Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

เรื่องราวของคริสต์มาส โดย ศจ ธงชัยประดับชนานุรัตน์ (2)

คอลัมน์ :”ส ด แ ต่ เ ช้ า” ปี 2 (249)

บทเพลงของมารีย์กับคริสต์มาส!

“ความสุขเป็นของสตรีที่เชื่อว่าสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสกับเธอนั้นจะสำเร็จ”” ~ลูกา 1:45 THSV11

“Blessed is she who has believed that the Lord would fulfill his promises to her!”” ~Luke 1:45 NIV

คุณเห็นด้วยกับคำกล่าวของ Oscar Wilde หรือไม่ ที่กล่าวว่า

“อะไรที่ดูเหมือนว่าเป็นการทดลองใจที่น่าขมขื่นใจ มักเป็นพระพรที่ปลอมตัวมา!” (What seems to us bitter trials are often blessings in disguise.)

ดูเหมือนมารีย์ สาวน้อยพรหมจารี จะเชื่อเช่นนั้น ดังนั้น เมื่อทูตสวรรค์มาบอกเธอถึงพระบัญชาของพระเจ้าสำหรับแผนไถ่บาปมนุษย์ชาติ
ที่มีเธอเป็นตัวแปรสำคัญแต่เสี่ยงอันตรายยิ่งนัก เธอจึงรับบัญชาโดยไม่หวั่นไหว!

ในพระคัมภีร์เล่าเรื่องราวของมารีย์ หลังจากได้รับสารจากทูตสวรรค์กาเบรียลแล้ว ดังนี้

1.มารีย์เตรียมตัว และรีบไปยังเมืองหนึ่งในแถบภูเขาแคว้นยูเดีย

  • 1).เข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์
  • 2).กล่าวทักทายปราศรัยกับนางเอลีซาเบธ

2.นางเอลีซาเบธได้ยินคำทักทายของมารีย์ ~ทารกในครรภ์ของนางก็ดิ้น

3.นางเอลีซาเบธก็เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงร้องเสียงดังว่า

  • “1).ในบรรดาสตรีท่านได้รับพระพรมาก และ
  • 2).ทารกในครรภ์ของท่าน(ที่จะคลอดออกมา)ก็ได้รับพระพรด้วย
  • 3).ทำไมฉันถึงได้รับความโปรดปรานเช่นนี้ (ถึงเพียงนี้) คือมารดาขององค์พระผู้เป็นเจ้าของฉันมาหาฉัน
  • 4).นี่แน่ะ พอเสียงทักทายของเธอเข้าถึงหูของฉัน ทารกในครรภ์ของฉันก็ดิ้นด้วยความเปรมปรีดิ์ในทันที (พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำให้ทารกที่ยังไม่เกิดมา ตอบสนองด้วยอาการยินดี)

4.นางเอลีซาเบธจึงได้ประกาศความเชื่อสำคัญยิ่งที่ว่า

“ความสุขเป็นของสตรี ที่เชื่อว่าสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเธอนั้นจะสำเร็จ”

5.มารีย์จึงกล่าวออกมาเป็นหนึ่งใน 4 บทเพลงสรรเสริญ
(ในลูกา 1~2 คือ ลก.1:46-55;1:68-79;2:14;2:29-32)

สำหรับในบทเพลงสรรเสริญชุดแรกนี้ได้รับนามว่า

“Magnificat” ซึ่งแปลว่า “จิตวิญญาณฉันยกย่องสรรเสริญ”
(my soul magnifies the Lord) ซึ่งเรียกชื่อตามคำเริ่มต้นในพระคัมภีร์ฉบับลาตินวุลเกต) ที่ได้พรรณนาไว้ดังนี้

  • “1).จิตใจของข้าพเจ้าก็ยกย่อง (สรรเสริญ) องค์พระผู้เป็นเจ้า และ
  •  2).จิตวิญญาณของข้าพเจ้าก็เปรมปรีดิ์ (ชื่นชม) ในพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดของข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงห่วงใย (เอาพระทัยใส่) ฐานะอันต่ำต้อยของทาส (ผู้รับใช้ ) ของพระองค์ นี่แน่ะ ตั้งแต่นี้ไปคนทุกยุค (ทุกชั่วอายุ) จะเรียกข้าพเจ้าว่าผาสุก (ผู้ได้รับพร)
  •  3).เพราะว่า(องค์ทรงฤทธิ์)ผู้ทรงฤทธานุภาพ ทรงทำการใหญ่เพื่อข้าพเจ้า  ก.พระนามของพระองค์ก็บริสุทธิ์ ข.พระเมตตาของพระองค์มีแก่บรรดาผู้ยำเกรง( เกรงกลัว) พระองค์ในทุกยุคทุกสมัย

“ผู้ยำเกรงพระองค์” หมายถึง ก).ผู้ที่เคารพยำเกรงพระเจ้า ข).ผู้ที่ดำเนินชีวิตสอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้า  (ปฐก.20:11; สภษ.1:7)

พระองค์ทรงสำแดงอานุภาพ (ประกอบกิจอันยิ่งใหญ่) ด้วยพระกรของพระองค์ (“พระกร” =ภาพเปรียบเทียบถึงพระราชกิจอันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เพราะพระเจ้าเป็นพระวิญญาณ ไม่ได้มีร่างกายอย่างมนุษย์)

พระองค์ทรงทำให้ผู้ที่ผยอง (อยู่ในส่วนลึกของความคิด) ที่มีใจเย่อหยิ่ง) กระจัดกระจายไป

  • 4).พระองค์ทรงปลด/ถอดเจ้านายออกจากบัลลังก์
  • 5).พระองค์ทรงยกผู้น้อย(ผู้ต่ำต้อย)ขึ้น
  • 6).พระองค์ .ทรงให้คนที่อดอยากหิวโหย (ไม่ว่าจะด้านร่างกายหรือ จิตวิญญาณ~มธ.5:6;ยน.6:35 ) อิ่มด้วยสิ่งดี ข.ทรงส่ง/ทำให้คนมั่งมีไปมือเปล่า
  • 7).พระองค์ทรงช่วยอิสราเอลข้าทาส (ผู้รับใช้) ของพระองค์
  • 8).พระองค์ทรงจดจำพระกรุณาของพระองค์ (ไม่ลืมที่จะเมตตา)
    ก.ต่ออับราฮัมและ ข.ต่อวงศ์วานพงศ์พันธุ์ของท่านตลอดไปเป็นนิตย์ ตามที่พระองค์ตรัสไว้กับบรรพบุรุษของเรา”

บทเพลงนี้ จบลงด้วยความเชื่อมั่นว่า พระเจ้าจะรักษาพระสัญญาที่ ประทานแก่ประชากรของพระองค์ (ปฐก.22:16~18)

