Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม:  “พระคัมภีร์สอนหรือกล่าวถึงเรื่องสามัคคีธรรมไว้อย่างไรบ้าง?”

ตอบ: “พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่อง “สามัคคีธรรม” ไว้มาก อาทิ

  1. พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และพระองค์ทรงเรียกให้เรามีสามัคคีธรรมกับพระองค์

“นี่เป็นข้อความที่เราได้ยินจากพระองค์ และบอกกับพวกท่าน คือว่าพระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และความมืดในพระองค์ไม่มีเลย” ~1 ยอห์น 1:5 THSV11

  1. พระเจ้าทรงเรียกให้เราเข้าร่วมในสามัคคีธรรมกับพระเยซูคริสต์

“พระเจ้าผู้ทรงเรียกท่านให้เข้าร่วมในสามัคคีธรรม(สัมพันธ์สนิท)กับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรานั้นทรงสัตย์ซื่อ” ~1โครินธ์ 1:9 TNCV

  1. เราต้องพิสูจน์ว่าเรามีสามัคคีธรรมกับพระเจ้าโดย

1).   การดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่าง

“ถ้าเราจะว่า เรามีสามัคคีธรรมกับพระองค์ขณะที่ยังเดินอยู่ในความมืด เราก็โกหก และไม่ได้ดำเนินชีวิตตามความจริง” ~1 ยอห์น 1:6 THSV11

2). การมีสามัคคีธรรมกับพี่น้อง

“แต่ถ้าเราเดินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างที่พระองค์สถิตในความสว่าง เราก็มีสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ก็ชำระเราให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น” ~1 ยอห์น 1:7 THSV11

3). การชำระให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น

“แต่ถ้าเราดำเนินในความสว่างเหมือนอย่างที่พระองค์ประทับในความสว่าง เราก็ร่วมสามัคคีธรรมกันและพระโลหิตของพระเยซูพระบุตรของพระองค์ก็ชำระเราพ้นจากบาปทั้งปวง” -1ยอห์น 1:7 TNCV

  1. เราต้องสำแดงลักษณะชีวิตที่มีสามัคคีธรรมกับพระคริสต์และพระวิญญาณออกมาให้เห็น

“เพราะฉะนั้น ในเมื่อมีความชูใจในความสัมพันธ์กับพระคริสต์ มีการปลอบโยนจากความรัก มีการสามัคคีธรรมกันจากพระวิญญาณ และมีความเห็นใจกันและความเมตตากรุณา ก็ขอให้ท่านทั้งหลายทำให้ความยินดีของข้าพเจ้าเต็มเปี่ยม ด้วยการมีความคิดอย่างเดียวกัน มีความรักอย่างเดียวกัน มีจิตใจและความคิดเป็นหนึ่งเดียวกัน อย่าทำสิ่งใดด้วยการชิงดีหรือถือดี แต่จงถือว่าคนอื่นดีกว่าตัวด้วยใจถ่อม อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆ ด้วย จงมีจิตใจเช่นนี้ในพวกท่านเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์” -ฟีลิปปี 2:1-5 THSV11

  1. เราต้องประกาศเรื่องนี้ให้คนอื่นมีสามัคคีธรรมกับพระเจ้า พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย

“สิ่งที่เราได้เห็นและได้ยินนั้น เราก็ประกาศให้พวกท่านรู้ด้วย เพื่อท่านจะได้มีสามัคคีธรรมกับเรา และเราก็มีสามัคคีธรรมกับพระบิดา และกับพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์” -1 ยอห์น 1:3 THSV11

  1. เราต้องรักการร่วมสามัคคีธรรมกับพี่น้องเหมือนอย่างที่คริสตจักรสมัยแรกกระทำ

“เขาทั้งหลายอุทิศตัวเพื่อฟังคำสอนของบรรดาอัครทูตและร่วมสามัคคีธรรม รวมทั้งหักขนมปังและอธิษฐาน” -กิจการ 2:42 THSV11

 

-ธงชัย  ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม:  “พระคัมภีร์สอนอะไรบ้างเกี่ยวกับพระวจนะ และการแบ่งปันพระวจนะของพระเจ้า?”

ตอบ   “พระคัมภีร์สอนและกล่าวถึงเรื่องการแบ่งปันพระวจนะของพระเจ้าไว้มากมาย อาทิ:

  1. เรามีความหวังอยู่ในพระวจนะของพระเจ้าเสมอ

“ข้าพเจ้าคอยพระยาห์เวห์ จิตใจของข้าพเจ้าคอยอยู่ และข้าพเจ้าหวังในพระวจนะของพระองค์” -สดุดี 130:5 THSV11

“จิตใจของข้าพระองค์เหนื่อยอ่อนคอยความรอดของพระองค์ ข้าพระองค์หวังในพระวจนะของพระองค์” -สดุดี 119:81 THSV11

  1. เราจะได้รับการแยกให้บริสุทธิ์ด้วยพระวจนะแห่งความจริงของพระเจ้า

“ขอทรงแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง” -ยอห์น 17:17 THSV11

  1. เราเชื่อพระวจนะ เพราะพระเจ้าช่วยเรา

“ถึงกระนั้น พระองค์ยังทรงช่วยท่านเหล่านั้นให้รอดเพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ เพื่อจะให้ทราบถึงพระอานุภาพของพระองค์ แล้วท่านเชื่อพระวจนะของพระองค์ ท่านร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ -สดุดี 106:8, 12 THSV11

  1. เราสามารถเผยพระวจนะเพื่อให้เกิดชีวิตใหม่

“พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า “จงเผยพระวจนะต่อกระดูกเหล่านี้ และกล่าวกับพวกมันว่า กระดูกแห้งเอ๋ย จงฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์” -เอเสเคียล 37:4 THSV11

  1. เราสามารถรักษาและช่วยกู้คนได้ด้วยพระวจนะ

“พระองค์ทรงใช้พระวจนะของพระองค์ไปรักษาเขาทั้งหลาย และทรงช่วยกู้เขาจากหลุมมรณา” -สดุดี 107:20 THSV11

