ถาม: “พระคัมภีร์สอนเรื่องสัมพันธภาพในครอบครัวไว้อย่างไรบ้าง?”
ตอบ: “ ในพระคัมภีร์สอนเเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัวไว้ดังนี้
1.ผู้เป็นสามี และเป็นพ่อควรเป็นผู้นำที่รับผิดชอบดูแลและปกครองครัวเรือนได้ดี
ถาม: “พระคัมภีร์สอนเรื่องสัมพันธภาพในครอบครัวไว้อย่างไรบ้าง?”
ตอบ: “ ในพระคัมภีร์สอนเเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัวไว้ดังนี้
1.ผู้เป็นสามี และเป็นพ่อควรเป็นผู้นำที่รับผิดชอบดูแลและปกครองครัวเรือนได้ดี
คำถาม: “พระคัมภีร์ กล่าวถึงการที่พระเจ้าเปลี่ยนชีวิตของคนอย่างคุณและฉันไว้อย่างไรบ้าง?”
คำตอบ:
1.พระเจ้าตรัสเตือนไม่ให้เราดำเนินชีวิตแบบที่คนไม่เชื่อพระเจ้าเขาทำกัน
“เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าขอกล่าวเช่นนี้และยืนยันในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าอย่าดำเนินชีวิตแบบเดียวกับที่พวกต่างชาติดำเนินกันอีกต่อไป” -เอเฟซัส 4:17ก
คำถาม: “พระคัมภีร์สอนอะไรบ้าง เกี่ยวกับเรื่องการสะดุด?”
คำตอบ: “พระคัมภีร์สอนเรื่องการสะดุดไว้ดังนี้ คือ
1.เราไม่ควรทำอะไรที่ทำให้คนอื่นสะดุด (ในความเชื่อของเขา)
“เป็นการดีที่จะไม่กินเนื้อสัตว์หรือเหล้าองุ่นหรือทำสิ่งใดๆ ที่จะเป็นเหตุให้พี่น้องสะดุด” ~โรม 14:21 THSV11
2.เราควรตระหนักว่า การทำบางอย่างที่ทำให้คนอื่นสะดุดนั้น เป็นสิ่งไม่ดี
“อย่าทำลายสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างเพราะเห็นแก่อาหารเลย อาหารทุกอย่างปราศจากมลทินก็จริง แต่การกินอาหารซึ่งเป็นเหตุให้ผู้อื่นสะดุด ก็เป็นสิ่งไม่ดี” ~โรม 14:20 THSV11
“แต่เรามีข้อที่จะต่อว่าเจ้าสองสามข้อ คือเจ้ามีบางคนที่ยึดถือคำสอนของบาลาอัมอยู่ที่นั่น ผู้ซึ่งสอนบาลาคให้วางสิ่งสะดุดต่อหน้าพวกอิสราเอล คือให้พวกเขากินอาหารที่บูชารูปเคารพและล่วงประเวณี” ~วิวรณ์ 2:14 THSV11
3.เราควรหยุดทำสิ่งที่เราทำอยู่ ถ้าสิ่งนั้นทำให้ (ความเชื่อของ) พี่น้องสะดุด
“เพราะฉะนั้นถ้าอาหารเป็นเหตุที่ทำให้พี่น้องของข้าพเจ้าสะดุด ข้าพเจ้าจะไม่กินเนื้อสัตว์อีกต่อไป เพื่อว่าจะไม่ทำให้พี่น้องต้องสะดุด” ~1 โครินธ์ 8:13 THSV11
4.เราไม่ควรกล่าวโทษ หรือสะดุดกันไปมา แต่ตั้งใจว่าไม่วางสิ่งใดที่ทำให้พี่น้องสะดุด
“ดังนั้นอย่าให้เรากล่าวโทษกันและกันอีกเลย แต่จงตัดสินใจดีกว่าว่าจะไม่วางสิ่งซึ่งทำให้พี่น้องสะดุด หรือสิ่งกีดขวางทางของเขา” ~โรม 14:13 THSV11
