Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม:   “ พระคัมภีร์สอนอย่างไรบ้างเรื่องเกี่ยวกับการรักพี่น้อง?”

คำตอบ:  “ พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องการรักพี่น้องไว้มากมาย อาทิ

1. เราต้องรักพี่น้อง เพราะพระคัมภีร์บัญชาให้เรารักพี่น้อง

“พระบัญญัตินี้เราได้มาจากพระองค์ คือให้คนที่รักพระเจ้านั้นรักพี่น้องของตนด้วย” ~1 ยอห์น 4:21 THSV11

2. เราต้องรักพี่น้องควบคู่ไปกับการขวนขวายให้เกียรติ

“จงให้เกียรติทุกคน จงรักพวกพี่น้อง จงยำเกรงพระเจ้า จงถวายเกียรติแด่จักรพรรดิ” ~1 เปโตร 2:17 THSV11

“จงรักกันฉันพี่น้อง จงขวนขวายในการให้เกียรติกันและกัน” ~โรม 12:10 THSV11

3. เราต้องรักพี่น้อง มิฉะนั้นเราก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า

“เช่นนี้แหละ จึงเห็นได้ว่าใครเป็นลูกของพระเจ้า และใครเป็นลูกของมาร คือผู้ที่ไม่ได้ประพฤติชอบ และไม่รักพี่น้องของตน ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า” ~1 ยอห์น 3:10 THSV11

4. เราพูดว่าเรารักพระเจ้าแต่ไม่รักพี่น้องแถมเกลียดชังเขา เราก็คือคนโกหก

“ถ้าใครกล่าวว่า “ข้าพเจ้ารักพระเจ้า” แต่ใจยังเกลียดชังพี่น้องของตน เขาเป็นคนพูดมุสา เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่มองเห็นแล้ว จะรักพระเจ้าที่มองไม่เห็นไม่ได้” ~1 ยอห์น 4:20 THSV11

5. เรารักพี่น้องก็ดีแล้ว แต่ขอให้เรารักพวกเขามากขึ้น

“และที่จริงท่านก็รักพี่น้องทั้งปวงทั่วแคว้นมาซิโดเนีย ถึงกระนั้นพี่น้องทั้งหลาย เราขอให้ท่านรักพี่น้องยิ่งๆ ขึ้นอีก” ~1เธสะโลนิกา 4:10 TNCV

6. เรารู้ว่าเราพ้นจากความตายไปสู่ชีวิตแล้ว เมื่อเรารักพี่น้อง

“เรารู้ว่าเราได้พ้นจากความตายไปสู่ชีวิตแล้ว ก็เพราะเรารักพี่น้อง ผู้ที่ไม่รักก็ยังอยู่ในความตาย” ~1 ยอห์น 3:14 THSV11

7. เราต้องรักพี่น้องให้มากขึ้นอย่างจริงใจด้วยน้ำใสใจจริง

เมื่อพวกท่านได้ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์แล้วด้วยการเชื่อฟังความจริง จนมีใจรักพี่น้องอย่างจริงใจ พวกท่านจงรักกันให้มากด้วยน้ำใสใจจริง”
~1 เปโตร 1:22 THSV11

8. เราต้องแสดงความรักต่อพี่น้อง ผ่านการช่วยเหลือพี่น้องที่ขัดสน

แต่ถ้าใครมีทรัพย์สมบัติในโลกนี้ และเห็นพี่น้องของตนขัดสนแล้วยังไม่เปิดใจช่วยเขา ความรักของพระเจ้าจะดำรงอยู่ในคนนั้นได้อย่างไร?” ~1 ยอห์น 3:17 THSV11

9. เราควรรักพี่น้องโดยพร้อมยอมเสียสละโดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตเพื่อพวกเขา

“เช่นนี้แหละเราจึงรู้จักความรัก โดยที่พระองค์ได้ยอมสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อเรา และเราก็ควรจะสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้อง” ~1 ยอห์น 3:16 THSV11

10. เราควรรักพี่น้อง พร้อมด้วยความเห็นอกเห็นใจอ่อนโยนถ่อมตัวและเป็นหนึ่งเดียวกัน

“ในที่สุดนี้ ท่านทั้งหลายจงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เห็นอกเห็นใจกัน รักกันฉันพี่น้อง มีจิตใจอ่อนโยนและถ่อมตัว” ~1 เปโตร 3:8 THSV11

สรุป

“จงให้ความรักฉันพี่น้องมีอยู่ต่อกันเสมอไป” ~ฮีบรู 13:1 THSV11

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม   “พระคัมภีร์กล่าวอะไรถึงเรื่องโบสถ์ หรือ สถานที่นมัสการพระเจ้าบ้าง?”

ตอบ: “พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องพระนิเวศ โบสถ์ วิหาร พลับพลา หรือสถานที่สำหรับนมัสการพระเจ้าไว้มากมาย อาทิ

  1. เราต้องรักโบสถ์ของเรา ในวันนี้ เหมือนที่คนในอดีตรักพระนิเวศของพระเจ้า

“ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์รักพระนิเวศอันเป็นที่พำนักของพระองค์ และเป็นที่ประทับแห่งพระสิริของพระองค์” ~สดุดี 26:8 THSV11

  1. เราควรเต็มใจมอบถวายทรัพย์สิน สิ่งของและความสามารถเพื่อพระนิเวศหรือคริสตจักรของพระเจ้า

“เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงจัดเตรียมไว้สำหรับพระนิเวศของพระเจ้าของข้าพเจ้า เต็มความสามารถของข้าพเจ้าคือ ทองคำสำหรับสิ่งที่ทำด้วยทองคำ เงินสำหรับสิ่งที่ทำด้วยเงิน ทองสัมฤทธิ์สำหรับสิ่งที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ เหล็กสำหรับสิ่งที่ทำด้วยเหล็ก และไม้สำหรับสิ่งที่ทำด้วยไม้ แก้วโกเมน และแก้วสำหรับฝัง พลวง หินลาย เพชรพลอยทุกชนิดและหินอ่อนจำนวนมาก ยิ่งกว่านั้นอีก นอกจากทั้งหมดที่ข้าพเจ้าจัดหาไว้สำหรับนิเวศบริสุทธิ์แล้ว ข้าพเจ้ายังมีทองคำและเงินเป็นสมบัติของข้าพเจ้าเอง และเพราะความรักของข้าพเจ้าที่มีต่อพระนิเวศของพระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอมอบให้แก่พระนิเวศแห่งพระเจ้าของข้าพเจ้า ดังนี้ ทองคำสำหรับสิ่งที่ทำด้วยทองคำ และเงินสำหรับสิ่งที่ทำด้วยเงิน และเพื่องานทั้งสิ้นที่ช่างจะทำด้วยมือ ใครบ้างที่เต็มใจจะถวายตัวแด่พระยาห์เวห์ในวันนี้?” แล้วผู้นำของตระกูล ผู้นำของเผ่าทั้งหลายของอิสราเอล ทั้งนายพัน นายร้อยและข้าราชบริพารของพระราชาก็ถวายด้วยความเต็มใจ” ~1 พงศาวดาร 29:2-3, 5-6 THSV11

