Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

เรื่องราวของคริสต์มาส โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (9)

คอลัมน์ : “ส ด แ ต่ เ ช้ า” ปี 2 (256)

เสียงร่ำไห้ในคริสต์มาส?

1.พวกนักปราชญ์จากไปหลังจาก

  • 1).ได้เข้าเฝ้าพระเยซูคริสต์แล้ว
  • 2).ได้รับการเตือนในความฝัน ไม่ให้กลับไปพบเฮโรด

2.ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ปรากฏแก่โยเซฟในความฝัน และสั่งว่า

“จงลุกขึ้น พาพระกุมารกับมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้าให้กลับมา เพราะว่าเฮโรดกำลังจะค้นหาพระกุมาร เพื่อจะประหารชีวิตเสีย” 

(ทูตสวรรค์นี้ น่าจะหมายถึง กาเบรียล ~ลก.1:11,19,26;2:9; มธ.1:20, 24;2:13,19 ปท.ปฐก.16:7)

3.โยเซฟจึงลุกขึ้น ในเวลากลางคืน (คืนนั้น) พา

  • 1).พระกุมารกับ
  • 2).(มารีย์) มารดาไปยังประเทศอียิปต์

4.โยเซฟ มารีย์ และพระเยซูได้อยู่ที่อียิปต์นั่น (จนกว่าเฮโรดจะสิ้นพระชนม์) 

~ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จเป็นไปตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งได้ตรัสผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า 

“เราได้เรียกบุตรของเราให้ออกมาจากอียิปต์!”

(ข้อความตรงนี้ อ้างจาก ฮชย.11:1 ซึ่งเดิมหมายถึงการที่พระเจ้าทรงเรียกคนอิสราเอลออกมาจากอียิปต์ในสมัยโมเสส แต่โดยการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์

  • 1).มัทธิวใช้พระธรรมตอนนี้ หมายถึงพระเยซูคริสต์ด้วย
  • 2).มัทธิวฉายซ้ำประวัติศาสตร์อิสราเอล ก.ในฐานะบุตรของพระเจ้า
    ข.ในสมัยที่ยังแบเบาะดุจเด็กน้อยเล็กๆที่ไปอยู่ในอียิปต์ ก่อนที่พระเจ้าจะนำพวกเขาออกมาจากอียิปต์

พระเจ้าก็ทรงกระทำเช่นกัน ในการนำพระเยซูคริสต์พระบุตร ก).เข้าไปอยู่ และ ข).ออกมาจากอียิปต์ เช่นกัน 

5. เฮโรดทรง (ตระหนัก) เห็นว่าพวกนักปราชญ์ (โหราจารย์) หลอกพระองค์

  • 1).ก็กริ้วยิ่งนัก
  • 2).จึงทรงบัญชาสั่งคนไป(ประหาร)ฆ่าเด็กผู้ชายทั้งหมด ก.ในบ้านเบธเลเฮม และ ข.ในบริเวณใกล้เคียงที่มีอายุตั้งแต่สองขวบลงมา
    โดยคะเนนับตามระยะเวลาตามที่ท่านทรงทราบจากพวกนักปราชญ์

ครั้งนั้นก็สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสผ่านทางเยเรมีย์ผู้เผยพระวจนะ
(ในเยเรมีย์ 31:15) ว่า

“ได้ยินเสียง (หนึ่ง) ในหมู่บ้านรามาห์ เป็นเสียงโอดครวญและร่ำไห้เสียงดัง (เสียงสะอึกสะอื้นคร่ำครวญ) คือ

  • 1).นางราเชลร้องไห้คร่ำครวญเพราะบรรดาบุตรของตน
  • 2).นางราเชลไม่รับฟังคำปลอบ (โยน) ใจใดๆ เพราะบุตรทั้งหลายไม่อยู่ (จากไป) แล้ว”

# รามาห์ อยู่ห่างจากเยรูซาเล็มไปทางเหนือราว 8 กม. เป็นเมืองหนึ่งที่คนอิสราเอลเดินทางผ่านเมื่อไปเป็นเชลยที่บาบิโลน (ยรม.40:1 ปท. อสย.10:29; ฮชย.5:8)

# ราเชล คือภรรยาคนที่ยาโคบรัก (ปฐก.29:30) และเป็นย่าของเอฟราอิม และมนัสเสห์ ซึ่งเป็น 2 เผ่าที่ทรงอำนาจที่สุดในอิสราเอล (อาณาจักรเหนือ) ชื่อราเชลในพระธรรมเยเรมีย์ตอนนี้จึงหมายถึง อาณาจักรหรือชนชาติอิสราเอล

6.เฮโรดสิ้นพระชนม์ (ในปี 4 ก.ค.ศ.)

7.ทูตสวรรค์มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันที่ประเทศอียิปต์ กล่าวสั่งว่า

“จงลุกขึ้นพาพระกุมารกับมารดามายังแผ่นดินอิสราเอล เพราะพวกที่เป็นภัยต่อชีวิตของพระกุมาร (พยายามเอาชีวิตพระกุมาร) นั้นตายแล้ว”

8.โยเซฟจึงลุกขึ้นพาพระกุมารกับมารดามายังแผ่นดินอิสราเอล

  • 1).เขาได้ยินว่าอารเคลาอัสครอบครองแคว้นยูเดียแทนเฮโรดผู้เป็นพระบิดา

# อารเคลาอัส ก.เป็นบุตรของเฮโรดขึ้นปกครองยูเดียและสะมาเรีย อยู่ 10 ปี (4 ก.ค.ศ. ~ค.ศ. 6) ข.เป็นทรราชที่โหดร้าย จึงถูกโรมปลดจากตำแหน่งเพราะถูกร้องเรียนจากประชาชน เป็นเหตุให้ยูเดียกลายเป็นแคว้นหนึ่งของโรมัน ปกครองโดยผู้ว่าการ หรือเจ้าเมืองที่ได้รับการแต่งตั้งจากจักรพรรดิโรม

  • 2).เขาจึงไม่กล้าไปที่นั่น และเมื่อ
  • 3).เขาได้รับคำเตือนในความฝัน
  • 4).เขาจึงเลยไปยังแคว้นกาลิลี
  • 5).เขาไปอาศัยในเมืองหนึ่งชื่อนาซาเร็ธ

เพื่อจะสำเร็จเป็นจริงตามพระวจนะ ซึ่งตรัสผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า

“ท่านจะได้ชื่อว่าชาวนาซาเร็ธ” -มัทธิว 2:13-23

# น่าแปลกใจ ที่ชื่อเมืองนาซาเร็ธ นี้ ไม่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์เดิมเลย แต่ในสมัยของพระเยซูคริสต์ คำว่า “นาซาเร็ธ” มีความหมายเดียวกับคำว่า “ถูกดูหมิ่น” (ดังตัวอย่าง ใน ยน.1:45-46) จึงตีความว่าคงหมายถึงคำทำนายหลายตอนที่กล่าวถึงว่า ผู้เผยพระวจนะและพระเมสสิยาห์ จะถูกดูหมิ่น (สดด.22:6;อสย.53:3)

บางคนคิดว่า คำว่า นาซาเร็ธ มาจากคำว่า “เนเซอร์” ในภาษาฮีบรู หมายความว่า “กิ่ง” (อสย.11:1 ซึ่งทำนายถึงพระเมสสิยาห์จะบังเกิดมาจากเจสซี และวงศ์วานของดาวิด)

พี่น้องที่รัก

คริสต์มาสนี้ สอนให้เราตระหนักเสมอว่า ชีวิตของเราในการดำเนินชีวิต และในการติดตามรับใช้นั้น อาจคละเคล้าด้วย

  • 1.เสียงเพลง เสียงหัวเราะ และเสียงร้องไห้คร่ำครวญ
  • 2.ข่าวดีจากทูตสวรรค์และข่าวร้ายจากทูตมรณะ
  • 3.ของขวัญ (ที่ได้มา) และคนรัก (ที่สูญเสียไป)
  • 4.ความรัก และความเกลียดชัง
  • 5.ความรอดและความตาย

ดังนั้น อย่าให้เราแปลกใจสำหรับเรื่องที่ไม่คาดฝัน

1.ขอให้เรามีพระเยซูคริสต์เป็นพระเมสสิยาห์ หรือพระผู้ช่วยให้รอดในทุกสถานการณ์ของชีวิตของเราทุกคน ไม่ว่าจะเจอะเจอกับ

  • 1).เฮโรดผู้โหดร้ายสักกี่คน หรือ
  • 2).โศกนาฏกรรมอีกสักกี่เรื่องในชีวิตของเราก็ตาม

2.ขอให้มีความศรัทธาที่จะติดตามพระเจ้า และการทรงนำของพระองค์ต่อไปอย่างไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะอยู่ท่ามกลางรอยยิ้ม หรือ น้ำตา ด้วยท่าทีที่ว่า

“Expect for the Best,Prepare for the Worst!” (คาดหวังสำหรับสิ่งที่ดีเยี่ยมที่สุด แต่ก็เตรียมตัวสำหรับสิ่งที่ย่ำแย่ที่สุด!)