5.เราควรหนุนใจคนที่กำลังสะดุด
“ถ้อยคำของท่านหนุนใจคนที่กำลังสะดุด และท่านได้ทำให้เข่าที่อ่อนล้านั้นมั่นคง” ~โยบ 4:4 THSV11
6.เราต้องไม่วางสิ่งที่ทำให้ตัวเราและคนอื่นสะดุดล้มลงในบาป
“บุตรมนุษย์เอ๋ย คนพวกนี้ตั้งรูปเคารพของเขาไว้ในใจ และวางสิ่งสะดุดให้ล้มลงในบาปไว้ข้างหน้าเขา เราควรจะยอมให้พวกเขาถามเราหรือ?” ~เอเสเคียล 14:3 THSV11
7.เราควรตื่นตัว ไม่ปล่อยให้ตัวเองสะดุดโดยไม่รู้ตัว
“ทางของคนอธรรมก็เหมือนความมืดทึบ พวกเขาไม่ทราบว่าสะดุดอะไร” ~สุภาษิต 4:19 THSV11
8.เราควรฟังคำสอน และดำเนินตามทางของพระเจ้า เพื่อย่างเท้าของเราจะไม่สะดุดในสิ่งใด
“เมื่อเจ้าเดิน ย่างเท้าของเจ้าจะไม่ถูกขัดขวาง และถ้าเจ้าวิ่ง เจ้าจะไม่สะดุด” ~สุภาษิต 4:12 THSV11
9.เราควรรักพระบัญญัติของพระเจ้าเพื่อเราจะไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เราสะดุดได้
“บรรดาผู้ที่รักธรรมบัญญัติของพระองค์มีความสมบูรณ์พูนสุขอย่างมาก ไม่มีสิ่งใดทำให้พวกเขาสะดุดได้” ~สดุดี 119:165 THSV11
10.เราไม่ควรยโส จนต้อง (ถูกทำให้) สะดุด และล้มลง แบบไม่มีใครช่วยพยุงเราขึ้น
“คนยโสจะสะดุดและล้มลง จะไม่มีใครพยุงเขาขึ้นได้ และเราจะก่อไฟในบรรดาเมืองของมัน และไฟจะกินบรรดาที่อยู่รอบมันเสียสิ้น” ~เยเรมีย์ 50:32 THSV11
11.เราควรติดตามพระเจ้าอย่างใกล้ชิด เพื่อพระเจ้าจะปกป้องและพยุงเราไว้ในยามที่เราสะดุด
“พระองค์จะไม่ทรงให้เท้าของท่านสะดุดล้ม พระองค์ผู้ทรงอารักขาท่านจะไม่เคลิ้มหลับไป” ~สดุดี 121:3 THSV11
“แต่ข้าพเจ้าเล่า เท้าของข้าพเจ้าเกือบสะดุด ย่างเท้าของข้าพเจ้าจวนพลาดเต็มทีแล้ว” ~สดุดี 73:2 THSV11
“แม้เขาสะดุด เขาจะไม่ล้มลง เพราะพระยาห์เวห์ทรงยุดมือเขาไว้” ~สดุดี 37:24 THSV11
12.เราไม่ควรเห็นพระเยซูคริสต์เป็นเหตุที่ทำให้เราสะดุด
“ใครไม่มีเหตุสะดุดในตัวเรา คนนั้นก็เป็นสุข” ~มัทธิว 11:6 THSV11
13.เราไม่ควรยินดี เมื่อศัตรูของเราสะดุดและล้มลง
“อย่าเปรมปรีดิ์เมื่อศัตรูของเจ้าล้ม และอย่าให้ใจของเจ้ายินดีเมื่อเขาสะดุด” ~สุภาษิต 24:17 THSV11
14.เราควรดำเนินอยู่ในความสว่าง เพื่อเราจะไม่มีสิ่งใดในตัวที่ทำให้สะดุด
“ผู้ที่รักพี่น้องของตนก็อยู่ในความสว่าง และในตัวเขานั้นไม่มีอะไรทำให้สะดุด” ~1 ยอห์น 2:10 THSV11
-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer
(cr.ภาพ behance.net)
คำถาม: “พระคัมภีร์สอนอะไรบ้างเกี่ยวกับความฉลาดทางอารมณ์ หรือมีวุฒิภาวะทางอารมณ์?”