  1. เราควรพร้อมสร้างพระนิเวศให้พระเจ้าเมื่อได้รับพระบัญชาหรือการมอบหมาย

“แต่ซาโลมอนเป็นผู้ที่ได้สร้างพระนิเวศสำหรับพระเจ้า”  ~กิจการ 7:47 THSV11

  1. เราควรพร้อมสานต่อโครงการก่อสร้างที่มีผู้เริ่มต้นไว้ ให้สำเร็จตามเจตนารมณ์

“ดาวิดพระราชบิดาของข้าพเจ้าจึงตั้งพระทัย ที่จะสร้างพระนิเวศสำหรับพระนามแห่งพระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล แต่พระยาห์เวห์ตรัสกับดาวิดพระราชบิดาของข้าพเจ้าว่า ‘ที่เจ้าตั้งใจจะสร้างนิเวศสำหรับนามของเรานั้น เจ้าก็ทำดีอยู่แล้ว ในเรื่องความตั้งใจของเจ้า อย่างไรก็ตาม เจ้าจะไม่ได้สร้างนิเวศ แต่บุตรชายของเจ้าผู้ซึ่งจะเกิดแก่เจ้าจะสร้างนิเวศ สำหรับนามของเรา’ บัดนี้พระยาห์เวห์ทรงให้พระสัญญาของพระองค์ที่ทรงกระทำนั้นสำเร็จ เพราะข้าพเจ้าได้ขึ้นมาแทนดาวิดพระราชบิดาของข้าพเจ้าและนั่งอยู่บนบัลลังก์ของอิสราเอล ดังที่พระยาห์เวห์ได้ทรงสัญญาไว้ และข้าพเจ้าได้สร้างพระนิเวศสำหรับพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ข้าพเจ้าได้วางหีบไว้ที่นั่น พันธสัญญาของพระยาห์เวห์ ซึ่งทรงทำไว้กับคนอิสราเอลอยู่ในหีบนั้น”  ~2 พงศาวดาร 6:7-11 THSV11

  1. เราต้องสรรหาและจัดเตรียมงบประมาณและคนงานสำหรับการก่อสร้าง ปรับปรุง และซ่อมแซมพระนิเวศของพระเจ้าด้วยความเต็มใจและสมัครใจ

“เขาทั้งหลายมอบไว้ในมือของคนงาน ผู้ดูแลพระนิเวศของพระยาห์เวห์ แล้วคนงานผู้ทำงานอยู่ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ก็ใช้เพื่อการปรับปรุงและซ่อมแซมพระนิเวศ” ~2 พงศาวดาร 34:10 THSV11

“หัวหน้าครอบครัวบางคน เมื่อเขามาถึงพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ซึ่งอยู่ในเยรูซาเล็มได้ถวายตามความสมัครใจเพื่อพระนิเวศของพระเจ้า เพื่อจะสร้างพระนิเวศขึ้นในที่เดิม” ~เอสรา 2:68 THSV11

“และให้มอบไว้ในมือของผู้ทำหน้าที่ดูแลพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และให้เขาจ่ายแก่คนงานผู้อยู่ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์เพื่อซ่อมแซมพระนิเวศ” ~2 พงศ์กษัตริย์ 22:5 THSV11

  1. เราต้องรณรงค์ให้คนเอาใจใส่ในเรื่องพระนิเวศเหมือนที่พวกเขาใส่ใจในบ้านของเขาให้มากขึ้น

“ส่วนผู้เผยพระวจนะฮักกัย และเศคาริยาห์บุตรอิดโด ได้เผยพระวจนะแก่พวกยิวผู้อยู่ในยูดาห์และเยรูซาเล็มในพระนามของพระเจ้าแห่งอิสราเอลผู้สถิตเหนือพวกเขา แล้วเศรุบบาเบลบุตรเชอัลทิเอลและเยชูอาบุตรโยซาดัก ได้เริ่มต้นสร้างพระนิเวศแห่งพระเจ้าซึ่งอยู่ในเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ และผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าได้อยู่กับท่าน ช่วยเหลือท่าน” ~เอสรา 5:1-2 THSV11

  1. เราควรชื่นชมยินดีเมื่อการก่อสร้างพระนิเวศมีความคืบหน้า และร่วมกันฉลองเมื่อสร้างเสร็จครบถ้วน

“และพวกเขาร้องเพลงตอบกัน สรรเสริญและขอบพระคุณแด่พระยาห์เวห์ว่า “เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์ต่ออิสราเอล” และประชาชนทั้งปวงก็โห่ร้องด้วยเสียงดังเมื่อเขาสรรเสริญพระยาห์เวห์ เพราะว่ารากฐานของพระนิเวศของพระยาห์เวห์วางเสร็จแล้ว” ~เอสรา 3:11 THSV11

“พระราชกิจทั้งหมดของซาโลมอนก็ลุล่วงตั้งแต่วันที่วางรากฐานพระนิเวศของพระยาห์เวห์ จนถึงวันที่งานเสร็จ พระนิเวศของพระยาห์เวห์ก็สำเร็จครบถ้วน” ~2 พงศาวดาร 8:16 THSV11

  1. เราต้องเชื่อฟังและดำเนินตามกฎเกณฑ์ของพระเจ้าในและผ่านนิเวศที่เราสร้างด้วย

“และพระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงซาโลมอนว่า “เกี่ยวด้วยพระนิเวศนี้ซึ่งเจ้าสร้างอยู่ ถ้าเจ้าดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา และเชื่อฟังกฎหมายของเรา และรักษาบัญญัติทั้งสิ้นของเรา โดยดำเนินตาม เราก็จะสถาปนาถ้อยคำของเรากับเจ้า ซึ่งเราพูดกับดาวิดบิดาของเจ้า และเราจะอยู่ท่ามกลางพงศ์พันธุ์อิสราเอล และจะไม่ทอดทิ้งอิสราเอลประชากรของเราเลย” ซาโลมอนได้ทรงสร้างพระนิเวศสำเร็จ” ~1 พงศ์กษัตริย์ 6:11-14 THSV11                         

  1. เราจะสูญเสียพระนิเวศหรือโบสถ์ไป หากว่าเราทำชั่วและไม่ดำเนินตามที่พระเจ้าบัญชา

“พระเจ้าจึงทรงนำพระราชาของคนเคลเดีย มาต่อสู้กับเขาทั้งหลาย พระราชานั้นทรงฆ่าชายหนุ่มของพวกเขาด้วยดาบในพระนิเวศ อันเป็นสถานนมัสการของเขาและไม่มีความกรุณาต่อชายหนุ่ม หรือหญิงพรหมจารี คนแก่หรือคนชรา พระเจ้าทรงมอบทุกคนไว้ในพระหัตถ์ของพระราชานั้น รวมทั้งเครื่องใช้ทั้งหมดแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ทั้งใหญ่และเล็ก กับทรัพย์สมบัติแห่งพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และทรัพย์สมบัติของกษัตริย์และพวกเจ้านายของพระองค์ พระราชานั้นทรงนำของทั้งหมดมายังบาบิโลน เขาทั้งหลายเผาพระนิเวศของพระเจ้า พังกำแพงกรุงเยรูซาเล็มลงและเอาไฟเผาวังทั้งหมดของเมืองนั้น ทั้งทำลายเครื่องใช้มีค่าทุกอย่างในนั้น” ~2 พงศาวดาร 36:17-19 THSV11

  1. เราควรใช้โบสถ์เป็นที่สั่งสอนพระวจนะของพระเจ้าด้วยความรัก จนคนหลั่งไหลมาเพื่อจะฟัง