…จะดีไหมครับ?
 
ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (13 ธันวาคม 2022)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

เรื่องราวของคริสต์มาส โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (8)

คอลัมน์ : “ส ด แ ต่ เ ช้ า”  ปี 2 (255)

นมัสการ อย่างไหนที่พระเจ้าชอบ?

“พระกุมารผู้ที่ทรงบังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน?
เราได้เห็นดาวของท่านทางทิศตะวันออก และเราจึงมาเพื่อจะนมัสการท่าน” ~มัทธิว 2:2 THSV11

And asked, “Where is the one who has been born king of the Jews? We saw his star when it rose and have come to worship him.” ~Matthew 2:2 NIV

ประสบการณ์ของนักปราชญ์ หรือโหราจารย์ในวันคริสต์มาสคงเป็นจริงอย่างที่ A. W. Tozer ที่กล่าวไว้ว่า

“เราต้องไม่หยุดพัก จนกว่าทุกๆสิ่งภายในของเราได้นมัสการพระเจ้า!”
(We must never rest until everything inside us worships God.)

พวกเขาจึงเดินทางไกล มาเพื่อนมัสการพระเยซูคริสต์ กษัตริย์จากสวรรค์ ผู้มาบังเกิดในวันคริสต์มาส!

เรื่องราวของวันคริสต์มาสกับนักปราชญ์ มีดังนี้

1.พระเยซูได้ทรงบังเกิดที่บ้านเบธเลเฮมแคว้นยูเดียในรัชกาลของกษัตริย์เฮโรด

(“เบธเลเฮม “= หมู่บ้านห่างจากเยรูซาเล็มไปทางใต้ราว 8 กม. ไม่ใช่ เมืองที่มีชื่อเดียวกัน ซึ่งห่างจากนาซาเร็ธไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ราว 11 กม.)

2. พวกนักปราชญ์จากทิศตะวันออกมายังกรุงเยรูซาเล็ม ถามว่า

“พระกุมารผู้ที่ทรงบังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน?
เราได้เห็นดาวของท่านทางทิศตะวันออก และเราจึงมาเพื่อจะนมัสการท่าน” 

(คนยิวคาดหวังว่า พระเมสสิยาห์จะมาบังเกิดที่เบธเลเฮมจากพงศ์พันธุ์ของดาวิด-ยน.7:42

นักปราชญ์อาจเป็นโหราจารย์ หรือนักดาราศาสตร์จากเปอร์เชียหรืออาราเบีย พวกเขาตระหนักว่าพระเยซูเป็นกษัตริย์ตั้งแต่เกิด ไม่ใช่จะมาเป็นในภายหลัง

“ดาว” =อาจเป็นดาวพฤหัสกับดาวเสาร์โคจรมาใกล้กัน หรือเป็นปรากฏการณ์บางอย่างบนท้องฟ้า)

3.กษัตริย์เฮโรดทรงได้ยินดังนั้นแล้วก็วุ่นวายพระทัย

(เฮโรด ในที่นี้คือ เฮโรดมหาราช (37-4 B.C) ไม่ใช่ยิวแต่เป็นชาวอิดูเมอา ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์แห่งยูเดียโดยสภาสูงของโรมในปี  40 ก.ค.ศ. และครองราชย์ ในปี 37 ก.ค.ศ.

เฮโรด ฆ่าภรรยา บุตรชาย 3 คน แม่ยาย พี่เขย ลุง ของตัวเอง และคนอื่นๆ รวมทั้งเด็กทารกในเบธเลเฮม (2:16)

เฮโรดสร้างผลงานมากมาย แต่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือสร้างพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็มขึ้นมาใหม่ โดยเริ่มสร้างในปี 20 ก.ค.ศ. แต่เสร็จหลังพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ไปแล้วถึง 68 ปี)

4.ชาวกรุงเยรูซาเล็มก็พลอยวุ่นวายใจไปด้วย

5.กษัตริย์เฮโรด

  • ทรงให้ประชุมพวกหัวหน้าปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์ของประชาชน
  • ตรัสถามพวกเขาว่า “พระคริสต์จะทรงบังเกิดที่ไหน?”

6.พวกเขาทูลว่า

ที่บ้านเบธเลเฮมแคว้นยูเดีย เพราะว่าผู้เผยพระวจนะได้เขียนไว้ดังนี้ว่า ‘บ้านเบธเลเฮม ในแผ่นดินยูเดีย จะไม่เป็นบ้านที่เล็กน้อยที่สุดในสายตาของพวกผู้ครองแผ่นดินยูเดีย เพราะว่าเจ้านายองค์หนึ่งจะออกมาจากท่าน ผู้ซึ่งจะครอบครองอิสราเอล ชนชาติของเรา’

7.เฮโรดจึง

  • 1).ทรงเชิญพวกนักปราชญ์เข้ามาอย่างลับๆ
  • 2).ทรงสอบถามพวกเขาจนได้ความถี่ถ้วนถึงเวลาที่ดาวนั้นได้ปรากฏขึ้น
  • 3).ทรงให้พวกนักปราชญ์ไปยังบ้านเบธเลเฮมรับสั่งว่า

“จงไปค้นหาพระกุมารนั้นเถิด เมื่อพบแล้วจงกลับมาแจ้งแก่เราเพื่อเราจะไปนมัสการท่านด้วย”

8.พวกนักปราชญ์จึงไปตามรับสั่ง

9.ดาวซึ่งพวกเขาได้เห็นทางทิศตะวันออกนั้นได้นำหน้าพวกเขาไป
จนมาหยุดอยู่เหนือสถานที่ซึ่งพระกุมารอยู่นั้น

10.พวกนักปราชญ์

  • 1).ได้เห็นดาวนั้นแล้วก็มีความยินดียิ่งนัก
  • 2).เข้าไปในบ้านก็พบพระกุมารกับนางมารีย์มารดา
  • 3). จึงก้มลงนมัสการพระกุมารนั้น
  • 4).เปิดหีบสมบัติของพวกเขา
  • 5).ถวายเครื่องบรรณาการแด่พระกุมาร คือ ก.ทองคำ ข.กำยาน และ ค.มดยอบ

(“บ้าน” = ไม่ใช่ที่รางหญ้า พวกเขาคงเดินทางหลายเดือนจนมาถึงบ้าน ซึ่งเวลานั้นพระเยซูพ้นวัยทารกมาแล้ว คนมักคิดว่ามีนักปราชญ์ 3 คนมาเฝ้าพระเยซู แต่พระคัมภีร์ไม่เคยระบุจำนวนเลย)

11.พวกนักปราชญ์ได้รับคำเตือนในความฝัน ไม่ให้กลับไปเฝ้าเฮโรด พวกเขาจึงกลับไปยังเมืองของพวกตนทางอื่น ~มัทธิว 2:1-12 THSV11

พี่น้องที่รัก

ขอให้เรื่องราวของนักปราชญ์ในวันคริสต์มาสนี้ เป็นต้นแบบในเรื่องการนมัสการพระเจ้าที่ถูกต้องสำหรับเรา

เหมือน Sam Storms ที่กล่าวว่า

“ถ้าคุณนมัสการพระเจ้าด้วยเหตุผลอื่นใดก็ตามนอกเหนือจากความชื่นชมยินดี และความเพลิดเพลินใจที่พบได้ในพระเจ้า นั่นก็เท่ากับว่าคุณไม่ได้ถวายพระเกียรติต่อพระองค์เลย …ความปีติยินดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้าก็คือความปีติยินดีของคุณที่มีในพระองค์!”

(If you come to worship for any reason other that the joy and pleasure and satisfaction that are to be found in God, you dishonor Him …God’s greatest delight is your delight in Him.)

วันนี้ คุณกำลังนมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริง

  1. ในทุกวัน หรือ
  2. ในทุกวันสะบาโต ของคุณด้วยจิตวิญญาณ และความจริง ดังเช่นที่พวกนักปราชญ์เหล่านี้กระทำอยู่หรือไม่?