6.มารีย์

  • 1).จึงพักอาศัยอยู่กับนางเอลีซาเบธประมาณสามเดือน (“มารีย์อยู่กับเอลีซาเบธอย่างต่อเนื่องมา จนกระทั่งยอห์นเกิด)
  • 2).จึงกลับไปยังบ้านของตน” (“มารีย์จึงกลับไปบ้านที่นาซาเร็ธ)
    (ลูกา 1:39-56)

ใช่ครับ มารีย์เป็นผู้มีสำคัญยิ่งในเหตุการณ์คริสต์มาสแรกในโลกนี้
และจากบทเพลงของมารีย์ เราได้เรียนรู้ว่า

  1. เธอสำแดงความซื่อสัตย์ภักดีต่อพระเจ้าอย่างสุดๆ
  2. เธอแสดงความถ่อมใจอย่างยิ่งต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง
  3. เธอพิสูจน์ความเชื่อของเธอด้วยการเชื่อฟังและวางใจพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง
  4. เธอเลือกที่จะเดินหน้า ทำตามพระบัญชา นมัสการ และชื่นชมยินดีในพระเจ้าทั้งๆที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสิ่งที่รอเธออยู่ข้างหน้าในอนาคต
  5. บุตรที่จะเกิดมา ผ่านทางเธอ

ชีวิตของมารีย์ จึงเป็นตัวอย่างที่ดีและชัดเจนของคนที่เชื่อ และมีความสุขจากการได้ทำในสิ่งพระเจ้ามอบหมายให้ทำ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เขาจะชอบหรือไม่ก็ตาม

เหมือนดังที่ Johann Wolfgang von Goethe ที่กล่าวว่า 

“ไม่ใช่การได้ทำในสิ่งที่เราชอบ แต่เป็นการชอบในสิ่งที่เราต้องทำ ที่ทำให้ชีวิตของเรามีความสุข!”

(It is not doing the thing we like to do, but liking the thing we have to do, that makes life blessed.)

พี่น้องที่รัก

คุณมีความเชื่อ เชื่อฟัง และวางใจพระเจ้าแบบมารีย์ แล้วหรือไม่?
แล้วคุณจะทำอะไรให้คริสต์มาสในปีนี้ของคุณ มีความหมายและส่งผลกระทบต่อ

  • 1).คริสตจักร
  • 2).ชุมชน และ
  • 3).สังคมนี้ ที่พิเศษและแตกต่างจากที่ปีที่ผ่านมา?

ขอให้ความสุขมีแก่คุณ เมื่อคุณเชื่อว่าทุกสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส 

  • 1).กับมารีย์ และ
  • 2).กับคุณนั้นจะสำเร็จเป็นจริง ในชีวิตและการรับใช้ของคุณ!

…จะอาเมนไหมครับ?

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (6ธันวาคม 2022) 

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

เรื่องราวของคริสต์มาส โดย ศจ ธงชัยประดับชนานุรัตน์ (1)

คอลัมน์ :”ส ด แ ต่ เ ช้ า” ปี 2 (248)

โยเซฟ กับวันคริสต์มาส!

“เมื่อโยเซฟยังคิดเรื่องนี้อยู่ ก็มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า “โยเซฟบุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของท่านเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิในครรภ์ของเธอเป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ เธอจะให้พระกำเนิดบุตรชาย แล้วจงเรียกนามท่านว่า เยซู เพราะว่าท่านจะทรงช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากบาปของพวกเขา””  ~มัทธิว 1:20-21 THSV11

Criss Jami กล่าวไว้ดีว่า

“การท้าทายที่ยิ่งใหญ่หลังจากที่ประสบความสำเร็จมาก็คือ การปิดปากไม่พูดเรื่องนั้นออกมา!” (The biggest challenge after success is shutting up about it.)

ผู้ชายคนหนึ่งนามว่า โยเซฟ คือ ชายผู้ประสบความสำเร็จโดยไม่พูดอะไรออกมา และถ้าปราศจากเขา เรื่องราวของวันคริสต์มาส ก็คงยังไม่เกิดขึ้น!

เรื่องราวของวันคริสตสมภพ หรือเรื่องการประสูติของพระเยซูคริสต์ เกี่ยวข้องกับโยเซฟ ผู้เป็นเชื้อสายห่างๆของกษัตริย์ดาวิดอย่างไร?

พระคริสตธรรมคัมภร์ ได้เล่าเรื่องราวไว้ดังนี้

1. มารีย์ผู้เป็นมารดาของพระเยซูนั้น

  • 1).เดิมโยเซฟได้สู่ขอหมั้นกันไว้แล้ว = เป็นคู่หมั้นของโยเซฟ

2. ก่อนที่จะได้อยู่กินเป็นสามีภรรยาด้วยกัน ก็ปรากฏว่า มารีย์มีครรภ์แล้วด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เนื่องจาก

  • 2).โยเซฟคู่หมั้นของเธอเป็นคนชอบธรรม = เป็นคนดีมีคุณธรรม ไม่ต้องการจะแพร่งพรายความเป็นไปในเรื่องนี้ของเธอ ให้ต้องอับอายต่อหน้าธารกำนัล
  • 3).จึงคิดต้องการจะถอนหมั้นเสียลับๆ อย่างเงียบๆ

3. โยเซฟขณะที่ยังคิดจะทำเช่นนั้นในเรื่องนี้อยู่ ก็มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่โยเซฟในความฝัน และกล่าวว่า

“โยเซฟบุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของท่านเลยเพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิในครรภ์ของเธอ นั้นเป็นมาโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ เธอจะให้พระกำเนิดบุตรชาย จงตั้งชื่อและเรียกนามท่านว่าเยซู เพราะว่าท่านจะทรงช่วยประชากร (ชนชาติ) ของท่านให้รอดพ้นจากบาปของพวกเขา”

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จเป็นจริงตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะซึ่งกล่าวว่า “นี่แน่ะ หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะ  1).ตั้งครรภ์ และ  2).คลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่าอิมมานูเอล” (แปลว่า พระเจ้าสถิตกับเรา)

4. โยเซฟตื่นขึ้นก็ทำตามคำซึ่งทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าสั่งไว้นั้น คือได้รับมารีย์มาเป็นภรรยา แต่ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กับเธอจนกระทั่งมารีย์ให้พระกำเนิดบุตรชายแล้ว

5. โยเซฟตั้งชื่อ และเรียกนามของบุตรนั้นว่า เยซู (มัทธิว 1:18-25 )

น่าประทับใจในชีวิตของโยเซฟ ที่พระเจ้าทรงใช้เขาในแผนการไถ่บาปมวลมนุษย์ชาติอันยิ่งใหญ่นี้ โดยที่ เขาทำงานตามบทบาทของเขาได้ดี  อย่างเงียบๆ

