Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

บทความโดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม:  พระคัมภีร์สอนเรื่อง “การเป็นส่วนหนึ่ง” (Belong) ในครอบครัวของพระเจ้าไว้อย่างไรบ้าง?

คำตอบ:  

  1. เรารับสิทธิ์เป็นบุตรของพระเจ้า ‘เข้าเป็นส่วนหนึ่ง’ ในครอบครัวของพระองค์(คือคริสตจักร)ร่วมกับผู้เชื่ออื่นๆ เมื่อเรากลับใจ ยอมรับการไถ่จากพระเยซูคริสต์ด้วยความเชื่อ

“พระองค์เสด็จมายังบ้านเมืองของพระองค์ แต่ชาวบ้านชาวเมืองของพระองค์ไม่ต้อนรับพระองค์ แต่ทุกคนที่ยอมรับพระองค์ คือคนที่เชื่อในพระนามของพระองค์นั้น พระองค์ก็จะประทานสิทธิให้เป็นลูกของพระเจ้า ซึ่งในฐานะนั้นพวกเขาไม่ได้เกิดจากเลือดเนื้อหรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า”  -ยอห์น 1:11-13 THSV11

“เพราะฉะนั้น พวกท่านจึงไม่ใช่คนนอกและคนต่างด้าวอีกต่อไป แต่เป็นพลเมืองเดียวกับบรรดาธรรมิกชน และเป็นครอบครัวของพระเจ้า”    -เอเฟซัส 2:19 THSV11

  1. เราต้องเรียนรู้จักวิธีประพฤติ และปฏิบัติตัวในฐานะที่ ‘เป็นส่วนหนึ่ง’ ในครอบครัวของพระเจ้า

“ถ้าข้าพเจ้ามาช้า ท่านก็จะได้รู้ว่าควรประพฤติอย่างไรภายในครอบครัวของพระเจ้า ซึ่งเป็นคริสตจักรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ เป็นหลักและเป็นรากฐานแห่งความจริง” 1 ทิโมธี 3:15 THSV11

  1. เราต้องตระหนักว่าการพิพากษาจะเริ่มต้นกับทุกคน ‘ที่เป็นส่วนหนึ่ง’ ในครอบครัวของพระเจ้าก่อนคนอื่นๆ

“เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า และถ้าเริ่มต้นที่พวกเราก่อน ปลายทางของคนเหล่านั้น ที่ไม่เชื่อฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้าจะเป็นอย่างไร?” ~1 เปโตร 4:17 THSV11

  1. เราต้องตระหนักว่า เราอาจได้รับมอบหมายให้ปกครองดูแลคริสตจักรที่เป็นครอบครัวของพระเจ้าที่เรา ‘เป็นส่วนหนึ่ง’  อยู่ ~แต่เราต้องสามารถปกครองดูแลคนในครอบครัวของเราให้ได้ก่อน

“คำกล่าวนี้สัตย์จริง คือว่าถ้าใครปรารถนาหน้าที่ผู้ปกครองดูแลคริสตจักร คนนั้นก็ปรารถนากิจการงานที่ประเสริฐ ผู้ปกครองดูแลนั้นจะต้องเป็นคนที่ไม่มีที่ติ เป็นสามีของหญิงคนเดียว รู้จักประมาณตน มีสติสัมปชัญญะ เป็นคนน่านับถือ มีอัธยาศัยต้อนรับแขก เหมาะที่จะเป็นอาจารย์ …ปกครองครอบครัวของตนได้ดี อบรมบุตร ธิดา ให้มีความนอบน้อมด้วยความเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง (เพราะถ้าชายคนไหนไม่รู้จักปกครองครอบครัวของตน คนนั้นจะดูแลคริสตจักรของพระเจ้าได้อย่างไร?)” ~1 ทิโมธี 3:1-2, 4-5 THSV11

“ถ้าแม่ม่ายคนไหนมีลูกหรือหลาน ก็ให้เขาทั้งหลายเรียนรู้การทำหน้าที่ในทางพระเจ้าต่อครอบครัวของตนก่อน และให้ตอบแทนคุณบิดามารดา เพราะว่าการกระทำเช่นนี้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า” ~ 1 ทิโมธี 5:4 THSV11

  1. เราต้องรับผิดชอบให้ทุกคนที่ ‘เป็นส่วนหนึ่ง’ ในครอบครัวของพระเจ้ามีความเป็นหนึ่งเดียวกันไม่ให้แตกแยก

“ถ้าครอบครัวใดแตกแยกกัน ครอบครัวนั้นจะตั้งอยู่ไม่ได้ และถ้าซาตานต่อสู้ตัวมันเอง และแตกแยกกัน มันจะตั้งอยู่ไม่ได้ แต่จะพบจุดจบ”  ~มาระโก 3:25-26 THSV11