  1. เราควรแบ่งปันและประกาศพระวจนะที่เป็นข่าวประเสริฐแก่ทุกคน ในทุกที่ที่เราไป

“แต่พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ยั่งยืนอยู่เป็นนิตย์ พระวจนะนี้คือข่าวประเสริฐที่ได้ประกาศให้พวกท่านทราบแล้ว” -1 เปโตร 1:25 THSV11

“พวกที่กระจัดกระจายไปก็เที่ยวประกาศพระวจนะนั้น” -กิจการ 8:4 THSV11

  1. เราต้องไม่ทำร้ายผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า

“วิบัติแก่พวกท่าน เพราะท่านก่ออุโมงค์ให้กับบรรดาผู้เผยพระวจนะ และบรรพบุรุษของท่านเองก็เป็นผู้ฆ่าผู้เผยพระวจนะเหล่านั้น” -1ลูกา 11:47 THSV11

  1. เราต้องระวังผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ

“ท่านทั้งหลายจงระวังพวกผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จ ที่มาหาท่านนุ่งห่มเหมือนแกะ แต่ภายในนั้นร้ายกาจเหมือนหมาป่า” -มัทธิว 7:15 THSV11

“ผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จหลายคนจะเกิดขึ้น และล่อลวงคนจำนวนมาก” -มัทธิว 24:11 THSV11

“เราไม่ได้ส่งผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นไป แต่พวกเขายังวิ่งไป เราไม่ได้พูดกับเขา แต่เขายังเผยพระวจนะ” -เยเรมีย์ 23:21 THSV11

“จะเป็นเช่นนี้ไปอีกนานสักเท่าใด? พวกผู้เผยพระวจนะคิดได้อย่างนี้หรือ? คือผู้เผยพระวจนะเท็จตามการหลอกลวงในใจของตน” -เยเรมีย์ 23:26 THSV11

  1. เราต้องไม่บังอาจกล่าวหรือเผยพระวจนะเอง

“เมื่อผู้เผยพระวจนะกล่าวคำในพระนามของพระยาห์เวห์ ถ้าไม่เป็นจริงตามถ้อยคำนั้นและสิ่งนั้นไม่เกิดขึ้น ถ้อยคำนั้นไม่ได้เป็นพระวจนะที่พระยาห์เวห์ตรัส ผู้เผยพระวจนะนั้นบังอาจกล่าวเอง อย่าเกรงกลัวเขาเลย” -เฉลยธรรมบัญญัติ 18:22 THSV11

  1. เราต้องไม่ฟังผู้ที่เผยพระวจนะตามความคิดที่ให้ความหวังลมๆแล้งๆ

“พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้ว่า “อย่าฟังถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะ ผู้เผยให้ท่านฟัง ทำให้ท่านเต็มด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ เขากล่าวถึงนิมิตในใจของเขาเอง ไม่ใช่จากพระโอษฐ์ของพระยาห์เวห์ เขาพูดกับคนที่ดูหมิ่นพระวจนะของพระยาห์เวห์เสมอว่า ‘ท่านจะสุขสบาย’ และแก่ทุกคนที่ดื้อตามใจของตนเอง เขากล่าวว่า ‘จะไม่มีเหตุร้ายมาถึงเจ้า’ ” -เยเรมีย์ 23:16-17 THSV11

  1. เราต้องไม่บังอาจกล่าวคำที่อ้างว่าเป็นพระวจนะทั้งๆ ที่พระเจ้าไม่ได้บัญชา

“แต่ผู้เผยพระวจนะที่บังอาจกล่าวคำในนามของเราซึ่งเราไม่ได้บัญชาให้กล่าว หรือกล่าวในนามของพระอื่น ผู้เผยพระวจนะนั้นต้องมีโทษถึงตาย’” -เฉลยธรรมบัญญัติ 18:20 THSV11

12. เราต้องรู้ไว้ว่าผู้เผยพระวจนะโฉดเขลา จะวิบัติ

“พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า วิบัติแก่พวกผู้เผยพระวจนะโฉดเขลา ผู้ดำเนินตามวิญญาณของตัวเองและไม่เคยได้เห็นอะไรเลย” -เอเสเคียล 13:3 THSV11

  1. เราต้องไม่เพิ่มอะไร เข้ากับพระวจนะของพระเจ้า

“อย่าเพิ่มอะไรเข้ากับพระวจนะของพระองค์ เกรงว่าจะทรงตำหนิเจ้าและทรงตัดสินว่าเจ้าพูดมุสา” -สุภาษิต 30:6 THSV11

  1. เราต้องไม่กบฏต่อพระวจนะของพระเจ้า

“บ้างก็นั่งอยู่ในความมืดและเงามัจจุราช ถูกขังอยู่ด้วยความทุกข์ยากและติดตรวน เพราะพวกเขากบฏต่อพระวจนะของพระเจ้า และหยามคำปรึกษาขององค์ผู้สูงสุด” -สดุดี 107:10-11 THSV11

  1. เราควรพิเคราะห์ ฟังและใส่ใจในพระวจนะ

“เพราะว่าใครเล่าที่ได้ยืนอยู่ในที่ประชุมของพระยาห์เวห์ ที่จะพิเคราะห์เห็นและฟังพระวจนะของ พระองค์? หรือใครที่ใส่ใจในพระวจนะของพระองค์และเชื่อฟัง?” -เยเรมีย์ 23:18 THSV11

  1. เราต้องตระหนักว่าพระวจนะจะเกิดผลหรือไม่ ขึ้นอยู่กับดินหรือใจของคนฟัง

“ส่วนที่ตกริมหนทางนั้นได้แก่พระวจนะที่หว่านลงไป แล้วทันทีที่พวกเขาได้ยิน ซาตานก็มาชิงเอาพระวจนะที่หว่านในตัวเขาไปเสีย” -มาระโก 4:15 THSV11

“และเมล็ดซึ่งหว่านกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ แต่ความกังวลของโลก และการล่อลวงของทรัพย์สมบัติรัดพระวจนะนั้นเสีย จึงไม่เกิดผล” -มัทธิว 13:22 THSV11

