Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

วัฒนธรรมคริสตจักร

วัฒนธรรมของคริสตจักรแห่งความสุข

(17.7.24)

1. Unity: น้ำหนึ่งใจเดียวกัน

  • สมาชิกมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในพระกายของพระเยซูคริสต์
  • พูดและทำในสิ่งที่ก่อเกิดเอกภาพ และความปรารถนาดีต่อกัน
  • หากมีปัญหา มีคำถาม จะแก้ไขด้วยสันติวิธี ถือเอกภาพส่วนรวมมาก่อนความต้องการส่วนตัว

2. Appreciation: ชื่นชมกัน

  • สมาชิกชื่นชม กล่าวคำขอบคุณ ให้กำลังใจกันอย่างจริงใจเสมอ
  • หากมีความขัดแย้ง ให้คุยและปรับความเข้าใจเฉพาะคู่กรณี ไม่ดึงบุคคลที่ 3 มาเกี่ยวข้อง
  • หากยังแก้ไม่ได้ ให้นำเรื่องเข้าสู่กระบวนการแก้ปัญหาของคริสตจักร

3. Mercy: รักเมตตากัน

  • สมาชิกมีใจรักเมตตา มีน้ำใจต่อกัน และต่อผู้อื่น
  • อดกลั้นอดทนนานต่อกัน โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นแบบอย่าง
  • มองเห็นความต้องการ ความจำเป็นในชีวิตผู้อื่นสำคัญอยู่เสมอ

4. Respect: ให้เกียรติกัน

  • สมาชิกรับฟังกันและกันด้วยความเคารพในพระคริสต์
  • ยอมรับและให้เกียรติในความแตกต่าง ไม่นำมาเป็นข้อขัดแย้งส่วนตัว
  • ยอมรับกติกาของคริสตจักรที่สอดคล้องกับพระคัมภีร์เป็นแนวปฏิบัติ
  • พร้อมสนับสนุนพันธกิจของคริสตจักรแม้มีความคิดเห็นต่าง

5. Volunteer: อาสารับใช้กัน

  • สมาชิกมีจิตอาสา ร่วมรับใช้ในพันธกิจต่างๆที่คริสตจักรริเริ่ม รับรอง
    หรือมอบหมายตามของประทานและภาระใจ
  • ไม่แสวงหาผลประโยชน์ หรือสร้างเงื่อนไขใดให้ลำบากใจในการรับใช้
  • หมั่นช่วยกันดูแลรักษา อาคาร อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ของคริสตจักรให้อยู่ในสภาพดี

6. Involvement: ร่วมส่วนกัน

  • สมาชิกมีส่วนร่วมลงแรงกาย ใจ ความคิด และวิญญาณในชีวิตของคริสตจักรอย่างสุขใจ
  • สนับสนุนทุนทรัพย์ หรือปัจจัยต่างๆในพันธกิจต่างๆ ด้วยใจถ่อมและใจกว้างขวาง

7. Discipline: ลงวินัยกัน

  • สมาชิกยอมรับและร่วมมือกับกระบวนการลงวินัยของคริสตจักรเมื่อทำผิด
  • ช่วยกันสอดส่องดูแล ไม่ให้เกิดความขัดแย้ง หรือการทำความผิดบาปในท่ามกลางสมาชิก ทั้งระหว่างสมาชิกด้วยกันเองหรือกับบุคคลภายนอก

8. Atmosphere: สร้างบรรยากาศกัน

  • สมาชิกพูดและทำในสิ่งที่ทำให้เกิดบรรยากาศแห่งความสุขในคริสตจักรและชุมชน
  • ให้กำลังใจ และเคียงข้างในยามทุกข์โศก หรือสูญเสียบุคคลหรือสิ่งที่รัก
  • ร่วมยินดีในความสำเร็จด้วยใจจริง
  • ไม่สนับสนุนการพูดซุบซิบนินทา หรือกล่าวร้ายใดๆต่อผู้อื่น หรือต่อคริสตจักรโดยเด็ดขาด!

9. Enthusiasm: ร้อนรนกัน

  • สมาชิกกระตือรือร้นในการเข้าเฝ้าพระเจ้าทั้งส่วนตัวและส่วนรวม
  • รักการศึกษาพระคัมภีร์ อธิษฐาน นมัสการ สามัคคีธรรม ประกาศ และรับใช้อย่างเป็นน้ำหนึ่งเดียวกัน

10. Blessings: เป็นพรกัน

  • สมาชิกร่วมกันเป็นพรต่อคนทั้งหลาย ต่อกันและกัน และต่อเพื่อนบ้านผ่านช่องทางต่างๆ
  • ช่วยกันทำให้แผ่นดินของพระเจ้าเติบโตขยายไปทั่วแผ่นดินไทย และไปไกลจนสุดปลายแผ่นดิน โลก โดยไม่ถือพวกถือคณะหรือนิกาย
Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม:   “พระคัมภีร์สอนเรื่องผู้เชื่อใหม่ และการรักผู้เชื่อใหม่ ไว้อย่างไรบ้าง?”

ตอบ: “คัมภีร์กล่าวถึงเรื่องของผู้เชื่อใหม่ไว้ดังนี้

  1. ทุกคนที่เชื่อใหม่ด้วยใจและรับด้วยปาก ว่าพระเยซูคือพระคริสต์ และรับบัพติศมา ผู้นั้นก็จะรอด

“เพราะว่าการเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด” ~โรม 10:10 THSV11

“ฟีลิปจึงตอบว่า “ถ้าท่านเต็มใจเชื่อท่านก็รับได้” ขันทีจึงตอบว่า     “ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า]”” ~กิจการ 8:37 THSV11

“ใครเชื่อและรับบัพติศมาก็จะรอด แต่ใครไม่เชื่อจะต้องถูกลงโทษ” ~มาระโก 16:16 THSV11

  1. ทุกคนที่เชื่อ จะต้องปฏิบัติตามสิ่งที่เขาเชื่อเป็นเครื่องพิสูจน์ความเชื่อของเขา

“ทำนองเดียวกัน ลำพังความเชื่อ ถ้าไม่มีการปฏิบัติ ก็เป็นสิ่งที่ตายแล้ว” ~ยากอบ 2:17 THSV11

“พี่น้องของข้าพเจ้า แม้ใครจะกล่าวว่าตนมีความเชื่อ แต่ไม่ได้ประพฤติตามจะมีประโยชน์อะไร? ความเชื่อนั้นจะช่วยให้เขารอดได้หรือ?” ~ยากอบ 2:14 THSV11

“แต่บางคนจะกล่าวว่า “ท่านมีความเชื่อและข้าพเจ้ามีการประพฤติ” จงแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นความเชื่อของท่านโดยไม่มีการประพฤติซิ แล้วข้าพเจ้าจะแสดงให้ท่านเห็นความเชื่อของข้าพเจ้าโดยการประพฤติ”  ~ยากอบ 2:18 THSV11