  1. เราต้องไม่ทำให้ครอบครัวที่เรา ‘เป็นส่วนหนึ่ง’ ต้องลำบากเพราะเรา

“คนที่ตะกละหากำไรก็ทำให้ครอบครัวของตนลำบาก แต่คนที่เกลียดสินบนจะมีชีวิตอยู่”  ~สุภาษิต 15:27 THSV11

“คนที่ทำให้ครอบครัวของตนลำบากจะรับลมเป็นมรดก และคนโง่จะเป็นคนรับใช้ของคนมีปัญญา”  ~สุภาษิต 11:29 THSV11

  1. เราต้องหาโอกาสทำดีกับทุกคนที่เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวแห่งความเชื่อของเรา

“เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีโอกาส ให้เราทำดีต่อทุกคน และเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อคน’ที่เป็นสมาชิกของครอบครัวแห่งความเชื่อ” ~กาลาเทีย 6:10 THSV11

  1. เรากับทุกคนที่ ‘เป็นส่วนหนึ่ง’ ในครอบครัว ควรรับใช้พระเจ้าร่วมกัน

“และถ้าพวกท่านไม่เห็นด้วยที่จะปรนนิบัติพระยาห์เวห์ ท่านก็จงเลือกเสียในวันนี้ว่าท่านจะปรนนิบัติใคร จะปรนนิบัติบรรดาพระซึ่งบรรพบุรุษของท่านปรนนิบัติอยู่ในท้องถิ่นฟากตะวันออกของแม่น้ำ หรือบรรดาพระของคนอาโมไรต์ในแผ่นดินซึ่งท่านอาศัยอยู่ แต่ส่วนข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้า เราจะปรนนิบัติพระยาห์เวห์” ~โยชูวา 24:15 THSV11

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(cr.ภาพ Tyler Nix.Unsplash.com)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

บทความโดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม:   “พระคัมภีร์สอนอะไรบ้างเกี่ยวกับ วิถีที่เราควรประพฤติ (behave) และไม่ควรประพฤติ?”

คำตอบ           “ในพระคัมภีร์มีคำสอนมากมายของพระเจ้าว่า … เราควรประพฤติตนอย่างไร จึงจะนำผลดีมาสู่ชีวิตของเรา และหลีกเลี่ยงผลร้ายที่จะมาสู่ชีวิตของเรา?”

1.พระเจ้าทรงรู้จักความประพฤติทุกอย่างของเรา

“เรารู้จักความประพฤติของเจ้า รู้เรื่องการตรากตรำและความทรหดอดทนของเจ้า และรู้ว่าเจ้าไม่ยอมทนต่อพวกคนชั่ว เจ้าทดสอบพวกที่อ้างตัวว่าเป็นอัครทูต แต่ไม่ได้เป็น และเจ้าก็พบว่าพวกเขาโกหก”  ~วิวรณ์ 2:2 THSV11

2.เราจะเปิดเผยตัวเองผ่านการประพฤติของเรา

“แม้เด็กก็เผยตัวเองออกมาโดยการประพฤติของเขา ว่าสิ่งที่เขาทำบริสุทธิ์และถูกต้องหรือไม่” ~สุภาษิต 20:11 THSV11

3.เราควรประพฤติตามกฏหมายกฏเกณฑ์ของพระเจ้า

“เจ้าทั้งหลายจงทำตามกฎหมายของเราและรักษากฎเกณฑ์ของเราและประพฤติตาม เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า”  ~เลวีนิติ 18:4 THSV11

4.พระเจ้าจะลงโทษคนที่ประพฤติชั่ว

“แต่พระองค์จะทรงพระพิโรธ และลงโทษคนที่มักเห็นแก่ตัวและไม่ประพฤติตามสัจจะ แต่ประพฤติชั่ว”  ~โรม 2:8 THSV11

5.เราไม่ควรประพฤติตัวเหมือนสัตว์ต่อพระเจ้า

“ข้าพระองค์เขลาและไม่รู้เรื่อง ข้าพระองค์ประพฤติตัวเหมือนสัตว์ต่อพระองค์”  ~สดุดี 73:22 THSV11

6.เราไม่ควรเป็นคนอธรรมที่ประพฤติเสื่อมเสียและน่ารังเกียจ

“คนชอบธรรมเกลียดการพูดเท็จ แต่คนอธรรมประพฤติเสื่อมเสียและน่ารังเกียจ”  ~สุภาษิต 13:5 THSV11

7.เราไม่ควรประพฤติตัวด้วยความโอหัง

“คนชอบเยาะเย้ย” เป็นชื่อของคนเย่อหยิ่งจองหอง ผู้ประพฤติตัวด้วยความโอหัง” ~สุภาษิต 21:24 THSV11

8.เราไม่ควรประพฤติอย่างเดียวกับคนที่เราตัดสินเขา

“มนุษย์เอ๋ย ท่านที่ตัดสินคนที่ประพฤติเช่นนั้น แต่ยังประพฤติเช่นเดียวกับเขา ท่านคิดว่าจะพ้นจากการลงโทษของพระเจ้าหรือ?”  ~โรม 2:3 THSV11