  1. เราต้องตระหนักว่า พระวจนะคือข่าวประเสริฐที่เราประกาศ

“แต่พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ยั่งยืนอยู่เป็นนิตย์” พระวจนะนี้คือข่าวประเสริฐที่ได้ประกาศให้พวกท่านทราบแล้ว” -1 เปโตร 1:25 THSV11

  1. เราต้องประกาศและแบ่งปันพระวจนะในทุกที่ที่ไป จนกว่าจะเกิดผล

“พวกที่กระจัดกระจายไปก็เที่ยวประกาศพระวจนะนั้น” -กิจการ 8:4 THSV11

“พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็เกิดผลเจริญและมีอานุภาพยิ่ง”   -กิจการ 19:20 THSV11

  1. เราควรขอบคุณพระเจ้าที่มีผู้รับพระวจนะตามความเป็นจริง

“เราขอบพระคุณพระเจ้าเสมอ เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลายได้รับพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งท่านได้ยินจากเรา ท่านไม่ได้รับไว้อย่างเป็นคำของมนุษย์ แต่ได้รับไว้ตามความเป็นจริง คือเป็นพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งกำลังทำงานอยู่ภายในท่านที่เชื่อ” -1 เธสะโลนิกา 2:13 THSV11

  1. เราควรสัญญาที่จะปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า

“พระยาห์เวห์ทรงเป็นมรดกส่วนของข้าพระองค์ ข้าพระองค์สัญญาจะปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์” -สดุดี 119:57 THSV11

  1. เราควรขวนขวายของประทานฝ่ายพระวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผยพระวจนะ“

“จงมุ่งหาความรักและขวนขวายของประทานจากพระวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผยพระวจนะ” -1 โครินธ์ 14:1 THSV11

  1. เราควรเผยพระวจนะเพื่อให้เกิดความเจริญ การชูใจ และการปลอบใจ

“แต่ผู้ที่เผยพระวจนะนั้น พูดกับมนุษย์เพื่อให้เจริญขึ้น ให้มีการชูใจและการปลอบใจ” -1 โครินธ์ 14:3 THSV11

  1. เราควรยึดมั่นในพระวจนะอันสัตย์จริงตามคำสอน

“เพราะว่าผู้ปกครองดูแล ซึ่งเป็นผู้รับมอบฉันทะของพระเจ้า ต้องไม่มีข้อตำหนิ ไม่เย่อหยิ่ง ไม่อารมณ์ร้อน ไม่ดื่มสุรามึนเมา ไม่ชอบความรุนแรง และไม่เป็นคนโลภมักได้ แต่มีอัธยาศัยต้อนรับแขก รักความดี มีสติสัมปชัญญะ ชอบธรรม บริสุทธิ์ รู้จักบังคับใจตนเอง และยึดมั่นในพระวจนะอันสัตย์จริงตามคำสอน เพื่อจะสามารถหนุนใจด้วยคำสอนที่ถูกต้องและชี้แจงต่อพวกคนที่คัดค้าน” -ทิตัส 1:7-9 THSV11

  1. เราต้องประพฤติตามพระวจนะ ไม่ใช่แค่เป็นผู้ฟัง

“แต่จงเป็นผู้ประพฤติตามพระวจนะ ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ฟังเท่านั้น มิฉะนั้นจะเป็นการหลอกตัวเอง” -ยากอบ 1:22 THSV11

  1. เราควรประกาศและอุทิศตัวในพันธกิจด้านพระวจนะอย่างขมักเขม้น

“ส่วนเราจะอุทิศตัวในการอธิษฐานและในพันธกิจด้านพระวจนะ” –กิจการ 6:4 THSV11

“จงประกาศพระวจนะ จงทำอย่างขะมักเขม้นทั้งในขณะที่คนสนใจและไม่สนใจ จงชักชวน ตักเตือน และหนุนใจ ด้วยความอดทนและด้วยการสั่งสอนอย่างเต็มที่” -2 ทิโมธี 4:2 THSV11

  1. เราควรมั่นใจว่าผู้สนใจพระวจนะจะเจริญรุ่งเรือง

“ผู้ใส่ใจพระวจนะจะเจริญรุ่งเรือง และคนที่วางใจในพระยาห์เวห์จะสุขสบาย” -สุภาษิต 16:20 THSV11

  1. เราควรรับการสอนพระวจนะและแบ่งสิ่งดีแก่ผู้ที่สอนตน

“ส่วนคนที่รับการสอนพระวจนะ จงแบ่งสิ่งดีทุกอย่างให้แก่คนที่สอนตนเถิด” -กาลาเทีย 6:6 THSV11

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม:  “พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องการเรียนพระวจนะของพระเจ้าว่าอย่างไรบ้าง?”

ตอบ: “พระคัมภีร์สอนเราให้รู้จักพระวจนะ และรักที่จะเรียนรู้พระวจนะของพระเจ้าไว้ดังนี้

  1. เราต้องเรียนรู้ พระวจนะที่ให้ปัญญาและสอนให้เราเป็นคนชอบธรรม มิฉะนั้นเราจะเป็นโง่และชั่ว

“ข้าไม่เคยเรียนรู้ปัญญา ทั้งไม่มีความรู้เกี่ยวกับองค์บริสุทธิ์” ~สุภาษิต 30:3 THSV11

“ถ้าทรงสำแดงพระกรุณาคุณแก่คนอธรรม เขาก็ไม่เรียนรู้ความชอบธรรม เขาประพฤติชั่ว  ในแผ่นดินเที่ยงธรรม และไม่เห็นความสง่าสูงส่งของพระยาห์เวห์”  ~อิสยาห์ 26:10 THSV11

  1. เราต้องไม่เรียนรู้ในการทำสิ่งที่พระเจ้ารังเกียจ เพราะจะติดกับดัก

“เมื่อท่านเข้าไปในแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน อย่าเรียนรู้ที่จะทำสิ่งพึงรังเกียจตามชนชาติเหล่านั้น” ~เฉลยธรรมบัญญัติ 18:9 THSV11