“พระองค์ทรงสั่งสอนในบริเวณพระวิหารในเวลากลางวัน และในเวลากลางคืนพระองค์เสด็จออกไปประทับบนภูเขาที่ชื่อมะกอกเทศ ประชาชนทุกคนก็มาหาพระองค์ในบริเวณพระวิหารแต่เช้าตรู่เพื่อจะฟังพระองค์” ~ลูกา 21:37-38 THSV11

  1. เราควรจะไป และ ใช้ประโยชน์จากโบสถ์ทุกวันให้มากที่สุด

“พวกเขาจึง [นมัสการพระองค์แล้ว]กลับไปที่กรุงเยรูซาเล็มด้วยความยินดีอย่างยิ่ง และอยู่ในพระวิหารทุกวัน สรรเสริญพระเจ้า” ~ลูกา 24:52-53 THSV11

  1. เราควรให้โบสถ์เป็นที่นมัสการพระเจ้า และทำให้โบสถ์เป็นสถานที่บริสุทธิ์ด้วยความยำเกรง

“แต่โดยความรักมั่นคงอันอุดมของพระองค์ ข้าพระองค์จะเข้าไปในพระนิเวศของพระองค์ ข้าพระองค์จะกราบลงตรงมายังพระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์ ด้วยความยำเกรง” ~สดุดี 5:7 THSV11

  1. เราควรใช้โบสถ์เป็นนิเวศแห่งการอธิษฐาน ไม่ใช่เป็นถ้ำโจรหรือศูนย์รวมผู้ก่อการร้าย

“พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า “มีพระวจนะเขียนไว้ว่า ‘นิเวศของเรา เขาจะเรียกว่าเป็นนิเวศอธิษฐาน แต่พวกท่านมาทำให้เป็นถ้ำของพวกโจร’ ~มัทธิว 21:13 THSV11

  1. เราควรทำให้โบสถ์ของเราเต็มล้นด้วยความดี และความรักมั่นคงของพระเจ้าตลอดชีวิตของเรา

“แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคงจะติดตามข้าพเจ้าไป ตลอดวันคืนแห่งชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์สืบไปเป็นนิตย์” ~สดุดี 23:6 THSV11

  1. เราควรมีประสบการณ์กับพระสิริของพระเจ้าที่เต็มโบสถ์ของเรา

“ปุโรหิตทั้งหลายเข้าไปในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ไม่ได้ เพราะว่าพระสิริของพระยาห์เวห์เต็มพระนิเวศของพระยาห์เวห์” ~2 พงศาวดาร 7:2 THSV11

“แล้วท่านก็นำข้าพเจ้ามาตามทางของประตูเหนือ มาที่ข้างหน้าพระนิเวศ แล้วข้าพเจ้ามองดู และดูสิ พระสิริของพระยาห์เวห์ก็เต็มพระนิเวศของพระยาห์เวห์ แล้วข้าพเจ้าก็ซบหน้าลง” ~เอเสเคียล 44:4 THSV11

  1. เราควรมีความสุขความยินดี ในการได้มาโบสถ์และมารับใช้พระองค์แม้แต่เรื่องเล็กๆน้อย

“เพราะวันเดียวในบริเวณพระนิเวศของพระองค์ ดีกว่าพันวันในที่อื่น ข้าพเจ้าจะขอเป็นคนเฝ้าประตูพระนิเวศพระเจ้าของข้าพเจ้า ดีกว่าอยู่ในเต็นท์ของความอธรรม” ~สดุดี 84:10 THSV11

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม “ พระคัมภีร์มีสอนเรื่องการแสดงความรักต่อคริสตจักรไว้อย่างไรบ้าง?”

ตอบ:  พระคัมภีร์สอนให้เรารักคริสตจักรโดยกระทำดังนี้

  1. ทำให้คนเข้าคริสตจักร~ เป็นพยาน และประกาศนำคนให้เชื่อ รับบัพติศมา เข้าเป็นสาวกพระคริสต์และเข้าคริสตจักร

เปโตรจึงกล่าวอีกหลายเรื่องเป็นพยานและเตือนสติพวกเขาว่า “จงเอาตัวรอดจากชาติพันธุ์ที่คดโกงนี้เถิด” คนทั้งหลายที่รับถ้อยคำของเปโตรก็รับบัพติศมา ในวันนั้นมีคนเข้าเป็นสาวกประมาณสามพันคน –กิจการ 2:40-41

  1. ทำให้คนผูกพันตัวกับคริสตจักร~ นำคนทั้งหลายให้อุทิศตนในการลงชีวิตกับพระคริสต์และกับกันและกันในคริสตจักร

“เขาทั้งหลายอุทิศตัวเพื่อฟังคำสอนของบรรดาอัครทูตและร่วมสามัคคีธรรม รวมทั้งหักขนมปังและอธิษฐาน” ~กิจการ 2:42 THSV11

  1. ทำให้คนในคริสตจักรยำเกรงพระเจ้า~ ทำให้คนเกรงกลัวพระเจ้าอย่างจริงใจ

“เขาทั้งหลายมีความเกรงกลัวด้วยกันทุกคน” ~กิจการ 2:43ก

  1. ทำให้คนในคริสตจักรมีประสบการณ์ตรงกับพระเจ้า~ ทำให้พระเจ้าเป็นที่รู้จักผ่านช่องทางต่างๆ รวมทั้งการสำแดงหมายสำคัญพิเศษ

“และพวกอัครทูตทำการอัศจรรย์ และหมายสำคัญมากมาย” ~กิจการ 2:43ข

  1. ทำให้คนที่เชื่อมารวมตัวด้วยกันที่คริสตจักร ~ ร่วมประชุมอยู่ร่วมกัน เพื่อเสริมสร้างกัน

“คนทั้งหมดที่เชื่อถือก็อยู่รวมกัน” ~กิจการ 2:44ก

  1. ทำให้คนที่เชื่อแสดงใจกว้างขวาง ในคริสตจักร~ ในการถวายแด่พระเจ้าเพื่อส่วนรวม และเพื่อผู้ที่เดือดร้อนเป็นส่วนตัว

“และนำทุกสิ่งมารวมเป็นของกลาง และพวกเขาขายที่ดินและทรัพย์สิ่งของมาแบ่งให้แก่กันตามความจำเป็น” ~กิจการ 2:44ข-45

  1. ทำให้คนที่เชื่ออุทิศตัวอยู่ด้วยกันทั้งที่คริสตจักรและที่บ้านเพื่อนมัสการ และสามัคคีธรรมด้วยกันอย่างสม่ำเสมอ

“ทุกๆ วัน พวกเขาอุทิศตัวอยู่ด้วยกันในพระวิหารและหักขนมปังตามบ้านของพวกเขา รับประทานอาหารร่วมกันด้วยความชื่นชมยินดีและจริงใจ” ~กิจการ 2:46

  1. ทำให้คนที่เชื่อมีความสุขความยินดีในคริสตจักร~ และการสรรเสริญพระเจ้า เป็นที่ชื่นชอบของคนภายนอกทั่วไป

“ทั้งสรรเสริญพระเจ้าและได้รับความชื่นชอบจากทุกคน” ~กิจการ 2:47ก

  1. ทำให้พระเจ้าทรงอวยพรคริสตจักรอย่างไม่มีข้อจำกัด~ ให้ทุกสิ่งพระเจ้าโปรดปรานจนพระองค์อวยพรมากมายให้มีคนเข้าคริสตจักทุกๆ วัน

