Categories
บทความแปล

ส่งไปล่วงหน้า

World treasures

“อย่าส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในโลก ที่อาจเป็นสนิมและที่แมลงกินเสียได้ และที่ขโมยอาจขุดช่องลักเอาไปได้ แต่จงส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ ที่ไม่มีแมลงจะกินและไม่มีสนิมจะกัด และที่ไม่มีขโมยขุดช่องลักเอาไปได้  (มัทธิว 6:18-20)

สวรรค์เป็นเรื่องจริง เป็นที่อาศัยชั่วนิรันดร์ของเรา โลกเป็นเพียงที่อาศัยชั่วคราว สวรรค์เป็นต้นฉบับและโลกก็เป็นเพียงสำเนา นำสิ่งดีที่สุดที่คุณเคยเห็น หรือสัมผัสได้จากในโลกนี้ วันที่ดีที่สุดในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นวันแต่งงาน วันที่ลูกคลอด หรือช่วงเวลาสุดพิเศษกับใครบางคนที่คุณรัก และนี่เป็นเพียงแวบเดียวของสง่าราศี เป็นการชิมลางของสิ่งที่กำลังมาถึง

งานเขียนของ ซี.เอส. เลวิสที่ชื่อ “จดหมายถึงมัลคอล์ม” กล่าวว่า “เนินและหุบเขาในสวรรค์ จะเป็นสิ่งที่คุณสัมผัสได้ ไม่ใช่เหมือนสัมผัสสำเนาจากต้นฉบับ แต่เหมือนสัมผัสดอกไม้ที่งอกจากราก หรือเพชรที่เจียระไนจากคาร์บอน”

พระคัมภีร์บอกว่าวันหนึ่งในฐานะผู้เชื่อ เราต้องยืนอยู่ต่อหน้าพระบัลลังก์พิพากษา หรือที่นั่งใหญ่สีขาวของพระเยซู เพื่อจะรับบำเหน็จสำหรับความสัตย์ซื่อที่มีต่อพระเจ้า อ.เปาโลเขียนถึงคริสตจักรกาลาเทียว่า “อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเกี่ยวเก็บในเวลาอันสมควร”  (กาลาเทีย 6:9)

และยังมีคำเตือนใน 1โครินธ์ 3:8 ว่า “คนที่ปลูกและคนที่รดน้ำก็เป็นพวกเดียวกัน แต่ทุกคนก็จะได้ค่าจ้างตามการที่ตนได้กระทำไว้”

ครับ มีบำเหน็จรออยู่ และนี่ควรเป็นสิ่งที่ทำให้เราอยากทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อพระสิริของพระเจ้า อย่างที่ผมชอบพูด เรานำติดตัวไปไม่ได้ แต่เราส่งไปล่วงหน้าได้ ทุกๆการลงทุนที่เราทำในชีวิตเพื่อถวายพระสิริแด่พระเจ้าจะส่งผลถึงบำเหน็จนิรันดร์กาล ยอมสละเวลา นำของประทานมาใช้ ลงทุนกับสิ่งต่างๆที่เรามี โดยสัตย์ซื่อต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เราก็กำลังสะสมทรัพย์สมบัติในสวรรค์ไว้ให้ตัวเราเอง

โดย: Pastor Greg Laurie

อนุญาตโดย  Harvest Ministries with Greg Laurie

PO Box 4000,Riverside,CA92514

 

Categories
บทเรียนพระคัมภีร์

1พงศ์กษัตริย์ 1:1-27 (บทเรียนที่ 1)

เรื่องวุ่น ๆ ในวังหลวง!

 พระธรรม: 1พงษ์กษัตริย์ 1:1-27

อ้างอิง  :  2ซมอ.3:41;8:18;17:17;1ซมอ.2:35;1พกษ.2:17,22;ยชว.19:18;สภษ.15:55;ปฐก.15:5

บทนำ       1 และ 2พงศ์กษัตริย์ (เช่นเดียวกับ 1-2 ซามูเอล และ 1-2 พงศาวดาร) เดิมเป็นงานเขียนชั้นเดียวกัน มาถูกแบ่งโดยผู้แปลพระคัมภีร์เดิม เป็น ภาษากรีกที่เรียกว่า “ฉบับเชปทัวจิ้น” และสืบทอดต่อมาใน “ฉบับ วูลเกต” (ราว ค.ศ. 400) แม้แต่ฉบับฮีบรูก็แบ่งเป็น 2 ส่วนเช่นกันใน ปี 1448 

พระธรรมซามูเอล และพงศ์กษัตริย์ จะครอบคลุมประวัติศาสตร์การปกครองระบอบกษัตริย์ ตั้งแต่สมัยซามูลเอลจนล่มสลายในมือของพวกบาบิโลน

1-2 พงศ์กษัตริย์เล่าถึงประวัติศาสตราของอิสราเอล ตั้งแต่ช่วงปลายรัชกาลดาวิดไปจนตกเป็นเชลยที่      บาบิโลน โดยบอกถึงสาเหตุของการแตกแยกภายในชาติกลายเป็นเหนือ – ใต้ ทางเหนือมีกษัตริย์ 20 องค์ จาก 9 ราชวงศ์ ช่วงเวลาตั้งแต่ 930 ก.ค.ศ. – 722 (721) ก.ค.ศ. รวมเวลาราว 210 ปี

และทางใต้มีกษัตริย์ 20 องค์เช่นกัน แต่เป็นเชื้อสายของดาวิด (ยกเว้น อาธาลิยาห์ ซึ่งชิงบัลลังก์) รวมเวลาราว 345 ปี ตั้งแต่การแบ่งแยกอาณาจักร (930 ก.ค.ศ.) จนเยรูซาเล็มล่มสลายในปี 589 ก.ค.ศ.

 บทเรียน 

 1:1  “กษัตริย์ดาวิดมีพระชนมายุและทรงพระชรามากแล้ว แม้เขาจะห่มผ้าให้พระองค์มากก็ยังไม่อบอุ่น”

  (When King David was very old, he could not keep warm even when they put covers over him.)

