Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม :    “พระคัมภีร์มีเรื่องราวของพระเจ้าที่รักมนุษย์โลก เหมือนบิดาที่รักลูกๆ หรือไม่?” 

คำตอบ:  พระคัมภีร์สอนเรื่องความรักของพระเจ้าดุจพ่อรักลูกไว้ดังนี้

  1. พระเจ้าเป็นความรัก และเป็นพระบิดาของมวลมนุษย์ชาติ

“ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก” ~1 ยอห์น 4:8 THSV11

  1. พระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของทุกคนที่อยู่ในความรักของพระองค์

“ฉะนั้นเราจึงรู้ และวางใจในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา พระเจ้าทรงเป็นความรัก และผู้ที่อยู่ในความรักก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงอยู่ในคนนั้น” ~1 ยอห์น 4:16 THSV11

  1. พระเจ้าทรงเป็นพระบิดาที่รักมนุษย์มากจนยอมส่งพระบุตรให้มารับโทษตายแทนพวกเรา

“ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้ไม่ใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเรา และทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบบาปของเรา” ~1 ยอห์น 4:10 THSV11

“พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” ~ยอห์น 3:16 THSV11

  1. พระเจ้าทรงเป็นพระบิดาที่ทรงรักเราด้วยความรักอันใหญ่หลวง

“แต่พระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา พระองค์ทรงรักเราโดยความรักอันใหญ่หลวงของพระองค์” ~เอเฟซัส 2:4 THSV11

  1. พระเจ้าทรงเป็นพระบิดาผู้ทรงพร้อมอภัยบาปแก่ลูกๆ ของพระองค์เสมอเมื่อเขากลับใจใหม่

“ใครเล่าจะเป็นพระเจ้าเหมือนพระองค์ผู้ทรงอภัยบาป และทรงมองข้ามการทรยศ ของคนที่เหลืออยู่อันเป็นมรดกของพระองค์ท่าน? พระองค์ท่านมิได้ทรงพระพิโรธเป็นนิตย์ เพราะพระองค์ท่านพอพระทัยในความรักมั่นคง” ~มีคาห์ 7:18 THSV11

  1. พระเจ้าเป็นพระบิดา ที่สำแดงความรักมั่นคงต่อผู้เชื่อและลูกหลานของเขาตลอดไป

“พระองค์ทรงสำแดงความรักมั่นคงต่อคนเป็นพันๆ แต่ทรงตอบสนองความผิดบาปของบิดาให้ตกถึงลูกหลานสืบต่อมา พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และทรงฤทธิ์ พระนามของพระองค์คือพระยาห์เวห์จอมทัพ” ~เยเรมีย์ 32:18 THSV11

  1. พระเจ้าเป็นพระบิดาที่รักษาพันธสัญญาและสำแดงความรักมั่นคงแก่ลูกๆ ของพระองค์

“แล้วพระองค์ทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของอิสราเอล ไม่มีพระเจ้าองค์ไหนเหมือนพระองค์ ทั้งในฟ้าสวรรค์ และบนแผ่นดินโลก พระองค์ทรงรักษาพันธสัญญาและทรงสำแดงความรักมั่นคงแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ ผู้ดำเนินอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ด้วยสุดใจ ~2 พงศาวดาร 6:14 THSV11

  1. พระเจ้าเป็นพระบิดาที่รักเรา เมื่อเรารักและเชื่อว่าพระเยซูคริสต์มาจากพระเจ้า

“ในวันนั้นพวกท่านจะทูลขอในนามของเรา และเราจะไม่บอกท่านว่าเราจะอ้อนวอนพระบิดาเพื่อท่าน เพราะว่าพระบิดาเองก็ทรงรักพวกท่าน เพราะท่านรักเราและเชื่อว่าเรามาจากพระเจ้า” ~ยอห์น 16:26-27 THSV11

“พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ถ้าพระเจ้าเป็นพระบิดาของพวกท่านแล้ว ท่านก็จะรักเรา เพราะเรามาจากพระเจ้าและอยู่นี่แล้ว เราไม่ได้มาตามใจชอบของเราเอง แต่พระองค์ทรงใช้เรามา” ~ยอห์น 8:42 THSV11

  1. พระเจ้าเป็นพระบิดาที่ประสงค์ให้เราที่เป็นลูกๆ แสดงความรักเมตตา และความยุติธรรมต่อผู้อื่น

“มนุษย์เอ๋ย พระองค์ทรงสำแดงแก่เจ้าแล้วว่าอะไรดี? และพระยาห์เวห์ทรงประสงค์อะไรจากเจ้า? นอกจากให้ทำความยุติธรรมและให้รักความเมตตา และให้ดำเนินชีวิตไปกับพระเจ้าของเจ้าด้วยความถ่อมใจ” ~มีคาห์ 6:8 THSV11

  1. พระเจ้าเป็นพระบิดา ที่รักเราอย่างไร เราก็ควรรักกันและกันด้วยอย่างนั้น

“ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าพระเจ้าทรงรักเราอย่างนั้น เราก็ควรจะรักกันและกันด้วย” ~1 ยอห์น 4:11 THSV11

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม :  “พระคัมภีร์สอนอะไรบ้างเกี่ยวกับการทำดีในนามของพระเยซูคริสต์?”

คำตอบ :  “พระคัมภีร์สอนเรื่องการทำดีในนามของพระเยซูคริสต์ไว้ดังนี้

  1. คริสเตียนคือ คนของพระเจ้า ผู้ทำดีในนามของพระเยซูคริสต์

3ยอห์น. 1:11 “ท่านที่รัก อย่าเลียนแบบสิ่งที่ชั่ว แต่จงเลียนแบบสิ่งที่ดี คนที่ทำดีมาจากพระเจ้า คนที่ทำชั่วไม่ เคยเห็นพระเจ้า”

  1. คริสเตียนคือ ผู้ที่ทำดีเพื่อให้คนสรรเสริญพระเจ้า พระบิดา

มัทธิว 5:16 “ทำนองเดียวกันพวกท่านจงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาทั้งหลายได้เห็นความดีที่ท่านทำ พวกเขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์”

  1. คริสเตียนคือ ผู้ที่ทำดีอย่างที่ชอบพระทัยของพระเจ้า

1ทิโมธี 2:1-4 “เพราะฉะนั้นก่อนสิ่งอื่นใดทั้งหมด ข้าพเจ้าขอร้องพวกท่านให้วิงวอน อธิษฐาน ทูลขอ และขอบพระคุณเพื่อทุกคน เพื่อกษัตริย์ทั้งหลายและทุกคนที่มีตำแหน่งสูง เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตอย่างสงบและมีสันติในทางพระเจ้า และเป็นที่นับถือ การกระทำเช่นนี้เป็นการดี และเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระองค์ทรงประสงค์ให้ทุกคนได้รับความรอดและรู้ความจริง” 

  1. คริสเตียนคือ ผู้ที่ทำดีต่อทุกคนเมื่อมีโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อครอบครัวที่มีความเชื่อ

กาลาเทีย6:10 “เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีโอกาส ให้เราทำดีต่อทุกคน และเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อคนที่เป็นสมาชิกของครอบครัวแห่งความเชื่อ”

  1. คริสเตียนคือ ผู้ที่ทำดีทั้งต่อคริสเตียนและต่อคนทั้งปวง

1เธสะโลนิกา 5:15 “อย่าให้คนใดทำชั่วตอบแทนการชั่ว แต่จงหาทางทำดีเสมอต่อพวกท่านเอง และต่อคนทั่วไปด้วย”

  1. คริสเตียนคือ ผู้ที่กระทำดี แม้แต่กับศัตรู

ลูกา 6:32-36 “ถ้าพวกท่านรักเฉพาะคนที่รักท่าน ควรนับว่าเป็นคุณความดีของท่านด้วยหรือ? เพราะแม้แต่พวกคนบาปก็ยังรักเฉพาะคนที่รักเขาเหมือนกัน 33ถ้าพวกท่านทำดีเฉพาะกับคนที่ทำดีต่อท่าน ควรนับว่าเป็นคุณความดีของท่านหรือ? เพราะแม้แต่พวกคนบาปก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน 34ถ้าท่านทั้งหลายให้ยืมเฉพาะคนที่ท่านหวังจะได้คืน ควรนับว่าเป็นคุณความดีของท่านหรือ? เพราะแม้แต่พวกคนบาปก็ยังให้คนบาปยืมโดยหวังจะได้คืนเหมือนกัน 35แต่จงรักศัตรูของท่านและทำดีต่อเขา จงให้เขายืมโดยไม่หวังที่จะได้คืน แล้วบำเหน็จของท่านทั้งหลายจะมีบริบูรณ์ แล้วท่านจะเป็นบุตรขององค์ผู้สูงสุด เพราะว่าพระองค์ทรงพระกรุณาทั้งต่อคนอกตัญญูและคนชั่ว 36พวกท่านจงมีใจเมตตากรุณาเหมือนอย่างพระบิดาของท่านมีพระทัยเมตตากรุณา”

  1. คริสเตียนคือ ผู้ที่ไม่เมื่อยล้า และไม่ท้อใจในการทำดี

กาลาเทีย 6:9 “อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันสมควร”

  1. คริสเตียนคือ ผู้ที่ประพฤติอย่างสมควร และเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ซึ่งที่เกิดผลในการดีทุกอย่าง

โคโลสี 1:10 “เพื่อพวกท่านจะดำเนินชีวิตอย่างสมควรต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และจะเป็นที่ชอบพระทัยของพระองค์ทุกประการ คือให้ท่านเกิดผลในการดีทุกอย่าง และเจริญขึ้นในความรู้ถึงเรื่องพระเจ้า”

  1. คริสเตียนคือ ผู้ที่ประดับตนด้วยการกระทำดี ซึ่งสมกับที่ประกาศตัวว่า เชื่อถือพระเจ้า

1ทิโมธี 2:10 “แต่ประดับด้วยการทำดี สมกับเป็นหญิงที่ประกาศตนว่านมัสการพระเจ้า”

  1. คริสเตียนคือ ผู้ที่ใช้มือและร่างกายของตนทำงานที่ดี เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ขัดสน

เอเฟซัส 4:28 “คนที่เคยขโมยก็อย่าขโมยอีกต่อไป แต่จงใช้มือ [ของตน]ตรากตรำทำงานที่ดีดีกว่า เพื่อจะได้มีอะไรแจกจ่ายให้คนที่มีความจำเป็น”

  1. คริสเตียนคือ ผู้ที่ไม่ว่าจะรับงานหรืออยู่ในตำแหน่งอะไรก็ตาม ก็จะทำหน้าที่นั้นให้ดีเสมอไป

1ทิโมธี 3:13 “เพราะว่าคนที่ทำหน้าที่มัคนายกได้ดีก็มีชื่อเสียงดี และมีความกล้าหาญอย่างยิ่งในความเชื่อที่มีอยู่ในพระเยซูคริสต์”

  1. คริสเตียนคือ ผู้ที่หมั่นหาวิธีปลุกใจกันและกันให้รักและทำความดีอยู่เป็นประจำ

ฮีบรู10:24 “และขอให้เราพิจารณาดูเพื่อจะปลุกใจกันและกันให้มีความรักและทำความดี”

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบโดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม:  ”พระคัมภีร์สอนเรื่องความดีงามของพระเจ้าไว้อย่างไรบ้าง?”

คำตอบ “พระคัมภีร์กล่าวถึงความดีงามของพระเจ้าไว้ดังนี้

  1. พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่ดี (ประเสริฐ)

“พระเจ้าทรงเป็นผู้ประเสริฐและเที่ยงธรรม เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงสั่งสอนพระมรรคานั้นแก่คนบาป” ~สดุดี 25:8 TH1971

  1. พระเจ้าทรงดีต่อประชากรของพระองค์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่มีใจบริสุทธิ์

“แท้จริงพระเจ้าทรงดีต่ออิสราเอล ต่อบุคคลผู้มีใจบริสุทธิ์” ~สดุดี 73:1 TH1971

  1. พระเจ้าทรงกระทำดีต่อผู้ที่รับใช้พระองค์

“พระองค์ได้ทรงกระทำดีต่อผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า ตามพระวจนะของพระองค์” ~สดุดี 119:65 TH1971

  1. พระเจ้าทรงดีต่อทุกคนที่คอยท่าพระองค์อยู่

“พระเจ้าทรงดีต่อคนทั้งปวงที่คอยท่าพระองค์อยู่ และทรงดีต่อคนที่แสวงพระองค์” ~เพลงคร่ำครวญ 3:25 TH1971

  1. พระเจ้าทรงดีต่อทุกคน

“พระเจ้าทรงดีต่อทุกคน และความรักเอ็นดูของพระองค์มีอยู่เหนือพระราชกิจ ทั้งสิ้นของพระองค์” ~สดุดี 145:9 TH1971

  1. พระเจ้าทรงประทานพระพรอันดีมากมายแก่พระราชาที่ดี

“เพราะพระองค์ประทานพระพรดีมากมายแก่ท่าน พระองค์ทรงสวมมงกุฎทองบริสุทธิ์บนศีรษะท่าน” ~สดุดี 21:3 THSV11 

  1. พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี

“เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ผู้เลี้ยงที่ดีย่อมสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ” ~ยอห์น 10:11 THSV11

  1. พระเจ้าทรงสร้างเราขึ้นมาเพื่อทำความดี ตามพระประสงค์ของพระเจ้า

“เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ทำการดี ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรง  จัดเตรียมไว้ก่อนแล้วเพื่อให้เราดำเนินตาม” ~เอเฟซัส 2:10 THSV11

  1. พระเจ้าทรงประทานความดีมาให้ในรูปแบบของผลแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์

“ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความซื่อสัตย์” ~กาลาเทีย 5:22 THSV11

  1. เราต้องเอาของดีออกจากคลังแห่งความดีภายในตัวเพื่อเป็นพรต่อผู้อื่น

“คนดีก็เอาของดีมาจากคลังแห่งความดีในตัวของเขา คนชั่วก็เอาของชั่วมาจากคลังแห่งความชั่วในตัวของเขา” ~มัทธิว 12:35 THSV11

– ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ –

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม:  ”พระคัมภีร์กล่าวถึงความสว่างที่เกี่ยวข้องกับเราไว้อย่างไรบ้าง?”

คำตอบ: “พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ดังนี้

  1. พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และความรอดของเรา

“พระยาห์เวห์ทรงเป็นความสว่างและความรอดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะกลัวผู้ใดเล่า? พระยาห์เวห์ทรงเป็นที่กำบังอันแข็งแกร่งแห่งชีวิตข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะเกรงผู้ใดเล่า?” ~สดุดี 27:1 THSV11

“ศัตรูของข้าเอ๋ย อย่าเปรมปรีดิ์เย้ยข้าเลย เมื่อข้าล้มลง ข้าจะลุกขึ้นอีก เมื่อข้านั่งอยู่ในความมืด พระยาห์เวห์จะทรงเป็นความสว่างแก่ข้า” ~มีคาห์ 7:8 THSV11

“ข้าแต่พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงเป็นประทีปของข้าพระองค์ พระยาห์เวห์ทรงทำความมืดของข้าพระองค์ให้สว่าง” ~2 ซามูเอล 22:29 THSV11

  1. เราต้องติดตามพระเยซูคริสต์ผู้เป็นความสว่างของเรา

“พระเยซูตรัสกับพวกเขาอีกครั้งหนึ่งว่า “เราเป็นความสว่างของโลก คนที่ตามเรามาจะไม่ต้องเดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต”” ~ยอห์น 8:12 THSV11

  1. เราต้องให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นความสว่างแก่ทางเดินในชีวิต

“พระวจนะของพระองค์เป็นตะเกียงแก่เท้าของข้าพระองค์ และเป็นความสว่างแก่ทางของข้าพระองค์” ~สดุดี 119:105 THSV11

  1. เราต้องตระหนักว่าเราเคยเป็นความมืดแต่ เดี๋ยวนี้ เราเป็นความสว่างแล้ว

“เพราะเมื่อก่อนท่านทั้งหลายเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างคนของความสว่าง” ~เอเฟซัส 5:8 THSV11

  1. เราต้องเลิกกิจกรรมหรือกิจการของความมืด และสำแดงผลของความสว่างออกมา

“(เพราะว่าผลของความสว่างคือทุกอย่างที่เป็นความดี ความชอบธรรม และความจริง) และอย่ามีส่วนในกิจการของความมืดที่ไร้ผล แต่จงเปิดเผยกิจการนั้นให้ปรากฏดีกว่า” ~เอเฟซัส 5:9, 11 THSV11

  1. เราเป็นความสว่างที่ต้องส่องสว่างด้วยความดีให้แก่คนทั้งหลายในโลก

“ทำนองเดียวกันพวกท่านจงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาทั้งหลายได้เห็นความดีที่ท่านทำ พวกเขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์” ~มัทธิว 5:16 THSV11

  1. เราต้องเป็นคนที่มีตาใจสว่างและมีความเปรมปรีดิ์

“ความสว่างของตาทำให้ใจเปรมปรีดิ์ และข่าวดีทำให้ร่างกายสดชื่น”   ~สุภาษิต 15:30 THSV11

“แต่ถ้าตาของท่านผิดปกติ ทั้งตัวของท่านก็พลอยมืดไปด้วย เพราะฉะนั้นถ้าความสว่างซึ่งอยู่ในตัวท่านมืดไป ความมืดนั้นจะหนาทึบสักเพียงใดหนอ” ~มัทธิว 6:23 THSV11

“ขอให้ตาใจของพวกท่านสว่างขึ้น เพื่อจะได้รู้ว่าพระองค์ประทานความหวังอะไรแก่ท่านในการทรงเรียกพวกท่านนั้น และรู้ว่ามรดกที่มีศักดิ์ศรีของพระองค์สำหรับพวกธรรมิกชนนั้นบริบูรณ์เพียงไร” ~เอเฟซัส 1:18 THSV11

  1. เราต้องพิสูจน์ว่าเราเป็นลูกของความสว่างด้วยการประพฤติตนตามความจริง

“แต่คนที่ประพฤติตามความจริงก็มาถึงความสว่าง เพื่อให้เห็นว่าการกระทำของเขานั้นทำโดยพึ่งพระเจ้า” ~ยอห์น 3:21 THSV11

  1. เราต้องเป็นลูกแห่งความสว่างที่ใช้ปัญญาให้มากกว่าลูกของความมืด

“แล้วเศรษฐีก็ชมพ่อบ้านอสัตย์นั้น เพราะเขาทำด้วยความฉลาด เพราะว่าลูกของยุคนี้รู้จักใช้ความฉลาดกับคนในสมัยของพวกเขามากกว่าลูกของความสว่าง” ~ลูกา 16:8 THSV11

  1. เราต้องขอให้พระเจ้าทรงช่วยให้เราใจสว่างที่เราจะเข้าใจพระคัมภีร์อย่างถูกต้อง

“แล้วพระองค์ทรงช่วยให้ใจของพวกเขาสว่างเพื่อจะได้เข้าใจพระคัมภีร์” ~ลูกา 24:45 THSV11

“การอธิบายพระวจนะของพระองค์ให้ความสว่าง ทั้งให้ความเข้าใจแก่คนรู้น้อย” ~สดุดี 119:130 THSV11

                                                                -ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม: ”พระคัมภีร์สอนเรื่อง การเป็นความสว่างของโลก ไว้อย่างไรบ้าง?”

คำตอบ:” พระคัมภีร์สอนเรื่องการเป็นความสว่าง ของโลก ไว้ดังนี้…

  1. พระเยซูทรงเป็นความสว่างของโลก

“พระเยซูตรัสกับพวกเขาอีกครั้งหนึ่งว่า “เราเป็นความสว่างของโลก คนที่ตามเรามาจะไม่ต้องเดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต”   ~ยอห์น 8:12 THSV11

  1. ผู้เชื่อทุกคนต้องเป็นความสว่างของโลกด้วยเช่นกัน

“ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะถูกปิดบังไว้ไม่ได้”  ~มัทธิว 5:14 THSV11

  1. เราต้องส่องสว่างต่อโลก ผ่านทางความดีที่เรากระทำ

“ทำนองเดียวกันพวกท่านจงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาทั้งหลายได้เห็นความดีที่ท่านทำ พวกเขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์”  ~มัทธิว 5:16 THSV11

  1. เราต้องดำเนินชีวิตในความสว่าง และเป็นความสว่าง เหมือนพระเจ้าสถิตในความสว่าง

“แต่ถ้าเราเดินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างที่พระองค์สถิตในความสว่าง เราก็มีสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ก็ชำระเราให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น”  ~1 ยอห์น 1:7 THSV11

“เพราะเมื่อก่อนท่านทั้งหลายเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างคนของความสว่าง”  ~เอเฟซัส 5:8 THSV11 

  1. เราต้องดำเนินชีวิตที่สำแดงผลของความสว่างออกมาให้ประจักษ์ เป็น
  • ความดี
  • ความชอบธรรม และ
  • ความจริง

“(เพราะว่าผลของความสว่างคือทุกอย่างที่เป็นความดี ความชอบธรรม และความจริง) จงค้นดูว่าอะไรเป็นสิ่งที่พอพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้า และอย่ามีส่วนในกิจการของความมืดที่ไร้ผล แต่จงเปิดเผยกิจการนั้นให้ปรากฏดีกว่า เพราะว่าแม้แต่จะพูดถึงสิ่งเหล่านั้นที่พวกเขาทำอย่างลับๆ ก็ยังเป็นเรื่องน่าละอาย แต่ทุกๆ สิ่งที่ได้รับการเปิดเผยโดยความสว่างก็ปรากฏให้เห็น เพราะว่าทุกๆ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็เป็นความสว่าง ดังนั้นจึงมีคำกล่าวว่า คนที่หลับอยู่ จงตื่นขึ้น และจงเป็นขึ้นจากตาย แล้วพระคริสต์จะทรงส่องสว่างแก่ท่าน”  ~เอเฟซัส 5:9-14 THSV11

  1. เราต้องดำเนินชีวิตในความสว่างที่ในตัวเราไม่มีอะไรเป็นต้นเหตุให้คนอื่นสะดุด

“ผู้ที่รักพี่น้องของตนก็อยู่ในความสว่าง และในตัวเขานั้นไม่มีอะไรทำให้สะดุด”  ~1 ยอห์น 2:10 THSV11

  1. เราต้องไม่พูดว่าตัวเราเองอยู่ในความสว่าง ในขณะที่ยังเกลียดชังพี่น้องของตนอยู่

“ผู้ที่กล่าวว่าตนอยู่ในความสว่าง ขณะที่ยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็ยังอยู่ในความมืด”  ~1 ยอห์น 2:9 THSV11

  1. เราต้องระวัง อย่าให้ความสว่างในตัวของเรามืดลง

“ระวังให้ดี อย่าให้ความสว่างที่อยู่ในตัวท่านกลายเป็นความมืด”  ~ลูกา 11:35 THSV11

“ตาเป็นประทีปของร่างกาย เพราะฉะนั้นถ้าตาของท่านปกติ ทั้งตัวของท่านก็พลอยสว่างไปด้วย แต่ถ้าตาของท่านผิดปกติ ทั้งตัวของท่านก็พลอยมืดไปด้วย เพราะฉะนั้นถ้าความสว่างซึ่งอยู่ในตัวท่านมืดไป ความมืดนั้นจะหนาทึบสักเพียงใดหนอ” -มัทธิว 6:22-23 THSV11

  1. เราต้องขอให้พระเจ้าช่วยทำให้ใจของเราสว่างเพื่อจะเข้าใจและอธิบายพระคัมภีร์ให้คนอื่นเข้าใจ

“แล้วพระองค์ทรงช่วยให้ใจของพวกเขาสว่างเพื่อจะได้เข้าใจพระคัมภีร์” ~ลูกา 24:45 THSV11

“การอธิบายพระวจนะของพระองค์ให้ความสว่าง ทั้งให้ความเข้าใจแก่คนรู้น้อย” ~สดุดี 119:130 THSV11 

  1. เราต้องเป็นลูกของความสว่างที่รู้จักใช้ความฉลาดให้มากกว่าคนทั่วไป

“แล้วเศรษฐีก็ชมพ่อบ้านอสัตย์นั้น เพราะเขาทำด้วยความฉลาด เพราะว่าลูกของยุคนี้รู้จักใช้ความฉลาดกับคนในสมัยของพวกเขามากกว่าลูกของความสว่าง”  ~ลูกา 16:8 THSV11

                                                                -ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม: “พระคัมภีร์สอน หรือ บอกถึงเรื่องราวการประกาศเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าไว้อย่างไรบ้าง?” 

คำตอบ: “พระคัมภีร์กล่าวถึงแผ่นดินของพระเจ้าไว้ดังนี้

  1. พระเยซูคริสต์ประกาศว่าแผ่นดินสวรรค์มาถึงแล้ว และเรากับคนทั้งหลายต้องกลับใจใหม่

“จงกลับใจใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” ~มัทธิว 3:2 THSV11

  1. พระเยซูคริสต์สอนเราให้อธิษฐานขอให้แผ่นดินของพระเจ้ามาตั้งอยู่ในโลกนี้

“ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก”       ~มัทธิว 6:10 THSV11 

  1. พระเยซูคริสต์สั่งให้สาวกของพระองค์ออกไปประกาศว่าแผ่นดินของพระเจ้ามาถึงแล้ว

“จงไปพลางประกาศพลางว่า ‘แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว’” ~มัทธิว 10:7 THSV11

  1. พระเยซูคริสต์เจ้าตรัสว่า แผ่นดินของพระเจ้าหรือแผ่นดินสวรรค์จะเป็นของคนที่รู้สึกยากจนฝ่ายวิญญาณ

“คนที่ยากจนด้านจิตวิญญาณก็เป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาทั้งหลาย” ~มัทธิว 5:3 THSV11

  1. พระเยซูคริสต์เจ้าตรัสว่า แผ่นดินของพระเจ้าหรือแผ่นดินสวรรค์จะเป็นของคนที่ถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม

“คนที่ถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ก็เป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาทั้งหลาย” ~มัทธิว 5:10 THSV11 

  1. พระเยซูคริสต์เจ้าทรงกำชับให้เราแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าหรือแผ่นดินสวรรค์เหมือนดังค้นหาของล้ำค่า

“อีกประการหนึ่ง แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าที่ไปหาไข่มุกอย่างดี”  ~มัทธิว 13:45 THSV11

  1. พระเยซูคริสต์เจ้าทรงบัญชาให้เราประกาศเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าไปให้ทั่ว แล้วค่อยแยกแยะภายหลังว่าใครเชื่อ และใครไม่เชื่อ 

“อีกประการหนึ่ง แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนอวนที่ลากอยู่ในทะเล ติดปลามาทุกชนิด…” -มัทธิว 13:47 THSV11 

  1. พระเยซูคริสต์เจ้าทรงบัญชาให้เราประกาศ และเชิญชวนคนให้เข้ามาในแผ่นดินของพระเจ้า 

“แผ่นดินสวรรค์ เปรียบเสมือนกษัตริย์องค์หนึ่ง ทรงจัดงานอภิเษกสมรสให้กับโอรสของพระองค์…” ~มัทธิว 22:2 THSV11 

  1. พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเตือนเราทุกคนให้พร้อมสำหรับการมาถึงของแผ่นดินของพระเจ้า ในยามที่เราไม่คาดฝัน 

“เวลานั้น แผ่นดินสวรรค์จะเปรียบเหมือนหญิงพรหมจารีสิบคนถือตะเกียงของตน ออกไปรับเจ้าบ่าว…” ~มัทธิว 25:1 THSV11

  1. พระเยซูคริสต์เจ้าทรงหนุนใจให้เราทุกคนไม่ท้อใจในการประกาศเพราะแผ่นดินสวรรค์จะให้ผลยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน

“พระองค์ยังตรัสอุปมาอีกเรื่องหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า “แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ด เมล็ดหนึ่ง ซึ่งคนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่ของตน” ~มัทธิว 13:31 THSV11

  1. พระเยซูคริสต์เจ้าทรงท้าทายให้เราเห็นค่าของแผ่นดินของพระเจ้ามากยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ในโลกนี้

“แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้ในทุ่งนา เมื่อมีผู้พบแล้วก็กลับซ่อนเสียอีก และเพราะความยินดีจึงไปขายทุกสิ่งที่เขามีอยู่แล้วไปซื้อนานั้น” ~มัทธิว 13:44 THSV11

  1. พระเยซูคริสต์เจ้าตรัสเตือนให้ตัวเรากลับใจเหมือนเด็กๆ เพื่อเราจะเข้าสวรรค์ได้

“เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าพวกท่านไม่กลับใจและเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ก็จะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย” ~มัทธิว 18:3 THSV11

  1. พระเยซูคริสต์เจ้าตรัสบัญชาให้เราไม่ขวางคนใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กๆ ในการที่จะเข้าในแผ่นดินของ พระเจ้า

“พระเยซูตรัสว่า “จงยอมให้เด็กเล็กๆ เข้ามาเฝ้าเรา อย่าห้ามพวกเขาเลย เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของคนเช่นเด็กเหล่านั้น” ~มัทธิว 19:14 THSV11  

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม: “พระคัมภีร์สอนเรื่อการรับใช้ด้วยความกรุณาไว้อย่างไรบ้าง?”

คำตอบ : “พระคัมภีร์กล่าวถึงการรับใช้ด้วยความกรุณาไว้มากมาย แต่วันนี้จะยกเรื่องราวจากอุปมาเรื่องหนึ่งในพระคัมภีร์ตอนหนึ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงเล่าไว้ ที่ภายหลังคนมาตั้งชื่อว่า    “ชาวสะมาเรียใจดี”

เรื่องราวมีอยู่ว่า

1)มีผู้เชี่ยวชาญบัญญัติคนหนึ่ง

  • ยืนขึ้นทดสอบพระเยซู
  • ทูลถามว่า

 “ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรเพื่อจะได้รับชีวิตนิรันดร์?”

2)พระเยซูตรัสเขาตอบว่า

  • “ในธรรมบัญญัติเขียนว่าอย่างไร?
  • ท่านอ่านแล้วเข้าใจอย่างไร?”

3)ผู้เชี่ยวชาญบัญญัติคนนั้นทูลตอบว่า

**“พวกท่านจงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน

  • ด้วยสุดใจของท่าน
  • ด้วยสุดจิตของท่าน
  • ด้วยสุดกำลังของท่าน และ
  • ด้วยสุดความคิดของท่าน และ

**จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”

4)พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า

 “ท่านตอบถูกแล้ว จงไปทำอย่างนั้นแล้วจะได้ชีวิต!”

5)แต่ผู้เชี่ยวชาญบัญญัติคนนั้นต้องการจะรักษาหน้า จึงทูลพระเยซูว่า

“ใครเป็นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า?”

6)พระเยซูจึงตรัสตอบโดยเล่าเป็นอุปมาที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งว่า

  1. “มีชายคนหนึ่งลงจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองเยรีโค
  2. เขาถูกพวกโจรปล้น
  3. พวกโจรแย่งชิงเสื้อผ้าของเขา
  4. พวกโจรทุบตีเขา
  5. พวกโจรทิ้งเขาไว้ในสภาพที่เกือบจะตายแล้ว
  6. เผอิญมีปุโรหิตคนหนึ่ง  ก. เดินมาตามทางนั้น  ข. เมื่อเห็นคนนั้นแล้วก็เดินเลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง
  7. คนเลวีก็เหมือนกัน เมื่อมาถึงที่นั่น  และ  ก. เห็นแล้ว  ข. ก็เลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง
  8. แต่เมื่อชาวสะมาเรียคนหนึ่งเดินทางผ่านมาใกล้คนนั้น 
  • เห็นแล้ว
  • ก็มีใจสงสาร
  • จึงเข้าไปหาเขา
  • เอาเหล้าองุ่นกับน้ำมันเทใส่บาดแผล และ
  • เอาผ้ามาพันให้
  • แล้วให้เขาขึ้นขี่สัตว์ของตนเอง
  • พามาถึงโรงแรม และ
  • ดูแลรักษาพยาบาลเขา
  • วันรุ่งขึ้นก่อนจะไป เขาเอาเงินสองเดนาริอันให้กับเจ้าของโรงแรมบอกว่าช่วยรักษาเขาด้วย สำหรับเงินที่ต้องเสียเกินกว่านี้จะใช้ให้เมื่อกลับมา’

7)พระเยซูคริสต์จึงถามว่า

“ท่านเห็นว่าในสามคนนั้นคนไหนถือได้ว่าเป็นเพื่อนบ้านของคนที่ถูกปล้น?”

8)ผู้เชี่ยวชาญบัญญัติคนนั้นจึงทูลตอบว่า

“คือคนนั้นแหละที่แสดงความเมตตาต่อเขา”

9)พระเยซูคริสต์จึงตรัสกับเขาว่า

“ท่านจงไปทำเหมือนอย่างนั้น เช่นกัน!”  (ลูกา 10:25-37 THSV11)

“ความกรุณา” หมายความว่า  “ความเอ็นดู, ความปรารถนาจะให้ผู้อื่นพ้นทุกข์, ความเอาใจช่วยเหลือเขาในเมื่อเห็นเขาต้องภัยได้ทุกข์

ในอุปมาตอนนี้ ชาวสะมาเรียที่ปกติถูกคนยิว(ยูเดีย)รังเกียจเหยียดหยาม เห็นคนยิวคนนี้ถูกปล้นและทำร้ายร่างกาย ก็มีใจกรุณาต่อเขา มองข้ามความเป็นศัตรูทางเชื้อชาติ  ปรารถนาที่จะช่วยให้เหยื่อผู้บาดเจ็บพ้นความทุกข์ทรมาน จึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือโดยจ่ายราคาทั้งในเรื่องของ

  • เวลาที่ต้องใช้
  • งานที่ต้องรีบไปทำ
  • เงินที่ต้องจ่ายตามบิล ทั้งที่เฉพาะหน้า และที่จะตามมา

คนมีใจกรุณา จะใจเปิดกว้าง และคิดกว้างไม่ใช่พวกคิดแคบด้วยอคติมีแต่

  • ข้ออ้าง หรือ
  • ข้อแก้ตัวที่จะไม่ลงมือทำบางสิ่งบางอย่างที่จะแสดงความเมตตากรุณาต่อผู้ที่กำลังเดือดร้อน

แต่คนมีใจกรุณาจะรีบลงมือแก้ไขสถานการณ์และช่วยเหลือคนในทันทีโดยไม่ต้องใช้เหตุผล กฏเกณฑ์ ขนบธรรมเนียมประเพณี หรือหลักการ ใดๆ มาเป็นตัวอุปสรรคต่อการช่วยเหลือคนที่กำลังต้องการด่วน!

วันนี้ มีใครบ้างที่เป็นเพื่อนบ้านของเรา ที่กำลังรอคอยความกรุณาจากเราอยู่ขอ ให้วันนี้เราจะเป็นเหมือนกับชาวสะมาเรียใจดีที่พร้อม

  • จะหยุด และวางบางอย่างลง
  • จะหันกลับไปมองดูที่คนที่กำลังเดือดร้อน
  • จะลงมือรับใช้ หรือ ช่วยเหลือผู้ที่กำลังเดือดร้อนนั้นให้ทันที ด้วยใจกรุณา

หวังว่าจากนี้ไป เราจะไม่ถามคำถามเชยๆ อีกต่อไปว่า “ใครคือเพื่อนบ้านของฉัน?” ที่ฉันจะต้องแสดงความรักความกรุณาต่อเขา อีกต่อไป

…เห็นด้วยไหมครับ?

-ศจ. ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-