  • 1).ในการปกป้องมารีย์ ผู้รับบทบาทที่เสี่ยงกว่า คือ ตั้งครรภ์เพื่อคลอดพระเยซูคริสต์ ในขณะที่เธอยังไม่ได้แต่งงานกับเขาอย่างสมบูรณ์
  • 2).ในการร่วมเลี้ยงดูพระเยซูคริสต์จนเติบใหญ่

เขาทำงานตามที่พระเจ้าทรงบัญชาด้วยความถ่อมใจ และแม้จะอยู่ในบทบาทสำคัญมาก แต่พระคัมภีร์ไม่มีการบันทึกถึงคำพูดของเขาแม้แต่คำเดียว

**ช่างน่าอัศจรรย์ใจ ที่เขารับใช้พระเจ้าได้ดี โดยไม่ต้องพูดอะไรเลย

  • 3).เขาทำงานรับใช้ ที่ยิ่งใหญ่นี้ โดยที่ไม่ได้ถูกเอ่ยนามในพระธรรม มาระโก และพระธรรมที่เหลือในพระคัมภีร์ใหม่เลย(นอกจากในมัทธิว ลูกา และยอห์น)
  • 4).เขาทำงานที่จำเป็นของเขา ตั้งแต่ พระเยซูคริสต์บังเกิด จนถึงตอนที่พระองค์ อายุ 12ปี ในพระวิหาร และหลังจากเสร็จสิ้นหน้าที่ เขาก็ออกจากเรื่องราวในพระคัมภีร์ไปอย่างเงียบๆ(โดยไม่มีคำอธิบายใดๆ) ในขณะที่มารีย์ ยังคงปรากฏตัวในวาระโอกาสต่างๆร่วมกับพระเยซูคริสต์

6. เขาได้รับการกล่าวถึง นอกพระคัมภีร์ที่เล่าๆสืบกันมา ว่า เขาเป็นชายที่มีอายุมากแล้ว อาจเคยแต่งงานและเป็นพ่อม่าย ซึ่งภรรยาเสียชีวิต และมีลูกติดจากภรรยาเก่าหลายคน ก่อนที่เขาจะรับมารีย์มาเป็นภรรยา เพื่อปกป้องเธอ โดยไม่ได้หวังจะมีครอบครัวอย่างจริงๆจังๆอีก

แต่ไม่ว่า เรื่องของโยเซฟ ผู้นี้ จะเป็นอย่างไร แต่ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ

  • เขามีส่วนสำคัญในแผนการของพระเจ้า เป็นอย่างยิ่ง!
  • เขาทำหน้าที่ของผู้ชายคนหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์ในฐานะ 1.สามี   2.บิดา  3.ผู้รับใช้ของพระเจ้า

โดย

  •  1).ไม่ต้องพูดอะไรมากเลย
  •  2).ไม่ต้องการชื่อเสียง เกียรติยศ หรือผลประโยชน์อะไรเป็นการแลกเปลี่ยน หรือ เป็นการตอบแทน

โยเซฟ คือ ผู้ชาย ที่นับว่าเป็นสามีและพ่อตัวอย่างที่ถือคติว่า

“จงซื่อสัตย์ต่อตัวเองในยามอยู่ในที่มืด (ที่ไม่มีใครเห็น) และจงถ่อมใจในยามที่อยู่ใต้แสงสว่างเจิดจ้า (ท่ามกลางความสนใจของคนมากมาย)!” (Stay true in the dark and humble in the spotlight.” – Harold B. Lee

วันนี้ คุณพร้อมที่จะ รับบทบาทเช่นนี้ หรือคล้ายคลึงกัน ด้วยท่าทีและแรงจูงใจที่น่ายกย่องสรรเสริญเช่นนี้เมื่อพระเจ้าทรงบัญชาคุณหรือไม่?

…ช่วยตอบที…

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (5 ธันวาคม 2022)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัยประดับชนานุรัตน์

คำถาม: “พระคัมภีร์สอนเรื่องการฟังพระวจนะและทำตามไว้อย่างไรบ้าง?”

ตอบ:  ”พระคัมภีร์สอนเรื่องการฟังพระวจนะของพระเจ้าและทำตามไว้ดังนี้

  1. เราต้องฟังและทำตามพระบัญญัติ กฎเกณฑ์และกฎหมายที่พระเจ้าบัญชาหรือสอนเรา 
  1. เราต้องสอนลูกหลานของเราให้ฟังและทำตามนั้นเช่นกัน 
  1. เราต้องฟังและรักพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจเป็นบัญญัติที่ไม่ข้อยกเว้น

“ต่อไปนี้เป็นพระบัญญัติ กฎเกณฑ์และกฎหมาย ซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายทรงบัญชาให้สอนท่าน เพื่อท่านจะได้ทำตามในแผ่นดินซึ่งท่านจะข้ามไปยึดครองนั้น เพื่อท่านจะยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านโดยรักษากฎเกณฑ์และพระบัญญัติทั้งสิ้นของพระองค์ ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านและบุตรหลานของท่านตลอดชีวิตของท่าน เพื่อว่าวันคืนของท่านจะยืนยาว โอ คนอิสราเอล จงฟังและจงระวังที่จะทำตามเพื่อจะเป็นการดีต่อท่าน และเพื่อท่านทั้งหลายจะทวียิ่งขึ้นในแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านได้ทรงสัญญากับท่าน  “โอ คนอิสราเอล จงฟังเถิด พระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์เท่านั้นทรงเป็นพระเจ้าของเรา ท่านจงรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจและสุดกำลังของท่าน และจงให้ถ้อยคำเหล่านี้ที่ข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้อยู่ในใจของท่าน และท่านจงสอนถ้อยคำเหล่านั้นแก่บุตรหลานของท่าน และจงพูดถึงถ้อยคำเหล่านั้นเมื่อท่านนั่งอยู่ในบ้าน เดินอยู่ตามทาง นอนลงหรือลุกขึ้น จงเอาถ้อยคำเหล่านี้ผูกไว้ที่มือของท่านเป็นหมายสำคัญ และคาดไว้ที่หน้าผากของท่านเป็นสัญลักษณ์ และจงเขียนถ้อยคำเหล่านี้ไว้ที่เสาประตูบ้าน และที่ประตูของท่าน” ~เฉลยธรรมบัญญัติ 6:1-9 THSV11

  1. เราต้องเปิดใจรับฟังคำสั่งสอนของพระเจ้าโดยไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ

“จงเปิดใจรับคำสั่งสอน และจงเงี่ยหูฟังถ้อยคำแห่งความรู้” ~สุภาษิต 23:12 THSV11

  1. เราต้องฟังคำของพระเจ้าไม่ว่าจะมาจากบุคคลใด ด้วยความถ่อมใจไม่ยโส

“จงฟังและตั้งใจฟัง อย่ายโสไปเลย เพราะพระยาห์เวห์ได้ตรัสแล้ว”  ~เยเรมีย์ 13:15 THSV11 

  1. เราต้องใส่ใจฟังคำเตือนของพระเจ้า และรีบกลับใจใหม่แก้ไขให้ดีขึ้น

“เพราะฉะนั้น ผู้เลี้ยงแกะทั้งหลาย จงฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์”  ~เอเสเคียล 34:7 THSV11

“เพราะฉะนั้น ผู้เลี้ยงแกะทั้งหลาย จงฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า เรามีชีวิตอยู่แน่นอนอย่างไร เพราะว่า แกะของเราได้กลายเป็นเหยื่อ และแกะของเรากลายเป็นอาหารของสัตว์ป่าทั้งหมดเพราะไม่มีผู้เลี้ยงแกะ และเพราะพวกผู้เลี้ยงแกะของเราไม่ได้ค้นหาแกะของเรา แต่ผู้เลี้ยงแกะพวกนั้นเลี้ยงตัวเขาเอง และไม่ได้เลี้ยงแกะของเรา เพราะฉะนั้น ผู้เลี้ยงแกะทั้งหลาย จงฟังพระวจนะของพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า นี่แน่ะ เราเป็นปฏิปักษ์กับพวกผู้เลี้ยงแกะ และเราจะเรียกร้องเอาแกะของเราจากมือพวกเขา และให้เขาหยุดเลี้ยงแกะ พวกผู้เลี้ยงแกะจะไม่ได้เลี้ยงตัวเองอีกต่อไป เราจะช่วยแกะของเราให้พ้นจากปากของพวกเขา เพื่อไม่ให้แกะเป็นอาหารของเขา” ~เอเสเคียล 34:7-10 THSV11

  1. เราต้องเข้าใกล้และฟังทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัส และสอนคนอื่นๆ ให้ระวังและทำตาม

“ท่านจงเข้าไปใกล้ และฟังทุกสิ่งซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราตรัส และนำพระวจนะที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราตรัสแก่ท่านนั้นมากล่าวแก่เรา และเราจะฟังและทำตาม

…’ โอ อยากให้พวกเขามีใจเช่นนี้อยู่เสมอ คือใจที่ยำเกรงเราและรักษาบัญญัติทั้งสิ้นของเรา เพื่อจะเป็นการดีต่อพวกเขาตลอดชั่วลูกหลานของเขาเป็นนิตย์ แต่ตัวเจ้า จงยืนอยู่ที่นี่ใกล้เรา และเราจะบอกบัญญัติและกฎเกณฑ์และกฎหมายทั้งสิ้นแก่เจ้า ซึ่งเจ้าจะต้องสอนเขาทั้งหลายเพื่อเขาจะทำตามในแผ่นดินซึ่งเราให้เขายึดครองนั้น’ ฉะนั้นท่านทั้งหลายจงระวังที่จะทำตามที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้ทรงบัญชานั้น อย่าหันไปทางขวาหรือทางซ้ายเลย จงดำเนินตามวิถีทางทั้งสิ้นซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านได้ทรงบัญชาท่าน เพื่อท่านจะมีชีวิตอยู่และเพื่อจะเป็นการดีต่อท่าน และท่านจะมีชีวิตยืนนานอยู่ในแผ่นดินซึ่งท่านจะยึดครองนั้น” ~เฉลยธรรมบัญญัติ 5:27, 29, 31-33 THSV11

  1. เราต้องย้ำให้ตัวเราเองและคนอื่นๆ ไวในการฟัง พระเจ้าและคนอื่นๆ

“พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงเข้าใจในเรื่องนี้ คือให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ” ~ยากอบ 1:19 THSV11

  1. เราต้องไม่เป็นผู้ฟังเท่านั้น แต่เราต้องกระทำตามนั้นอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

“แต่จงเป็นผู้ประพฤติตามพระวจนะ ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ฟังเท่านั้น มิฉะนั้นจะเป็นการหลอกตัวเอง” ~ยากอบ 1:22 THSV11

                                                                                        

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม:  “พระคัมภีร์สอนอะไรบ้างเกี่ยวกับพระทัยของพระเจ้า?”

คำตอบ:  ”พระคัมภีร์ กล่าวถึงเริ่องพระทัยของพระเจ้าไว้ดังนี้

  1. พระเจ้าชอบพระทัยที่จะให้เรารู้ความลำลึกแห่งพระประสงค์และพระทัยของพระองค์

“และในพระคริสต์นั้น เราก็ได้รับการทรงเลือกด้วย คือถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าตามพระเจตนารมณ์ของพระเจ้าผู้ทรงทำกิจทุกอย่างตามพระดำริแห่งพระทัยของพระองค์”  ~เอเฟซัส 1:11 THSV11

“พระเจ้าโปรดให้เรารู้ความล้ำลึกแห่งพระประสงค์ของพระองค์ตามความชอบพระทัยของพระองค์ที่ทรงดำริไว้แล้วในพระคริสต์” ~เอเฟซัส 1:9 THSV11

  1. พระเจ้ามีพระทัยเมตตาต่อพวกเราที่อยู่ในความมืดและในเงาของความมรณา

“โดยพระทัยเมตตาของพระเจ้าของเรา แสงอรุณจากเบื้องสูงจึงมาเยี่ยมเยียนเรา ส่องสว่างแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในความมืดและในเงาของความมรณา เพื่อจะนำเท้าของเราไปในทางสันติสุข”” ~ลูกา 1:78-79 THSV11

  1. พระเจ้ามีพระทัยกว้างขวางพร้อมประทานสติปัญญาให้แก่ผู้ที่ทูลขอจากพระองค์

“แต่ถ้าใครในพวกท่านขาดสติปัญญา ให้คนนั้นทูลขอจากพระเจ้าผู้ประทานให้กับทุกคนด้วยพระทัยกว้างขวางและไม่ทรงตำหนิ แล้วเขาก็จะได้รับตามที่ทูลขอ”  ~ยากอบ 1:5 THSV11

  1. พระเจ้าพอพระทัยเมื่อเราทำความดีและแบ่งปันให้แก่กันและกัน

“อย่าละเลยที่จะทำความดี และแบ่งปันข้าวของซึ่งกันและกัน เพราะเครื่องบูชาอย่างนั้นเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า”  ~ฮีบรู 13:16 THSV11

  1. พระเจ้าทรงแต่งตั้งอวัยวะแต่ละอวัยวะตามชอบพระทัยพระองค์

“แต่พระเจ้าทรงตั้งอวัยวะแต่ละอวัยวะไว้ในร่างกายตามชอบพระทัยของพระองค์” ~1 โครินธ์ 12:18 THSV11 

  1. เราควรถวายตัวของเราเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า

“ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า  ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์  เพื่อเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิต และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่าน” ~โรม 12:1 THSV11

  1. เราต้องระวังไม่กระทำสิ่งใดที่ทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัย

“และคนที่อยู่ในเนื้อหนัง จะเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าก็ไม่ได้” ~โรม 8:8 THSV11 

“เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นอย่างนั้นก็ไม่พอพระทัย ตรัสกับพวกสาวกว่า “จงยอมให้เด็กเล็กๆ เข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้าเป็นของคนอย่างพวกเขา” ~มาระโก 10:14 THSV11 

“แต่ถึงกระนั้นก็ดีมีคนส่วนมากในพวกนั้นที่พระเจ้าไม่พอพระทัย  เราทราบได้จากที่เขาล้มตายกันเกลื่อนกลาดในถิ่นทุรกันดาร” ~1 โครินธ์ 10:5 THSV11 

  1. เราควรรู้ว่าคนที่กระทำตามพระทัยของพระเจ้าจะเป็นพี่น้องของพระเยซูคริสต์

“คนใดที่ทำตามพระทัยของพระเจ้า คนนั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา”” ~มาระโก 3:35 THSV11 

  1. เราควรขอให้พระเจ้าทรงสอนเราให้ทำตามพระทัยของพระองค์

“ขอทรงสอนให้ข้าพระองค์ทำตามพระทัยของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระวิญญาณประเสริฐของพระองค์ ทรงนำข้าพระองค์ไปตามทางราบเรียบ” ~สดุดี 143:10 THSV11 

  1. เราควรยินดีทำตามพระทัยของพระเจ้า และตามธรรมบัญญัติที่อยู่ในใจของเรา

“ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยินดีทำตามพระทัยพระองค์ ธรรมบัญญัติของพระองค์อยู่ในจิตใจของข้าพระองค์”” ~สดุดี 40:8 THSV11

  1. เราควรให้พระเจ้ากระทำการอยู่ภายใน ให้เรามีความประสงค์ และความสามารถทำตามชอบพระทัยของพระองค์

“เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงทำการอยู่ภายในพวกท่าน ให้ท่านมีความประสงค์และมีความสามารถที่จะทำตามชอบพระทัยของพระองค์” ~ฟีลิปปี 2:13 THSV11

  1. พระเจ้าจะไม่ทอดทิ้งเรา เมื่อเราทำตามชอบพระทัยพระองค์

 “และพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาก็สถิตอยู่กับเรา พระองค์ไม่ได้ทรงทิ้งเราไว้ตามลำพัง เพราะว่าเราทำตามชอบพระทัยพระองค์เสมอ” ~ยอห์น 8:29 THSV11

  1. เราควรขอให้พระเจ้าพระบิดาทำให้เราเพียบพร้อมที่จะเกิดผล ตามพระทัยของพระองค์

“ทรงให้พวกท่านเพียบพร้อมด้วยสิ่งดีทุกอย่าง เพื่อที่จะทำตามพระทัยของพระองค์โดยทรงทำงานในเรา ให้เกิดผลเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ทางพระเยซูคริสต์ ขอพระสิริจงมีแด่พระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน” ~ฮีบรู 13:21 THSV11 

  1. เราควรมีความทรหดอดทน เพื่อจะสามารถทำตามพระทัยของพระบิดาได้

“ท่านทั้งหลายจำเป็นต้องมีความทรหดอดทน เพื่อท่านจะสามารถทำตามพระทัยของพระเจ้าได้ แล้วท่านก็จะได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้นั้น” ~ฮีบรู 10:36 THSV11

  1. เราต้องพร้อมทำสิ่งที่เป็นไปตามพระทัยของพระเจ้าพระบิดา

“เมื่อท่านไม่ยอมฟังคำเกลี้ยกล่อม เราจึงหยุดพูดและกล่าวว่า “ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระเจ้าเถิด”” กิจการ 21:14 THSV11

“แต่ลาพวกเขาไปโดยกล่าวว่า  “ถ้าเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ข้าพเจ้าจะกลับมาหาพวกท่านอีก” แล้วเปาโลก็ลงเรือแล่นออกจากเมืองเอเฟซัส”  ~กิจการ 18:21 THSV11

  1. เราต้องรู้ไว้ว่า หากเราต้องทนทุกข์ยากเพราะทำดี นั่นเป็นสิ่งพระเจ้าทรงพอพระทัย

“เพราะจะเป็นความดีความชอบอย่างไร ถ้าพวกท่านสู้ทนเมื่อถูกเฆี่ยนเพราะการทำชั่วนั้น? แต่ถ้าพวกท่านทำดีและต้องทนทุกข์ลำบาก สิ่งนี้ก็จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า” ~1 เปโตร 2:20 THSV11

  1. เราต้องตระหนักไว้เสมอว่า ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว เราจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าไม่ได้เลย

“แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะไม่เป็นที่พอพระทัยเลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้านั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์” ~ฮีบรู 11:6 THSV11

  1. เราต้องรู้ว่า พระเยซูคริสต์ถือว่า คนที่ทำตามพระทัยพระบิดา ก็คือ พี่น้องชายหญิงของพระองค์

“เพราะว่าใครก็ตามที่ทำตามพระทัยพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา”” ~มัทธิว 12:50 THSV11

  1. เราต้องดำเนินชีวิตอย่างที่พระเจ้าพอพระทัย ให้ดียิ่งๆ ขึ้นอีก

“พี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดนี้ เนื่องจากเราได้สอนท่านถึงวิธีดำเนินชีวิตซึ่งจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า และท่านดำเนินอย่างนั้นอยู่แล้ว เราจึงขอวิงวอนและเตือนสติท่านในพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า จงดำเนินให้ดียิ่งขึ้นอีก” ~1 เธสะโลนิกา 4:1 THSV11

  1. เราต้องปรนนิบัติพระคริสต์ในลักษณะที่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าและที่มนุษย์รับรอง

“คนที่ปรนนิบัติพระคริสต์ในลักษณะนี้ ก็เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า และเป็นที่รับรองของมนุษย์ด้วย เหตุฉะนั้นให้เรามุ่งประพฤติในสิ่งซึ่งทำให้เกิดความสงบสุขและความเจริญแก่กันและกัน” ~โรม 14:18-19 THSV11

  1. เราควรตั้งเป้าที่จะเป็นคนที่พระเจ้าพอพระทัย

“ฉะนั้นเราตั้งเป้าว่าจะอาศัยอยู่ในกายนี้ก็ดีหรือจะจากไปก็ดี  เราก็จะเป็นคนที่พระเจ้าพอพระทัย” ~ 2 โครินธ์ 5:9 THSV11