“เกรงว่าเจ้าจะเรียนรู้ทางของเขา และเอาตัวเองไปติดกับดัก” ~สุภาษิต 22:25 THSV11

  1. เราต้องเรียนรู้พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ที่จะช่วยเหลือเราให้รอด

“และตั้งแต่เด็กมาแล้ว ท่านก็ได้เรียนรู้พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสามารถให้ปัญญาแก่ท่านในเรื่องความรอดโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์” ~2 ทิโมธี 3:15 THSV11

  1. เราต้องรู้จักเรียนรู้ความจริงและทางของพระเจ้าด้วยความนอบน้อม

   โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกผู้หญิง

“ให้ผู้หญิงเรียนอย่างเงียบๆ ด้วยความนอบน้อมอย่างยิ่ง” ~1 ทิโมธี 2:11 THSV11

“ถ้าพวกเขาต้องการจะเรียนรู้สิ่งใด ก็ให้ถามสามีของตนที่บ้าน เพราะว่าการที่ผู้หญิงจะพูดในคริสตจักรนั้นก็เป็นเรื่องน่าอาย” ~1 โครินธ์ 14:35 THSV11

“หญิงพวกนี้ร่ำเรียนอยู่เสมอ แต่ไม่สามารถเข้าใจหลักความจริงได้เลย” ~2 ทิโมธี 3:7 THSV11

  1. เราต้องไม่เรียนรู้ในวิถีที่แตกต่างจากที่พระคริสต์สอน

“แต่ท่านทั้งหลายไม่ได้เรียนรู้ถึงพระคริสต์แบบนั้น” ~เอเฟซัส 4:20 THSV11

  1. เราต้องเรียนรู้จักความหมายและเจตนารมณ์ที่แท้จริงของพระคัมภีร์

“ท่านจงไปเรียนความหมายของคัมภีร์ข้อนี้ ที่ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา’ ด้วยว่าเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาป”  -มัทธิว 9:13 THSV11

  1. เราต้องเรียนรู้ที่จะทำการดีตามวิถีของพระเจ้า

“และให้คนของเราเรียนรู้ที่จะทำการดีด้วย เพื่อช่วยจัดหาสิ่งที่จำเป็นจริงๆ เพื่อว่าพวกเขาจะได้ไม่เป็นคนที่ไร้ผล” ~ทิตัส 3:14 THSV11

  1. เราต้องเรียนรู้จากองค์พระเยซูคริสต์

“จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม  และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก” ~มัทธิว 11:29 THSV11

  1. เราต้องเรียนรู้พระวจนะของพระเจ้าและไม่ทำตรงกันข้าม

“และว่าท่านรู้จักพระประสงค์ของพระองค์ และเห็นชอบในสิ่งที่ประเสริฐ เพราะว่าได้เรียนจากธรรมบัญญัติ” ~โรม 2:18 THSV11

“ฉะนั้นท่านซึ่งเป็นผู้สอนคนอื่นจะไม่สอนตัวเองหรือ? ขณะที่ท่านเทศนาว่าไม่ควรลักทรัพย์ ตัวท่านเองลักหรือเปล่า? ท่านผู้ที่สอนว่าไม่ควรล่วงประเวณีตัวท่านเองล่วงประเวณีหรือเปล่า? ท่านผู้รังเกียจรูปเคารพ ตัวท่านเองปล้นวิหารไหม?” ~โรม 2:21-22 THSV11

  1. เราต้องขอพระเจ้าประทานความเข้าใจเพื่อที่จะเรียนรู้พระวจนะของพระองค์

“พระหัตถ์ของพระองค์ได้สร้างและสถาปนาข้าพระองค์ ขอประทานความเข้าใจแก่ข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะเรียนรู้พระบัญญัติของพระองค์” ~สดุดี 119:73 THSV11

“จงเรียนอุปมาเรื่องต้นมะเดื่อ เมื่อใดที่กิ่งของมันเริ่มแตกหน่ออ่อนและออกใบ ท่านทั้งหลายก็รู้ว่าฤดูร้อนใกล้จะถึงแล้ว” ~มัทธิว 24:32 THSV11

“จงเรียนบทเรียนจากต้นมะเดื่อ เมื่อมันแตกกิ่งแตกใบ พวกท่านก็รู้ว่าฤดูร้อนใกล้จะถึงแล้ว” ~มาระโก 13:28 THSV11

  1. เราต้องปฏิบัติตามสิ่งที่เราเรียนรู้มาจากพระคัมภีร์

“และพวกท่านจงปฏิบัติตามสิ่งที่ท่านเรียนรู้ รับไว้ ได้ยิน และได้เห็นในข้าพเจ้า แล้วพระเจ้าผู้ประทานสันติสุขจะสถิตกับพวกท่าน” ~ฟีลิปปี 4:9 THSV11

  1. เราต้องดำเนินต่อไปในสิ่งที่เราเรียนรู้และเชื่อ

“แต่ท่านจงดำเนินต่อไปในสิ่งที่ได้เรียนรู้แล้วและเชื่ออย่างมั่นคง และท่านก็รู้ว่าท่านเรียนมาจากใคร” ~2 ทิโมธี 3:14 THSV11

  1. เราต้องไม่เป็นคนที่เรียนรู้ช้า

“เรามีหลายอย่างที่จะกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ยากที่จะอธิบายเพราะพวกท่านเรียนรู้ได้ช้ามาก” ~ฮีบรู 5:11 THSV11

  1. เราต้องเรียนรู้ที่จะไม่หมิ่นพระเกียรติพระเจ้า

“ในคนพวกนั้นมีฮีเมเนอัสและอเล็กซานเดอร์ ผู้ซึ่งข้าพเจ้ามอบไว้กับซาตานแล้ว เพื่อเขาจะได้เรียนรู้ที่จะไม่หมิ่นพระเกียรติพระเจ้า” ~1 ทิโมธี 1:20 THSV11