9.เราไม่ควรประพฤติตามกิเลสตัณหาของตัวเรา

“เช่นเดียวกับบุตรที่เชื่อฟัง อย่าประพฤติตามกิเลสตัณหา อันเกิดจากความโง่เขลาของพวกท่านในอดีต”  ~1 เปโตร 1:14 THSV11

“เมื่อก่อนเราทุกคนเคยประพฤติเหมือนพวกเขาตามตัณหาของเนื้อหนัง คือทำตามความต้องการของเนื้อหนังและของความคิด โดยวิสัยแล้วเราจึงเป็นคนที่สมควรได้รับการลงโทษเหมือนอย่างคนอื่นๆ”  -เอเฟซัส 2:3 THSV11

10.เราควรกลับใจจากการประพฤติที่นำไปสู่ความตาย

“เพราะฉะนั้นขอให้เราผ่านหลักคำสอนเบื้องต้นเกี่ยวกับพระคริสต์ ไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ โดยไม่วางรากฐานซ้ำอีก คือเรื่องการกลับใจจากการประพฤติที่นำไปสู่ความตาย และเรื่องความเชื่อในพระเจ้า”  ~ฮีบรู 6:1 THSV11

11.เราควรประพฤติตามบัญญัติของพระคริสต์

“ถ้าพวกท่านรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา”  ~ยอห์น 14:15 THSV11

12.เราควรติดสนิทกับความรักของพระคริสต์และประพฤติตามบัญญัติของพระองค์

“ถ้าพวกท่านประพฤติตามบัญญัติของเรา ท่านก็จะติดสนิทอยู่กับความรักของเรา เหมือนอย่างที่เราประพฤติตามบัญญัติของพระบิดาและติดสนิทอยู่กับความรักของพระองค์”  ~ยอห์น 15:10 THSV11

13.เราไม่ควรแค่อ่านหรือฟังพระบัญญัติแต่ไม่ประพฤติตาม

“แต่จงเป็นผู้ประพฤติตามพระวจนะ ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ฟังเท่านั้น มิฉะนั้นจะเป็นการหลอกตัวเอง”  ~ยากอบ 1:22 THSV11

14.เราควรประพฤติตามความจริง และพึ่งพระเจ้า

“เพราะทุกคนที่ประพฤติชั่วก็เกลียดความสว่าง และไม่มาหาความสว่าง เนื่องจากกลัวว่าการกระทำของตนจะปรากฏ แต่คนที่ประพฤติตามความจริงก็มาถึงความสว่าง เพื่อให้เห็นว่าการกระทำของเขานั้นทำโดยพึ่งพระเจ้า”  ~ยอห์น 3:20-21 THSV11

15.เราควรประพฤติตามที่พระเยซูคริสต์วางแบบอย่างให้ไว้

“เพราะฉะนั้นถ้าเราผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระอาจารย์ยังล้างเท้าของพวกท่าน ท่านก็ควรจะล้างเท้าของกันและกันด้วย เพราะว่าเราวางแบบอย่างแก่พวกท่านแล้ว เพื่อให้ท่านทำเหมือนอย่างที่เราทำกับท่านด้วย เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า บ่าวจะเป็นใหญ่กว่านายไม่ได้ และทูตจะเป็นใหญ่กว่าคนที่ใช้เขาไปก็ไม่ได้ เมื่อพวกท่านรู้อย่างนี้แล้วและประพฤติตาม ท่านก็เป็นสุข”  ~ยอห์น 13:14-17 THSV11

16.พระเจ้าจะปล่อยให้เราประพฤติอธรรมต่อไป หากเรายังคงดื้อดึง

“จงให้คนอธรรมประพฤติการอธรรมต่อไป จงให้คนโสมมประพฤติการโสมมต่อไป จงให้คนชอบธรรมทำการชอบธรรมต่อไปและจงให้คนบริสุทธิ์เป็นคนบริสุทธิ์ต่อไป” ~วิวรณ์ 22:11 THSV11

“เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงทรงปล่อยเขาให้ประพฤติการโสโครกตามราคะตัณหาในใจของเขา ให้เขาทำสิ่งที่น่าอับอายต่อกายของกันและกัน”  ~โรม 1:24 THSV11

17.เราควรประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีในทุกด้าน

“ท่านเองจงประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างในการดีทุกด้าน ในการสอนอย่างจริงใจ จริงจัง”  ~ทิตัส 2:7 THSV11

18.เราควรให้ความประพฤติของเราจูงใจและเปลี่ยนแปลงคนที่อยู่กับเรา

“ส่วนพวกท่านที่เป็นภรรยาก็เช่นกัน จงยอมเชื่อฟังสามีของตน เพื่อว่าแม้สามีบางคนไม่เชื่อพระวจนะ แต่ความประพฤติของภรรยาก็อาจจะจูงใจพวกเขาให้เชื่อได้ โดยไม่ต้องพูดเลยสักคำเดียว” ~1 เปโตร 3:1 THSV11

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(cr.ภาพ Emmanuel Phaeton.Unsplash.com)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

บทความโดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม:พระคัมภีร์สอนอะไรบ้างเกี่ยว เรื่องความเชื่อในพระเจ้า?”