คำตอบ “พระคัมภีร์สอนเรื่องความมีวุฒิภาวะไว้มากมาย แต่จะขอยกตัวอย่าง ดังนี้
1.คนที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์จะ ไม่ใส่ใจกับการยั่วยุอารมณ์หรือคำสบประมาท
“คนโง่เขลาระเบิดอารมณ์ ส่วนคนฉลาดไม่ใส่ใจคำสบประมาท” ~สุภาษิต 12:16 TNCV
2.คนที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์จะควบคุมอารมณ์ตนเองได้ ในยามวิกฤติ
“ถ้าอารมณ์โกรธของผู้ครอบครองพลุ่งขึ้นต่อท่าน อย่าลุกจากที่ของท่าน เพราะว่าอารมณ์เย็นย่อมระงับความผิดใหญ่หลวงไว้ได้” ~ปัญญาจารย์ 10:4 THSV11
3.คนที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์จะไม่ปล่อยให้อารมณ์ร้ายๆ คุกรุ่นครอบงำนานจนเกิดผลเสีย
“และกษัตริย์แห่งอิสราเอลก็เสด็จเข้าไปในพระราชวัง ด้วยอารมณ์ขุ่นมัวและกลัดกลุ้มยิ่งนัก และเสด็จมาสะมาเรีย” ~1 พงศ์กษัตริย์ 20:43 THSV11
“อาหับจึงเสด็จเข้าในวังด้วยอารมณ์ขุ่นมัวและกลัดกลุ้มยิ่งนัก ด้วยเรื่องที่นาโบทชาวยิสเรเอลทูลตอบพระองค์ เพราะเขาได้กล่าวว่า “ข้าพระบาทจะไม่ให้มรดกแห่งบรรพบุรุษของข้าพระบาทแก่ฝ่าพระบาท” และพระองค์ก็เอนพระกายลงบนพระแท่น เบือนพระพักตร์ ไม่เสวยอาหาร” ~1 พงศ์กษัตริย์ 21:4 THSV11
“จิตใจของพวกเขาเหมือนเตาอบ พวกเขาใช้เล่ห์เพทุบายเข้าหากษัตริย์ อารมณ์ของเขาคุกรุ่นอยู่ตลอดคืน และตอนเช้าก็ร้อนแรงเหมือนไฟลุกจ้า” ~โฮเชยา 7:6 TNCV
4.คนที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์จะไม่เป็นคนเจ้าอารมณ์ ชอบทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทกัน
“อาศัยอยู่ในถิ่นกันดาร ดีกว่าอยู่กับภรรยาอารมณ์ร้ายชอบทะเลาะ” ~สุภาษิต 21:19 TNCV
5.คนที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์จะเป็นคนใจเย็น โกรธช้า และช่วยระงับการพิพาท
“คนอารมณ์ร้อนเร้าให้เกิดการวิวาท แต่คนที่โกรธช้าก็ระงับการพิพาท” ~สุภาษิต 15:18 THSV11
6.คนที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์จะรู้จัก อดกลั้น ควบคุมอารมณ์และการแสดงออก อย่างเหมาะสมกับกาละเทศะ
“แล้วโยเซฟรีบออกไป เพราะเต็มด้วยความรู้สึกสงสารน้อง ท่านเข้าไปในห้อง ร้องไห้อยู่ที่นั่น จากนั้นเขาก็ล้างหน้าล้างตา ควบคุมอารมณ์ และกลับออกมาสั่งว่า “ยกอาหารมาเถิด” -ปฐมกาล 43:30-31 TNCV
7.คนที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์จะรู้จักควบคุมสติอารมณ์ ไม่ทำอะไรผิดสัญญา และไม่นอกใจคู่ชีวิต