…ตอบที!

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (12 ธันวาคม 2022)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

เรื่องราวของคริสต์มาส โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (7)

คอลัมน์ : “ส ด แ ต่ เ ช้ า” ปี 2 (254)

คริสต์มาส: 14×3

“แต่เมื่อครบกำหนดแล้ว พระเจ้าก็ทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา
ประสูติจากสตรีเพศและทรงถือกำเนิดใต้ธรรมบัญญัติ” ~กาลาเทีย 4:4 THSV11

“But when the set time had fully come, God sent his Son, born of a woman, born under the law, to redeem those under the law, that we might receive adoption to sonship.” ~Galatians 4:4-5 NIV

Max Lucado กล่าวว่า

“เมื่อพระคริสต์มาบังเกิด ความหวังของเราก็บังเกิดขึ้น!” (When Christ was born so was our hope.)

พระเยซูคริสต์มาบังเกิด ผ่านลำดับพงศ์และเชื้อสายของดาวิด (พระเมสสิยาห์) ผู้สืบตระกูลมาจากอับราฮัม ดังนี้

I.นับตั้งแต่อับราฮัมลงมาจนถึงดาวิด มีสิบสี่ชั่วคน ~ช่วงเวลาขาขึ้นของชนชาติของพระเจ้าจากการทรงเรียกของพระเจ้า

  • 1.อับราฮัมมีบุตรชื่ออิสอัค
  • 2.อิสอัคมีบุตรชื่อยาโคบ
  • 3.ยาโคบมีบุตรชื่อยูดาห์และพี่น้องของเขา
  • 4.ยูดาห์มีบุตรชื่อเปเรศกับเศราห์ซึ่งเกิดจากนางทามาร์
  • 5.เปเรศมีบุตรชื่อเฮสโรน
  • 6. เฮสโรนมีบุตรชื่อราม
  • 7.รามมีบุตรชื่ออัมมีนาดับ (พ่อตาของอาโรน~อพย.6:23)
  • 8.อัมมีนาดับมีบุตรชื่อนาโชน
  • 9.นาโชนมีบุตรชื่อสัลโมน
  • 10.สัลโมนมีบุตรชื่อโบอาสซึ่งเกิดจากนางราหับ(ห่างจากดาวิดมากแต่ไม่ได้บันทึกชื่อทุกคน)
  • 11.โบอาสมีบุตรชื่อโอเบดซึ่งเกิดจากนางรูธ
  • 12.โอเบดมีบุตรชื่อเจสซี
  • 13.เจสซีมีบุตรชื่อดาวิดผู้เป็นกษัตริย์
  • 14.ดาวิดมีบุตรชื่อซาโลมอนเกิดจากนางซึ่งแต่ก่อนเป็นภรรยาของอุรียาห์

II.นับตั้งแต่ดาวิดลงมา จนถึงคราวถูกกวาดไปเป็นเชลยที่กรุงบาบิโลนมีสิบสี่ชั่วคน ~ช่วงเวลาขาลง ของชนชาติของพระเจ้า จากการทำบาปของพวกเขา

  • 1.ดาวิดมีบุตรชื่อซาโลมอน
  • 2.ซาโลมอนมีบุตรชื่อเรโหโบอัม
  • 3.เรโหโบอัมมีบุตรชื่ออาบียาห์
  • 4.อาบียาห์มีบุตรชื่ออาสา
  • 5.อาสามีบุตรชื่อเยโฮชาฟัท
  • 6.เยโฮชาฟัทมีบุตรชื่อโยรัม
  • 7.โยรัมมีบุตรชื่ออุสซียาห์(มีหลายชื่อถูกละไป เพื่อสะดวกในการจัดหมวดหมู่)
  • 8.อุสซียาห์มีบุตรชื่อโยธาม
  • 9.โยธามมีบุตรชื่ออาหัส
  • 10. อาหัสมีบุตรชื่อเฮเซคียาห์
  • 11.เฮเซคียาห์มีบุตรชื่อมนัสเสห์
  • 12. มนัสเสห์มีบุตรชื่ออาโมน
  • 13.อาโมนมีบุตรชื่อโยสิยาห์
  • 14.โยสิยาห์มีบุตรชื่อเยโคนิยาห์ (จริงๆโยสิยาห์ เป็นบิดาของเยโฮยาคิม) และพี่น้องของเขา เกิดเมื่อคราวต้องถูกกวาดไปเป็นเชลยที่กรุงบาบิโลน หลังจากถูกกวาดไปที่กรุงบาบิโลนแล้ว

III.นับตั้งแต่คราวถูกกวาดไปเป็นเชลยที่กรุงบาบิโลน จนถึงพระคริสต์มีสิบสี่ชั่วคน ~ช่วงเวลาขาขึ้นสู่สวรรค์ ของชนชาติของพระเจ้า ทางพระเยซูคริสต์เจ้า

  • 1.โยสิยาห์มีบุตรชื่อเยโคนิยาห์และพี่น้องของเขา เกิดเมื่อคราวต้องถูกกวาดไปเป็นเชลยที่กรุงบาบิโลน
  • 2.เยโคนิยาห์ก็มีบุตรชื่อเชอัลทิเอล
  • 3.เชอัลทิเอลมีบุตรชื่อเศรุบบาเบล
  • 4.เศรุบบาเบลมีบุตรชื่ออาบียุด
  • 5.อาบียุดมีบุตรชื่อเอลียาคิม
  • 6. เอลียาคิมมีบุตรชื่ออาซอร์
  • 7.อาซอร์มีบุตรชื่อศาโดก
  • 8.ศาโดกมีบุตรชื่ออาคิม
  • 9.อาคิมมีบุตรชื่อเอลีอูด
  • 10. เอลีอูดมีบุตรชื่อเอเลอาซาร์
  • 11.เอเลอาซาร์มีบุตรชื่อมัทธาน
  • 12.มัทธานมีบุตรชื่อยาโคบ
  • 13.ยาโคบมีบุตรชื่อโยเซฟผู้เป็นสามีของนางมารีย์
  • 14.พระเยซูที่เรียกว่าพระคริสต์ก็ประสูติมาจากนางมารีย์นี้ (ไม่เขียนว่าโยเซฟเป็นบิดาของพระเยซู) มัทธิว ถือว่า พระเยซูคริสต์เป็นบุตรตามกฎหมายของโยเซฟ จึงถือว่าเป็นเชื้อสายของดาวิด (ลก.2:33; ยน.1:45)

พระเยซูคริสต์ ทำให้พันธสัญญาที่พระเจ้ากระทำไว้

  • 1).กับอับราฮัม ~สำเร็จ ~ปฐก.12:2-3;15:9-21;17;ศคย.9:10
  • 2).กับดาวิด ~ สำเร็จ ~2ซมอ.7:5-16

สรุป

มัทธิวผู้เขียน จัดหมวดหมู่เชื้อสายของพระเยซูคริสต์แบ่งเป็น 3 ช่วงๆละ 14 ชั่วคน

  • 1.ดังนั้นตั้งแต่อับราฮัมลงมาจนถึงดาวิดมีสิบสี่ชั่วคน และ
  • 2.นับตั้งแต่ดาวิดลงมา จนถึงคราวถูกกวาดไปเป็นเชลยที่กรุงบาบิโลนมีสิบสี่ชั่วคน และ
  • 3.นับตั้งแต่คราวถูกกวาดไปเป็นเชลยที่กรุงบาบิโลน จนถึงพระคริสต์มีสิบสี่ชั่วคน ~มัทธิว 1:1-17 THSV11

คือเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ อยู่ท่ามกลางเราในวันคริสต์มาส

“พระวาทะทรงเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา เราเห็นพระสิริของพระองค์ คือ พระสิริที่สมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดาบริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง” ~ยอห์น 1:14 THSV11

มัทธิว บันทึกเรื่องราวพงศ์พันธุ์ของพระเยซูคริสต์ด้วยการแบ่งเป็น 3 ช่วงละ 14 คนนั้น (ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่ 14 ชั่วคนจริงๆ) ท่านคงมีหลายเหตุผลที่ทำเช่นนั้น

  • 1).ท่านเป็นนักบัญชีที่ชอบตัวเลข
  • 2).ท่านใช้เทคนิคเพื่อช่วยในการจัดระบบระเบียบเพื่อสะดวกในการจดจำ
  • 3).ท่านใช้เลข 14 เพราะเป็น 2 เท่าของเลข 7 (ซึ่งเป็นเลขแห่งความอุดมสมบูรณ์ ) หรือ
  • 4).ท่านใช้เลข 14 เพราะเป็นค่าตัวเลขของชื่อดาวิด ~ซึ่งเชื่อว่าคนทั่วไปคงเข้าใจในเจตนาของเขาที่ทำเช่นนั้น

น่าสนใจที่ในลำดับวงศ์ของพระเยซูคริสต์กล่าวถึงผู้หญิง 5 คน ซึ่งปกติคนยิวทั่วไปจะไม่ทำเช่นนั้น คือ

  • 1).นางทามาร์ (ลูกสะใภ้ที่มีเพศสัมพันธ์กับพ่ออดีตสามี)~1:3
  • 2).นางราหับ (หญิงโสเภณี)~1:5
  • 3).นางรูธ (แม่ม่ายสามีตาย) ~1:5
  • 4).นางบัทเชบา (นางซึ่งแต่ก่อนเป็นภรรยาของอุรียาห์ /ถูกล่วงละเมิดทางเพศ))~ 1:6
  • 5).นางมารีย์ (สาวน้อยพรหมจารี)~ 1:16

แสดงว่า พระเจ้ามิได้จำกัดวงพระราชกิจของพระองค์อยู่กับเฉพาะ

  • ~ผู้ชาย
  • ~คนอิสราเอล
  • ~คนดีมีฐานะ
  • ~คนสมบูรณ์แบบ เท่านั้น

พระเจ้าทรงรักมนุษย์ทุกคน และให้โอกาสทุกคนที่จะ

  • 1).ได้รู้จักและ
  • 2).ได้รับความรักอันวิเศษนั้น โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ หรือมีเงื่อนไขใดๆ

ขอเพียงให้เรา

  • 1.กลับใจจากบาป
  • 2.ถ่อมใจ รับการทรงไถ่จากพระคริสต์แห่งวันคริสต์มาส
  • 3.ดำเนินชีวิตอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ตามวิถีที่นำไปสู่ความสุข และความยินดี และ
  • 4.เฉลิมฉลองวันคริสต์มาส ด้วยการให้ พระเยซูคริสต์ทรงเป็น
    1).พระผู้เป็นเจ้า คือเป็น ก.เจ้านาย  ข.เจ้าของ 2).ผู้ทรงนำทางในชีวิตของเรา ด้วยความเชื่อ ความหวังและความรัก ก.ในพระองค์ และ ข.ในเพื่อนมนุษย์ อย่างสุดหัวใจ

แล้วทุกวันในชีวิตของเราก็จะกลายเป็นวันคริสต์มาสที่มีความหมาย ในทันที!

…จะดีไหมครับ?

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (11 ธันวาคม 2022)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

เรื่องราวของคริสต์มาส โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (6)

คอลัมน์ :”ส ด แ ต่ เ ช้ า” ปี 2 (253)

คริสต์มาสมา ความกลัวไป!

ทูตสวรรค์องค์นั้นกล่าวกับเขาทั้งหลายว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเรานำข่าวดีมายังพวกท่าน เป็นความยินดีอย่างยิ่งที่จะมาถึงคนทั้งหลาย เพราะว่าในวันนี้ พระผู้ช่วยให้รอดของพวกท่านคือ พระคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้ามาประสูติที่เมืองของดาวิด” ลูกา 2:10-11 THSV11

But the angel said to them, “Do not be afraid. I bring you good news that will cause great joy for all the people. Today in the town of David a Savior has been born to you; he is the Messiah, the Lord.”  ~Luke 2:10-11 NIV

Seneca เคยพูดว่า

“ที่ไหนมีความกลัว ที่นั่นไม่มีความสุข!” (Where Fear is, Happiness is not!)

คนจำนวนมากไม่มีความสุข เพราะเขากลัว! ไม่ว่าจะกลัว

  • 1).สิ่งที่กำลังอยู่ตรงหน้า
  • 2).สิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว หรือ
  • 3).สิ่งที่จะเกิดตามมา

หนึ่งในท่ามกลางคนที่มีความกลัวเหล่านั้น ก็คือพวกคนเลี้ยงแกะ!  พวกเขาเป็นคนที่ต่ำต้อย ไร้อนาคต ไม่มีความหวัง

ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ เล่าเรื่องราววันคริสต์มาส ที่เกี่ยวกับคนเลี้ยงแกะไว้ดังนี้

  • 1.พวกคนเลี้ยงแกะอยู่กลางทุ่ง (ไม่ว่าจะฤดูอะไร หนาวหรือร้อน แกะต้องกินอาหารทุกวัน) กำลังเฝ้าฝูงแกะของเขาในเวลากลางคืน
    (พระวิหารต้องการแกะเพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาตลอดทั้งปี และแกะจะถูกเลี้ยงในทุ่งใกล้เบธเลเฮมโดยมีคนเฝ้าให้พ้นจากขโมย และสัตว์ร้าย)
  • 2.ทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้า (เป็นชื่อใช้เรียกทูตสวรรค์ ตลอดเรื่องการประสูติ ใน ลก.2:13,19;1:1;มธ1:20.24 ~สันนิษฐาน ว่าเป็นกาเบรียล ,1:19,26 ปท.16:7) มาปรากฏแก่พวกเขา และพระรัศมีขององค์พระผู้เป็นเจ้าส่องล้อมรอบเขา
  • 3.พวกคนเลี้ยงแกะกลัวนัก
  • 4.ทูตสวรรค์องค์นั้นกล่าวกับเขาทั้งหลายว่า

“อย่ากลัวเลย …เพราะเรานำข่าวดีมายังพวกท่าน เป็นความยินดีอย่างยิ่งที่จะมาถึงคนทั้งหลาย เพราะว่าในวันนี้ พระผู้ช่วยให้รอดของพวกท่าน คือพระคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้ามาประสูติที่เมืองของดาวิด นี่จะเป็นหมายสำคัญสำหรับพวกท่าน คือท่านจะพบพระกุมารนั้นพันผ้าอ้อมนอนอยู่ในรางหญ้า” 

# “พระผู้ช่วยให้รอด”=ชาวยิวต่างรอคอยผู้นำทางการเมืองที่จะมาปลดปล่อยพวกเขาจากการถูกปกครองโดยคนต่างชาติ แต่บางคนก็หวังว่าพระองค์จะช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากความเจ็บไข้ได้ป่วยและปัญหาทางกายภาพ แต่คำประกาศนี้ชี้ให้เห็นว่าพระผู้ช่วยรอดนี้จะมา ช่วยกู้พวกเขาให้รอดพ้นจากความบาปและความตาย  มธ.1:21; ยน.4:42

# “องค์พระผู้เป็นเจ้า” =คำที่เดิมใช้หมายถึงพระเจ้า แต่ต่อมาใช้หมายถึงพระเมสสิยาห์ หรือพระคริสต์ด้วย ~กจ.2:36;ฟป.2:11

  • 5. ชาวสวรรค์หมู่หนึ่งมาปรากฏอยู่กับทูตสวรรค์องค์นั้น ร่วมสรรเสริญพระเจ้าว่า

“พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด ส่วนบนแผ่นดินโลก สันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งหลายที่พระองค์โปรดปรานนั้น”

# คำสรรเสริญสั้นๆนี้ เรียกกันว่า “ Gloria in Excelsis Deo” ซึ่งเป็นข้อความแรกในพระคัมภีร์ฉบับลาตินวุลเกต แปลว่ ‘ขอพระเกียรติสิริมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด’  ~ในที่นี้ ทูตสวรรค์แสดงการยอมรับในพระเกียรติสิริและพระบารมีของพระเจ้าด้วยการสรรเสริญพระองค์

# “สันติสุข” = ไม่ได้มีแก่ทุกคน แต่เฉพาะกับผู้ที่พระเจ้าเห็นชอบ พอพระทัย หรือโปรดปราน ~ลก.3:22;10:21;12:32

โรมควบคุมให้มีสันติสุขภายนอกที่เรียกว่า Pax Romana (สันติสุขแห่งโรม) โดยวัดจากความสงบสุขภายนอกซึ่งชั่วคราว แต่ทูตสวรรค์ประกาศเรื่องสันติสุขที่ล้ำลึกและยั่งยืนถาวรภายใน นั่นคือ สันติสุขแห่งจิตวิญญาณและจิตใจที่มาจากพระเยซูคริสต์องค์พระผู้ช่วยให้รอด (รม.5:1) ซึ่งเป็นพระเมสสิยาห์ ผู้สืบเชื้อสายมาจากดาวิด ทรงมีพระนามว่า “องค์สันติราช” (Prince of Peace) -อสย.9:6

พระเยซูคริสต์ทรงสัญญาว่าจะมอบสันติสุขให้แก่ผู้ที่ติดตาม พระองค์ ~ยน.14:27;ฟป.4:7

  • 6.ทูตสวรรค์เหล่านั้นไปจากพวกเขาขึ้นสู่สวรรค์แล้ว
  • 7.บรรดาคนเลี้ยงแกะก็พูดกันว่า “ให้เราไปยังเมืองเบธเลเฮมดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแจ้งกับเรา”
  • 8.พวกคนเลี้ยงแกะเขาก็รีบไป แล้ว ก).พบนางมารีย์กับโยเซฟ และ
    ข).พบพระกุมารนั้นนอนอยู่ในรางหญ้า
  • 9.พวกคนเลี้ยงแกะเห็นแล้วจึงเล่าเรื่องที่เขาได้ยินถึงพระกุมารนั้น
  • 10.คนทั้งหลายที่ได้ยินก็ประหลาดใจเกี่ยวกับเรื่องที่คนเลี้ยงแกะบอกกับเขา
  • 11.นางมารีย์ก็ ก).เก็บสิ่งเหล่านั้นไว้และ  ข).รำพึง (ใคร่ครวญ) อยู่ในใจ
  • 12.บรรดาคนเลี้ยงแกะจึงกลับไป ก).ถวายพระเกียรติและ ข). สรรเสริญพระเจ้า สำหรับเหตุการณ์ทุกอย่างที่เขา ก.ได้ยินและ ข.ได้เห็นดังที่กล่าวไว้กับพวกเขา
  • 13.มารีย์และโยเซฟ จึงให้นาม พระกุมาร นั้นว่า เยซู หลังจากครบแปดวันซึ่งให้พระกุมารนั้นเข้าสุหนัต (ปฐก.17:10; ยน.7:22) ดังที่ทูตสวรรค์กล่าวไว้ก่อนที่พระองค์จะปฏิสนธิในครรภ์ ~ลูกา 2:8-21 THSV11

พี่น้องที่รัก

อย่าให้ความกลัวโน่นกลัวนี่ ครอบงำชีวิตของเราจนปราศจากความสุข
Zig Ziglar กล่าวไว้น่าคิดว่า

# ความกลัวมี 2 ความหมาย คือ

  • 1.ลืมทุกสิ่งแล้ววิ่งหนี หรือ
  • 2.ลุกขึ้นแล้วเผชิญกับทุกอย่าง แต่คุณต้องเลือกเอาเอง!”
    (Fear has two meanings: ‘Forget Everything And Run’ or ‘Face Everything And Rise.’ The choice is yours.”

ใช่ครับ เราจะเผชิญทุกอย่างในทุกสถานการณ์ได้อย่างมีความสุขแท้ที่เรียกว่าสันติสุข เมื่อเรามีพระเยซูคริสต์เจ้าสถิตอยู่กับเรา เหมือนดังที่ Thomas Watson กล่าวว่า

“ถ้าพระเจ้าเป็นพระเจ้าของเรา พระองค์จะประทานสันติสุขให้แก่เราในท่ามกลางความยากลำบากนั้น เมื่อมีพายุพัดกระหน่ำจากภายนอก พระองค์จะสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นภายใน โลกสามารถสร้างยุ่งยากลำบากได้ในท่ามกลางสันติภาพ แต่พระเจ้าสามารถสร้างสันติสุขได้ในท่ามกลางความลำบากยุ่งยาก!”

(If God be our God, He will give us peace in trouble. When there is a storm without, He will make peace within. The world can create trouble in peace, but God can create peace in trouble.)

วันนี้ ให้เราพิชิตความกลัวในชีวิต ด้วยสันติสุขที่มาจากพระคริสต์แห่งวันคริสต์มาสนี้

…จะดีไหมครับ?

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (10 ธันวาคม 2022)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

เรื่องราวของคริสต์มาส โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (5)

คอลัมน์ :”ส ด แ ต่ เ ช้ า” ปี 2 (252)

ไม่มีที่ว่างสำหรับพระผู้ช่วย?

“นางจึงคลอดบุตรชายหัวปี เอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้า เพราะว่าไม่มีที่ว่างในโรงแรมสำหรับพวกเขา” ~ลูกา 2:7 THSV11

“And she gave birth to her firstborn son and wrapped him in bands of cloth, and laid him in a manger, because there was no place for them in the inn.” ~Luke 2:7 NRSV

Leonard Ravenhill เคยถามขึ้นมาว่า

“ทำไมเราจึงคาดหวังว่า เราจะได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่าที่องค์พระเยซูทรงเคยได้รับ?”
(Why do we expect to be better treated in this world than Jesus was?)

น่าแปลกและน่าขัน ที่โลกนี้ ปฏิบัติต่อพระเยซูคริสต์อย่างไม่แยแส
โลกไม่มีแม้แต่ที่ว่างสำหรับต้อนรับพระเจ้าจากสวรรค์ ผู้เสด็จลงมาเพื่อช่วยโลกให้รอดจากสภาวะสิ้นหวัง อย่างที่สมพระเกียรติ!

ในพระคัมภีร์ได้บันทึกเรื่องราวของคริสต์มาสแรกในโลกนี้ เมื่อพระเยซูคริสต์เจ้า เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ในรางหญ้าอย่างอนาถา
แทนที่จะเป็นที่ในโรงพยาบาลหรือในโรงแรมหรูที่มีห้องพักรับรองที่สมกับพระเกียรติของพระองค์ ไว้ดังนี้

1.จักรพรรดิออกัสตัสมีรับสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน

  • 1).นี่เป็นครั้งแรกที่มีการจดทะเบียนสำมะโนครัว
    ~เพื่อเกณฑ์ทหาร และ ~เพื่อเก็บภาษี
    #แต่ชาวยิวได้รับการยกเว้นไม่ต้องเข้าเป็นทหารของโรม
    พระเจ้าทรงใช้กฤษฎีกาของจักรพรรดิต่างชาติเพื่อทำให้คำพยากรณ์ใน พระธรรมมีคาห์ 5:2 (และ มัทธิว 2:3-6 )สำเร็จ
  • 2).เกิดขึ้นในสมัยที่คีรินิอัสเป็นเจ้าเมืองซีเรีย
    # คีรินิอัส น่าจะเป็นเจ้าเมืองที่ดำรงตำแหน่งสองวาระ
    ก.ดำรงตำแหน่งในวาระแรกตอนนี้ (ลก.2:2) และ ข.ดำรงตำแหน่งครั้งที่สอง ใน กจ.5:37  (ซีเรียในที่นี้ เป็นแคว้นหนึ่งของโรมันและเป็นที่ตั้งของปาเลสไตน์)

# ซีซาร์ ออกัสตัสเป็นจักรพรรดิ

  • 1).องค์แรก และ  
  • 2).องค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโรม ในปี 31 ก่อน ค.ศ. ~ค.ศ.14
    นาม “ออกัสตัส “ หมายความว่า “เป็นที่เทิดทูน” เป็นนามที่สภาซีเนทของโรม ร่วมกันลงมติถวายให้ ในปีที่ 27 ก่อนคริสตศักราช
    เมื่อเปลี่ยนระบบการปกครองจากสาธารณรัฐเป็นระบอบจักรพรรดิ

แล้ว ซีซาร์ก็

  • 1).ขยายอาณาเขตครอบคลุมโลกรอบๆ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมด
  • 2).สถาปนา”สันติสุขแห่งโรม”(Pax Romana)อันโด่งดัง
  • 3).นำจักรพรรดิเข้าสู่ยุคทองของ .วรรณกรรม  ข. สถาปัตยกรรมแบบโรม

2. คนทั้งหลายต่างก็ไปจดทะเบียนที่เมืองของตน (หมายถึงเมืองที่เป็นภูมิลำเนาของบรรพบุรุษหรือต้นตระกูล)

3.โยเซฟก็เดินทางจากเมืองนาซาเร็ธแคว้นกาลิลี ไปที่เมืองของดาวิดชื่อเบธเลเฮม(บ้านเกิดของดาวิด~1ซมอ.17:12;20:6) ในแคว้นยูเดียด้วย เพราะว่าเขาเป็นวงศ์วานและเชื้อสายของดาวิด (ในสมัยนั้น ต้องใช้เวลาเดินทางราว3วัน)

4.โยเซฟไปจดทะเบียนพร้อมกับมารีย์หญิง

  • 1).ที่เขาหมั้นไว้แล้ว (มธ.1:18) และ
  • 2).กำลังตั้งครรภ์ (มารีย์ก็อยู่ในเชื้อสายและวงศ์ตระกูลของดาวิดด้วย และตามกฏหมาย ผู้หญิงอายุ12ปีขึ้นไป ต้องจ่ายภาษีรายบุคคลด้วย ดังนั้น มารีย์ จึงจำต้องไปขึ้นทะเบียนด้วย)

5.เขาทั้งสองอยู่ที่นั่น ก็ถึงเวลาที่มารีย์จะคลอดบุตร

6.มารีย์จึงคลอดบุตรชายหัวปี

  • 1).เอาผ้าอ้อม (ปกติเป็นผ้าแถบใช้ห่อตัวทารกแรกเกิด) พันและ
  • 2).วางไว้ในรางหญ้า (ปกติใช้ใส่อาหารสัตว์ ) เพราะว่าไม่มีที่ว่างในโรงแรมสำหรับพวกเขา” -ลูกา 2:1-7 THSV11

ถ้าขนาดพระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่และสูงส่งมากสักเพียงใด ยังอาจ

  • ไม่ได้เป็นที่รู้จัก
  • ไม่ได้รับการต้อนรับ
  • ไม่ได้รับพระเกียรติ หรือการเทิดทูนอย่างสมกับฐานะศักดิ์ ทั้งๆที่พระองค์ทรงเสด็จมาเพื่อช่วยไถ่บาปของมวลมนุษย์ เราเองก็อย่ามองหาเกียรติ หรือ การต้อนรับอันสูงส่งอะไร ในการรับใช้หรือในการทำพันธกิจของเราเพื่อผู้อื่น เช่นกัน

อย่าคิดหรือเข้าใจผิดว่า ถ้าเรารับใช้พระเจ้าและผู้อื่นแล้ว ชีวิตของเรา จะมีแต่

  • 1).การได้รับแต่สิ่งดีๆตลอดเวลา
  • 2).การได้รับในทุกสิ่งที่ต้องการ
  • 3).การสะดวกสบายปลอดโปร่งเสมอ
  • 4).การปลอดจากอุปสรรคปัญหาใดๆ
  • 5).การไร้ซึ่งความทุกข์ ความเจ็บปวด เจ็บป่วย และความผิดหวังใดๆทั้งสิ้น

แต่ให้เราทำอย่างพระเยซูคริสต์ ที่ทรงเชื่อฟังพระบิดา และถ่อมพระองค์ลงมาบังเกิดเป็นทารกน้อยในวันคริสต์มาสนี้ และเติบใหญ่ยอมถูกตรึงไถ่บาปจนมรณาที่บนกางเขน เพื่อไถ่บาปของเราทุกคนตามแผนการของพระองค์

“จงมีจิตใจเช่นนี้ในพวกท่านเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสภาพเป็นพระเจ้า ไม่ทรงถือว่าความทัดเทียมกับพระเจ้าเป็นสิ่งที่จะต้องยึดไว้ แต่ทรงสละพระองค์เองและทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และทรงปรากฏอยู่ในสภาพมนุษย์ พระองค์ทรงถ่อมตัวลง ทรงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งมรณาบนกางเขน” ~ฟีลิปปี 2:5-8 THSV11

เราทุกคนควรซาบซึ้งและขอบคุณพระเยซูคริสต์สำหรับสิ่งที่พระองค์ได้ทำเพื่อเรา เหมือนดังที่ Tim Keller กล่าวว่า

“พระเยซูคริสต์ ทรงยอมรับต้นไม้แห่งความมรณา เพื่อเราจะได้ต้นไม้แห่งชีวิต!” (Jesus took the tree of death so you could have the tree of life.)

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะไม่มี

  • 1.ห้อง หรือ ที่ว่างสำหรับพระองค์ในยามที่ทรงมาบังเกิดหรือ แม้แต่
  • 2.สุสานส่วนตัวของพระองค์เองในยามที่ถูกตรึงสิ้นพระชนม์ แต่บัดนี้ พระองค์ทรงมีที่ประทับสูงส่งในสวรรค์ และในหัวใจของคนหลายพันล้านคนในโลกนี้

“เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงยกพระองค์ขึ้นสูงสุด และประทานพระนามเหนือนามทั้งหมดแก่พระองค์ เพื่อที่ว่าเพราะพระนามของพระเยซูนั้น
ทุกชีวิตในสวรรค์ บนแผ่นดินโลก และใต้พื้นแผ่นดินโลกจะคุกเข่าลงกราบพระองค์ และเพื่อที่ว่าทุกลิ้นจะยอมรับว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าพระบิดา!” ~ฟีลิปปี 2:9-11 THSV11

วันหนึ่งเราทุกคนที่เชื่อ เชื่อฟัง และทำตามแบบอย่างขององค์พระคริสต์ ด้วยความวางใจจนถึงที่สุด ก็จะได้มีส่วนร่วมในพระเกียรติสิริของพระองค์นั้นด้วยเช่นกัน ด้วย

อย่างนี้ เราน่าจะร้องว่า “ฮาเลลูยา”ต่อพระนามของพระเยซูคริสต์แห่งวันคริสต์มาสนี้ ออกมา ด้วยความชื่นชมยินดียิ่ง! เหมือนดังที่ John Newton ผู้ประพันธ์บทเพลงอมตะ”พระคุณพระเจ้า” (Amazing Grace ) กล่าวว่า

“นามของพระเยซูช่างไพเราะยิ่งนัก ในโสตสัมผัสของบรรดาผู้เชื่อผู้จงรัก นามนี้บรรเทาความทุกข์โศกเศร้า ช่วยเยียวยารักษาบาดแผลขีวิต และขับไล่ความกลัว ให้มลายหายไปสิ้น!” (How sweet the name of Jesus sounds, in a believer’s ear! It soothes his sorrows, heals his wounds, and drives away his fear.)

… อาเมนไหมครับ?

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (9 ธันวาคม 2022)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

เรื่องราวของคริสต์มาส โดย ศจ ธงชัยประดับชนานุรัตน์ (4)

คอลัมน์ :”ส ด แ ต่ เ ช้ า” ปี 2 (251)

แสงอรุณจากเบื้องสูงแห่งวันคริสต์มาส!

“โดยพระทัยเมตตาของพระเจ้าของเรา แสงอรุณจากเบื้องสูงจึงมาเยี่ยมเยียนเรา” ~ลูกา 1:78 THSV11

“because of the tender mercy of our God, by which the rising sun will come to us from heaven” ~Luke 1:78 NIV

พระสันตปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ตรัสว่า

“ถ้าแยกจากพระเมตตาคุณขององค์พระเป็นเจ้า จะไม่มีความหวังจากแหล่งอื่นใดสำหรับมนุษยชาติอีกเลย!”

( Apart from the mercy of God, there is no other source of hope for mankind.) ~Pope John Paul II

ในพระคัมภีร์ ได้พรรณนาถึงพระทัยอันเมตตาของพระเจ้าจากคำพยากรณ์ของเศคาริยาห์ เกี่ยวกับการเสด็จมาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า ผู้เป็นดุจแสงอรุณจากเบื้องสูงที่ส่องลงมายังโลกแห่งความมืดมิดเพราะบาปไว้ดังนี้

1.เศคาริยาห์ผู้เป็นบิดา (ของยอห์น)

  • 1).เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำ ให้แสดงสิ่งที่เกินความคาดคิดให้เกิดขึ้นในที่นี้ คือนำให้เศคาริยาห์ กล่าวคำพยากรณ์ ที่ไม่ใช่เพียงแค่คำทำนายถึงอนาคตแต่
    เป็นการประกาศพระดำรัสและพระดำริของพระเจ้าด้วย และทั้งเศคาริยห์ และเอลิซาเบธ ต่างก็ได้รับการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้กระทำเช่นนั้น)
  • 2).กล่าวพยากรณ์ว่า “สาธุการแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของอิสราเอล เพราะว่าพระองค์: 
  • -ก.ทรงเยี่ยมเยียน และ
  • -ข.ทรงไถ่ชนชาติของพระองค์ (การไถ่นี้ ไม่ได้จำกัดอยู่ที่เพียงเรื่องความรอดหรือความมั่นคงของประเทศ ~ข.71 แต่รวมถึงความรอดด้านศีลธรรมและจิตวิญญาณด้วย~ข.75,77)
  • -ค.ทรงให้ผู้ช่วยทรงฤทธิ์ (คือพระเยซูคริสต์ องค์พระเมสสิยาห์)เกิดมาเพื่อเรา ในเชื้อวงศ์ของดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ ตามที่พระองค์ตรัสไว้ตั้งแต่โบราณโดยปากของผู้เผยพระวจนะบริสุทธิ์ของพระองค์ คือ
  • ง.ทรงให้เรารอด 1).พ้นจากพวกศัตรู และ   2).พ้นจากเงื้อมมือของทุกคนที่เกลียดชังเรา ( รวมทั้งการปลดปล่อยจากการกดขี่ข่มเหง และการพันธนาการทุกรูปแบบ ไม่ใช่เพียงแต่ปลดปล่อยให้พ้นจากบาปเท่านั้น)

ดังนั้นพระองค์จึง

  • -จ.ทรงสำแดงพระกรุณาตามที่ทรงสัญญาแก่บรรพบุรุษของเรา และ
  • -ฉ.ทรงระลึกถึงพันธสัญญาบริสุทธิ์ของพระองค์ คือคำปฏิญาณที่พระองค์ทรงทำไว้กับอับราฮัมบรรพบุรุษของเราว่า เมื่อเราพ้นจากเงื้อมมือของพวกศัตรูแล้ว จะโปรดให้เราปรนนิบัติพระองค์โดยปราศจากความกลัว 1).ด้วยความบริสุทธิ์และ 2).ด้วยความชอบธรรม เฉพาะพระพักตร์พระองค์ตลอดชีวิต

“ทารกเอ๋ย(ยอห์น)เขาจะเรียกเจ้าว่า”ผู้เผยพระวจนะของผู้สูงสุด” ~ลก.1:76 (ในขณะที่พระเยซูคริสต์ จะได้รับการเรียกว่า “พระบุตรของพระเจ้าสูงสุด”~ลก.1:32

เพราะว่าเจ้า

  • -ก.จะนำหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและ
  • -ข.จะจัดเตรียมมรรคาของพระองค์ เพื่อจะให้ชนชาติของพระองค์รู้ถึงความรอดซึ่งมาทางการทรงยกโทษบาปเขาเหล่านั้น โดยพระทัยเมตตาของพระเจ้าของเรา “แสงอรุณจากเบื้องสูง”(หมายถึง การเสด็จมาขององค์พระเยซูคริสต์ผู้เป็นพระเมสสิยาห์)
  • ก. มาเยี่ยมเยียนเรา
  • ข. ส่องสว่างแก่คนทั้งหลายที่อยู่ – ก).ในความมืด และ ข).ในเงาของความมรณา (คือคนที่ถูกแยกจากพระเจ้าและหลงหายไปจากพระองค์ ~อสย.9:1-2;มธ.4:15-16) เพื่อจะนำเท้าของเราไปในทางสันติสุข”

2.ทารกน้อยนั้น (ยอห์น)

  • 1).ก็เจริญวัยขึ้น และ
  • 2).จิตวิญญาณก็มีกำลังทวีขึ้น
  • 3).ท่านไปอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร (บิดามารดาของยอห์นให้กำเนิดเขา ตอนที่พวกท่านชรามากแล้ว จึงน่าจะเสียชีวิตก่อนที่ยอห์นจะเป็นหนุ่ม เขาจึงไปเติบโตในถิ่นทุรกันดารยูเดีย ที่อยู่ระหว่างเยรูซาเล็ม กับทะเลตาย) จนถึงวันที่ท่านมาปรากฏแก่ชนชาติอิสราเอล ( ยอห์น ปรากฏตัว เริ่มต้นพันธกิจ ในการเทศนา สั่งสอน และประกาศเรื่องการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ ต่อสาธารณชนในตอนอายุราว 30ปี) ~ลูกา 1:67-80

ในพระธรรมตอนนี้ (ลก.1:68~79) ถูกเรียกว่า “เบเนดิกทัส” (Benedictus) แปลว่า “ขอสรรเสริญ” ตามคำขึ้นต้นของบทเพลงตอนนี้ ในพระคัมภีร์ฉบับแปลลาติน วุลเกต

ขณะที่

  • 1.“แมกนิฟีแคท” (Magnificat) ใน ลก.1:46~55 เป็นดุจเพลงสดุดี
  • 2.“เบเนดิกทัส” (Benedictus) ใน ลก.1:68~79 นี้ ก็เป็นเหมือนเพลงสดุดีที่เป็นคำพยากรณ์ด้วย

สิ่งที่เศคาริยาห์พรรณนา ทำให้ผมระลึกพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ว่า

” .. อันความกรุณาปรานี จะมีใครบังคับก็หาไม่ หลั่งมาเองเหมือนฝน อันชื่นใจ จากฟากฟ้า สุราลัยสู่แดนดิน .. ”

พี่น้องที่รัก

พระเจ้าทรงบัญชาต่อเศคาริยาห์ เอลีซาเบธ และยอห์น ให้มีส่วนในแผนการนำแสงอรุณแห่งความกรุณาปรานีของพระเจ้าจากฟากฟ้าเบื้องบนลงมาเพื่อช่วยมวลมนุษยชาติเบื้องล่างให้รอดพ้นจากกรรมบาปที่แต่ละคนได้ก่อขึ้นมาเอง และทั้งสามล้วนตอบสนองเป็นอย่างดีด้วยใจสดุดี และโมทนาสรรเสริญพระเจ้า

แล้วถ้าวันนี้ พระเจ้าทรงเลือกและทรงเรียกให้คุณมีส่วนในพันธกิจแห่งการช่วยให้รอดนี้ด้วย  …คุณจะตอบสนองอย่างไร?

ขอให้คุณระลึกถึงและยึดมั่นทำตามถ้อยคำของเซนต์ออกัสติน ดังนี้ ไว้เสมอว่า

“จงวางใจ มอบอดีตไว้กับพระเมตตาของพระเจ้า มอบปัจจุบันไว้กับความรักของพระองค์ และมอบอนาคตไว้กับการจัดเตรียมของพระองค์!”

(Trust the past to the mercy of God, the present to His love, and the future to His providence.) ~Saint Augustine

…จะดีไหมครับ?

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (8 ธันวาคม 2022)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

เรื่องราวของคริสต์มาส โดย ศจ ธงชัยประดับชนานุรัตน์ (3)

คอลัมน์ :”ส ด แ ต่ เ ช้ า” ปี2 (250)

เอลีซาเบธ เศคาริยาห์ และคริสต์มาส

“นี่แน่ะ เพราะท่านไม่ได้เชื่อถ้อยคำของเราที่จะสำเร็จตามกำหนด
ท่านจะเป็นใบ้ พูดไม่ได้จนกว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้น”” ~ลูกา‬ ‭1‬:‭20‬ ‭THSV11‬‬
“You have not believed what I have said. So you will not be able to say a thing until all this happens. But everything will take place when it is supposed to.”” ‭‭ ~Luke‬ ‭1‬:‭20‬ ‭CEV‬‬

Germany Kent กล่าวว่า

“จงให้ชีวิตของคุณสะท้อนความศรัทธาที่คุณมีในพระเจ้า ไม่ต้องกลัวสิ่งใด และให้อธิษฐานเกี่ยวกับทุกสิ่ง จงเข้มแข็ง จงไว้วางใจในพระวจนะของพระเจ้า และจงวางใจในกระบวนการ!”
(Let your life reflect the faith you have in God. Fear nothing and pray about everything. Be strong, trust God’s word, and trust the process.)

วันนี้ ผมอ่านพระคัมภีร์ค่อนข้างยาว ได้เห็นบทเรียนของกระบวนการของความศรัทธาที่เราพึงมี ผมขอแบ่งเรื่องราว ที่เป็นบทนำของวันคริสต์มาส ออกเป็น 2 ตอน ดังนี้

ตอนแรก:

1. เศคาริยาห์เป็นปุโรหิต ในสมัยที่เฮโรด (37-4 ก.ค.ศ).ครองราชย์อยู่ เขามีภรรยาชื่อเอลีซาเบธ

  • 1).ทั้ง 2 ต่างก็สืบเชื้อสายมาจากอาโรนด้วย
  • 2).ทั้งคู่ ล้วนเป็นคนชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า
  • 3).ทั้ง 2 ยึดถือบทบัญญัติและกฎเกณฑ์ทั้งปวงขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่มีที่ติ แต่
  • 4).ทั้ง 2 ไม่มีบุตรเพราะ ก.เอลีซาเบธเป็นหมัน และ ข.ทั้งสองก็ชราแล้ว

2. เศคาริยาห์กำลังปฏิบัติหน้าที่ปุโรหิตต่อหน้าพระเจ้า โดยเข้าไปเผาเครื่องหอมบูชาในพระวิหาร ขององค์พระผู้เป็นเจ้า

  • โดย ผู้นมัสการทั้งปวงที่ชุมนุมกันก็กำลังอธิษฐานอยู่ข้างนอก

3. ทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏแก่เขาโดยยืนอยู่ด้านขวาของแท่นเผาเครื่องหอม

4. เศคาริยาห์เห็นก็ตกใจกลัว

5. ทูตนั้นกล่าวกับเขาว่า  “เศคาริยาห์เอ๋ย อย่ากลัวเลย พระเจ้าทรงได้ยินคำอธิษฐานของท่านแล้ว เอลีซาเบธภรรยาของท่านจะคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อเขาว่า ‘ยอห์น’ (ยอห์น ชื่อนี้แผลงมาจากคำฮีบรู ที่แปลว่า “พระเจ้าทรงพระคุณ”)

  • 1).เขาจะเป็นความชื่นชมยินดีและความสุขใจแก่ท่านและ
    คนทั้งหลายจะปีติยินดีที่เขาเกิดมา
  • 2).เขาจะยิ่งใหญ่ในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า
  • 3).เขาจะไม่ดื่มเหล้าองุ่นและของมึนเมาเลย และ
  • 4).เขาจะเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตั้งแต่เกิด(จนตลอดชีวิต)
  • 5).เขาจะนำชนอิสราเอลมากมายกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของพวกเขา และ
  • 6).เขาจะนำหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยจิตใจและฤทธิ์อำนาจของเอลียาห์ (แต่ไม่ใช่เอลียาห์กลับชาติมาเกิด) ก.เพื่อให้จิตใจของบิดาหันมาหาบุตรและให้คนดื้อด้านหันมาสู่สติปัญญาของผู้ชอบธรรม
    ข.เพื่อจัดเตรียมชนชาติหนึ่งไว้สำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า”

“อย่ากลัวเลย” = ถ้อยคำที่พระเจ้าใช้สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้เชื่อพระองค์เสมอมา (ลก.1:30;2:10;5:10;8:50;12:7,32; ปฐก.15:1;21:17;26:24; ฉธบ.1:21;ยชว.1:9;8:1)

6. เศคาริยาห์ถามทูตนั้นว่า  “ข้าพเจ้าจะแน่ใจในเรื่องนี้ได้อย่างไร?
ตัวข้าพเจ้าก็ชราและภรรยาก็อายุมากแล้ว”

7. ทูตนั้นตอบว่า “เราคือกาเบรียล (ชื่อนี้ แปลว่า “พระเจ้าเป็นวีรบุรุษหรือ “ผู้แกร่งกล้าของพระเจ้า”) เรายืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า พระองค์ทรงใช้เรามาพูดกับท่าน และให้มาบอกข่าวดีนี้แก่ท่าน บัดนี้ท่านจะเป็นใบ้ตราบจนวันที่สิ่งนี้เกิดขึ้น เพราะท่านไม่เชื่อคำของเราซึ่งจะเป็นจริงเมื่อถึงเวลาที่กำหนด”

8. เศคาริยาห์ออกมาก็พูดกับใครไม่ได้

9. คนทั้งหลายที่รอปุโรหิตออกมากล่าวคำอวยพร ก็ตระหนักว่าเขาได้เห็นนิมิตในพระวิหาร

10. เศคาริยาห์ทำหน้าที่จนครบกำหนดเวลา(1สัปดาห์ทุกๆ6เดือน)แล้วก็กลับบ้าน
11. เอลีซาเบธภรรยาของเขาตั้งครรภ์ในเวลาต่อมา และเก็บตัวอยู่ห้าเดือน

12. เอลีซาเบธ กล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำการนี้เพื่อข้าพเจ้า บัดนี้พระองค์ทรงสำแดงความโปรดปรานและทรงขจัดความอดสูของข้าพเจ้าในหมู่ผู้คนไป”” ‭‭ ~ลูกา‬ ‭1‬:‭5-‭25‬ ‭

( การไม่มีบุตรในสมัยนั้น ทำให้

  • 1.คนเป็นพ่อแม่ ไม่ทีความสุข
  • 2.คนทั่วไปถือว่าพระเจ้าไม่โปรดปรานครอบครัวนั้น
  • 3.สังคมจะประณาม)

ตอนที่2:

1. นางเอลีซาเบธให้กำเนิดบุตรชาย เมื่อถึงกำหนดคลอด

2. เพื่อนบ้านและญาติพี่น้องของนางได้ยินว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงพระเมตตาแก่นางอย่างมาก

3. เขาทั้งหลายก็พากันมาร่วมชื่นชมยินดี

4. พวกเขาพากันมาให้ทารกนั้นเข้าพิธีสุหนัต เมื่อถึงวันที่แปด

5. พวกเขากำลังจะตั้งชื่อทารกนั้นว่า เศคาริยาห์ ตามชื่อบิดาผู้เป็นปุโรหิต

6. เอลีซาเบธ ผู้เป็น มารดากลับท้วงติงตอบว่า “ไม่ได้ จะต้องตั้งชื่อเด็กคนนี้ ว่ายอห์น

7. พวกเขาตอบนางว่า “ไม่มีใครในพวกหมู่ญาติของท่านที่มีชื่ออย่างนั้น”

8. พวกเขาจึงทำท่าทางบุ้ยใบ้กับ เศคาริยาห์ผู้เป็นบิดา และถามว่า
“ท่านอยากจะให้บุตรนั้นชื่ออะไร?”

9. บิดาจึงขอกระดานชนวนมา เขียนว่า “ชื่อของเขาคือยอห์น”

10. คนทั้งหลายก็ประหลาดใจ

11. เศคาริยาห์ก็เริ่มสรรเสริญพระเจ้า

  • 1).ปากของเขาก็เปิด
  • 2).ลิ้นของเขาก็หายติดขัด กลับเป็นปกติพูดได้อีก
    (การสรรเสริญพระเจ้า เป็นประเด็นหลักในพระธรรมลูกา: 2:13,20,28; 5:25-26; 7:16;13:13; 17:15,18;18:43;19:37;23:47;24:53)

12. เพื่อนบ้านของเขาก็เกิดความเกรงกลัว

13. ผู้คนพากันโจษจันเรื่องนี้ และเหตุการณ์นี้ก็เลื่องลือไปทั่วแถบภูเขาแคว้นยูเดีย

14. บรรดาคนที่ได้ยินเรื่องนี้ ประหลาดใจ

  • 1).จดจำไว้ในใจ และ
  • 2).กล่าวถามกันว่า “เด็กทารกคนนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไปข้างหน้านะ?” เพราะว่าพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่กับเขา ‭‭ ~ลูกา‬ ‭1‬:‭57‬-‭66‬

พี่น้องที่รัก

ขอให้คุณมีความศรัทธาในพระเจ้าอยู่เสมอไม่ว่า สถานการณ์ที่คุณเผชิญอยู่จะเป็นอย่างไรก็ตาม แล้วคุณจะได้รับรางวัลจากความศรัทธาของคุณ เหมือนดังที่ SAINT AUGUSTINE กล่าวว่า

“ความศรัทธาคือ การเชื่อในสิ่งที่คุณมองไม่เห็น และรางวัลแห่งความศรัทธานี้ก็คือ คุณจะได้เห็นในสิ่งที่คุณเชื่อ!” (Faith is to believe what you do not see; the reward of this faith is to see what you believe.)

วันนี้ 
คุณศรัทธาในพระเจ้าสูงสุดนี้ จริงๆแล้วหรือไม่ ไม่ว่าสถานการณ์จะดูสิ้นหวังแค่ไหน?

  1. คุณพร้อมจะยอมรับและทำตามทุกสิ่งที่พระองค์ทรงบัญชาให้คุณทำอย่างเชื่อฟังหรือไม่?
  2. คุณสามารถสรรเสริญพระเจ้าออกมาด้วยความยินดีอย่างเต็มหัวใจล้นออกมาจากปากหรือไม่?
  3. คุณพร้อมเป็นพยานถึงมหกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในและผ่านชีวิตของคุณและครอบครัวหรือไม่?
  4. คุณพร้อมแสดงความเชื่อในพระเจ้าของคุณออกมาให้ประจักษ์ผ่าน
    1).การดำเนินชีวิต  2).การทำงาน และ 3).การรับใช้ของคุณหรือไม่?

…ช่วยตอบที จะได้ไหมครับ?

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (7ธันวาคม 2022)