คำตอบ:   “พระคัมภีร์สอนเรื่องความเชื่อ ไว้ดังนี้:

พระคัมภีร์ส่วนใหญ่ใช้ภาษาไทย “เชื่อ” หรือ “ความเชื่อ” เป็นคำแปลทั้งของ คำว่า Believe” และคำว่า Faith”  ทั้งๆ ที่คำว่า Faith”  น่าจะแปลว่า “ความศรัทธา” มีความหมายครอบคลุมกว้างกว่าคำว่า “เชื่อ” (believe) ดังนี้ คือ “ศรัทธา” (Faith) = เชื่อ(believe) + วางใจ (trust) (โดยไม่สงสัย)

ในพระคัมภีร์สอนเรื่องความเชื่อ ไว้ดังนี้

1.พระเจ้ายอมรับว่า เราเป็นคนชอบธรรม เมื่อเรามีความเชื่อในพระองค์

“อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และพระองค์ทรงถือว่าท่านเป็นคนชอบธรรมอย่างไร.”  -กาลาเทีย 3:6 (2011)

2.เราเป็นคนชอบธรรม และได้รับความรอด เมื่อเราเชื่อพระคริสต์ด้วยใจและรับพระองค์ด้วยปาก

“คือว่าถ้าท่านจะยอมรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในใจว่า พระเจ้าได้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด 10เพราะว่าการเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด”  –โรม. 10:9-10 (2011)

3.เราควรเชื่อในพระคริสต์โดยไม่ต้องขอหมายสำคัญ แต่หากเราต้องการหมายสำคัญก็ทูลขอจากพระองค์ได้

“พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ถ้าพวกท่านไม่เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ท่านก็จะไม่เชื่อ”  – ยอห์น 4:48(2011)

4.เราต้องทูลขอด้วยความเชื่อจริง ๆ จึงจะได้รับในสิ่งที่ขอ

“เพราะเหตุนี้ เราบอกท่านทั้งหลายว่า เมื่อพวกท่านอธิษฐานขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ แล้วพวกท่านจะได้รับสิ่งนั้น”  -มาระโก 11:24(2011)

“ทุกสิ่งที่ท่านอธิษฐานขอด้วยความเชื่อก็จะได้” -มัทธิว 21:22 (2011)

5.เราต้องเชื่อและวางใจพระคริสต์ จึงจะได้รับชีวิตรันดร์ และเป็นคนของพระองค์

“แต่ตามที่เราได้บอกท่านไว้แล้ว ท่านได้เห็นเราแต่ก็ยังไม่เชื่อ คนทั้งปวงที่พระบิดาประทานแก่เราจะมาหาเรา และผู้ที่มาหาเรา เราก็จะไม่มีวันขับไล่เขาไป” …เพราะพระบิดาของเราทรงประสงค์ให้ทุกคนที่เห็นและเชื่อในพระบุตรมีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้เขาเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย”  -ยอห์น 6:36-37, 40  (อมตธรรม)

 “แต่พวกท่านไม่เชื่อเพราะท่านไม่ได้เป็นแกะของเรา” -ยอห์น 10:26 (2011)

6.เราต้องตระหนักว่า หากไม่มีความเชื่อเราจะเป็นที่พอพระทัย และรับบำเหน็จรางวัลจากพระเจ้าไม่ได้เลย

“แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะไม่เป็นที่พอพระทัยเลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้านั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์” -ฮีบรู 11:6(2011)

7.เราจะเป็นสุข เมื่อเราเชื่อโดยไม่ต้องเห็นก่อน

“พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เพราะท่านเห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ? คนที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข”  -ยอห์น. 20:29 (2011)

“และเมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในบ้าน คนตาบอดทั้งสองก็เข้ามาหาพระองค์ พระเยซูตรัสถามเขาทั้งสองว่า “ท่านเชื่อหรือไม่ว่าเรามีฤทธิ์เดชทำการนี้ได้?” เขาทั้งสองทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์เชื่อ”  -มัทธิว 9:28 (2011)

8.เราต้องขอพระเจ้าช่วยเราให้เอาชนะความสงสัย และเชื่อจริงๆ ว่าพระเจ้าสามารถทรงทำให้ได้

“พระเยซูจึงตรัสกับบิดานั้นว่า “ ‘ถ้าช่วยได้’ น่ะหรือ? ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง บิดาของเด็กจึงร้องทูลทันทีว่า  “ข้าพเจ้าเชื่อ และขอโปรดช่วยในส่วนที่ขาดอยู่ด้วยเถิด”  -มาระโก. 9:23- 24(2011)

“แต่จงขอด้วยความเชื่อและไม่สงสัย เพราะว่าคนที่สงสัยนั้นเป็นเหมือนคลื่นในทะเลที่ถูกลมพัดซัดไปมา”  -ยากอบ 1:6 (2011)

“เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ถ้าใครสั่งภูเขานี้ว่า ‘จงลอยลงทะเลไป’ และใจไม่สงสัย แต่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่ สั่งนั้น ก็จะเป็นไปตามนั้นจริงๆ.”  -มาระโก 11:23 (2011)

9.เราต้องเชื่อว่าพระเยซูคริสต์คืออาหารแห่งชีวิต ที่จะทำให้เราไม่หิวกระหายอีกเลย

“แล้วพระเยซูประกาศว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่มีวันหิวโหยและผู้ที่เชื่อในเราจะไม่มีวันกระหายอีกเลย” -ยอห์น 6:35 (อมตธรรม)

10.เราต้องเชื่อว่าความเชื่อวางใจของเราในพระคริสต์จะทำให้เรามีชีวิตนิรันดร์และจะเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย

“ผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์ แต่ผู้ใดที่ไม่ยอมรับพระบุตรก็จะไม่ได้เห็นชีวิต เพราะพระพิโรธของพระเจ้ายังอยู่กับเขา”  -ยอห์น 3:36 (อมตธรรม)

“เพราะพระบิดาของเราทรงประสงค์ให้ทุกคนที่เห็นและเชื่อในพระบุตรมีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้เขาเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย”  – ยอห์น 6:40 (อมตธรรม)

11.เราจะได้เห็นพระเกียรติสิริของพระเจ้าเมื่อเราเชื่อศรัทธาอย่างเต็มที่

“พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือว่า ถ้าเธอเชื่อ ก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า?”  -ยอห์น 11:40 (2011)

12.เราจะเป็นพยานและประกาศข่าวประเสริฐที่เราเชื่อนี้ ให้ทุกคนได้ยินและเชื่อ

“แต่พวกที่ยังไม่เชื่อในพระองค์ จะทูลขอต่อพระองค์ได้อย่างไร? และพวกที่ยังไม่ได้ยินถึงพระองค์ จะเชื่อในพระองค์ได้อย่างไร? และเมื่อไม่มีผู้ประกาศ เขาจะได้ยินถึงพระองค์อย่างไร?”  -โรม 10:14 (2011)

“และเรามีใจเชื่อเช่นเดียวกับที่เขียนไว้ว่า“ข้าพเจ้าเชื่อฉะนั้นข้าพเจ้าจึงพูด”  เราก็เชื่อฉะนั้นเราจึงพูดด้วย”  -2 โครินธ์ 4:13 (2011)

13.เราต้องไม่เพียงเชื่อในพระคริสต์ แต่ยังพร้อมที่จะทนทุกข์เพื่อพระองค์ด้วย

“เพราะพระเจ้าทรงให้พระคุณแก่ท่านเพราะเห็นแก่พระคริสต์ ไม่ใช่ให้ท่านทั้งหลายเชื่อในพระองค์เท่านั้น แต่ให้ทนทุกข์ยากเพราะเห็นแก่พระองค์ด้วย”  -ฟิลิปปี 1:29 (2011)

14.เราต้องเชื่อวางใจว่าพระคริสต์สามารถทำงานใหญ่กว่าที่พระองค์เคยทำมา ผ่านตัวของเรา

“เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า ผู้ที่เชื่อในเราจะทำสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ เขาจะทำแม้กระทั่งสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีก เพราะเรากำลังจะไปหา “พระบิดา”  -ยอห์น 14:12 (อมตธรรม)

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(cr.ภาพ Lian Metzler.Unsplash)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

บทความโดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม:   “พระคัมภีร์สอนเรื่อง ความรัก ความชื่นชมยินดี และความสันติสุขไว้อย่างไรบ้าง?”

คำตอบ:

1.พระเจ้าทรงรักมนุษย์อย่างเราด้วยความรักอันใหญ่หลวงทั้งๆ ที่เราเป็นคนบาป และทิ้งพระเจ้า

“แต่พระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา พระองค์ทรงรักเราโดยความรักอันใหญ่หลวงของพระองค์”  ~เอเฟซัส 2:4 THSV11

2.พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์ไถ่โทษบาปของเราแล้วบนกางเขนด้วยความรัก

“แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เรา คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อเรา”  ~โรม 5:8 THSV11

3.พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำความรักมาสู่ชีวิตของเรา

“และความหวังจะไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะเหตุว่าความรักของพระเจ้าได้หลั่งเข้าสู่จิตใจของเรา โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว”  ~โรม 5:5 THSV11

4.เราได้รับสันติสุขจากพระคริสต์เมื่อเรากลับใจ เชื่อพระองค์และด้วยสันติสุขนั้น เราจึงรับมือได้กับทุกความทุกข์ยาก

“เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขในพระเจ้า ทางพระเยซูคริสตเจ้าของเรา”  ~โรม 5:1 TH1971

“เราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว” ~ยอห์น 16:33 TH1971

5.เราจะมีความชื่นชมยินดีได้ในทุกสถานการณ์กับพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์