“พระองค์ได้ทรงผูกพันทั้งคู่เป็นหนึ่งเดียวกันไม่ใช่หรือ? ทั้งกายและวิญญาณของทั้งคู่เป็นของพระองค์ เขาเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่ออะไร? ก็เพื่อจะมีลูกหลานที่ชอบธรรมให้กับพระองค์นั่นเอง ฉะนั้นจงควบคุมสติอารมณ์ของเจ้าให้ดี อย่าคิดนอกใจภรรยาที่เจ้าได้มาตั้งแต่ยังหนุ่ม พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า “เราเกลียดชังการหย่าร้างและผู้ที่คลุมตนเองด้วยความรุนแรงราวกับเป็นเครื่องแต่งกายของเขา” องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนี้ ฉะนั้นจงควบคุมสติอารมณ์ของเจ้าให้ดี และอย่าทำผิดสัญญา” ~มาลาคี 2:15-16 TNCV
8.คนที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์จะไม่ด่วนละทิ้งความเชื่อ หรือหลักการที่ถูกต้องไปตามคำสอนอื่น
“ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจที่พวกท่านด่วนละทิ้งพระองค์ผู้ซึ่งทรงเรียกท่านมาโดยพระคุณของพระคริสต์ และหันไปหาข่าว ประเสริฐอื่นเสีย” ~กาลาเทีย 1:6 THSV11
9.คนที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ และไม่มีข้อติเท่านั้น จึงจะเหมาะสมกับการเป็นผู้นำ(คริสตจักร]!
“เพราะว่าผู้ปกครองดูแล ซึ่งเป็นผู้รับมอบฉันทะของพระเจ้า ต้องไม่มีข้อตำหนิ ไม่เย่อหยิ่ง ไม่อารมณ์ร้อน ไม่ดื่มสุรามึนเมา ไม่ชอบความรุนแรง และไม่เป็นคนโลภมักได้” ~ทิตัส 1:7 THSV11
-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer
(cr.jason blackeye.Unsplash)
คำถาม : ”พระคัมภีร์สอนอะไรบ้างเกี่ยวกับการมีวุฒิภาวะ หรือ การเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายจิตวิญญาณ?”
คำตอบ: “พระคัมภีร์สอนเรื่องความเป็นผู้มีวุฒิภาวะฝ่ายจิตวิญญาณไว้ดังนี้
1.ผู้มีวุฒิภาวะ ฝ่ายจิตวิญญาณคือ ผู้ที่ฝึกฝนตนเองอย่างต่อเนื่อง จนสามารถแยกแยะได้ว่า
“แต่อาหารแข็งนั้นสำหรับผู้ใหญ่ ผู้ได้ฝึกฝนตนเองที่จะแยกแยะดีชั่วโดยการปฏิบัติอยู่เสมอ” ~ฮีบรู 5:14 TNCV
2.ผู้มีวุฒิภาวะฝ่ายจิตวิญญาณคือผู้ที่ผ่านผ่านหลักคำสอนเบื้องต้นเกี่ยวกับพระคริสต์ และความเชื่อในพระเจ้า
“เพราะฉะนั้นขอให้เราผ่านหลักคำสอนเบื้องต้นเกี่ยวกับพระคริสต์ ไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ โดยไม่วางรากฐานซ้ำอีก คือเรื่องการกลับใจจากการประพฤติที่นำไปสู่ความตาย และเรื่องความเชื่อในพระเจ้า” ~ฮีบรู 6:1 THSV11
3.ผู้มีวุฒิภาวะ ฝ่ายจิตวิญญาณ คือผู้ที่ความคิดแบบผู้ใหญ่ ไม่ใช่แบบเด็กๆ
“พี่น้องทั้งหลาย อย่าเป็นเหมือนเด็กในด้านความคิด แต่ในเรื่องความชั่วร้ายจงเป็นเหมือนทารก และในด้านความคิดจงเป็นเหมือนผู้ใหญ่” ~1 โครินธ์ 14:20 THSV11
4.ผู้มีวุฒิภาวะ ฝ่ายจิตวิญญาณ คือผู้ที่บรรลุถึงความเป็นผู้ใหญ่แบบเต็มขนาดความบริบูรณ์ของพระคริสต์
“จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อและในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า บรรลุถึงความเป็นผู้ใหญ่ คือโต เต็มถึงขนาดความบริบูรณ์ของพระคริสต์” ~เอเฟซัส 4:13 THSV11
5.ผู้มีวุฒิภาวะฝ่ายจิตวิญญาณคือ ผู้ที่รับพรจากพระเจ้า และแบ่งปันพรเหล่าแก่คนอื่นๆมากกว่าจะมุ่งหาพรเพื่อตัวเอง
“สิ่งที่ค้านไม่ได้คือผู้น้อยเป็นผู้รับพรและผู้ใหญ่เป็นผู้ให้พร” ~ฮีบรู 7:7 THSV11
6.ผู้มีวุฒิภาวะฝ่ายจิตวิญญาณ คือผู้ที่ประกาศ เตือนสติ สั่งสอน และถวายคนที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณแล้ว ให้แก่พระคริสต์
“พระองค์นี้แหละ ที่เราประกาศอยู่ โดยการเตือนสติ และสั่งสอนทุกคนด้วยสรรพปัญญา เพื่อว่าเราจะถวายทุกคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วในพระคริสต์ เพราะเหตนี้ข้าพเจ้าจึงตรากตรำต่อสู้ตามกำลังที่พระองค์ทรงทำกิจในตัวข้าพเจ้าอย่างมากมาย” ~โคโลสี 1: 28-29 THSV11
-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer
Cr.ภาพ Sincerely Media.Unsplash.com
ถาม: “พระคัมภีร์สอนเรื่อง ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าไว้อย่างไรบ้าง?”
คำตอบ: “พระคัมภีร์สอนเรื่องความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าไว้มากมายเกินบรรยายได้หมด แต่ของสรุปเรื่องหลักๆไว้ดังนี้:
1.พระเจ้าเป็นพระเจ้าและกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ เหนือพระหรือกษัตริย์ใดๆ
“เพราะพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าใหญ่ยิ่ง และทรงเป็นกษัตริย์ใหญ่ยิ่งเหนือพระทั้งหลาย” ~สดุดี 95:3 THSV11
2.พระเจ้าเป็นพระเจ้ายิ่งใหญ่องค์เดียวที่ทรงทำการอัศจรรย์ได้เหนือพระและเจ้าทั้งหลาย
“เพราะพระองค์ทรงยิ่งใหญ่และทรงทำการอัศจรรย์ต่างๆ พระองค์แต่ผู้เดียวทรงเป็นพระเจ้า” ~สดุดี 86:10 THSV11
3.พระเจ้าเป็นพระเจ้ายิ่งใหญ่ที่ทรงฤทธานุภาพที่ศัตรูต้องหมอบกราบ
“จงทูลพระเจ้าว่า “พระราชกิจของพระองค์ช่างน่าครั่นคร้าม ฤทธานุภาพของพระองค์ก็ใหญ่ยิ่ง จนศัตรูจำต้องหมอบราบต่อพระองค์” ~สดุดี 66:3 THSV11
4.พระเจ้าเป็นพระเจ้ายิ่งใหญ่ ที่เราควรนมัสการ ยกย่องสรรเสริญด้วยความยำเกรงเสมอ
“พระยาห์เวห์นั้นยิ่งใหญ่และสมควรจะสรรเสริญอย่างยิ่ง ในนครแห่งพระเจ้าของเรา ภูเขาบริสุทธิ์ของพระองค์” ~สดุดี 48:1 THSV11
“เอสราสรรเสริญพระยาห์เวห์ พระเจ้ายิ่งใหญ่ และประชาชนทุกคนตอบว่า “อาเมน อาเมน” พร้อมกับยกมือขึ้นและเขาทั้งหลายโน้มตัวลงนมัสการพระยาห์เวห์ ซบหน้าลงถึงดิน” ~เนหะมีย์ 8:6 THSV11
5.พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ ทรงฤทธิ์ที่สำแดงความรักมั่นคง และจริงจังในการตอบสนองต่อบาป
“พระองค์ทรงสำแดงความรักมั่นคงต่อคนเป็นพันๆ แต่ทรงตอบสนองความผิดบาปของบิดาให้ตกถึงลูกหลานสืบต่อมา พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และทรงฤทธิ์ พระนามของพระองค์คือพระยาห์เวห์จอมทัพ” ~เยเรมีย์ 32:18 THSV11
6.พระเจ้าเป็นพระเจ้ายิ่งใหญ่ ที่มีพระมรรคาที่บริสุทธิ์
“ข้าแต่พระเจ้า พระมรรคาของพระองค์บริสุทธิ์ พระองค์ใดจะยิ่งใหญ่อย่างพระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย?” ~สดุดี 77:13 THSV11
7.พระเจ้าเป็นพระเจ้ายิ่งใหญ่ที่ซ่อนสิ่งต่างๆให้คนที่ยิ่งใหญ่ค้นหาจนพบ
“ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าคือการซ่อนสิ่งต่างๆ ไว้ แต่ความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์คือการค้นสิ่งนั้นให้ปรากฏ” ~สุภาษิต 25:2 THSV11
8.พระเจ้าเป็นพระเจ้ายิ่งใหญ่ผู้รักษาพันธสัญญาและประทานความรักต่อคนที่รักพระองค์และรักษาพระบัญญัติของพระองค์
“ข้าพเจ้าทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ และน่ายำเกรง ผู้ทรงรักษาพันธสัญญาและความรักมั่นคงต่อผู้ที่รักพระองค์ และรักษาพระบัญญัติของพระองค์” ~เนหะมีย์ 1:5 THSV11
9.พระเจ้าเป็นพระเจ้ายิ่งใหญ่ อยู่กับเรา และอยู่ภายในเรา ทำให้เราชนะทุกคนและทุกปัญหาได้
“ลูกทั้งหลายเอ๋ย ท่านอยู่ฝ่ายพระเจ้า และชนะพวกเขาแล้ว เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงอยู่ในพวกท่านยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่อยู่ในโลก” ~1 ยอห์น 4:4 THSV11
ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer
คำถาม : “พระคัมภีร์สอนอะไรบ้างเกี่ยวกับวินัยในการแสวงหาพระเจ้า?”
คำตอบ: “พระคัมภีร์สอนเรื่องการมีวินัยในการแสวงหาพระเจ้าไว้ดังนี้”
1.พระเจ้าแสวงหาคนที่จะแสวงหาพระองค์
“พระเจ้าทอดพระเนตรลงมาจากฟ้าสวรรค์ดูมนุษย์ทั้งหลาย ว่าจะมีคนใดบ้างที่ฉลาด ที่แสวงหาพระเจ้า” ~สดุดี 53:2 THSV11
2.เราควรแสวงหาพระเจ้า พระองค์ไม่ได้อยู่ไกลจากเราเลย
“เพื่อพวกเขาจะได้แสวงหาพระเจ้าและมุ่งหวังจะค้นหาและพบพระองค์ ที่จริงพระองค์ไม่ทรงอยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย” ~กิจการ 17:27 THSV11
3.เราต้องไม่เย่อหยิ่ง แล้วคิดว่าไม่มีพระเจ้า และไม่แสวงหาพระองค์
“ด้วยความหยิ่งยโส คนอธรรมมิได้แสวงหาพระองค์ ความคิดทั้งสิ้นของเขาคือ “ไม่มีพระเจ้า” ~สดุดี 10:4 THSV11
4.เราควรตั้งเป้าในการแสวงหาพระเจ้า และแผ่นดินของพระองค์ก่อนสิ่งอื่น
“แต่จงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งเหล่านี้ให้” ~ลูกา 12:31 THSV11
5.เราควรแสวงหาพระเจ้า และมอบเรื่องราวทุกอย่างของเราไว้กับพระองค์ด้วยท่าทีที่ถูกต้อง
“ส่วนข้าเอง ข้าจะแสวงหาพระเจ้า และข้าจะมอบเรื่องของข้าไว้กับพระเจ้า ผู้ทรงทำการใหญ่เหลือที่จะหยั่งรู้ได้ และการอัศจรรย์นับไม่ถ้วน” ~โยบ 5:8-9 THSV11
6.เราควรยินดีในการแสวงหาพระเจ้าและสรรเสริญพระองค์
“ขอให้ทุกคนที่แสวงหาพระองค์ ปีติและยินดีในพระองค์ ขอให้บรรดาผู้ที่รักการช่วยกู้ของพระองค์ กล่าวเสมอว่า “พระเจ้ายิ่งใหญ่” ~สดุดี 70:4 THSV11
7.เราควรสอนและเตือนลูกหลานของเราให้แสวงหาพระเจ้า
“ส่วนเจ้า ซาโลมอนลูกของเรา เจ้าจงรู้จักพระเจ้าของพ่อ และจงปรนนิบัติพระองค์ด้วยความเต็มใจและด้วยใจยินดี เพราะพระยาห์เวห์ทรงตรวจจิตใจทั้งปวง และทรงเข้าใจในแผนงาน และความคิดทั้งปวง ถ้าเจ้าแสวงหาพระองค์ เจ้าจะพบพระองค์ แต่ถ้าเจ้าทอดทิ้งพระองค์ พระองค์จะทรงทิ้งเจ้าตลอดไป” ~1 พงศาวดาร 28:9 THSV11
8.เราควรตระหนักว่า ตราบใดที่เราแสวงหาพระเจ้า พระองค์จะทำให้เราเจริญขึ้น
“เมื่ออุสซียาห์ ทรงเป็นกษัตริย์นั้นมีพระชนมายุ 16 พรรษา และพระองค์ทรงครองราชย์ในกรุงเยรูซาเล็ม 52 ปี พระราชมารดาของพระองค์มีพระนามว่าเยโคลียาห์ชาวเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระยาห์เวห์ ตามทุกอย่างที่อามาซิยาห์พระราชบิดาของพระองค์ทรงกระทำ และพระองค์ทรงแสวงหาพระเจ้า ในช่วงชีวิตของเศคาริยาห์ผู้ซึ่งแนะนำพระองค์ในการเห็น พระเจ้า และตราบเท่าที่พระองค์ทรงแสวงหาพระยาห์เวห์ พระเจ้าทรงทำให้พระองค์เจริญขึ้น” ~2 พงศาวดาร 26:3-5 THSV11
9.เราต้องตระหนักเช่นกันว่า ถ้าเราแสวงหาพระเจ้าเราจะพบพระองค์แต่ถ้าเราทิ้งพระองค์ พระองค์ก็จะทิ้งเรา
“พระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จมาสถิตกับอาซาริยาห์บุตรโอเดด และท่านออกไปเฝ้าอาสาและทูลพระองค์ว่า “ข้าแต่อาสาและยูดาห์กับเบนยามินทั้งหมด ขอจงฟังข้าพเจ้า พระยาห์เวห์สถิตกับท่านทั้งหลาย ต่อเมื่อท่านอยู่กับพระองค์ ถ้าพวกท่านแสวงหาพระองค์ ท่านก็จะพบพระองค์ แต่ถ้าท่านทั้งหลายละทิ้งพระองค์ พระองค์จะทรงละทิ้งพวกท่าน อิสราเอลอยู่อย่างปราศจากพระเจ้าเที่ยงแท้เป็นเวลานาน และไม่มีปุโรหิตผู้สั่งสอน และไม่มีธรรมบัญญัติ แต่เมื่อพวกเขาทุกข์ยาก เขาทั้งหลายหันมาหาพระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอลและแสวงหาพระองค์ เขาทั้งหลายก็พบพระองค์ ในสมัยนั้น ผู้ที่ออกไปหรือผู้ที่เข้ามาล้วนไม่มีความสงบสุข เพราะเกิดความวุ่นวายมากมายกับคนที่อาศัยบนแผ่นดินนั้น เขาทั้งหลายแตกแยกกันเป็นเสี่ยงๆ ประชาชาติต่อประชาชาติและเมืองต่อเมือง เพราะพระเจ้าทรงรังควานพวกเขาด้วยความทุกข์ยากทุกอย่าง แต่ท่านทั้งหลายจงกล้าหาญ อย่าให้มือของท่านอ่อนลง เพราะว่าพวกท่านจะได้รับบำเหน็จในกิจการของท่าน” เมื่ออาสาทรงสดับถ้อยคำเหล่านี้ คือคำเผยพระวจนะของอาซาริยาห์บุตรโอเดด ก็ทรงมีพระทัยกล้าหาญขึ้น พระองค์ทรงขจัดสิ่งน่าสะอิดสะเอียนจากแผ่นดินยูดาห์และเบนยามินทั้งหมด และจากเมืองต่างๆ ที่พระองค์ทรงยึดมาในบริเวณเทือกเขาเอฟราอิม และพระองค์ทรงซ่อมแซมแท่นบูชาของพระยาห์เวห์ ที่อยู่หน้ามุขพระนิเวศของพระยาห์เวห์ และพระองค์ทรงรวบรวมยูดาห์และเบนยามินทั้งหมด รวมทั้งคนเหล่านั้นจากเอฟราอิม มนัสเสห์ และสิเมโอน ผู้มาอาศัยกับพวกเขา เพราะคนเป็นอันมากหนีมาหาพระองค์จากอิสราเอล เมื่อเห็นว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของพระองค์สถิตกับพระองค์ เขาทั้งหลายมารวมกันที่กรุงเยรูซาเล็มในเดือนที่สามของปีที่สิบห้าในรัชกาลของอาสา ในวันนั้น เขาทั้งหลายถวายสัตวบูชาแด่พระยาห์เวห์จากข้าวของที่พวกเขาริบมาได้ คือวัวผู้ 700 ตัวและแกะ 7,000 ตัว และเขาทั้งหลายทำพันธสัญญาที่จะแสวงหาพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเขา ด้วยสุดจิตสุดใจของพวกเขา หากใครไม่แสวงหาพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลจะมีโทษถึงตาย ไม่ว่าผู้น้อยหรือผู้ใหญ่ ชายหรือหญิง เขาทั้งหลายสาบานต่อพระยาห์เวห์ด้วยเสียงดัง ด้วยการโห่ร้อง และด้วยเสียงแตรและเขาสัตว์ และยูดาห์ทั้งหมดก็เปรมปรีดิ์เพราะคำสาบานนั้น เพราะเขาทั้งหลายสาบานด้วยสุดใจของเขา และแสวงหาพระองค์ด้วยสุดความปรารถนาของเขา และเขาทั้งหลายก็พบพระองค์ และพระยาห์เวห์ประทานการหยุดพักให้พวกเขาในทุกด้าน” -2 พงศาวดาร 15:1-15 THSV11
10.เราไม่ควรทำบาป จนพระเจ้าลงโทษแล้วจึงกลับมาแสวงหาพระองค์
“ถึงมีเรื่องทั้งสิ้นนี้ พวกเขาก็ยังทำบาป และมิได้เชื่อถือการอัศจรรย์ต่างๆ ของพระองค์ พระองค์จึงทรงทำให้วันของพวกเขาหายไปดังลมหายใจ และทรงให้ปีของเขาหายไปอย่างน่าสยดสยอง เมื่อพระองค์ทรงสังหารพวกเขา เขาก็แสวงหาพระองค์ เขาได้กลับมาเสาะหาพระเจ้าด้วยใจกระตือรือร้น” ~สดุดี 78:32-34 THSV11
-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer
(cr.ภาพ AzizArchakim.Unsplash)