1:2 “เพราะฉะนั้นบรรดาข้าราชการของพระองค์จึงกราบทูลว่า “ขอเสาะหาหญิงพรหมจารีมาถวายพระราชา เจ้านายของข้าพระบาท และขอให้เธออยู่งานเฉพาะฝ่าพระบาท และดูแลฝ่าพระบาท ให้เธอนอนในพระทรวง  ของฝ่าพระบาท เพื่อพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทจะได้ทรงอบอุ่น

(So his attendants said to him, “Let us look for a young virgin to serve the king and take care of  him. She can lie beside him so that our lord the king may keep warm.”)

1:3 “เขาจึงได้แสวงหานางสาวที่สวยงามตลอดดินแดนอิสราเอล ได้พบนางสาวอาบีชากหญิงชาวชูเนม จึงได้นำเธอมาเฝ้าพระราชา

(Then they searched throughout Israel for a beautiful young woman and found Abishag, a Shunammite, and brought her to the king.)

1:4 “หญิงสาวคนนั้นงามยิ่งนัก เธอได้ดูแลพระราชาและอยู่ปรนนิบัติพระองค์ แต่พระราชาหาทรงร่วมกับเธอไม่”       

(The woman was very beautiful; she took care of the king and waited on him, but the king had no sexual relations with her.)

1:5 “ฝ่ายอาโดนียาห์* โอรสของพระนางฮักกีทได้ยกตัวเองขึ้นกล่าวว่า “เราเองจะเป็นพระราชา” และท่านได้เตรียมรถรบและพลม้า กับพลวิ่งนำหน้าห้าสิบคนไว้เพื่อตนเอง

 (Now Adonijah, whose mother was Haggith, put himself forward and said, “I will be king.” So he  got chariots and horses ready, with fifty men to run ahead of him.)

1:6 “พระราชบิดาของท่านก็ไม่เคยขัดใจท่านด้วยถามว่า “ทำไมเจ้ากระทำเช่นนี้เช่นนั้น” ท่านเป็นชายงามด้วย ท่านเกิดมาถัดอับซาโลม

 (His father had never rebuked him by asking, “Why do you behave as you do?” He was also very  handsome and was born next after Absalom.)

1:7 “ท่านได้ปรึกษากับโยอาบบุตรนางเศรุยาห์และกับอาบียาธาร์ปุโรหิต เขาทั้งสองก็ติดตามและช่วยเหลือ อาโดนียาห์

  (Adonijah conferred with Joab son of Zeruiah and with Abiathar the priest, and they gave him  their support. )

1:8 “แต่ศาโดกปุโรหิต และเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดาและนาธันผู้เผยพระวจนะกับชิเมอี และเรอี และพวกทแกล้วทหารของดาวิดมิได้อยู่ฝ่ายอาโดนียาห์” 

   (But Zadok the priest, Benaiah son of Jehoiada, Nathan the prophet, Shimei and Rei and David’s  special guard did not join Adonijah.)

1:9 “อาโดนียาห์ได้ถวายแกะ วัว และสัตว์อ้วนพีเป็นเครื่องบูชา ณ โศเฮเลท ซึ่งอยู่ข้างๆเอนโรเกล และท่านได้เชิญพี่น้องทั้งสิ้นของท่าน คือราชโอรสของพระราชา และประชาชนทั้งสิ้นแห่งยูดาห์ ที่เป็นข้าราชการของพระราชา

 (Adonijah then sacrificed sheep, cattle and fattened calves at the Stone of Zoheleth near En  Rogel. He invited all his brothers, the king’s sons, and all the royal officials of Judah,)

1:10 “แต่ท่านมิได้เชิญนาธันผู้เผยพระวจนะ หรือเบไนยาห์หรือพวกทแกล้วทหาร หรือซาโลมอนอนุชาของท่าน” 

  (but he did not invite Nathan the prophet or Benaiah or the special guard or his brother Solomon.)

1:11 “แล้วนาธันก็ทูลพระนางบัทเชบาพระชนนีของซาโลมอน*ว่า “ฝ่าพระบาทไม่ทรงทราบหรือว่า อาโดนียาห์โอรส ของพระนางฮักกีทได้ทรงราชย์แล้ว และดาวิดเจ้านายของข้าพระบาทก็มิได้ทรงทราบเรื่อง

 (Then Nathan asked Bathsheba, Solomon’s mother, “Have you not heard that Adonijah, the son  of Haggith, has become king, and our lord David knows nothing about it?)

1:12 “เพราะฉะนั้นขอข้าพระบาทถวายคำปรึกษา เพื่อฝ่าพระบาทจะได้ทรงช่วยชีวิตของฝ่าพระบาท และชีวิตของซาโลมอนโอรสของฝ่าพระบาทไว้

  (Now then, let me advise you how you can save your own life and the life of your son Solomon.)

1:13 “ขอเสด็จเข้าเฝ้าพระราชาดาวิดทันที และกราบทูลพระองค์ว่า ‘พระราชาเจ้านายของหม่อมฉัน ฝ่าพระบาทได้ ทรงปฏิญาณกับสาวใช้ของฝ่าพระบาทไว้มิใช่หรือว่า “ซาโลมอนบุตรของเจ้าจะครองสมบัติต่อจากเรา และจะนั่งบนบัลลังก์ของเรา มิใช่หรือ” ไฉน อาโดนียาห์จึงทรงครองเล่าเพคะ’”

   (Go in to King David and say to him, ‘My lord the king, did you not swear to me your servant:  “Surely Solomon your son shall be    king after me, and he will sit on my throne”? Why then has  Adonijah become king?’ )

1:14 “ดูเถิด ขณะที่ฝ่าพระบาทกราบทูลพระราชาอยู่ ข้าพระบาทจะตามเข้าไปเฝ้า และสนับสนุนพระเสาวนีย์ของฝ่าพระบาท

   (While you are still there talking to the king, I will come in and add my word to what you have   said.”

 

1:15 “แล้วพระนางบัทเชบาก็เข้าไปเฝ้าพระราชาที่ห้องบรรทม  (พระราชาทรงพระชรามาก และอาบีชากชาวชูเนมก็ กำลังอยู่ปรนนิบัติพระราชา)”

   (So Bathsheba went to see the aged king in his room, where Abishag the Shunammite was attending him.)