  1. ผู้เชื่อใหม่ควรได้รับความรัก จากคริสตจักร ในการ

 1). การเลี้ยงดู และ 2). การอบรมสั่งสอนในทางพระคัมภีร์ให้พวกเขา

  •  ก. รักและดูแลคนในครอบครัว

“ถ้าใครไม่เลี้ยงดูญาติพี่น้อง และโดยเฉพาะคนในครอบครัวแล้วคนนั้นก็ปฏิเสธความเชื่อ และชั่วยิ่งกว่าคนที่ไม่เชื่อเสียอีก” ~ 1 ทิโมธี 5:8 THSV11

  • ข. ดำเนินชีวิตให้พระเจ้าพอพระทัยด้วยความเชื่อ

“แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะไม่เป็นที่พอพระทัยเลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้านั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์” ~ฮีบรู 11:6 THSV11

“โดยความเชื่อ อาเบลจึงนำเครื่องบูชาที่ดีกว่าของคาอินมาถวายแด่พระเจ้า โดยทางความเชื่อนั้นท่านได้รับการรับรองว่าเป็นคนชอบธรรม พระเจ้าทรงรับรองของถวายของท่าน แม้ว่าอาเบลตายไปแล้ว แต่โดยทางความเชื่อท่านจึงยังพูดอยู่” ~ฮีบรู 11:4 THSV11

  • ค. ทรหดอดทนจนผ่านการทดสอบความเชื่อ

“เพราะพวกท่านรู้ว่าการทดสอบความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความทรหดอดทน” ~ยากอบ 1:3 THSV11

  • ง. เป็นแบบอย่าง ในเรื่องต่างๆ

“เพราะเหตุนั้นท่านจึงเป็นแบบอย่างแก่คนที่เชื่อแล้ว ในแคว้นมาซิโดเนีย และแคว้นอาคายา” ~1 เธสะโลนิกา 1:7 THSV11

“อย่าให้ใครหมิ่นประมาทความอ่อนวัยของท่าน แต่จงเป็นแบบอย่างแก่บรรดาผู้เชื่อทั้งในด้านวาจาและการประพฤติ ทั้งในด้านความรัก ความเชื่อ และความบริสุทธิ์” ~1 ทิโมธี 4:12 THSV11

  • จ. สร้างตัวขึ้นบนความเชื่ออันบริสุทธิ์ที่สุด

“แต่ท่านที่รักทั้งหลาย จงสร้างตัวของท่านขึ้นบนความเชื่ออันบริสุทธิ์ที่สุดของท่าน และจงอธิษฐานโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์” ~ยูดา 1:20 THSV11

  • ฉ. รู้จักฐานะใหม่ของตนว่า เป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว

“แต่ทุกคนที่ยอมรับพระองค์ คือคนที่เชื่อในพระนามของพระองค์นั้น พระองค์ก็จะประทานสิทธิให้เป็นลูกของพระเจ้า” ~ยอห์น 1:12 THSV11

  •  ช. ต้อนรับ และอยู่ร่วมกันได้โดยไม่โต้เถียงกัน

“จงต้อนรับคนที่ยังมีความเชื่อน้อยอยู่ แต่ไม่ใช่เพื่อให้โต้เถียงกันในเรื่องที่เป็นความคิดเห็นส่วนตัว” ~โรม 14:1 THSV11

“คนหนึ่งถือว่าจะกินอะไรก็ได้ แต่อีกคนหนึ่งที่มีความเชื่อน้อยก็กินแต่ผักเท่านั้น” ~โรม 14:2 THSV11

  • ซ. ไม่เชื่อคำสอนเท็จแปลก หรือวิญญาณต่างๆ

“ในเวลานั้นถ้าใครจะบอกท่านทั้งหลายว่า ‘นี่แน่ะ พระคริสต์อยู่ที่นี่’ หรือ ‘อยู่ที่โน่น’ อย่าเชื่อเลย” ~มัทธิว 24:23 THSV11

“ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อทุกๆ วิญญาณ แต่จงพิสูจน์วิญญาณนั้นๆ ว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่ เพราะว่ามีผู้เผยพระวจนะเท็จจำนวนมากได้ออกมาในโลก” ~1 ยอห์น 4:1 THSV11

  • ญ. ให้พระคริสต์ประทับในใจและหยั่งรากลงในพระองค์และในความรัก

“ให้พระคริสต์ประทับในใจของท่านโดยทางความเชื่อ ให้ท่านได้หยั่งรากและ ตั้งมั่นอยู่ในความรัก” ~เอเฟซัส 3:17 THSV11

“จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ จงมั่นคงในความเชื่อตามที่ได้รับการสอนมาแล้ว และจงให้การขอบพระคุณทวียิ่งขึ้น” ~โคโลสี 2:7 THSV11

  • ฎ. มีใจมั่นคงในความเชื่อ

“จงต่อต้านมันด้วยใจมั่นคงในความเชื่อ โดยรู้ว่าพวกพี่น้องของพวกท่านทั่วโลก ก็ประสบความทุกข์ลำบากอย่างเดียวกัน” ~1 เปโตร 5:9 THSV11

  • ฏ. ขอทุกสิ่งอย่างถูกต้องด้วยความเชื่อแบบไม่สงสัย

“แต่จงขอด้วยความเชื่อและไม่สงสัย เพราะว่าคนที่สงสัยนั้นเป็นเหมือนคลื่นในทะเลที่ถูกลมพัดซัดไปมา” ~ยากอบ 1:6 THSV11

  • ฐ. หลีกหนีจากตัณหาของคนหนุ่ม และจงมุ่งมั่นในความชอบธรรม

“เพราะฉะนั้นท่านจงหลีกหนีจากตัณหาของคนหนุ่ม และจงมุ่งมั่นในความชอบธรรม ความเชื่อ ความรัก และสันติสุขร่วมกับพวกที่ออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยใจบริสุทธิ์” ~2 ทิโมธี 2:22 THSV11

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม:  พระคัมภีร์พูดอะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่อง “การรักคนแปลกหน้า”? 

ตอบ: “พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องคนแปลกหน้าไว้มากมาย ในตอนนี้ จะยกข้อที่เกี่ยวข้องกับ ท่าทีของเราต่อคนแปลกหน้ามาแบ่งปันดังนี้

  1. พระเจ้าสอนให้เราต้อนรับคนแปลกหน้า

“อย่าละเลยที่จะต้อนรับแขกแปลกหน้า เพราะว่าโดยการทำเช่นนั้น บางคนก็ได้ต้อนรับทูตสวรรค์โดยไม่รู้ตัว” ~ฮีบรู 13:2 THSV11

  1. พระเจ้ามักปลอมเป็นคนแปลกหน้ามาหาเรา

“เพราะว่าเมื่อเราหิว พวกท่านก็จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า พวกท่านก็ต้อนรับเรา” ~มัทธิว 25:35 THSV11

“ที่พวกข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้าและได้ต้อนรับไว้ หรือเปลือยพระกายและสวมฉลองพระองค์ให้นั้นตั้งแต่เมื่อไร?” ~มัทธิว 25:38 THSV11 

  1. เราจึงควรต้อนรับแขกแปลกหน้าด้วยความกระตือรือร้น มีน้ำใจ

“จงเห็นอกเห็นใจช่วยธรรมิกชนเมื่อเขาขัดสน จงอุตส่าห์ต้อนรับแขกแปลกหน้า” ~โรม 12:13 THSV11

  1. เราต้องตระหนักไว้ว่า การที่เราให้หรือแสดงความเมตตาต่อพี่น้องนั้น เป็นการแสดงความสัตย์ซื่อของเราออกมา

“ท่านที่รัก เมื่อท่านทำสิ่งใดให้พี่น้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้แก่แขกแปลกหน้า ก็เป็นการแสดงความซื่อสัตย์ของท่าน” ~3 ยอห์น 1:5 THSV11

  1. เราทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บรรดาผู้ที่อยู่ในและผู้ที่ได้รับการดูแลจากคริสตจักร ควรมีชื่อเสียงเรื่องมีน้ำใจรับรองแขกอยู่เสมอ

“นางต้องมีชื่อเสียงในการทำความดี เช่นเอาใจใส่เลี้ยงดูลูก มีน้ำใจรับรองแขก ล้างเท้าของธรรมิกชนทั้งหลาย สงเคราะห์คนทุกข์ยากและอุทิศตัวในการทำดีทุกอย่าง” ~1 ทิโมธี 5:10 THSV11

  1. เราต้องตระหนักว่า ผู้ปกครองดูแลคริสตจักรจะต้องเป็นคนที่มีอัธยาศัยต้อนรับแขกโดดเด่น

“ผู้ปกครองดูแลนั้นจะต้องเป็นคนที่ไม่มีที่ติ เป็นสามีของหญิงคนเดียว รู้จักประมาณตน มีสติสัมปชัญญะ เป็นคนน่านับถือ มีอัธยาศัยต้อนรับแขก เหมาะที่จะเป็นอาจารย์” ~1 ทิโมธี 3:2 THSV11

“แต่มีอัธยาศัยต้อนรับแขก รักความดี มีสติสัมปชัญญะ ชอบธรรม บริสุทธิ์ รู้จักบังคับใจตนเอง” ~ทิตัส 1:8 THSV11

  1. เราต้องตระหนักว่า พระเจ้าจะทรงพิพากษาเราจากวิถีที่เราปฏิบัติต่อคนแปลกหน้า (โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นพี่น้องของเรา)

“เราเป็นแขกแปลกหน้า พวกท่านก็ไม่ได้ต้อนรับเราไว้ เราเปลือยกาย ท่านก็ไม่ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เราเจ็บป่วยและต้องถูกจำคุก พวกท่านก็ไม่ได้เยี่ยมเรา’” ~มัทธิว 25:43 THSV11

“แล้วพวกเขาจะทูลว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ที่พวกข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิว หรือทรงกระหายน้ำ ทรงเป็นแขกแปลกหน้า หรือทรงเปลือยพระกาย ประชวรหรือทรงถูกจำอยู่ในคุก และพวกข้าพระองค์ไม่ได้ปรนนิบัติพระองค์นั้นตั้งแต่เมื่อไร?’” ~มัทธิว 25:44 THSV11

“เวลานั้นพระองค์จะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า การที่พวกท่านไม่ได้ทำกับผู้เล็กน้อยที่สุดสักคนหนึ่งในพวกนี้ ก็เหมือนไม่ได้ทำกับเราด้วย’” ~มัทธิว 25:45 THSV11

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม:   “พระคัมภีร์สอนอะไรเกี่ยวกับครอบครัวและการรักครอบครัวไว้บ้าง?”

ตอบ: “พระคัมภีร์กล่าวถึงครอบครัวและการรักดูแลครอบครัวไว้มากมาย อาทิ

  1. พระเจ้าเป็นผู้สถาปนาสถาบันครอบครัว

“พระยาห์เวห์พระเจ้าตรัสว่า “การที่ชายผู้นี้จะอยู่แต่ลำพังนั้นไม่ดี เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมกับเขาขึ้น” แล้วพระยาห์เวห์พระเจ้าจึงทรงทำให้ชายนั้นหลับสนิท ขณะที่เขาหลับอยู่ พระองค์ทรงชักกระดูกซี่โครงซี่หนึ่งของเขาออกมา แล้วทำให้เนื้อติดกันเข้าแทนกระดูก ส่วนกระดูกซี่โครงที่พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ทรงชักออกจากชายนั้นพระองค์ทรงสร้างให้เป็นหญิง แล้วทรงนำมาให้ชายนั้น ชายนั้นจึงว่า “นี่แหละ กระดูกจากกระดูกของเรา เนื้อจากเนื้อของเรา จะเรียกคนนี้ว่าหญิง เพราะคนนี้ออกมาจากชาย” เพราะเหตุนั้นผู้ชายจะละจากบิดามารดาของเขาไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน ผู้ชายและภรรยาของเขาเปลือยกายอยู่ทั้งสองคนและไม่อายกัน”         ~ปฐมกาล 2:18, 21-25 THSV11

  1. เราต้องรักคนในครอบครัวของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สามีต้องเป็นฝ่ายเริ่มต้น

“ในทำนองเดียวกัน สามีต้องรักภรรยาของตนเหมือนรักร่างกายของตัวเอง คนที่รักภรรยาของตัวเองก็รักตัวเองด้วย” ~เอเฟซัส 5:28 THSV11

“ส่วนสามีก็จงรักภรรยาของตน เหมือนพระคริสต์ทรงรักคริสตจักร และประทานพระองค์เองเพื่อคริสตจักร” ~เอเฟซัส 5:25 THSV11

  1. สามีภรรยาควรรักและชื่นชมยินดีในกันและกันตลอดชีวิต

“เจ้าจงชื่นชมยินดีในชีวิตกับภรรยาซึ่งเจ้ารักตลอดชีวิตอนิจจังที่ได้ประทานให้แก่เจ้าภายใต้ดวงอาทิตย์ตลอดวันเวลาอนิจจังของเจ้า เพราะว่านั่นเป็นรางวัลสำหรับชีวิต และสำหรับการตรากตรำของเจ้า ซึ่งเจ้าได้ตรากตรำภายใต้ดวงอาทิตย์” ~ปัญญาจารย์ 9:9 THSV11

  1. ครอบครัวจะแตกแยกกันมิได้ มิฉะนั้นครอบครัวจะพัง

“ถ้าครอบครัวใดแตกแยกกัน ครอบครัวนั้นจะตั้งอยู่ไม่ได้” ~มาระโก 3:25 THSV11

  1. สามีต้องเลี้ยงดูทะนุถอมภรรยา และทุกคนในครอบครัวก็ต้องร่วมดูแครอบครัว

“เธอดูแลความเป็นอยู่ในครอบครัวอย่างดี และไม่เคยเกียจคร้าน”         ~สุภาษิต 31:27 THSV11

“เพราะว่าไม่มีใครเกลียดชังกายของตนเอง มีแต่เลี้ยงดูและทะนุถนอม เหมือนที่พระคริสต์ทรงทำแก่คริสตจักร” ~เอเฟซัส 5:29 THSV11

  1. เราต้องดูแลช่วยเหลือครอบครัวของเรา แม้ว่าจะเคยมีปัญหาต่อกันมาก็ตาม

“โยเซฟจึงบอกพี่น้องและครอบครัวของบิดาว่า “เราจะขึ้นไปทูลฟาโรห์ว่า ‘พี่น้องและครอบครัวของบิดาผู้เคยอยู่ในแผ่นดินคานาอันนั้นมาหาข้าพระบาทแล้ว คนเหล่านั้นเป็นผู้เลี้ยงแกะเพราะเคยเลี้ยงสัตว์ เขาพาฝูงแพะแกะฝูงโคกับทรัพย์สมบัติทั้งหมดของพวกเขามาด้วย’” ~ปฐมกาล 46:31-32 THSV11

“โยเซฟเลี้ยงดูบิดาและพวกพี่น้องรวมทั้งครอบครัวของบิดา ให้มีอาหารรับประทานตามจำนวนคนในครอบครัว” ~ปฐมกาล 47:12 THSV11

  1. ผู้นำคริสตจักร จะต้องปกครองดูแลครอบครัวให้ดี

“พวกมัคนายกนั้นจะต้องเป็นสามีของหญิงคนเดียว และสามารถปกครองบุตร ธิดา และครอบครัวของตนได้ดี” ~1 ทิโมธี 3:12 THSV11

“ปกครองครอบครัวของตนได้ดี อบรมบุตร ธิดา ให้มีความนอบน้อมด้วยความเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง” ~1 ทิโมธี 3:4 THSV11

  1. เราต้องปกครองดูแลครัวเรือนให้ดี ก่อนไปปกครองดูแลคริสตจักร

“(เพราะถ้าชายคนไหนไม่รู้จักปกครองครอบครัวของตน คนนั้นจะดูแลคริสตจักรของพระเจ้าได้อย่างไร?)” ~1 ทิโมธี 3:5 THSV11

  1. เราต้องรับผิดชอบดูแลความเป็นอยู่ของคนในครอบครัวและญาติพี่น้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุพการีให้ดี

“ถ้าใครไม่เลี้ยงดูญาติพี่น้อง และโดยเฉพาะคนในครอบครัวแล้ว คนนั้นก็ปฏิเสธความเชื่อ และชั่วยิ่งกว่าคนที่ไม่เชื่อเสียอีก” ~1 ทิโมธี 5:8 THSV11

“ลูกจะเลี้ยงดูพ่อที่นั่น เพราะยังมีการกันดารอาหารอีกห้าปี เพื่อไม่ให้พ่อและครอบครัวของพ่อและทุกคนที่พ่อมีอยู่ยากจนลง’” ~ปฐมกาล 45:11 THSV11

  1. เราและครอบครัว ควรยำเกรงพระเจ้า และมีเมตตาคุณต่อผู้อื่นในชุมชนอยู่เสมอ

“ท่านและครอบครัวเป็นคนเคร่งศาสนาและเกรงกลัวพระเจ้า ท่านให้ทานแก่ประชาชนอย่างมากมายและอ้อนวอนพระเจ้าอยู่เสมอ” ~กิจการ 10:2 THSV11

  1. เราต้องช่วยครอบครัวของเราให้ได้รับความรอดและปลอดภัย

“เปาโลกับสิลาสจึงกล่าวว่า “จงวางใจในพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วท่านและครอบครัวจะได้รับความรอด” ~กิจการ 16:31 THSV11

“โดยความเชื่อ เมื่อโนอาห์ได้รับพระดำรัสเตือนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ยังมองไม่เห็น ท่านจึงยำเกรงและต่อเรือใหญ่ เพื่อช่วยครอบครัวของตนให้ปลอดภัย และโดยทางความเชื่อนั้น ท่านจึงกล่าวโทษชาวโลก และกลายเป็นทายาทแห่งความชอบธรรมซึ่งมาโดยความเชื่อ” ~ฮีบรู 11:7 THSV11

  1. เราต้องทำดีต่อคนในครอบครัวของเรา และครอบครัวอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งครอบครัวที่มีความเชื่อ

“เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีโอกาส ให้เราทำดีต่อทุกคน และเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อคนที่เป็นสมาชิกของครอบครัวแห่งความเชื่อ” ~กาลาเทีย 6:10 THSV11

  1. เราต้องตระหนักว่า นอกจากครอบครัวทางกายภาพของเรา เรายังมีครอบครัวฝ่ายจิตวิญญาณด้วย

“เพราะฉะนั้น พวกท่านจึงไม่ใช่คนนอกและคนต่างด้าวอีกต่อไป แต่เป็นพลเมืองเดียวกับบรรดาธรรมิกชน และเป็นครอบครัวของพระเจ้า” ~เอเฟซัส 2:19 THSV11

  1. เราและครอบครัวควรร่วมกันนมัสการพระเจ้า และร่วมเฉลิมฉลองด้วยกันอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

“ท่านและครอบครัวของท่าน จงรับประทานสัตว์หัวปีนั้นเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทุกๆ ปี ในสถานที่ซึ่งพระยาห์เวห์จะทรงเลือกไว้นั้น” ~เฉลยธรรมบัญญัติ 15:20 THSV11

  1. เราและครอบครัวควรร่วมรับใข้ หรือสนับสนุนคนที่กำลังรับใช้อยู่

“ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเมตตาต่อครอบครัวของโอเนสิโฟรัสด้วยเถิด เนื่องจากเขาทำให้ข้าพเจ้าชื่นใจบ่อยๆ เขาไม่มีความอับอายในโซ่ตรวนของข้าพเจ้าเลย” ~2 ทิโมธี 1:16 THSV11

“พี่น้องทั้งหลาย ท่านรู้ว่าครอบครัวของสเทฟานัส เป็นคริสเตียนพวกแรกในแคว้นอาคายา และพวกเขาได้ถวายตัวในงานปรนนิบัติบรรดาธรรมิกชน ข้าพเจ้าขอร้องท่านทั้งหลาย” ~1 โครินธ์ 16:15 THSV11

  1. เราควรทำให้บรรยากาศในบ้านของเราอบอุ่น เต็มด้วยความรักผูกพันมีความสุขร่วมกัน แม้แต่คนงานยังไม่อยากจากไป

“แต่ถ้าทาสนั้นจะกล่าวกับท่านว่า ‘ข้าพเจ้าจะไม่ไปจากท่าน’ เพราะเขารักท่านและครอบครัวของท่าน เพราะเขามีความสุขเมื่ออยู่กับท่าน” ~เฉลยธรรมบัญญัติ 15:16 THSV11

  1. ผู้นำครอบครัวต้องสอนลูกหลานให้อยู่ในทางของพระเจ้า และรักษาทางของพระเจ้า

“เพราะเราเลือกเขาแล้ว เพื่อเขาจะได้กำชับลูกหลาน และครอบครัวที่สืบต่อมาของเขา ให้รักษาพระมรรคาของพระยาห์เวห์ ให้ทำความชอบธรรมและความยุติธรรม เพื่อพระยาห์เวห์จะประทานแก่อับราฮัม ตามที่พระองค์ตรัสไว้แก่เขา” ~ปฐมกาล 18:19 THSV11

  1. บุตรหลานต้องเชื่อฟังบิดามารดา

“บุตรทั้งหลาย จงเชื่อฟังบิดามารดาของท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่านี่เป็นเรื่องถูกต้อง “จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า” นี่เป็นบัญญัติข้อแรกที่มีพระสัญญากำกับด้วย “เพื่อเจ้าจะไปดีมาดีและมีอายุยืนยาวบนแผ่นดินโลก” ~เอเฟซัส 6:1-3 THSV11

  1. บิดามารดาต้องเลี้ยงดูสั่งสอนและเตือนสติลูกตามหลักของพระเจ้า

“ส่วนท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา อย่ายั่วบุตรของท่านให้เกิดโทสะ แต่จงเลี้ยงดูพวกเขาด้วยการสั่งสอนและการเตือนสติตามหลักขององค์พระผู้เป็นเจ้า” -เอเฟซัส 6:4 THSV11

  1. เราทำงานในครอบครัวใด ก็ให้ทำงานด้วยความรัก สัตย์ซื่อ และเกิดผลดี

“ตั้งแต่โปทิฟาร์ตั้งโยเซฟให้เป็นผู้ดูแลบ้านและทุกสิ่งที่เขามีแล้ว พระยาห์เวห์ก็ทรงอวยพรแก่ครอบครัวของคนอียิปต์นั้นเพราะเห็นแก่โยเซฟ และพระพรของพระยาห์เวห์มาเหนือทุกสิ่งซึ่งเขามี ทั้งในบ้านและในนา” ~ปฐมกาล 39:5 THSV11

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม (1) :   “พระคัมภีร์สอนหรือกล่าวถึงการรักเพื่อนบ้านไว้อย่างไรบ้าง?”

ตอบ:  “พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องของการรักเพื่อนบ้านไว้มากมาย อาทิ

1.พระเจ้า บัญชาตั้งแต่ในพระคัมภีร์เดิมแล้วว่า ให้เรารักเพื่อนบ้าน

“ห้ามแก้แค้นหรือผูกพยาบาทลูกหลานคนชาติเดียวกับเจ้า แต่จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง เราคือยาห์เวห์” ~เลวีนิติ 19:18 THSV11

2.พระเยซูคริสต์ก็บัญชาให้เรารักพระเจ้า และรักเพื่อนบ้านของเรา

  • รักพระเจ้าเป็นบัญญัติ ข้อ1
  • รักเพื่อนบ้านเป็นบัญญัติ ข้อ2

“มีธรรมาจารย์คนหนึ่งเข้ามาใกล้ เมื่อได้ยินพวกเขาถกเถียงกัน และเห็นว่าพระองค์ทรงตอบพวกเขาได้ดีจึงทูลถามพระองค์ว่า “พระบัญญัติข้อไหนสำคัญที่สุด?” พระเยซูจึงตรัสตอบคนนั้นว่า “พระบัญญัติอันดับแรกคือ โอ ชนอิสราเอล จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราเป็นพระเจ้าองค์เดียว พวกท่านจงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าด้วยสุดใจของท่าน ด้วยสุดจิตของท่าน ด้วยสุดความคิดของท่านและด้วยสุดกำลังของท่าน ส่วนพระบัญญัติที่สำคัญอันดับสองคือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ไม่มีพระบัญญัติอื่นใดที่สำคัญยิ่งกว่าพระบัญญัติเหล่านี้” ธรรมาจารย์คนนั้นจึงทูลว่า “จริงทีเดียวท่านอาจารย์ ท่านกล่าวถูกต้อง ที่ว่า พระเจ้ามีแต่องค์เดียว นอกจากพระองค์แล้ว ไม่มีพระเจ้าอื่นอีกเลย และการที่จะรักพระองค์ด้วยสุดใจ สุดความเข้าใจ และสุดกำลัง และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ก็สำคัญกว่าเครื่องเผาบูชาและของถวายทั้งสิ้น” เมื่อพระเยซูทรงเห็นว่าคนนั้นตอบสนองอย่างมีปัญญา จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านไม่ไกลจากแผ่นดินของพระเจ้า” ตั้งแต่นั้นมาไม่มีใครกล้าถามพระองค์อีก” ~มาระโก 12:28-34 THSV11

3.พระเยซูคริสต์บัญชาให้เรารักพ่อแม่ และรักเพื่อนบ้าน

“จงให้เกียรติบิดามารดาของตน และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” ~มัทธิว 19:19 THSV11

4.อาจารย์เปาโล สรุปว่า การรักเพื่อนบ้านเป็นการสรุปธรรมบัญญัติทั้งหมดรวมกันเข้า

“เพราะว่าธรรมบัญญัติทั้งสิ้นนั้นสรุปได้เป็นคำเดียว คือว่า จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” ~กาลาเทีย 5:14 THSV11

“ข้อที่ว่า “ห้ามล่วงประเวณีผัวเมียเขา ห้ามฆ่าคน ห้ามลักทรัพย์ ห้ามโลภ” ทั้งพระบัญญัติอื่นๆ ก็รวมอยู่ในข้อนี้คือ “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” ~โรม 13:9 THSV11

5.อาจารย์ ยากอบ กล่าวว่า การรักเพื่อนบ้าน เป็นการปฏิบัติตามบัญญัติอย่างแท้จริงและเป็นการดี

“ถ้าพวกท่านปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพระเจ้าอย่างแท้จริงตามพระคัมภีร์ที่ว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” พวกท่านก็ทำดี” ~ยากอบ 2:8 THSV11

คำถาม (2) ต่อมาก็คือ :

“ถ้าเรารักเพื่อนบ้าน เราต้องทำอะไรบ้าง ตามเจตนารมณ์ของพระบัญชาและพระบัญญัติข้อนี้?”

1.ถ้าเรารักเพื่อนบ้าน เราจะไม่เกลียดชังเขา

“ห้ามเกลียดชังพี่น้องของเจ้าอยู่ในใจ แต่เจ้าจงตักเตือนเพื่อนบ้านของเจ้า เพื่อเจ้าจะไม่ต้องรับโทษเพราะเขา” ~เลวีนิติ 19:17 THSV11

2. ถ้าเรารักเพื่อนบ้าน เราจะไม่ทำอันตรายเขา

“ความรักไม่ทำอันตรายต่อเพื่อนบ้านเลย เพราะฉะนั้นความรักจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ธรรมบัญญัติสำเร็จอย่างครบถ้วน” -โรม 13:10 THSV11

3.ถ้าเรารักเพื่อนบ้าน เราจะไม่ลำเอียง

“แต่ถ้าพวกท่านลำเอียง ท่านก็ทำบาป และถูกตัดสินว่าเป็นผู้ละเมิดโดยธรรมบัญญัติ”  ~ยากอบ 2:9 THSV11

4. ถ้าเรารักเพื่อนบ้าน เราจะไม่ดูหมิ่นเขา

“คนที่ดูหมิ่นเพื่อนบ้านของตนก็เป็นคนบาป แต่คนที่เมตตาคนยากจนก็เป็นสุข” ~สุภาษิต 14:21 THSV11

5. ถ้าเรารักเพื่อนบ้าน เราจะไม่ค้ำประกันในสิ่งที่เรารับผิดชอบชดใช้ไม่ได้

“คนไม่มีสามัญสำนึกย่อมให้คำปฏิญาณ และเป็นผู้ค้ำประกันต่อหน้าเพื่อนบ้านของตน” ~สุภาษิต 17:18 THSV11

6. ถ้าเรารักเพื่อนบ้าน เราจะไม่ล่อชวนและนำเขาไปในทางที่ไม่ดี

“คนโหดร้ายล่อชวนเพื่อนบ้านของเขา และนำเขาไปในทางไม่ดี” ~สุภาษิต 16:29 THSV11

7. ถ้าเรารักเพื่อนบ้าน เราจะไม่บีบคั้นเขา

“ห้ามบีบคั้นเพื่อนบ้านหรือปล้นเขา ห้ามให้ค่าจ้างของลูกจ้างค้างอยู่กับเจ้าจนถึงรุ่งเช้า” ~เลวีนิติ 19:13 THSV11

8. ถ้าเรารักเพื่อนบ้าน เราจะไม่พิพากษาเขาอย่างไม่ยุติธรรม

“ห้ามพิพากษาด้วยความอยุติธรรม ห้ามลำเอียงเข้าข้างคนจนหรือเห็นแก่หน้าผู้เป็นใหญ่ แต่เจ้าจงพิพากษาเพื่อนบ้านของเจ้าด้วยความชอบธรรม”  ~เลวีนิติ 19:15 THSV11

9. ถ้าเรารักเพื่อนบ้าน เราจะไม่ส่อเสียด หรือปองร้ายเขา

“ห้ามเทียวขึ้นเทียวล่องคอยส่อเสียดท่ามกลางชนชาติของตน และห้ามปองร้ายต่อชีวิตของเพื่อนบ้าน เราคือยาห์เวห์” ~เลวีนิติ 19:16 THSV11

10. ถ้าเรารักเพื่อนบ้าน เราจะไม่แก้แค้น หรือผูกพยาบาทเขาหรือลูกหลานของเขา

“ห้ามแก้แค้นหรือผูกพยาบาทลูกหลานคนชาติเดียวกับเจ้า แต่จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง เราคือยาห์เวห์” ~เลวีนิติ 19:18 THSV11

11. ถ้าเรารักเพื่อนบ้าน เราจะไม่ข่มเหงเขา

“เมื่อคนต่างด้าวอาศัยอยู่กับเจ้าในแผ่นดินของพวกเจ้า ห้ามข่มเหงเขา คนต่างด้าวที่อาศัยอยู่กับพวกเจ้านั้นก็เป็นเหมือนกับคนท้องถิ่นของเจ้า จงรักเขาเหมือนกับรักตัวเอง เพราะว่าพวกเจ้าเคยเป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินอียิปต์ เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า” ~เลวีนิติ 19:33-34 THSV11

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม: “พระคัมภีร์พูดอะไรเกี่ยวกับวันอีสเตอร์บ้าง?”

ตอบ: “ในพระคัมภีร์ไม่มีคำว่า “อีสเตอร์” แต่ มีเรื่องราวหรือแก่นสารของวันอีสเตอร์ อย่างชัดเจน เรื่องราวของวันอีสเตอร์ มาก่อนคำว่า อีสเตอร์ จะเกิดขึ้น

ชื่อ “อีสเตอร์” มีความหมายถึง

“วันหยุดทางคริสตศาสนาเพื่อเฉลิมฉลองการสิ้นพระชนม์ และการ กลับคืนสู่พระชนม์ของพระเยซูคริสต์”  ~Cambridge International Dictionary of English

ในฉบับอื่นๆ อธิบายเพิ่มเติมว่า

1.“วันอีสเตอร์” (Easter) หมายถึง

“เทศกาลในคริสตศานาจักร เพื่อรำลึกถึงการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ เฉลิมฉลองกันในวันอาทิตย์แรก ซึ่งตามหลังคืนวันเพ็ญที่เกิดขึ้นในวันที่ 21 มีนาคมหรือถัดไปจากนั้น”

2.“วันอาทิตย์อีสเตอร์” (Easter Sunday) หมายถึง

 “วันอาทิตย์ที่เฉลิมฉลองเทศกาลนี้”

วันอีสเตอร์ เดิมตรงกับ เทศกาลปัสกา ของชาวยิว โดยคำว่า อีสเตอร์ นั้นเดิมเป็นชื่อของ “Eastre” เทพสตรีแห่งฤดูใบไม้ผลิของพวก แองโกล~แซกซอน ซึ่งต่อมาได้ถูกนำมาใช้ เป็นชื่อ “วันฉลองการคืนพระชนม์ (จากความตาย)ของพระเยซู”

เพราะ

  1. อยู่ในช่วงเวลาเดียวกับที่พระเยซูถูกตรึงตายและเป็นขึ้นมาใหม่
  2. อยู่ในช่วงเวลาเดียวกับวันปัสกา (Passover) ที่ชาวยิวเฉลิมฉลอง
  3. เป็นสัญลักษณ์ของการมีชีวิตใหม่(หลังฤดูหนาวที่เหมือนตายไปแล้ว)

แม้ดั้งเดิม จะฉลองวันอีสเตอร์ในวันปัสกาคือ วันที่ 14 เดือนนิสาน และมีการเปลี่ยนวันไปมาหลายครั้ง แต่สุดท้าย ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 4 จักรพรรดิคอนสแตนตินแห่งโรม ทรงบัญชาให้ถือรักษาวันอีสเตอร์เป็นวันอาทิตย์ หลังวันที่ 14 เดือนนิสาน( คือ วันอาทิตย์แรก หลังจากวันที่ 21 มีนาคม ซึ่งต้องอยู่ในช่วง ระหว่างวันที่ 22 มีนาคม ~ 25 เมษายน เสมอ)

ในพระคัมภีร์ได้บันทึกเรื่องราวแท้จริงเกี่ยวกับสาระหลักของวันอีสเตอร์ ไว้ว่า ที่พระเยซูถูกตรึงตายเพื่อไถ่บาปมวลมนุษยชาติ ในวันศุกร์ และถูกฝัง จากนั้น พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากตายในวันอาทิตย์ โดยมีหลักฐานกล่าวถึงปรากฏอยู่มากมาย อาทิ

  1. พระเยซูคริสต์เป็นชีวิต และการเป็นขึ้นจากตาย

“พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราเป็นชีวิตและการเป็นขึ้นจากตาย คนที่วางใจในเราจะมีชีวิตอีกแม้ว่าเขาจะตายไป” ~ยอห์น 11:25 THSV11

  1. พระเยซูทราบล่วงหน้าว่า พระองค์จะทนทุกข์ ตาย และเป็นขึ้นในวันที่ 3

“พระองค์ตรัสกับเขาว่า “มีถ้อยคำเขียนไว้อย่างนั้นว่า พระคริสต์จะต้องทนทุกข์และเป็นขึ้นจากตายในวันที่สาม” ~ลูกา 24:46 THSV11

  1. พระเยซูตายและเป็นจากตาย และปรากฏพระองค์ต่อสาวกหลายครั้ง

“พระเยซูทรงเข้ามาหยิบขนมปังแจกให้พวกเขา และทรงหยิบปลาแจกด้วย นี่เป็นครั้งที่สามที่พระเยซูทรงสำแดงพระองค์แก่พวกสาวก หลังจากที่พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว” ~ยอห์น 21:13-14 THSV11

  1. บรรดาสาวกของพระเยซูเป็นพยานในเรื่องเป็นจากตายของพระเยซูอย่างจริงจัง

“ท่านทั้งหลายจึงฆ่าพระองค์ผู้ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตเสีย แต่พระเจ้าได้โปรดให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย เราคือสักขีพยานของเรื่องนี้” ~กิจการ 3:15 THSV11

“เราคือสักขีพยานของกิจการทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำในแคว้นยูเดียและในกรุงเยรูซาเล็ม พวกเขาฆ่าพระองค์โดยแขวนไว้ที่ต้นไม้ และในวันที่สามพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายและทรงให้ปรากฏ ไม่ใช่ให้ปรากฏแก่คนทั่วไป แต่ให้ปรากฏแก่เรา คือบรรดาสักขีพยานที่พระเจ้าทรงเลือกไว้แล้ว คือทรงปรากฏแก่เราที่กินและดื่มกับพระองค์หลังจากพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากตาย พระองค์ทรงสั่งให้เราประกาศกับคนทั้งหลาย และเป็นพยานว่า พระเจ้าทรงตั้งพระองค์เป็นผู้พิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย บรรดาผู้เผยพระวจนะก็เป็นพยานถึงพระองค์ว่า ทุกคนที่เชื่อถือในพระองค์นั้น พระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปของพวกเขาโดยพระนามของพระองค์” ~กิจการ 10:39-43 THSV11

“ถึงแม้ว่าไม่ได้พบความผิดใดที่มีโทษถึงตาย พวกเขายังขอให้ปีลาตประหารพระองค์เสีย เมื่อพวกเขาทำทุกอย่างสำเร็จตามที่เขียนไว้เกี่ยวกับพระองค์แล้ว จึงเอาพระศพลงมาจากต้นไม้และวางไว้ในอุโมงค์ แต่พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย พระองค์ทรงสำแดงพระองค์อยู่หลายวันกับคนจากแคว้นกาลิลีที่มากรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับพระองค์ และบัดนี้คนเหล่านั้นคือสักขีพยานของพระองค์ต่อคนทั้งหลาย”      ~กิจการ 13:28-31 THSV11

“แต่เพราะพระเจ้าโปรดช่วยข้าพระบาทมาจนถึงทุกวันนี้ ข้าพระบาทจึงยืนอยู่ที่นี่และเป็นพยานทั้งต่อผู้น้อยและผู้ใหญ่ ข้าพระบาทไม่ขอพูดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องที่บรรดาผู้เผยพระวจนะและโมเสสกล่าวไว้ว่าจะเกิดขึ้น คือว่าพระคริสต์จะต้องทนทุกข์ทรมาน และพระองค์จะทรงแสดงความสว่างแก่ชนชาติอิสราเอลและแก่พวกต่างชาติ โดยที่ทรงเป็นผู้แรกที่เป็นขึ้นจากตาย” ~กิจการ 26:22-23 THSV11

  1. ทุกคนที่เชื่อว่าพระเยซูตายไถ่บาปและเป็นขึ้นจากตายแล้ว ผู้นั้นจะรอด

“เรารู้อยู่ว่า พระเจ้าทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นมาจากตาย แล้วพระองค์จะไม่ตายอีก ความตายจะไม่มีอำนาจเหนือพระองค์ต่อไป” ~โรม 6:9 THSV11

“คือว่าถ้าท่านจะยอมรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในใจว่า พระเจ้าได้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด เพราะว่าการเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด” ~โรม 10:9-10 THSV11

  1. ผู้ที่เข้าสนิทในการตายของพระเยซู จะเข้าสนิทในการเป็นขึ้นจากตายอย่างพระเยซูด้วย

“เพราะว่าถ้าเราเข้าสนิทกับพระองค์แล้วในการตายอย่างพระองค์ เราก็จะเข้าสนิทกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตายอย่างพระองค์” ~โรม 6:5 THSV11

  1. เราวางใจในพระเจ้าผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย โดยทางองค์พระเยซู

“โดยทางพระองค์ พวกท่านจึงวางใจในพระเจ้า ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย และประทานพระสิริแก่พระองค์ เพื่อให้ความเชื่อและความหวังของพวกท่านอยู่ในพระเจ้า” ~1 เปโตร 1:21 THSV11 

  1. พระเจ้าผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย จะให้พระวิญญาณที่อยู่ในเรา ทำให้กายของเราเป็นขึ้นมาใหม่ด้วย 

“ถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากตายสถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย พระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากตายแล้วนั้น จะทรงทำให้กายซึ่งต้องตายของพวกท่านเป็นขึ้นมาใหม่ โดยพระวิญญาณของพระองค์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน” ~โรม 8:11 THSV11

สรุป 

“อีสเตอร์”  คือเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ผู้เป็นขึ้นมาจากความตาย และจะทำให้เราเป็นขึ้นมาจากความตายด้วยเช่นกัน!

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

ถาม-ตอบ โดย ศจ ธงชัย ประดับชนานุรัตน์

คำถาม:  “พระคัมภีร์สอนอะไรบ้างเกี่ยวกับ ‘การรักตัวเอง‘
อย่างถูกต้อง?”

ตอบ:  “พระคัมภีร์สอนเกี่ยวกับเรื่อง ‘การรักตัวเอง’ ไว้ดังนี้

1.เราต้องรักตัวเอง โดยไม่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว

เพราะเหตุนี้คนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังไม่ให้ล้มลง ~1 โครินธ์ 10:12 THSV11

2.เราต้องรักตัวเอง โดยไม่หลอกตัวเองว่าสำคัญกว่าคนอื่น

เพราะว่าถ้าใครถือตัวว่าเป็นคนสำคัญ ทั้งๆ ที่เขาไม่สำคัญอะไรเลย เขาก็หลอกตัวเอง  ~กาลาเทีย 6:3 THSV11

3.เราต้องรักตัวเอง ด้วยการไม่หลงคิดว่าเรามีปัญญามากกว่าคนอื่น

เจ้าเห็นคนที่คิดว่าตัวเองมีปัญญาหรือ? ยังมีความหวังในคนโง่มากกว่าในเขา ~สุภาษิต 26:12 THSV11

อย่าให้ใครหลอกลวงตัวเอง ถ้าใครในพวกท่านคิดว่าตัวเป็นคนมีปัญญาตามหลักของยุคนี้ จงให้คนนั้นยอมเป็นคนโง่ เพื่อจะได้เป็นคนมีปัญญา ~1 โครินธ์ 3:18 THSV11

4.เราต้องรักตัวเอง ด้วยการประพฤติตามพระวจนะของพระเจ้า

แต่จงเป็นผู้ประพฤติตามพระวจนะ ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ฟังเท่านั้น มิฉะนั้นจะเป็นการหลอกตัวเอง ~ยากอบ 1:22 THSV11

5.เราต้องรักตัวเองด้วยการไม่ออกนอกลู่นอกทางหรือทำบาป

เพราะรู้แล้วว่าคนอย่างนั้นเป็นคนนอกลู่นอกทางและเป็นคนทำบาป เขาลงโทษตัวเขาเอง  ~ทิตัส 3:11 THSV11

6.เราต้องรักตัวเองด้วยการรับฟังเสียงกล่าวโทษของมโนธรรมเมื่อเรากระทำผิด

เมื่อใจของเรากล่าวโทษตัวเราเอง พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าใจของเรา และพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง  ~1 ยอห์น 3:20 THSV11

7.เราต้องรักตัวเองด้วยการสำรวจการกระทำของตัวเองและไม่เปรียบเทียบกับผู้อื่น

แต่ละคนจงสำรวจการกระทำของตนเอง แล้วจึงจะมีอะไรอวดได้ในตัวเองโดยไม่ต้องเปรียบกับผู้อื่น ~กาลาเทีย 6:4 THSV11

8.เราต้องรักตัวเองโดยไม่เกียจคร้าน ทำลายตัวเอง

ความอยากของคนเกียจคร้านฆ่าตัวเขาเอง เพราะมือของเขาไม่ยอมทำงาน  ~สุภาษิต 21:25 THSV11

9.เราต้องรักตัวเอง โดยไม่พูดหรือ โพสต์อะไร ที่ทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อน

คนที่ระวังปากและลิ้นของตน ก็ปกป้องตัวเองจากความยุ่งยาก  ~สุภาษิต 21:23 THSV11

10.เราต้องรักตัวเองด้วยการมีวินัยควบคุมตนอยู่เสมอ

ส่วนนักกีฬาทุกคนก็ควบคุมตัวเองในทุกด้าน พวกเขาทำเพื่อจะได้มงกุฎใบไม้ที่ร่วงโรยได้ แต่มงกุฎของเราจะไม่ร่วงโรยเลย ~1 โครินธ์ 9:25 THSV11

11.เราต้องรักตัวเองด้วยการปฎิบัติหน้าที่ที่รับมอบหมายให้เจริญก้าวหน้า

จงปฏิบัติหน้าที่เหล่านี้และทุ่มเทตัวเองให้กับหน้าที่ดังกล่าว เพื่อให้ทุกคนเห็นความก้าวหน้าของท่าน ~1 ทิโมธี 4:15 THSV11

12.เราต้องรักคนอื่นก่อนที่คนอื่นจะรักเรา

และข้าพเจ้ามีความยินดีอย่างยิ่งที่จะสละทุกสิ่งและสละตัวเองจนหมดเพื่อเห็นแก่ท่านทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้ารักท่านมากขึ้น พวกท่านกลับจะรักข้าพเจ้าน้อยลงหรือ?  ~2 โครินธ์ 12:15 THSV11

13.เราต้องรักคนในครอบครัวของเราก่อน เช่น เรารักภรรยา ภรรยาก็รักเรา

ในทำนองเดียวกัน สามีต้องรักภรรยาของตนเหมือนรักร่างกายของตัวเอง คนที่รักภรรยาของตัวเองก็รักตัวเองด้วย  ~เอเฟซัส 5:28 THSV11

อย่างไรก็ดี พวกท่านแต่ละคนจงรักภรรยาของตนเหมือนรักตัวเอง
และภรรยาก็จงยำเกรงสามี  ~เอเฟซัส 5:33 THSV11

14.เราต้องรักตัวเองด้วยการไม่โลภและไม่รักเงินทอง

เพราะว่าการรักเงินทองเป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งหมด ความโลภเงินทองนี้ที่ทำให้บางคนหลงไปจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์มากมาย  ~1 ทิโมธี 6:10 THSV11

15.เราต้องรักตัวเองด้วยการสะสมทรัพย์สมบัติเพื่อตัวเองไว้ในสวรรค์

แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติเพื่อตัวพวกท่านเองไว้ในสวรรค์ ที่ไม่มีแมลงจะกินและไม่มีสนิมจะกัด และที่ไม่มีขโมยทะลวงลักเอาไปได้  ~มัทธิว 6:20 THSV11

 

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-