  1. เราควร ทราบว่า คนที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่ตลอดไป

“และโลกกับสิ่งยั่วยวนของโลกกำลังผ่านพ้นไป แต่คนที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์” ~1 ยอห์น 2:17 THSV11

  1. พระเจ้าจะประทานสิ่งดีๆให้แก่คนที่พระองค์พอพระทัย

“เพราะว่าพระเจ้าประทานสติปัญญา ความรู้ และความยินดีให้แก่คนที่พระองค์พอพระทัย แต่ส่วนคนบาปพระองค์ประทานภารกิจที่ต้องเก็บเกี่ยวและสะสม เพื่อให้แก่ผู้ที่พระเจ้าพอพระทัย นี่ก็อนิจจังด้วยคือ กินลมกินแล้ง” ~ปัญญาจารย์ 2:26 THSV11 

  1. เราต้องประกาศข่าวประเสริฐ ให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าไม่ใช่เพื่อให้มนุษย์พอใจเท่านั้น

 “แต่ว่าพระเจ้าทรงเห็นชอบที่จะมอบข่าวประเสริฐไว้กับเรา เราจึงประกาศไป ไม่ใช่เพื่อให้เป็นที่พอใจของมนุษย์ แต่ให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ผู้ทรงชันสูตรใจเรา” ~1 เธสะโลนิกา 2:4 THSV11                                                                                            

 -ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

ถาม : “ พระคัมภีร์กล่าวอะไรบ้าง เกี่ยวกับการที่พระเจ้าและพระเยซูทรงเรียกและเชิญชวนเราให้ไปหาพระองค์?”

ตอบ: “พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องการเรียกและการเชิญชวนคนทั้งหลายให้เข้าหาพระองค์ไว้ดังนี้:

  1. พระเจ้าทรงสร้างและทรงเรียกเราให้เป็นของพระองค์

“แต่บัดนี้ ยาโคบเอ๋ย พระยาห์เวห์ผู้ทรงสร้างท่าน อิสราเอลเอ๋ย พระองค์ผู้ทรงปั้นท่านตรัสดังนี้ว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเราได้ไถ่เจ้าแล้ว เราได้เรียกเจ้าตามชื่อ เจ้าเป็นของเรา” ~อิสยาห์ 43:1 THSV11

  1. พระเจ้าทรงเรียกเรา ให้เป็นแสงสว่างแก่บรรดาประชาชาติ

“เราคือยาห์เวห์ เราเรียกเจ้ามาด้วยความชอบธรรม เราฉวยมือเจ้าและรักษาเจ้าไว้ เราให้เจ้าเป็นเหมือนพันธสัญญาแก่มนุษยชาติ และเป็นความสว่างแก่บรรดาประชาชาติ” ~อิสยาห์ 42:6 THSV11

  1. พระเจ้ายังคงเรียกเรากลับมาหาพระองค์ แม้เราจะทำผิดบาปต่อพระองค์

“ถ้าพวกเจ้ากลับมาหาเรา และรักษาบัญญัติของเรา และประพฤติตาม ถึงแม้ว่าพวกเจ้ากระจัดกระจายไปอยู่สุดปลายฟ้า เราจะรวบรวมพวกเจ้ามาจากที่นั่น และนำพวกเจ้ามายังสถานที่ซึ่งเราได้เลือกไว้ เพื่อทำให้นามของเราดำรงอยู่ที่นั่น’” ~เนหะมีย์ 1:9 THSV11

  1. พระเจ้าทรงพยายามโน้มจิตใจเราให้กลับมาหาพระองค์

“แต่ขอทรงโน้มจิตใจของพวกเราให้มาหาพระองค์ เพื่อดำเนินในทางทั้งสิ้นของพระองค์ และรักษาพระบัญญัติ กฎเกณฑ์ และกฎหมายของพระองค์ ซึ่งทรงบัญญัติไว้แก่บรรพบุรุษของเรา” ~1 พงศ์กษัตริย์ 8:58 THSV11

  1. พระเจ้าอาจจำเป็นต้องตีสอนเรา เพื่อให้เรากลับมาหาพระองค์

“เราเองเป็นผู้ให้พวกเจ้าอดอยากในทุกเมือง และให้เจ้าขาดแคลนอาหารในทุกแห่ง กระนั้นพวกเจ้าก็ยังไม่กลับมาหาเรา” พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ” ~อาโมส 4:6 THSV11

“พระยาห์เวห์ตรัสว่า เราได้โจมตีพวกเจ้าและผลงานทุกอย่างที่มือของพวกเจ้าทำด้วยการทำให้ข้าวม้านและขึ้นรา และด้วยลูกเห็บ แต่เจ้าทั้งหลายไม่มาหาเรา” ~ฮักกัย 2:17 THSV11

  1. พระเยซูคริสต์เสด็จมาเรียกเราให้ติดตามพระองค์เช่นกัน

“พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “จงตามเรามา เราจะตั้งพวกท่านให้เป็นผู้หาคนเหมือนหาปลา”” ~มาระโก 1:17 THSV11

  1. พระเยซูคริสต์ทรงเชิญชวนทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักให้มาหาพระองค์

“บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา”” ~มัทธิว 11:28-30 THSV11

  1. พระเยซูคริสต์จะไม่ทอดทิ้ง หรือขับไล่คนที่มาหาพระองค์เลยและจะให้เขาเป็นขึ้นจากตายด้วย

“สารพัดที่พระบิดาประทานแก่เราจะมาหาเรา และคนที่มาหาเรา เราจะไม่ขับไล่เลย เพราะว่าเราลงมาจากสวรรค์ ไม่ใช่เพื่อทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่เพื่อทำตามพระประสงค์ของผู้ทรงใช้เรามา และพระประสงค์ของผู้ทรงใช้เรามานั้นก็คือ ให้เรารักษาทุกสิ่งที่พระองค์ทรงมอบไว้กับเรา ไม่ให้หายไปสักสิ่งเดียว แต่ทำให้เป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ที่จะให้ทุกคนที่เห็นพระบุตรและวางใจพระองค์มีชีวิตนิรันดร์ และเราเองจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย”” ~ยอห์น 6:37-40 THSV11

“เราจะไม่ละทิ้งพวกท่านไว้ให้เป็นลูกกำพร้า เราจะมาหาท่าน” ~ยอห์น 14:18 THSV11

  1. เราควรจะยอมรับการทรงเรียกของพระเยซูคริสต์ อย่าปฏิเสธพระองค์เลย

“พวกท่านค้นดูในพระคัมภีร์เพราะท่านคิดว่าในนั้นมีชีวิตนิรันดร์ และพระคัมภีร์นั้นเองเป็นพยานให้กับเรา แต่พวกท่านก็ยังไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้ชีวิต เรามาในพระนามพระบิดาของเราและพวกท่านไม่ยอมรับเรา ถ้าคนอื่นมาในนามของเขาเอง พวกท่านก็จะรับคนนั้น” ~ยอห์น 5:39-40, 43 THSV11

  1. เราควรรับการทรงเรียก และการแต่งตั้งให้เป็นผู้จับคนดุจจับปลาเพื่อพระคริสต์

“พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “จงตามเรามา เราจะตั้งพวกท่านให้เป็นผู้หาคนเหมือนหาปลา”” ~มาระโก 1:17 THSV11

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม : “ พระคัมภีร์สอนอะไรบ้างเกี่ยวกับ การบังคับตน?”