1:16 “เมื่อพระนางบัทเชบากราบถวายบังคมแล้ว พระราชาก็ตรัสถามว่า “เจ้าประสงค์สิ่งใด”

   (Bathsheba bowed down, prostrating herself before the king.“What is it you want?” the king  asked.)

 

1:17 “พระนางทูลพระองค์ว่า “ข้าแต่เจ้านายของข้าพระบาท ฝ่าพระบาทได้ทรงปฏิญาณในพระนามของพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของฝ่าพระบาทต่อสาวใช้ของฝ่าพระบาทว่า ‘ซาโลมอนบุตรของเจ้าจะครองสมบัติต่อจากเราแน่นอน และเขาจะนั่งบนบัลลังก์ของเรา‘”

   (She said to him, “My lord, you yourself swore to me your servant by the Lord your God: ‘Solomon your son shall be king after me,     and he will sit on my throne.’)

1:18 “ดูเถิด บัดนี้อาโดนียาห์ทรงราชย์แล้ว แม้ว่าพระองค์คือพระราชาเจ้านายของหม่อมฉันก็หาทรงทราบไม่”

    (But now Adonijah has become king, and you, my lord the king, do not know about it.)

1:19 “เธอได้ถวายวัวสัตว์อ้วนพีและแกะเป็นอันมาก และได้เชิญบรรดาโอรสของพระราชากับอาบียาธาร์ปุโรหิต กับโยอาบผู้บัญชาการกองทัพ แต่ซาโลมอนผู้รับใช้ของพระองค์ เธอหาได้เชิญไม่”

(He has sacrificed great numbers of cattle, fattened calves, and sheep, and has invited all the  king’s sons, Abiathar the priest and Joab the commander of the army, but he has not invited Solomon your servant. )

1:20 “ข้าแต่พระราชาเจ้านายของหม่อมฉัน บัดนี้อิสราเอลทั้งสิ้นก็เพ่งดูฝ่าพระบาท เพื่อฝ่าพระบาทจะตรัสแก่เขาว่า จะทรงให้ผู้ใดนั่งบนบัลลังก์ของพระราชาเจ้านายของหม่อมฉันแทนฝ่าพระบาท

  (My lord the king, the eyes of all Israel are on you, to learn from you who will sit on the throne of  my lord the king after him)

1:21 “มิฉะนั้นจะเป็นดังนี้ คือเมื่อพระราชาเจ้านายของหม่อมฉันล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของพระองค์แล้ว หม่อมฉันและซาโลมอนบุตรของหม่อมฉันก็จะตกเป็นฝ่ายผิด” 

    (Otherwise, as soon as my lord the king is laid to rest with his ancestors, I and my son Solomon  will be treated as criminals.”)

1:22 “ขณะเมื่อพระนางกำลังกราบทูลพระราชาอยู่ นาธันผู้เผยพระวจนะก็เข้ามา”

   (While she was still speaking with the king, Nathan the prophet arrived.)

1:23 “เขาทั้งหลายจึงกราบทูลพระราชาว่า “ดูเถิด นาธันผู้เผยพระวจนะ” เมื่อนาธันเข้ามาต่อพระพักตร์พระราชา เขาก็ซบหน้าลงถึงพื้นถวายคำนับพระราชา”

  (And the king was told, “Nathan the prophet is here.” So he went before the king and bowed  with his face to the ground.)

1:24 “และนาธันกราบทูลว่า “ข้าแต่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท ฝ่าพระบาทรับสั่งไว้หรือว่า ‘อาโดนียาห์จะครองต่อจากเรา และจะนั่งบนบัลลังก์ของเรา‘”

  (Nathan said, “Have you, my lord the king, declared that Adonijah shall be king after you, and that he will sit on your throne?)

1:25 “เพราะวันนี้เธอได้ลงไปถวายวัว สัตว์อ้วนพีและแกะเป็นอันมาก และได้เชื้อเชิญบรรดาโอรสของพระราชาทั้งผู้บัญชาการกองทัพและอาบียาธาร์ปุโรหิต และดูเถิด เขาทั้งหลายกำลังกินดื่มต่อหน้าเธอและกล่าวว่า  ‘ขอพระราชาอาโดนียาห์ทรงพระเจริญ’”

 (Today he has gone down and sacrificed great numbers of cattle, fattened calves, and sheep.  He has invited all the king’s sons, the commanders of the army and Abiathar the priest. Right  now they are eating and drinking with him and saying, ‘Long live King Adonijah!’)

1:26 “แต่ส่วนข้าพระบาทผู้รับใช้ของฝ่าพระบาท และศาโดกปุโรหิตกับเบไนยาห์บุตรเยโฮยาดา และซาโลมอนผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทเธอหาได้เชิญไม่

  (But me your servant, and Zadok the priest, and Benaiah son of Jehoiada, and your servant Solomon he did not invite.)

1:27 “เหตุการณ์ทั้งนี้บังเกิดขึ้นโดยพระราชาเจ้านายของข้าพระบาทหรือ และฝ่าพระบาทมิได้ตรัสบอกแก่ผู้รับใช้ ของฝ่าพระบาทว่า จะทรงให้ผู้ใดนั่งบนบัลลังก์ของพระราชาเจ้านายของฝ่าพระบาท ต่อจากฝ่าพระบาท

 (Is this something my lord the king has done without letting his servants know who should sit on  the throne of my lord the king after him? 

ข้อมูลมีประโยชน์

1:1       “ทรงพระชรามากแล้ว” (well advanced in years) ใน 2ซมอ.5:4 บ่งบอกว่า ดาวิดตายเมื่ออายุราว ๆ  70 ปี (ปท. 1พกษ.2:11)

1:2       “จะได้ทรงอบอุ่น” (the King may be warm) = หลักการแพทย์ยูดาโบราณใช้ร่างกายของคนที่แข็งแรงดีมาให้ความอบอุ่นแก่ผู้เจ็บป่วย

1:3       “อาบีชากหญิงชาวชูเนม” (Abishag, a Shunammite) –ข.15 / “ชูเนม” (shunem) -2พกษ.4:8;ยชว.19:18;1ซมอ.28:4 –ตั้งอยู่ใกล้ที่ราบ   Jezreel ในเขตแดนของเผ่าอิสสาคาร์

1:4       “ไม่ได้ทรงมีเพศสัมพันธ์กับเธอ” (the king knew her not) = “หาทรงร่วมกับเธอไม่”(1971) (had no intimate relations with her) = มี         ความสำคัญกับการที่อาโดนียาห์ (Adonijah) ขอนางอาบีชากเป็นภรรยา หลังจากที่ดาวิดตาย (2:17,22)

1:5       “อาโดนียาห์” (Adonijah) –เป็นโอรสองค์ที่ 4 ของดาวิด (2ซมอ.3:4) เกิดจากนางฮักกีท ในเวลานี้อายุราว ๆ  35 ปี ดูเหมือนว่าจะเป็นโอรสองค์โต         ที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ (2ซมอ.13:28;18:14) “ได้ยกตัวเองขึ้น” (exalted himself) = กำเริบเสิบสาน เขากำลังชิงบัลลังก์โดยไม่คำนึงว่า ดาวิดทรงสิทธิ์ที่ จะแต่งตั้งทายาทด้วยพระองค์เอง (และเขาอาจรู้ว่าดาวิดจะเลือกซาโลมอน –ข 10,13,17,30;1พศด.22:9-11;2ซมอ.12:25) “คนห้าสิบคนไว้วิ่งนำหน้าตนเอง” (fifty men to run before him.) = ให้วิ่งนำหน้าขบวนเหมือนที่อับซาโลมเคยทำก่อนหน้านี้ (2ซมอ.15:1)

1:6       “พระราชบิดาของท่านก็ไม่เคยขัดใจท่านสักครั้ง” (His father had never at any time displeased him) = ไม่เคยห้ามปราม ดูเหมือนดาวิดจะ     ละเลยการอบรมสั่งสอนบุตรมาโดยตลอด (2ซมอ.13:21;14:33) “ท่านมีรูปร่างหน้าตาดีด้วย” (He was also a very handsome man) = เป็นคน หล่อเหลา มีรูปลักษณ์ภายนอกมีเสน่ห์ดึงดูดตาผู้อื่น (1ซมอ.9:2;16:12;2ซมอ.14:25)

1:7       “โยอาบบุตรนางเศรุยาห์” (Joab  the son of Zeruiah) -1ซมอ.26:6;2ซมอ.2:13;19:13;20:10,23 -การที่โยอาบเข้าข้างอาโดนียาห์ อาจเพราะ      เขากำลังแย่งชิงอำนาจอิทธิพลกับเบไนยาห์ (ข.8;2ซมอ.8:18; 20:23;20-23) ; เขาดู “ตำแหน่งทางกองทัพ” สำคัญกว่า “ความสัมพันธ์กับดาวิด” (2:5-6) “ปุโรหิตอาบียาธาร์” (Abiathar the priest) -2ซมอ.8:17

1:8       “ปุโรหิตศาโดก” (Zadok the priest) -2ซมอ.8:17  บุตรเยโฮยาดา” ( Benaiah the son of Jehoiada) -2ซมอ.23:20 “ชิเมอี” (shimei) –  ไม่ใช่ชิเมอีใน 2:8,46;2ซมอ.16:5-8 ; แต่อาจเป็นชิเมอีเดียวกับชิเมอีบุตรเอลา (4:18) “ราชองครักษ์ของดาวิด” (David’s mighty men) =พวกทหารเอกของดาวิด” -2ซมอ.23:8-39; พวกนี้ไม่ได้อยู่ฝ่ายอาโดนียาห์

1:9       “อาโดนียาห์ ได้ฆ่าแกะ วัว และสัตว์อ้วนพีเป็นเครื่องบูชา” (Adonijah Sacrificed sheep oxen and fattened cattle) –ข.5, เขายังทำตามแบบ    อย่างของอับซาโลม (2ซมอ.15:7-12) “น้ำพุเอนโรเกล” (En-rogel)   = อยู่ทางใต้ของเยรูซาเล็มในหุบเขาขิดโรน น้ำพุนี้เป็นสัญลักษณ์สำคัญ สำหรับการกระทำของเขา (ข. 33)- 2ซมอ.17:17 “ได้เชิญพี่น้องทั้งสิ้นของท่านคือบรรดาพวกราชโอรสของพระราชา” (invited all his brothers, the king’s sons)  -1พศด.29:24

1:10     “แต่ท่านไม่ได้เชิญนาธัน…และซาโลมอนพระอนุชาของท่าน” (but he did not invite Nathan…or Solomon his brother.)  1พกษ. 1:26 ;2ซมอ.12:24

1:11     “…พระนางบัทเชบาพระราชามารดาของซาโลมอน” (Bathsheba the mother of Solomon) = ตำแหน่งสำคัญและทรงอิทธิพลในราชสำนัก (2:19;15:13;2พกษ.10:13;2พศด.15:16) “ทรงครองราชย์แล้ว” (has become king) = “ตั้งตนเป็นกษัตริย์แล้ว” = พฤติกรรมของเขาทำให้ตีความได้เช่นนั้น แม้ไม่ได้มีการประกาศออกมา (ข. 25;2:15;2ซมอ.15:10)

1:12     “เพื่อพระนางจะได้ทรงช่วยชีวิตของพระนางเองและชีวิตของซาโลมอน” (that you may serve your own life and the life of your son          Solomon.) = ในสมัยโบราณ(ในตะวันออกใกล้) ผู้ที่ชิงบัลลังก์จะกำจัดทุกคนที่อาจอ้างสิทธิ์เหนือบัลลังก์นั้น เพื่อให้ตำแหน่งของตนมั่นคง (5:29;2พกษ.10:11;11:1)

1:13     “ฝ่าพระบาทได้ทรงปฏิญาณกับสาวใช้ของฝ่าพระบาทว่า ..” (Did you not my lord the king, swear to your servant, saying)  = แม้ไม่        ได้บันทึกไว้ชัดเจนใน 2ซามูเอล ว่าดาวิดปฏิญาณจะยกบัลลังก์ให้ ซาโลมอน แต่ก็บ่งเป็นนัยว่า ซาโลมอนจะเป็นผู้สืบทอดพระสัญญาที่พระเจ้าสัญญากับดาวิดว่า ราชวงศ์ของเขาจะดำรงเป็นนิจ (ข.5)

1:17     “เจ้านายของหม่อมฉัน ฝ่าพระบาทได้ทรงปฏิญาณในพระนามของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของฝ่า พระบาท” (My lord your swore to your       servant by the lord you God)  = คำที่ปฏิญาณในนามของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ละเมิดหรือผิดคำสาบานไม่ได้                      (อพย.20:7;ลนต.19:12;ยชว.9:15,18,20;วนฉ.11:30;35:ปญจ.5:4-7)

1:21     “…ล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษ” (Sleeps with his fathers)  = สำนวนทั่วไปหมายถึง “ตาย”  -ปฐก.47:30;ฉธบ.31:16

1:24     “ข้าแต่พระราชาเจ้านายของข้าพระบาท ฝ่าพระบาทรับสั่งไว้หรือว่า “อาโดนียาห์” จะเป็นกษัตริย์ ต่อจากเราและจะนั่งบนบัลลังก์ของเรา?”     (My lord the king have you said, Adomjah shall reign after me, and he shall sit on my throne.?)  = ชั้นเชิงของนาธันในการตั้งคำถามที่ เปิดเผยปัญหา หากดาวิดไม่ได้ผิดคำปฏิญาณที่ให้ไว้กับบัทเชบาและโซโลมอน (ข.27) ในการแอบสนับสนุนอาโนนียาห์ชิงบัลลังก์ ก็เท่ากับอาโดนียาห์ ยิงชิงบัลลังก์ของดาวิดไปแล้ว

1:25     “ขอพระราชาอาโดนียาห์ทรงพระเจริญ” (Long live King Adonijah) = การยอมรับและประกาศรับรองกษัตริย์องค์ใหม่                                  (1ซมอ.10:24;2ซมอ.16:16;2พกษ.11:12)

1:26     “แต่ส่วนข้าพระบาท…และซาโลมอนผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทท่านไม่ได้เชิญ” (But me…and your servant Solomon has not invited.)                          -1พกษ.2:10

คำถามนำอภิปราย

  1. คุณคิดว่า ชีวิตที่ยืนยาวเป็นพรหรือเป็นภาระ?  ทำไมคุณคิดเช่นนั้น?  ชีวิตของกษัตริย์ดาวิดได้ยืนยันความคิดของคุณหรือไม่อย่างไร?
  2. คุณคิดว่าชีวิตที่ไม่อบอุ่นทางกายกับชีวิตที่ไม่อบอุ่นทางใจ อย่างไหนทรมานกว่ากัน?  คุณเคยมีประสบการณ์ โดยตรงบ้างหรือไม่? อย่างไร ขอให้แบ่งปัน!
  3. คุณเคยเห็นครอบครัวที่มีปัญหาเกิดขึ้นเพราะพ่อ(หรือแม่)ไม่อบรมสั่งสอนลูกในทางที่ควรจะเดินจนก่อเกิดปัญหาให้พ่อแม่เจ็บปวดใจเมื่อเขาโตขึ้นบ้างหรือไม่?  คุณเองเคยมีประสบการณ์ในเรื่องนี้อย่างไร?ยเข้าไปในความขัดแย้งภายในครอบครัวหรือองค์กรเพราะเรื่อง “ผลประโยชน์” บ้างหรือไม่?  อย่างไร?  แล้วคุณมีส่วนทำให้สถานการณ์ดีขึ้นหรือย่ำแย่ลง?  อย่างไร?
  4. คุณเคยได้รับผลเสียจาก “ความใจร้อน” เพราะไม่รู้จักรอคอยหรือจากความทรนงฮึกเหิมหลงตนของตัวคุณเองบ้างหรือไม่?  อย่างไร?
  5. คุณได้เรียนรู้จักศิลปะในการจัดการกับ “ปัญหา” และกับ “บุคคล” ที่เป็นต้นเหตุของปัญหาจากชีวิตและการรับใช้ของ “นาธัน” ในเรื่องใดบ้าง?   และคุณจะนำมาใช้จริงอย่างไร?

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์-

twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทความแปล

เก็ทเสมาเนส่วนตัว

Gethsemane garden

ก่อนไปถึงกางเขน  พระเยซูเสด็จไปสถานที่ๆเรียกว่าสวนเก็ทเสมาเน  ที่นั่นพระองค์ทรงเผชิญหน้ากับความโหดร้ายที่กำลังจะมาถึงบนไม้กางเขน ทรงอธิษฐานว่า “ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด”

มีอะไรเกี่ยวกับถ้วยนั้นที่ทำให้พระองค์อยากถอนตัว? ผมเชื่อว่าเป็นถ้วยแห่งพระอาชญาของพระเจ้า ที่พระองค์จะต้องดื่มแทนเราทุกคน การพิพากษาจากพระเจ้าที่ควรตกบนเราแทนที่จะตกลงบนพระองค์

พระองค์อธิษฐานว่า “อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”
ในชีวิต เราทุกคนต้องเผชิญกับเก็ทเสมาเนส่วนตัว และผมหมายถึง เวลาที่…

  • ชีวิตดูไม่เป็นเหตุเป็นผล
  • เมื่อปัญหาของคุณใหญ่เกินรับไหว
  • เมื่อคุณรู้สึกว่ามันมากมายจนพ่ายแพ้
  • เมื่อรู้สึกว่าไปต่ออีกไม่ไหวแม้แต่วันเดียว

มีบางเวลาที่เราต้องพูดบางสิ่งที่สำคัญสำหรับพระเจ้า และเป็นสิ่งเดียวกับที่พระเยซูตรัส “อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”
มีการพูดเกี่ยวกับกางเขนไว้มากมาย แต่จงจำไว้ ที่ในสวนเก็ทเสมาเน เราได้เห็นการตัดสินใจที่แสนเจ็บปวดทรมาน ที่นำพระเยซูไปจนถึงกางเขน !

น่าสนใจที่ความบาปนั้นเริ่มต้นที่ในสวน และการยอมจำนน แบกรับโทษความบาปนั้นก็เกิดขึ้นที่ในสวน

ที่ในสวนเอเดน – อาดัมทำบาป     ในสวนเก็ทเสมาเน  พระเยซูทรงมีชัยเหนือบาป
ที่ในสวนเอเดน – อาดัมหลบไปซ่อนตัว    ในสวนเก็ทเสมาเน องค์พระเยซูคริสต์ทรงเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญ

ที่ในสวนเอเดน – มีการชักกระบี่ขึ้นมามา   ในสวนเก็ทเสมาเน ดาบถูกเก็บเข้าฝัก

พระเยซูทรงทำทุกสิ่งนี้ก็เพื่อเรา

โดย: Pastor Greg Laurie

อนุญาตโดย  Harvest Ministries with Greg Laurie

PO Box 4000,Riverside,CA92514

 

Categories
บทความแปล

ลัทธิเหยียดผิวในแผ่นดินของพระเจ้า

white sheep

จะไม่เป็นยิวหรือกรีก จะไม่เป็นทาสหรือไท จะไม่เป็นชายหรือหญิง เพราะว่าท่านเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยพระเยซูคริสต์ (กาลาเทีย 3:28)

ช่วงสิบปีแรกของชีวิตผม ผมโตขึ้นในเมืองเล็กๆ 30 ไมล์ทางเหนือของลิตเติ้ลร็อค อาร์แคนซอส์ ตอนนั้นปี 1950 ผมจึงคุ้นเคยกับอคติเรื่องสีผิว ยังจำได้สมัยนั้นเวลาไปที่ห้าง จะมีที่กดน้ำดื่มอันหนึ่งปิดป้ายว่า “สำหรับคนขาวเท่านั้น” และอีกอันปิดว่า “สำหรับผิวสี” จำได้สมัยที่คนอัฟริกันอเมริกันไม่อาจนั่งภัตตาคาร หรือทานอาหารในร้านเดียวกับฝรั่งผิวขาวได้

ในปี 1970 พ่อผมถูกคนผิวดำตีจนตายในร้านขายวัสดุก่อสร้างของท่าน ผมต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกอคติและถือทิฐิของตนเอง แต่วันนี้ เพราะมีพระเยซูในชีวิต ผมสามารถจับมือกับผู้คนทุกเชื้อชาติและสีผิว พูดว่า “ผมรักพวกคุณ” ได้

หลายปีมาแล้ว ผมได้รับสิทธิพิเศษกล่าวแนะนำเพื่อนคนหนึ่ง ดร.โทนี่ อีวานส์ ขึ้นเทศนาที่การประชุมใหญ่เซาท์เทิร์นแบ๊บติสต์ ผมเต็มด้วยน้ำตาเมื่อหยุดและย้อนคิดว่าเรามาไกลเพียงใดจากวันที่ “สำหรับคนขาวเท่านั้น” แต่ยังมีงานรอให้ทำอีกมาก

ลัทธิเหยียดผิวไม่มีอยู่ในแผ่นดินของพระเจ้า ในพระคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ดังนั้นเมื่อคุณถูกทดลองให้ตัดสินผู้อื่นโดยยึดตามเชื้อชาติพวกเขา จงจำไว้ว่าพระเจ้าทรงมองลูกๆของพระองค์เหมือนกันทุกคน !

พระเจ้าทรงมองลูกของพระองค์เหมือนกัน ไม่ว่าจะชนชาติใด ดังนั้นอย่ามีอคติ หรือยึดถือเรื่องสีผิวหรือเชื้อชาติ ให้ต้อนรับ ความหลากหลายที่รวมกันภายใต้พระกายพระคริสต์ครับ

อนุญาตโดย: Pastor Jack Graham

Jack Graham Power Point Ministry: www.powerpoint.org

Categories
สารจากศบ.

สารจากศิษยาภิบาล

4 สิงหาคม 2013

สวัสดีครับพี่น้อง CJ

ขอบคุณพระเจ้าที่ทุกคนในโบสถ์รักกันดี และมีความสุขกันถ้วนหน้า!

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับอาทิตย์ที่แล้วมี 3 ท่านประกาศตัวต้อนรับพระคริสต์คือ 1. คุณโดนัท  2. คุณเหล่งเล้ง   3. คุณฉั่ง

ขอแสดงความยินดีและต้อนรับเข้าสู่ครอบครัว CJ ผ่านกลุ่มพันธกิจที่มีคุณคริสเป็นผู้นำครับ!

ขอบคุณที่ทุกท่านจะให้ความร่วมมือตามที่ขอไว้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ซึ่งจะขอนำขอวิงวอนจากพี่น้องอีกครั้งดังนี้

  1. กรุณาแต่งกายให้สุภาพเหมาะกับวาระโอกาส (ในการเข้าเฝ้าพระเจ้า) และขอให้หลีกเลี่ยงการใส่กางเกงขาสั้นในระหว่างการนมัสการพระเจ้า ยกเว้น ไม่มีกางเกงขายาวหรือชุดอื่น ๆ ที่สุภาพสวมใส่ หรือเพิ่งมาใหม่ หรือไม่เคยได้รับการแจ้งให้ทราบมาก่อน ฯลฯ
  2. กรุณาเว้นการพูดคุย ไม่ว่าจะระหว่างกันหรือโดยการพูดคุยโทรศัพท์หรือทำสิ่งใดที่ไม่ให้เกียรติพระเจ้าหรือรบกวนสมาธิผู้อื่น
  3. กรุณานั่งชิดในก่อนเพื่อให้ผู้ที่มาทีหลังสามารถนั่งต่อ ๆ กันได้ โดยไม่มีการเดินข้ามหน้าหรือตัดหน้าผู้อื่นในระหว่างการนมัสการ (อย่าเดินตัดหน้ากล้องขณะบันทึกภาพ)
  4. กรุณาอย่ารบกวนผู้อื่นด้วยการพูดหรือแสดงกริยามารยาทที่ไม่เหมาะสม ขอยืมเงินหรือขอเงิน หากต้องการความช่วยเหลือ ขอติดต่อคณะผู้อภิบาลโดยตรง อาทิ  คุณหลุยส์ หรือคุณอู๊ด และคุณเล็ก
  5. กรุณาตักอาหารรับประทานอาหารพอดีกับตน (ทานได้เต็มที่เท่าที่ทานได้) ไม่ต้องตักเผื่อผู้อื่น ขอให้ประมาณว่าจะไม่เหลืออาหารทิ้ง และขอช่วยกันเก็บภาชนะและทำความสะอาดบริเวณที่รับประทานด้วย จะขอบคุณเป็นอย่างยิ่งครับ!
  1. กรุณาดูแลลูกหลาน(เด็ก ๆ) ไม่ให้วิ่งผ่านหน้าไปมาหรือส่งเสียงดังรบกวนการนมัสการ (นิดหน่อยไม่เป็นไร)
  2. กรุณาระมัดระวังดูแลให้กระเป๋าหรือสิ่งของมีค่าทุกอย่างอยู่ติดตัวอยู่ตลอดเวลา และขอช่วยกันเป็นหูเป็นตา ดูแลความปลอดภัยให้กันด้วยนะครับ  เพราะว่ามีผู้เข้าออกทั้งใหม่ – เก่า ไม่เว้นสัปดาห์!
  3. กรุณาจัดเวลาไปร่วมงาน “ทางเลือก” ในวันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม นี้ เวลา 18.30-21.00 น. ที่ BSC สี่แยกพญาไท เพราะ CJ จะจัดรายการประกาศที่นั่น โดยขอให้ พาเพื่อน ๆ (ที่ยังไม่เป็นคริสเตียน) ไปร่วมด้วย โดยมี คุณปุ๊ , ครูแอน , บี (พีระพัฒน์) และวง CJ ของเรา และสมาชิกที่ไปร่วมแสดงละคร!

พี่น้องที่รัก!

ขอให้เราถ่อมใจลงยอมฟังคำเตือนสติและคำตักเตือน ขอให้เราถ่อมใจลงยอมฟังและทำตามคำสอนในพระวจนะของพระเจ้า แล้วชีวิตของเราจะจำเริญขึ้นในทางของพระเจ้า ขอให้เรารักกันและกันให้มาก ๆ และให้อภัยแก่กันและกันเสมอไป!

ขอให้คริสตจักรของเราเป็นคริสตจักรแห่งความสุขที่สมาชิกมีชีวิตที่บริสุทธิ์ และมีความรักอย่างที่พระคริสต์มี

ขอให้ผู้ที่ต้องการรับใช้พระเจ้าผ่านการรับใช้ผู้อื่น โดยมีใจปรารถนาจะเป็นพี่เลี้ยงที่ดูแลชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของคนๆ หนึ่งอย่างต่อเนื่อง (ช่วงเวลาหนึ่งราว ๆ  1 ปี) แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรดีเข้ารับการอบรมฝึกฝน!

ดังนั้น หากพี่น้องท่านใดมีภาระใจและมีบุคคลหนึ่งในคริสตจักรที่ท่านปรารถนาจะลงทุนชีวิตกับเขา/เธอ และเขา/เธอเองก็เต็มใจ กรุณาแจ้งชื่อที่ผม 081-8357327 เราจะนัดอบรมภายในเดือนสิงหาคมนี้ !

วันนี้ ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่านอย่างมากล้นครับ

ขอพระเจ้าอวยพร

ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ (ศิษยาภิบาล)

           ปล. อย่าลืมเข้ากลุ่มแคร์ และเข้าชั้นเรียนพระคัมภีร์ ที่ CJ จัดให้นะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชั้น 1พงศ์กษัตริย์ ที่เรียนทุกวันพฤหัสเย็นที่นี่

Categories
บทความ โดย ศจ. ธงชัย

มานา (Manna)

Manna 1

           “มานา” คืออะไร?

ทำไมเราจึงเรียกว่า “มานาประจำวัน”!

“มานา” คือ อาหารฝ่ายกายที่พระเจ้าประทานให้ชาวอิสราเอลเพื่อเลี้ยงชีพพวกเขาตลอด 40 ปี ในถิ่นทุรกันดาร เพราะเหตุที่พวกเขาดื้อดึง กบฏ และไม่เชื่อฟังพระเจ้า ทั้ง ๆ ที่พระเจ้าทรงนำพวกเขาเดินทางออกมาจากอียิปต์แดนทาสเพื่อเข้าสู่แผ่นดินใหม่แห่งความเป็นไทในคานาอัน (อพย.16:4,35;กดว.11:16;กดว.11:16;สดด.78:23-24) โดยมีอาหารอย่างอื่น อาทิ  เนื้อสัตว์จากสัตว์น้ำและสัตว์ปีก (ลนต.7:14-15;8:31;11:1-3,9;กดว.11:31-34) ควบคู่ไปกับอาหารฝ่ายจิตวิญญาณที่พระเจ้าประทานผ่านพระบัญญัติ กฎเกณฑ์ กฎหมายของพระองค์ โดยโมเสส!

แท้จริงคำว่า “มานา” เป็นคำอุทานแรกเริ่มที่แปลว่า “นี่อะไรหนอ?” (อพย.16:15,31) เมื่อชาวอิสราเอลตื่นมาในตอนเช้าแล้วเห็นอาหารบนพื้นที่ตกจากฟ้าลงมาเป็นครั้งแรก

จากนั้นคำว่า “มานา” (manna) นี้ก็เลยกลายเป็นชื่อของอาหารที่ส่งตรงจากฟ้ามาตลอด จนกระทั่งเมื่อพวกอิสราเอลเข้าแผ่นดินในคานาอันและได้รับประทานอาหารจากแผ่นดินนั้น พระเจ้าก็ไม่ได้ประทานมานาให้พวกเขาอีกเลย (ยชว.5:12)

           “มานา” มีลักษณะเป็นเม็ดสีขาว เหมือนเมล็ดผักชี มีรสเหมือนขนมปังผสมน้ำผึ้ง (อพย.16:31) ตอนรุ่งเช้า ชาวอิสราเอลเองจะออกไปเก็บมาเพื่อปรุงทำอาหารได้หลายแบบ ทำได้ทั้งปิ้งและต้ม!

          “ประชาชน​จะ​ออก​ไป​เก็บ​มา​โม่​ด้วย​หิน​โม่​หรือ​ตำ​ใน​ครก และ​ใส่​หม้อ​ต้ม​ทำ​ขนม รส​ของ​มานา​เหมือน​รส​ของ​ขนม​คลุกเคล้า​ด้วย​น้ำ​มัน”  (กดว.11:8)

         พวกอิสราเอลได้รับบัญชาให้เก็บ “มานา” รับประทานให้อิ่มได้วันต่อวัน ยกเว้นวันศุกร์ให้เก็บ “มานา” เป็น 2 เท่าเผื่อวันเสาร์ซึ่งเป็นวันสะบาโต เพราะว่าจะไม่มีมานาในวันสะบาโต! (และต้องปิ้งหรือต้มมานานั้นตั้งแต่วันศุกร์) และให้แบ่งปันกันให้เพียงพอกับความต้องการ (อพย.16:4-5,15-18)

          “โมเสส​บอก​พวก​เขา​ว่า “พระ‌ยาห์‍เวห์​ทรง​บัญชา​ว่า ‘พรุ่ง​นี้​เป็น​วัน​หยุด​พัก เป็น​สะ‍บา‍โต วัน​บริ‍สุทธิ์​แด่​พระ‌ยาห์‍เวห์ จะ​ปิ้ง​อะไร​ก็​ให้​ปิ้ง จะ​ต้ม​อะไร​ก็​ให้​ต้ม​เสีย และ​ส่วน​ที่​เหลือ​ทั้ง​หมด จง​เก็บ​ไว้​จน​ถึง​วัน​รุ่ง​ขึ้น’” (อพย.16:23)

         พระเจ้าให้ชาวอิสราเอลพักผ่อนในวันสะบาโต แต่พวกยิวหลายคนไม่เชื่อฟัง ออกไปหามานาในวันสะบาโต

  1. บางคนหาไม่พบ
  2. บางคนหามาเก็บตุน แต่สุดท้ายก็บูด เน่าเสีย  (อพย.16:19-30)

พระเจ้าบัญชาให้พวกเขาเก็บมานาไว้ในโถทองคำ ร่วมกับไม้เท้าของอาโรน และแผ่นศิลาจารึกพระบัญญัติใส่ลง

ไปในหีบพระโอวาท (อพย.16:31-35;ฮบ.9:4)  เพื่อเป็นที่ระลึกถึงการที่พระเจ้าทรงเลี้ยงดูประชากรของพระองค์ในถิ่นทุรกันดารตลอด 40 ปี

พระเจ้าประทานมานาเพื่อสอนชาวอิสราเอลและพวกเราว่า ชีวิตมนุษย์ไม่ได้อาศัยแค่เพียงอาหาร(ฝ่ายกาย) อย่างเดียว  แต่ต้องพึ่งพระวจนะ (อันเป็นอาหารฝ่ายวิญญาณ, ฉธบ.8:3;มธ.4:4) และฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าด้วย!

พระเยซูคริสต์เป็นอาหารฝ่ายจิตวิญญาณที่เป็น “มานาแห่งชีวิต” จากสวรรค์ที่แท้จริง (ยน.6:31-35) และผู้ที่รับพระองค์เข้าไปในชีวิต ผู้นั้นจะได้รับชีวิตนิรันดร์ (ยน.6:48-51;วว.2:17)

วันนี้ คุณได้รับมานาแท้จากสวรรค์นี้  แล้วหรือยัง?

-ธงชัย ประดับชนานุรัตน์- twitter.com/thongchaibsc, facebook.com/thongchaibsc, twitter.com/lifeanswer, facebook.com/lifeanswer

Categories
บทความแปล

วิธีรับมือกับความสงสัยที่ดีที่สุด

หมาขี้สงสัย         skeptical dog 1

พระเยซูจึงตรัสแก่บิดานั้นว่า “‘ถ้าช่วยได้’ น่ะหรือ ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง” ในทันใดนั้น บิดาของเด็กก็ร้องทูลว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ ที่ข้าพเจ้ายังขาดความเชื่อนั้นขอโปรดช่วยให้เชื่อเถิด” (มาระโก 9:23-24)

ถ้าคุณจะพูดอย่างจริงใจ คุณคงต้องยอมรับว่าทุกคนต่างก็เคยสงสัย แต่คนที่สงสัยมีอยู่สองประเภท คือสงสัยจริงๆ กับสงสัยปลอมๆ คนที่สงสัยปลอมๆจะไม่ยอมเชื่อ แต่คนที่สงสัยจริงๆคือคนที่ถึงแม้จะสงสัย แต่ก็ต้องการรู้ความจริง

พระเจ้าบอกกับคนที่สงสัยปลอมๆให้ทูลขอความเชื่อ และถ้าคุณแสวงหาพระองค์ คุณก็จะพบพระองค์ ถ้าคุณมาพร้อมกับคำถามที่จริงใจ พระเจ้าจะทรงตอบสนองและมาพบกับคุณในสิ่งที่แสวงหา แปลว่า ถ้าคุณจะสงสัย ก็ให้สงสัยไปเลย

ในสังคมร่วมสมัยที่มีแต่การถากถางและสงสัยไม่จบสิ้นของโลกทุกวันนี้ เราต้องพร้อมเปิดใจให้ความจริง แต่อย่าเปิดมากจนพอเจอความจริงแล้วกลับมองไม่ออก

สงสัยเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าคุณเริ่มจะสงสัย ก็ให้สงสัยไปเลย พร้อมจะรับคำตอบจากพระเจ้าในสิ่งที่สงสัยเมื่อพระองค์เปิดเผยให้คุณทราบ และเหนืออื่นใด จำไว้ว่าพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าความสงสัยของคุณและพระองค์จะทรงนำคุณไปถึงความจริงเสมอ

จัดการกับความสงสัยของคุณโดยทูลขอความเชื่อจากพระเจ้า และพร้อมรับคำตอบที่ยิ่งใหญ่

อนุญาตโดย: Pastor Jack Graham

Jack Graham Power Point Ministry: www.powerpoint.org