  1. เราต้องเรียนรู้กฎเกณฑ์ของพระเจ้าจากความทุกข์ยากที่เราได้รับ

“ดีแล้วที่ข้าพระองค์ทุกข์ยาก เพื่อข้าพระองค์จะเรียนรู้กฎเกณฑ์ของพระองค์” ~สดุดี 119:71 THSV11

  1. เราต้องเรียนรู้จากกฎหมายของพระเจ้าและยกย่องพระองค์

“ข้าพระองค์จะยกย่องพระองค์ด้วยใจเที่ยงตรง เมื่อข้าพระองค์เรียนรู้กฎหมายอันชอบธรรมของพระองค์” ~สดุดี 119:7 THSV11

  1. เราต้องเรียนรู้เคล็ดลับที่จะพอใจในสภาพที่เป็นอยู่ในทุกสถานการณ์

“ข้าพเจ้าไม่ได้พูดเนื่องจากความขัดสน เพราะข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะพอใจในสภาพที่เป็นอยู่” ~ฟีลิปปี 4:11 THSV11

“ข้าพเจ้ารู้จักความขาดแคลนและรู้จักความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าในกรณีใดหรือในทุกกรณี ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เคล็ดลับในการเผชิญความอิ่มท้องและความอดอยาก ความอุดมสมบูรณ์และความขัดสนแล้ว” ~ฟีลิปปี 4:12 THSV11

  1. เราต้องเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังแม้แต่ในยามทนทุกข์

“ถึงแม้ว่าพระองค์เป็นพระบุตร พระองค์ก็ทรงเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังโดยการทนทุกข์ต่างๆ” ~ฮีบรู 5:8 THSV11

  1. เราต้องเรียนรู้พระวจนะของพระเจ้าผ่านช่องทางต่างๆ

“เพราะฉะนั้น พี่น้องทั้งหลายจงมั่นคงไว้ และยึดถือคำสอนที่ท่านได้เรียนจากเรา ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือด้วยจดหมาย” ~2 เธสะโลนิกา 2:15 THSV11

  1. เราต้องสอนคนชอบธรรมเพื่อเขาจะเพิ่มพูนการเรียนรู้

“จงให้คำสั่งสอนแก่คนมีปัญญาและเขาจะมีปัญญายิ่งขึ้น จงสอนคนชอบธรรมและเขาจะเพิ่มพูนการเรียนรู้” ~สุภาษิต 9:9 THSV11

  1. เราต้องสอนให้คนเรียนรู้ที่จะไม่ออกนอกขอบเขตพระคัมภีร์

“พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าเปรียบสิ่งเหล่านี้กับตัวเองและอปอลโล ก็เพื่อประโยชน์ของพวกท่าน เพื่อให้ท่านเรียนรู้จากเราในคำกล่าวที่ว่า “อย่าออกนอกขอบเขตของพระคัมภีร์” เพื่อว่าพวกท่านจะไม่หยิ่งผยองในการยกคนหนึ่งเหยียดอีกคนหนึ่ง” ~1 โครินธ์ 4:6 THSV11

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม:  “พระคัมภีร์กล่าวถึงการรักพระบัญญัติของพระเจ้า และการประพฤติตามพระวจนะของพระเจ้าไว้อย่างไรบ้าง?”

ตอบ:  “พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้มากมาย อาทิ 

  1. เราควรรักและปีติยินดีในพระวจนะของพระเจ้าที่เรารัก

“ข้าพระองค์ปีติยินดีในพระบัญญัติของพระองค์ ซึ่งข้าพระองค์รัก”     ~สดุดี 119:47 THSV11 

  1. เราควรรักพระวจนะของพระเจ้ามากยิ่งกว่าทรัพย์สมบัติใดใดในโลกนี้

“เพราะฉะนั้นข้าพระองค์รักพระบัญญัติของพระองค์ ยิ่งกว่าทองคำ ยิ่งกว่าทองบริสุทธิ์” ~สดุดี 119:127 THSV11

พระองค์ทรงทิ้งคนอธรรมทั้งสิ้นของแผ่นดินโลกเหมือนทิ้งขี้แร่ เพราะฉะนั้นข้าพระองค์รักพระโอวาทของพระองค์” ~สดุดี 119:119 THSV11 

  1. เราควรเคารพและตรึกตรองพระวจนะของพระเจ้าที่เรารัก 

“ข้าพระองค์เคารพพระบัญญัติของพระองค์ซึ่งข้าพระองค์รัก และข้าพระองค์จะตรึกตรองกฎเกณฑ์ของพระองค์ ז (ซายิน)” ~สดุดี 119:48 THSV11

  1. เราควรสัญญาที่จะปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า 

“พระยาห์เวห์ทรงเป็นมรดกส่วนของข้าพระองค์ ข้าพระองค์สัญญาจะปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์” ~สดุดี 119:57 THSV11 

  1. เราควรมีพระบัญญัติของพระคริสต์และประพฤติปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าที่เรามี 

“ใครที่มีบัญญัติของเราและประพฤติตามบัญญัติเหล่านั้น คนนั้นเป็นคนที่รักเรา และคนที่รักเรานั้นพระบิดาของเราจะทรงรักเขา และเราจะรักเขาและจะสำแดงตัวให้ปรากฏแก่เขา” ~ยอห์น 14:21 THSV11

“ขอทรงรักษาชีวิตข้าพระองค์ตามความรักมั่นคงของพระองค์ และข้าพระองค์จะปฏิบัติตามพระโอวาทจากพระโอษฐ์ของพระองค์ ל (ลาเมค)” ~สดุดี 119:88 THSV11 

  1. เราควรประพฤติตามแบบอย่างของคำสอนที่ถูกต้องตามพระวจนะ ที่ได้ยินจากผู้รับใช้ของพระเจ้า

“จงประพฤติตามแบบอย่างของคำสอนที่ถูกต้องที่ท่านได้ยินจากข้าพเจ้า ด้วยความเชื่อและความรักซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์” ~2 ทิโมธี 1:13 THSV11 

  1. เราควรรักษาวิถีทางของเราให้บริสุทธิ์โดยการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า

“คนหนุ่มจะรักษาวิถีทางของตนให้บริสุทธิ์ได้อย่างไร? ก็โดยปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์” ~สดุดี 119:9 THSV11

  1. เราควรตระหนักว่า เราไม่ได้รักพระเยซูคริสต์ เมื่อเราไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์

“คนที่ไม่รักเราก็ไม่ประพฤติตามคำของเรา และคำที่พวกท่านได้ยินนี้ไม่ใช่คำของเรา แต่เป็นของพระบิดาผู้ทรงใช้เรามา” ~ยอห์น 14:24 THSV11

สรุป

เราจึงต้องฟังพระวจนะของพระเจ้า และปฏิบัติตามนั้นอย่างเชื่อฟัง

“แต่จงเป็นผู้ประพฤติตามพระวจนะ ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ฟังเท่านั้น มิฉะนั้นจะเป็นการหลอกตัวเอง” ~ยากอบ 1:22 THSV11

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม:“พระคัมภีร์สอนอะไรบ้างเกี่ยวกับการเข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นส่วนตัว?”

ตอบ: “ พระคัมภีร์กล่าวถึงการเข้าเฝ้าพระเจ้าทั้งเป็นส่วนตัวและเป็นส่วนรวมไว้มากมายรวมกันยิ่งในตอนนี้จะเน้นการเข้าข้าพเจ้าเป็นส่วนตัว อาทิ

1.เราควรมีใจกระหายที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้าทุกวัน

“กวางกระเสือกกระสนหาธารน้ำฉันใด ข้าแต่พระเจ้า จิตใจข้าพระองค์ก็กระเสือกกระสนหาพระองค์ฉันนั้น จิตใจข้าพระองค์กระหายหาพระเจ้า หาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ เมื่อไรข้าพระองค์จะได้มาเห็นพระพักตร์พระเจ้า?” ~สดุดี 42:1-2 THSV11

2.เราควรเป็นคนที่พระเจ้าทรงเรียกให้เข้าเฝ้าพระองค์เป็นส่วนตัว

พระยาห์เวห์ตรัสกับโมเสสว่า “เจ้ากับอาโรน นาดับกับอาบีฮู และพวกผู้ใหญ่ของอิสราเอล 70 คน จงขึ้นมาเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์ แล้วนมัสการอยู่แต่ไกล ให้เฉพาะโมเสสผู้เดียวเข้ามาใกล้พระยาห์เวห์ ส่วนคนอื่นๆ อย่าให้เข้ามาใกล้และอย่าให้ประชาชนขึ้นมากับโมเสสเลย”  ~อพยพ 24:1-2 THSV11

3.เราควรเข้าเฝ้าพระเจ้าโดยใจของเราไม่มีอะไรกล่าวโทษเรา

“ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าใจของเราไม่ได้กล่าวโทษเรา เราก็มีความมั่นใจที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้า” ~1 ยอห์น 3:21 THSV11

4.เราควรมีใจฟ้องหรือกล่าวโทษตัวเอง ในขณะจะเข้าเฝ้าพระเจ้า เมื่อเราทำผิดบาปและรีบกลับใจ

“เช่นนี้แหละ เราก็จะรู้ว่าเราอยู่ฝ่ายสัจจะ และใจเราจะหมดกังวลเฉพาะพระพักตร์พระองค์ เมื่อใจของเรากล่าวโทษตัวเราเอง พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าใจของเรา และพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง” ~1 ยอห์น 3:19-20 THSV11

5.เราควรมีความกล้าและมั่นใจในการเข้าเฝ้าพระเจ้าโดยผ่านพระเยซูคริสต์

“ในพระองค์นั้นเราจึงมีความกล้าและความมั่นใจที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้า
โดยทางความเชื่อในพระคริสต์” ~เอเฟซัส 3:12 THSV11

6.เราควรเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยความมั่นใจว่าพระเจ้าจะทรงฟังคำทูลขอของเรา

“และนี่เป็นความมั่นใจที่เรามีต่อพระองค์ คือถ้าเราทูลขอสิ่งใดที่เป็นพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟัง” ~1 ยอห์น 5:14 THSV11

7.เราต้องเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยความเชื่อว่า พระองค์ทรงพระชนม์อยู่และพร้อมประทานบำเหน็จ

“แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะไม่เป็นที่พอพระทัยเลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้านั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์” ~ฮีบรู 11:6 THSV11

8.เราควรได้รับการเปลี่ยนแปลงจากการเข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นส่วนตัว

“ต่อมาโมเสสลงมาจากภูเขาซีนาย มีแผ่นพระโอวาทสองแผ่นในมือของท่านด้วยขณะที่ลงมาจากภูเขานั้น โมเสสก็ไม่ทราบว่าผิวหน้าของตนทอแสงเนื่องจากท่านได้สนทนากับพระเจ้า” ~อพยพ 34:29 THSV11

9.เราควรมีสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชาจากการเข้าเฝ้าพระองค์ มาแบ่งปันให้กับคนอื่นๆฟัง

“แต่เมื่อไรที่โมเสสเข้าเฝ้าพระยาห์เวห์เพื่อกราบทูลพระองค์ ท่านก็ปลดผ้านั้นออก จนกว่าจะกลับออกมา เมื่อท่านออกมาก็เล่าให้คนอิสราเอลฟังถึงสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชาท่าน” ~อพยพ 34:34 THSV11

10.เราควรมีใจและนิสัยในการเข้าเฝ้าพระเจ้าเป็นประจำทุกวัน ไม่ขาดตามอย่างพระเยซูคริสต์

“ในเวลาเช้ามืดพระองค์ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่สงบ และทรงอธิษฐานที่นั่น” ~มาระโก 1:35 THSV11

“หลังจากพระองค์ทรงลาพวกเขาแล้ว ก็เสด็จขึ้นภูเขาเพื่อทรงอธิษฐานที่นั่น เมื่อค่ำลง เรือของพวกสาวกอยู่กลางทะเล ส่วนพระองค์ประทับบนฝั่งแต่ผู้เดียว” ~มาระโก 6:46-47 THSV11