คำตอบ:  “พระคัมภีร์สอนบทเรียนเกี่ยวกับการบังคับตนไว้ดังนี้

  1. พระเจ้าประทานการบังคับตน ให้เป็นหนึ่งในท่ามกลางผลของพระวิญญาณ

“ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี  ความซื่อสัตย์ ความสุภาพอ่อนโยน การรู้จักบังคับตน  เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย” ~กาลาเทีย 5:22-23 THSV11

  1. พระเจ้าประทานใจที่ประกอบด้วยฤทธิ์ ความรัก และการบังคับตนให้แก่เรา

“เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ประทานใจที่ขลาดกลัวแก่เรา แต่ประทานใจที่ประกอบด้วยฤทธานุภาพ ความรัก และการบังคับตนเองแก่เรา” ~2 ทิโมธี 1:7 THSV11

  1. พระวจนะของพระเจ้ากำชับให้เรารู้จักบังคับตัวบังคับใจของเราแต่ละคน

“ให้ท่านทุกคนรู้จักบังคับร่างกายของตนในทางบริสุทธิ์ และในทางที่มีเกียรติ” ~1 เธสะโลนิกา 4:4 THSV11

  1. พระวจนะของพระเจ้าเตือนเราถึงอันตรายจากการไม่ควบคุมตัวเอง

“คนที่ควบคุมตนเองไม่ได้ ก็เหมือนเมืองที่ถูกทำลายและไม่มีกำแพง” ~สุภาษิต 25:28 THSV11

  1. พระวจนะของพระเจ้าแนะนำว่า หากเราควบคุมตัวเองไม่ไหว ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็ให้แก้ไขให้ถูกต้องตามหลักการของพระคัมภีร์

“แต่ถ้าควบคุมตัวไม่อยู่ ก็จงแต่งงานเสียเถิด เพราะว่าแต่งงานเสียก็ดีกว่ามีใจเร่าร้อนด้วยกามราคะ” ~1 โครินธ์ 7:9 THSV11

  1. พระวจนะของพระเจ้าสอนให้เราเอาความทรหดอดทนเพิ่มการควบคุมตัวเอง

“เอาการควบคุมตัวเองเพิ่มความรู้ เอาความทรหดอดทนเพิ่มการควบคุมตัวเอง และเอาความยำเกรงพระเจ้าเพิ่มความทรหดอดทน”  ~2 เปโตร 1:6 THSV11

  1. พระวจนะของพระเจ้าเตือนสติให้เราระวังระไวและควบคุมตัวเองจากการโจมตีของมาร

“จงควบคุมตัวเอง จงระวังระไวให้ดี ศัตรูของพวกท่านคือมาร ดุจสิงโตคำรามเดินวนเวียนเที่ยวเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้” ~1 เปโตร 5:8 THSV11

  1. พระวจนะของพระเจ้าสอนเราให้รู้จักควบคุมตัวเองในทุกด้านดุจนักกีฬา

“ส่วนนักกีฬาทุกคนก็ควบคุมตัวเองในทุกด้าน พวกเขาทำเพื่อจะได้มงกุฎใบไม้ที่ร่วงโรยได้ แต่มงกุฎของเราจะไม่ร่วงโรยเลย” ~1 โครินธ์ 9:25 THSV11

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม:  “พระคัมภีร์สอนอะไรบ้างเกี่ยวกับการเอาชนะใจตัวเอง ให้เลิกนิสัยบาป?”

คำตอบ:  “พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้มากมาย อาทิ

  1. เราต้องเอาชนะใจตัวเอง และจัดการกับบาปของเราก่อนที่บาปนั้นจะจัดการกับเรา

“ถ้าเจ้าทำดี เจ้าก็จะเป็นที่ยอมรับไม่ใช่หรือ? ถ้าเจ้าทำไม่ดี บาปก็หมอบอยู่ที่ประตู อยากตะครุบเจ้า เจ้าจะต้องเอาชนะบาปนั้น”  ~ปฐมกาล 4:7 THSV11

  1. เราต้องตระหนักไว้เสมอว่า แม้ยังไม่ลงมือทำบาป แต่ไม่ทำดี เราก็บาปแล้ว

“เพราะฉะนั้น คนที่รู้ว่าอะไรเป็นความดีที่ต้องทำ แต่ไม่ได้ทำ คนนั้นจึงมีบาป”  ~ยากอบ 4:17 THSV11

  1. พระเยซูคริสต์ทรงบัญชาให้เราเอาชนะตัวเองแล้วตามพระองค์ไป
  • ให้เอาชนะตัวเอง = ปฏิเสธตนเอง

“ขณะนั้นพระเยซูจึงตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า <<ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามาให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกและตามเรามา”  ~มัทธิว 16:24 TH1971

  • ให้รับกางเขนของตนเองแบก

“พระองค์จึงทรงเรียกฝูงชนกับพวกสาวกให้เข้ามา แล้วตรัสกับพวกเขาว่า “ถ้าใครต้องการจะตามเรามา ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบกและตามเรามา” ~มาระโก 8:34 THSV11

  • ให้แบกกางเขนนั้นทุกวัน และตามพระเยซูคริสต์ไป

“พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาทุกคนว่า “ถ้าใครต้องการจะมาติดตามเรา ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบกทุกวันและตามเรามา”    ~ลูกา 9:23 THSV11

  1. พระเยซูคริสต์เอาคนเก่าของเราตรึงไว้กับพระองค์ที่กางเขน เพื่อทำลายตัวที่บาป

“เรารู้แล้วว่า คนเก่าของเรานั้นถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวที่บาปนั้นจะถูกทำลายให้สิ้นไป และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป” ~โรม 6:6 THSV11

  1. คนที่ปกครองจิตใจตัวเองได้จะโกรธช้า ระงับ และลดการทำบาป

“บุคคลผู้โกรธช้าก็ดีกว่าคนมีกำลังมาก และบุคคลผู้ปกครองจิตใจตนเองก็ดีกว่าผู้ที่ตีเมืองได้” ~สุภาษิต 16:32 THSV11