“องค์พระผู้เป็นเจ้าก็โปรดให้คนทั้งหลายที่กำลังจะรอด เพิ่มจำนวนเข้ามามากยิ่งขึ้นทุกๆ วัน” ~กิจการ 2:47 ข

  1. ทำให้คนในคริสตจักรเคารพพระคริสต์ ยอมฟังกันและกันด้วยความเคารพในพระองค์

“จงยอมเชื่อฟังกันและกันเนื่องด้วยความยำเกรงพระคริสต์” ~เอเฟซัส 5:21 THSV11

  1. ทำให้คนในคริสตจักรประพฤติตัวบริสุทธิ์ และทะนุถนอมซึ่งกันและกัน

“เพราะว่าไม่มีใครเกลียดชังกายของตนเอง มีแต่เลี้ยงดูและทะนุถนอม เหมือนที่พระคริสต์ทรงทำแก่คริสตจักร  …ความล้ำลึกในเรื่องนี้สำคัญ และข้าพเจ้าเข้าใจว่าหมายถึงพระคริสต์และคริสตจักร” ~เอเฟซัส 5:29, 32 THSV11

  1. ทำให้คนในคริสตจักรดำเนินชีวิตในความรักเลียนแบบพระคริสต์

“เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเลียนแบบของพระเจ้าให้สมกับเป็นบุตรที่รัก และจงดำเนินชีวิตในความรักเช่นเดียวกับที่พระคริสต์ทรงรักเรา และประทานพระองค์เองเพื่อเรา ให้เป็นเครื่องถวายและเครื่องบูชาที่ทรงโปรดปรานแด่พระเจ้า” ~เอเฟซัส 5:1-2 THSV11

  -ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม:   “พระคัมภีร์สอนอะไรบ้างเกี่ยวกับความรักของพระเจ้า และการรักพระเจ้าของมนุษย์อย่างพวกเรา?”

ตอบ: ”พระคัมภีร์สอนเรื่องความรักเกี่ยวกับพระเจ้าไว้มากมาย อาทิ

  1. พระเจ้าทรงเป็นความรัก

“ฉะนั้นเราจึงรู้ และวางใจในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา พระเจ้าทรงเป็นความรัก และผู้ที่อยู่ในความรักก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงอยู่ในคนนั้น” ~1 ยอห์น 4:16 THSV11

  1. พระเจ้าทรงรักเราด้วยความรักอันใหญ่หลวง

“แต่พระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา พระองค์ทรงรักเรา โดยความรักอันใหญ่หลวงของพระองค์” ~เอเฟซัส 2:4 THSV11

  1. พระเจ้าทรงรักเรามาก จนประทานพระบุตรมาตายไถ่บาปของเรา

“ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้ไม่ใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเรา  และทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบบาปของเรา” ~1 ยอห์น 4:10 THSV11

  1. เรารักพระเจ้า เพราะว่า พระเจ้าทรงรักเราก่อน

“เรารัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน” ~1 ยอห์น 4:19 THSV11

  1. เรารักพระเจ้า เพราะว่า พระเจ้าทรงบัญชาให้ทำเช่นนั้น

“พวกท่านจงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าด้วยสุดใจของท่าน ด้วยสุดจิตของท่าน ด้วยสุดความคิดของท่านและด้วยสุดกำลังของท่าน”  ~มาระโก 12:30 THSV11

  1. เรารักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงฟังเสียงและคำวิงวอนของเรา

“ข้าพเจ้ารักพระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ทรงฟังเสียงและคำวิงวอนของข้าพเจ้า”    ~สดุดี 116:1 THSV11

  1. เรารักพระเจ้า เพราะพระองค์ช่วยเราในยามที่เราต้องการด้วยความรักมั่นคงของพระองค์

“พระเจ้าของข้าพเจ้าจะพบข้าพเจ้าด้วยความรักมั่นคงของพระองค์ พระเจ้าจะทรงให้ข้าพเจ้ามองเห็นพวกศัตรูของข้าพเจ้าแพ้” ~สดุดี 59:10 THSV11

  1. เรารักพระเจ้า โดยการประพฤติตามบัญญัติของพระองค์

“ใครที่มีบัญญัติของเราและประพฤติตามบัญญัติเหล่านั้น คนนั้นเป็นคนที่รักเรา และคนที่รักเรานั้นพระบิดาของเราจะทรงรักเขา และเราจะรักเขาและจะสำแดงตัวให้ปรากฏแก่เขา” ~ยอห์น 14:21 THSV11

“พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “ถ้าใครรักเรา คนนั้นจะประพฤติตามคำของเรา และพระบิดาจะทรงรักเขา แล้วเราทั้งสองจะมาหาเขาและจะอยู่กับเขา” ~ยอห์น 14:23 THSV11

“เพราะว่าความรักต่อพระเจ้าเป็นอย่างนี้ คือเมื่อเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ และพระบัญญัติของพระองค์นั้นไม่เป็นภาระหนักเกินไป” ~1 ยอห์น 5:3 THSV11

  1. เรารักพระเจ้า โดยการเรียนรู้และวางใจในความรัก

“ฉะนั้นเราจึงรู้ และวางใจในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา พระเจ้าทรงเป็นความรัก และผู้ที่อยู่ในความรักก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงอยู่ในคนนั้น” ~1 ยอห์น 4:16 THSV11

  1. เรารักพระเจ้า โดยการรักพี่น้องของเรา และไม่มีใจเกลียดชังพวกเขา

“ถ้าใครกล่าวว่า “ข้าพเจ้ารักพระเจ้า” แต่ใจยังเกลียดชังพี่น้องของตน เขาเป็นคนพูดมุสา เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่มองเห็นแล้ว จะรักพระเจ้าที่มองไม่เห็นไม่ได้” ~1 ยอห์น 4:20 THSV11

“ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า ถ้าเรารักกันและกัน พระเจ้าก็สถิตอยู่ในเรา และความรักของพระองค์ก็สมบูรณ์อยู่ในเรา” ~1 ยอห์น 4:12 THSV11

สรุป   

พระเจ้าทรงเป็นความรัก ถ้าเรารู้จักพระเจ้า เราจะรักพระเจ้าและคนทั้งหลาย 

“ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก” ~1 ยอห์น 4:8 THSV11

“แต่ถ้าใครรักพระเจ้า พระเจ้าก็ทรงรู้จักผู้นั้น”  ~1 โครินธ์ 8:3 THSV11

แต่น่าเศร้าที่คนในยุคสุดท้าย ไม่รู้จักพระเจ้า หรือไม่รักพระเจ้าจริงๆ

“แต่จงเข้าใจข้อนี้คือ วาระสุดท้ายนั้นจะเป็นเวลาที่น่ากลัว เพราะผู้คนจะเห็นแก่ตัว รักเงินทอง โอ้อวด หยิ่งยโส ชอบดูหมิ่น ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ อกตัญญู ชั่วร้าย ไร้มนุษยธรรม ไม่ให้อภัยกัน ใส่ร้ายกัน ไม่ยับยั้งชั่งใจ ดุร้าย เกลียดชังความดี ทรยศ มุทะลุ โอหัง รักความสนุกมากกว่ารักพระเจ้า ยึดถือทางพระเจ้าแต่เพียงเปลือกนอก แต่ปฏิเสธฤทธิ์เดชของทางนั้น จงอย่าเกี่ยวข้องกับคนพวกนั้น” ~2 ทิโมธี 3:1-5 THSV11

บางครั้ง พระเจ้าอาจต้องตีสอนเราด้วยความรัก เพื่อไม่ให้เราออกนอกทางและประสบอันตราย

“เพราะพระยาห์เวห์ทรงตักเตือนผู้ที่พระองค์ทรงรัก ดังบิดาตักเตือนบุตรที่เขาโปรดปราน” ~สุภาษิต 3:12 THSV11

ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ขอให้เรารักพระเจ้าจริงๆ!