สรุป

เราควรมีใจแสวงหาพระเจ้า และเข้าเฝ้าพระองค์เสมอทุกวัน
และรับพระกำลัง การช่วยเหลือ และสติปัญญาจากพระองค์
เพื่อเราจะกระตือรือร้นและสามารถช่วยตัวเองและผู้อื่น
ให้สามารถกระทำให้สำเร็จ

  • ตามพระประสงค์ และ
  • ตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ อย่างที่พระองค์พอพระทัย

“จงแสวงหาพระยาห์เวห์ และพระกำลังของพระองค์ แสวงหาพระพักตร์ของพระองค์เสมอ”  ~สดุดี 105:4 THSV11

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม: “พระคัมภีร์พูดอะไรบ้างเกี่ยวข้องกับความรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันแห่งความรัก?”

ตอบ: “พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องของความรักไว้มากมาย อาทิ

  1. เราควรทราบว่า พระเจ้าทรงรักเรา และพระองค์ทรงรักเราทุกวัน ไม่มีวันหยุด

“จงขอบพระคุณพระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์” ~สดุดี 118:1 THSV11

  1. เราควรทราบว่า พระเยซูคริสต์ทรงรักเรา และพระองค์ทรงรักเราทุกวัน จนถึงที่สุด

“ก่อนถึงงานเทศกาลปัสกา พระเยซูทรงทราบว่าถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงจากโลกนี้ไปหาพระบิดา พระองค์ทรงรักบรรดาคนของพระองค์ที่อยู่ในโลกนี้ พระองค์ทรงรักเขาทั้งหลายจนถึงที่สุด” ~ยอห์น 13:1 THSV11

  1. เราควรให้ทุกวันของเรา เป็นวันที่เรารักพระเจ้า

“ข้าพเจ้ารักพระยาห์เวห์ เพราะพระองค์ทรงฟังเสียงและคำวิงวอนของข้าพเจ้า” ~สดุดี 116:1 THSV11

  1. เราควรให้ทุกวัน เป็นวันที่เรารักพี่น้อง

“จงให้ความรักฉันพี่น้องมีอยู่ต่อกันเสมอไป” ~ฮีบรู 13:1 THSV11

  1. เราควรให้ทุกวันเป็นวันรักภรรยา และรักทุกคนในครอบครัวของเรา

“ในทำนองเดียวกัน สามีต้องรักภรรยาของตนเหมือนรักร่างกายของตัวเอง คนที่รักภรรยาของตัวเองก็รักตัวเองด้วย” ~เอเฟซัส 5:28 THSV11

“เพื่ออบรมหญิงสาวให้รักสามีและบุตรของพวกตน” ~ทิตัส 2:4 THSV11

  1. เราควรให้ทุกวันเป็นวันที่เรารักเพื่อนบ้านของเรา

“จงให้เกียรติบิดามารดาของตน และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” ~มัทธิว 19:19 THSV11

  1. เราควรให้ทุกวัน เป็นวันที่เรารักพระบัญญัติและพระวจนะของพระเจ้า

“เพราะฉะนั้นข้าพระองค์รักพระบัญญัติของพระองค์ ยิ่งกว่าทองคำ ยิ่งกว่าทองบริสุทธิ์” ~สดุดี 119:127 THSV11

“ข้าพระองค์ปีติยินดีในพระบัญญัติของพระองค์ ซึ่งข้าพระองค์รัก” – สดุดี 119:47 THSV11

  1. เราควรให้ทุกวัน เป็นวันที่เรารักคริสตจักรของพระเจ้า

“ข้าแต่พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์รักพระนิเวศอันเป็นที่พำนักของพระองค์ และเป็นที่ประทับแห่งพระสิริของพระองค์” ~สดุดี 26:8 THSV11

  1. เราควรให้ทุกวัน เป็นวันที่เรายืนยันความรัก และให้โอกาสคนผิดพลาด

“ดังนั้นข้าพเจ้าขอร้องพวกท่านให้ยืนยันความรักต่อคนนั้นใหม่” ~2 โครินธ์ 2:8 THSV11

  1. เราควรให้ทุกวัน เป็นวันที่เรารักศัตรูของเรา

“แต่จงรักศัตรูของท่านและทำดีต่อเขา จงให้เขายืมโดยไม่หวังที่จะได้คืน แล้วบำเหน็จของท่านทั้งหลายจะมีบริบูรณ์ แล้วท่านจะเป็นบุตรขององค์ผู้สูงสุด เพราะว่าพระองค์ทรงพระกรุณาทั้งต่อคนอกตัญญูและคนชั่ว” ~ลูกา 6:35 THSV11

  1. เราควรทำให้ทุกวันในชีวิตของเราเป็นวันแห่งความรักที่มีต่อทุกคน

“ความรักของข้าพเจ้าอยู่กับพวกท่านทุกคนในพระเยซูคริสต์”          ~1 โครินธ์ 16:24 THSV11

สรุป  เราควรให้ทุกวันในชีวิตของเรา เป็นวันที่เราแสดงความรักออกมาเป็นการกระทำที่ทุกคนสัมผัสจับต้องได้

“ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง” ~1 ยอห์น 3:18 THSV11

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม:  “พระคัมภีร์ สอนอะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องของการนมัสการพระเจ้า?”

