Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

เรื่องราวของคริสต์มาสโดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (14)

คอลัมน์ :”ส ด แ ต่ เ ช้ า” ปี 2 (267)

คริสต์มาสแห่งความรัก!

“พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์
เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” ~ยอห์น 3:16 THSV11

“For God so loved the world that he gave his one and only Son,
that whoever believes in him shall not perish but have eternal life.” ~John 3:16 NIV

คริสต์มาสเป็นเรื่องราวของความรัก!  โดยเริ่มต้นจากการที่พระเจ้าทรงรักมวลมนุษยชาติ และแสดงความรักนั้นออกมาผ่านทางองค์พระเยซูคริสต์ ผู้:

  1. ทรงลงมาประสูติในโลกนี้ รับสภาพอย่างมนุษย์
  2. ทรงสั่งสอนให้มนุษย์ทั้งปวงรู้จักกับพระเจ้า
  3. ทรงรับใช้ปรนนิบัติมนุษย์ทั้งหลายด้วยพระทัยเมตตา
  4. ทรงรับความทุกข์ทรมานและสละพระชมม์ของพระองค์เพื่อไถ่บาปของมนุษย์ทั้งปวง
  5. ทรงสัญญาว่าจะเสด็จกลับมารับทุกคนที่เชื่อและรับการไถ่บาปนี้ไปอยู่กับพระองค์นิรันดร์กาล

ความจริงแห่งข่าวดีนี้ เป็นแก่นแท้แห่งความเชื่อในเรื่องความรักของพระเจ้า ที่ปรากฏอยู่ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ว่า

“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์” ~ยอห์น 3:16 TNCV

โดยมีปราชญ์ได้พิจารณาแยกแยะให้เห็นความจริงอันล้ำลึกฝ่ายวิญญาณเกี่ยวกับความรักของพระเจ้า จากพระธรรมอันโด่งดังข้อนี้ไว้ดังนี้

  • “เพราะว่า” = เหตุผลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
  • “พระเจ้า”= บุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
  • “ทรงรัก” = แรงจูงใจ หรือ แรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
  • “โลกนี้” = ผู้รับที่ใหญ่ยิ่งที่สุด
  • “คือได้ประทาน”= การกระทำที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
  • “พระบุตรองค์เดียวของพระองค์” = ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
  • “เพื่อทุกคน”= คำเชิญชวนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
  • “ที่วางใจ” = เงื่อนไขธรรมดาที่ใหญ่ยิ่งที่สุด
  • “ในพระบุตรนั้น”= ผู้เสียสละที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
  • “จะไม่พินาศ “= การช่วยกู้ให้รอดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
  • “แต่” = ความแตกต่างที่ใหญ่ยิ่งที่สุด
  • “มี” = ความแน่นอนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
  • “ชีวิตนิรันดร์” = การครอบครองอันถาวรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

ด้วยเหตุนี้ ผู้ใดที่

  • 1.รู้เรื่อง และ
  • 2.รู้จักกับพระเจ้า และพระคริสต์แห่งวันคริสต์มาสนี้จริงๆเป็นส่วนตัว เขาจะค่อยๆกลายเป็น “บุคคลแห่งความรัก” ไม่ว่าอดีตของเขาจะเป็นอย่างไรมาก็ตาม

ชีวิตของเขา ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การโพสต์ หรือการกระทำใดๆของเขาจะล้วนแสดงให้เห็น “พระคริสต์เจ้า”ในตัวของเขา!

  • 1.เขาจะเป็นดุจ “พระคริสต์น้อย” ที่อยู่ในบ้าน ในบริษัท ในโบสถ์ หรือ ในที่ต่างๆ
  • 2.เขาจะเป็นดุจ “พระคัมภีร์” เปิดออก ที่เดินไปมาให้คนทั้งหลายได้อ่านอย่างชัดแจ้ง และเมื่อพวกเขารวมตัวกันนมัสการพระเจ้า และสามัคคีธรรมร่วมกัน
  • 3.พวกเขาก็จะเป็น “คริสตจักร” ของพระเจ้า

1).ที่ประกาศข่าวดี และเสนอความรักของพระคริสต์เจ้า
2).ที่เปิดประตูออกกว้างต้อนรับคนทั้งปวงให้เข้ามาหาพระคริสต์แห่งวันคริสต์มาสนี้ด้วยความกระตือรือร้น และ ความชื่นชมยินดี

  • 4.พวกเขาจะเป็น “ครอบครัว” ของพระคริสต์

1).ที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักของพระคริสต์ซึ่งมีให้แก่กันทุกเวลา
2).ที่เต็มล้นด้วยความสุขแท้ที่เรียกว่า “สันติสุข”อยู่ในจิตใจตลอดกาล

ดังนั้น ทุกคนที่รู้จักกับพระคริสต์แห่งวันคริสต์มาส จะต้องกระทำ ดังนี้

“ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น
แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง” ~1 ยอห์น 3:18 THSV11

“Dear children, let us not love with words or speech but with actions and in truth.” ~1 John 3:18 NIV

และเราจะตัอง ทำเช่นนี้ ตลอดไปนั่นคือ

“จงให้ความรักฉันพี่น้องมีอยู่ต่อกันเสมอไป” ~ฮีบรู 13:1 THSV11

“Keep on loving one another as brothers and sisters.” ~Hebrews 13:1 NIV

พี่น้องที่รัก

ให้เรามาทำคริสต์มาสของเรา ให้เป็น “คริสต์มาสแห่งความรัก” อย่างแท้จริง ด้วยการแบ่งปันความรักอันแสนวิเศษนี้ให้แก่คนอื่นๆโดยไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ตั้งแต่เช้าวันนี้จรดค่ำ เหมือนดังที่ Jeanette Duby กล่าวไว้ว่า

“พระเจ้าเป็นความรัก พระองค์ทรงรักเรา และพระองค์ทรงติดตามหาเราด้วยความรักนั้น และเมื่อฉันได้มีประสบการณ์กับความรักของพระองค์ ฉันจึงสามารถแบ่งปันความรักกับคนอื่นๆฉันซาบซึ้งในความรักที่พระเจ้าทรงมีสำหรับฉันยิ่งนัก!”

(God is love. He loves us and He pursues us with that love.  And when I experienced His love, I was able to share that love with others. I appreciate the love God has for me.)

…จะดีไหมครับ?

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (24 ธันวาคม 2022) 

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

เรื่องราวของคริสต์มาส โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (13)

คอลัมน์ : “ส ด แ ต่ เ ช้ า” ปี 2 (265)

ความเมตตาของพระคริสต์ (แห่งวันคริสต์มาส)

“คนตาบอดคนนั้นจึงร้องว่า “เยซู บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงพระเมตตาข้าพระองค์เถิด”” ~ลูกา 18:38 THSV11

“He called out, “Jesus, Son of David, have mercy on me!”” ~Luke 18:38 NIV

ผมชอบที่ Mathew N. Schmalz กล่าวไว้ว่า

“พระเมตตาคือ การตอบสนองด้วยความรักของพระเจ้าต่อคนบาป
และความเมตตาคือการตอบสนองด้วยความรักของเราต่อคนอื่น
และต่อตัวเราเอง ในสภาพการณ์ที่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ!”

(Mercy is God’s loving response to sinners; and mercy is our loving response to others and to ourselves—in circumstances of need.)

เมื่อพระเยซูคริสต์แห่งวันคริสต์มาสทรงเติบใหญ่ พระองค์ออกกระทำพระราชกิจ ด้วยการรับใช้ช่วยเหลือประชาชนทั้งหลายด้วยพระเมตตาอันใหญ่หลวง และมีหนึ่งเรื่องราวที่น่าประทับใจดังนี้

1.พระเยซูคริสต์เสด็จมาใกล้เมืองเยรีโค

2.คนตาบอดคนหนึ่ง(ชื่อ บารทิเมอัส~มก.10:46)

  • 1).นั่งขอทานอยู่ริมทาง
  • 2).ได้ยินเสียงฝูงชนเดินผ่าน
  • 3).จึงถามว่ามีเรื่องอะไร?
  • 3.พวกเขาจึงบอกว่า เยซูชาวนาซาเร็ธเสด็จผ่านมา
  • 4.คนตาบอดคนนั้นจึงร้องว่า

“เยซู บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงพระเมตตาข้าพระองค์เถิด”

(ชื่อ “บุตรของดาวิด” = ชื่อเรียกหนึ่งของพระเมสสิยาห์ หรือ พระคริสต์ ~มธ.1:1;12:23;22:41-45;มก.10:47;12:35; ยน.7:42; สดด.89:3-4; อมส.9:11; 2ซมอ.7:12-13)

  • 5.คนที่เดินอยู่ข้างหน้านั้นจึงห้ามเขาเพื่อให้เขาเงียบ
  • 6.คนตาบอดยิ่งร้องขึ้นว่า

“บุตรดาวิดเจ้าข้า ขอทรงพระเมตตาข้าพระองค์เถิด”

3.พระเยซู

  • 1).ทรงหยุดและ
  • 2).ทรงยืนอยู่ และ
  • 3).ทรงสั่งให้พาคนตาบอดมาหาพระองค์
  • 8.คนตาบอดเข้ามาใกล้แล้ว
  • 9.พระเยซูตรัสถามเขาว่า “ท่านปรารถนาจะให้เราทำอะไรแก่ท่าน?”
  • 10คนตาบอดทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดให้ข้าพระองค์เห็นได้”
  • 11.พระเยซูตรัสกับเขาว่า

“จงเห็นเถิด ความเชื่อของท่านทำให้ตัวท่านหายปกติแล้ว”

( และอาจมีความหมายอีกว่า “ความเชื่อของท่าน ทำให้ท่านรอด”
~มธ.9:22; ลก.17:19;7:50; มก.5:34 ปท. มก.8:48,50
=บาปได้รับการให้อภัย และสามารถมีสันติสุขของพระเจ้าในชีวิตได้

  • 12.คนตาบอด จึง
       1).เห็นได้ในทันใด และ
       2).ตามพระองค์ไป พร้อมกับ
       3).ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
  • 13.ประชาชนเห็นเช่นนั้น พวกเขาก็สรรเสริญพระเจ้าด้วย
    (การสรรเสริญพระเจ้า = ประเด็นหลักปกติ ในพระธรรมลูกา
    ~2:13,20,28;5:25-26;7:16;13:13;17:15,18;18:43;19:37;23:47;24:53
    (ลูกา 18:35-43)

ใช่ครับ ในเมื่อพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรัก และพระทัยเมตตา ในการ

  • 1.ช่วยเหลือและ
  • 2.รับใช้ผู้คนที่เดือดร้อน ทั้งทางกาย จิต และวิญญาณ ด้วยความถ่อมพระทัย 

เราทุกคนที่เป็นคนของพระองค์ ที่ได้ชื่อว่า เป็น”คริสตชน” ก็ควรมีจิตใจเปี่ยมด้วยเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าเขาจะเป็นใครมาจากไหนก็ตาม โดยไม่เลือกภูมิหลัง ชั้นวรรณะ เชื้อชาติ หรือ ศาสนาใด

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเองได้รับความสุขใจมากล้น จากการได้แสดงความเมตตาต่อผู้อื่น ในวิสัยที่พอจะทำได้ อาทิ ได้

  • 1.มีส่วนร่วมสมทบทุนช่วยเหลือเพื่อนสมัยเป็นนักเรียนโรงเรียนวัดที่มีปัญหาเรื่องฟันและเรื่องเงิน
  • 2.ช่วยค่าอาหารลูกคนขับแท็กซี่ ที่มีปัญหาหนี้สินและปัญหาครอบครัว
  • 3.หนุนใจและให้กำลังใจกับพี่น้องที่สูญเสียสมาชิกที่รักในครอบครัว ในงานศพ
  • 4.ให้คำปรึกษาช่วยเหลือครอบครัวที่แตกสลายแต่ประสงค์จะเริ่มต้นกันใหม่
  • 5.ช่วยประกอบพิธีสมรสให้กับคู่บ่าวสาวที่มีความขัดแย้งในครอบครัวทั้งสองฝ่ายและคืนดีกัน
  • 6.เยี่ยมเยียนผู้อาวุโสในสถานดูแล และประกาศข่าวดีคริสต์มาสและมีผู้รับเชื่อ มีกำลังใจสู้ชีวิต
  • 7.ให้คำปรึกษาแก่ผู้มีความสงสัย ความทุกข์ใจ และเจ็บป่วยท้อแท้หลายคนในกลุ่มแคร์ต่างๆ

พี่น้องที่รัก

ให้เรามาทำคริสต์มาสของเราให้มีความหมาย เหมือนอย่างที่ Calvin Coolidge แนะนำที่ว่า

“คริสต์มาสไม่ใช่เวลาหรือฤดูกาล แต่เป็นสภาวะทางความคิด การทะนุถนอมสันติสุข และ ความปรารถนาดี การบริบูรณ์ด้วยความเมตตา
เหล่านี้ คือ การมีจิตวิญญาณที่แท้จริงของวันคริสต์มาส!”

(Christmas is not a time nor a season, but a state of mind. To cherish peace and goodwill, to be plenteous in mercy, is to have the real spirit of Christmas.)

ใช่ครับ ขอให้เราแสดงความเมตตาและจิตไมตรี โดยเริ่มจาก

1.ต่อตัวเอง โดยการ

  • 1).ปล่อยวางทุกสิ่งที่ถ่วงชีวิตเราให้ต่ำลง
  • 2).ปลดปล่อยตัวเราเองให้เป็นอิสระจากความโกรธกลียด และความขมขื่นใจ
  • 3).ปฏิบัติต่อตัวด้วยความทะนุถนอมและให้รางวัลชีวิตแก่ตัวเองบ้าง

2.ต่อผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่กำลังจำเป็นต้องได้รับความอนุเคราะห์ช่วยเหลือ โดยการ

  • 1).อธิษฐานเผื่อเขา หรือ อธิษฐานกับเขา ให้เขามีกำลังจากพระเจ้าในการสู้ชีวิต
  • 2).แบ่งปันหรือให้ปัจจัยหรือสิ่งที่จำเป็นต่อการอยู่รอดปลอดภัยให้แก่พวกเขาในยามวิกฤติ
  • 3).ช่วยพวกเขาให้พ้นจากสภาพที่ช่วยตัวเองไม่ได้ ไม่ว่าจะทางกายจิต หรือวิญญาณ

ขอให้เรามาเริ่มทำพันธกิจแห่งความเมตตานี้ เหมือนที่องค์พระเยซูคริสต์ทรงกระทำต่อคนตาบอดในเรื่องนี้ ในทันที ในคริสต์มาสนี้ และปีใหม่นี้ เลย

…จะดีไหมครับ?

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (22 ธันวาคม 2022)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม :   ”พระคัมภีร์กล่าวถึงความเมตตาของพระเจ้า และของพระเยซูคริสต์ไว้อย่างไรบ้าง?”

ตอบ “พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องพระเมตตาของพระเจ้าและของพระเยซูคริสต์ไว้ดังนี้

1. พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา และการหนุนใจ
“แต่พระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา พระองค์ทรงรักเราโดยความรักอันใหญ่หลวงของพระองค์” ~เอเฟซัส 2:4 THSV11

“สาธุการแด่พระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระบิดาผู้ทรงพระเมตตากรุณา พระเจ้าแห่งการหนุน ใจทุกอย่าง” ~2 โครินธ์ 1:3 THSV11

2. พระเจ้าทรงช่วยเราให้รอดด้วยพระเมตตาของพระองค์ ไม่ขึ้นอยู่กับความดีของเรา
“พระองค์ก็ทรงช่วยเราให้รอด ไม่ใช่เพราะความชอบธรรมที่เราทำเอง แต่ด้วยพระเมตตาของพระองค์โดยผ่านการชำระให้บังเกิดใหม่และสร้างใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์” ~ทิตัส 3:5 THSV11

3. พระเจ้าทรงเมตตาและอภัยโทษ ต่อการอธรรมของเราและไม่จดจำบาปของเรา
“เพราะเราจะเมตตาต่อการอธรรมของพวกเขา และจะไม่จดจำบรรดาบาปของพวกเขาไว้เลย”” ~ฮีบรู 8:12 THSV11

4. เราควรสำนึกผิด ถ่อมใจขอความเมตตาจากพระเจ้า สำหรับการละเมิดของเรา
“ส่วนคนเก็บภาษีนั้นยืนอยู่แต่ไกล ไม่ยอมแม้แต่แหงนหน้าดูฟ้า แต่ตีอกชกตัวกล่าวว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด’” ~ลูกา 18:13 THSV11

“ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงพระเมตตาข้าพระองค์ ตามความรักมั่นคงของพระองค์ ตามพระกรุณาอันอุดมของพระองค์ ขอ ทรงลบบรรดาการละเมิดของข้าพระองค์” ~สดุดี 51:1 THSV11

5.เราควรซาบซึ้งในพระเมตตา ที่พระเยซูคริสต์ทรงรอคอยและอดทนต่อเราอย่างมาก เพื่อให้เราเป็นแบบอย่าง

“แต่เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงได้รับพระเมตตา เพื่อว่าพระเยซูคริสต์จะได้ทรงสำแดงความอดทนอย่างยิ่งต่อข้าพเจ้าซึ่งเป็นตัวเอ้นั้น เพื่อเป็นแบบอย่างแก่คนทั้งหลาย ที่จะเชื่อในพระองค์ แล้วได้รับชีวิตนิรันดร์”   ~1 ทิโมธี 1:16 THSV11

“เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์ทรงรอคอยที่จะเมตตาท่าน เพราะฉะนั้น พระองค์จะทรงลุกขึ้นเพื่อกรุณาพวกท่าน เพราะพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าที่ยุติธรรม ทุกคนที่รอคอยพระองค์ก็เป็นสุข” ~อิสยาห์ 30:18 THSV11

6. เราควรตระหนักว่า ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับพระเมตตาของพระเจ้า ไม่ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของเรา
“เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งจึงไม่ขึ้นกับความตั้งใจหรือความมานะของมนุษย์ แต่ขึ้นอยู่กับพระเมตตาของพระเจ้า” ~โรม 9:16 THSV11

7. เราควรรู้จักพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้เราเป็นคนที่ยุติธรรมและมีรักเมตตาต่อคนอื่น
“มนุษย์เอ๋ย พระองค์ทรงสำแดงแก่เจ้าแล้วว่าอะไรดี? และพระยาห์เวห์ทรงประสงค์อะไรจากเจ้า? นอกจากให้ทำความยุติธรรมและให้รักความเมตตา และให้ดำเนินชีวิตไปกับพระเจ้าของเจ้าด้วยความถ่อมใจ” ~มีคาห์ 6:8 THSV11

8. เราควรเป็นคนที่มีใจเมตตาต่อทุกคน อดทนและไม่ชอบทะเลาะ
“ส่วนผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะต้องไม่เป็นคนที่ชอบทะเลาะ แต่ต้องมีใจเมตตาต่อทุกคน เป็นอาจารย์ที่เหมาะสม และมีความอดทน” ~2 ทิโมธี 2:24 THSV11

9. เราควรเรียนพระคัมภีร์ให้เข้าใจว่า พระเจ้าประสงค์ความเมตตามากกว่าเครื่องบูชาและเราควรแสดงความเมตตาต่อคนที่ทุกข์เดือดร้อน
“ท่านจงไปเรียนความหมายของคัมภีร์ข้อนี้ ที่ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา’ ด้วยว่าเราไม่ ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาป”” ~มัทธิว 9:13; THSV11

“เพราะเขามีเสื้อคลุมตัวนั้นตัวเดียวเป็นเครื่องปกคลุมร่างกาย มิฉะนั้นเวลานอนเขาจะเอาอะไรห่มเล่า? เมื่อเขาร้องทุกข์ต่อเรา เราจะฟังเพราะเรามีใจเมตตากรุณา” ~อพยพ 22:27 THSV11

10. เราควรถวายตัวเป็นเครื่องบูชาที่บริสุทธิ์และมีชีวิตแด่พระเจ้าเพราะเห็นแก่ความเมตตาของพระองค์
“ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิต และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่าน” ~โรม 12:1 THSV11

11. เราควรแสดงความเมตตาต่อผู้อื่นอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเรามีของประทานในการแสดงความเมตตานั้น
“ถ้าเป็นผู้เตือนสติก็จงเตือนสติ ผู้ที่ให้ ก็จงให้ด้วยใจกว้างขวาง ผู้ที่ครอบครอง ก็จงครอบครองด้วยเอาใจใส่ ผู้ที่แสดงความเมตตา ก็จงแสดงด้วยใจยินดี” ~โรม 12:8 THSV11

12. เราควรถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยการเมตตาต่อคนขัดสน และคนที่กำลังเดือดร้อน
“ผู้กดขี่คนยากจนก็ดูถูกพระผู้สร้างของเขา แต่ผู้เมตตาคนขัดสนก็ถวายพระเกียรติแด่พระองค์” ~สุภาษิต 14:31 THSV11

“เขาทูลตอบว่า “คือคนนั้นแหละที่แสดงความเมตตาต่อเขา” พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “ท่านจงไปทำเหมือนอย่างนั้น”” ~ลูกา 10:37 THSV11

13. เราควรสอนคนที่อยู่ในการดูแลของเราให้มีความเมตตาต่อคนอื่นๆ ด้วย

“มีสติสัมปชัญญะ เป็นคนบริสุทธิ์ ดูแลบ้านเรือนอย่างดี มีความเมตตาและเชื่อฟังสามีของตน เพื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าจะไม่ถูกดูหมิ่น” ~ทิตัส 2:5 THSV11

14. เราควรให้ถ้อยคำจากปาก หรือจากแป้นพิมพ์ของเราประกอบด้วยเมตตาคุณเสมอ
“จงให้ถ้อยคำของท่านทั้งหลายประกอบด้วยเมตตาคุณเสมอ  ปรุงด้วยเกลือให้มีรส เพื่อท่านจะได้รู้ว่าควรจะตอบแต่ละคนอย่างไร” ~โคโลสี 4:6 THSV11

15. เราควรอยู่เย็นเป็นสุข ด้วยการแสดงความเมตตาและดำเนินกิจการด้วยความยุติธรรม
“คนที่เมตตาคนอื่นและให้ยืม ก็อยู่เย็นเป็นสุข คือผู้ที่ดำเนินกิจการของเขาด้วยความยุติธรรม” ~สดุดี 112:5 THSV11

16.เราควรเมตตาต่อผู้อื่นด้วยความยำเกรงพระเจ้า
“จงช่วยคนให้รอดด้วยการฉุดเขาออกจากไฟ และจงเมตตาผู้อื่นด้วยความยำเกรงพระเจ้า และจงรังเกียจแม้แต่เสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนด้วยกายที่เป็นมลทิน” ~ยูดา 1:23 THSV11

17. เราควรขอพระเจ้าทรงเมตตาคนที่มีความเมตตาในการปฏิบัติต่อคนอื่นๆ ด้วย
“ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเมตตาต่อครอบครัวของโอเนสิโฟรัสด้วยเถิด เนื่องจากเขาทำให้ข้าพเจ้าชื่นใจบ่อยๆ เขาไม่มีความอับอายในโซ่ตรวนของข้าพเจ้าเลย” ~2 ทิโมธี 1:16 THSV11

“เขาปรนนิบัติข้าพเจ้าที่เมืองเอเฟซัสมากเพียงไรท่านก็รู้ดีอยู่แล้ว ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานให้เขาได้รับพระเมตตาจากพระองค์ ในวันพิพากษาด้วยเถิด” ~2 ทิโมธี 1:18 THSV11

18. เราควรคอยพระเมตตาของพระเยซูคริสต์ที่นำเราไปสู่ชีวิตนิรันดร์ที่สมบูรณ์ ในขณะที่เรารักษาตัวให้อยู่ในความรักของพระเจ้า
“จงรักษาตัวให้อยู่ในความรักของพระเจ้า ขณะคอยให้พระเมตตาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรานำท่านไปสู่ชีวิตนิรันดร์” ~ยูดา 1:21 THSV11

19. เราควรขอให้มีความเมตตา และความรักจากพระเจ้าเพิ่มพูนขึ้นในท่ามกลางพวกเรา
“ขอพระเมตตา สันติสุข และความรักจงเพิ่มพูนแก่ท่านทั้งหลายยิ่งๆ ขึ้นเถิด” ~ยูดา 1:2 THSV11

20. เราควรขอพระเจ้าให้เมตตาและอวยพรแก่เราทั้งหลายเสมอไป
“ขอพระเจ้าทรงพระเมตตาและทรงอวยพรข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอทรงให้พระพักตร์ของพระองค์ทอแสงแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย” ~สดุดี 67:1 THSV11

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

เรื่องราวของคริสต์มาส โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (12)

คอลัมน์ : “ส ด แ ต่ เ ช้ า”  ปี 2 (261)

ที่ปรึกษามหัศจรรย์ !

“ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่บนบ่าของท่าน และเขาจะขนานนามของท่านว่า
“ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ และองค์สันติราช”” ~อิสยาห์ 9:6 THSV11

“For to us a child is born, to us a son is given, and the government will be on his shoulders. And he will be called Wonderful Counselor, Mighty God, Everlasting Father, Prince of Peace.” ~Isaiah 9:6 NIV

พระคริสต์แห่งวันคริสต์มาส ได้รับพระนามเรียกขานว่า “ที่ปรึกษามหัศจรรย์!”( Wonderful Counselor)

คำถามคือ พระองค์เป็น “ที่ปรึกษามหัศจรรย์” อย่างไร?
ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ตอบอย่างชัดเจนเลยว่า

“เรื่องนี้ก็มาจากพระยาห์เวห์จอมทัพ ด้วยพระองค์ทรงอัศจรรย์นักในการให้คำปรึกษา และวิเศษในเรื่องสติปัญญา” -อิสยาห์ 28:29 THSV11

“All of this has come from the Lord of Armies. His counsel is wonderful, and his wisdom is great.” ~Isaiah 28:29 GW

นอกจากนี้ในพระธรรมอิสยาห์ บทที่ 11:1-5 ยังอธิบายไว้อีกว่า

“จะมี

  1. หน่อหนึ่งแตกออกจากตอ*ของเจสซี **และ
  2. กิ่ง***หนึ่งที่งอกจากรากของเขานั้นจะเกิดผล ****

( *= คำทำนายว่าพระเมสสิยาห์จะเป็นดุจหน่อ หรือกิ่งที่งอกขึ้นมาจะตอของราชวงศ์ดาวิด หลังจากที่กองทัพอัสซีเรียบุกโจมตียูดาห์ แต่จุดจบของอาณาจักรยูดาห์คือการไปเป็นเชลยที่บาบิโลนในปี 586 ก.ค.ศ. ดังที่เขียนไว้ว่า

“…และพระยาห์เวห์ทรงกวาดคนออกไปไกล และที่ที่ถูกทิ้งร้างท่ามกลางแผ่นดินนั้นมีมากมาย และแม้ว่ายังมีเหลืออยู่ในนั้นสักหนึ่งในสิบ ก็จะต้องถูกไฟเผาอีกเหมือนต้นสนหรือต้นโอ๊ก ซึ่งเหลืออยู่แต่ตอ เมื่อถูกโค่น” …ตอของมันคือเมล็ดพันธุ์บริสุทธิ์” ~อิสยาห์ 6:12-13 THSV11

**เจสซี =บิดาของดาวิด ~1ซมอ.16:10-13
***กิ่ง =

  1. อีกฉายาของพระเมสสิยาห์ เหมือนหน่อ (11:1;53:2) ที่สืบทอดมาจากดาวิด ~ยรม.23:5;33:15;ศคย.3:8;6:12 หรือ
  2. ยูดาห์ **** เกิดผล = จะเป็นเกียรติแก่อิสราเอล กิ่งหรือหน่อ หรือพระเมสสิยาห์จะเป็นเกียรติ ศักดิ์ศรี ความรุ่งเรือง หรือความภาคภูมิใจของอืสราเอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผลอันอุดมสมบูรณ์จากแผ่นดิน ซึ่งเป็นลักษณะการปกครองของพระเมสสิยาห์ ในฐานะที่ปรึกษามหัศจรรย์ หรือเป็นกษัตริย์ (ปท.มคา.7:9) ซึ่งปกครอง ตัดสินใจ และดำเนินกิจการหรือราชกิจใดๆ )

“และพระวิญญาณ*ของพระยาห์เวห์จะทรง (ประทับ) อยู่บนท่าน
(The Spirit of the Lord will rest on him) 

คือ
1.พระวิญญาณแห่ง

  • 1).ปัญญาและ
  • 2).ความเข้าใจ (the Spirit of wisdom and of understanding)

2.พระวิญญาณแห่ง

  • 1).คำปรึกษา**และ
  • 2).อานุภาพ (the Spirit of counsel and of might)

3.พระวิญญาณแห่ง

  • 1).ความรู้และ
  • 2).ความยำเกรงพระยาห์เวห์ (the Spirit of the knowledge and fear of the Lord)

*พระเมสสิยาห์จะได้รับฤทธานุภาพโดยพระวิญญาณ~อสย.61:1 เช่นเดียวกับดาวิด แต่มากยิ่งกว่า

** พระวิญญาณจะประทานสติปัญญาและฤทธิ์อำนาจ เพื่อพระองค์จะให้คำปรึกษาในเรื่องเป้าหมาย และ การทำให้สำเร็จตามเป้าหมายนั้นได้อย่างอัศจรรย์ (9:6)

ความชื่นชอบของท่านคือความยำเกรงพระยาห์เวห์
(and he will delight in the fear of the Lord. )

(เหมือนพระเยซูคริสต์ในสภาพมนุษย์ ทรงยำเกรงและทำตามชอบพระทัยของพระเจ้าพระบิดา 

“และพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาก็สถิตอยู่กับเรา พระองค์ไม่ได้ทรงทิ้งเราไว้ตามลำพัง เพราะว่าเราทำตามชอบพระทัยพระองค์เสมอ”” ~ยอห์น 8:29 THSV11)

“ 1.ท่านจะไม่

  • 1).พิพากษาตามสิ่งที่ตาท่านได้เห็น หรือ
  • 2).ตัดสินตามสิ่งที่หูท่านได้ยิน แต่

2.ท่านจะ

  • 1).พิพากษาคนจนด้วยความชอบธรรม* และ
  • 2).ตัดสินให้กับคนต่ำต้อยของแผ่นดินด้วยความเที่ยงธรรม
  • 3.ท่านจะตีแผ่นดินโลกด้วยตะบอง**จากปากของท่าน และ
  • 4.ท่านจะประหารคนอธรรมด้วยลมจากริมฝีปากท่าน
  • 5.ท่านจะมีความชอบธรรมเป็นสายคาดเอวของท่าน และ
  • 6.ท่านจะมีความซื่อสัตย์เป็นผ้าคาดที่บั้นเอว***ของท่าน”
    (อิสยาห์ 11:1-5 )”

*”ความชอบธรรม …ความเที่ยงธรรม” = คุณสมบัติที่ผู้ปกครองบ้านเมืองในสมัยของอิสยาห์ไม่มี~1:17;5:7
** “ตะบอง” =“ไม้เรียว” ~อัสซีเรียเป็นดุจไม้เรียวของพระเจ้า ~อสย.10:5,24
*** “ผ้าคาดที่บั้นเอว” =คนจะคาดสายคาดเอว เหมือนเข็มขัด เพื่อให้เสื้อผ้าที่รุ่มร่ามทะมัดทะแมงพร้อมลงมือทำบางอย่างได้ด้วยความกระฉับกระเฉง

พี่น้องที่รัก

จากวันนี้ไป ขอให้

  1. พระ(คริสต์)เจ้าเป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ (อสย.9:6;สดด.32:8)
  2. พระวจนะของพระเจ้าเป็นคำปรึกษาที่มหัศจรรย์ (สดด.129:24)
  3. ผู้มีสติปัญญาที่พระเจ้าแต่งตั้งไว้ร่วมเป็นที่ปรึกษาอันชาญฉลาด (สภษ.15:22)

สำหรับ

  • 1).ในชีวิต
  • 2).ในครอบครัว
  • 3).ในอาชีพการงานธุรกิจ
  • 4).ในพันธกิจของเรา

…จะดีไหมครับ?

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (18 ธันวาคม 2022)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

เรื่องราวของคริสต์มาส โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (11)

คอลัมน์ : “ส ด แ ต่ เ ช้ า” ปี 2 (260)

เด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา?

“ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่บนบ่าของท่าน และเขาจะขนานนามของท่านว่า
“ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ และองค์สันติราช”” -อิสยาห์ 9:6 THSV11

“For to us a child is born, to us a son is given, and the government will be on his shoulders. And he will be called Wonderful Counselor, Mighty God, Everlasting Father, Prince of Peace.” ~Isaiah 9:6 NIV

Max Lucado กล่าวว่า

“เมื่อพระคริสต์มาบังเกิด ความหวังของเราก็เกิดขึ้น!”
(When Christ was born, so was our hope.)

คริสต์มาสนี้ เป็นช่วงเวลาที่ให้ความหวังแก่ประชากรของพระเจ้า
ตามคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์อิสยาห์ที่ว่า: 

1.พระเจ้าจะทรงกำจัดความทุกข์ระทม และความโศกเศร้าของคนของพระองค์

“แต่เมืองนั้นที่อยู่ในสภาพโศกเศร้าจะไม่ทุกข์ระทมอีก”

2.พระเจ้าจะประทานความรุ่งโรจน์ให้แก่คนของพระองค์

“ในกาลก่อนพระองค์ทรงให้ 

  • ~แคว้นเศบูลุน และ
  • ~แคว้นนัฟทาลี* เป็นที่ดูหมิ่น แต่ในภายหลัง พระองค์จะทรงทำ
  • ~หนทางฝั่งทะเล และ
  • ~ดินแดนฟากตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน คือกาลิลี**ของบรรดาประชาชาตินั้นให้รุ่งโรจน์”

*“นัฟทาลี” = เผ่าอิสราเอลตอนเหนือ ที่ต้องทนทุกข์อย่างหนัก เมื่อทิกลัทปิเลเสอร์ที่สามแห่งอัสซีเรียบุกโจมตีในปี 734 และ 732 ก.ค.ศ.
(2พกษ.15:29)

** “กาลิลี…ให้รุ่งโรจน์” = เป็นจริงเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงเชิดชูกาลิลี เมื่อทรงใช้กาลิลีเป็นศูนย์กลางในการกระทำพระราชกิจของพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองคาเปอรนาอุมซึ่งอยู่ใกล้กับทางหลวงจากอียิปต์ไปสู่เมืองดามัสกัส ที่เรียกว่าเส้นทางสู่ทะเล ในมธ. 4:13-15

3.พระเจ้าจะประทานความสว่างให้แก่ชนชาติที่ดำเนินอยู่ในความมืดมน

“ชนชาติที่ดำเนินในความมืด เห็นความสว่างยิ่งใหญ่ * บรรดาคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินแห่งเงามัจจุราช แสงสว่างส่องมาบนเขาทั้งหลาย”

* “ความสว่างยิ่งใหญ่” = พระเยซูและความรอดของพระองค์จะเป็น “แสงสว่าง” แก่คนต่างชาติทั้งหลาย (อสย.42:6;49:6; ปท. มธ. 4:15-16; ลก.2:32)

4.พระเจ้าจะทรงทวีจะทรงเพิ่มคนและทวีความชื่นบานให้แก่บรรดาคนของพระองค์

“พระองค์ทรงทวีจำนวนคนในชาตินั้นขึ้น พระองค์ทรงเพิ่มพูนความชื่นบานของพวกเขา เขาทั้งหลายเปรมปรีดิ์เฉพาะพระพักตร์พระองค์  ดั่งความชื่นบานในฤดูเกี่ยวเก็บ ดั่งคนยินดีเมื่อเขาแบ่งของริบให้แก่กัน”

5.พระเจ้าจะทรงทำลายแอก ภาระหนัก และทุกการบีบบังคับที่มีต่อคนของพระองค์ลง

“เพราะว่าแอก *อันเป็นภาระหนักของเขาก็ดี ไม้พลองที่ตีบ่าเขาก็ดี
ไม้ตะบองของผู้บีบบังคับเขาก็ดี พระองค์ทรงหักเสียเหมือนอย่างในวันของคนมีเดียน** เพราะรองเท้า***ทหารทุกคู่ที่กระทืบจนสั่นสะเทือน และเสื้อคลุมทุกตัวที่เกลือกอยู่ในโลหิตจะถูกเผาเป็นเชื้อเพลิงใส่ไฟ”

  1. * “แอก” = สัญลักษณ์ของการกดขี่บังคับและภาระหนัก ใน อสย.10:26-27 ~อิสยาห์พยากรณ์ว่าพระเจ้าจะทรงทำลาย
  2. กองทัพอัสซีเรีย และ
  3. เเอกแห่งการกดขี่ของพวกเขา เหตุการณ์ที่เป็นจริงในปี 701 ก.ค.ศ.
    (อสย. 37:36-38)

** “ในวันของคนมีเดียน” =วันแห่งชัยชนะเหนือมีเดียน คือวันที่ กิเดโอนชนะกองกำลังของชาวมีเดียนและช่วยชาวอิสราเอลให้พ้นจากอำนาจครอบงำของพวกเขา (วนฉ.7:22-25)

*** “รองเท้า…เสื้อคลุม” =ข้าวของเครื่องใช้ของทหารจะไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป (อสย. 2:2-4; มคา. 5:10-15)

6.พระเจ้าจะประทานกษัตริย์ที่แสนมหัศจรรย์และทรงมหิทธิฤทธิ์มาช่วยและปกครองคนของพระองค์

“ด้วยมีเด็กคนหนึ่ง*เกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา และการปกครองจะอยู่บนบ่าของท่าน และเขาจะขนานนามของท่านว่า
ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ และองค์สันติราช**” 

การเพิ่มพูนขึ้นของการปกครองและสันติภาพของท่าน จะไม่มีที่สิ้นสุด
บนพระที่นั่งของดาวิด ***และเหนือราชอาณาจักรของพระองค์ เพื่อจะสถาปนาและเชิดชูมันไว้ ด้วยความยุติธรรมและความชอบธรรม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนนิรันดร์กาล

* “เด็กคนหนึ่ง…บุตรชายคนหนึ่ง” = ราชโอรส (ผู้สืบเชื้อสายจากกษัตริย์ ดาวิด) (อสย. 9:7; 2ซมอ. 7:14; สดด. 2:7; มธ. 1:1;3:17; ลก. 1:32; ยน.3:16)

** “ที่ปรึกษามหัศจรรย์…องค์สันติราช” = ทั้ง 4 ชื่อที่พรรณนาถึงพระผู้ช่วยให้รอด (พระเมสสิยาห์)ผู้จะปกครองคนของพระองค์

1.“ที่ปรึกษามหัศจรรย์” =พระเมสสิยาห์ ในฐานะกษัตริย์ (มคา.4:9) เป็น

  • 1).ผู้ตัดสินใจ
  • 2).ผู้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง (อสย. 14:27) พระเมสสิยาห์ ผู้ทรงมาจากเชื้อวงศ์ของดาวิด จะมาทำราชกิจที่ทำให้คนทั้งโลกอัศจรรย์ใจ (ราชกิจนั้นเป็นอย่างไร ได้เริ่มถูกกล่าวไว้ใน อสย.11 และชัดเจนขึ้นใน อสย. 24-27 โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 25:1) ~พระเจ้าทรงเป็นผู้ให้คำปรึกษาที่ยอดเยี่ยม ~อสย. 28:29; วนฉ. 13:18

2. “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” =เน้นฤทธานุภาพของพระเจ้าในฐานะนักรบผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ~อสย. 10:21

3. “พระบิดานิรันดร์” =เน้น การเป็นผู้จัดเตรียม และผู้ปกป้องผู้เปี่ยมด้วยความเมตตาเอ็นดูของพระองค์เสมอไป(ปท. อสย.40:9-11)

4. “องค์สันติราช” =เน้น การปกครองของพระเมสสิยาห์ ที่จะนำความผาสุกและสวัสดิภาพมาสู่แต่ละคน สู่สังคมและประเทศชาติ (อสย. 11:6-9)

*** “บนพระที่นั่งของดาวิด” = บัลลังก์ของดาวิด ทั้งๆที่ในเวลาที่เขียนพระธรรมตอนนี้ ยังมีกษัตริย์ที่บาปอย่างอาหัสปกครองอยู่ แต่ก็มีคำพยากรณ์ว่าพระเมสสิยาห์ หรือพระคริสต์ จะมาจากเชื้อสายของดาวิด ที่ปกครองด้วยความชอบธรรมตราบนิรันดร์ (อสย. 11:3-5; 2ซมอ. 7:12-13, 16; ยรม. 33:15, 20-22)

7.พระเจ้าจะทำการของพระองค์นี้ด้วยความกระตือรือร้นจนกว่าทุกสิ่งจะสำเร็จเป็นจริง

“ความกระตือรือร้น*ของพระยาห์เวห์จอมทัพจะทำการนี้”

* “ความกระตือรือร้น” =พระเจ้าทรงรักและหวงแหนคนของพระองค์ และจะไม่ทอดทิ้งคนของพระองค์ ~อิสยาห์ 9:1-7 THSV11

เรื่องราวแห่งคำพยากรณ์ทั้งหมดตามแผนการของพระเจ้านั้น เริ่มต้นเป็นจริงในวันคริสต์มาส เมื่อพระคริสต์เจ้าจากสวรรค์ เสด็จลงมาบังเกิดเป็นเด็กทารกคนหนึ่ง ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบมาจนทุกวันนี้ ก่อนที่จะสำเร็จสมบูรณ์ในวันที่ พระคริสต์จะเสด็จกลับมารับเราอีกครั้งหนึ่ง!

Thomas Merton กล่าวไว้ดีว่า

“พระคริสต์มาบังเกิดเพื่อเราในวันนี้ ก็เพื่อให้พระองค์ปรากฎต่อโลกนี้ ผ่านทางเรา!”

(Christ is born to us today, in order that he may appear to the whole world through us. )

ดังนั้นพี่น้องที่รัก ขอให้ วันนี้ คริสต์มาสและปีใหม่ เราจะมีความสุขและความยินดีกับการที่พระคริสต์

1.ทรงบังเกิดเพื่อเรา

2.ทรงกระทำ

  • 1).เพื่อเรา
  • 2).ในเรา
  • 3).กับเรา และ

3.ผ่านเรา

จะดีไหมครับ?
 
ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (17 ธันวาคม 2022)

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม :  ”พระคัมภีร์สอนอะไรบ้างเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตโดยความเชื่อ?”

คำตอบ:

1. เราต้องมีความเชื่อในพระเจ้า พระเจ้าจึงจะรับรองเรา
 “โดยความเชื่อนี้เองคนสมัยก่อนจึงได้รับการรับรองจากพระเจ้า” ~ฮีบรู 11:2 THSV11

2. เราต้องมีความชอบธรรมที่มาจากพระเจ้า ที่ได้มาโดยความเชื่อในพระคริสต์ ไม่ใช่จากพระบัญญัติ
“และจะได้เห็นว่าข้าพเจ้าอยู่ในพระองค์ ไม่มีความชอบธรรมที่ได้มาจากธรรมบัญญัติ มีแต่ที่ได้มาโดยความเชื่อในพระคริสต์ คือความชอบธรรมที่มาจากพระเจ้าโดยความเชื่อ”  ~ฟีลิปปี 3:9 THSV11

“แต่เดี๋ยวนี้ความชอบธรรมของพระเจ้านั้นปรากฏนอกเหนือธรรมบัญญัติ ความชอบธรรมดังกล่าวก็ได้รับการยืนยันจากหมวดธรรมบัญญัติและพวกผู้เผยพระวจนะ คือความชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งปรากฏโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์แก่ทุกคนที่เชื่อ โดยไม่ทรงถือว่าเขาแตกต่างกัน” ~โรม 3:21-22 THSV11

3. เราต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า เราเป็นบุตรของพระเจ้าด้วยความเชื่อ
“เพราะว่าพวกท่านทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้าโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์”  ~กาลาเทีย 3:26 THSV11

4. เราต้องเป็นคนชอบธรรมที่ดำเนินชีวิตโดยความเชื่อและตั้งเป้าจะเป็นคนที่พระเจ้าพอพระทัย
“เพราะฉะนั้นเรามั่นใจอยู่เสมอและรู้แล้วว่า ขณะที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่าเราดำเนินโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยสิ่งที่มองเห็น และเรามั่นใจและพอใจที่จะไปจากร่างกายนี้และอาศัยอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่า ฉะนั้นเราตั้งเป้าว่าจะอาศัยอยู่ในกายนี้ก็ดีหรือจะจากไปก็ดี เราก็จะเป็นคนที่พระเจ้าพอพระทัย เพราะว่าเราทุกคนจำเป็นต้องปรากฏตัวต่อหน้าบัลลังก์ของพระคริสต์ เพื่อแต่ละคนจะได้รับสิ่งที่สมกับการกระทำในกายนี้ ไม่ว่าจะดีหรือชั่ว” ~2 โครินธ์ 5:6-10 THSV11

“เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมซึ่งเกิดมาจากพระเจ้าก็ได้สำแดงออกโดยความเชื่อ และเพื่อความเชื่อตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า “คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ””  ~โรม 1:17 THSV11

5. เราต้องให้พระคริสต์ประทับในใจของเราโดยทางความเชื่อและหยั่งรากตั้งมั่นอยู่ในความรัก
“ให้พระคริสต์ประทับในใจของท่านโดยทางความเชื่อ ให้ท่านได้หยั่งรากและตั้งมั่นอยู่ในความรัก” ~เอเฟซัส 3:17 THSV11

6. เราต้องมีความกล้าและความมั่นใจในการเข้าเฝ้าพระเจ้าโดยทางความเชื่อในพระคริสต์
“ในพระองค์นั้นเราจึงมีความกล้าและความมั่นใจที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้าโดยทางความเชื่อในพระคริสต์” ~เอเฟซัส 3:12 THSV11

7.เราต้องให้พระคริสต์มีชีวิตอยู่ในเราและให้เราเองดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อในพระองค์

“ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกาย  ขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า”  ~กาลาเทีย 2:20 THSV11

8. เราต้องดำเนินชีวิตให้สมกับข่าวประเสริฐของพระคริสต์และยืนหยัดต่อสู้เพื่อความเชื่อ
“ขอเพียงให้พวกท่านดำเนินชีวิตสมกับข่าวประเสริฐของพระคริสต์ เพื่อที่ว่าไม่ว่าข้าพเจ้าจะมาหาและได้เห็นหน้าท่าน หรือไม่มาหา ข้าพเจ้าก็จะได้ยินข่าวเกี่ยวกับพวกท่านว่า ท่านยืนหยัดมั่นคงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ร่วมกันสู้ด้วยจิตใจเดียวกันเพื่อความเชื่อที่มาจากข่าวประเสริฐ”  ~ฟีลิปปี 1:27 THSV11

9. เราต้องพร้อมทนทุกข์ชั่วขณะหนึ่งและต่อต้านมารด้วยใจมั่นคงในความเชื่อ
“จงต่อต้านมันด้วยใจมั่นคงในความเชื่อ โดยรู้ว่าพวกพี่น้องของพวกท่านทั่วโลก ก็ประสบความทุกข์ลำบากอย่างเดียวกัน” ~1 เปโตร 5:9 THSV11

“และหลังจากพวกท่านทนทุกข์ชั่วเวลาหนึ่งแล้ว พระเจ้าแห่งพระคุณทั้งสิ้น ผู้ได้ทรงเรียกให้พวกท่านเข้าในศักดิ์ศรีนิรันดร์ของพระองค์ในพระ[เยซู]คริสต์ พระองค์เองก็จะทรงฟื้นฟู จะทรงค้ำจุนให้มั่นคง จะทรงเสริมเรี่ยวแรง และจะทรงให้พวกท่านตั้งมั่นอยู่ ขออานุภาพ จงมีแด่พระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน” ~1 เปโตร 5:10-11 THSV11

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

เรื่องราวของคริสต์มาส โดย ศจ ธงชัย ประด้บชนานุรัตน์ (10)

คอลัมน์ :”ส ด แ ต่ เ ช้ า” ปี 2 (258)

ข่าวดี เราตายแล้ว!

“ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า” ~กาลาเทีย 2:20 THSV11

“I have been crucified with Christ and I no longer live, but Christ lives in me. The life I now live in the body, I live by faith in the Son of God, who loved me and gave himself for me.” ~Galatians 2:20 NIV

ข่าวด่วน! เราตายแล้ว!

ใช่ครับ

  • 1.เราไม่มีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว
  • 2.เราไม่ได้อยู่ใต้บังคับของกฏบัญญัติใดๆแล้ว
  • 3.เราถูกตรึงร่วมกับพระคริสต์แล้ว

ตอนนี้ ผู้ที่มีชีวิตอยู่ในเรา คือ องค์พระเยซูคริสต์ ต่างหาก! ร่างกายยังเป็นร่างกายของเราแต่ผู้ที่สถิตและดำเนินชีวิตในร่างกายนี้ เป็น …องค์พระคริสต์แห่งวันคริสต์มาส!