“จงรักษาตัวให้ดีที่จะรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน” ~โยชูวา 23:11 THSV11

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

ถาม:  “พระคัมภีร์สอนอะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องความกระตือรือร้น?“

ตอบ:  “กระตือรือร้น” มีความหมายตามพจนานุกรมแปล ไทย-ไทย ราชบัณฑิตยสถานว่า “รีบร้อน เร่งรีบ ขมีขมัน มีใจฝักใฝ่เร่งร้อน.”
พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่อง ความกระตือรือร้นไว้มากมาย อาทิ

1.พระเจ้า เป็นพระเจ้าแห่งความกระตือรือร้น

“พระยาห์เวห์จะเสด็จออกไปอย่างผู้กล้า พระองค์ทรงเร้าความกระตือรือร้นขึ้นอย่างนักรบ พระองค์ทรงร้อง พระองค์ทรงโห่ดัง พระองค์ทรงสำแดงอานุภาพต่อปฏิปักษ์ของพระองค์” ~อิสยาห์ 42:13 THSV11

2.พระเจ้าเป็นผู้ทำให้เรามีใจกระตือรือร้น

“แต่ขอขอบพระคุณพระเจ้าผู้ทรงให้ทิตัสมีใจกระตือรือร้น เพื่อพวกท่านอยู่ในใจของเขา ซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่เรามีอยู่” ~2 โครินธ์ 8:16 THSV11

3.เราควรมีจิตใจกระตือรือร้น ในการรับใช้ด้วยพระวิญญาณ และผ่านการทดสอบ

“อย่าอ่อนระอา จงมีจิตใจกระตือรือร้นด้วยพระวิญญาณ จงปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้า” ~โรม 12:11 THSV11

4.เราควรทำสิ่งที่ปรารถนาจะทำนั้น ให้สำเร็จแบบเต็มความสามารถและความกระตือรือร้น

“บัดนี้พวกท่านก็ควรจะทำเสียให้เสร็จ เพื่อว่าความกระตือรือร้นที่ปรารถนาจะทำเป็นอย่างไร การทำให้เสร็จตามความสามารถที่มีอยู่ก็จะเป็นอย่างนั้น เพราะว่าถ้ามีความกระตือรือร้นอยู่แล้ว พระเจ้าก็จะทรงรับตามที่เขามีอยู่ ไม่ใช่ตามที่เขาไม่มี”  ~2 โครินธ์ 8:11-12 THSV11

“เพราะเมื่อเขามาถึงกรุงโรม เขาเสาะหาข้าพเจ้าอย่างกระตือรือร้นจนพบ” ~2 ทิโมธี 1:17 THSV11

5.เราต้องระวังอย่า กระตือรือร้นมากจนเกินไป จนทำผิดหรือ เกิดปัญหา เช่น

  • กระตือรือร้นแต่ขาดหรือไม่ได้เป็นไปตามสติปัญญาของพระเจ้า
    ”ข้าพเจ้าเป็นพยานให้เขาว่า พวกเขามีความกระตือรือร้นที่จะปรนนิบัติพระเจ้า แต่ไม่ได้เป็นตามปัญญา” ~โรม 10:2 THSV112)
  • กระตือรือร้นจนพร้อมจะทำร้ายหรือฆ่าคนโดยคิดว่าทำเพื่อพระเจ้า
    ในด้านความกระตือรือร้นก็ได้ข่มเหงคริสตจักร ในด้านความชอบธรรมตามธรรมบัญญัติก็ไม่มีที่ติ  ~ฟีลิปปี 3:6 THSV11

6.เราต้องกระตือรือร้นในการกลับใจใหม่ เมื่อพระเจ้าตักเตือน หรือตีสอน

“เรารักใครเราก็ตักเตือนและตีสอนเขา เพราะฉะนั้นจงมีความกระตือรือร้น และกลับใจใหม่“ ~วิวรณ์ 3:19 THSV11

7.เราควรปรารถนาที่จะอ่านและฟังพระวจนะของพระเจ้าและพร้อมทำตามด้วยใจกระตือรือร้น

“จิตใจของข้าพระองค์กระตือรือร้นด้วยความปรารถนาในกฎหมายของพระองค์ตลอดเวลา” ~สดุดี 119:20 THSV11

8.เราควรอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อผู้อื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเผื่อผู้นำและผู้รับใช้ของพระเจ้า

“พี่น้องทั้งหลาย โดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา และโดยความรักของพระวิญญาณ ข้าพเจ้าวิงวอนขอให้ท่านร่วมอธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยใจกระตือรือร้นเพื่อข้าพเจ้า” ~โรม 15:30 THSV11

“เพราะฉะนั้นเปโตรจึงถูกจำจองในคุก แต่คริสตจักรอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อเปโตรอย่างกระตือรือร้น” ~กิจการ 12:5 THSV11

9.เราควรรับใช้เจ้านาย (ทั้งทางโลกและทางธรรม) ด้วยความกระตือรือร้น เหมือนทำต่อพระเจ้า

“จงรับใช้นายด้วยความกระตือรือร้น อย่างที่ทำต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ทำต่อมนุษย์” ~เอเฟซัส 6:7 THSV11

10.เราต้องเลี้ยงดูคนที่อยู่ท่ามกลางเราด้วยความเอาใจใส่อย่างกระตือรือร้น

“จงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าที่อยู่ท่ามกลางพวกท่าน [โดยเอาใจใส่ดูแล] ไม่ใช่ด้วยความฝืนใจ แต่ด้วยความเต็มใจ [ตามพระประสงค์ของพระเจ้า] ไม่ใช่ด้วยใจโลภในทรัพย์สิ่งของ แต่ด้วยใจกระตือรือร้น” ~1 เปโตร 5:2 THSV11

11.เราต้องไม่เป็นคนเฉื่อยช้า แต่แสดงความกระตือรือร้นเช่นเดียวกันกับผู้เชื่อคนอื่นๆ เพื่อจะสำเร็จตามที่หวังไว้

“และเราปรารถนาให้ท่านแต่ละคนแสดงความกระตือรือร้นอย่างเดียวกันจนถึงที่สุด เพื่อจะพบความสำเร็จตามที่หวังไว้ เพื่อไม่ให้พวกท่านเป็นคนเฉื่อยช้า แต่ให้เลียนแบบคนเหล่านั้นที่โดยทางความเชื่อและความอดทน จึงได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้เป็นมรดก” ~ฮีบรู 6:11-12 THSV11

12.เราไม่ควรรอให้พระเจ้าตีสอนอย่างรุนแรง จึงยอมจะกลับมาแสวงหาพระองค์ด้วยใจกระตือรือร้น

“ถึงมีเรื่องทั้งสิ้นนี้ พวกเขาก็ยังทำบาป และมิได้เชื่อถือการอัศจรรย์ต่างๆ ของพระองค์ พระองค์จึงทรงทำให้วันของพวกเขาหายไปดังลมหายใจ และทรงให้ปีของเขาหายไปอย่างน่าสยดสยอง เมื่อพระองค์ทรงสังหารพวกเขาเขาก็แสวงหาพระองค์ เขาได้กลับมาเสาะหาพระเจ้าด้วยใจกระตือรือร้น พวกเขาระลึกว่าพระเจ้าทรงเป็นพระศิลาของเขา และพระเจ้าผู้สูงสุดทรงเป็นพระผู้ไถ่ของเขา” ~สดุดี 78:32-35 THSV11

13.เราควรใช้ความกระตือรือร้นในการทำดีและแสดงกิจแห่งความรักเมตตาต่อคนที่เดือดร้อนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการประกาศข่าวประเสริฐ

“ดังนั้นเมื่อพวกท่านมีทุกสิ่งอย่างเหลือล้น คือความเชื่อ ฝีปาก ความรู้ ความกระตือรือร้น และความรักที่เรามีต่อพวกท่าน ท่านทั้งหลายก็จงมีคุณความดีนี้อย่างเหลือล้นด้วย” ~2 โครินธ์ 8:7 THSV11

“ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขวนขวายที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่พวกท่านที่อยู่ในกรุงโรมด้วย”  ~โรม 1:15 THSV11

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม:  “พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องคริสต์มาสไว้อย่างไรบ้าง?”

ตอบ: “ในพระคัมภีร์ไม่มีคำว่า “คริสต์มาส” แต่มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการบังเกิดของพระเยซูคริสต์ ที่ภาษาไทยใช้คำว่า “คริสต์สมภพ” หรือ “วันเกิดของพระคริสต์” อยู่มากมายหลายตอน อาทิ

  1. พระเยซูคริสต์ มาบังเกิดเป็นมนุษย์ทางมารีย์หญิงพรหมจารี สืบเชื้อสายมาจากดาวิด โดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์

“ยาโคบมีบุตรชื่อโยเซฟผู้เป็นสามีของนางมารีย์  พระเยซูที่เรียกว่าพระคริสต์ก็ประสูติมาจากนางมารีย์นี้” ~มัทธิว 1:16 THSV11

“เมื่อโยเซฟยังคิดเรื่องนี้อยู่ ก็มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า “โยเซฟบุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของท่านเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิในครรภ์ของเธอเป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ เธอจะให้พระกำเนิดบุตรชาย แล้วจงเรียกนามท่านว่า เยซู เพราะว่าท่านจะทรงช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากบาปของพวกเขา” ~มัทธิว 1:20-21 THSV11

  1. พระเยซูคริสต์มาบังเกิด ตามคำพยากรณ์ที่กล่าวไว้ล่วงหน้าราว 700 ปี

“ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งตรัสผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า “นี่แน่ะ หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่าอิมมานูเอล” (แปลว่า พระเจ้าสถิตกับเรา)” ~มัทธิว 1:22-23 THSV11

“เพราะฉะนั้น องค์เจ้านายจะประทานหมายสำคัญด้วยพระองค์เอง นี่แน่ะ หญิงสาวคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และคนจะเรียกนามของเขาว่า อิมมานูเอล” ~อิสยาห์ 7:14 THSV11

“ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่บนบ่าของท่าน และเขาจะขนานนามของท่านว่า “ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ และองค์สันติราช” การเพิ่มพูนขึ้นของการปกครองและสันติภาพของท่านจะไม่มีที่สิ้นสุด บนพระที่นั่งของดาวิด และเหนือราชอาณาจักรของพระองค์ เพื่อจะสถาปนาและเชิดชูมันไว้ ด้วยความยุติธรรมและความชอบธรรม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนนิรันดร์กาล ความกระตือรือร้นของพระยาห์เวห์จอมทัพจะทำการนี้” ~อิสยาห์ 9:6-7 THSV11

  1. พระเยซูคริสต์มาบังเกิด โดยมีผู้รับรู้หลายคนตั้งแต่แรกแล้วว่า พระองค์เป็นพระเจ้าที่มาประสูติเพื่อช่วยไถ่บาปมวลมนุษย์

“ทูตสวรรค์มาหานางแล้วบอกว่า “เธอผู้ที่พระเจ้าโปรดปรานมาก จงชื่นชมยินดีเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่กับเธอ” มารีย์ก็ตกใจเพราะคำพูดนั้น และรำพึงว่า คำทักทายมีความหมายว่าอย่างไร แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่นางว่า “มารีย์เอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะเธอเป็นผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน นี่แน่ะ เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู บุตรนั้นจะเป็นใหญ่ และจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้าสูงสุด องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าจะประทานบัลลังก์ของดาวิดบรรพบุรุษของท่านให้แก่ท่าน และท่านจะครอบครองพงศ์พันธุ์ของยาโคบสืบไปเป็นนิตย์ และแผ่นดินของท่านจะไม่มีวันสิ้นสุดเลย” ~ลูกา 1:28-33 THSV11

“เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำทักทายของมารีย์ ทารกในครรภ์ของนางก็ดิ้น และนางเอลีซาเบธก็เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงร้องเสียงดังว่า “ในบรรดาสตรีเธอได้รับพรมาก และทารกในครรภ์ของเธอก็ได้รับพระพรด้วย ทำไมฉันถึงได้รับความโปรดปรานเช่นนี้ คือมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้าของฉันมาหา นี่แน่ะ พอเสียงทักทายของเธอเข้าถึงหูของฉัน ทารกในครรภ์ของฉันก็ดิ้นด้วยความเปรมปรีดิ์” ~ลูกา 1:41-44 THSV11

“ทูตสวรรค์องค์นั้นกล่าวกับเขาทั้งหลายว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเรานำข่าวดีมายังพวกท่าน เป็นความยินดีอย่างยิ่งที่จะมาถึงคนทั้งหลาย เพราะว่าในวันนี้ พระผู้ช่วยให้รอดของพวกท่านคือพระคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้ามาประสูติที่เมืองของดาวิด นี่จะเป็นหมายสำคัญสำหรับพวกท่าน คือท่านจะพบพระกุมารนั้นพันผ้าอ้อมนอนอยู่ในรางหญ้า” ~ลูกา 2:10-12 THSV11

“สิเมโอนเข้าไปอุ้มพระกุมาร และสรรเสริญพระเจ้าว่า “ข้าแต่องค์เจ้านาย บัดนี้ขอทรงให้ทาสของพระองค์ไปเป็นสุข ตามพระดำรัสของพระองค์ เพราะว่าตาของข้าพระองค์ได้เห็นความรอดของพระองค์แล้ว ซึ่งพระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ต่อหน้าชนชาติทั้งหลาย เป็นความสว่างที่ส่องแก่คนต่างชาติ และเป็นศักดิ์ศรีของพวกอิสราเอลชนชาติของพระองค์” ~ลูกา 2:28-32 THSV11

“แล้วท่านทรงให้ประชุมพวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์ของประชาชน แล้วก็ตรัสถามพวกเขาว่า “พระคริสต์จะทรงบังเกิดที่ไหน?” พวกเขาทูลว่า “ที่บ้านเบธเลเฮมแคว้นยูเดีย เพราะว่าผู้เผยพระวจนะได้เขียนไว้ ดังนี้ว่า ‘บ้านเบธเลเฮม ในแผ่นดินยูเดีย จะไม่เป็นบ้านที่เล็กน้อยที่สุดในสายตาของพวกผู้ครองแผ่นดินยูเดีย เพราะว่าเจ้านายองค์หนึ่งจะออกมาจากท่าน ผู้ซึ่งจะครอบครองอิสราเอล ชนชาติของเรา’ ” เมื่อพวกนักปราชญ์ได้เห็นดาวนั้นแล้วก็มีความยินดียิ่งนัก เมื่อเข้าไปในบ้านก็พบพระกุมารกับนางมารีย์มารดา จึงก้มลงนมัสการพระกุมารนั้น แล้วเปิดหีบสมบัติของพวกเขาและถวายเครื่องบรรณาการแด่พระกุมาร คือ ทองคำ กำยาน และมดยอบ” ~มัทธิว 2:4-6, 10-11 THSV11

  1. พระเยซูคริสต์มาบังเกิดตามพระสัญญามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเป็นข่าวประเสริฐที่อัครทูตและคริสตจักรประกาศมาตั้งแต่ต้น

“เปาโล ผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์ ที่ได้รับการทรงเรียกให้เป็นอัครทูต และการตั้งไว้ให้ประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือข่าวประเสริฐที่ได้ทรงสัญญาไว้ล่วงหน้า โดยทางพวกผู้เผยพระวจนะของพระองค์ ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ข่าวประเสริฐนั้นเกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ ผู้ทรงบังเกิดมาโดยสืบเชื้อสายจากดาวิดทางฝ่ายเนื้อหนัง แต่ฝ่ายจิตวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์นั้นทรงปรากฏด้วยฤทธานุภาพว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า โดยการเป็นขึ้นมาจากความตาย คือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา.” ~โรม 1:1-4 THSV11

“และจากเชื้อสายของดาวิดนี้ พระเจ้าประทานผู้ช่วยให้รอดคือพระเยซูผู้ทรงบังเกิดมาเพื่อชนชาติอิสราเอลตามพระสัญญาของพระองค์” ~กิจการ 13:23 THSV11

  1. พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้าผู้ มาบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อให้มนุษย์ได้เห็นพระสิริของพระเจ้า

“พระวาทะทรงเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา เราเห็นพระสิริของพระองค์ คือ พระสิริที่สมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง” ~ยอห์น 1:14 THSV11

  1. พระเยซูคริสต์มาบังเกิดเป็นมนุษย์ เป็นของขวัญที่การสำแดงความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าต่อมนุษย์

“พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”~ยอห์น 3:16 THSV11

  1. พระเยซูคริสต์มาบังเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อทำให้เราบังเกิดใหม่เป็นบุตรของพระเจ้า

“สาธุการแด่พระเจ้าพระบิดาแห่งพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา โดยพระเมตตาล้นเหลือของพระองค์ ทรงโปรดให้เราบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังที่ยั่งยืน โดยการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์” ~1 เปโตร 1:3 THSV11

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

ถาม: “พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่อง การเป็นพยาน(witness)ไว้อย่างไรบ้าง?”

ตอบ:“ คำว่า ‘WITNESS “หมายความถึง

  • คนที่เห็นเหตุการณ์เกิดขึ้น (a person who sees an event, typically a crime or accident, take place.)
  • หลักฐาน หรือข้อพิสูจน์ (evidence; proof.)

ในพระคัมภีร์พูดถึงเรื่องนี้ มากมาย อาทิ

  • 1. พระเจ้าเป็นพยานว่าพระเยซูคริสต์ คือ พระบุตรของพระองค์

“ถ้าเรายอมรับพยานหลักฐานของมนุษย์ พยานหลักฐานของพระเจ้าก็ยิ่งใหญ่กว่า เพราะว่าเป็นพยานหลักฐานที่พระเจ้าทรงเป็นพยานอ้างถึงพระบุตรของพระองค์” ~1 ยอห์น 5:9 THSV11

  • 2. พระคัมภีร์เป็นพยานให้กับพระเยซู

“พวกท่านค้นดูในพระคัมภีร์เพราะท่านคิดว่าในนั้นมีชีวิตนิรันดร์ และพระคัมภีร์นั้นเองเป็นพยานให้กับเรา” ~ยอห์น 5:39 THSV11

  • 3. เรามีพยานมากมายว่า พระเจ้ามีจริง เราจึงควรเชื่อพระองค์

“เพราะฉะนั้น เมื่อเรามีพยานมากมายอยู่รอบข้างอย่างนี้แล้วก็ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะแน่น ขอให้เรายังคงวิ่งแข่งด้วยความทรหดอดทนในการแข่งขันที่อยู่ข้างหน้าเรา โดยจับตามองที่พระเยซูผู้เบิกทางความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อนั้นสมบูรณ์ พระองค์ทรงสู้ทนต่อกางเขน เพื่อความยินดีที่อยู่ต่อหน้าพระองค์ ทรงถือว่าความอับอายนั้นไม่เป็นสิ่งสำคัญ และพระองค์ประทับเบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้า” ~ฮีบรู 12:1-2 THSV11

  • 4.พระเยซูถูกเกลียดชัง เพราะพระองค์เป็นพยานว่า โลกนี้ ชั่วร้าย

“โลกเกลียดชังพวกน้องไม่ได้ แต่โลกเกลียดชังเรา เพราะเราเป็นพยานว่าการงานของโลกนี้ชั่วร้าย” ~ยอห์น 7:7 THSV11

  • 5.พระเจ้าห้ามเราเป็นพยานเท็จ

“ห้ามเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน” ~อพยพ 20:16 THSV11

  • 6.เราต้องพูดแต่ความจริง ไม่เป็นพยานเท็จ หรือโกหก

“คนที่พูดความจริงก็ให้การอย่างซื่อสัตย์ แต่พยานเท็จกล่าวคำหลอกลวง” ~สุภาษิต 12:17 THSV11

“พยานที่ซื่อสัตย์ไม่มุสา แต่พยานเท็จหายใจออกมาเป็นคำมุสา” -สุภาษิต 14:5 THSV11

  • 7.เราต้องตระหนักไว้เสมอว่า คนเป็นพยานเท็จจะได้รับการลงโทษ

“พยานเท็จจะพินาศ แต่พยานที่พูดตามที่ได้ยินจะยืนยงอยู่ได้” ~สุภาษิต 21:28 THSV11

“พยานเท็จจะถูกลงโทษ และคนพูดปดจะพินาศ” ~สุภาษิต 19:9 THSV11

“พยานเท็จจะถูกลงโทษ และคนพูดปดจะหนีไม่พ้น” ~สุภาษิต 19:5 THSV11

  • 8.เราต้องไม่เป็นพยานโดยลำเอียงเข้าข้างคนหมู่มาก เพราะถูกกดดัน

“ห้ามทำชั่วตามอย่างคนหมู่มาก ห้ามเป็นพยานในคดีความโดยลำเอียงเข้าข้างคนหมู่มาก จะทำให้เสียความยุติธรรมไป” ~อพยพ 23:2 THSV11

  • 9.เราต้องระวัง อย่าร่วมมือกับคนชั่ว ในการเป็นพยานเท็จหรือส่งเรื่องเท็จต่อๆไปอย่างใจร้าย

“ห้ามนำเรื่องเท็จไปเล่าต่อๆ กัน อย่าร่วมมือกับคนชั่วโดยเป็นพยานใจร้าย” ~อพยพ 23:1 THSV11

  • 10.พระเจ้าห้ามไม่ให้เราลงโทษผู้ใดให้ถึงตาย ด้วยพยานปากเดียว

“ผู้ที่ถูกกล่าวโทษถึงตายนั้น ให้มีพยานสองหรือสามปาก จึงให้ปรับโทษถึงตายได้ ห้ามลงโทษใครถึงตายด้วยพยานปากเดียว” ~เฉลยธรรมบัญญัติ 17:6 THSV11

  • 11.เราต้องระวังเป็นพิเศษสำหรับการยอมรับพยานในการกล่าวหาผู้ปกครอง

“อย่ายอมรับคำกล่าวหาผู้ปกครองคนไหน เว้นแต่จะมีพยานสองสามคน” ~1 ทิโมธี 5:19 THSV11

  • 12.เราต้องไม่ทำสิ่งที่พระเจ้าเกลียด ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ การเป็นพยานเท็จ

“มีหกสิ่งซึ่งพระยาห์เวห์ทรงเกลียด มีเจ็ดสิ่งซึ่งเป็นที่น่าเกลียดน่าชังสำหรับพระองค์ ได้แก่ ดวงตายโส ลิ้นมุสา และมือที่เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ ใจที่คิดแผนเลวร้าย เท้าซึ่งรีบวิ่งไปสู่ความชั่ว พยานเท็จซึ่งหายใจออกมาเป็นคำมุสา และคนที่หว่านความแตกร้าวในหมู่พี่น้อง” ~สุภาษิต 6:16-19 THSV11

  • 13.เราต้องดำเนินชีวิตแบบคนอื่นและพระเจ้าเป็นพยานว่าเราประพฤติตัวบริสุทธิ์และเที่ยงธรรม

“ท่านเป็นพยานฝ่ายเรา และพระเจ้าก็ทรงเป็นพยานด้วยว่าเราได้ประพฤติตัวบริสุทธิ์ เที่ยงธรรม และปราศจากข้อตำหนิในหมู่พวกท่านที่เชื่อ” ~1 เธสะโลนิกา 2:10 THSV11

  • 14.พระวิญญาณจะเป็นพยานร่วมกับจิตวิญญาณของเราว่า เราเป็นลูกของพระเจ้า

“พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับจิตวิญญาณของเราว่า เราเป็นลูกของพระเจ้า” ~โรม 8:16 THSV11

  • 15.พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นพยานแก่เราว่าพระเจ้ายกโทษและไม่จดจำบาปของเราอีกต่อไป

“และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงเป็นพยานแก่เราด้วย เพราะหลังจากที่พระองค์ตรัสว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสว่า นี่คือพันธสัญญาซึ่งเราจะทำกับเขาทั้งหลาย หลังจากสมัยนั้น เราจะบรรจุธรรมบัญญัติของเราไว้ในใจของพวกเขา และเราจะจารึกมันไว้ในจิตใจของพวกเขา และเราจะไม่จดจำ บาปของพวกเขา และการอธรรมของพวกเขาอีกต่อไป” เมื่อมีการยกโทษบาปแล้ว ก็ไม่มีการถวายเครื่องบูชาเพื่อลบบาปอีกต่อไป” ~ฮีบรู 10:15-18 THSV11

  • 16.เราต้องให้พระเจ้าเป็นพยานฝ่ายเรา ว่า เราไม่ใช้คำพูดใดๆเพื่อความโลภ

“ท่านก็รู้อยู่และพระเจ้าทรงเป็นพยานฝ่ายเราว่าเราไม่ได้ใช้คำยกยอใดๆ หรือคำพูดเคลือบคลุมเพื่อความโลภ” ~1 เธสะโลนิกา 2:5 THSV11

  • 17.เราต้องมีชีวิตที่มโนธรรมที่เป็นพระเจ้าและพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพยานให้ได้ว่าเราห่วงใยพี่น้องอย่างจริงใจ

“ข้าพเจ้าพูดความจริงในพระคริสต์ ข้าพเจ้าไม่ได้โกหก มโนธรรมของข้าพเจ้าเป็นพยานโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า” ~โรม 9:1 THSV11

“เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นพยานให้ข้าพเจ้าได้ว่า ข้าพเจ้าคิดถึงท่านทุกคนเพียงไรตามพระทัยสงสารของพระเยซูคริสต์” ~ฟีลิปปี 1:8 THSV11

  • 18.เราต้องมีชีวิตดีอย่างที่คนอื่นสามารถเป็นพยานให้เราได้
  • ก).ในเรื่องความเชื่อและความใจกว้าง

“เพราะข้าพเจ้าเป็นพยานได้ว่าพวกเขาถวายตามความสามารถ ที่จริงก็เกินความสามารถ และทำด้วยความสมัครใจ” ~2 โครินธ์ 8:3 THSV11

  • ข).ในเรื่องการทำงานหนักเพื่อคนอื่น

“ข้าพเจ้าเป็นพยานได้ว่าเขาทำงานหนักมากเพื่อท่านทั้งหลาย เพื่อบรรดาคนที่อยู่ในเมืองเลาดีเซียและเมืองฮีเอราบุรี” ~โคโลสี 4:13 THSV11

  • ค).ในชีวิตที่คงเส้นคงวาที่ประพฤติตามความจริง

“ข้าพเจ้าชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง เมื่อพี่น้องบางคนมาหาและเป็นพยานถึงชีวิตของท่านอย่างจริงจังว่าท่านกำลังประพฤติตามความจริง” ~3 ยอห์น 1:3 THSV11

  • 19.เราต้องเป็นพยานให้พระเจ้า และพระเยซูคริสต์ ในทุกสิ่งที่เราเห็นพระองค์ทรงกระทำและสั่งสอน

“ยอห์นเป็นพยานให้กับพระวจนะของพระเจ้าและให้กับคำพยานของพระเยซูคริสต์ คือทุกสิ่งที่ท่านเห็น” ~วิวรณ์ 1:2 THSV11

“เราคือสักขีพยานของกิจการทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำในแคว้นยูเดียและในกรุงเยรูซาเล็ม พวกเขาฆ่าพระองค์โดยแขวนไว้ที่ต้นไม้” ~กิจการ 10:39 THSV11

“พระเยซูองค์นี้พระเจ้าได้ทรงให้คืนพระชนม์แล้วซึ่งเราทุกคนคือสักขีพยานของเรื่องนี้” ~กิจการ 2:32 THSV11

“เพราะว่าท่านจะเป็นสักขีพยานของพระองค์ต่อคนทั้งปวงในสิ่งที่ท่านได้เห็นและได้ยินนั้น” ~กิจการ 22:15 THSV11

“สาวกคนนี้แหละที่เป็นพยานถึงเหตุการณ์เหล่านี้ และเป็นคนที่บันทึกสิ่งเหล่านี้ไว้ และเราทราบว่าคำพยานของเขาเป็นความจริง” ~ยอห์น 21:24 THSV11

  • 20.เราต้องถือว่าการเป็นพยานเรื่องข่าวประเสริฐเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของเรา

“แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ถือว่าชีวิตของข้าพเจ้าเป็นสิ่งมีค่าสำหรับตัวเอง ขอแต่เพียงให้ข้าพเจ้าได้ทำหน้าที่ของข้าพเจ้าและทำพันธกิจที่ได้รับจากพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าให้สำเร็จ คือการเป็นพยานถึงข่าวประเสริฐที่สำแดงพระคุณของพระเจ้า” ~กิจการ 20:24 THSV11

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์