ตอบ: “พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องการนมัสการพระเจ้าไว้มากมาย อาทิ

  1. พระเจ้าเป็นพระวิญญาณเราต้องนมัสการพระองค์ด้วยจิตวิญญาณและความจริง

“พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ และคนที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” ~ยอห์น 4:24 THSV11

  1. พระเจ้าแสวงหาคนที่จะนมัสการพระองค์ด้วยจิตวิญญาณและความจริง

“แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อคนที่นมัสการอย่างแท้จริงจะนมัสการพระบิดาด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นมานมัสการพระองค์” ~ยอห์น 4:23 THSV11

  1. เราต้องสร้าง หรือมีสถานที่ที่เราจะไปนมัสการพระเจ้าที่นั่น

“จงบอกชนชาติอิสราเอลให้นำของมาถวายเรา ของนั้นให้รับมาจากทุกๆ คนที่เต็มใจถวาย พวกเจ้าจงสร้างพลับพลาและเครื่องใช้ไม้สอยทุกชิ้นของพลับพลานั้นตามแบบที่เราแจ้งแก่เจ้าทุกประการ …แล้วให้พวกเขาสร้างสถานนมัสการสำหรับเรา เพื่อเราจะอยู่ท่ามกลางพวกเขา” ~อพยพ 25:2, 8-9 THSV11

  1. เราต้องรักษาสะบาโตและนมัสการพระเจ้าในสถานที่ที่นมัสการด้วยความเคารพยำเกรง

“จงรักษาสะบาโตทั้งหลายของเรา และเคารพต่อสถานนมัสการของเรา เราคือยาห์เวห์” ~เลวีนิติ 19:30 THSV11

“มาเถิด ให้เรานมัสการและกราบลง ให้เราคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์ของพระยาห์เวห์ผู้ทรงสร้างเรา” ~สดุดี 95:6 THSV11

  1. เราต้องยกย่องสรรเสริญนมัสการพระเจ้า ด้วยทุกสิ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งการร้องเพลง

“สรรเสริญพระยาห์เวห์ จงสรรเสริญพระเจ้าในสถานนมัสการของพระองค์ จงสรรเสริญพระองค์ในพื้นฟ้าอันอานุภาพของพระองค์” ~สดุดี 150:1 THSV11

“จงปราศรัยกันด้วยเพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงฝ่ายจิตวิญญาณ คือร้องเพลงและสดุดีจากใจของพวกท่านถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า” ~เอเฟซัส 5:19 THSV11

  1. เราควรไปนมัสการพระเจ้าในสถานนมัสการ และเรียนรู้คำตอบสำคัญของชีวิต

“แต่เมื่อข้าพระองค์ตรึกตรองว่า จะเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างไร ข้าพระองค์รู้สึกว่าเป็นงานที่เหน็ดเหนื่อย จนข้าพระองค์เข้าไปในสถานนมัสการของพระเจ้า แล้วข้าพระองค์จึงพิเคราะห์เห็นปลายทางของเขาทั้งหลาย” ~สดุดี 73:16-17 THSV11

  1. เราควรสัมผัสฤทธานุภาพและพระสิริของพระเจ้าในขณะที่เรานมัสการในสถานนมัสการ

“เช่นนั้นแหละ ข้าพระองค์เคยเห็นพระองค์ในสถานนมัสการ เห็นฤทธานุภาพและพระสิริของพระองค์” ~สดุดี 63:2 THSV11

  1. เราต้องประพฤติตัวให้ดีสมกับเป็นคนที่ประกาศตนว่านมัสการพระเจ้า

“แต่ประดับด้วยการทำดี สมกับเป็นหญิงที่ประกาศตนว่านมัสการพระเจ้า” ~1 ทิโมธี 2:10 THSV11

  1. เราต้องไม่นมัสการพระเจ้าโดยเปล่าประโยชน์ตามกฎเกณฑ์ที่มนุษย์ตั้งไว้

“พวกเขานมัสการเราโดยเปล่าประโยชน์ เพราะเอากฎเกณฑ์ของมนุษย์มาสอนว่าเป็นพระดำรัสสอน’ ” ~มัทธิว 15:9 THSV11

  1. เราต้องระวังอย่าหลงไปนมัสการพระอื่น แทนที่จะนมัสการพระเจ้า

“จงระวังตัวอย่าให้จิตใจของท่านทั้งหลายลุ่มหลงและหันเหไปปรนนิบัตินมัสการพระอื่นๆ” ~เฉลยธรรมบัญญัติ 11:16 THSV11

  1. เราต้องตระหนักว่าจะมีผลร้ายตามมา จากการหันเหไปนมัสการพระอื่นแทนที่พระเจ้า

“แต่ถ้าใจของท่านหันเหไปและท่านไม่ได้เชื่อฟัง แต่ถูกลวงให้ไปนมัสการพระอื่นและปรนนิบัติพระเหล่านั้น ข้าพเจ้าขอประกาศแก่ท่านทั้งหลายในวันนี้ว่า พวกท่านจะพินาศเป็นแน่ ท่านจะไม่มีชีวิตอยู่นานในแผ่นดินซึ่งท่านกำลังจะยกข้ามแม่น้ำจอร์แดน เข้าไปยึดครองนั้น” ~เฉลยธรรมบัญญัติ 30:17-18 THSV11

  1. เราควรสำรวจตัวของเราเอง ก่อนที่เราจะไปนมัสการพระเจ้าที่สถานนมัสการ

“ผู้ใดจะขึ้นไปบนภูเขาของพระยาห์เวห์? และผู้ใดจะยืนอยู่ในสถานนมัสการของพระองค์? คือผู้ที่มีมือสะอาดและใจบริสุทธิ์ ผู้ที่มิได้มีจิตใจยกย่องสิ่งเท็จ และมิได้สาบานอย่างหลอกลวง เขาจะรับพระพรจากพระยาห์เวห์ และรับความยุติธรรมจากพระเจ้าแห่งความรอดของเขา อย่างนี้แหละเป็นพวกที่เสาะหาพระองค์ พวกที่แสวงหาหน้าของท่านนะ ยาโคบเอ๋ย เส-ลาห์” ~สดุดี 24:3-6 THSV11

  1. เราควรพร้อมที่จะถวายสิ่งสำคัญในชีวิตของเราแด่พระเจ้าเมื่อเราไปนมัสการพระองค์

“เพราะฉะนั้นดิฉันเองถวายเขาแด่พระยาห์เวห์ เขาถูกถวายแด่พระยาห์เวห์ตลอดชีวิตของเขา” และเขาก็นมัสการพระยาห์เวห์ที่นั่น”      ~1 ซามูเอล 1:28 THSV11

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-