1.เรามีหน้าที่เพียงให้พระองค์ทรงครอบครองร่างกายและทุกอย่างที่

  • 1).อยู่ใน และ
  • 2).อยู่กับร่างกายนี้

2.เราเพียงรับผิดชอบ

  • 1).ให้บริการพระองค์ หรือ
  • 2).ให้พระองค์ทรงใช้เรา  ก.ตามพระทัย และ  ข.ตามพระประสงค์ของพระองค์

ใช่ครับ บัดนี้ เราได้ตัดสินใจ ยอมมอบสัมปทานใน

  • ก).การจัดการและ
  • ข).การบริหารชีวิตของเรา อย่างสิ้นเชิงให้กับพระคริสต์แล้ว จนกว่าจะถึงเวลาที่พระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงกายนี้ให้มีเกียรติสิริในวันที่พระองค์เสด็จกลับมารับเรา

เหมือนตอนที่นางฮันนาห์มอบถวายสัมปทานตลอดชีวิตของซามูเอล บุตรชายของนางให้แก่พระเจ้า

“เพราะฉะนั้นดิฉันเองถวายเขาแด่พระยาห์เวห์ เขาถูกถวายแด่พระยาห์เวห์ตลอดชีวิตของเขา!” ~1 ซามูเอล 1:28 THSV11

“So now I give him to the Lord.  For his whole life he will be given over to the Lord.” ~1 Samuel 1:28 NIV

พี่น้องที่รัก

ไม่มีใครเป็นคนชอบธรรมได้ โดยการมีชีวิตทำตามธรรมบัญญัติได้ 100% ทั้งๆที่ธรรมบัญญัตินั้น

  • 1.บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์
  • 2.ชอบธรรม(ยุติธรรม) และ
  • 3.ดีงาม

“เพราะฉะนั้น ธรรมบัญญัติจึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และบัญญัตินั้นก็ศักดิ์สิทธิ์ ยุติธรรมและดีงาม” ~โรม 7:12 THSV11

“So then, the law is holy, and the commandment is holy, righteous and good.” ~Romans 7:12 NIV

อย่าให้เราถือเอา การปฏิบัติตามกฏ บัญญัติต่างๆมาเป็นฐานเพื่อรับ

  • 1.การยอมรับ หรือ
  • 2.การโปรดปรานจากพระเจ้า จนกระทั่ง
  • 1).เราเกิดความหลงตน เย่อหยิ่ง เปรียบเทียบคนอื่นกับความชอบธรรมของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อตัวเราเคร่งครัดในการรักษาธรรมบัญญัติเหล่านั้นได้ดีกว่าผู้อื่น หรือ
  • 2).เราเกิดความท้อใจ สิ้นหวัง เมื่อเปรียบเทียบกับความชอบธรรมของคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่เราดำเนินชีวิตห่างไกลจากมาตรฐานของธรรมบัญญัติเหล่านั้น

ดังนั้น ข่าวดีคือ ในวันคริสต์มาสนี้ พระเยซูคริสต์องค์พระผู้ช่วยให้รอด เสด็จลงมารับสภาพมนุษย์ และประทานตัวพระองค์เอง เพื่อ ไถ่เราให้รอดพ้น

  • 1.จากโทษของการไม่ทำตามธรรมบัญญัติอันศักดิ์สิทธิ์ และ
  • 2.จากโทษของการทำบาปที่ต้องตายนิรันดร์

เราจึงได้รับการอภัยบาป และการจ่ายหนี้บาปแทนจากพระเยซูคริสต์แบบหมดสิ้นแล้ว 100% เมื่อเราเชื่อและรับการไถ่บาปแทนของพระคริสต์

เราจึงรอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และ

  • 1).ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์
  • 2).ได้รับการประกาศ หรือถูกนับว่า เป็นผู้ชอบธรรมแล้วจากพระเจ้า (แม้มนุษย์ยังไม่ยอมรับก็ตาม)

นี่คือข่าวดีสุดยอด ที่เรียกว่า “ข่าวประเสริฐ” หรือที่คนสมัยก่อนเรียกว่า “พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์!”

ดังนั้น หากเราได้รับความรอด (บาปและโทษจากการทำบาป) โดยพระคุณเพราะความเชื่ออันยอดเยี่ยมนี้แล้ว ก็อย่าให้เรากลับไปเอา ระบบการทำตัวให้ชอบธรรมโดยการทำตามธรรมบัญญัติมาปะปนผสมกับพระคุณนี้ จนสับสนวุ่นวายไปหมด!

จงจำไว้เสมอว่า

# ยึดระบบบัญญัติ+ พระคุณ = ทำให้กางเขนถูกเย้ยหยัน

เพราะเป็น

  • 1. บิดเบือนพระคุณของพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์ และ
  • 2.ทำให้การเสด็จมาสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปมนุษย์ของพระเยซูคริสต์ต้องเสียไปเปล่าๆ

แต่กระนั้น เราก็ต้องระวัง เช่นกันว่า

# การรับพระคุณ + การทิ้งธรรมบัญญัติ + การทำตามเนื้อหนัง = ทำให้พระคุณของพระเจ้าเป็นโมฆะ

ดังนั้นวันนี้ หากเรากลับใจจากบาป หันมาเชื่อ และรับพระคุณของพระคริสต์แห่งวันคริสต์มาสนี้แล้ว ขอให้เราตระหนักและยึดความจริงนี้ไว้เสมอว่า

1.พระคริสต์ตายเพื่อไถ่บาปเราแล้ว

2.เราก็ตายร่วมกับพระองค์แล้ว เราไม่ได้มีชีวิตขึ้นอยู่ หรือ

  • 1).ตามบัญญัติ หรือ
  • 2).ตามใจของเรา อีกต่อไป

3.พระคริสต์ที่เป็นขึ้นมาจากตาย ต่างหากมีชีวิตอยู่ในเรา และนำชีวิตของเราในเวลานี้

4.เราต้องยอมให้ความร่วมมือกับพระองค์ในการใช้

  • 1).ร่างกายของเรา
  • 2).ทุกสิ่งที่อยู่กับ หรือ อยู่ภายใต้การดูแลของร่างกายนี้ .ตามพระทัย และ .ตามพระประสงค์ของพระคริสต์ผู้รับสัมปทาน
    ในการใช้ร่างกายนี้ ตลอดไปจนกว่ากายนี้ จะใช้ไม่ได้อีกต่อไป

5.เราจะดำเนินชีวิตที่เหลือในร่างกายนี้ โดยความเชื่อในพระคริสต์ ผู้

  • 1).ได้ทรงรักเรา และ
  • 2).ได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อเรา เพื่อเป็นประโยชน์ต่อพระเจ้า และสังคมต่อไป

เหมือนดังที่ John Piper กล่าวว่า

“เมื่อข้าพเจ้าเชื่อในพระเยซู ข้าพเจ้าได้ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์แล้ว เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่พระองค์ได้กระทำหรือได้มาก็ล้วนกลายเป็นของข้าพเจ้าด้วยเช่นกัน โดยการหลอมรวมกับพระองค์ผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ชีวิตอันชอบธรรมของพระองค์จึงอยู่ภายในตัวข้าพเจ้าแล้ว
สิ่งที่พระคริสต์ได้กระทำสำเร็จแล้ว ก็ถือว่าเป็นของข้าพเจ้าด้วย!”

(When I believe in Jesus, I am united to Christ. Therefore, what he did and achieved becomes mine by this union through faith alone. His righteous life is imputed to me. What Christ achieved is counted as mine.)

พี่น้องที่รัก

…คุณเชื่อเช่นนี้ ไหมครับ?

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (15 ธันวาคม 2022)