  1. เราต้องรีบสารภาพกลับใจจากบาป เลิกนิสัยบาปในทันที เมื่อเราพลาดพลั้งปทำบาป

“ข้าพระองค์สารภาพความชั่วของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นทุกข์เพราะบาปของข้าพระองค์” ~สดุดี 38:18 THSV11

“ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” ~1 ยอห์น 1:9 THSV11

  1. เราต้องไม่ปล่อยให้คนบาปมาล่อชวนเราให้ไปทำบาปด้วย

“ลูกเอ๋ย ถ้าคนบาปล่อชวนเจ้า อย่าได้ยอมตาม” ~สุภาษิต 1:10 THSV11

  1. เราต้องหลีกหนีจากบาปโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บาปทางการผิดประเวณี

“จงหลีกหนีจากการล่วงประเวณี บาปอย่างอื่นที่มนุษย์ทำนั้นเป็นบาปนอกกาย แต่คนที่ล่วงประเวณีนั้น ทำผิดต่อร่างกายของตนเอง”  ~1 โครินธ์ 6:18

  1. เราจะไม่ปล่อยให้ตัณหาของตัวเองล่อลวงเรา และฟักตัวเป็นบาปที่นำไปสู่ความตาย

“คนที่สู้ทนต่อการทดลองใจก็เป็นสุข เพราะเมื่อเขาผ่านการทดสอบแล้ว เขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิตที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับคนทั้งหลายที่รักพระองค์ อย่าให้คนที่ถูกล่อลวงกล่าวว่า “พระเจ้าทรงล่อลวงข้าพเจ้า” เพราะว่าพระเจ้าจะไม่ถูกความชั่วล่อลวง และพระองค์เองก็ไม่ทรงล่อลวงใครเลย แต่ทุกคนถูกล่อลวงด้วยตัณหาของตัวเอง คือถูกตัณหานั้นล่อลวงและชักนำ เมื่อตัณหาฟักตัวขึ้นแล้วก็ก่อให้เกิดบาป และเมื่อบาปเจริญเต็มที่แล้วก็ก่อให้เกิดความตาย พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า อย่าถูกหลอกเลย” ~ยากอบ 1:12-16 THSV11

  1. เราต้องไม่ยอมให้บาปที่อยู่ในตัวครอบงำกาย และทำให้เราเชื่อฟังตัณหาของเรา

“เพราะฉะนั้นอย่าให้บาปครอบงำกายที่ต้องตายของท่าน ซึ่งทำให้ต้องเชื่อฟังตัณหาของกายนั้น”  ~โรม 6:12 THSV11

“ถ้าแม้ข้าพเจ้ายังทำสิ่งซึ่งไม่ปรารถนาจะทำ ก็ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้ทำ แต่บาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้ทำ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงพบว่ามีกฎธรรมดาอย่างหนึ่ง คือเมื่อไรที่ข้าพเจ้าตั้งใจจะทำความดี ก็มักจะเลือกทำชั่วซึ่งอยู่ใกล้ตัว” ~โรม 7:20-21 THSV11

  1. เราต้องต่อสู่กับบาปจนถึงที่สุด แม้จะต้องหลั่งเลือด

“ในการต่อสู้กับบาปนั้น ท่านยังไม่ได้สู้จนถึงกับต้องหลั่งเลือดเลย” ~ฮีบรู 12:4 THSV11

  1. เราต้องเตือนตัวเองถึงโทษหนักและภัยพิบัติใหญ่จากการทำบาปของเรา

“และเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วเจ้าทั้งหลายยังไม่ฟังเรา เราก็จะลงโทษเจ้าเจ็ดเท่าของความผิดบาปของพวกเจ้า “ถ้าเจ้ายังดำเนินขัดแย้งเราอยู่และไม่ยอมฟังเรา เราจะนำภัยพิบัติมาเหนือเจ้ามากยิ่งขึ้น เป็นเจ็ดเท่าของบาปของเจ้า เราจะดำเนินการขัดแย้งเจ้าทั้งหลาย และเราเองจะเฆี่ยนตีเจ้าเพราะบาปของเจ้าทั้งหลายถึงเจ็ดเท่า เราจะดำเนินการขัดแย้งเจ้าด้วยความโกรธ และเราเองจะลงโทษเจ้าเพราะความผิดบาปของเจ้าเจ็ดเท่า” ~เลวีนิติ 26:18, 21, 24, 28 THSV11

  1. เราต้องไม่ทำตามคำแนะนำ หรือยืนอยู่ในทางของคนทำบาป

“บุคคลผู้เป็นสุขคือ ผู้ไม่เดินตามคำแนะนำของคนอธรรม ไม่ยืนอยู่ในทางของคนบาป ไม่นั่งอยู่ในที่นั่งของคนที่ชอบเยาะเย้ย” ~สดุดี 1:1 THSV11

  1. เราต้องรู้จักถ่อมใจยอมสารภาพบาปผิดต่อกัน และรับผิดชอบเตือนสติกันให้อยู่ห่างบาป

“เพราะฉะนั้นท่านจงสารภาพบาปต่อกันและกัน และจงอธิษฐานเผื่อกันและกัน เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รับการรักษาโรค คำวิงวอนของผู้ชอบธรรมนั้นมีพลังมากและเกิดผล” ~ยากอบ 5:16 THSV11

  1. เราต้องเข้าเฝ้าพระเจ้า รับการชำระมือและใจให้บริสุทธิ์ห่างไกลจากบาป

“พวกท่านจงเข้าใกล้พระเจ้า แล้วพระองค์จะเสด็จเข้ามาใกล้ท่าน พวกคนบาปเอ๋ย จงชำระมือให้สะอาด คนสองใจ จงชำระใจให้บริสุทธิ์” ~ยากอบ 4:8 THSV11

  1. เราต้องไม่ริษยาคนบาป แต่ให้เรายำเกรงพระเจ้าเสมอ

 “เจ้าอย่าริษยาคนบาป แต่ให้ยำเกรงพระยาห์เวห์ตลอดเวลา” ~สุภาษิต 23:17 THSV11

  1. เราต้องละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงและบาปที่เกาะแน่นบนเส้นทางไปสู่พระเจ้าและรางวัล

“เพราะฉะนั้น เมื่อเรามีพยานมากมายอยู่รอบข้างอย่างนี้แล้วก็ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่    และบาปที่เกาะแน่น ขอให้เรายังคงวิ่งแข่งด้วยความทรหดอดทนในการแข่งขันที่อยู่ข้างหน้าเรา” ~ฮีบรู 12:1 THSV11

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ –