะหัวเราะเย้ยหยันแบบท้องแข็งจนงอหงาย
        …เมื่อเรามาฆ่ากันเอง!”

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

สิทธิอำนาจของพระวจนะ

คำถาม   “พระคัมภีร์สอนอะไรบ้าง” เกี่ยวก้บสิทธิอำนาจของพระวจนะในชีวิตของเรา?

คำตอบ:  พระเยซูคริสต์สั่งสอนประชาชน ด้วยพระวจนะอันเปี่ยมด้วยสิทธิอำนาจตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์บนโลกนี้

“เพราะพระองค์ทรงสั่งสอนพวกเขาอย่างผู้มีสิทธิอำนาจ ไม่เหมือนบรรดาธรรมาจารย์ของเขา”  ~มัทธิว 7:29 THSV11

แล้ว พระวจนะของพระเจ้ามีสิทธิอำนาจอย่างไรบ้าง?

1 .พระวจนะของพระเจ้ามีสิทธิอำนาจดุจพระแสงดาบฝ่ายวิญญาณ

“จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสง ของพระวิญญาณคือพระวจนะของพระเจ้า”  -เอเฟซัส 6:17 THSV11

2.พระวจนะของพระเจ้า มีสิทธิอำนาจในการขับไล่ผี

“แล้วพระองค์เสด็จไปถึงเมืองคาเปอรนาอุมแคว้นกาลิลี และทรงสั่งสอนพวกเขาในวันสะบาโต เขาก็อัศจรรย์ใจ ด้วยคำสอนของพระองค์ เพราะพระดำรัสของพระองค์ประกอบด้วยสิทธิอำนาจ มีคนหนึ่งในธรรมศาลาที่มีผี โสโครกเข้าสิง ร้องเสียงดังว่า “พระเยซูชาวนาซาเร็ธ พระองค์มายุ่งกับเราทำไม? พระองค์มาทำลายเราหรือ?   ข้ารู้ว่าพระองค์เป็นใคร พระองค์คือองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า” พระเยซูจึงตรัสห้ามมันว่า “นิ่งเสีย จงออกมาจากตัวเขา” ผีนั้นก็ทำให้เขาล้มลงท่ามกลางฝูงชน แล้วก็ออกจากตัวเขา แต่ไม่ได้ทำอันตรายเขาเลย ทุกคนก็ประหลาดใจพูดกันว่า “ถ้อยคำของคนนี้มีอะไรพิเศษนะ เพราะท่านสั่งผีโสโครกด้วยสิทธิอำนาจและฤทธิ์เดช และพวกมันก็ออก” กิตติศัพท์ของพระองค์จึงเลื่องลือไปทุกตำบลที่อยู่รอบนั้น”   -ลูกา 4:31-37 THSV11. ปท. มาระโก 1:21-28

3.พระวจนะของพระเจ้ามีสิทธิอำนาจในการกล่าวให้อภัยบาปได้

“ทั้งนี้เพื่อให้ท่านรู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะอภัยบาปได้” พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า “จงลุกขึ้น ยกที่นอนกลับไปบ้านของท่าน” -มัทธิว 9:6 THSV11 ปท. ลูกา 5:24

4.พระวจนะของพระเจ้ามีสิทธิอำนาจในการเสริมสร้าง

“เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงเขียนสิ่งเหล่านี้ในระหว่างที่ข้าพเจ้าไม่อยู่ด้วย เพื่อว่าเมื่อมาถึงแล้วข้าพเจ้าจะไม่ต้องทำด้วยความเข้มงวด ในการใช้สิทธิอำนาจที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานให้แก่ข้าพเจ้า เพื่อการเสริมสร้าง ไม่ใช่เพื่อการทำลาย” -2 โครินธ์ 13:10 THSV11

5.พระวจนะของพระเจ้ามีสิทธิอำนาจในการใช้รักษาและช่วยกู้คนจากความตาย

“พระองค์ทรงใช้พระวจนะของพระองค์ไปรักษาเขาทั้งหลาย และทรงช่วยกู้เขาจากหลุมมรณา”  -สดุดี 107:20 THSV11

6. พระวจนะของพระเจ้ามีสิทธิอำนาจในการชำระ และแยกคน/คริสตจักรให้บริสุทธิ์

“ขอทรงแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์ ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง”  -ยอห์น 17:17 THSV11

“เพื่อจะทำให้คริสตจักรบริสุทธิ์โดยการชำระด้วยน้ำและพระวจนะ”  -เอเฟซัส 5:26 THSV11

7. พระวจนะของพระเจ้ามีสิทธิอำนาจในการทำให้เราเจริญรุ่งเรืองและสุขสบาย

“ผู้ใส่ใจพระวจนะ จะเจริญรุ่งเรือง และคนที่วางใจในพระยาห์เวห์จะสุขสบาย”  -สุภาษิต 16:20 THSV11

8. พระวจนะของพระเจ้ามีสิทธิอำนาจในการทำให้เรามีความหวัง

“ข้าพเจ้า คอยพระยาห์เวห์ จิตใจของข้าพเจ้าคอยอยู่ และข้าพเจ้าหวังในพระวจนะของพระองค์”  -สดุดี 130:5 THSV11

9. พระวจนะของพระเจ้ามีสิทธิอำนาจในการทำให้เราเกิดผลและมีอานุภาพ

“พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็เกิดผลเจริญและมีอานุภาพยิ่ง”  -กิจการ 19:20 THSV11

10. พระวจนะของพระเจ้ามีสิทธิอำนาจในการทำให้คนทั้งปวงได้รับความรอด

“ข้าพเจ้าไม่มีความละอาย ในเรื่องข่าวประเสริฐ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า เพื่อให้  ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด พวกยิวก่อน แล้วพวกกรีกด้วย”  -โรม 1:16 THSV11

สรุป

พระวจนะของพระเจ้า (ในรูปแบบต่างๆ เช่นข่าวประเสริฐ ธรรมบัญญัติ) มีสิทธิอำนาจในการเปลี่ยนชีวิต จิตใจและจิตวิญญาณของคน

1. เราต้องฟัง(หรืออ่าน)แล้วทำตาม
“แต่จงเป็นผู้ประพฤติตามพระวจนะ ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ฟังเท่านั้น มิฉะนั้นจะเป็นการหลอกตัวเอง” -ยากอบ 1:22 THSV11

2.เราต้องไม่ดูหมิ่นพระวจนะ

“คนที่ดูหมิ่นพระวจนะก็ทำลายตนเอง แต่คนที่นับถือพระบัญญัติจะได้รับบำเหน็จ”  -สุภาษิต 13:13 THSV11

3.เราต้องไม่ปล่อยให้ใครหรืออะไรมาแย่งชิงพระวจนะไปจากเรา

“และเมล็ดซึ่งหว่านกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ แต่ความกังวลของโลก และการล่อลวงของทรัพย์สมบัติรัดพระวจนะนั้นเสีย จึงไม่เกิดผล”  -มัทธิว 13:22 THSV11

4.เราต้องมุ่งหาความรักและของประทานแห่งการเผยพระวจนะ

“จงมุ่งหาความรัก และขวนขวายของประทานจากพระวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผยพระวจนะ”  -1โครินธ์ 14:1 THSV11

5.เราต้องตระหนักว่า พระวจนะของพระเจ้าเป็นข่าวประเสริฐที่ต้องประกาศออกไป

“แต่พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ยั่งยืนอยู่เป็นนิตย์” พระวจนะนี้คือข่าวประเสริฐที่ได้ประกาศให้พวกท่านทราบแล้ว”  -1เปโตร 1:25 THSV11

6.เราต้องอุทิศตัวในพันธกิจด้านพระวจนะ

“ส่วนเราจะอุทิศตัวในการอธิษฐานและในพันธกิจด้านพระวจนะ”  -กิจการ 6:4 THSV11

7.เราต้องให้พระวจนะของพระคริสต์อยู่ในเราอย่างสมบูรณ์

“จงให้พระวจนะของพระคริสต์อยู่ในพวกท่านอย่างบริบูรณ์ จงสั่งสอนและเตือนสติกันด้วยปัญญาทั้งสิ้น จงร้องเพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงฝ่ายจิตวิญญาณด้วยการขอบพระคุณพระเจ้าในใจของท่าน”  -โคโลสี 3:16 THSV11

8.เราต้องตระหนักว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นเที่ยงธรรม
“เพราะพระวจนะของพระยาห์เวห์นั้นเที่ยงธรรม และพระราชกิจทั้งสิ้นสำแดงความซื่อสัตย์ของพระองค์” -สดุดี 33:4 THSV11

9.เราต้องไม่ทำอันตรายผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า

“อย่าแตะต้องผู้ที่เราเจิมไว้ อย่าทำอันตรายผู้เผยพระวจนะของเรา”  -1 พงศาวดาร 16:22 THSV11

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

การสร้างและพัฒนาชีวิตให้เติบโตในความสัมพันธ์กับพระเจ้า

คำถาม:    ”พระคัมภีร์สอนอะไรบ้างเกี่ยวกับการสร้างและพัฒนาชีวิตให้เติบโตในความสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ?”

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

พระคัมภีร์สอนเรื่องการขอบคุณพระเจ้าอย่างไร? (คำถามประจำสัปดาห์)

คำถาม      “พระคัมภีร์สอนเรื่องการขอบพระคุณพระเจ้า และพลังของการขอบพระคุณไว้อย่างไรบ้าง?”

คำตอบ:

1 .เราควรขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี

 “จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับพวกท่านในพระเยซูคริสต์” -1เธสะโลนิกา 5:18 THSV11

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

พระคัมภีร์สอนอะไรเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ทางเพศ

คำถาม:   “พระคริสตธรรมคัมภีร์สอนอะไรเราบ้างเกี่ยวกับเรื่องความบริสุทธิ์ทางเพศ?”

คำตอบ:

“พระเจ้าเป็นพระเจ้าองค์บริสุทธิ์ ให้เรายกย่องพระองค์” 

 “จงยกย่องพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา และจงนมัสการที่ภูเขาบริสุทธิ์ของพระองค์ เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราบริสุทธิ์” (สดด.99:9 THSV11)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

เราจะลงลึกในพระวจนะได้อย่างไร? คำถามประจำสัปดาห์

คำถาม:   “เราจะลงลึกในพระวจนะได้อย่างไร?”

คำตอบ:   การลงลึกในที่นี้คงมี 3 มิติ

  • 1.มิติแห่งความรู้
  • 2.มิติแห่งความเข้าใจ
  • 3.มิติแห่งการนำไปปฏิบัติ

1.ในมิติแห่งความรู้

การลงลึกคือ การจริงจังในการศึกษาพระวจนะของพระเจ้าหรือการศึกษาพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อการเติบโตฝ่ายวิญญาณของผู้เชื่อทุกคน เพราะเป็นรากฐานแห่งความเชื่อศรัทธาที่ถูกต้อง หากรู้ผิด เข้าใจผิด และยึดสิ่งที่รู้นั้นอย่างผิดๆ ก็จะทำให้เราเพี้ยนไปจากวิถีทางของพระเจ้าโดยไม่รู้ตัว คือโตแบบเชื่อผิดแต่คิดว่าถูกมาตลอด ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องศึกษาพระคัมภีร์แบบลงลึกในความรู้และความสัมพันธ์กับพระเจ้า นั่นคือ เราควร  

1).ศึกษาพระวจนะของพระเจ้าอย่างจริงจัง จดจ่อ

2).ศึกษาพระวจนะนั้นอย่างมีหลักและตามขั้นตอน

  •  ก.สังเกตดี
  •  ข.ตีความถูก
  •  ค.ประยุกต์เหมาะ

3).ศึกษาอย่างใคร่ครวญพระวจนะนั้น โดยหาความหมาย ที่ถูกต้องที่สุด

4).ศึกษาอย่างรำพึงภาวนา ให้สิ่งที่เรียนรู้กลายเป็นส่วนหนึ่งของความคิด อารมณ์และจิตใจ ที่ทำให้เราพร้อมที่จะเชื่อฟังทำตาม

5).ศึกษาอย่างสะสมพระวจนะ โดยการท่องจำข้อที่มีความหมายและความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตและการรับใช้ของเราไว้ให้มาก ๆ

2.ในมิติแห่งความเข้าใจ

เราศึกษาลงลึกในพระวจนะของพระเจ้า ไม่ใช่ยึดแต่ตามตัวอักษรหรือตามแต่การตีความตามประเพณีของคณะนิกาย แต่ให้เราลึกลงไปในความเข้าใจถึงเบื้องลึกแห่งพระทัยของพระเจ้า และให้ความเข้าใจนั้นเปลี่ยนแปลงความคิด ทัศนคติ และมุมมองในชีวิตและการรับใช้ของเรา นั่นคือให้เราเข้าใจในความหมายที่แท้จริงของพระคัมภีร์ที่เราอ่านและลงมือปฏิบัตินั้นอย่างถูกต้อง

3.ในมิติแห่งการปฏิบัติ

เราต้องลงลึกในพระเจตนารมณ์ของพระเจ้าเบื้องหลังตัวอักษรของธรรมบัญญัติที่เราศึกษาหรือท่องจำเอาไว้ นั่นคือ หลังจากที่เราอ่าน ฟัง ท่องจำ คิดใคร่ครวญภาวนา ศึกษาเข้าใจความหมายที่แท้จริงของพระวจนะตอนนั้นๆ ตามพระเจตนาของพระเจ้าแล้ว ก็ให้เรานำเอาสิ่งที่เรียนรู้แบบลงลึกนั้นไปลงมือประยุกต์ปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวันของเรา ด้วยความเชื่อฟังและยำเกรงพระเจ้าให้เกิดผลดีต่อตัวเราเป็นส่วนตัวและต่อครอบครัว คริสตจักรและสังคม

ปัจจุบันมีแนวคิด และวิถีใหม่ๆ ในการขุดลึกลงไปในพระวจนะของพระเจ้า ดังนี้

1.อ่านพระคัมภีร์แต่ละเล่มให้จบในครั้งเดียว –ไม่อ่านตามบทหรือข้อที่มีการช่วยแบ่งไว้ให้อ่านอย่างที่ปรากฎอยู่ แต่ให้อ่านเหมือนกับต้นฉบับแรกคือ ไม่มีบท ไม่มีข้ออย่างที่จัดแบ่งกันในปัจจุบัน ทำให้เห็นบริบทของพระคัมภีร์เล่มนั้นๆ กว้างขึ้น และเข้าใจความหมายได้ถูกต้องมากขึ้น

2.อ่านทีละบท และอ่านซ้ำและอ่านซ้ำ หลายๆ ครั้ง จนเห็นความจริงใหม่ๆ ปรากฏผ่านคำ หรือวลีต่างๆ ชัดเจนมากขึ้น  เหมือนเป็นบทสนทนาที่มีชีวิตขึ้นมา อย่างน่าแปลกใจ

3.อ่านแล้วหยุด จดจ่อกับคำบางคำ หรือบางวลี ~คือตั้งคำถาม โดยจินตนาการถึงจุดเริ่มต้นในการใช้คำนี้ ความหมายดั้งเดิม และการนำมาใช้ในในตอนเริ่มต้นจนเกิดความเข้าใจและเห็นภาพเรื่องราวและความหมายอย่างชัดเจน

ดังนั้น พี่น้องที่รัก ขอให้เราสนใจ และใส่ใจ ในการจัดเวลาศึกษาพระคัมภีร์แบบ ลงลึกกับพระวจนะของพระเจ้า และประพฤติปฏิบัติตนตามนั้นอย่างมีคุณภาพด้วยความเชื่อฟังเพื่อชีวิตจิตวิญญาณของเราและคนอื่น ๆ  จะเจริญรุ่งเรืองขึ้น!

“ผู้ใส่ใจพระวจนะ จะเจริญรุ่งเรือง และคนที่วางใจในพระยาห์เวห์จะสุขสบาย”   สุภาษิต 16:20 THSV11 

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(Cr.ภาพ Emmanuel Phaeto / Unsplash.com)