“มิใช่เพียงเท่านั้น เราทั้งหลายยังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ผู้ทรงเป็นเหตุให้เราได้กลับคืน ดีกับพระเจ้า”   ~โรม 5:11 TH1971

“โดยทางพระองค์เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่ และเราชื่นชมยินดีในความไว้วางใจ ว่าจะได้มีส่วนในพระสิริของ พระเจ้า ยิ่งกว่านั้น เรา ชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้น ทำให้เกิดความอดทน และความอดทนทำให้เห็นว่าเราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ และการที่เราเห็นเช่นนั้นทำให้เกิดมีความหวังใจ” ~โรม 5:2-4 TH1971

6.เรายินดี เมื่อเราอธิษฐาน แล้วพระเจ้าทรงประทานให้ตามที่เราขอในนามของพระเยซูคริสต์

“ในวันนั้นท่านจะไม่ถามอะไรเราอีก เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านขอสิ่งใดจากพระบิดา พระองค์จะ ประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่านในนามของเรา แม้จนบัดนี้ท่านยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเรา จงขอเถิดแล้วจะได้ เพื่อความชื่นชมยินดีของท่านจะมีเต็มเปี่ยม” ~ยอห์น 16:23-24 TH1971

7.เราควรรักกันและกัน และรักผู้อื่นอย่างที่พระเยซูคริสต์ทรงบัญชา

“บัญญัติของเราคือให้พวกท่านรักกันและกัน เหมือนอย่างที่เรารักท่าน”   ~ยอห์น 15:12 THSV11

“เรารัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน ถ้าใครกล่าวว่า “ข้าพเจ้ารักพระเจ้า” แต่ใจยังเกลียดชังพี่น้องของตน เขาเป็นคนพูดมุสา เพราะว่า ผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่มองเห็นแล้ว จะรักพระเจ้าที่มองไม่ เห็นไม่ได้ พระบัญญัตินี้เราได้มาจากพระองค์ คือให้คนที่รักพระเจ้านั้นรักพี่น้องของตนด้วย”   ~1 ยอห์น 4:19-21 THSV11

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(cr.ภาพ Anna Kolosyuk.Unsplash) 

 

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

บทความโดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม: “พระคัมภีร์สอนเรื่องความชื่นชมยินดี (JOY) ไว้อย่างไรบ้าง?”

คำตอบ:

1.พระเจ้าอยากให้เรามีความยินดีอย่างเต็มเปี่ยม

“จนบัดนี้พวกท่านก็ยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเรา จงขอเถิดแล้วจะได้ เพื่อความชื่นชมยินดีของท่านจะมีเต็มเปี่ยม” ยอห์น 16:24 THSV11

2.พระเจ้าอยากให้เรามีความยินดีอยู่ทุกเวลา

“จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด” ฟีลิปปี 4:4 THSV11

3.พระเจ้าอยากให้เราเต็มด้วยความยินดี และพระวิญญาณบริสุทธิ์

“ส่วนพวกสาวกเต็มด้วยความชื่นชมยินดีและเต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” กิจการ 13:52 THSV11

4.เราควรสามัคคีธรรมร่วมกับพี่น้องด้วยความชื่นชมยินดีทุกวัน

“ทุกๆ วัน พวกเขาอุทิศตัวอยู่ด้วยกันในพระวิหารและหักขนมปังตามบ้านของพวกเขา รับประทานอาหารร่วมกันด้วยความชื่นชมยินดีและจริงใจ” กิจการ 2:46 THSV11

 5.เราควรเป็นสาเหตุที่ทำให้คนจำนวนมากเกิดความชื่นชมยินดี

“อะไรเล่าจะเป็นความหวังหรือความชื่นชมยินดี หรือสิ่งภูมิใจของเรา เฉพาะพระพักตร์พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราเมื่อพระองค์จะเสด็จมา? ก็ไม่ใช่พวกท่านหรือ?”  1 เธสะโลนิกา 2:19 THSV11

6.เราควรกินดื่มอย่างมีความชื่นชมยินดีในชีวิต

“แล้วข้าพเจ้าจึงยกย่องความสนุกสนาน เพราะว่าไม่มีอะไรดีสำหรับมนุษย์ภายใต้ดวงอาทิตย์มากไปกว่ากินและดื่มกับชื่นชมยินดี เพราะว่าสิ่งนี้จะอยู่เคียงข้างเขาในการตรากตรำของเขาตลอดชีวิตเขา ที่พระเจ้าประทานแก่เขาภายใต้ดวงอาทิตย์”  ปัญญาจารย์ 8:15 THSV11

7.เราควรชื่นชมยินดีในพระเจ้าอยู่เสมอ

“จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด”  ฟีลิปปี 4:4 THSV11

8.เราควรเต็มด้วยความชื่นชมยินดีและเต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์

“ส่วนพวกสาวกเต็มด้วยความชื่นชมยินดีและเต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” กิจการ 13:52 THSV11

9.เราควรตระหนักว่า ความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า

“เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้านั้นไม่ใช่การกินและการดื่ม แต่เป็นความชอบธรรมและสันติสุขและความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์” โรม 14:17 THSV11

10.เราควรชื่นชมยินดีและภูมิใจกับผู้เชื่อที่เติบโตจนเป็นศักดิ์ศรีของเรา

“อะไรเล่าจะเป็นความหวังหรือความชื่นชมยินดี หรือสิ่งภูมิใจของเรา เฉพาะพระพักตร์พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราเมื่อพระองค์จะเสด็จมา? ก็ไม่ใช่พวกท่านหรือ? เพราะว่าท่านเป็นศักดิ์ศรีและความชื่นชมยินดีของเรา” 1 เธสะโลนิกา 2:19-20 THSV11

11.เราควรชื่นชมยินดี เมื่อได้ทราบว่า ผู้เชื่อดำเนินชีวิตตามความจริงของพระเจ้า

“ข้าพเจ้าชื่นชมยินดีอย่างยิ่งที่พบว่าลูกของท่านบางคนดำเนินชีวิตตามความจริง ตรงตามที่เราได้รับพระบัญชาจากพระบิดา” 2 ยอห์น 1:4 THSV11

12.เราควรชื่นชมยินดีกับคู่ชีวิตและสมาชิกในครอบครัวของเรา

“เจ้าจงชื่นชมยินดีในชีวิตกับภรรยาซึ่งเจ้ารักตลอดชีวิตอนิจจังที่ได้ประทานให้แก่เจ้าภายใต้ดวงอาทิตย์ตลอดวันเวลาอนิจจังของเจ้า เพราะว่านั่นเป็นรางวัลสำหรับชีวิต และสำหรับการตรากตรำของเจ้า ซึ่งเจ้าได้ตรากตรำภายใต้ดวงอาทิตย์”  ปัญญาจารย์ 9:9 THSV11

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(cr.ภาพ pngtree)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

บทความโดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม  “พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องความรัก (LOVE) ไว้อย่างไรบ้าง?”

คำตอบ:  “พระคัมภีร์พูดถึงเรื่องความรัก(LOVE) ไว้ดังนี้

1.พระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้มีความรักมั่นคง

“ข้าแต่พระยาห์เวห์ ความรักมั่นคงของพระองค์แผ่ไปถึงฟ้าสวรรค์ ความซื่อสัตย์ของพระองค์ไปถึงเมฆ” ~สดุดี 36:5 THSV11

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

บทความโดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม  “พระคัมภีร์สอนเรื่องสันติสุข และสันติภาพไว้อย่างไรบ้าง?”

คำตอบ  “ก่อนจะดูว่าพระคัมภีร์สอนอะไรในเรื่องนี้ ให้เรามาค้นดูความหมายของคำทั้ง 2 กันก่อน

พจนานุกรมไทยให้ความหมายไว้ว่า… “สันติภาพ” หมายความถึง น. “ความสงบ”  เช่น โลกต้องการสันติภาพ จงร่วมมือกันรักษาสันติภาพของโลก. (ป. สนฺติ + ภาว)

ส่วน “สันติสุข” หมายความว่า น. “ความสุขที่เกิดจากความสงบ เช่น รัฐบาลบริหารประเทศเพื่อสันติสุขของประชาชน.

พระคัมภีร์ สอนเรื่อง “สันติสุข และสันติภาพ” ไว้ดังนี้

1.พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติสุข

“ขอพระเจ้าแห่งสันติสุขสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายทุกคน อาเมน”    ~โรม 15:33 THSV11

2.พระเจ้าแห่งสันติสุข จะปราบซาตานให้ยับเยินลงใต้ฝ่าเท้าของเรา

“ไม่ช้าพระเจ้าแห่งสันติสุขจะทรงปราบซาตานให้ยับเยินลงใต้ฝ่าเท้าของพวกท่าน ขอพระคุณของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา จงอยู่กับท่านเถิด” ~โรม 16:20 THSV11

3.พระเจ้าแห่งสันติสุขจะทำให้เราเพียบพร้อมด้วยสิ่งดีเพื่อทำตามพระทัยพระองค์

ขอพระเจ้าแห่งสันติสุข ผู้ทรงนำพระผู้เลี้ยงแกะยิ่งใหญ่คือพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเราขึ้นมาจากความตายโดยโลหิตแห่งพันธสัญญานิรันดร์ ทรงให้พวกท่านเพียบพร้อมด้วยสิ่งดีทุกอย่าง เพื่อที่จะทำตามพระทัยของพระองค์โดยทรงทำงานในเรา ให้เกิดผลเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ทางพระเยซูคริสต์ ขอพระสิริจงมีแด่พระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน”  ~ฮีบรู 13:20-21 THSV11

 4.พระเจ้าแห่งสันติสุข จะชำระเราให้เป็นคนบริสุทธิ์หมดจด

ขอให้พระเจ้าแห่งสันติสุขทรงชำระท่านทั้งหลายให้เป็นคนบริสุทธิ์หมดจด และทรงรักษาทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกายของท่านไว้ให้ปราศจากการติเตียน จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจะเสด็จมา”  ~1 เธสะโลนิกา 5:23 THSV11

5.พระเจ้าแห่งสันติสุขสามารถประทานสันติสุขให้เราได้ในทุกที่ทุกเวลา

“ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสันติสุข ประทานสันติสุขให้แก่ท่านทั้งหลายทุกเวลาและในทุกสถานการณ์ ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าดำรงอยู่กับท่านทุกคนเถิด”  ~2 เธสะโลนิกา 3:16 THSV11

6.เราควรเป็นคนที่ใฝ่หาสันติสุขจากพระเจ้าและดำเนินตามวิถีนั้น

“เพราะว่า ผู้ใดรักชีวิตและปรารถนา จะเห็นวันเวลาดี ก็ให้ผู้นั้นยั้งลิ้นของตนไม่พูดชั่ว และห้ามปาก ไม่ให้พูดล่อลวงให้เขาละความชั่วและทำความดี ให้เขาใฝ่หาสันติสุขและดำเนินตาม”  ~1 เปโตร 3:10-11 THSV11

7.เราควรเป็นลูกของพระเจ้าที่มีความสุขในฐานะผู้สร้างสันติ

คนที่สร้างสันติก็เป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงเรียกเขาทั้งหลายว่าเป็นลูก” ~มัทธิว 5:9 THSV11

8.เราควรให้สันติสุขของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจ คุ้มครองจิตใจของเราเสมอ

“อย่ากระวนกระวายในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลพระเจ้าให้ทรงทราบทุกสิ่งที่พวกท่านขอ โดยการอธิษฐานและการวิงวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านทั้งหลายไว้ในพระเยซูคริสต์”  ~ฟีลิปปี 4:6-7 THSV11

9.เราควรให้สันติสุขของพระคริสต์นำพาจิตใจของเรา

“และจงให้สันติสุขของพระคริสต์นำพาจิตใจ ของท่านทั้งหลาย พระเจ้าทรงเรียกท่านให้มาเป็นกายเดียวกันก็เพื่อสันติสุขนี้ และจงมีใจขอบพระคุณ”  ~โคโลสี 3:15 THSV11

10.เราควรฟังพระวจนะของพระเจ้า เพื่อเราจะมีสันติสุขได้ในยามที่เราประสบความทุกข์ยาก

“นี่แน่ะ วันนั้นจะมา และเวลานั้นก็มาถึงแล้ว ที่พวกท่านจะต้องกระจัดกระจายไปยังที่อยู่ของท่านแต่ละคนและจะทิ้งเราไว้คนเดียว แต่เราไม่ได้อยู่คนเดียว เพราะพระบิดาสถิตอยู่กับเรา เราบอกเรื่องนี้กับพวกท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว”      ~ยอห์น 16:32-33 THSV11

11.เราได้รับพรจากพระเจ้าซึ่งจะให้ หรือ ไม่ให้สันติสุขตกอยู่กับบ้านใดก็ได้

“ถ้าบ้านนั้นสมควรรับพร ก็ให้สันติสุขของพวกท่านอยู่กับบ้านนั้น แต่ถ้าบ้านนั้นไม่สมควรรับพร ก็ให้สันติสุขนั้นกลับคืนมาสู่พวกท่านอีก”  -มัทธิว 10:13 THSV11

12.เราควรตระหนักว่าบางครั้งสันติสุขในใจเรานั้น แท้จริงแล้วขึ้นอยู่ที่ความคิดของเราเอง

ชีวิตข้าพเจ้าขาดสันติสุข จนข้าพเจ้าลืมว่าความสุขเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าจึงว่า “ศักดิ์ศรีของข้าพเจ้าสูญไปแล้ว ทั้งความหวังของข้าพเจ้าในพระยาห์เวห์ด้วย” การคิดถึงความทุกข์ยากและการพลัดบ้านของข้าพเจ้า เป็นบอระเพ็ดและของขม ข้าพเจ้ายังคิดถึงเนืองๆ และจิตใจข้าพเจ้าก็หดหู่ ข้าพเจ้าหวนคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้           เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงมีความหวัง ความรักมั่นคงของพระยาห์เวห์ไม่เคยหยุดยั้ง และพระกรุณาของพระองค์ไม่มีสิ้นสุด เป็นของใหม่ทุกเวลาเช้า ความเที่ยงตรงของพระองค์ใหญ่ยิ่งนัก จิตใจข้าพเจ้าว่า “พระยาห์เวห์ทรงเป็นมรดกส่วนของข้าพเจ้าเพราะฉะนั้นข้าพเจ้ามีความหวังในพระองค์” ~เพลงคร่ำครวญ 3:17-24 THSV11

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

(cr.ภาพ Deb Little.Etsy.com)